ภาคกวางทอง
บทที่สี่
ในยุคนี้ การส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองมักจะเป็นการแจ้งล่วงหน้าเจ็ดวันไปยังเมืองหลวง ก่อนที่จะมีผลอย่างเป็นทางการ หรือต่อให้เป็นกรณีฉุกเฉินหากเจ้าเมืองคนเดิมเสียชีวิตลง ก็มักจะแจ้งล่วงหน้านานกว่าสองวัน
แต่ถึงหยางติงเจ้าเมืองลั่วจะประกาศล่วงหน้าสองวันก็มิได้สร้างความประหลาดใจ ด้วยเจ้าเมืองลั่วผู้นี้มอบงานต่าง ๆ ให้แก่หยางหลงบุตรชายคนโตดูแลมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะการที่มอบให้เป็นผู้เจรจากับเมืองหลวง ยิ่งเป็นการย้ำเจตนาที่ชัดเจน
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ทุกผู้คนเพียงแค่รอว่าการส่งมอบตำแหน่งจะมีขึ้นเมื่อใดเท่านั้น
แต่เมื่อคำสั่งออกมาว่า การมอบอำนาจจะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า หรือหากจะนับวันจริง ๆ แล้ว ต้องเรียกได้ว่าเป็นเวลามากกว่าสองวันอยู่เล็กน้อย บรรดาคนงานของจวนเจ้าเมืองไปจนถึงชาวเมืองลั่วก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานมากมาย
ก็อย่างที่ทราบกัน เมืองลั่วมิใช่เมืองใหญ่ดังนั้นเมื่อมีงานใหญ่ทุกคนจึงต้องออกมาช่วยกันทำงาน
บรรยากาศนี้เริ่มต้นขึ้นในทันทีที่เจ้าพนักงานออกไปติดประกาศ และคนเดินสารเร่งออกเดินทางไปแจ้งเรื่องต่อวังหลวง
หากในวันนั้นทั้งวันคือการที่หยางติงเจ้าเมืองลั่ว และหยางหลงว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่ พาลู่ไปเล่นอยู่ที่บ้านของหยางเฉิงบุตรคนรอง โดยให้ว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่กลับมาทำงานวุ่นวายอยู่จวนเจ้าเมือง
ส่วนหยางเฉิงไปหารือกับกรมเมืองและมือปราบ และหยางไห่ไปประชุมกับพ่อค้า จากนั้นทั้งสองคนก็มาช่วยงานว่าที่เจ้าเมืองที่ศาลาว่าการเมือง
แม้แต่สะใภ้ใหญ่อย่างหลิวเพ่ยหลิง หลังจากที่พาบุตรทั้งสองคนไปฝากไว้กับอาจารย์ที่ห้องสมุดก็ยังต้องไปควบคุมการทำงานที่โรงทาน
เหอชินรุ่ยฮูหยินเจ้าเมืองจึงหงุดหงิดไม่น้อย ที่มีเพียงหยางติงเพียงผู้เดียวที่ไม่สนใจการจัดงานในครั้งนี้
"เรื่องที่แม่ไม่พอใจที่พวกเจ้าไปเข้าข้างฝ่ายเมืองหลวงนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่บิดาของพวกเจ้ายังมาทำตนหนีหายไม่สนใจการงานนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง จู่ ๆ เขากลายเป็นคนไม่รับผิดชอบเช่นนี้ไปได้อย่างไร"
บุตรทั้งสามคนต่างนิ่งเงียบ
เหอชินรุ่ยกวาดตามองบัญชีสินค้าบนโต๊ะ และคนงานที่กำลังทำงานวุ่นวาย แล้วหันไปถามหยางหลง
"บิดาของเจ้ายังอยู่กับเด็กคนนั้นหรือ"
"ท่านพ่ออยู่กับหลาน ๆ ที่บ้านข้า" น้ำเสียง และหน้าตาของหยางเฉิงล้วนบ่งบอกว่า ในเมื่อมารดาก็ทราบอยู่แล้วว่าบิดาอยู่ที่ใด แล้วเหตุใดยังมีคำถาม
หยางไห่แตะแขนพี่รองเชิงบอกว่ามิต้องกล่าวคำต่อความ ส่วนตนเองเข้าไปบีบนวดแขนให้มารดาพลางชวนคุยในเรื่องที่จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น "ท่านพ่อคงคิดถึงหลาน ๆ ก่อนที่จะมาที่ศาลาว่าการเมือง ข้าก็พาเพ่ยเพ่ยไปเล่นอยู่ที่บ้านพี่รองเช่นกัน หรือท่านแม่คิดถึงหลานชายหลานสาว ให้ข้ากลับไปพามาหาท่านดีไหม"
เหอชินรุ่ยโบกมือ ลำเอียงให้กับบุตรชายคนเล็กอย่างชัดเจน
"สองวันนี้ยังวุ่นวาย หลังจากนี้ค่อยพาเพ่ยเพ่ยมาหาแม่"
หยางเฉิงได้แต่หันไปส่ายหน้าทางอื่น เขาพ้นวัยเรียกร้องความสนใจจากมารดาไปนานแล้ว ในทางตรงข้าม กลับคิดว่าการที่ไม่ใช่บุตรคนโปรดกลับสุขสบายยิ่งนัก
ก็ดูหยางหลงที่ถูกมารดาควบคุมทุกฝีเก้า พี่สะใภ้กับหลาน ๆ จะหายใจยังต้องคอยสังเกตสีหน้าของมารดา ขณะที่หยางไห่ก็ถูกมารดาเรียกหาให้คอยจัดหาสิ่งที่นางต้องการให้อยู่ตลอดเวลา
หากเป็นลูกรักแล้วต้องถูกเคี่ยวกรำขนาดนั้น ขอเป็นลูกชังเช่นเดิมดีกว่า!
รอจนกระทั่งมารดากลับออกไปแล้ว สามคนพี่น้องจึงประชุมลับเป็นการภายใน คนรับใช้เข้ามาเปลี่ยนน้ำชาแล้วกลับออกไป
หยางไห่ที่เป็นน้องเล็กรินน้ำชาให้กับพี่ชายทั้งสองคน จากนั้นหยางเฉิงจึงกล่าวขึ้นเบา ๆ
"ตั้งแต่คืนที่ท่านพ่อประกาศว่าจะมอบตำแหน่งก็มีม้าเร็วออกจากเมือง มุ่งหน้าไปเมืองเหอ"
หยางไห่ชี้ขึ้นฟ้าขณะที่ก้มหน้า "เป็นการส่งข่าวตามปกติ"
หยางเฉิงยักไหล่ "ก็คงอย่างนั้น เพราะก่อนรุ่งสางม้าเร็วของเมืองหลวงก็ออกเดินทางไปเช่นกัน"
"อย่างนั้นเมืองเหอคงมาถึงเราก่อน" หยางหลงสรุปน้องชายอีกสองคนพยักหน้า
จากนั้นหยางเฉิงก็กล่าวต่อ "ส่วนการจับตามองพวกคนยากจน และขอทานกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยังไม่พบความผิดปกติ"
"เว้นแต่คนที่อยู่ก่อนหน้านี้ ที่มีการสับเปลี่ยนที่อยู่" หยางหลงกล่าวขึ้นบ้าง ทำให้น้องชายหันมามองหน้า
"อันใดกัน ไปเมืองหลวงตั้งนาน กลับมาแค่วันสองวันพี่ใหญ่รู้ความเคลื่อนไหวที่นี่ได้อย่างไร" หยางไห่ทำหน้างอ "รู้ไปหมดเช่นนี้"
"ไม่ได้รู้ไปหมด ก็แค่พอจะรู้บ้างต่างหาก" หยางหลงให้กำลังใจ แต่หยางเฉิงเอื้อมมือมาดีดหน้าผากคนน้องเล็ก
"ชอบพูดเล่น จนคนเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงไปหมดแล้ว"
"เรื่องอะไร" หยางไห่ถามพี่รอง
"เรื่องที่เจ้าชอบเรียกลู่ว่าน้องเล็กคนใหม่ของพวกเราบ้าง ลูกชายคนใหม่ของท่านพ่อบ้างนั่นอย่างไร" หยางเฉิงชี้ไปที่ประตูห้อง "คนเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว"
ทั้งหยางหลงและหยางไห่ต่างพร้อมใจกันส่ายหน้า
"เชื่ออะไรแบบนั้น ท่านพ่อกลัวท่านแม่อย่างกับอะไรดี กล้าขัดใจที่ไหน แถมคนของท่านแม่มีอยู่ทั่วไป ท่านพ่อจะไปมีอนุได้อย่างไร"
หยางเฉิงส่ายหน้าล้อเลียนพี่ใหญ่กับน้องเล็ก "เรื่องไม่จริง แต่คนพูดกันไปทั่ว สุดท้ายมันก็จะเป็นเรื่องจริง"
น้องเล็กลูบหน้าผากตัวเองที่ขึ้นผื่นแดงเป็นรอยนิ้ว หยางหลงจึงใช้ถ้วยชาที่มีความเย็นกดคลึงให้ที่หน้าผาก
"พี่รองรู้เรื่องที่คนเขานินทานั่นนี่มากมาย เพราะบรรดาขบวนการฮูหยินมารายงานให้ฟังละสิ ดีจริงนะเรื่องงานมีขบวนการผู้คุ้มกัน เรื่องชาวบ้านมีขบวนการฮูหยิน"
หยางหลงยังคงรักษาความเป็นกลางไม่เข้าข้างน้องทั้งสองคน "เจ้ามันก็ชอบพูดจาแบบนี้ ถึงได้โดนน้องรองตีเข้าให้ ส่วนเรื่องที่คนพูดไปก็ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะ เพราะอีกไม่นานลู่ก็ต้องกลับบ้านเขาแล้ว"
น้องชายสองคนร้องอ้อ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน
"ลืมไปแล้ว ว่าเขาหนีแม่มา อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับบ้านเขาแล้วสินะ"
หยางหลงพยักหน้า
หลังการหารือที่ไม่มีเสียงสนทนาใด ๆเล็ดลอดออกมาจากห้องจบลง สามคนพี่น้องจึงเดินออกมาจากศาลาว่าการเมืองพร้อมกันโดยมุ่งหน้าไปที่เรือนพักของหยางเฉิง
หยางไห่สะกิดถามพี่ใหญ่ "สังเกตไหมว่า ระยะหลังมานี้ มิว่าท่านแม่จะกล่าวถึงเรื่องอันใดก็ตาม จะต้องเริ่มต้นด้วยการตำหนิพวกเราที่ไม่สนับสนุนท่านลุง"
หยางหลงกับหยางเฉิงพยักหน้า หยางไห่ก็เลยกล่าวต่อ "พวกเรายังมีช่วงที่มิได้พบนาง แต่ท่านพ่อหรือพี่สะใภ้ที่ต้องพบเจอกับท่านแม่อยู่ตลอดก็คงเครียดมิใช่น้อย" กล่าวแล้วนึกขึ้นมาได้ รีบโบกไม้โบกมือกับพี่ใหญ่ "ข้ามิได้มีอะไรกับพี่สะใภ้นะ เพียงแต่เข้าใจว่าทั้งที่มีงานสำคัญ แต่ทำไมทั้งท่านพ่อและพี่สะใภ้ถึงได้พากันแยกย้ายกันไปคนละทางเช่นนี้"
หยางหลงกอดคอน้องเล็กอย่างไม่ถือสา
"ข้าก็เข้าใจเช่นกัน ถึงได้ไม่ทักท้วงต่อว่าท่านพ่อ ที่อ้างว่าจะเล่นอยู่กับหลานที่เรือนของน้องรอง แทนที่จะไปที่เรือนของเจ้าไง"
"เพราะหากไปเรือนน้องเล็ก ท่านแม่อาจจะส่งคนไปตามท่านพ่อให้กลับมาทำงาน ดังนั้นการพักผ่อนอยู่ที่เรือนข้าน่ะปลอดภัยที่วสสุดแล้ว" หยางเฉิงทำอวด
"เหอะ พวกท่านไม่เห็นความดีของข้าก็แล้วไป" หยางไห่น้องเล็กทำท่าน้อยใจ ทำให้พี่ชายทั้งสองคนพากันหัวเราะ
หยางหลงไปรับบิดากับลู่กลับบ้าน ส่วนหยางไห่ไปรับภรรยากับบุตรแล้วแยกกลับบ้านไปอีกทาง
เมื่อกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองก็มาแจ้งให้ทราบว่า เหอชินรุ่ยรอพูดคุยกับหยางหลงอยู่ที่เรือนพักหลังใหญ่ของนาง
"แล้วเพ่ยหลิงกับลูก ๆอยู่ที่ไหน" หยางหลงถามด้วยความเป็นกังวล
"ฮูหยินและคุณชายทั้งสองยังอยู่ที่ห้องสมุดขอรับ ท่านอาจารย์ก็ยังอยู่"
หยางติงได้แต่ส่ายหน้า แล้วกล่าวว่าจะเป็นผู้ที่พาลู่ไปเล่นอยู่ที่ห้องสมุด เสร็จแล้วก็จะกลับไปเรือนหลังใหญ่เอง
หยางหลงจึงกลับมาที่เรือนพักของมารดาโดยลำพัง เห็นว่านางยังรออยู่
สีหน้าของนางเรียบเฉย และห่างเหินดุจคุยเรื่องการงานกับผู้อื่น
"ฟังว่า เจ้ามิต้องการย้ายไปพักที่เรือนหลังใหญ่"
"ขอรับท่านแม่"
เหอชินรุ่นพยักหน้า "ขอบใจ แต่นี่เป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าเป็นผู้ที่นำเมืองลั่วหันหลังให้กับเมืองเหอของแม่หรอกนะ"
หยางหลงเลือกที่จะก้มหน้าซ่อนยิ้ม เมื่อนึกไปถึงคำกล่าวของน้องเล็กก่อนหน้านี้ แต่การที่มิได้ต่อคำด้วยทำให้เหอชินรุ่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอีกครั้ง
แม้ว่าการตัดสินใจของพ่อลูกทั้งสี่คนจะทำให้นางอารมณ์ไม่ดีชนิดที่ทุกคนในบ้านก็เข้าหน้าไม่ติด แต่อย่างน้อยการที่บุตรชายคนโตไม่หักหาญน้ำใจ ให้นางต้องย้ายออกจากเรือนพักหลังใหญ่ ทั้งไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องคนรับใช้ ก็ยังพอให้เหอชินรุ่ยมีความพึงพอใจอยู่หลายส่วน
"เจ้าคงไม่สั่งลดค่าใช้จ่ายของแม่ด้วยใช่ไหม"
"ไม่หรอกขอรับ" หยางหลงตอบ "กิจการต่าง ๆ ของครอบครัวยังเป็นไปด้วยดี หากท่านแม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ก็สามารถบอกกับเพ่ยหลิงได้"
เหอชินรุ่ยโบกมือ "เมียของเจ้าไม่เห็นว่าจะจัดการสิ่งใดเป็น"
หยางหลงเก็บคำอีกครั้ง
เหอชินรุ่ยพอใจบุตรชายคนโตตรงที่เขาเป็นผู้ที่ตามใจนางอยู่เสมอ และต่อให้เขาขัดใจนางในเรื่องหนึ่ง ก็รู้ว่าควรตามใจนางในเรื่องอื่น เพื่อบรรเทาความไม่พอใจนั้นลง
หากเป็นมารดาผู้อื่น อาจกล่าวขอบใจบุตรชายที่ยังคงยกย่องนางให้มีความสุขสบายเช่นเดิม แต่นี่คือเหอชินรุ่ย หลังจากที่กล่าวคำอย่างเป็นทางการอีกหลายคำก็บอกให้หยางหลงส่งนางเข้าไปพักผ่อน จากนั้นหยางหลงถึงได้เดินต่อไปที่ห้องสมุด
บรรยากาศที่ห้องสมุดเวลานี้ ความไม่สบายใจของหยางติงเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้ เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดของจวนเจ้าเมืองเล่นหมากกับอาจารย์แล้ววางหมากผิดพลาดจนถึงกับพาตนเองเข้าไปจนมุม
"ข้าสืบทอดเมืองนี้มาจากบิดา ทุกวันนั่งว่าความตัดสินเรื่องราวความขัดแย้ง แต่เมื่อความขัดแย้งนั้นมาถึงครอบครัว ข้ากลับได้แต่หลบหน้าเมียไปวัน ๆ"
"นั่นเพราะท่านเจ้าเมืองรักฮูหยินเป็นอย่างมาก"
หยางติงพยักหน้า "ก็รู้ว่าการตัดสินใจของข้าจะทำให้เขาไม่พอใจ แต่ไม่ว่าจะอธิบายเหตุผลอย่างไร ก็วนกลับไปที่จุดเดิมเสียทุกครั้ง"
อาจารย์ลูบเครายาวขณะที่เอ่ยคำ "สามีภรรยาเป็นดั่งคนเดียวกัน เมื่อสามีรักษาคุณธรรม ภรรยาก็ต้องรู้จักเชื่อฟังสามี ครอบครัวจึงจะมีความสุข"
หลิวเพ่ยหลิงมองบิดาของสามีแล้วหันมามองลู่ ในใจเริ่มคล้อยตามเสียงพูดคุยของผู้อื่น ที่ว่าคุณชายลู่อาจเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองลั่วที่เกิดกับภรรยาลับซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ที่ขอติดตามหยางหลงกลับมา หรือไม่หยางติงก็อาจบอกให้ไปรับกลับมาอยู่ด้วยกัน ด้วยเรื่องที่หยางติงกล่าวมานั้น มิสมควรกล่าวให้คนภายนอกได้ยิน แต่ยามนี้กลับบอกกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่เช้ามาหยางติงก็มิยอมให้คุณชายลู่ผู้นี้อยู่ห่างจากตัว
ทั้งในวันแรกที่มาถึง หยางติงก็วางมือ แล้วส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับหยางหลงในทันที
สรุปแล้วเด็กคนนี้ ต้องมีความสำคัญต่อหยางติงอย่างยิ่ง...
ต่อมาเมื่อคนรับใช้เข้ามาสอบถามว่าต้องการให้จัดโต๊ะอาหารค่ำที่ใด หลิวเพ่ยหลิงก็ขอให้จัดโต๊ะในสวน ขณะที่หยางติงเห็นว่าลู่ยังมิได้พักผ่อน ทั้งตลอดวันก็เห็นแต่กินเพียงผลไม้ หากต้องร่วมโต๊ะที่มีอาหารเนื้อสัตว์อยู่ด้วยอาจรู้สึกลำบากใจ จึงให้เสี่ยวเป่าจัดเตรียมอาหารให้ลู่ที่เรือนรับรอง
เสร็จจากมื้อค่ำ ทั้งหยางติงและหยางหลงกลับมาประชุมหารือกับเจ้ากรมและนายกอง ในห้องทำงานที่เรือนต้นบ๊วยอีกครั้ง
หยางติงชอบทำงานที่นี่มากกว่าที่ศาลาว่าการเมือง เพราะความสะดวกในการพูดคุย ทั้งมีหลายคราที่เมื่อหารือกันเสร็จ บรรดาเจ้ากรมและนายกองก็สามารถไปเข้าพักที่ห้องรับรองในจวนได้อย่างสะดวกสบาย การเจรจาที่นี่จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องรีบร้อน
ส่วนเหอชินรุ่ยที่เห็นว่าอาหารมื้อค่ำผ่านไปนานแล้ว แต่หยางติงยังไม่กลับไปพักผ่อนจึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่าสามีกลับมาแล้ว และกำลังหารือเรื่องงานอยู่ที่เรือนต้นบ๊วยนางก็กลับเข้าเรือนไป
จะเรียกว่าอย่างไรดี
ความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ที่แม้ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งกันหลายเรื่อง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ใช่หรือไม่
ยามดึก เมื่อหยางหลงกลับไปที่เรือนพักและอาบน้ำเสร็จแล้ว กลับยังรู้สึกไม่สบายใจจึงไปหาลู่ที่เรือนรับรองดอกโบตั๋น ตั้งใจว่าจะไปสอบถามว่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือต้องการสิ่งใด
แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าลู่อยู่ตามลำพังเพราะเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าไปช่วยงานอยู่ที่โรงครัว ด้วยพรุ่งนี้จะมีการแจกทานตั้งแต่เช้า
"ทั้งที่บอกว่าให้คอยอยู่รับใช้" หยางหลงบ่น
ลู่ส่ายหน้าขณะที่ยิ้มกว้าง "ข้าบอกให้พวกเขาไปเอง" คนตัวเล็กเอียงหน้า นึกถ้อยคำที่เสี่ยวเป่ากล่าวก่อนที่จะออกไป "กินอาหารแล้ว ค่ำแล้ว ควรเข้านอน"
หยางหลงเกาท้ายทอยตนเอง ขยับลุกขึ้นยืน "เช่นนั้น เจ้าก็...ก็..."
"คุยก็ได้" ลู่หัวเราะเบา ๆ พลางรินน้ำชา "ยังไม่ง่วง"
หยางหลงจิบน้ำชา แล้วขยับไปนั่งที่เก้าอี้ติดกับลู่ "เหงาหรือเปล่า"
ลู่ส่ายหน้าแล้วย้อนถาม "เหนื่อยใช่ไหม" ก็วันนี้เป็นวันที่หยางหลงวุ่นวายทั้งวันต้องไปมาอยู่หลายแห่ง
"ไม่หรอก" หยางหลงตอบขณะที่ปัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ไหล่ของอีกฝาย "รู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ดูแล กลับพาไปฝากไว้ที่บ้านของน้องรองตลอดวัน ทั้งไม่ได้พาไปบ้านของน้องเล็กด้วย"
"ไปพรุ่งนี้ก็ได้"
"พรุ่งนี้ก็ยังมีงานทั้งวัน ทั้งเรื่องการเตรียมงานรับตำแหน่ง และเรื่องอื่นอีก"
"ไปกับเสี่ยวเป่าก็ได้" ลู่พยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่หยางหลงปฏิเสธในทันที
"อย่าลืมสิ ว่าเจ้ามากับข้า ข้าสมควรรับผิดชอบต่อเจ้า"
ลู่ลุกขึ้นมากอดคอหยางหลงไว้ แนบต้นคอเข้าหากันจากนั้นก็คลายอ้อมกอด แล้วยืนอยู่ที่เดิม
แม้จะไม่มีคำพูด แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้รู้ว่าลู่ต้องการให้กำลังใจ เพราะตอนที่ลู่พบกับเทพเสือโคร่งภูเขาผู้เป็นบิดา ก็ทำท่าเช่นนี้
แต่หยางหลงเป็นมนุษย์ การสัมผัสทางกายของลู่จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงหัวใจ
เป็นแรงสะเทือนที่ต้องเตือนตนเองว่าเร็วเกินไป ทั้งไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทันทีที่เตือนตนเอง ความรู้สึกนั้นกลับเพิ่มขึ้น
มือใหญ่แตะที่ปลายคางของลู่ ภาพสะท้อนในดวงตาสีทองมองเห็นตนเองชัดเจน แม้เมื่อดวงตาคู่นั้นจะหลุบมองไปทางอื่น ก็ยังมองเห็นขนตายาวกับแก้มใส
หยางหลงก้มลงช้า ๆ แล้วจูบสัมผัสที่ริมฝีปาก
สัมผัสเพียงแผ่วเบา เมื่อลู่กระพริบตามอง ทำให้หยางหลงได้สติ ถอนริมฝีปากออกมา และกล่าวคำขออภัยอย่างแผ่วเบา
"ขออภัย...."
ลู่พยักหน้าพลางก้าวถอยช้า ๆ แล้วนั่งลง
"ข้ามาจากป่าสีทอง ถึงจะยังเด็กและไม่มีพลังอำนาจแก่กล้า แต่ก็ยังพอจะจับความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบตัวได้บ้าง" ดวงตาสีทองหลุบมองมือของตนเอง
สิ่งที่มิได้กล่าวออกมาก็คือลู่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย รวมถึงรู้ว่าความรู้สึกนี้ยังมิควรกล่าวออกไป
มือใหญ่ของหยางหลงจับมือของลู่ไว้ ดวงตาสีเข้มจับจ้องคนที่ยังคงก้มหน้า ต่างคนต่างนิ่งเงียบ
ขณะที่หยางหลงตำหนิความวู่วาม และการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่ออีกฝ่าย แต่ลู่กลับกังวลไปถึงครอบครัวของหยางหลง
โดยเฉพาะบิดา มารดาของตนเองที่ป่าสีทอง....
สายลมเย็นที่ด้านนอกพัดพากลิ่นดอกไม้กลางคืน ผสานอากาศเย็นเข้ามาในห้อง หยางหลงยังมิคิดที่จะปล่อยมือจากอีกคน
"จะเข้านอนหรือยัง"
ลู่พยักหน้า
เมื่อหยางหลงลุกขึ้น มือที่จับไว้มั่นก็พาให้ลู่ลุกขึ้นตาม ทั้งยังรอจนลู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ก็ยังตามไปจัดที่นอน ห่มผ้าให้แล้วนั่งอยู่ข้าง ๆ จับมือเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่มไว้อีกครั้ง
ลู่มองท่าทีของอีกคนแล้วหัวเราะเบา ๆ "ถึงข้าจะอายุน้อยเมื่อเทียบกับผู้อื่นในป่าสีทอง แต่หากเทียบกับอายุของมนุษย์ข้าคิดว่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว"
"เจ้าเป็นเด็กดื้อและซนที่หนีออกจากบ้าน" หยางหลงกระชับผ้าห่มให้ "นอนเสียเถิด ข้าจะรอจนเจ้าหลับแล้วค่อยกลับออกไป"
ลู่หลับตาลงอย่างว่าง่าย แต่มือใหญ่ที่จับมือไว้ยังไม่คลายออก
ผ่านไปค่อนคืน เสี่ยวเป่าจึงผลักประตูห้องเข้ามาโดยที่พยายามไม่ให้มีเสียงดัง แต่ยังเห็นว่าหยางหลงนั่งอยู่บนเตียงนอนของลู่
เวลานั้นลู่หลับไปแล้ว หยางหลงจึงหันมาใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
เสี่ยวเป่าย่องเข้ามาปูที่นอนข้างเตียงนอน หยางหลงก็อ้าปากกล่าวคำพูดโดยไม่ออกเสียง ว่าปล่อยให้คุณชายลู่นอนพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องรีบปลุกแต่เช้า ที่จะต้องมีการแจกทานแก่ชาวเมืองลั่วและเมืองใกล้เคียง
เสี่ยวเป่ารับคำสั่ง จากนั้นหยางหลงจึงกลับออกไป
เช้าวันถัดมา ลู่ตื่นนอนก่อนก็เห็นว่าเสี่ยวเป่ายังนอนอยู่หน้าเตียง จึงลุกไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาเดินเล่นอยู่ที่ด้านนอกตามลำพัง
จวนเจ้าเมืองกำลังวุ่นวายด้วยมีการแจกทาน และตั้งโรงทานที่ด้านหน้า ส่วนที่เรือนหลังใหญ่ ที่เป็นส่วนทำงานของเจ้าเมือง ก็มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการส่งมอบตำแหน่ง
คนงานผู้หนึ่งอยู่ในสวนหันมาเห็นลู่เดินอยู่โดยลำพัง ก็นึกเอะใจรีบเข้ามาไต่ถามว่าเสี่ยวเป่ากับเซียงเซียงไปอยู่ที่ใด ลู่ตอบไปว่าพบแต่เสี่ยวเป่าที่ยังไม่ตื่น เมื่อคนงานถามว่าหิวหรือไม่ ลู่ก็ตอบว่ายังไม่หิว
"ตอนนี้ ท่านเจ้าเมืองและนายท่านทุกคนต่างก็ไปแจกทาน คุณชายน้อยจะไปดูหรือไม่ขอรับ"
ลู่เอียงคอคิดตาม
"ไปดูห่าง ๆก็คงไม่เป็นไร"
คนงานผู้นี้ นึกสงสัยว่าหากคุณชายลู่จะไปร่วมแจกทานก็คงมิมีผู้ใดขัด หรือแท้ที่จริงแล้วมี คุณชายน้อยถึงได้กล่าวเช่นนี้
เมื่อไปถึงโรงทาน พบพี่เลี้ยงหลายคนดูแลกลุ่มคุณชายน้อยทั้งสองคนของหยางหลง กับบรรดาลูก ๆ ของหยางเฉิง และหยางไห่ที่มาเล่นอยู่ด้วยกันที่ศาลาด้านหลัง ขณะที่พวกผู้ใหญ่อยู่ที่โรงทานด้านหน้า
เด็ก ๆ ที่ได้พบกันเมื่อวานนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพบกันอีกครั้งก็ชักชวนกันไปเล่นอย่างคุ้นเคย
หลังจากที่คนงานชายที่พาคุณชายลู่มาส่งที่โรงทานกลับไปได้พักหนึ่ง เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าถึงได้กระหืดกระหอบมาถึง แล้วก็โดนบรรดาพี่เลี้ยงและคนรับใช้อบรมเสียยืดยาว โทษฐานที่ตื่นทีหลังเจ้านาย
"ข้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว" ลู่ช่วยเถียง แต่เสียงก็เบาเหลือเกิน ทั้งเนื้อเสียงที่ไม่ได้แข็งแรง คำกล่าวนี้จึงไม่ได้เพิ่มน้ำหนักในข้อแก้ต่างของเสี่ยวเป่าเลยสักนิด กลับไปเพิ่มโทษให้กับเสี่ยวเป่าเสียด้วยซ้ำ
"คุณชายไม่แข็งแรงยังไม่รู้จักดูแลให้ดี"
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าโดนดุเสียจนหยางเจียเจิงบุตรชายคนโตของหยางหลงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
"เสี่ยวเป่ามาทำของเล่นให้พวกเราเล่นเป็นการชดใช้เดี๋ยวนี้เลย"
ใบหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้นขณะที่วิ่งเข้าไปในสวนเก็บกิ่งไม้เล็ก ๆ กับใบไม้และดอกไม้มาทำของเล่นให้กับคุณชายและคุณหนูทั้งหลาย
เด็กเสี่ยวเป่าทำม้าไม้หลายตัวแจกจ่ายเหล่าคุณหนู ขณะที่ลู่รับมาแล้วหัวเราะคิกคัก
"นี่คือม้าหรือ"
เสี่ยวเป่าทำปากยื่น "ม้าของเล่นไงขอรับ ต้องใช้จินตนาการเข้าไปช่วย"
"งั้นหรือ" ลู่ถามขึ้น "แล้วมันทำอะไรได้บ้าง"
หยางเจิ้นขุย บุตรเล็กแห่งหยางหลงกล่าวขึ้นทันที "มันย่อมวิ่งได้"
หยางฉวน บุตรคนโตของหยางเฉินตอบด้วยเสียงอันดังขณะที่ชูม้าไม้ในมือของตน "ม้าของข้าวิ่งได้เร็วที่สุด ไม่มีม้าของใครวิ่งได้เร็วกว่าข้า"
ลู่พยักหน้า ขณะที่คิดในใจว่าบุตรชายคนโตของหยางเฉินผู้นี้รอบคอบอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเกิดจากการที่เขาอยู่ในครอบครัวใหญ่ และยังมีน้องอีกสามคน ทำให้เวลาพูดจาต้องรัดกุม
หยางจื้อเจ๋อบุตรสาวคนเล็กของหยางเฉิงกล่าวขึ้นบ้าง "เสี่ยวเป่าทำนกให้ข้าเล่นด้วยสิ"
หยางเย่เจียบุตรสาวอีกคนของหยางเฉิงกลับต้องการนกเป็ดน้ำ
"นกเป็ดน้ำเลยหรือ" เสี่ยวเป่าได้แต่ร้องในใจว่าครานี้ย่ำแย่แล้ว คุณหนูร้องขอของเล่นที่ยากขึ้นทุกที
จู่ ๆ บนท้องฟ้ากลับปรากฎนกป่าฝูงหนึ่งบินลงมาที่สวน ลู่หยิบถั่วหนึ่งกำมือเดินนำออกไป
"อย่าเสียงดังนะ"
คุณหนูทั้งหญิงและชายก็ล้วนทำตาม
เสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่พลันเงียบลง ภาพของเด็ก ๆที่ให้อาหารนกและวิ่งเล่นกันโดยที่พยายามไม่ส่งเสียงกลับดูน่าสนุก และพลอยทำให้บรรดานางพี่เลี้ยงทั้งหลายก็พากันไม่กล้าส่งเสียงตามไปด้วย จนกระทั่งเมล็ดถั่วหมดลงไปแล้ว นกฝูงนั้นยังคงอยู่อีกครู่หนึ่งจึงกลับไป
เสี่ยวเป่าหันไปมองหน้ากับเซียงเซียงพี่สาว แต่ลู่กลับกล่าวขึ้นก่อน
"นี่หาใช่เรื่องแปลก ใคร ๆก็ทำได้"
พี่น้องสองคนหันไปมองหน้ากันอีกครา
.....จริงหรือ แต่นั่นคือนกป่าที่ดูอย่างไรก็เห็นได้ชัดเจนว่า พวกมันตั้งใจบินมาที่นี่ แถมพอกินอิ่มก็อยู่เล่นกับเด็ก ๆ เสร็จแล้วก็พากันกลับไป
นี่หาใช่เรื่องแปลก ใคร ๆ ก็ทำได้จริงหรือ....
...จบบทที่สี่....