ภาคกวางทอง
บทที่หก
การส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองลั่วนั้นเรียบง่าย เป็นเพียงการทำบุญ ทำทาน จากนั้นหยางหลงก็สวมเสื้อชุดใหม่ไปทำงานที่ศาลาว่าการเมือง
จากเดิมหยางหลงก็ทำงานแทนบิดาที่ศาลาว่าการเมืองควบคู่ไปกับกิจการของครอบครัว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มตัวเช่นนี้ หยางหลงก็พบว่าการทำงานในฐานะเจ้าเมืองลั่วช่างตึงเครียด และเป็นงานที่หนักอย่างยิ่ง
สาเหตุสำคัญก็คือหยางติงที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนบุตรชาย กลับพาลู่ไปเล่นอยู่ที่เรือนของหยางไห่ตั้งแต่เช้า
ว่าที่จริงหยางหลงก็ไม่ได้คิดที่จะปรึกษาหารืองานราชการกับหยางติงในเวลานี้ เพราะเมืองลั่วใช้การสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองผ่านตระกูลใหญ่ ไม่ใช่การแต่งตั้งจากเมืองหลวง แต่การที่หยางติงแสดงออกเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกเครียด และเข้าใจความรู้สึกของมารดาอยู่มิใช่น้อย
ความเป็นอยู่ของผู้ปกครองเมืองลั่วก็ช่างเรียบง่าย เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน หลิวเพ่ยหลิงจะนำอาหารกลางวันมาให้ทั้งบิดาของสามี และสามี แต่เมื่อวันนี้สามีกลายเป็นเจ้าเมือง ส่วนบิดาสามีก็ไปบ้านหยางไห่ นางจึงเตรียมไว้ให้สามีเท่านั้น
หลังมื้ออาหารผ่านไป นางจึงเล่าเรื่องที่ฮูหยินหกของหยางเฉิงมาพบกับมารดาสามีที่เรือนหลังใหญ่ ครานี้มีการพูดคุยกันอยู่นานจึงได้กลับไป ส่วนมารดาไม่ได้ออกจากเรือนมาตั้งแต่เช้า
หยางหลงไม่ได้ซักถามเพิ่มเติม ขณะที่หลิวเพ่ยหลิงก็ไม่ใช่คนคุยเก่ง เมื่อนางเล่าในเรื่องที่สามีมอบหมายไว้เสร็จสิ้นก็รายงานต่อเรื่องการเรียนของหยางเจิ้นเจียง และหยางเจิ้นขุย
เป็นความสัมพันธ์ที่ช่างเป็นการเป็นงาน ที่ทำให้เจ้าพนักงานหลายคนในศาลาว่าการเมืองรู้สึกสงสัย
...ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี แต่การที่ฮูหยินมาส่งอาหารกลางวัน แล้วก็รายงานเรื่องราวต่าง ๆ เช่นนี้ ช่างดูห่างเหิน...
จากนั้นเมื่อหยางหลงเตรียมตัวจะกลับไปทำงานต่อในช่วงบ่าย หลิวเพ่ยหลิงจึงเตรียมตัวกลับไปที่จวนเช่นกัน
เวลานั้นเองที่หยางติง หยางไห่ และลู่ กลับมาที่ศาลาว่าการเมือง
หยางติงอดีตเจ้าเมืองลั่ว บอกว่าที่กลับมาก็เพราะเพ่ยเพ่ยหลานสาวตัวน้อยจะนอนพักหลังอาหารมื้อกลางวัน แต่ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มยังไม่อยากพาคนที่อายุน้อยที่สุดกลับไปจวนเจ้าเมือง จึงพากันกลับมาที่ศาลาว่าการเมือง
"แล้วคนนี้เล่า ไม่นอนหลังอาหารกลางวันหรือ" หยางหลงถามพลางโอบเอวลู่เข้ามานั่งตัก
ดูท่าว่าหยางติงจะพักอยู่ที่นี่อีกหลายชั่วยาม หลิวเพ่ยหลิงจึงเรียกเซียงเซียงให้กลับไปนำน้ำผลไม้ และของหวานมาจากห้องครัวของจวนเจ้าเมือง
"เหนื่อยไหม" หยางหลงถาม
"ไม่หรอก สนุกดี"
"กินของว่างเสร็จแล้วนอนพักไหม" หลิวเพ่ยหลิงช่างเอาใจ แม้บุตรชายของตนจะเล็กกว่าลู่ แต่ก็ไม่ได้นอนกลางวันมาหลายปีแล้ว
เด็กเสี่ยวเป่าชิงตอบ "คุณชายลู่เล่นทั้งวัน แต่ไม่เห็นบ่นง่วงหรือเหนื่อยเลยสักครั้ง"
ลู่แกล้งหันมาแหย่ "เมื่อคืนเจ้าหลับทั้งขนมยังอยู่ที่มือ"
เสี่ยวเป่าเสียงอ่อย "เมื่อวานไปที่นั่นที่นี่ทั้งวัน เหนื่อยจะแย่"
หลิวเพ่ยหลิงหันมาตีแขนของเสี่ยวเป่าเบา ๆ แต่เจ้าตัวกลับแสร้งส่งเสียงร้องโวยวายราวกับถูกทุบตีด้วยไม้หน้าสามก็มิปาน
"ดูเถอะ หน้ามิอายจริงเชียว" หลิวเพ่ยหลิงบ่นยิ้ม ๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะให้กับความวุ่นวายของเสี่ยวเป่า หยางไห่ก็หันไปกล่าวกับหยางหลงว่า รอเพ่ยเพ่ยตื่นในช่วงบ่าย ฮูหยินจะพาบุตรสาวมาหาท่านย่าที่จวนเจ้าเมือง
"เห็นว่าช่วงนี้อารมณ์ไม่ดี จนใครก็เข้าหน้าไม่ติดหรือ"
หยางหลงไม่ตอบ เพียงชี้ไปที่หลิวเพ่ยหลิง ที่พยักหน้ายอมรับ
การยกเรื่องของเหอชินรุ่ยขึ้นมากล่าวถึง กลับเรียกความเงียบเข้ามาปกคลุม หยางหลงจึงเปลี่ยนเรื่องหันมาถามหยางไห่
"วันนี้พบเจ้ารองหรือยัง"
"ยัง เมื่อวานบอกว่าจะออกไปที่หมู่บ้านสายฝนใกล้ ๆนี่มิใช่หรือ เดี๋ยวก็คงมา"
หลิวเพ่ยหลิงรีบชวนคุยต่อ "เห็นว่าจะไปถามหาสมุนไพรที่จะมอบเป็นของฝากให้กับท่านเจ้าเมืองเหอ และท่านลุงเหอเจ้าค่ะ"
"ดูให้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไป" หยางติงบอก จากนั้นขอตัวขึ้นไปนอนพักที่ห้องรับรองด้านบนของศาลาว่าการเมือง
เมื่อหยางติงกลับมาถึงเรือนพักหลังใหญ่ในค่ำวันนั้น หลังจากที่ล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมเข้านอน เหอชินรุ่ยซึ่งพักอยู่ในห้องนอนติดกันก็เดินเข้ามาในห้องนอนของหยางติง
"อีกห้าวันท่านพี่รองกับพวกแม่ทัพคงมาถึง" นางกล่าวขึ้นก่อน
หยางติงพยักหน้ารับ
"วันนี้ข้าไปเลือกของไว้หลายชิ้น เพื่อมอบเป็นของกำนัลให้กับท่านเจ้าเมืองเหอ และพวกเขาด้วย ท่านจะตรวจดูก่อนหรือไม่"
"หากเจ้าเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ข้าก็ไม่ขัดข้อง"
หยางติงดึงมือฮูหยินมานั่งข้างกันเพราะคิดจะชวนคุยเรื่องของกำนัล แต่ฮูหยินกลับพูดถึงเรื่องที่รบกวนใจมาตลอดวัน
"หลายวันมานี้ ท่านหลบหน้าข้ามาตลอด สาเหตุเพราะเรื่องใดเราต่างก็รู้ดี" ยามนี้เหอชินรุ่ยเป็นดั่งคนละคนกับที่ไปโวยวายเรื่องการเจรจาถึงเรือนรับรองเมื่อวันก่อน "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น เพียงแต่ข้ามีเรื่องสงสัยบางอย่าง" นางก้มหน้ามองมือตนเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองตาสามี "เด็กคนนั้นเป็นใคร"
ไม่จำเป็นต้องวางท่าไม่รู้ว่าภรรยากำลังถามถึงผู้ใด
"คุณชายลู่ เป็นผู้ที่มาจากป่าสีทอง" เมื่อฮูหยินไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง หยางติงจึงต้องตัดคำกล่าวเรื่องเทพออกไป มิคาด นางยังคงถามไปถึงเรื่องที่พยายามหลีกเลี่ยง
"เขาอยู่กับใครที่นั่น"
"ก็...อยู่กับมารดาของเขา"
"แล้วบิดาของเขาเล่า"
"ก็....แยกกันอยู่กับมารดา"
"คงมีเหตุจำเป็นใช่หรือไม่"
"คงเป็นเช่นนั้น"
"เขามิได้มาจากเมืองหลวงแน่นะ"
"ไม่หรอก เขาอยู่ที่ป่าสีทองนี่เอง" หยางติงกล่าวย้ำ
เหอชินรุ่ยกัดริมฝีปากครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวขึ้น "เช่นนั้น เขาคือคนสำคัญของท่านใช่หรือไม่"
"ย่อมเป็นเช่นนั้น"
"พวกลูก ๆ ก็ยอมรับว่าเขาสำคัญเช่นกันสินะ"
"น่าจะเรียกว่าพวกเขาก็เข้ากันได้ดี"
"เข้ากันได้ดี ไม่เหมือนกับสำคัญ"
"ก็..." หยางติงหงายมือ "พวกเขาก็ยอมรับ ให้การต้อนรับด้วยดี ดูแลดี ลูกหลงที่เป็นพี่ใหญ่ก็เอาใจใส่ดี กับลูกเฉิงก็ดี ยิ่งกับเจ้าไห่นั่นยิ่งคุยกันถูกคอ หรือกับบรรดาหลาน ๆ ข้าก็เห็นว่าเล่นด้วยกันได้ดี ดูสนิทกับเจิงเอ๋อร์ของหยางหลงเป็นพิเศษ ไม่มีปัญหาขัดแย้งอันใด แต่ถ้าสำคัญไหมอย่างที่เจ้าถาม ข้าก็คิดว่า ไม่ได้ถึงขนาดยกย่องว่าเป็นคนสำคัญ แต่พวกเขาเข้ากันได้ดี ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องที่ขัดใจกัน"
หลายคราที่หยางติงก็สงสัยตนเอง ว่าเหตุใดการพูดจากับฮูหยินถึงต้องอธิบายอย่างยืดยาว และใช้ความระมัดระวังคำพูดถึงเพียงนี้
"น้องหญิง เจ้าจะคาดคั้นในเรื่องนี้ไปเพื่ออันใด หากเจ้ามีความไม่สบายใจที่เขามาอยู่ด้วยก็ขอให้คิดว่า เขามาอยู่ด้วยเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เพราะแม่เขาคงไม่ยอมให้ลูกของเขาแยกไปนาน"
"แต่เขาก็มากับลูกหลง"
"เขาหนีแม่มา" หยางติงเชื่อมั่นว่า เรื่องนี้คุยกับภรรยาไปแล้วหลายครา "ฮูหยิน เจ้ากังวลเรื่องใดอยู่ บอกกับข้าตามตรงเถิด"
"ได้" ดวงตาของเหอชินรุ่ยร้อนผ่าว เมื่อจะกล่าวคำต่อไป "เขาเป็นบุตรของท่านหรือไม่"
"ย่อมมิใช่" หยางติงผุดลุกขึ้นทันที "จะเป็นไปได้อย่างไร"
"แล้วเขาเป็นใคร ทำไมถึงไปอยู่กับแม่ที่ป่าสีทอง ท่านให้พวกเขาไปหลบซ่อนอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่"
"ไปกันใหญ่แล้ว" ชายสูงวัยแทบทึ้งผมตัวเองให้หมดศีรษะ "ข้าบอกต่อเจ้าตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นเทพแห่งป่าสีทอง แต่เจ้าก็มิยอมเชื่อ บอกว่า เขาอยู่ที่นั่นเจ้าก็พาลคิดมากต่อไปอีก ข้าอับจนปัญญามิรู้ว่าจะอธิบายต่อเจ้าอย่างไรแล้ว"
"ก็เพราะเรื่องเทพแห่งป่าสีทองนั่นไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเพียงนิทานก่อนนอนของเด็ก ๆ ที่มีแต่ชาวเมืองลั่วที่งมงายไร้เหตุผล และคิดว่ามันคือเรื่องจริง"
หยางติงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโอบกอดฮูหยินไว้ "ตามใจเจ้า เจ้าจะไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทองก็ได้ แต่ขอให้เชื่อว่า คุณชายลู่ไม่ใช่ลูกของข้า ข้าไม่มีวาสนายิ่งใหญ่เช่นนั้น ฮูหยินที่รักของข้าอย่าได้คิดระแวงเรื่องนี้ ชั่วชีวิตของข้า ข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น"
เหอชินรุ่ยเพียงพยักหน้ากับอ้อมอกของสามี จากนั้นจึงแยกกลับไปนอนที่ห้องพักของนางเอง
....สิ่งที่สามีอธิบายอย่างยืดยาว และจริงจัง กลับเป็นสายลมที่พัดผ่านหูไปอีกครา...
ยังคงเป็นเวลาที่ดึกแล้วที่หยางหลงผลักเปิดประตูเรือนรับรองดอกโบตั๋น แต่ครานี้พบว่ามีเพียงลู่ที่กำลังดูหนังสือภาพที่หยางไห่มอบให้
"เสี่ยวเป่าไปไหนอีกแล้วละ" หยางหลงถามขึ้น
"ไปเอาขนม" ลู่ยิ้มตอบ "เดี๋ยวก็มา"
"ง่วงนอนหรือยัง"
ลู่ส่ายหน้า "ท่านง่วงแล้วหรือ"
"ยัง" หยางหลงตอบพลางก้มลงจูบที่ริมฝีปากสวย แล้วนั่งลงข้าง ๆ
ลู่เพียงอมยิ้ม ขณะที่มองดูสมุดภาพที่วางอยู่ ไม่ได้มีท่าทีเขินอาย แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉย เป็นการรับรู้ที่อยู่ในระดับที่พอดี
"นี่คือเมืองหลวงหรือ"
"ใช่" หยางหลงตอบทั้งที่มองแต่ใบหน้าของคนถาม
"ผู้คนสวยงาม แต่งกายก็สวยงาม บ้านเรือนก็สวยงามด้วย"
"ในภาพวาด เขาย่อมเขียนออกมาให้มันสวยงาม แต่ความงามที่แท้จริงมันอยู่ที่เราพึงพอใจต่างหาก"
"ท่านหลงเป็นกวี" ลู่ตอบแล้วหัวเราะคิกคัก
เสี่ยวเป่าที่กลับเข้ามาพร้อมกับขนม 2 ถ้วยใหญ่ ได้ยินตอนท้ายก็ถามขึ้น
"ผู้ใดเป็นกวี"
"ท่านหลงไง ท่านหลงเป็นกวี" ลู่หันไปตอบ แล้วขมวดคิ้วมองถ้วยขนม "นั่นมีเนื้อสัตว์ด้วยหรือ"
"มีขอรับ ไส้ปลาสับน่ะ" เสี่ยวเป่าตอบเสียงอ่อย "แต่มันอร่อยมากเลยนะ"
ลู่ไม่กิน และไม่ได้ห้ามเสี่ยวเป่ากิน แต่ชี้นิ้วให้ไปกินที่มุมห้อง
"กินอิ่มแล้ว ไปล้างปากแล้วตามขึ้นไปนอนก็แล้วกัน"
"นายท่านกินไหม" เสี่ยวเป่ายังมีน้ำใจชวนผู้ใหญ่ "อ๊ะ ไม่ใช่สิ ท่านเจ้าเมืองกินไหมขอรับ"
หยางหลงยิ้มขำ บอกให้เด็กตัวกลมกินขนมต่อไป ส่วนตนเองช่วยลู่เก็บของแล้วพาเดินขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบน
เมื่อลู่ล้มตัวลงนอน หยางหลงนั่งลงบนเตียงพลางห่มผ้าให้ แล้วก้มลงจูบปาก ลู่ลดเสียงกระซิบถาม
"ท่านชอบทำแบบนี้หรือ"
"ข้าชอบทำแบบนี้ก็เฉพาะกับเจ้าเท่านั้น"
"มัน...เป็นอย่างไร"
"มันคือความรู้สึกที่ว่า แม้จะรู้ทั้งรู้เจ้าอยู่สูงยิ่งนัก มีเวลาได้พบกันน้อยยิ่งนัก แต่ก็มิอาจห้ามใจ อยากใช้ทุกวันเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ก็กังวลว่าเจ้าจะคิดว่าข้าไม่จริงใจ"
"อันที่จริง ข้าพอจะอ่านความรู้สึกบางอย่างได้ แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องที่ท่านจริงใจหรือไม่ คิดว่าพอจะรับรู้ได้ แต่ยังมีเรื่องที่ไม่รู้มากมายยิ่งนัก สมควรแล้วที่ไม่มีใครเชื่อว่าข้ามาจากป่าสีทอง"
หยางหลงก้มลงจูบหน้าผาก "เจ้ายังเด็กอยู่ ส่วนเรื่องการฝึกฝนให้มากก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ไม่ว่าจะเทพหรือคน"
"ท่านหลง"
"หืม"
"ข้าไม่เข้าใจเรื่องความกังวลของท่านหรอกนะ และข้าเองก็มีเรื่องที่สงสัย แต่ก็ช่างมันเถิดวันหนึ่งก็คงได้คำตอบเอง แล้วอย่าลืมว่า ข้าได้ยินเสียงของท่านมาก่อนหน้านี้ ความตั้งใจดีของท่าน เจตนาที่จะทำเพื่อส่วนรวม ทั้งที่ต้องขัดแย้งกับบุพการีน่ะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะ" น้ำเสียงของคนพูดเริ่มงัวเงีย "อีกอย่างนะ ท่านพ่อของข้าเคยบอกไว้ เวลาเจอคนที่ใช่น่ะไม่ต้องใช้เวลาอะไรมากมายหรอก ถ้าใช่ก็คือใช่เท่านั้นเอง"
หยางหลงยิ้มขำให้กับประโยคที่บ่งบอกถึงความไม่ยึดถือจริงจังของอีกฝ่าย
"ทำไมท่านชอบหัวเราะเวลาที่ข้าพูด"
"เป็นที่เสียงของเจ้า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่แต่ก็กลับรู้สึกว่ามิใช่เรื่องใหญ่ ทำให้ข้าอดหัวเราะมิได้"
"โธ่ นี่ข้ากำลังจริงจังมากเลยนะ" คนพูดทำแก้มพอง
"ก็เพราะรู้ว่าเจ้ากำลังจริงจัง แต่เมื่อเป็นน้ำเสียงแบบนี้ข้าก็เลยขำ ขอโทษด้วย" หยางหลงบีบจมูกอีกฝ่ายเบา ๆ "หลับได้แล้ว"
ลู่ทำปากยื่นแล้วหลับตาลง หยางหลงก้มลงจูบหน้าผากสวย ก็พอดีกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นบันไดมา จากนั้นเสี่ยวเป่าก็ค่อย ๆแง้มประตูห้องนอน
หยางหลงหันมายิ้มให้ รอจนเสี่ยวเป่าล้มตัวลงนอน จึงกลับออกไป
เรื่องราวในแต่ละวันจากนั้น คือการที่หยางติงพาลู่ไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ของเมืองลั่ว ไม่ว่าจะเป็นวัด ตลาด จนถึงการเยี่ยมเยียนสหายเก่าที่ล้วนเป็นผู้คบหากันมาอย่างยาวนาน ทุกคนต่างแสดงออกต่อลู่เหมือนการต้อนรับผู้มีพระคุณ หาใช่การยกย่องจนสูงส่ง แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเป็นวัยรุ่นผู้หนึ่ง ซึ่งทำให้ลู่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกับในแต่ละวันจะมีผู้แทนจากหลายเมืองที่ทยอยส่งหนังสือรับทราบเรื่องการเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองมาพร้อมของกำนัล แต่ผู้แทนส่วนใหญ่จะเลือกพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองที่รายล้อมไปด้วยสถานบันเทิง แล้วเดินทางกลับไปพร้อมกับของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่าที่นำมามอบให้
เช้าของวันหนึ่ง ก่อนที่คณะผู้แทนของเมืองเหอจะมาถึง จวนเจ้าเมืองกลับมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เมื่อเลขาส่วนตัวของเหอหลินจื้อนำกลุ่มคนรับใช้นับสิบคนของเมืองเหอล่วงหน้ามาจัดเตรียมที่พักให้เจ้านาย และประกาศว่า พวกเขาต้องการเรือนรับรองโบตั๋นเป็นที่พำนักของท่านเหอหลินจื้อ ผู้แทนเมืองเหอ โดยอ้างว่าทุกครั้งที่มาพักจะพักที่เรือนหลังนี้ นอกจากนี้ยังต้องการเรือนรับรองอีกสามหลังที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
เรื่องที่ต้องการอีกสามหลังนั้นมิใช่ปัญหา เพราะหลิวเพ่ยหลิงตระเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ด้วยทราบดีว่าคณะของเมืองเหอจะเป็นคณะใหญ่ และต้องการความสะดวกสบายเช่นใดบ้าง แต่เพราะครานี้เรือนโบตั๋นจัดให้ลู่พักอยู่ก่อนหน้ามาแล้วหลายคืน การจะให้ย้ายออกเพื่อต้อนรับคนที่เดินทางมาถึงทีหลัง ให้อย่างไรก็ดูไม่เข้าที
ย้อนไปก่อนหน้าที่จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ หยางติงเพิ่งสั่งให้เสี่ยวเป่าพาลู่ไปที่ห้องสมุดเพื่อฝากไว้กับท่านอาจารย์ตั้งแต่เช้า ส่วนตนเองหนีไปอยู่ที่ศาลาว่าการเมือง ทำเป็นช่วยงานของหยางหลง รอจนกระทั่งเลขาของเหอหลินจื้อมาถึง หยางติงก็เพียงแค่คาดคะเนเวลา ที่หลิวเพ่ยหลิงจะต้องกำลังหนักใจ และเหอชินรุ่ยจะต้องเข้ามาแทรกแซงจัดการ จึงได้เดินช้า ๆ จากศาลาว่าการเมืองกลับมาที่จวนเจ้าเมืองแล้วทำหน้าที่คนกลาง
"เกิดเรื่องอันใดขึ้น" สีหน้าท่าทางของนายท่านหยาง อดีตเจ้าเมืองลั่วยามนี้ช่างสุขุมยิ่งนัก
เหอชินรุ่ยเป็นผู้ที่ออกหน้ารับแทนกลุ่มคนของเมืองเหอตามที่คาดคิดไว้ บอกว่าท่านลุงเหอต้องการเรือนรับรองหลังใหญ่ หยางติงจึงกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ
"จริงอยู่ที่เรือนโบตั๋น เป็นเรือนรับรองหลังใหญ่ที่สุด และท่านพี่รองก็พักที่นี่เสมอ แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นการหมิ่นเกียรติของท่านพี่รองมากไปสักนิดหรือ ที่ไปแย่งชิงที่พักกับเด็กผู้หนึ่ง"
ที่จริงเรื่องนี้เหอชินรุ่ย ก็เห็นด้วยกับสามีที่ว่าจะแย่งที่พักกับเด็กไปเพื่ออะไร ทั้งนางเองยังเป็นผู้ที่บอกไปด้วยว่า ได้ตระเตรียมที่พักอีกสี่หลังที่อยู่ถัดไปไว้พร้อมแล้ว
เพียงแต่เรื่องประหลาดกลับเกิดขึ้นในทันทีที่หยางติงออกปากยืนอยู่ข้างคุณชายลู่ ต่อหน้าคนจากเมืองเหอ
เหอชินรุ่ยเชิดคางขึ้นสูงแล้วเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเมืองเหอ แย่งชิงเรือนหลังใหญ่ให้กับพี่ชายในทันที
"ท่านพี่รองชอบเรือนรับรองหลังนี้ ท่านเองก็บอกว่า เด็กนั่นมิได้เป็นบุคคลสำคัญอันใด แค่ให้ย้ายเรือนพัก ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่"
เป็นคำกล่าวที่ทำให้หลิวเพ่ยหลิงต้องเงยหน้ามองมารดาของสามีด้วยความประหลาดใจ
...การกลับคำ เปลี่ยนคำพูดอย่างฉับพลันเช่นนี้...ทั้งต่อหน้าผู้คนมากมาย
...เกิดอันใดขึ้นกับนาง...
บรรดาคนรับใช้ของจวนเจ้าเมืองที่รอรับคำสั่งให้ทำงานก็ยังหันไปมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
กล่าวกันตามตรงเรื่องนี้หาสาระอันใดมิได้ นอกจากผู้ใหญ่มีเจตนาบางอย่างที่นายท่านหยางรู้ทันมาตั้งแต่แรกว่าต้องการมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย หลายวันนี้มานี้จึงไปพักผ่อนอยู่บ้านบุตรคนนั้นที
เวลานี้ ก็แค่หาเรื่องขัดใจภรรยาเพิ่มขึ้นอีกสักเรื่อง เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ลู่ที่ยังเป็นเด็กย่อมหลีกทางให้ผู้ใหญ่ มิคาด พูดไปเพียงไม่กี่คำเจ้าเด็กเสี่ยวเป่าวิ่งมากระตุกแขนเสื้อแล้วกระซิบบอก
"คุณชายลู่เขาว่าเช่นนั้นหรือ" หยางติงถาม
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าพยักหน้ามั่นใจ
"จริงหรือ"
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าพยักหน้าอีกครา
หยางติงแสร้งถอนหายใจที่ทุกเรื่องเป็นไปตามที่คาดไว้อย่างง่ายดายเกินไป หันไปบอกเพ่ยหลิง "เรียกคนรับใช้มาช่วยกันเตรียมที่พักตามที่นายท่านเหอต้องการ ข้าจะไปอยู่ที่ศาลาว่าการ ช่วยงานท่านเจ้าเมือง มื้อเที่ยงมีอะไรก็จัดไปเผื่อข้าด้วยแล้วกัน"
แล้วหยางติงก็จากไปง่าย ๆ ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
เมื่อพ้นออกจากประตูของจวนเจ้าเมืองหยางติงก็สะบัดหน้าเล็กน้อย
คนกลางยอมแพ้ง่ายเกินไป ไม่สนุกเลยสักนิด....
ขณะที่บรรดาคณะเตรียมการของเมืองเหอได้ข้อสรุปที่จะนำไปรายงานต่อเจ้านาย สมตามที่หยางหลงต้องการ
นั่นคือการที่เหอชินรุ่นยืนหยัดเพื่อเมืองเหอบ้านเกิดของนางอยู่เสมอ ทำให้นางขัดแย้งกับทุกคนในครอบครัว
หยางติงอดีตเจ้าเมือง ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะจัดการเรื่องราวใด ๆ
บางทีคนที่เป็นแกนนำในการเลือกข้างอาจเป็นหยางหลงที่เพิ่งรับหน้าที่เจ้าเมืองต่อจากบิดา
เมื่อมาถีงศาลาว่าการเมืองพบกับเจ้าเมืองที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับรายงานสูงท่วมหัว นายท่านหยางก็ทำสีหน้าเบื่อหน่าย
"คนพวกนี้ คิดจะเอาชนะคะคานกันแม้แต่ในเรื่องที่พัก คุณชายลู่ก็เป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้ไม่มีผิด เขาทนไม่ได้ที่เห็นพวกเราทะเลาะกัน พ่อเพิ่งไปถึง พูดได้ไม่กี่คำก็ให้เจ้าเสี่ยวเป่าวิ่งมาบอกว่าให้เขานอนที่ใดก็ได้ เพราะไม่มีข้าวของอะไรให้ต้องย้าย"
"เขาอาจรอดูจนท่านไปถึง แล้วให้เสี่่ยวเป่ามาบอก" หยางหลงพูดยิ้ม ๆ
"ก็คงอย่างนั้น เพราะจะให้บอกกับมารดาของเจ้าหรือเพ่ยหลิงก็คงไม่ยอมกันง่าย ๆ ถ้าคนหนึ่งพูดอย่าง อีกคนต้องบอกอีกอย่าง ทะเลาะกันอยู่นาน พอพ่อไปถึงก็เลยรีบมาบอกเรื่องเลยจบลง นึกถึงสีหน้าของมารดาเจ้า กับหัวหน้าคนงานที่มาจากเมืองเหอแล้วยังนึกขำ"
"ข้าว่า เขาเองยังไม่ทันหายสงสัยว่าเหตุใดอดีตเจ้าเมืองถึงเข้าไปสอดมือในเรื่องนี้ แล้วพอลู่ส่งคนมาบอกท่านก็กลับถอยออกมาง่าย ๆ"
"ก็คงเป็นอย่างนั้น" หยางติงกล่าวแล้วหัวเราะเสียงดัง "ทำอะไรที่มันไร้เหตุผลนี่มันก็สนุกดีเหมือนกัน"
แต่ตอนที่เสี่ยวเป่ากลับมารายงานให้ลู่ฟังที่ห้องสมุด ทั้งลู่ หยางเจียเจิง กับหยางเจิ้นขุย ต่างก็มีความเห็นเหมือนกันว่า ท่านปู่หยางติงไม่น่าจะอารมณ์เย็นเหมือนกับที่เห็นภายนอก
"ท่านอาจเห็นว่า คนบ้านเดียวกันมาทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่นมันไม่ดี" อาจารย์อาวุโสสอนพลางลูบเคราแหลม
"ก็แค่เรื่องที่พัก จะมีเรื่องขัดแย้งไปทำไมกัน ครอบครัวเดียวกัน ยอมกันได้ก็ยอมไปเถอะ ข้าเป็นคนนอก เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว" ลู่บอกด้วยรอยยิ้มกว้าง
.....จบบทที่หก.....
ผมแก้ไขด้วยการตัดชื่อตอนออกไป เพราะดูแปลกๆ ขอบคุณที่ติดตามครับ