ใจยักษ์ 39.2
“พี่รันต์!คิดถึงจัง!” เมื่อผมย่างเท้าเข้าสู่ตัวบ้าน เด็กหนุ่มตัวสูงผมสีทองก็วิ่งโร่เข้ามากอดผมเต็มรัก ผมจึงยกมือตบหลังริวเบาๆ
“เจ้าริว ใจคอลูกจะไม่ให้พี่รันต์เขาพักให้หายเหนื่อยหน่อยหรือไง” คุณพ่อที่เดินตามมาทีหลังเอ่ยทัก ริวผละออกจากผมแล้ววิ่งไปกอดคุณพ่อทันที
“คุณพ่อสวัสดีครับ ริวคิดถึงคุณพ่อเหมือนกัน”
“รู้แล้วๆขี้ประจบจริงๆลูกคนนี้” คุณพ่อลูบหัวริวด้วยความเอ็นดู ผมเผยรอยยิ้มบางๆเมื่อเห็นภาพนี้
“พี่รันต์วันนี้นอนที่นี่นะครับ น้า” ผมนิ่งคิดแต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังจากคุณพ่อปากผมก็ตอบไปเองโดยอัตโนมัติ
“อืม”
“เย้ รักพี่รันต์ที่สุด” โตแต่ตัวจริงๆเจ้าริว
“คุณน้อง” นมใจที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมเมื่อไหร่รู้เอ่ยเรียก ผมฉีกยิ้มกว้างแล้วจึงโน้มตัวไปกอดร่างท้วมของแม่นมแน่นๆพร้อมหอมแก้มซ้ายทีขวาที
“น้องคิดถึงนมที่สุดเล้ย”
“แหม ตั้งแต่มีแฟนนี่ปากหวานขึ้นนะคะเนี่ยคุณหนูของนม” นมได้ทีก็แซวผมใหญ่ ผมก็ได้แต่ยิ้มแก้มแดงๆอย่างเดียว
แฟนหรอ...เดี๋ยวนะ!
ผมนึกออกแล้วว่าผมลืมอะไรไปสักอย่าง ที่แท้ก็นัดทศกัณฐ์ไว้นี่เอง
Rrrr Rrrr Rrrr
‘ยักษ์ใหญ่’
ชิบหายละ!ยังไม่ทันได้ขาดคำเลย
“น้องขอไปคุยโทรศัพท์แปบหนึ่งนะครับ” ผมบอกทุกคนก่อนจะแยกตัวไปคุยโทรศัพท์อีกด้าน
ติ๊ด!
(อยู่ไหน?)น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ถูกส่งผ่านออกมาทำให้ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะตอบเขา
“อยู่...บ้านน้อง”
(...)
“ยักษ์ น้องขอโทษนะครับ คือคุณพ่อมารับแล้วเราคุยกันเพลิน น้องเลย...ลืม”
(...ไม่เป็นไร) โทนเสียงของเขายังปกติไม่มีกระแสอารมณ์อื่นเจือปนอยู่ในนั้น
“โกรธไหม” ผมถามอย่างร้อนใจ รู้สึกไม่ดีสุดๆ อย่างน้อยถ้าไม่ลืมก็จะได้โทรบอกให้เขาไม่ต้องไปรับ ผมอยู่กับทศกัณฐ์ทุกวัน ในขณะเดียวกันคุณพ่อคือคนที่นานๆได้เจอกันที ผมก็ไม่อยากปฏิเสธ
(ไม่โกรธ...จะกลับตอนไหน เดี๋ยวพี่ไป)
“ยักษ์...วันนี้น้องค้างที่บ้านนะ”
(อืม)
“ยักษ์ มากินข้าวที่บ้านกับน้องไหม”
(น้องกินเถอะ กว่าพี่จะถึงคงไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง)
“น้องจะรอ”
(ไม่เอาดิ นานๆได้อยู่กับครอบครัวทั้งทีนะ)
“พี่ก็ครอบครัวน้อง” เสียงผมเริ่มสั่น ทำไมเขาต้องทำเหมือนตัวเองเป็นคนนอกด้วย
(อย่างอแงดิ ไม่ได้อยู่โอ๋นะ)
“ก็มาสิ...ฮึก”
(ร้องไห้ทำไมครับ วันนี้วันเกิดน้องนะ...น้องต้องมีความสุขมากๆ)
“…”ผมเงียบแต่น้ำตามันไหลแล้วไง ทำไมเขาต้องพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆที่เขาก็คงรู้สึกไม่น้อยไปกว่าผม
(พี่โอเคจริงๆ น้องอย่าร้องเลยนะ...พี่ใจจะขาด)
“ฮึก ครับ”
(ครับก็เงียบดิ)
“เงียบแล้วจะให้คุยยังไง”
(กวนตีนแล้วก้าง) บางครั้งทศกัณฐ์ก็จะชอบเรียกผมว่าก้างเนื่องจากว่าผมผอมจนเกินไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเรียกสงสัยผมจะอ้วนขึ้นจริงๆ
“ยักษ์...น้องรักยักษ์มากๆนะ” ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด ยิ่งบอกรักยิ่งแล้วใหญ่ ตั้งแต่วันที่เขาขอคบผมก็ไม่เคยพูดอีก ทศกัณฐ์ก็นิสัยคล้ายๆกับผม เราชอบที่จะแสดงออกมากกว่ามาบรรยายเป็นคำพูด
แต่ที่ผมบอกเขาในวันนี้ ก็เพราะผมอยากให้เขามั่นใจว่าผมยังรักและคิดถึงเขาเสมอ แม้บางบางช่วงเวลาอาจจะหลงๆลืมๆไปบ้าง...นิดหน่อย(ช่วงนี้ผมพักผ่อนน้อยนี่)
(พี่ก็รักน้องมากๆๆเหมือนกัน)
“อื้อ” ถ้าทศกัณฐ์กัณฐ์ยืนอยู่ตรงหน้า ผมต้องเขินเขาหนักกว่ามากกว่านี้แน่ๆ
(พรุ่งนี้เจอกัน)
ผมรับคำทศกัณฐ์อีกไม่กี่คำแล้วกดวางสายจากนั้นจึงเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วเดินเข้าไปหาทุกคนที่รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ จากนั้นเราก็พากันทานอาหารซึ่งมีแต่ของโปรดของผมจริงๆอยู่เต็มโต๊ะ ตบท้ายด้วยเค้กชาเขียวก้อนใหญ่ขนาดประมาณสามปอนด์
ช่วงประมาณสามทุ่มปาร์ตี้เล็กๆก็เลิก ริวกับคุณพ่อตามมาส่งผมถึงบนห้อง พวกเขาผลัดกันกอดและหอมแก้มผมคนละทีสองทีด้วยความรักใคร่
ริวงอแงจะนอนกับผมให้ได้ สุดท้ายผมก็ใจอ่อนยอมให้เขามานอนด้วย ตกดึกผมก็นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา น่าแปลกที่ผมรู้สึกนอนไม่หลับเลย ทั้งๆที่ห้องนี้ผมก็เคยนอนหลับสนิทมาหลายปีแต่ทำไมวันนี้ผมถึงข่มตาให้หลับลงไม่ได้
“พี่รันต์นอนไม่หลับหรือครับ” ริวที่นอนอยู่ข้างๆถามด้วยน้ำเสียงติดจะงัวเงีย
“อืม...นิดหน่อย” ผมยื่นมือไปลูบหัวน้องเบาๆกล่อมให้หลับ
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า”
“เปล่า”
หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างเงียบไปจนสักพักริวก็เด้งตัวขึ้น เปิดโคมไฟข้างหัวเตียง
“พี่รันต์ลุกมาเก็บของเถอะครับ เดี๋ยวริวจะไปส่ง”
“ไปไหน?” ผมลุกขึ้นถามด้วยความงงงวย
“ตอนนี้ใจพี่รันต์นึกถึงใคร ก็ไปที่นั่นแหละ” ริวพูดยิ้มๆเหมือนรู้ทัน
“พี่...”ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธคนเป็นน้องแต่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนคำพูด “ขอบใจนะ”
“ริวรู้ใจพี่รันต์อยู่แล้ว แต่วันหลังพี่รันต์ต้องมานอนชดเชยกับริวนะ หลายๆวันด้วย” ริวพูดอย่างเด็กเอาแต่ใจ ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าตกลง ผมใช้เวลาเก็บข้าวของไม่นาน ส่วนริวเดินไปล้างหน้าให้สดชื่น ตอนที่เราเดินออกจากห้อง ก็มีบางคนเดินขึ้นมาจากด้านล่าง
“สองพี่น้องจะพากันไปไหน” ริวสะดุ้งตามเสียงของคนที่เราคิดว่าหลับไปแล้ว คุณพ่อเลิกคิ้วนิดๆมองกล่องของขวัญที่เต็มไม้เต็มมือผม
“คือ...”ริวกำลังอ้าปากจะอธิบายแต่ผมก็ชิงตัดบทพูดก่อน
“น้องจะไปหาเขาครับ ริวเลยจะไปส่ง”
“ทศกัณฐ์?”
“ครับ” ผมมองสบตาคุณพ่อตรงๆ อยากให้เขาเข้าใจว่าทศกัณฐ์ก็สำคัญไม่แพ้ใคร
“อืม...เอาไว้วันหลังพาเขามาทานข้าวที่บ้านด้วยกันนะ”คุณพ่อคลี่ยิ้มบางพร้อมลูบหัวผมเบาๆ ผมฉีกยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มที่เริ่มย่นเล็กน้อยไปตามกาลเวลา
“ขอบคุณครับ พรุ่งนี้เดี๋ยวน้องจะโทรหา”
คุณพ่อรับคำแล้วหันไปกำชับริวให้ขับรถดีๆ ริวขับรถพาผมไปส่งด้วยอัตราเร็วคงที่เนื่องด้วยถนนเส้นทางนี้ยามห้าทุ่มนั้นค่อนข้างโล่งจึงทำให้ริวมาส่งผมด้วยระยะเวลาแค่สี่สิบนาที
“พี่ไปแล้ว ขอบใจมากนะ” ผมปลดเบลท์แล้วหันไปเอ่ยลาริวที่นั่งจ้องหน้าผมแป๋ว
“เขาโชคดีจริงๆที่พี่รันต์รักเขามากขนาดนี้”
“พี่ก็โชคดีจริงๆที่มีน้องรักที่รักพี่ขนาดนี้” ผมยื่นมือไปขยี้ทรงผมเท่ๆของเขาเบาๆ ริวฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ผมผงะนิดๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผู้ชายรอบตัวผมเป็นอะไรกันไปหมดนะ ชอบมากอดมาหอมผมกันจริง
ผมเดินเข้าตึก สแกนคีย์การ์ดเข้าลิฟท์ รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆขณะที่ลิฟท์กำลังเดินทางถึงชั้นสี่สิบ เมื่อลิฟท์เปิดออกผมก็ค่อยๆย่างก้าวไปถึงห้องที่คุ้นเคย
ผมกดรหัสเข้าห้อง ภายในเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศแต่ทุกอย่างกับเงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ผมกดเปิดไฟ กวาดตามองไปรอบๆห้อง เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มสี่สิบห้า
ผมวางของไว้บนโต๊ะแล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองเมื่อไม่พบเขาที่ห้องนั่งเล่น เปิดแง้มประตูเบาๆ ไอเย็นจากแอร์ปะทะหน้าผมทันที ทศกัณฐ์เป็นคนขี้ร้อนมากเรื่องนั้นผมรู้ดี แต่เมื่อผมนอนด้วยเขาจะปรับอุณหภูมิให้เย็นพอเหมาะ บ่งบอกว่าเขาเอาใจใส่ผมแค่ไหน
ได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆมาจากบนเตียง ผมเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มที่กองไว้ฝั่งของผม ค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะค่อยๆซุกหน้าเข้ากับแขนแกร่ง เบียดตัวเข้าหาอย่างต้องการความอบอุ่น ชั่วพริบตาคนที่ผมคิดว่ากำลังหลับอยู่กลับพลิกตัวขึ้นมาคร่อมทับตัวผมไว้อย่างรวดเร็ว
“ไหนว่าไม่กลับ?” ในน้ำเสียงเขาไม่มีความง่วงงุนอยู่เลยแม้แต่น้อย ลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่เหนือหน้าผากผมไม่กี่นิ้ว ผมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ
“แล้วกลับไม่ได้หรือไง?”
“ได้ตามที่น้องต้องการครับ” แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าเขาแต่ก็รู้ได้เลยว่าอีกคนกำลังยิ้มอยู่
“ฮึ!”
“คิดถึงพี่อ่ะดิ”
“อื้อ คิดถึงมาก นอนไม่หลับเลย”
ผมยื่นมือไปลูบแก้มสากเบาๆเมื่อเขาชะงักค้างไป ทศกัณกัณฐ์หายใจแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟบนหัวเตียง ทศกัณฐ์มองผมด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาก้มลงมาประทับจูบบนหน้าผากผมเนิ่นนานก่อนจะค่อยๆขยับจูบไล่ไปตามขมับ พวงแก้ม แล้วหยุดอยู่ชิดริมฝีปาก
“จะทำให้รักไปถึงไหน แค่นี้ก็ขาดไม่ได้แล้ว”
“นั่นแหละที่น้องต้องการ” ผมฉีกยิ้มมองเขาโดยไม่หลบสายตา สื่อความหมายให้เขารู้ว่าที่ผมพูดไปนั่นคือเรื่องจริง
ทศกัณฐ์กระตุกยิ้มก่อนจะแนบรุมฝีปากประทับจุมพิตด้วยความอ่อนหวาน ผมจูบตอบอีกคนด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา ริมฝีปากหนาค่อยๆละเลียดชิมบดจูบช้าๆและอ่อนโยน
“สุขสันต์วันเกิดนะเด็กน้อย มีความสุขมากๆสุขภาพร่างกายแข็งแรงเป็นดวงใจของพี่ตลอดไป” อีกคนอวยพรสั้นๆแล้วกดจูบบนหน้าผากผมอีกรอบแผ่วเบา
“ครับ” ถ้าหากในวันเกิดเราสามารถขอพรได้หนึ่งอย่าง ผมก็ขอให้คนที่ผมรักทุกคนมีแต่ความสุขและอยู่กับผมไปในทุกๆปี
ทศกัณฐ์พลิกตัวลงนอนข้างๆ รั้งตัวผมไปกอดแนบอกลูบหัวกล่อมผมเบาๆราวกับเป็นเด็กน้อย แต่ถึงกระนั้นไม่กี่วินาทีถัดมาผมก็หลับสนิทในอ้อมแขนคนรักอย่างง่ายดาย
จวบจนกระทั่งช่วงเวลาใกล้รุ่ง ผมสะดุ้งตื่นเพราะปวดฉี่ ผมค่อยแกะมือทศกัณฐ์ออกจากบั้นเอวแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ รู้สึกคอแห้งเลยเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กในห้อง แต่น้ำดันหมด ผมเลยเดินไปชั้นล่างแทน
เมื่อถึงในครัวผมก็ตรงดิ่งไปหาตู้เย็นเทน้ำใส่แก้วแล้วดื่มดับกระหาย ในจังหวะที่หมุนตัวออกจากครัว สายตาผมเหลือบไปทางห้องกินข้าวเห็นเห็นเงาตะคุ่มๆขิงบางสิ่งวางไว้โดดๆอยู่บนโต๊ะอาหาร ผมเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปอีกทางเปิดไฟห้องกินข้าว ก้าวเข้าไปใกล้สิ่งนั้นชัดๆมือจับฝาครอบให้เปิดออก
มันคือ...ข้าวผัด รึเปล่านะ?
ผมมองพิจารณาข้าวสีน้ำตาลที่มีลักษณะค่อนข้างเละปะปนอยู่กับไข่สีเหลืองมีผักปะปรายดูไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่ ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นข้าวผัดเพราะว่ามีแตงกวารูปร่างบางหนาไม่เท่ากันพร้อมกับมะนาวอีกหนึ่งลูกที่วางประดับอยู่ขอบจาน
ย้ำนะครับว่ามะนาวหนึ่งลูก!
ผมทรุดตัวนั่งเก้าอี้ เลื่อนจานอาหารมาตรงหน้า หยิบช้อนและซ่อมที่เตรียมไว้ข้างจานขึ้นมา ก่อนจะตักคำแรกเข้าปาก รสสัมผัสแรกก็เกือบทำให้ผมคายทิ้งออกแล้ว แต่เดาว่าใครเป็นคนทำก็ทำให้ผมสามารถเคียวคำต่อๆไปได้
รสชาติมันค่อนข้างจะเค็มมาก เค็มจนปลายลิ้นชาเลยทีเดียว ผมจึงหยิบมะนาวไปที่ครัว ใช้มีดผ่าเป็นซีกๆแล้วบีบใส่ข้าวผัด รสชาติค่อยกินได้ขึ้นมาหน่อย บางคำก็มีเศษเปลือกไข่มาให้เคี้ยวเล่นได้อารมณ์ไปอีกแบบ
มันก็ไม่ได้เป็นการฝืนกินอะไร กลับกันผมรู้สึกว่าผมสามารถกินได้อีกถ้าเขาเป็นคนทำให้ ข้าวผัดจานนี้แม้รสชาติจะไม่ได้อร่อยติดไปทางย่ำแย่ด้วยซ้ำ แต่ผมสัมผัสได้ว่าเขาใส่ใจและอยากทำให้ผมจริงๆมันจึงทำให้ผมสามารถกินอาหารจานนี้ได้เรื่อยๆจนหมด
ผมมองจานอาหารที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันทั้งคาดไม่ถึงทั้งอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคือมันอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
ผมอมยิ้มเล็กๆเก็บจานไปล้างทำความสะอาด ดื่มน้ำล้างปากเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปยังชั้นสอง
ผมสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกคนอีกนิดแล้วซุกหน้ากับแขนแกร่ง
ทศกัณฐ์ขยับตัวน้อยๆก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดซุกอกเขา ผมกอดเอวสอบแน่นแล้วผงกหัวขึ้นจูบปลายคางของเขาแผ่วเบาก่อนจะซุกหน้าลงกับอกหนาดังเดิมแล้วหลับสนิทไปในที่สุด
+++++++++++++++
ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเจ็ดโมงเช้าก็ไม่เจอทศกัณฐ์อีกแล้ว คาดว่าเขาคงไปออกกำลังกายอีกไม่นานก็คงจะกลับ ผมขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แต่มือกลับสัมผัสไปโดนบางสิ่งที่วางอยู่บนเตียง
ผมหยิบกล่องของขวัญขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยขึ้นมาพิจารณาดู มันถูกห่อด้วยกระดาษเรียบลื่นสีน้ำตาลทองพร้อมโบว์เล็กๆประดับไว้ มีการ์ดห้อยอันเล็กว่าของขวัญสำหรับผมเป็นลายมือของทศกัณฐ์
ผมแกะห่อของขวัญออกช้าๆอย่างประณีต ค่อยๆเปิดฝากล่องออกอย่างลุ้นนิดๆ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในก็ทำให้ผมอดจะกังวลไม่ได้
ดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอก แต่ว่า...
ผมตัดสินใจลุกจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะลงไปด้านล่างก็ไม่ลืมหยิบของขวัญจากอีกคนลงไปด้วย
เมื่อเดินมาชั้นล่างทศกัณฐ์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี เขายิ้มทักทายผมด้วยใบหน้าที่สดใส ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้ามาหอมแก้มรับอรุณผมไปอีกสองที
“เป็นอะไรทำหน้าเครียดๆ”ทศกัณฐ์รั้งแขนผมไปนั่งด้วยกันบนโซฟาก่อนเอ่ยถาม
“ยักษ์...ของขวัญที่ให้น้องเอาคืนไปนะ มันมากเกินไป” ผมวางกล่องลงบนมือหนาแล้วระบายยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนที่สุด ทศกัณฐ์ก้มมองสิ่งของที่อยู่บนมือ ใบหน้าหล่อเหลาขรึมลงไปอีกหลายระดับ
“พี่ให้น้องแล้ว ไม่รับคืนหรอก”
“ยักษ์ มันแพงเกินไป” ผมแสดงสีหน้าลำบากใจอย่างชัดเจน ให้อะไรไม่ให้ดันให้รถแถมยังเป็นรุ่นที่เขาเพิ่งถามผมไปเมื่อสัปดาห์ก่อนๆอีก
“ถ้าน้องไม่ต้องการก็เอาไปทิ้งหรือจะเอาไปทำอะไรก็ได้ตามใจน้อง อะไรที่พี่ให้ไปแล้วก็คือให้มันไม่ใช่ของพี่อีก”
“…”
“สำหรับพี่น้องคือทุกอย่างในชีวิต ไม่มีอะไรที่น้อยหรือมากเกินไป...พี่ให้ด้วยใจจริง”ทศกัณฐ์ลุกขึ้นวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา
หลังจากนั้นผมก็ไปอาบน้ำอีกห้อง หลังแต่งตัวเสร็จเราก็ยังไม่ได้พูดอะไรกัน พอถึงเวลาจะไปเรียนทศกัณฐ์ก็เป็นคนขับรถพาผมไปส่งที่มหาลัย ก่อนลงเขาก็ยัดถุงแซนวิชใส่มือผมเงียบๆ ผมไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยกมือไหว้เขาแล้วลงรถ
วันนี้ผมเงียบจนบรรยากาศอึมครึมไปทั้งวัน เพื่อนไม่มีใครกล้าเข้ามาแกล้งผมสักคน
“น้อง วันนี้มึงเป็นอะไรวะ” เมฆที่ทนไม่ไหวก่อนใครเพื่อนเอ่ยถาม
“เปล่า”
“เปล่าเหี้ยไรคะ ทะเลาะกับผัวมาน่ะสิ” ไอ้ท็อฟฟี่เสือกขึ้นมา
“ไม่ได้ทะเลาะ” เป็นผมที่งี่เง่าไปเองคนเดียวมากกว่า
“ปากบอกไม่ได้ทะเลาะแต่หน้ามึงนี่จะร้องอยู่แล้วสัส”
“กู...ไม่รู้ว่ะ”
“เอ้า ร้องซะละ” เมฆร้องอย่างตกใจก่อนจะรั้งผมเข้าไปกอด “เป็นอะไรเล่ามาดิ๊”
“พี่ทศโกรธกูแล้วอ่ะ กูงี่เง่าเอง” ผมเช็ดน้ำตาปริ่มๆแต่ยังไม่ได้ไหล คือมันเหมือนมีคนมารุมถามเยอะๆแล้วมันรู้สึกกดดันแล้วก็อ่อนแอลงไปซะเฉยๆน่ะครับ
“โกรธยังไง ไหนเหลามาสิ” ไอ้ท็อฟฟี่ลากผมไปนั่งตรงจุดที่ไม่ค่อยมีคน เมฆกับอ๋องก็ตามมานั่งฟังด้วย ผมเลยเปิดปากเล่าตั้งแต่เรื่องเมื่อวานให้เพื่อนฟัง
“โอ๊ยยยย!อิดอก!เล่นตัวไม่เข้าเรื่อง เขาให้อะไรก็รับๆไว้เถอะ ใช้ไม่ใช้นั่นอีกเรื่อง”
“กูไม่ได้คบกับเขาเพื่อหวังสิ่งของเงินทองจากเขานะเว้ย อีกอย่างมันสิ้นเปลืองไปหน่อย”
“กูก็ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น เขาให้มึงเองด้วยความเสน่หาน่ะ เข้าใจไหมคะ แล้วถ้าเขาเดือดร้อนเขาจะให้มึงหรอ ที่เขาซื้อให้แสดงว่าต้องมีเหตุผล คิดหน่อยสิหนู” ไอ้ท็อฟฟี่จิ้มหัวผมจนสั่นไปหมด
“กูว่าที่อีสุเทพพูดมันก็ถูก เขาคงเห็นมึงไปนั่งรอเขาเรียนเสร็จมืดๆค่ำ บางทีเวลามาเรียนก็ไม่ตรง มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ให้ขี่ แท็กซี่ก็ไม่ให้นั่ง รถเมย์ก็หมด เขาคงเป็นห่วงมึงก็สมเหตุสมผลที่จะซื้อรถเพิ่มอีกคัน” เมฆวิเคร์ตามที่ไอ้ท็อฟฟี่พูด
“อิเหี้ยเมฆอยากโดนกูจูบปากใช่ไหม ถึงกล้าเรียกชื่อนี้” ไอ้ท็อฟฟี่ชี้หน้าคาดโทษเมฆ
“แต่มันก็มากเกินไปอยู่ดีนะมึง”
“ผัวมึงรวย!” ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง ผมได้แต่สงบปากสงบคำไม่เถียงอะไรพวกมันอีก
“อย่าลืมไปง้อเขาล่ะ เล่นท่ายากสักสองสามท่าก็ใจอ่อนละ”
เออออออ เอาก็เอาวะ
++++++++++++++
ผมรอทศกัณฐ์เลิกเรียนแล้วกลับพร้อมกัน สายตาตอนที่เขาเห็นผมดูประหลาดใจชั่วแวบหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดีใจเมื่อผมส่งยิ้มบางๆให้เขา
เขายกมือลาเพื่อนก่อนจะเดินมาจับมือผมไว้หลวมๆแล้วพาไปขึ้นรถ ผมก้มมองมือที่ประสานกันอยู่แล้วรู้สึกโล่งอก เราสองคนเป็นประเภทมีอะไรแล้วไม่ค่อยยอมพูดกัน ชอบเก็บงำความรู้สึกไว้เพราะกลัวว่าถ้าแสดงออกไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่ชอบ มาตอนนี้เรายังสามารถอยู่ด้วยกันได้อยู่ ผมก็ดีใจ
บางทีผมก็ควรจะลดทิฐิของตัวเองลงอีกนิด เพราะเขาก็ยอมให้ผมมากพอแล้ว
ไม่ใช่เพื่อผมแต่เพื่อเรา...
+++++++++++++++
มาแย้วววว ติดไปทำนั่นทำนี่ พอว่างแล้วก็ติดเพื่อนติดเที่ยวด้วย นิยายก็เลยไม่ได้ใส่ใจ แต่มีคนเตือนสติเปรมก็สำนึกแล้วจริงๆจ้า
ป.ล.ตอนหน้าจบนะ