บทที่ ๒
[/b]
รถเมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาควันบุหรี่ขับเคลื่อนอย่างไม่รีบร้อนนักเมื่อเข้าสู่ถนนสายเดี่ยวที่ค่อนข้างเงียบสงบ สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นสนที่ปลูกไว้อย่างตั้งใจ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านเข้าออกมานัก นอกจากรถภายในคฤหาสน์หลังใหญ่กลางซอยที่ห่างจากปลายถนนเพียง 500 เมตร
ประตูรั้วสีทองสลักลายเครือเถา ค่อยๆเคลื่อนเปิดออกอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นถึงบริเวณที่เรียกว่าบ้านได้ถนัดตา ผืนหญ้าเขียวชอุ่มทอดร่างอยู่ภายใต้ผืนฟ้ายามเย็น บ่อน้ำพุรูปปั้นนางมัจฉาตั้งตระหง่านตรงลานหน้าบ้าน พุ่งทะยาน แตกออกเป็นเส้นสาย ยามต้องแสงแดดจะแวววาวระยิบระยับดั่งเพชรจินดา
ความสดชื่นของต้นไม้ ดอกไม้นานพันธุ์แผ่กิ่ง ขยายก้านส่งความร่มรื่นปรกพื้นหญ้า และทางลาดปูด้วยดินเผาต่างสีช่วยส่งผลให้บ้านดูกึ่งเก่ากึ่งใหม่ ใครๆที่พบเห็นต่างตั้งคำถามว่า บนพื้นที่ 5 ไร่ ใครกันหน้าช่างสร้างบ้านได้งดงามวิจิตรและกลมกลืนไปกับธรรมชาติได้เพียงนี้
เมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาวิ่งผ่านประตูเปิดรับอัตโนมัติ มาตามทางที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนลายสวย ซึ่งจัดวางอย่างมีศิลปะ รถจอดสนิทตรงหน้าบันไดที่ตั้งระดับลาดเอียงสู่ประตูตัวบ้านที่เปิดกว้างไว้อย่างเปิดเผย เสมือนเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศอันโอ่โถง ประตูคนขับเปิดออกพร้อมกับชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีกรมท่า กางเกงสีดำ รีบกุลีกุจอลงมาเปิดประตูด้านหลัง หากทว่ายังไม่ทันความตั้งใจของอีกคน เพราะบัดนี้ประตูสีเทาบานนั้นเผยให้เห็นผู้ที่เปิดออกมา...ประธานบริษัท RAVANA ผู้ครอบครองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งบ้าน คอนโด ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงนายหน้าจัดการแสดงโขนทั่วโลกและยังเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกทองคำและจิวเวอร์รี่อันดับหนึ่งของประเทศ
อสุเรนทร์ อมาตยสูร ชายวัยกลางคนรับกระเป๋าเอกสารที่ผู้เป็นเจ้านายยื่นให้อย่างนอบน้อม
“ท่านจะขึ้นไปพักเลยหรือไม่ครับ”
ชายวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่คนขับรถถามเพื่อให้แน่ใจในการเอากระเป๋าไปเก็บถูกตำแหน่ง
“ยัง นายไปเก็บกระเป๋าแล้วก็ไปทำอย่างอื่นเถอะ”
ชายวัยสามสิบเจ็ดที่ใบหน้ายังดูหล่อเหลาอ่อนกว่าวัยอยู่มาก เดินขึ้นบันไดพลางถอดสูทสีดำออกพาดแขน และดึงเนคไทขยายคอเสื้อก่อนเข้าประตูบ้าน หญิงแม่บ้านรีบวิ่งมารับเสื้อและเนคไท พร้อมรอรับรองเท้าที่กำลังถอดอย่างรู้งาน
“นายท่านเจ้าคะ คุณกฤตรอพบท่านอยู่บนเรือนเล็กเจ้าค่ะ เห็นบอกมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกท่าน”
“นานหรือยัง”
“สักพักเห็นจะได้ค่ะ”
“ขอบใจ”
เธอยิ้มรับอย่างนอบน้อมก่อนก้มหยิบรองเท้าแล้วถอยจากไปทำหน้าที่ประจำของเธอต่อ
อสุเรนทร์เปลี่ยนจุดหมายจากขึ้นบันไดสู่ตัวบ้านชั้นบนเป็นเดินออกจากตัวบ้านหลังใหญ่ มุ่งหน้าผ่านต้นไม้ร่มรื่นสู่เรือนไทยวิจิตรงดงามด้านหลังตึกใหญ่
เรือนเล็กที่อสุเรนทร์จงใจปลูกไว้สำหรับมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเพื่อซึมซับสิ่งที่คุ้นเคย เขาออกจะชอบบรรยากาศเช่นนี้มากกว่าความล้ำหน้าของเทคโนโลยีและมนุษย์ เรือนไทยเป็นโครงสร้างดั้งเดิมยกสูง บนตัวเรือนเป็นชานกว้างทว่าร่มรื่นด้วยต้นไม้ต้นไทยที่แทงลำต้นสู่ผืนฟ้า...ผ่านกลางชานบ้านที่เจ้าของเปิดช่องให้ลำต้นของต้นจัน แผ่กิ่งก้านอวดโฉมได้อย่างอิสระ สงบท่ามกลางความวุ่นวายของยุคเทคโนโลยี
เวลานับพันปีที่ อสุเรนทร์ หรือนามเดิม ทศกัณฐ์ ใช้เวลาไปกับการดูแลทำนุบำรุงบ้านเมือง ยุติสงครามระหว่างฝ่ายยักษ์และฝ่ายมนุษย์ของพระราม ยกตำแหน่งผู้ครองกรุงลงกาให้พิเภกให้สืบสานต่อ ส่วนตนเองขอปลีกตัวไปพักรักษาใจ คอยอยู่เป็นที่ปรึกษาอยู่หลังม่าน ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ทว่ามีเพียงสิ่งเดียว...ใจของเขามันยังคงร่ำร้องถึงนางอันเป็นที่รัก อยากเจอ อยากครอบครอง อยากสูดดมกลิ่นหอมบนเรือนกายงามราวนางอัปสรสวรรค์จากชั้นดาวดึงส์ แม้จะรู้นางคือลูกแท้ๆของเขากับนางมณโฑ แต่ทว่าในเมื่อรักยกหัวใจให้นางไปทั้งดวงแล้ว ต่อให้ผิดศีลธรรมเท่าไหร่ เขาก็ไม่สน
และอีกอย่างนางกลับชาติมาเกิดใหม่ ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกย่อมยุติไปด้วย อสุเรนทร์เคยเจอนางสีดาทุกชาติ แม้นกายหยาบอาจเปลี่ยนแปลง ทว่าความงดงามและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาจำนางได้อย่างแม่นยำ พยายามเกี้ยวพาราสี ทำทุกอย่างเพื่อทำให้นางรัก ทว่าดันมีอุปสรรคมาขัดขวางตลอดทุกชาติภพ ถ้านางไม่แต่งงานมีลูก...เกิดอาการวิปลาส ก็สิ้นชีวี
รู้เลยการรอคอยใครบางคนเป็นเวลานานๆ ถึงจะเป็นหัวใจยักษ์ก็มิอาจหลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันเกิดจากเสน่หาได้
อสุเรนทร์ก้าวขึ้นบันไดเรือนไม้อย่างแผ่วเบาจนถึงชานบ้านที่ร่มรื่น เก้าอี้ไม้รายล้อมต้นจันต้นใหญ่ ความหอมของมันคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี
ชินกฤต หรือโหรหลวงพิเภกละสายตาจากหนังสือตรงหน้า มองมายังพี่ชายด้วยใบหน้าแย้มยิ้มละมุน
“ดูท่าเจ้าคงว่างมากกระมัง มีเวลาอ่านหนังสือต่างกับข้าทำงานจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด”
“เพราะข้าเป็นคนพิเศษไงล่ะท่านพี่”
“เจ้ามันหลงตน ยักษ์เจ้าเล่ห์” อสุเรนทร์ยกยิ้ม “ไหน เจ้ามีอันใดจะบอกข้ารึ”
คราวนี้ชินกฤตปิดหนังสือ วางบนตั่งไม้สักทอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นกว่าเดิมจนอสุเรนทร์ต้องทำหน้าขรึมจริงจังตามไปด้วย
“ทางกรมศิลป์แจ้งมาว่า
ได้ตัวนางสีดาแล้ว”
อสุเรนทร์นิ่งอึ้งหลังจากชินกฤตกล่าวจบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำ หัวใจเต้นแรงกระแทกทรวงอกจนปวดหนึบ การรอคอยตลอดหนึ่งร้อยปีเพื่อรอให้นางเกิดใหม่ก็สิ้นสุดลงเสียที ริมฝีปากค่อยเผยอยิ้มออกมา ดวงตาคมคายบัดนี้เปล่งประกายจนคนที่เห็นอดหัวเราะด้วยความขำขันมิได้
หนึ่งพันปีเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น
ผู้เป็นน้องชายหยิบแฟ้มสีขาวบางส่งให้อสุเรนทร์ “ประวัติของคนที่มาเล่นเป็นนางสีดา ผู้มีปานแดงรูปกุหลาบหลังหูด้านขวา ตรงตามที่ท่านพี่ต้องการ” ชินกฤตพ่นลมหายใจ “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ชาติ นางก็ยังคงเป็นนาง คงความงามได้มิมีเปลี่ยน แม้นเป็นชายก็ยังงามงดเสียยิ่งกว่าอิสรี”
อสุเรนทร์หาได้สนใจคำพูดของชินกฤตอีกต่อไป ตั้งหน้าตั้งตาอ่านประวัติบนหน้ากระดาษสีเหลี่ยมผืนขาวทีละบรรทัดอย่างละเอียด
“เปมทัต...” เอ่ยเสียงผะแผ่ว “นามเจ้าช่างเพราะนัก”
ภาพถ่ายหลายอิริยาบถ ดวงตาเรียวสวยวาววาบประดั่งดวงดาราบนฟากฟ้า ริมฝีปากอวบอิ่ม ลำคอระหงและไหนจะผิวขาวละเอียดลออนวลเนียนน่าชม เป็นชาติที่สามที่นางได้กลับมาเกิดเป็นชาย ทว่าเขาหาได้สนใจเรื่องเพศไม่ ขอแค่เป็นนางไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือปีศาจ เขาก็ยังรักนางไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพี่เปลี่ยนไปมากนะขอรับ”
“ข้าเปลี่ยนเยี่ยงไรรึ”
“การที่ท่านยึดมั่นต่อนางเพียงผู้เดียวตลอดพันปีที่ผ่านมา มันสามารถเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าท่านพี่รักนางจริง ข้าภูมิใจในตัวท่านนะ มันยากที่จะให้ยักษ์ตนหนึ่งกระทำสำเร็จ แต่ท่านก็ทำสำเร็จ ต่อจากนี้ข้าจักทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านสมหวัง”
“ขอบน้ำใจเจ้านักน้องข้า”
“แล้วนี่ท่านพี่จักทำอันใดต่อ”
“เจ้ารู้ข้าคิดทำเช่นไร”
“หากในความคิดของข้า การที่ท่านปรี่ตัวเข้าไปหานางทันทีแล้วบอกรักช่างเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามและน่ากลัวนัก บอกตามตรงข้าเป็นนาง ข้าก็หนีขอรับ” บุรุษผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคตเอนกายพิงพนักอย่างขำขัน “มนุษย์อ่อนไหวและตื่นตระหนกได้ง่าย ทางที่ดีท่านพี่ควรเริ่มต้นจากการทำความรู้จักช้าๆ”
“แต่ข้าอยากให้นางรักข้าเร็วๆ”
“ไม่มีประโยชน์อันใดหากท่านไม่เชื่อคำข้า ท่านพี่ต้องสูญเสียนางอีกครั้ง และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”
ชินกฤตพูดตามที่เขาเห็นและวิเคราะห์
“อย่าบอกนะ พระราม...”
“ขอรับ เขาซุ่มรอโอกาสจากเราอยู่”
อสุเรนทร์ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องพรรณนั้นอย่างแน่นอน
สีดา...ไม่สิ เปมทัตในเมื่อเจ้าปรากฏกายต่อหน้าข้าแล้ว ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้าอีกเป็นอันขาด
“น้องข้า จงเตรียมรถให้พร้อม”
“...”
“ข้าจักไปโรงละครโขน”
-โรงละครแห่งชาติ-“จ่ะ โจ้ง จ่ะ ทิง โจ้ง..ง..ง ทิง....ดี...ดีแล้วพ่อเปรม ข้อมือด้านซ้ายบิดไปข้างนอกนิดหนึ่ง นั่นแหละ สวย...สวยมาก”
โจงกระเบนสีแดงคาดด้วยเข็มขัดนากเสียดสีกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดด้านบนจนเกิดเสียง ปลายเท้าเปล่าย่ำลงพื้นแผ่วเบาตามจังหวะกรับเสภา เอี้ยวตัวอ่อนช้อยตามบทบรรเลงเสนาะหู ครูจันทร์ฉีกยิ้มพึงพอใจกับความหัวไวของลูกศิษย์ เปรมเป็นคนเรียนรู้เร็ว ไม่ว่าสอนอะไรให้เขาก็สามารถจำและทำตามได้แบบต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน จะแก้ก็ต้องแก้ตรงความอ่อนช้อยเล็กน้อย ยังดูแข็งเกร็งตามแบบผู้ชายอยู่มาก ซึ่งเธอเข้าใจดี จะให้ผู้ชายมารำตัวนางก็ลำบากมิใช่น้อย
แก้มเนียนใสปรากฏสีแดงระเรื่อเพราะความร้อนที่สั่งสมมาตลอดครึ่งวันที่ฝึกซ้อมท่ารำตัวนางอย่างหนัก กล้ามเนื้อแขนและขาร้องโอดครวญด้วยความปวดระบม หนึ่งอาทิตย์ที่ตรากตรำ ขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันเหมาะกับสารรูปเปรมในตอนนี้จริงๆ โดนดัดโน่น ดัดนี่ทั้งตัว ทั้งๆที่เขาก็ถูกปู่กับตาจับให้ทำตั้งแต่เด็ก นี่ยังนึกถึงวันแรกที่กลับไปบอกพ่อ แม่ ปู่ ตา ยายได้อยู่เลย ว่ารับเลือกให้เล่นบทนางสีดา ตัวหลักในเรื่องหทัยทศกัณฐ์ แต่ละคนถึงกับตะลึงกันเสียยกใหญ่ ยิ่งปู่นี่เป็นลมหมดสติข้ามวันเลยทีเดียว
ยกเว้นแค่มารดาผู้บังเกิดเกล้าที่ต่างจากคนอื่น
‘ดูๆไปลูกแม่ก็เหมาะกับบทนางสีดาดีนะ หนุมานไม่เหมาะหรอก’ปัดโธ่...ถ้าแม่จะพูดกับเขาอย่างนี้ อย่าพูดเลยดีกว่า
“พักดื่มน้ำ ดื่มท่าก่อนเถิดพ่อเปรม” ครูจันทร์บอกเมื่อเห็นทีท่าอีกฝ่ายเริ่มไม่ไหว
“ขอบคุณครับครูจันทร์”
เปรมรับขวดน้ำเย็นจากมือหญิงวัยกลางคน ยกขวดเปิดฝากระดกอย่างรวดเร็วแก้กระหายพลางทรุดตัวนั่งลงพิงเสาและหลับตาลงอย่างหมดแรง
“รู้สึกยังไง”
“เหนื่อยมากครับครู ไม่เคยฝึกหนักอย่างนี้มาก่อน”
“ถ้าไม่ได้จำกัดเวลา ครูคงไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเธอหนักขนาดนี้หรอกจ๊ะ” ครูจันทร์ยิ้ม “แต่คิดเสียว่ามันส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต บทละครโขนที่เธอต้องเล่นผู้จัดเขาเน้นย้ำมาเลยนะ นักแสดงทุกคนต้องเข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครและต้องเล่นให้เหมือนกับเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ครูรู้ว่ามันยาก แต่เรา...คงทำได้อยู่แล้วใช่ไหม”
“ผมจะพยายามทำให้เต็มที่แล้วกันครับ”
“อยากรู้หรือเปล่า ทำไมท่านปู่ถึงเลือกเธอเล่นบทนี้”
“อยากครับ” เปรมรีบตอบทันควัน ความอยากรู้อยากเห็นเขามีมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้าแล้ว พอถามชายชรา ท่านก็เอาแต่ยิ้มลูกเดียว จะถามคนอื่นก็ไม่กล้าเพราะไม่ได้สนิทเท่าไหร่นัก จะเหลือก็ครูจันทร์คนเดียวที่ดูจะถามไถ่ได้ พอครูมาถามก่อนเช่นนี้เลยเข้าทางเขาพอดี
“เพราะปานหลังหูของเธอ”
“ปานเหรอครับ” บทนางสีดาเกี่ยวอะไรกับปานของเขาด้วย
“ครูก็ไม่รู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ ทางบริษัทผู้จัดเขารีเควสมาน่ะว่าต้องเป็นคนลักษณะนี้เท่านั้น ตอนแรกเราก็หมดหวัง แต่พอได้เจอเธอ...มันเลยทำให้ครูและคนอื่นๆรู้สึกว่าเธอคู่ควรกับบทนางสีดาจริงๆ”
“ผู้จัดเหรอครับ”
“RAVANA เธอเคยได้ยินหรือเปล่า”
“อ่า...ที่ประธานบริษัทสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศโดยการนำโขนไปแสดงที่ต่างประเทศใช่ไหมครับ”
ครูจันทร์พยักหน้า “ใช่จ๊ะ เขานั่นแหละ”
“ทำไมเขาต้องเจาะจงเลือกคนที่มีปานแบบผมด้วยล่ะ”
“ครูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ท่านปู่บอกครูมาว่านางสีดาฉบับต้นแบบมีปานรูปกุหลาบที่ต้นคอจริงๆ”
เปรมชะงักชั่วครู่...ขนลุกซู่บริเวณท้ายทอยลามไปถึงหลังหูด้านขวา ลมหายใจติดขัดแล้วดวงตาก็พร่ามัวลง เขาไม่รู้ว่าเกิดผิดปกติอะไรในดวงตาหรือเป็นเพราะแสงพระอาทิตย์ที่แยงเข้ามาด้านในห้อง ทำให้เขาเห็นภาพบางอย่าง มีสันสันเสมือนจริง
‘เจ้างามดั่งกุหลาบแรกแย้ม งามพิศยิ่งกว่ามวลกลีบผกามาศที่พานพบ พี่ขอได้ฤาไม่ หากพี่จักประทับรอยกุหลาบเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนวลเจ้า’
‘พี่ท่าน...’
‘เปรียบเสมือนพันธะสัญญาเราสอง หากเมื่อใดข้าแลเจ้าพบพานกันอีกครั้งในชาติพบหน้า ข้าจักได้จำได้ว่าเจ้าคือจอมขวัญของพี่คนเดียว’“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะพ่อเปรม”
ครูจันทร์ทักขึ้นเมื่อลูกศิษย์หนุ่มปิดตา
ถึงภาพจะพร่ามัว หากเปรมกลับเห็นหญิงสาวรูปบอบบางสวมใส่สไบสีชมพูผืนยาว ชายผ้าตกลู่ไหล่ เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและผิวขาวนวลของเนินอกกว้าง ร่างสูงใหญ่กำยำของชายผู้หนึ่ง ผู้มีผิวกายสีเขียวมรกตเข้ามานอนอิงแอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แม้จะเห็นเพียงไม่กี่ชั่ววินาที เปรมกลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับภาพในหัวได้เกิดขึ้นกับเขามาก่อน
เมื่อ...นานมาแล้ว “ไม่...ไม่เป็นไรครับ...ผมอาจจะเหนื่อยมากไปหน่อย...เลยเห็นภาพหลอน” เปรมรีบหาข้ออ้าง เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นในความคิด คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอนถ้าเขาเล่ามันออกไป
“ไปพักให้หายเหนื่อยเถอะพ่อเปรม บ่ายๆค่อยกลับมาซ้อมต่อ”
“ขอบคุณมากครับครู ไว้ผมจะซื้อของกินมาฝาก”
บรรยากาศร้อนอบอ้าวของช่วงกลางวันทำให้เปรมรู้สึกเหนอะหนะและรู้สึกไม่สบายตัว ทว่าเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากเพราะความหิวเอาชนะได้ทุกอย่าง ชายหนุ่มจำใจต้องเดินออกไปนอกโรงละครเพื่อหาของกินประทังชีวิตทั้งที่ยังนุ่งผ้าแดงอยู่
“ป้าครับขอข้าวห่อหมกห่อหนึ่งแล้วก็น้ำเปล่าขวดหนึ่งด้วย”
“รอแปปนะอีหนู เดี่ยวป้ารีบทำให้จ๊ะ” แม่ค้าวัยเกินห้าสิบปีบอกเขาเสียงแปร๋นสะเทือนหู
“ป้าครับ ผมไอ้หนูครับ ไม่ใช่ใช่อีหนู” เปรมรีบแก้ต่าง ขืนไม่บอกสิ ป้าแกคงได้เรียกอีกหนูๆต่อไปทุกครั้งที่มาซื้อหรือเดินผ่านหน้าร้านแน่ แค่เกิดมาหน้าหวานเกินผู้ชายด้วยกันก็สร้างความทุกข์ใจให้เขามากพอแล้ว
“อ้าวเหรอ ก็หน้าเอ็งมันหวานเหมือนผู้หญิงนี่นา ป้าเองก็แก่แล้ว ตาเลยฝ้าฟางไปบ้าง งั้นเดี๋ยวป้าแถมน่องไก่ให้น่องหนึ่งแทนคำขอโทษ”
“ขอบคุณครับ”
เปรมยิ้มตาหยี ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ของฟรีใครไม่อยากได้บ้างล่ะ
“เป็นนักแสดงใหม่เหรอ ป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“ครับ ผมเพิ่งมาใหม่อาทิตย์เดียวเอง”
“งั้นคงเป็นนักแสดงเรื่องใหม่ที่เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่ล่ะสิ เอ...ชื่อเรื่องอะไรนะ”
“หทัยทศกัณฐ์ครับ” เปรมตอบแทน คนเป็นแม่ค้าถึงกับตบมือหนึ่งฉากราวนึกขึ้นได้
“เออ นั่นแหละว่าแต่...เอ็งเล่นเป็นใครล่ะ”
“ผมเล่น...”
ขณะชายหนุ่มเตรียมตอบคำถามแม่ค้าวัยสาวใหญ่ รุ่นพี่หนึ่งในนักแสดงโขนโผล่หน้าจากบานประตูทางเข้าโรงละครตะโกนเรียกเขาเสียก่อน
“เปรม! ครูเรียกรวมตัวนักแสดงด่วน”
“มีอะไรหรอครับพี่สินธุ” ตะโกนถามกลับ
“
คุณทศมา”
“รีบไปเถอะพ่อหนุ่ม อย่าปล่อยให้คุณเขารอนาน พยายามตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ นักแสดงที่นี่ได้ดีกันทุกคน”
ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยพลางยื่นเงินจ่ายค่าอาหารและใช้มืออีกข้างรับถุงใส่ข้าวจากแม่ค้าจิตใจดี ถึงเธอจะพูดเยอะไปบ้างแต่ก็ทำให้เขาผ่อนคลายมากทีเดียว
“ขอบคุณนะครับ ไว้จะมาอุดหนุนใหม่”
“เดี๋ยว พ่อหนุ่ม”
เปรมที่กำลังหันหลังเตรียมตัวเดินไปทางอื่นต้องหยุดชะงัก เอียงคอมองแม่ค้าอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจนะ แต่อีกไม่นานจะมีคนเข้ามาให้เอ็งเลือกถึงสองคน และสองคนนั้นเขาก็รักเอ็งมากด้วย ฉะนั้น...ป้าแนะนำให้เชื่อหัวใจตัวเอง ดีเลวไม่สำคัญ สำคัญที่เอ็งรักใครมากกว่ากัน...โชคดีนะพ่อหนุ่มหน้าหวาน”
ชายชรานั่งมองความอลหม่านหลังโรงละครเล็กที่แยกออกมาอีกทีจากโรงละครใหญ่ เหล่านักแสดงวุ่นวายกับการซ้อมบทก่อนจะขึ้นแสดงต่อหน้าผู้ตัดสินกิตติมศักดิ์เพื่อทำการประเมินผลครั้งแรก
การที่อสุเรนทร์มาเยือนแบบไม่ได้บอกกล่าว ทำเอาทุกคนในกรมศิลป์ต่างวิ่งวุ่นกันหัวหมุนจัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จโดยพลัน เพราะชายหนุ่มเจ้าของบทประพันธ์เรื่อง หทัยทศกัณฐ์ ควบตำแหน่งประธานบริษัท RAVANA ซึ่งเป็นผู้จัดแสดงโขนชั้นนำของประเทศ ต้องการดูความคืบหน้าของตัวนักแสดงว่ามีความพร้อมมากแค่ไหน ณ เวลานี้ ใครไม่พร้อมก็ต้องพร้อม ดูได้จากการร่วมงานกันในครั้งที่ผ่านมา ประธานหนุ่มคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเนี้ยบ สมบูรณ์แบบและค่อนข้างเอาแต่ใจมากถึงมากที่สุด ขนาดบรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือยังต้องขอยอมแพ้
นัยน์ตาขุ่นเหลือบมองหลานชายของเพื่อนเก่า บัดนี้กลับนิ่งสงบกว่าคนอื่น ท่วงท่าสุขุมหลังเหยียดตรงอกผายไหล่ผึ่ง ราวผู้ที่ถูกอบรมมาดี ในความคิดชายชรา หากเป็นหญิงคงงดงามเทียบเคียงนางในวรรณคดี ทว่าเป็นชายก็มิต่างไปต่างตัวพระผู้สูงส่ง
“เจ้าว่าพ่อเปรมเป็นอย่างไรบ้างแม่จันทร์”
“ใช้ได้ทีเดียวค่ะ จันทร์รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างไรชอบกล คล้ายกับ...เขามีอะไรมากกว่าที่เราเห็นแต่จันทร์ก็บอกออกมาไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป แต่...แต่มันมีความพิเศษมากกว่านั้น หรือคงเป็นเพราะเขาอยู่กับสิ่งพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก”
“ใช่ เด็กคนนี้หัวไว แต่ไม่ได้หมายความเขาฉลาดหรือขยันซ้อมมากกว่าบุคคลทั่วไป” ทอดสายตามองเปรมด้วยสายตาชื่นชม “เท่าที่ปู่สังเกตมันเกิดจากความรู้สึกภายใน จิตวิญญาณของเขากำลังสวมรอยเป็นตัวละครนั้นๆที่เขาแสดงอยู่ มันเลยทำให้เขาไปได้ไกลและเร็วกว่าคนอื่นๆ”
“...”
ครูจันทร์ไม่ได้พูด หากพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“โดยเฉพาะบทของนางสีดา เล่นดีจนน่าขนลุกทั้งที่เพิ่งฝึกซ้อมแค่หนึ่งอาทิตย์”
เกิดความเงียบโรยตัวในฉับพลัน ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปตามความคิดของตน จนกระทั่งเสียงประกาศเรียกชื่อนักแสดงคนแรกดังขึ้น จึงทำให้ปู่หลานคู่นี้กลับเข้ามาสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน
“หากจันทร์ไม่ได้คิดไปเอง จันทร์คิดว่านางสีดากับพ่อเปรมคือ
คนคนเดียวกัน”
อสุเรนทร์นั่งเท้าคาง ทำหน้าเบื่อหน่ายขณะมองดูการแสดงของนักแสดงบทหนุมานบนเวที แค่ท่วงท่ากระโดด ตีลังกา เกาหลัง เกาหัวก็ผิดไปจากต้นฉบับลิบลับ ขนาดอินทรชิตลูกชายของเขายังเลียนแบบได้ดีกว่าเลย
“ทำหน้าตาให้มันดีๆหน่อยสิพี่ทศ” ชินกฤตป้องปากกระซิบ “ทำอย่างกับเขาแสดงไม่ดีอย่างนั้นแหละ”
"ก็ใช่น่ะสิ ข้าเบื่อตายชัก"
ลำตัวหนาเอนพิงกับพนักเก้าอี้ทรงสูงแล้วถอนหายหนักหน่วง ก่อนหางตาคมเหลือบเห็นใครบางคนเสียก่อน บุคคลกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยชายสามคน กำลังเดินตรงมานั่งแถวเดียวกับเขา พร้อมทั้งส่งยิ้มแสร้งเป็นมิตร ต่อให้อยู่ไกลสักร้อยเมตร พันเมตรหรือใกล้แค่เอื้อม อสุเรนทร์ยังคงจำได้อย่างแม่นมั่น
“ช่วงนี้เราไม่ค่อนเจอกันเลยนะทศกะ...อ่อ ไม่สิ คุณอสุเรนทร์”
นัยน์ตาคมกริบสีเขียวมรกตลุกโชนขึ้นชั่วครู่และเลือนหายไป ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทเรียบหรูขนาบข้างด้วยผู้ชายท่าทางดุคนหนึ่งและอ่อนโยนอีกคนหนึ่ง ข้อนิ้วเรียวยาวยื่นมาข้างหน้าหวังจับทักทายตามธรรมเนียมสมัยใหม่ หากกลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ราเมนทร์...” เขาเค้นคำรามในลำคอ
“ขอบคุณที่ยังจำชื่อใหม่ของฉันได้”
“เจ้ามาทำอันใด”
“ฉันก็มาดูลูกศิษย์ของฉันน่ะสิ”
อสุเรนทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนปราดตาไปยังเจ้ามนุษย์ลิงร่างพิการบนเวทีแล้วยกยิ้มเยาะที่มุมปาก “นั่นน่ะหรือ ลูกศิษย์ ก็เหมาะดีนะ บทต่ำๆก็คู่ควรกับนักแสดงต่ำๆ”
“เจ้าทศกัณฐ์!”
ชายด้านซ้ายมือเตรียมพุ่งมาหา หากราเมนทร์กลับยกมือห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน
“ยังเหมือนเดิมเลยหนาเจ้าลิงแก้มกลม...หนุมาน อ้อ ชื่อล่าสุด ลมเส็งเคร็ง สินะ โทษทีพอดีช่วงนี้ ข้ามักขี้หลงขี้ลืมกับเรื่องรกสมอง”
“เจ้ายักษ์ใจคด ข้าชื่อกบินทร์ต่างหาก!”
อสุเรนทร์ยักไหล่ตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ เรื่องแกล้งเจ้าลิงเลือดร้อนเขาชอบนัก เวลาเห็นมันโมโหหน้าแดงกล่ำเขายิ่งชอบ อยากให้ลูกอินทรชิตมาจริงเชียว รายนั้นชอบแกล้งชอบแหย่มันมากกว่าเขาอีก
“คุณอสุเรนทร์ดูมีความสุขนะครับ”
“แน่นอนสิครับคุณราเมนทร์ ในเมื่อยอดจากการค้าขายไตรมาสนี้กระผมกอบโกยกำไรมากกว่าคุณมากโขนัก แถมยังได้ สัมปทานเหมืองเพชรที่คุณต้องการครอบครองอีกด้วย ถ้ากระผมไม่มีความสุข คุณราเมนทร์จะให้กระผมทำหน้าเศร้าโศกาเหมือนปลากระเบนหรืออย่างไร”
“อ่อ...ที่แท้ก็เป็นบริษัท RAVANA นี่เองที่เสนอเงินซื้อเหมืองเพชรจากเจ้าสัวกรรชัยมากกว่าบริษัทของฉัน เรื่องหลอกล่อ โน้มน้าวคนด้วยวาจากลิ้งกลอก คุณอสุเรนทร์ช่างเก่งจริงๆนะครับ นับถืออย่างสุดหัวใจ” ราเมนทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับเจือกรุ่นด้วยความแข็งกร้าว ไม่พอใจ
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือ สีดาเองก็เช่นกัน” นางย่อมเป็นของเขาผู้เดียว
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกทศกัณฐ์”
“รอดูเอาเองก็แล้วกัน”
“เจ้า...”
“พี่ราม เรามาเพื่อดูพวกเขาแสดง เราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับอสุเรนทร์นะครับ” ศุภลักษณ์เอ่ย และหันมาผงกศีรษะเล็กน้อยให้กับพวกเขา “ข้าคงต้องขอขมาเจ้าด้วย”
อสุเรนทร์กอดอก พ่นลมออกทางจมูก “น้องชายยังรู้จักมารยาท หัดสอนสั่งพี่เจ้าหน่อยหนาพระลักษณ์”
“พี่ทศ ท่านก็ด้วย เงียบเสียที” ชินกฤตเอ็ดเบาๆ
“มันหาเรื่องข้าก่อน”
“แล้วท่านจำต้องเถียงตอบรึ”
“...”
“สงสัยพี่ทศคงมิใคร่ดู”
“ดูกระไร” อสุเรนทร์ถามเสียงขุ่น ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่น้องชายร่วมสายเลือดบอก
เสียงดนตรีไทยเริ่มบรรเลงในจังหวะสองชั้นพร้อมผู้ขับเสภาดังเสนาะหู ท่วงทำนองคุ้นหู อสุเรนทร์รวมถึงคนทั้งหมดต่างหันไปมองผู้แสดงอย่างรวดเร็ว
ทศกัณฐ์เกี๊ยวนางสีดา...ช่างเลือกมาเอาใจพี่นักนวลเจ้า
การปรากฏกายของผู้เล่นบทนางสีดาสร้างความตื่นตะลึงเหลือแสน หัวใจยักษาปวดหนึบทันทีที่นัยน์ตาหวานสบเข้ากับดวงตาของตน คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้พวกเขาจ้องมองกันและกันด้วยความหลงใหล อสุเรนทร์นึกถึงครั้งแรกที่เจอนางในป่า
พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดังเนตรมฤคินทร์ พิศทนต์ดังนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดังหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดังปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดังหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดังคอหงส์
พิศกรดังวงคชาพงศ์ พิศทรงดังเทพกินรา
พิศถันดังปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดังเลขา
พิศผิวผิวผ่องดังทองทา พิศจริตกิริยาจับใจ
แม้นกายมิสะโอดสะองเทียมอดีตชาติ หากข้ากลับหลงใหลเจ้า หลงรักเจ้ายิ่งกว่าเดิม พี่จักทำเช่นไรกับเจ้าดีหนาหากอสุเรนทร์ตกอยู่ในห้วงความรัก ราเมนทร์ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก เหมือนหัวใจอันเฉี่ยวเฉาถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์จากสวรรค์จนชุ่มชื่นเบ่งบาน หลังจากใช้เวลารอคอยมานานกว่าร้อยปี
“ศึกครานี้ เห็นทีข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันจริงจังเสียแล้วกระมัง”
อสุเรนทร์ยกยิ้มให้กับคำตอบของอีกฝ่าย ในเมื่อประกาศศึกกันเช่นนี้ เห็นทีเขาจะมัวแต่พิรี้พิไรเล่นอยู่ไม่ได้แล้ว
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตายเป็นตาย!“หึ อย่างกับข้าเห็นเจ้าเป็นอย่างอื่นนอกเสียจากศัตรู ในเมื่อเจ้าท้ามา ข้าก็น้อมรับ เตรียมใจยอมรับความแพ้ไว้ได้เลยราเมนทร์”
โอ้ยย มีความมันส์พะยะค่ะ เห็นเขาฉะกันเพื่อแย่งนายเอกแล้วบอกคำเดียว อยากให้มีคนมาแย่งเราแบบนี้บ้าง
้
เรื่องนี้ทั้งเรื่องจะมีกาพย์ กลอนเป็นส่วนประกอบเพื่อมเสริมอรรถรสในการอ่านให้ดียิ่งขึ้น
เราตั้งใจแต่งเรื่องนี้มาก ฉะนั้นขอกำลังใจหน่อยน้าา เพื่อปลุกปั้นพลังในตัวนักเขียน
โอเค เราจะไปปั่นต่อล่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
เจอกันใหม่คราวหน้าจ้า