ตอนเทพเสือโคร่งภูผา
บทที่สามสิบ
หลังจากที่หยางติง และหยางเจิ้นขุย เดินทางเข้าเมืองหลวง ท่านผู้เฒ่าหยางจงจินก็ถวายหนังสือขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายผู้แทนเมืองลั่วคนใหม่ และทูลลากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองลั่ว
สามวันถัดมาจึงมีพระราชโองการกำหนดวันให้เข้าเฝ้าฯได้
รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่กลับมามีอาการป่วยเป็นระยะตามคำล่ำลืออีกครั้ง ทำหน้าที่รับรองผู้เฒ่าหยางจงจิน หยางติงและหยางเจิ้นขุยเดินทางด้วยขบวนเกี้ยวผู้แทนเจ้าเมืองออกจากบ้านสกุลหยางเมืองลั่วตั้งแต่ช่วงสาย เข้ามาในวังหลวงเพื่อรายงานตัว และรับพระราชทานตราเครื่องหมายประจำตำแหน่งผู้แทนเมืองลั่ว ต่อหน้าผู้แทนจากเจ้าเมืองชั้นนอกทุกแห่งของเมืองหลวง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการก็นำทั้งสามกลับมาส่งที่บ้านพัก จากนั้นก็ส่งหยางจงจินกลับไปที่เมืองลั่ว
ขบวนรถม้าของหยางจงจินมิใช่ขบวนใหญ่ แต่ด้วยผู้เฒ่าอายุมากแล้ว การเดินทางจึงแวะหยุดพักไปตลอดทางและใช้เวลานานเป็น 2 เท่าของการเดินทางตามปกติ
ด้านเทพเสือโคร่งภูผามอบให้เสือโคร่งศิลาดำมาแจ้งหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว เป็นการล่วงหน้า ว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้เดินทางมาโดยลำพังเหมือนครั้งก่อน แต่จะมีทหารติดตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง
หยางหลงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้ จึงให้หยางเฉิงจัดเตรียมเหมาหอสุราไว้พร้อม แต่หยางไห่น้องเล็กนึกสนุกคิดจัดงานรื่นเริงขึ้น
"จะให้เป็นงานรื่นเริงอันใด" หยางหลงถามน้องชายคนเล็ก งานเทศกาลที่ใกล้จะมาถึงนี้ก็คือเทศกาลชมดาว
"ย่อมมิใช่เทศกาลชมดาว” น้องเล็กเดาะลิ้น “ท่านปู่หยางจะเดินทางมาถึงเมื่อใด เรากำหนดแน่นอนมิได้ ได้แต่คำนวณคร่าวๆ ไว้ แต่คาดว่าน่าจะหลังเทศกาลชมดาวไปแล้ว” เกริ่นนำยืดยาว จนหยางเฉิงหันไปเรียกคนรับใช้ให้เตรียมสุราร้อนให้สักกา
“มีเนื้อแพะสักจาน ก็จะดีอย่างยิ่ง” น้องเล็กยิ้มหน้าบาน
หยางเฉิงส่ายหน้าพลางโบกมือให้บ่าวไปจัดเตรียมตามที่สั่ง ครู่หนึ่งสุราร้อนก็ถูกยกมาเป็นลำดับแรก
การหารือเกี่ยวกับการจัดการรื่นเริงยังดำเนินต่อไป
“งานต้อนรับท่านปู่หยาง สมควรให้มีการแสดงดนตรี ละครเร่ พวกเขามาร่วมงานเทศกาลชมดาวอยู่แล้ว ก็เพียงบอกต่อว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีงานของท่านปู่ ในเวลาเดียวกันเราก็ให้กลุ่มฮูหยินช่วยกันจัดเตรียมของให้ท่านไปทำบุญที่วัดทุกแห่งในเมือง แล้วก็แจกทาน” หยางหลงที่มิถนัดเรื่องงานรื่นเริงคิดตามแล้วรู้สึกหัวหมุนมึนงงไปหมด “เพียงเท่านี้พวกคนติดตามท่านแม่เล็กมาด้วยก็มีเรื่องให้นำกลับไปกราบทูลแล้ว ว่าเมืองลั่วของเรามีความสุขมากขนาดไหน" สามพี่น้องสกุลหยางเรียกรองแม่ทัพเฉินอวี้ว่าท่านแม่เล็กจนเคยชินไปเสียแล้ว
“เราต้องปิดประกาศเรื่องงาน และการแจกทาน จำเป็นต้องมีกำหนดวันที่แน่ชัด มิเช่นนั้นพวกเขาจะมาค้างคืนรอกันยาวนาน หรือหากเดินทางมาหลังจากที่แจกไปแล้ว ก็จะถูกตำหนิเอาได้” หยางเฉิงท้วง
หยางหลงกล่าวเรียบๆ “เราแจกรอบแรกในวันถัดไปหลังจากที่ท่านปู่เล็กเดินทางมาถึง และอีกรอบหนึ่งในอีกเจ็ดวันถัดไปก็พอ”
“ส่วนพวกละครเร่ และการแสดงอื่นๆ ข้าจัดการเอง” หยางไห่ตบอกอาสา
“มิใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด” หยางเฉิงบ่นแล้วเทสุราร้อนอีกจอก
หยางหลงจิบสุราฟังน้องชายทั้งสองคนหารือกันเกี่ยวกับการจัดงาน แต่ในใจกลับคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนปมซ่อนอยู่
“แม่เล็กมาพร้อมกับทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่ง” หยางหลงกล่าวขึ้น “หรือจะเกี่ยวข้องกับเมืองเหออีกแล้ว”
น้องชายทั้งสองคนหันมาฟังพี่ใหญ่กล่าวคำ
“ฮ่องเต้ทราบเรื่องที่เมืองเหอหันไปผูกมิตรและทำการค้ากับพวกชนเผ่า ไม่แน่ว่าจะทรงทราบเรื่องที่เป็นผู้ว่าจ้างชนเผ่ามาลักลอบล่าสัตว์ป่า ที่ป่าสีทองด้วย"
“เรื่องพวกนั้น โดยเฉพาะการล่าสัตว์ป่า มิเห็นว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของพระองค์” หยางเฉิงแสดงความเห็น “การกระทำของเมืองเหอ มีผลต่อพวกเรามากกว่าพระองค์เสียอีก โดยเฉพาะพี่ใหญ่”
“นั่นสิ” น้องเล็กสนับสนุน “ถามไปถามมา พี่ใหญ่ก็รู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทุกอย่าง อย่างเรื่องของป่าสีทอง น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในป่าน่าจะไม่พอใจพี่ใหญ่ที่ไม่ได้หยุดพวกเมืองเหอมากกว่า”
หยางหลงใคร่ครวญ “ถ้าเป็นเรื่องของป่าสีทองท่านเทพเสือโคร่งภูผาจะเป็นผู้ลงมือเอง ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของเมืองเหอที่คิดไปดึงพวกนอกด่านเข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนไหว เพราะเวลาที่ท่านแม่เล็กได้รับราชโองการในทางลับให้ไปจัดการกับกบฎ หรือกลุ่มโจร ก็เคยใช้การเดินทางในลักษณะนี้"
สรุปคือสามพี่น้องไม่คิดว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้จะมาเพราะเรื่องป่าสีทอง
"เพราะพวกท่านลุงที่เมืองเหอหรือ" หยางไห่ส่ายหน้า "ก็ว่าจะไม่วิจารณ์พวกเขาแล้วนะ แต่ทั้งการลักลอบผูกมิตร และลักลอบทำการค้า หลีกเลี่ยงการส่งภาษีให้เมืองหลวง บ่อนทำลายเพื่อนบ้าน ทั้งหมดนั่นมันก็เกินไปจริง ๆ"
หลายปีมานี้ทางการส่งคนเข้ามาแทรกซึมเพื่อทำลายความสามัคคีของบรรดาหัวเมืองที่สนับสนุนเมืองเหอจนไม่น่าจะมีบทบาทอะไรอีก แต่การหันไปผูกมิตรกับบรรดาชนเผ่าก็อาจเป็นเรื่องที่ทำให้ฮ่องเต้หวาดระแวงจนถึงกับส่งรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินทางมาถึงที่นี่
แล้วผู้ที่รายงานเรื่องเหล่านี้จนถึงพระเนตรพระกรรณคือใคร
หยางเฉิงหันไปมองหน้าพี่ใหญ่ "หรือเป็นคนสกุลเหอในเมืองหลวง"
พูดกันมานานว่า ผู้แทนเมืองเหอที่อยู่ในเมืองหลวงด้วยความหวาดระแวงมานานหลายปี เพราะการก่อเหตุของเจ้าเมืองเหอคนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อมาถึงในวันหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตรอด
เมื่อหยางหลงถอนหายใจยาว น้องชายทั้งสองคนก็หันไปมองหน้ากันอย่างรู้ใจ
"กำลังเป็นห่วงผู้ใด" หยางเฉิงถาม
“ทุกคนนั่นแหละ ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น” เมื่อพี่ใหญ่ยอมรับ น้องชายทั้งสองคนก็พากันถอนหายใจตามไปด้วย
ทุกคนรวมถึงรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่นำครอบครัวของท่านปู่หยางจงจินกลับมาที่เมืองหลวง ที่ทำให้หยางหลงมีความกังวลใจอย่างยิ่ง
คนที่ไปรอรับขบวนของท่านผู้เฒ่าหยางจงจินแจ้งมาในรายงานว่า ขบวนของท่านผู้เฒ่าประกอบไปด้วยผู้ใดบ้าง แต่ในรายงานนี้ระบุว่ามีทหารมาด้วยห้าคนรวมรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
หยางเฉิงถึงกับมองหน้าพี่ใหญ่ด้วยความสงสัย
แล้วองครักษ์ที่เทพเสือโคร่งม่แจ้งล่วงหน้า ว่าเดินทางมาด้วยนั้นไปที่ใด
หรือมิได้ไปที่ใด แต่ลอบเดินทางมาด้วยในทางลับ ซึ่งไม่แน่ว่าในเวลานี้ทุกคนจะเดินทางมาถึงเมืองลั่วกันหมดแล้ว
สองคนพี่น้องพยักหน้าให้กัน ต่างคนต่างรู้ว่ามิควรเอ่ยปากแสดงความเห็นใดๆ ออกไป
การต้อนรับครอบครัวท่านปู่หยางเริ่มขึ้นตั้งแต่ปากทางเมืองลั่วที่ต้องเดินทางผ่านป่าสีทอง จากนั้นก็เดินทางช้า ๆ เข้ามาจนถึงตัวเมือง ซึ่งหลิวเพ่ยหลิงพาแฝดสามเมืองลั่ว ออกมารอพร้อมหน้าบรรดาฮูหยินและบุตรของหยางเฉิงและหยางไห่ กับสมาชิกในสกุลหยางทั้งหมด
พวกเด็ก ๆมิได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังอันใด เมื่อเห็นว่าในขบวนนอกจากท่านปู่ทวดหยางจงจิน และครอบครัวแล้ว ยังมีรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินทางมาด้วย หลังจากที่ทักทายผู้อาวุโสแล้ว ก็พากันมาทักทายท่านปู่เล็กเฉินอวี้ แต่ท่านปู่เล็กก็เพียงพยักหน้า หาได้อุ้มขึ้นมาโอบกอดเหมือนทุกครา ทำให้ทั้งหมดค่อย ๆ ถอยกลับมารวมกลุ่มและเดินตามขบวนใหญ่ไปยังบ้านพักหลังใหม่ที่จัดเตรียมไว้ให้ การทำความเคารพและแสดงความยินดียังคงดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่เนื่องจากผู้อาวุโสหลายคนในครอบครัวรออยู่ที่นี่ ต่างไต่ถามด้วยความคิดถึง เมื่อเห็นว่าท่านผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลมีความอ่อนล้า หยางหลงจึงขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน และแจ้งว่าในช่วงค่ำจะเดินทางไปเคารพบุรุษที่สุสานประจำตระกูล จากนั้นจะมีงานเลี้ยงที่หอชมจันทร์
เมื่อส่งท่านปู่เข้าไปพักผ่อนแล้ว หยางหลงจึงออกมาดูแลรองแม่ทัพเฉินอวี้และนายทหารผู้ติดตามกลุ่มใหญ่
หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว หาได้มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อพบว่า ทหารในชุดรัดกุมที่อยู่กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ในเวลานี้ หาใช่กลุ่มที่ให้ความคุ้มครองขบวนของผู้เฒ่าเดินเข้าเมือง
ส่วนน้องชายอีกสองคนก็หาได้ทักถามในเรื่องนี้
หยางไห่นั้นกำลังเคร่งเครียดเพราะไม่สามารถจัดหาห้องพักในโรงเตี๊ยมที่มีห้องพักมากกว่าสิบห้องให้กับทหารทั้งหมดได้ จำเป็นต้องให้แยกกันพักในโรงเตี๊ยมสองแห่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กัน
หากเป็นเมืองอื่นฝ่ายเจ้าเมืองอาจไล่แขกที่พักอยู่แล้วเหมาที่พักให้กับทหารของทางการกลุ่มนี้ แต่เพราะที่นี่คือเมืองลั่วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าบ้านจะไปไล่แขกที่พักอยู่ออกไป
สิ่งที่หยางไห่ทำก็คือสำรวจว่าโรงเตี๊ยมใดมีห้องว่างมากที่สุด มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดเพื่อรับรองแขก
"ขออภัยที่เมืองลั่วเป็นเมืองเล็ก โรงเตี๊ยมที่มีอยู่มีห้องว่างอยู่ไม่เพียงพอ"
นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของผู้เป็นเจ้าบ้านจริง ๆ
จะว่าอย่างไรดี ตอนที่คนที่ไปรอรับแจ้งมา หยางไห่ก็เหมาหอสุรา เตรียมห้องพักของโรงเตี๊ยมที่มีโรงม้าไว้ห้าห้อง แต่ในขณะที่งานเลี้ยงภายในบ้านพักกำลังดำเนินไป หันไปอีกทีเห็นทหารทยอยปรากฎตัวขึ้นทีละคนสองคนแล้วเข้ามาทำความเคารพรองแม่ทัพเฉินอวี้ หยางไห่ก็สั่งคนงานไปรวบรวมห้องพักที่ยังว่างอยู่เพื่อเตรียมพร้อมไว้
แต่เพราะมีการจัดงานใหญ่ คนจากเมืองอื่นก็เดินทางมาท่องเที่ยว และชมการแสดง ห้องพักจึงหาได้ยากยิ่ง
รองแม่ทัพเฉินอวี้เห็นหยางไห่กำลังวุ่นวาย จึงกล่าวขึ้น "พวกเราพักที่จวนเจ้าเมืองก็ได้"
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ” หยางหลงกล่าวด้วยความจริงใจ หยางไห่ประสานมือขอบคุณแล้วหันไปบอกคนรับใช้ให้ล่วงหน้าไปแจ้งที่จวนเจ้าเมืองเพื่อให้เตรียมห้องพัก
จวนเจ้าเมืองลั่วที่กล่าวถึงนี้ มีแต่นักบวชและบัณฑิตแวะเวียนมาพักที่เรือนหลังเล็กไม่ขาดสาย แต่เรือนหลังใหญ่สามหลังนั่นมิได้เปิดเรือนต้อนรับบุคคลสำคัญมานานหลายเดือน ถึงจะทำความสะอาดสม่ำเสมอ แต่ก็มีเรื่องให้ต้องจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้หลายอย่าง
บรรดาคนรับใช้และคนงานต่างช่วยกันเร่งมือทำงาน ทั้งโรงผ้า และโรงครัวต่างยุ่งกันหัวหมุน เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราวในวันนี้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วนำกลุ่มรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา ที่พัก สุรา น้ำชา อาหารก็พร้อมหมดแล้ว
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ออกมารวมกันอยู่ที่เรือนต้นบ๊วย
สุรา อาหารที่หยางหลงจัดมารับรองมีรสชาติดี สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน
รองแม่ทัพเฉินอวี้หันไปบอกกับหยางหลงว่า ทั้งหมดจะพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง และถามหลิวเพ่ยหลิงเกี่ยวกับการทำความสะอาด และเวลาในการจัดเตรียมอาหาร
เมื่อฮูหยินแจ้งให้ทราบว่าคนรับใช้จะเข้าไปทำความสะอาดก่อนเที่ยงวัน ส่วนเรื่องอาหารหากต้องการให้จัดเตรียมไปให้ที่เรือนรับรองก็สามารถทำได้
"ไม่ต้องจัดเตรียมอาหารให้พวกเรา" รองแม่ทัพเฉินอวี้บอก "ส่วนเรื่องทำความสะอาด ขอคนที่ไว้ใจได้ เพราะพวกเราจะไม่ได้กลับมาที่นี่ทุกวัน"
หยางหลงมีคำถาม แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ถามคำถามเหล่านั้น เพราะรองแม่ทัพเฉินอวี้จะมีทหารคอยติดตามอยู่ใกล้ ๆ อย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา
รองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า เข้าใจว่า หยางหลงมีความกังวลใจ “มีงานให้พวกเราต้องไปจัดการ ไม่สะดวกที่จะกล่าวคำ แต่จะจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว”
จนกระทั่งงานรื่นเริงคืนนั้นจบลง บรรดาทหารในชุดรัดกุมเหล่านั้นก็หายไปทางไหนไม่ทราบได้ เหลือเพียงรองแม่ทัพเฉินอวี้ กับทหารกลุ่มที่เดินทางร่วมขบวนมาจากเมืองหลวง ที่เดินกลับมาที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงกล่าวถึงเรื่องที่ยังคาใจ
"ท่านเจ้าเมืองมิต้องกังวลไป พวกเราจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย"
"แต่หากเกี่ยวข้องกับเมืองเหอ"
"เจ้านับท่านเจ้าเมืองเหอเป็นลุงของเจ้า แต่ทางฝ่ายนั้นนับเจ้าเป็นหลานหรือไม่" ในยามที่กล่าวคำรองแม่ทัพเฉินอวี้มีรังสีของการฆ่าฟันรุนแรงจนหยางหลงต้องก้าวถอย ขณะที่ทหารทั้งสี่นายกระชับดาบในมือเตรียมพร้อมรอฟังคำสั่ง "ยามนี้ดึกมากแล้ว ท่านเจ้าเมืองสมควรพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก"
"ท่านรองแม่ทัพ" หยางหลงพยายามอีกครั้ง "ไม่ว่าเขาจะคิดเห็นว่าข้าเป็นอย่างไร และที่ผ่านมาจะมีความขัดแย้งอย่างไร แม้ต้องสูญเสียเจิงเอ๋อร์ไป แต่สำหรับข้าแล้ว เขาก็คือลุงและญาติพี่น้องของข้า"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตบไหล่หยางหลงอีกครั้ง แล้วเดินผ่านไปที่เรือนรับรอง
"คนสกุลหยางเมืองลั่วนี่แปลกสมกับที่เขากล่าวกันไว้จริง ๆ" ทหารผู้ติดตามคนหนึ่งของรองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวขึ้น โดยเจตนาให้หยางหลงได้ยิน
เช้าวันถัดมารองแม่ทัพเฉินอวี้และบรรดานายทหารทั้งสี่นายยังคงเดินทางร่วมไปกับหยางจงจินและครอบครัวที่สุสานประจำตระกูล จนถึงการตระเวนทำบุญไหว้พระที่วัดหลายแห่ง แต่กลับมีท่าทีเป็นงานเป็นการ และห่างเหิน ขนาดแฝดสามที่คุ้นเคยกับผู้อื่นโดยง่ายยังไม่ยอมเข้าใกล้
หยางหลงคิดในแง่ดี ว่าเป็นเพราะแฝดสามมิได้พบกับท่านรองแม่ทัพเฉินอวี้มานาน
“จำท่านปู่เล็กได้หรือไม่”
แฝดสามพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
“แล้วเหตุใดไม่ทักทายท่านปู่เล็ก”
เพ่ยหลิงกล่าวแทนบุตร “เมื่อครั้งที่พบกัน แฝดสามเข้าไปทักแล้ว แต่ท่านแม่เล็กมิได้ทักตอบ หลังจากนั้นทั้งหมดก็อยู่ห่างจากท่านแม่เล็กเจ้าค่ะ”
หยางจินแฝดคนเล็กที่มีดวงตาสีทองกระตุกมือบิดาให้ก้มลงมาหา กระซิบถ้อยคำที่มีเพียงบิดาได้ยิน “ท่านปู่เล็กมีสีดำปรากฎอยู่ด้านหลัง”
“เหมี่ยนกับหมิงเห็นหรือไม่” บิดาหันมาถาม
“พี่ใหญ่ไม่เห็น แต่พี่รองเห็นเหมือนกัน”
“เช่นนั้นไว้รอหารือกับท่านพ่อกวาง ว่าต้องทำอย่างไร”
แต่การจะหารือกับลู่กวางทอง ก็มีแต่ต้องรอให้ลู่กวางทองแวะมาเท่านั้น
ในเช้าวันถัดมาเรือนรับรองทั้งสามหลังก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด จนถึงยามบ่ายหยางหมิงแฝดคนกลางผู้มีดวงตาสีทองก็ให้เสี่ยวเป่าพามาหาบิดาที่ศาลาว่าการ ขอให้บิดาเร่งเดินทางไปที่ชนเผ่านอกเมืองเหอ
หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ที่รู้สึกสังหรณ์ใจมาตั้งแต่เช้าสั่งให้คนงานเตรียมม้าเพื่อออกเดินทางในทันที แต่พอหยางเฉิง และหยางไห่รู้เรื่องก็เร่งติดตามมาด้วย
การเดินทางระหว่างสองเมืองนี้ใช้เวลานานหลายชั่วยาม แต่สามพี่น้องเร่งเดินทาง เมื่อมาถึงเมืองเหอก็พบว่าที่นั่นกำลังวุ่นวายด้วยเหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอ และเหอหลินจื้อหายตัวไป
สามพี่น้องจึงออกเดินทางต่อมายังชนเผ่านอกเมืองเหอตามที่หยางหมิงบอกไว้
แฝดสามเมืองลั่วย่อมไม่เคยเดินทางออกมาจากเมืองลั่ว แต่เมื่อบอกให้บิดาเร่งเดินทางมา บิดาก็เชื่อถือและทำตามในทันที
เพราะที่นี่คือชนเผ่าที่เหอชินห้าวลักลอบติดต่อกันในทางลับ!
เมื่อรวบรวมหัวเมืองทางเหนือเข้ามาเป็นพวกมิได้ เหอชินห้าวก็คิดผนวกชนเผ่าเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
ชนเผ่านี้ตั้งอยู่ในพื้นที่สูง กลิ่นคาวเลือดจึงถูกพัดพาไปไกล ภาพเหตุการณ์ขณะที่สามพี่น้องเดินทางมาถึงยิ่งน่าหวาดกลัว
ชายหลายคนสวมชุดดำยืนอยู่กลางลานด้านหน้าเผ่า
เหอชินห้าว กับเหอหลินจื้อถูกจับมัดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางลาน ใบหน้าซีดขาว
ด้านหน้าของพวกเขาคือร่างของผู้คนในชนเผ่า ซึ่งแต่ละร่างล้วนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย
ชายหนุ่มคนหนึ่งตวัดดาบลงที่คอของหัวหน้าชนเผ่า ศีรษะของหัวหน้าชนเผ่าหลุดลงจากบ่า กลิ้งไปหยุดอยู่แทบเท้าของเหอชินห้าว
แม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล แต่ก็จดจำผู้ที่ลงดาบบั่นคอผู้อื่นได้ในทันที
ส่วนบรรดานายทหารที่ยืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้คิดจะห้ามสามพี่น้องที่ควบม้าเข้ามาหาแล้วลงจากหลังม้า พุ่งตรงเข้าไปยืนขวางระหว่างพวกเหอชินห้าว กับรองแม่ทัพเฉินอวี้
ดวงตาแข็งกร้าวตวัดขึ้นมามองคนที่เพิ่งเข้ามาถึง จากนั้นก็ยกยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปมองร่างไร้ชีวิตที่อยู่รายล้อม
"ข้าจะฆ่าเขาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา และหากข้าจะฆ่าเขา ต่อให้เจ้ายกคนมาทั้งเมือง เจ้าก็หยุดข้าไม่ได้"
หยางหลงรู้ว่าคำกล่าวนั้นเป็นความจริง รองแม่ทัพเฉินอวี้และพรรคพวกลักพาเจ้าเมืองและน้องชายออกมาจากเมืองโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ จากนั้นก็สังหารคนทั้งชนเผ่าต่อหน้า
และหากพวกเขาจะสังหารคนอีกสอง หรือห้าคนก็ไม่ได้ทำให้ต้องยุ่งยากมากขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งสามคนพี่น้องไม่มีใครที่ดึงดาบออกจากฝัก เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาเป็นกบฎต่อทางการ แต่ล้วนอยู่ในการเตรียมพร้อม
หยางหลงก้าวออกมาข้างหน้ากล่าวคำแก้ต่าง "ที่ท่านเจ้าเมืองเหอสานสัมพันธ์กับชนเผ่าก็เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกัน และกลุ่มชนเผ่าต่างก็เป็นผู้รักอิสระอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า นี่เป็นการความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเข้มแข็งขึ้นมาคานอำนาจกับเมืองหลวง"
"หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเก็บถ้อยคำไว้" รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวเตือน โดยที่มิได้หันมามองหยางหลง
"ข้าไม่อาจเก็บถ้อยคำเมื่อพบการสังหารผู้คนนับร้อยเช่นนี้ได้ และยิ่งไม่อาจนิ่งเฉยที่ท่านลักพาตัวท่านลุงของพวกเรา"
เสียงหัวเราะขบขันของทหารที่อยู่ในที่นั้นช่างเสียดแทงจิตใจ
หยางหลงย่อมรู้ดีว่า วรยุทธ์ของพวกตนสามคนพี่น้องหากพบเจอกับรองแม่ทัพเฉินอวี้เพียงคนเดียว ยังอาจเป็นฝ่ายได้ชัย แต่หากรวมกับบรรดานายทหารจากวังหลวงทั้งกลุ่มนี้ เขามองไม่เห็นโอกาสที่จะเป็นฝ่ายชนะได้เลย
"หากท่านเห็นว่าพวกเขาทำไม่ถูกต้อง วิธีการของพวกท่านยิ่งไม่ถูกต้องมากกว่า เขตชนเผ่านี้ถือเป็นรอยต่อของอาณาจักรไท่ชาง ท่าน..."
รองแม่ทัพเฉินอวี้ขัดขึ้นก่อนที่หยางหลงจะกล่าวจบ "สรุปคือเจ้าจะสั่งสอนข้าเรื่องการปกครอง" ดวงตาแข็งกร้าวหันไปมองเหอชินห้าว "สอนลุงของเจ้าก่อนดีหรือไม่ เพราะสำหรับพวกเราแล้ว ผู้ที่ท้าทายพระราชอำนาจ ต่อให้มันหนีไปอยู่ในนรก เราก็จะตามไปจัดการให้แน่แก่ใจว่ามันตกอยู่ในกองไฟ และเหลืออยู่เพียงเถ้าถ่านแล้วเท่านั้น"
"ท่านไม่มีหลักฐานเอาผิดท่านลุง จึงเลือกใช้การสังหารคนทั้งเผ่าเพื่อข่มขู่" หยางหลงทิ้งไพ่ตาย และเมื่อเห็นสายตาของรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่มองมาก็แน่ใจว่าที่คิดไว้นั้นถูกต้อง "เมื่อท่านทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ข้าขอรับตัวพวกเขากลับไป"
หยางหลงหันไปหยางเฉิงและหยางไห่ที่กำลังแก้มัดให้กับเหอชินห้าวและเหอหลินจื้อ
รองแม่ทัพเฉินอวี้และทหารทั้งหมดไม่ได้ห้ามการกระทำของสามพี่น้อง แต่กลับตั้งคำถาม
"เจ้าลืมความสูญเสียไปแล้วหรือ"
"ข้าไม่ได้ลืม แต่ความสูญเสียและการชดใช้ต้องรู้จักจุดที่จะสิ้นสุด ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ตอกย้ำอยู่ในเรื่องเมื่อวาน" เมื่อหันไปก็เห็นว่าหยางเฉิงแบกเจ้าเมืองเหอขึ้นหลัง ส่วนหยางไห่กำลังพยุงเหอหลินจื้อ จึงประสานมือเพื่ออำลา" ในเมื่อเรื่องราวที่นี่จบลงแล้ว ข้าขอรับท่านลุงทั้งสองกลับไป"
"รู้ได้อย่างไรว่าจบลงแล้ว"
หยางหลงมิได้ตอบคำถาม แต่พยักหน้าไปทางด้านหลัง
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้รู้ตัวเลยว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อหันมาเห็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง กำลังเดินเข้ามาหา
ว่าที่จริงหยางหลงสมควรรีบพาคนออกไปจากที่นี้ แต่ก็กลับพยักหน้าให้น้องชายทั้งสองคนพาท่านลุงออกไปก่อน ส่วนตนเองยังรั้งรออยู่ต่อ
ดวงตาของเทพเสือโคร่งภูผาที่มองมายังรองแม่ทัพเฉินอวี้เต็มไปด้วยความปวดร้าวใจเป็นอย่างยิ่ง
"ที่ข้าได้กลิ่นคาวเลือดจากเจ้า มิใช่เพราะเจ้าปกป้องคน แต่เพราะเจ้าสังหารคนมากมายถึงเพียงนี้ อวี้เอ๋อร์ ความยิ่งใหญ่หาได้เกิดจากการยืนอยู่เหนือศพของผู้อื่น ข้าไม่ได้รักษาชีวิตเจ้าเพื่อให้ไปฆ่าใคร" คนรูปร่างสูงใหญ่หันไปสั่งหยางหลง "กลับไปดูลุงของเจ้าที่เมืองเหอ"
"ท่านเทพขอรับ" หยางหลงห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งที่เมื่อครู่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ แต่ยามนี้กลับอยากออกหน้ารับแทน "นี่เป็น..."
"เจ้าเมืองลั่ว ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวอย่างเด็ดขาด จนหยางหลงต้องไปขึ้นม้าแล้วออกเดินทางตามน้องชายทั้งสองกลับไป
เทพเสือโคร่งภูผากวาดตามองศพที่กระจัดกระจายอยู่รายรอบ อีกไม่นานทั้งนกแร้งและสัตว์ป่าจะตามกลิ่นเลือดเข้ามาที่นี่
"มนุษย์นั้นโหดร้าย แต่มนุษย์ที่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน โดยไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในใจสักนิดคือมนุษย์ที่โหดร้าย และเลวร้ายที่สุด"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตัวชาได้แต่มองตามหลังคนที่เดินจากไป
สายลมเย็นเสียดแทงลึกเข้าไปถึงกระดูก ทั้งเหน็บหนาวและเย็นยะเยือกถึงหัวใจ
แต่เพราะภาระหน้าที่ในที่นี้ยังไม่หมดลงจึงหันไปสั่งให้ทหารใช้ยาสลายกระดูกทำลายศพเหล่านี้
ในอีกชั่วยามถัดมา หมู่บ้านชนเผ่าแห่งนี้ก็กลายเป็นชนเผ่าร้าง และเหลือเพียงหยดเลือดจาง ๆ อยู่ทั่วไป ซึ่งจางหายไปในอีกหลายวันถัดมา
แต่กลิ่นของความตายที่ยังคงอยู่อีกนานนับเดือน
เมื่อหยางหลงติดตามมาถึงจวนเจ้าเมืองเหอ จึงทราบว่า เหอหลินจื้อก็ยังพักผ่อนอยู่ที่จวนเจ้าเมือง
เมืองเหอเคลื่อนไหวเพื่อที่จะต่อต้านฮ่องเต้มานานนับสิบปี รับรู้ข่าวเรื่องการปราบปรามผู้ต่อต้านฮ่องเต้มาก็มาก แต่เพิ่งได้พบกับการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงตระหนักว่าอาจถูกสังหารทั้งตระกูลเป็นกลุ่มต่อไป
"เจ้าเมืองลั่ว" เป็นคราแรกที่เหอชินห้าวเรียกหยางหลงเช่นนี้ "นี่เท่ากับฮ่องเต้นั่นทรงกำลังบีบคั้นให้พวกเราต้องเลือก"
หยางหลงยังคงกล่าวอธิบายแบบคนใจเย็น ว่าฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องการเคลื่อนไหวของเจ้าเมืองเหอมานานหลายปีแล้ว และทรงไม่ปิดบังการรู้เท่าทันด้วยการสร้างแรงกดดันผ่านผู้แทนเมืองเหอที่อยู่ในเมืองหลวง จนมาถึงการที่เหอชินรุ่ยผู้เป็นมารดาของพวกตนเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับหยางติง และหยางเจิ้นขุย แล้วให้ท่านผู้เฒ่าหยางจงจินกลับมาพักผ่อนที่บ้านเกิด แต่เมื่อทั้งหมดนี้ไม่มีผลให้เหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอเปลี่ยนใจ จึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีการข่มขู่โดยตรง
"ข้ากลับคิดว่า ทรงมีหลักฐานการเคลื่อนไหวของท่านอย่างชัดเจน แต่ที่ไม่ส่งทหารเข้ามาปราบปรามโดยตรง แล้วทรงเลือกที่จะข่มขู่เช่นนี้ น่าจะมีเหตุผลบางอย่าง" ก่อนที่เหอชินห้าวจะคิดไปว่าเมืองหลวงหวั่นเกรงอำนาจของเมืองเหอ หยางหลงก็กล่าวขึ้นก่อน "เราต่างก็รู้ดีว่า ทรงประหารผู้ที่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ไปมากมาย หากจะประหารอีกสักสิบหรือห้าสิบคนมิใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี พระองค์อาจจะรู้สึกพอพระทัยกับการทรมานศัตรูของพระองค์ก็เป็นได้"
(มีต่อครับ)