“ไม่เชื่อกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“บอกว่าไม่ใช่ไง! แค่...มันผ่านไปแล้ว อยากฝังมันไว้ตรงนั้น”
ราเมศถอนหายใจ รู้สึกว่าคนรักช่างขี้โกงและเอาแต่ใจเหลือเกิน มาพูดว่าอยากให้เชื่อใจแต่กลับไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจนถึงขนาดต้องมาขอร้องให้เขาสัญญา ใจหนึ่งก็ไม่อยากยอมรับหรอกแต่อีกใจก็รู้ดีว่าถ้าบีบปานตะวันมากไปกว่านี้คงไม่เป็นผลดี
หลังใคร่ครวญทุกอย่างอยู่ในหัวครู่หนึ่งราเมศดึงมือปานตะวันที่กุมแก้มเขาอยู่ออกมา ชายหนุ่มจับมือคู่นั้นไว้ ปานตะวันมือใหญ่ตามแบบฉบับของผู้ชายทั่วๆ ไปแต่ขนาดมือก็ยังเล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่รู้ทำไมยามนี้ความคิดที่ว่าสองมือคู่นี้กำลังพยายามแบกรับอะไรที่เกินตัวอยู่ถึงผุดขึ้นมา
สิ่งที่นายต่อสู้ด้วยอยู่คือตัวตนในอดีตใช่หรือเปล่า
สิ่งที่นายพยายามแบกรับไว้คือผลจากความผิดพลาดที่ตอนนี้กำลังจะย้อนกลับมาทำร้ายใช่ไหม นายพยายามแบกมันไว้คนเดียว โดยกันคนสำคัญคนอื่นออกนอกวงไปเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบแต่วิธีนี้มันทำให้นายเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเดิม เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
เด็กโง่
เป็นเด็กที่ชอบคิดอะไรเกินตัวเสียจริง
แล้วเขาจะปล่อยให้เด็กที่มีนิสัยแบบนี้ไปเผชิญกับปัญหามากมายด้วยตัวคนเดียวได้ยังไง
“เข้าใจแล้ว” ในที่สุดราเมศก็ตอบตกลง เขาจูบลงกลางฝ่ามือของปานตะวันเบาๆ “พี่ตามใจนายมากไปแล้วจริงๆ นะ” ประโยคท้ายบ่นพึมพำกับตัวเองแต่ปานตะที่อยู่ใกล้ขนาดนี้มีหรือจะไม่ได้ยิน หากเป็นยามปกติเขาคงโวยวายไปแล้วแต่ตอนนี้นอกจากจะไม่เถียงกลับปานตะวันยังกอดหมับเข้าที่เอวสอบ ซุกหน้าลงกับเสื้อราเมศ พูดเสียงอู้อี้ว่า “ขอบคุณครับ แล้วก็สัญญานะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่ต้องเชื่อใจตะวัน ต้องไม่เปลี่ยนไป”
“ครับ สัญญา” ราเมศเว้นจังหวะไปเล็กน้อย “แล้วถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
“ลืมเรื่องนี้ไปซะ”
“เอาแต่ใจอะไรอย่างนี้นะ”
“ขอโทษแต่ขอเอาแต่ใจหน่อยนะ”
เขาตามใจจนติดนิสัยแล้วสินะ...แต่สัญญาไปแล้วก็ขัดอะไรไม่ได้อีก ราเมศพยักหน้าตกลง คนทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไปทำอาหารตามเดิม
หลังจากที่ธีร์มาดักรอปานตะวันที่หน้าบ้านก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างดูสงบสุขจนราเมศเริ่มผ่อนคลายส่วนปานตะวันก็คิดไปว่าบางทีธีร์อาจจะกลัวคำขู่ของสองบอดี้การ์ดนั่นจนไม่กล้าโผล่หน้ามาแล้ว หลังระแวดระวังอยู่สองสามวันปานตะวันก็ปักใจเชื่อว่าทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
วันนี้พอใกล้ช่วยบ่ายสามโมงครึ่งอันเป็นเวลาที่หนูเจียจะเลิกเรียนปานตะวันก็ถอดผ้ากันเปื้อนออก เตรียมตัวไปรับหลานชายที่โรงเรียน ระหว่างทางพวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นฝากเงินไปซื้อของกินกระจุกกระจิกกันเต็มไปหมด ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบ๊หิ้วของกินกลายๆ
“พี่เมศ ตะวันไปรับหนูเจียนะ” ปานตะวันเดินไปบอกคนรักที่ควบตำแหน่งหัวหน้าด้วย ราเมศพยักหน้ารับ “ขับรถระวังๆ นะ”
“ครับผม”
ปานตะวันรับคำแล้วก็ออกไป ราเมศมองส่งคนรักเล็กน้อยแล้วก็กลับมาจัดการรายการอาหารที่เหลืออยู่ เมื่อทำงานเสร็จพนักงานหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดว่า “พี่เมศคะ มีคนมาหาพี่ค่ะ”
“ใครเหรอ”
“เป็นผู้ชาย ตัวสูงๆ บอกว่าชื่อธีร์”
ชื่อแฟนเก่าของปานตะวันทำให้ราเมศชะงัก อีกฝ่ายมีธุระอะไรถึงมาหาเขาโดยตรง “มาหาพี่แน่ใช่ไหม ไม่ได้มาถามหาปานตะวันเหรอ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ พนักงานคนนั้นส่ายหน้า “มาหาพี่แน่ๆ ค่ะ”
“งั้นบอกเขาว่ารอเดี๋ยว”
ยามนี้ลูกค้าไม่มาก พ่อครัวอีกสองคนก็เหลือเฟือราเมศจึงถอดผ้ากันเปื้อน ล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อยแล้วออกไปพบอีกฝ่าย
ธีร์ไม่ได้เข้ามาในร้านแต่ยืนรออยู่ด้านนอก ราเมศถึงกับตกใจเมื่อพบว่าสภาพหน้าอีกฝ่ายดูยับเยินเหมือนไปมีเรื่องกับใครมา ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าปานตะวันบอกว่าบอดี้การ์ดของหลงจับธีร์โขกหัวกับกำแพงแล้วก็ทำท่าจะหักมือเขา แต่นี่มันดูแย่กว่าที่ตะวันเล่ามาก ที่แก้มกับที่ตามีรอยช้ำขนาดใหญ่ สภาพนี้บอกว่าโดนรุมซ้อมก็ไม่แปลกใจ
สงสัยเจ้าลูกแมวนั่นจะเล่าไม่หมด
“คุณมีธุระอะไร” เมื่อเจอหน้ากันราเมศก็เปิดฉากถาม เขาไม่ต้องการเสียเวลากับคนคนนี้ ธีร์เองก็เข้าใจ “ผมต้องการมาคุยกับคุณเรื่องปานตะวัน”
“ตะวันทำไม”
“คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากน้อยแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าเขาเคยทำอะไร” ธีร์ประเมินท่าทางของราเมศ “ผู้ชายคนนั้นไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาหรอกนะ รู้อดีตของเราหรือเปล่า”
น้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้ราเมศไม่พอใจแต่ชายหนุ่มก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย “รู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณเคยทำอะไรไว้กับเขา เป็นหนี้เยอะนี่ใช่ไหม แล้วก็หนีไป ทิ้งให้เขารับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว”
“เขาเล่าแบบนั้นเหรอ แหม ทำให้ตัวเองดูน่าสงสารเหลือเกินนะ หนี้นั่นเป็นความรับผิดชอบร่วมกันต่างหาก ส่วนหนึ่งตะวันก็เป็นคนกู้ เหล้า การพนัน มันผ่านมาหมดแล้ว เงินที่แม่มันส่งมาให้ทุกเดือนคุณคิดว่าจะพอหรือไง” ริมฝีปากสีคล้ำของธีร์เหยียดเป็นรอยยิ้ม “มันหลอกคุณอยู่นะไม่รู้เหรอ มันจะเอาปอกลอกคุณไปจนกว่าจะหมดตัวนั่นแหละ”
“แหม แฟนเก่าแบบคุณก็เลยอุตส่าห์มาเตือนงั้นสิ เป็นคนดีจริงๆ” ราเมศหัวเราะ “แต่ผมรวย ไม่เป็นไรหรอก มีให้เขาได้เรื่อยๆ นั่นแหละ”
พูดตามตรงที่บ้านเขาก็ไม่ได้ถือว่าร่ำรวย เป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้แบบไม่ขาดมือมากกว่า ไม่รวยแต่ก็ไม่จนอะไรราวๆ นั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ราเมศพูดจาใหญ่โตอะไรแบบนี้เพื่ออวดฐานะทางบ้านกับคนอื่น
“เหอะ รักมันมากขนาดนั้นเลยหรือไง”
ธีร์หรี่ตา ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนคล้ายกับไม่ใส่ใจว่าปานตะวันในอดีตจะเป็นอย่างไรทำให้แผนการแรกที่ธีร์คิดว่าต้องล้มเหลว แผนแรกของเขาคือการมาตามง้อปานตะวันแต่ก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มจึงเข้าหาทางราเมศแทน เดิมทีเขาตั้งใจจะมาพูดเพื่อสร้างความสงสัยในใจเล็กๆ ให้ราเมศ ปลูกต้นแห่งความไม่เชื่อใจเอาไว้ ถ้าราเมศสงสัยมากๆ ขุดคุ้ยอดีตลงไปมากๆ จนไปแตะโดนจุดที่ไม่ควรเข้า ทั้งคู่ก็จะเลิกกัน...แล้วตะวันก็จะซมซานมากอดขาเขาเหมือนเช่นเคย
แต่ยามนี้นอกจากจะไม่สนใจแล้วไอ้ผู้ชายตัวใหญ่คนนี้ยังมีหน้ามาพูดอวดรวยกับเขาคล้ายว่าการให้ปานตะวันมาอยู่ด้วยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ฝ่ายนั้นจะเอาเงินไปมากเท่าไหร่ก็ไม่สน!
ธีร์กัดฟัน เขาเหลือสองแผนการสุดท้าย
“แล้วมันรักคุณเท่าที่คุณรักมันหรือเปล่า มันเคยเล่า ‘ความลับ’ ให้คุณฟังบ้างไหม เกี่ยวกับเรื่องที่มันทำมาในอดีตน่ะ” ราเมศชะงักและธีร์ก็สังเกตได้ เขาแสยะยิ้ม “ไม่เคยสินะ”
“คุณต้องการอะไร”
ธีร์ไม่ตอบคำถาม เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่ตนนำติดมือมาด้วย สิ่งที่หยิบออกมาคือแฟลชไดรฟ์หนึ่งอัน ธีร์ส่งมันให้ราเมศ
“เอาไปสิ”
“นี่อะไร”
“ลองเปิดดู แล้วคุณจะรู้เอง”
“ทำไมผมต้องเปิด”
“ไม่อยากรู้เหรอว่าความลับของปานตะวันคืออะไร” หนุ่มหน้าตี๋พูดเนิบๆ “พอเปิดดูแล้วก็ติดต่อมาหาผม” เขาทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้อีกฝ่าย ลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อมองสีหน้าของราเมศ ธีร์เห็นแววหวั่นไหวผ่านดวงตาคู่นั้น
เขาหว่านเมล็ดแห่งความคลางแคลงลงในใจราเมศ เมื่อชายหนุ่มเปิดดูสิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ เจ้าเมล็ดนั่นก็จะแตกหน่ออ่อน ผลิใบแล้วก็เติบโต แล้วคนทั้งคู่ก็จะแยกกันในที่สุด แผนนี้อาจกินเวลาสักหน่อยแต่ถ้ามันสำเร็จธีร์แน่ใจว่าจะได้ปานตะวันคืน...แต่ถ้าไม่เขาก็มีแผนสุดท้าย
ชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปที่รถ ราเมศยังคงยืนที่เดิม พิจารณาอุปกรณ์เล็กๆ บนฝ่ามือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ธีร์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาต้องการมีแค่ปานตะวัน
หืม ทำไมเขาถึงต้องพยายามดึงตัวแฟนเก่ากลับมาขนาดนี้น่ะหรือ?
รัก? ไม่ใช่หรอก ไม่ได้รัก เขาไม่ได้รักปานตะวันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
สาเหตุที่เขาต้องการตัวปานตะวันก็เพราะ...
ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ ธีร์สบถรัวๆ เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าแต่จะไม่รับก็ไม่ได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง
“สวัสดีครับ”
[ไอ้ธีร์ มึงจำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร]
น้ำเสียงของปลายสายห้วนสั้น เกรี้ยวกราดและแสลงหูยิ่งนัก ธีร์เม้มริมฝีปาก เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผม “จำได้ครับ ผมกำลังหาอยู่ ขอ...ขอเวลาอีกสักนิด”
[ขอเวลา? มึงพูดแบบนี้มาหลายหนแล้วนะไอ้ธีร์!]
“ผมทราบครับ แต่คราวนี้ผมจะได้เงินแล้วจริงๆ ถ้าเสี่ยให้เวลาผมรับรองจะหามาคืนให้ทั้งต้นทั้งดอกแน่นอนครับ”
[เฮอะ ที่ได้ช้าขนาดนี้เพราะตอนนี้มึงตกใครไม่ได้เลยล่ะสิไอ้หมาขี้เรื้อนเอ๊ย]
ธีร์กัดฟันกรอด มือกำพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว หากแต่น้ำเสียงที่พูดออกไปยังฟังดูนอบน้อมทั้งที่ในใจเขาสาปแช่งให้อีกฝ่ายไปลงนรกให้หมด ทั้งไอ้เสี่ยสารเลวที่ปล่อยเงินกู้กับลูกน้องเฮงซวยของมันด้วย!
“ได้โปรดเถอะครับ คราวนี้ได้แน่ๆ ผมขอเวลาสักหน่อย สักสามเดือน”
[หนึ่งอาทิตย์]
“อะ...อะไรนะครับ!? เร็วขนาดนั้น”
[กูให้เวลาหนึ่งอาทิตย์! ถ้าไม่จ่ายมึงคงรู้นะจะเจออะไร]
“ครับ”
อีกฝ่ายกดตัดสายไปอย่างว่องไว ธีร์สบถคำหยาบคายออกมาลั่นรถก่อนจะเขวี้ยงโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ
ถ้าเป็นแบบนี้เขาก็เหลือตัวเลือกเดียว...เขารอไม่ได้แล้ว
ทางด้านปานตะวันหลังรับหนูเจียเสร็จและแวะซื้อของที่ทุกคนต้องการก็รีบตรงกลับร้าน ช่วงเย็นวันนี้ลูกค้าคึกคักชายหนุ่มจึงรีบเอาของไปเก็บแล้วก็กลับมาทำงาน ส่วนหนูเจียก็ไปประจำที่ที่หลังเคาน์เตอร์ วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดจนถึงสองทุ่มกว่าลูกค้าถึงได้บางตาลง พอถึงเวลาเลิกงานปานตะวันที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดลากสังขารของตัวเองไปช่วยพี่ๆ เก็บร้านจนเรียบร้อย จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
พอกลับบ้านราเมศกับปานตะวันก็ช่วยกันทำอาหาร ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างปกติสุข
ตอนเที่ยงคืนครึ่งที่ทุกคนหลับกันหมดแล้วราเมศลืมตาโพลงในความมืด เขาค่อยๆ พลิกตัวไปมองปานตะวันที่นอนอยู่ข้างกัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตาพริ้มลมหายใจสม่ำเสมอ ราเมศขยับตัวลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ อาศัยเวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อให้สายตาชินกับความมืดจากนั้นชายหนุ่มก็ลุกออกจากห้องไป
ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องหนึ่ง ราเมศเปิดเครื่อง เสียบแฟลชไดรฟ์ รอคอยด้วยหัวใจหนักอึ้ง แฟลชไดรฟ์อันนี้มีไฟล์วิดิโออยู่แค่ไฟล์เดียว มือที่จับอยู่บนเม้าส์เกร็งแน่น ไม่รู้ทำไมเขาถึงสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
‘ไม่อยากรู้เหรอ...ความลับของปานตะวันน่ะ’
อยากรู้สิ...แต่เด็กคนนั้นบอกกันให้เชื่อใจ การทำแบบนี้แปลว่าเขาผิดคำสัญญาหรือเปล่านะ?
ถ้าปานตะวันกลัวการที่เขาจะล่วงรู้...แล้วมันดีหรือเปล่าถ้าเขาจะเปิดวิดิโอนี้
ราเมศเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปานตะวันขอให้เขาสัญญาเพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนไปแต่ราเมศแน่ใจว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน
เขาแค่อยากรู้เพื่อที่จะปกป้องปานตะวันได้เท่านั้น
ราเมศเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจกดเปิดไฟล์วิดิโอนั้น
ตอนแรกหน้าจอที่ปรากฏมืดสนิท จากนั้นก็มีเสียงคนพูดและเสียงขยับอะไรบางอย่าง มือที่บังกล้องอยู่ถูกดึงกลับไปเผยให้เห็นคนห้าคนจับกลุ่มกันอยู่
ราเมศใจหายวูบ
คนที่อยู่ตรงกลางคือปานตะวัน
สภาพของปานตะวันดูแย่มาก...แล้วก็ดูไม่คล้ายปานตะวันตอนนี้เอาเสียเลย ในคลิปผมของปานตะวันยาวประบ่าและกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเขียวช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้าย อีกฝ่ายถูกชายฉกรรจ์อีกสามคนจับตัวไว้ ส่วนชายคนที่ถอยหลับออกไปจากกล้องก็หันมาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
ชายคนนั้นจิกผมปานตะวันขึ้นมาพลางพูดว่า ‘เอ้าถ่ายดีๆ ล่ะ อย่าให้สั่นนะมึง’
ราเมศขบฟันกรอดแต่ก็ยังดูต่อไป
ผู้ชายคนที่กระชากผมปานตะวันอยู่หัวเราะแล้วก็หันมาพูดกับกล้องว่า ‘ไหนตอบเขาไปสิคนสวย มึงชื่ออะไร’ ปานตะวันหอบหายใจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ‘ปานตะวัน’
‘แล้วแฟนมึงล่ะ’
‘ธีร์’
‘มึงรู้ไหมว่าทำไมวันนี้มึงมีสภาพนี้ ช่วยบอกผู้ชมของเราหน่อย เขาจะได้ไม่คิดว่าพวกกูเป็นพวกใจร้ายรังแกคนไม่มีทางสู้’
‘พวกเรา...อึก...’
‘พูดดังๆ!’
ร่างของปานตะวันสะดุ้งเพราะเสียงตะคอกนั้น หยดน้ำตาเริ่มกลิ้งไปตามแก้มบวมช้ำและห้อเลือดแต่ในที่นั้นไม่มีใครสงสารชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ทุกคนเมื่อเห็นว่าปานตะวันร้องไห้ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยสบกล้อง คล้ายกับกำลังมองตรงมา...ราเมศมองเห็นสายตาอ้อนวอน เจ็บปวด และสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งมาให้ วูบหนึ่งเขาคิดว่ามันถูกส่งมาถึงเขา...แต่เปล่าเลย
สายตานั้นถูกส่งไปให้ธีร์ต่างหาก
ช่วยด้วย
ริมฝีปากแห้งแตกขยับเบาๆ เป็นคำนี้
‘กูสั่งให้มึงพูด!’
กำปั้นหนักๆ ซัดเข้าที่แก้มซ้ายปานตะวัน ใบหน้านั้นสะบัดตามแรงชก บนพื้นปรากฏหยดเลือดสีเข้ม ราเมศกำที่วางแขนเก้าอี้แน่น
เขาโกรธ...โกรธมาก ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดมาก
‘พวกเรา...ติดหนี้...ห้าหมื่น’ น้ำเสียงปานตะวันกระท่อนกระแท่น ‘เราไม่มีเงินจ่าย’
‘กูให้เวลามึงกี่วัน’
‘สามเดือน’
‘มึงบอกจะจ่าย’
‘ครับ’
‘แล้วไหนเงิน’
‘ไม่...ไม่มี...อึก’
‘คนผิดสัญญาก็ต้องถูกทำโทษใช่ไหม’
ชายคนนั้นย่อตัวลง ลูบใบหน้าปานตะวัน ท่าทีอ่อนโยนแต่แววตาโหดเหี้ยม พรรคพวกอีกสองสามคนที่ล็อกตัวปานตะวันอยู่ก็หัวเราะลั่น
‘อืม ทำโทษอะไรดีนะ มึงก็มีสภาพแบบนี้แล้ว มากไปเดี๋ยวจะตายเอา พวกกูขี้เกียจยุ่งยาก’ ร่างสูงใหญ่เดินวนรอบตัวปานตะวันราวกับนักล่าเตรียมขย้ำเหยื่อ ‘แฟนมึงนี่ก็ดีนะไอ้ตะวัน ตัวเองหนีหายหัวหนีไป ทิ้งมึงไว้ให้มีสภาพแบบนี้’
ปานตะวันเบิกตากว้างเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
‘ก็ถือว่ามึงซวยเองที่มีแฟนเหี้ยๆ แบบนี้’
คนพูดถ่มน้ำลายลงตรงพื้นเบื้องหน้าปานตะวัน จากนั้นหมัดอีกหนึ่งหมัดก็ซัดเข้าที่ท้องจนร่างผอมบางตัวงอ ร่วงลงไปกองกับพื้น
‘อึก...แค่ก’
‘ถอดเสื้อมันออก’
‘ไม่...อึก...ไม่เอานะ’
ร่างที่พื้นพยายามคลานหนีแต่ก็ถูกลากตัวกลับมา ทั้งมือทั้งเท้าระดมเตะต่อยไปตามตัวพร้อมๆ กับที่ถูกกระชากเสื้อและกางเกงออกไปด้วย สุดท้ายร่างขาวนั้นก็เปลือยเปล่านอนขดอยู่เป็นกุ้งแทบเท้าคนทั้งสี่
ชายฉกรรจ์อีกสองคนหิ้วปีกปานตะวันขึ้นมาจับมือไพล่หลัง
‘ถ่ายคลิปนี้แล้วส่งให้แฟนมึงดูดีกว่า ดีไหม ดูให้ดีนะไอ้ธีร์ ดูว่าพวกกูทำอะไรกับที่รักของมึง’
จบประโยคนั้นปานตะวันก็กลายเป็นกระสอบทรายมนุษย์ ถูกซ้อมจนเยินไปทั้งตัว แต่คนพวกนั้นไม่ได้แค่ซ้อม พวกมันยังจับ ลูบคลำไปทั้งร่าง ปานตะวันพยายามหาโอกาสเงยหน้ามองกล้อง ขยับปากเรียกชื่อธีร์แล้วก็ขอความช่วยเหลือ ดวงตาคู่นั้นสิ้นหวังลงทุกที
‘ฮ่าๆๆ พวกมึงดู มันกลัวจนฉี่ราดเลยว่ะ’
หนึ่งในกลุ่มคนที่จับตัวปานตะวันอยู่พูดขึ้น ร่างนั้นอ่อนปวกเปียกไปหมด สีหน้าที่เดิมทีมีแววสิ้นหวังฉายอยู่บัดนี้ราบเรียบพอๆ กับดวงตาคู่นั้น
ว่างเปล่า...เหมือนไม่สนอีกแล้วว่าตัวเองจะตายหรือไม่ตาย
ฝ่ามือพวกนั้นบางทีก็ลูบไล้อยู่บนเรือนร่าง บางคนก็ขบกัดไปตามผิวขาวจนห้อเลือดแล้วก็ตวัดมือตบ บางคนก็ประเคนหมัดเข้าใส่ ไม่ได้ถูกข่มขืน...แต่ก็อดสูไม่ต่างกันเลย
เสียงสะอื้นไห้ เสียงอ้อนวอนดังไม่ขาดจนในที่สุดคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นว่า ‘พอแล้ว เดี๋ยวมันตาย’ร่างของปานตะวันถูกโยนลงไปกองกับพื้นเหมือนขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ชายร่างสูงมองเหยียด
‘มึงจำไว้นะ ถ้าหนหน้ามึงเบี้ยวไม่จ่ายเงินอีกคลิปนี่จะได้ส่งถึงแค่ไอ้ธีร์เท่านั้นแต่มันจะขึ้นไปอยู่บนเว็บโป๊เลยล่ะ ฮ่าๆ กูว่าพวกโรคจิตชอบแนวรุนแรงคงมีไม่น้อย’
‘ขอโทษ...อึก...ครับ...ได้โปรด...ได้โปรด ขอเวลาอีกสักนิด เราจะหามาคืนให้’
ปานตะวันคลานไปเกาะขาอีกฝ่ายแต่ก็ถูกเตะออก
ราเมศจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ร่างนั้นนอนอยู่กับพื้น ดวงตาไร้แววมีน้ำตาหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย ริมฝีปากบางขยับเป็นคำๆ หนึ่ง
ธีร์...ช่วยด้วย
จนถึงตอนนี้ก็ยังร้องเรียก...คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
มัวแต่เรียกหาคนที่ไม่มีวันได้ยิน
ภาพสุดท้ายก่อนวีดิโอนี้จะจบลงคือใบหน้านองน้ำตาที่ถูกซูมเข้าไปจนเห็นทุกรอยแผลได้ชัดเจนของปานตะวัน
ราเมศกดปิดวิดิโอ ดึงแฟลชไดรฟ์ออก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ยกมือปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า เพราะแบบนี้สินะ ปานตะวันถึงได้ไม่อยากให้เขารู้ สภาพน่าอดสูเช่นนั้นเป็นใครก็คงอยากจะลืม อยากจะลบทิ้งไปจนวันตาย
เอี๊ยด
เสียงบานพับประตูลั่นเบาๆ แต่ท่ามกลางความเงียบเช่นนี้ราเมศกลับได้ยินมันชัดเจน เขารีบหันกลับไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว...แล้วก็ทันเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตานั้นหันกลับไป
“ตะวัน!” ราเมศตะโกนเรียกชื่อคนรัก เขาไล่ตามอีกฝ่ายไปแต่ก็ไม่ทัน ปานตะวันหนีหายลงจากเรือนไป เห็นหลังไวๆ อยู่ด้านล่าง
“ตะวันรอเดี๋ยว!” ราเมศกำลังจะวิ่งลงจากเรือน ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของหลานชายดังมาจากในห้อง หนูเจียคงฝันร้ายแล้วตื่นมากลางดึก ไม่เจอผู้ใหญ่รอบตัวเลยปี่แตก
โธ่เว้ย จะประจวบเหมาะอะไรขนาดนี้
ช่วงนาทีที่เขาลังเลแล้วเผลอชะลอฝีเท้า ปานตะวันก็สตาร์ตรถแล้วบึ่งออกจากบ้านไปแล้ว เสียงเร่งเครื่องยนต์แผดก้องในยามราตรีก่อนที่แสงไฟจากรถยนต์จะค่อยๆ ลับตาไป
*******************************************************
สวัสดีค่าทุกคนนน (ค่อยๆ หลบออก) อย่าเพิ่งขว้างปาข้าวของกันนะคะ ;w; ฮือออออ
ตอนนี้ยอมรับว่าตัดค้างอย่างแรง วอนทุกคนใจเย็นๆ และอย่าเพิ่งตีเรา ตอนที่เราเขียนบทนี้ยอมรับเลยว่ามันหนักมาก
ขอให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้ปานตะวันผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ กอดดดด ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ 
ปล. มีใครเดาได้บ้างว่าบอดี้การ์ดที่โผล่มาเป็นใครรร
ปล 2 ติดตามข่าวสารนิยายและเม้าท์กับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ