IT is เต็มสิบ.10
การซ้อมเต้นก็เหมือนทุกวัน มีบางวันที่ต่างคนต่างต้องทำงานและต้องหยุดซ้อม มีบางวันที่ธีรพลต้องไปทำงานข้างนอก มีบางวันที่เต็มสิบต้องแก้ระบบปัญหาภายในบริษัท และมีบางวันที่ธีรพลต้องมานั่งรอเต็มสิบในแผนกไอที และการที่ธีรพลแค่มานั่งรอเงียบ ๆ เฉย ๆ ก็สร้างแรงกดดันให้กับพนักงานแผนกไอทีอีกสองคน ที่นั่งเกร็งหลังแข็ง แทบไม่กล้าขยับร่างกาย จากที่มีบางครั้งแอบเล่นกันบ้างในเวลาทำงาน แต่เวลาที่ธีรพลมาอยู่ในห้องเพื่อรอเต็มสิบไปสอนเต้น บรรยากาศก็อึมครึมชวนให้รู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่ใช่กับเต็มสิบ ที่แทบไม่ได้หันมามองคนที่นั่งนิ่งมองการทำงานของแผนกไอทีไปเรื่อย ๆ
ไม่ได้มองแบบสนใจ ไม่ได้จับผิด มีบางครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเช็คข้อมูลบางอย่างไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็คงจะพูดจาแปลก ๆ บ้าง แต่ตอนนี้ธีรพลแค่อยู่เฉย ๆ อยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนร่วมแผนกของเต็มสิบจะคิดยังไง
“พี่เต็ม วันนี้ผมมีธุระด่วนมาก” มะเฟืองรีบเตรียมตัวชิ่งหนีคนแรก แต่ก็ถูกฐาปัตย์ลากคอเสื้อเอาไว้
“มึงจะไปไหน อยู่ช่วยกูก่อน”
“เกี่ยวอะไรกับกู นี่งานมึงไม่ใช่งานกู” กลายเป็นเพื่อนร่วมงานแล้งน้ำใจขึ้นมาทันทีและฐาปัตย์แสยะยิ้มเย็นยะเยือกน่ากลัวจนมะเฟืองต้องค่อย ๆ นั่งลงอย่างช้า ๆ
“เงินเดือนมึง ยังใช้ไม่หมดใช่มั้ย” เจอไม้นี้เข้าไป มะเฟืองก็เลยต้องนั่งลงและส่งยิ้มแหย ๆ ให้เพื่อน
“ฐาคนดีของเฟือง”
“กูเป็นคนดีขึ้นมาทันทีเลยนะ”
แกล้งประชดไปเล็กน้อย และมะเฟืองก็บีบนวดไปที่ไหล่ของเพื่อนเพื่อประจบเอาใจ
ก็แค่การหยอกล้อกันเล่นของเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ทำให้ธีรพลที่นั่งเงียบต้องเหลือบสายตาไปมองและมะเฟืองก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่รู้ว่าถูกมอง
“ชะอุ่ย คุณธี”
ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้คนที่เหลือบสายตามอง และธีรพลก็หันกลับมามองที่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองและอ่านอะไรไปเรื่อย ๆ รอเต็มสิบที่กำลังยุ่งกับงานของตัวเอง
“เฟืองช่วยฐามันก่อน วันหยุดยาวจะได้ไม่ต้องซวยเข้าออฟฟิศกันโดยไม่จำเป็น”
ก็คงต้องเป็นแบบนั้น
ก็เลยต้องจำใจอยู่ก่อน ทั้งที่งานของตัวเองเสร็จนานแล้ว
“รีบกลับเดี๋ยวไอ้ฐามันขาดมึงแล้วมันจะขาดใจตาย ทำงานไม่เสร็จ แล้วมันจะยุ่ง”
เกี่ยวอะไรกันก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือคนที่ถูกเอ่ยถึง รีบหาข้อแก้ตัวทันที
“พี่เต็มก็พูดเกินไป ผมไม่ได้อะไรขนาดนั้นซะหน่อย”
“อะไรมึงไม่ได้ขนาดนั้นอะไร”
แกล้งถามและอมยิ้มแปลก ๆ ที่มุมปาก และคนที่ถูกตั้งคำถามก็ทำเหมือนไม่ได้ยินทั้งที่ได้ยินอยู่ชัด ๆ ทำเหมือนตั้งใจทำงานของตัวเองมาก ทั้งที่เต็มสิบก็รู้ว่ารุ่นน้องคิดอะไรอยู่ในใจ
“อะไรวะฐา”
“อะไร มีอะไรที่ไหน มึงก็ไปเชื่อพี่เต็ม โดนอำแล้วมึงอ่ะ”
ไม่พูดเปล่า แต่ฐาปัตย์จัดการเขย่าหัวของเพื่อนร่วมงานไปมาและทำหน้าเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรวะ เนี่ยก็แบบนี้ทุกที กูไม่เคยรู้อะไรเล้ยยยยยยย”
ใช่
มึงไม่เคยรู้อะไรเลย มึงไม่ต้องรู้อะไรเลยต่อไปน่ะดีแล้ว
ฐาปัตย์ก็แค่ไม่พูด และไม่ได้อยากให้มะเฟืองรู้อะไรไปมากกว่าที่ควรรู้
“เดี๋ยวอีกสิบนาที”
เต็มสิบหันไปบอกคนที่กำลังนั่งอ่านข้อความในโทรศัพท์ระหว่างรอ และธีรพลก็ตอบรับแบบง่าย ๆ ทั้งที่ตายังมองที่หน้าจอโทรศัพท์และอ่านข้อความไปเรื่อย ๆ
“อือ”
ธีรพลพยักหน้ารับและตอบเพียงแค่นั้น แต่แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นก็ทำให้ทั้งฐาปัตย์และมะเฟืองต้องหันมามองหน้ากัน
“อืม”
“อืม”
เออออ ไปพร้อมกันและมีคำถามบางอย่างในใจแต่ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา ช่วยกันทำงานให้เสร็จเรียบร้อย และอีกสิบนาทีหลังจากนั้น เต็มสิบก็ทำงานเสร็จเรียบร้อยและเจ้าหน้าที่แผนกไอทีทั้งสามคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
เต็มสิบแยกไปกับธีรพล เพื่ออยู่ซ้อมเต้นตามที่นัดกันเอาไว้
ฐาปัตย์กับมะเฟืองก็เลยกลับพร้อมกัน
“สองคนนั่นเขาไม่แดกหัวกันแล้วเหรอวะ”
มะเฟืองก็แค่สงสัยและฐาปัตย์ก็หันมามองคนที่เดินมาด้วยกันเพื่อไปที่รถที่จอดอยู่
“มึงก็ไปถามเขาสิ มาถามกูจะรู้มั้ย”
โดนว่าแบบนั้นมะเฟืองก็เลยเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดจาไม่เข้าหูและชวนให้หงุดหงิดโมโห
“นี่มึงด่ากูว่าเสือกเหรอ”
“ไม่ได้ด่า”
“แต่ที่มึงพูดนี่เรียกว่าด่านะ”
“ใครจะไปด่าเฟืองได้ลงคอ”
ไม่ใช่แค่พูด แต่ฐาปัตย์ยังกอดคอมะเฟืองเอาไว้และหัวเราะออกมาแต่ก็ถูกดึงแขนออกทันทีและเพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนโกรธเข้าแล้ว
“ล้อเล่นนิดเดียวเองเฟือง”
“กูเพื่อนเล่นมึงเหรอ”
โดนตอกกลับแบบนั้น และมะเฟืองก็ก้าวขาให้เร็วขึ้นเพื่อหนีการเดินตามของฐาปัตย์
“เฟือง”
“โกรธจริงดิ”
“เฟือง”
ดึงแขนของคนที่เดินหนีเอาไว้และมะเฟืองก็หันกลับมามองและทำหน้าบึ้งใส่ทันที
“ที่พูดนั่นล้อเล่นนิดเดียวเองนะเฟือง”
“.................”
“.................”
“ไอ้เฟือง.....”
“อารายยยยยยยยย กูก็ล้อเล่นนิดเดียวเหมือนกันงายยยยย”
มะเฟืองถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อเห็นหน้าของฐาปัตย์ที่ทำเหมือนกังวลจริง ๆ ที่ถูกโกรธ
“เฟืองแม่ง นิสัยเสียว่ะ”
“โห คนเรา ล้อเล่นนิดเดียวก็ไม่ได้”
“กับคนอื่นจะล้อเล่นแค่ไหนก็ช่างเถอะ แต่กับมึงกูจริงจัง”
มะเฟืองชะงักนิ่งค้างกับสิ่งที่เพื่อนร่วมแผนกพูด และได้แต่มองหน้าของฐาปัตย์นิ่ง ๆ และส่งยิ้มบาง ๆ ให้
“ขอบใจว่ะ”
ฐาปัตย์เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด และมะเฟืองก็รู้สึกดีเสมอที่ฐาปัตย์จริงจังด้วยและคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ ตบไหล่ของเพื่อนเบา ๆ และฐาปัตย์ก็กอดคอมะเฟืองไว้เหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน
ทุก ๆ วันที่อยู่ด้วยกันจนชิน จนเหมือนจะขาดกันไม่ได้
“ตกลงพี่เต็มกับคุณธีเขาไม่แดกหัวกันแล้วเหรอวะ” ยังคงคาใจสงสัยและฐาปัตย์ก็หัวเราะออกมาเพราะสิ่งที่มะเฟืองถาม
“ไม่เสือกสิครับ เฟือง”
“ไอ้ฐา” มะเฟืองกระทุ้งข้อศอกไปที่เอวของเพื่อนและฐาปัตย์ก็ยกมือขึ้นกุมท้องและหัวเราะออกมา
“แหม ล้อเล่นน่า เขาซ้อมด้วยกันทุกวัน มัวแดกหัวกันทุกวันก็แย่สิ”
“เออ ก็จริงนะ”
“แล้วว่าไง เราจะซ้อมกันเมื่อไหร่ล่ะเฟือง”
“เมื่อฐาให้เฟืองยืมก่อนสองพัน” โดนรีดไถเงินกันแบบซึ่งหน้าและฐาปัตย์ก็เขย่าหัวของมะเฟืองด้วยความหมั่นไส้
“มึงนี่ หน้าเงินจริง ๆ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ไม่ว่ากี่ครั้ง ฐาปัตย์ก็ไม่เคยปล่อยให้มะเฟืองต้องเดือดร้อนลำบากเลยสักครั้งเดียว
+++++++
“วันนี้ผมขอเลิกเร็วหน่อย รถผมเสียส่งเข้าอู่ไปแล้ว ซอยบ้านผมมันลึกเข้าไปไกลแท็กซี่ไม่ค่อยอยากไป ต้องยืนรอนาน กว่าจะมีแท็กซี่ยอมเข้าไป”
ธีรพลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู และเต็มสิบก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อและมองคนที่เดินไปหยิบของที่วางเอาไว้บนเก้าอี้
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง” ปฏิเสธกันแบบไม่เหลือเยื่อใย และเต็มสิบก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ก็แล้วแต่”
ตอบแบบนั้นและเต็มสิบก็เหลือบสายตามองไปที่ธีรพลที่เก็บของเรียบร้อยและไม่ได้สนใจคำตอบของเต็มสิบเลย แยกย้ายกันกลับและไม่ได้สนใจอะไรกันอีก ต่างคนต่างกลับ ธีรพลเดินออกจากบริษัทและเต็มสิบก็ขับรถออกจากบริษัทในเวลาไล่เลี่ยกัน
ธีรพลแค่เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อจะไปเรียกแท็กซี่ และเต็มสิบที่ขับรถออกมาก็ชะลอรถขับให้ช้าลงและธีรพลก็หันไปมองคนที่ขับรถเทียบอยู่ข้าง ๆ
“ว่าไงน้องสาว ไหวอะเปล่าเบเบ้” ก็แค่เปิดเพลงฟัง และเปิดกระจกรถและเหลือบสายตามองหน้าของธีรพลไปด้วยระหว่างขับรถ
“คุณเต็มสิบคุณทำอะไรของคุณ” ธีรพลหันมาถามคนที่ทำเรื่องไม่เข้าท่าและไร้สาระที่สุด
“อ้าว คุณไม่เห็นเหรอว่าผมขับรถอยู่”
ใช่
เห็นอยู่ว่าขัุบรถ และขับช้าจนถึงขนาดที่สามารถคุยด้วยกันได้ ทำแบบนี้เหมือนแกล้งกันชัด ๆ ธีรพลไม่เข้าใจว่าเต็มสิบทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“นั่นผมเห็นแล้ว แล้วคุณจะขับช้าขนาดนี้ไปทำไม”
“ผมประหยัดน้ำมันอยู่” ตอบกลับได้กวนประสาทที่สุด และธีรพลก็นึกโมโหที่โดนกวนใส่แต่ไม่รู้จะทำยังไง
“คุณนี่มัน” พูดอะไรไม่ออก และรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เต็มสิบทำจนอยากจะด่าคนที่ทำอะไรไร้สาระอย่างถึงที่สุด
“เหมารถผมไปส่งที่บ้านคุณสิ จะได้ไม่ต้องไปเรียกแท็กซี่”
นั่นใช่เรื่องเหรอ นั่นใช่เรื่องที่สมควรทำมั้ย
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย คุณทำบ้าอะไรของคุณ”
“ผมหาลำไพ่พิเศษ คุณก็รู้ไอทีไม่ได้รวยเหมือนประชาสัมพันธ์ ผมคิดราคากันเอง ถือว่ายังไงก็ทำงานที่เดียวกัน”
มันไม่ใช่เรื่องเลย แบบนี้มันไม่ใช่
“คุณเต็มสิบ”
“คุณธีรพล”
โดนเรียกชื่อมาเต็มสิบก็แค่เรียกชื่อกลับและลอยหน้าลอยตาอย่างมีความสุข
“ผมคิดแค่ค่าน้ำมันรถ ช่วยหน่อยเถอะ ผมคิดแค่สองร้อยก็ได้ นี่คุณจะไม่ช่วยเพื่อนร่วมงานที่อุตส่าห์ช่วยคุณซ้อมเต้นอยู่ทุกวันเหรอ”
ธีรพลไม่รู้ว่าเต็มสิบทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และเมื่อจะอ้าปากพูด รถคันหลังที่ขับตามมาก็เปิดกระจกออกมาตะโกนด่าและบีบแตรเสียงดังลั่น
“โว้ยยยยยยย ไม่เกรงใจชาวบ้านกันเลยหรือไง ไปจีบกันที่อื่นโว้ยยยยย”
เพราะโดนด่าและบีบแตรไล่เต็มสิบก็เลยต้องเร่งเร้าให้ธีรพลขึ้นมาบนรถ
“ชิบหายแล้ว คุณธี เร็ว ๆ เดี๋ยวผมโดนยิงตายห่าเลยนะคุณ ขึ้นมาเร็ว ๆ เข้า คุณอยากให้ผมโดนยิงตายหรือไง”
นั่นไม่ใช่ปัญหาของธีรพลเลยสักนิด แต่ก็ต้องรีบเปิดประตูรถและขึ้นมานั่งอยู่บนรถของเต็มสิบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโดนยิงตายอย่างที่เต็มสิบว่า
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
รีบขับออกมาก่อนจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทและธีรพลก็หันมามองคนที่ทำหน้าเหมือนโล่งใจทั้งที่เพิ่งก่อปัญหามา
“คุณนี่มันเกินไปจริง ๆ”
หันไปด่าคนที่ขับรถได้กวนประสาทที่สุดในโลก และเต็มสิบก็ส่งยิ้มให้ธีรพลที่ยังหงุดหงิดหัวเสียกับสิ่งที่เต็มสิบทำ
“นี่แหละโทษฐานของการเล่นตัวเยอะ”
ไม่เกี่ยวกับธีรพลเลยสักนิด แต่กลายเป็นธีรพลต้องเป็นฝ่ายรับความผิดนี้เอาไว้
“มันใช่เรื่องของผมที่ไหน”
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเล่นตัว แล้วก็ยอมใช้บริการเหมารถรับจ้างของผมตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้ไง”
“คุณเต็มสิบ”
อีกแล้ว อีกแล้ว โดนเรียกแบบนี้อีกแล้ว และเต็มสิบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เอาน่า เดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน”
แล้วทำไมธีรพลต้องทำแบบนั้นด้วย ทำไมต้องไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกับเจ้าหน้าที่แผนกไอทีที่กวนประสาทที่สุดอย่างเต็มสิบด้วยธีรพลไม่เข้าใจ
“ผมไม่ได้บอกว่าจะไป”
“คุณไม่ไปก็เรื่องของคุณ แต่ผมจะไป ผมจะกินบุฟเฟ่ ผมหิว ผมต้องการกิน”
“แต่ผมไม่กินบุฟเฟ่”
ธีรพลขึ้นเสียงใส่คนที่บังคับให้ไปกินอาหารเย็นด้วยกัน และเต็มสิบก็เลิกคิ้วขึ้นสูง
“นั่นมันเรื่องของคุณ คุณจะกินหรือไม่กินมันก็เรื่องของคุณ แต่ผมจะกิน”
ธีรพลนึกอยากจะเขย่าคอของคนที่พูดจากวนประสาทที่สุดและอยากจะบีบคอเต็มสิบให้ตายไปซะ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดอกและพยายามนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อระงับความโกรธเอาไว้
“ให้ผมลงตรงหน้าถนนใหญ่”
เต็มสิบไม่ได้ตอบ แต่แกล้งถอนหายใจยาว และทำเสียงอ่อนแรงจนธีรพลต้องหันไปมอง
“ผมไม่ได้กินข้าวทั้งวันเลยนะ ผมหิวมาก ผมเหนื่อยมากจริง ๆ วันนี้ผมยุ่งทั้งวันเลยคุณก็เห็น วันก่อนผมยังไปซื้อข้าวให้คุณกินแล้วก็ยังซื้อน้ำแดงให้คุณด้วย คุณก็รู้ใช่มั้ยว่าเวลาหิวมาก ๆ มันแย่มากขนาดไหน ช่วยสงสารผมหน่อยนะครับคุณธีรพล”
ธีรพลเลยพูดอะไรไม่ออก เพราะโดนทวงบุญคุณกันซึ่งหน้า เลยได้แต่ขบริมฝีปากแน่นและพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจไปเรื่อย ๆ และเต็มสิบก็ยิ้มกว้างและหันมามองหน้าของธีรพลอีกครั้ง
“ดูหน้าผมสิ ซีดหมดแล้ว ผมหิวมากจริง ๆ นะ หิวจนจะเป็นลมแล้ว”
“งั้นก็รีบ ๆ กินรีบ ๆ กลับ”
ก็แค่เนี้ยะ ไม่เห็นต้องเรื่องมากเลย แค่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนแค่นี้ไม่น่าต้องเล่นตัวมากเลยนะคุณธีรพลที่หน้าตาดีที่สุดในฝ่ายประชาสัมพันธ์
“ผมว่าแล้วไง คุณหน้าตาดีแล้วยังจิตใจดีอีกด้วย ผมดูคุณไม่ผิดเลยจริง ๆ คุณธีรพล”
เป็นการชมที่คนถูกชมรู้สึกถึงความไม่จริงใจอย่างถึงที่สุดและธีรพลก็หันมามองหน้าของเต็มสิบทันที
“คุณนี่เหลือเกินจริง ๆ เลยคุณเต็มสิบ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้องมาอยู่ทีมเต้นเดียวกับคุณ คุณนี่มันแย่มากจริง ๆ”
ได้ยินแบบนั้นแทนที่จะโกรธแต่เต็มสิบหัวเราะออกมาด้วยความขำและตอบกลับไปให้ธีรพลโมโหจนแทบอยากทึ้งผมตัวเอง
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ คุณธีรพล”
TBC.