ใจยักษ์ 23 [ต่อ]
“สบายดีรึเปล่าคะคุณน้องของนม โตขึ้นเยอะจนนมจำเกือบไม่ได้แหนะ” คุณนมพูดไปมือก็จับไปตามโครงหน้าของผมราวกับจะดูให้แน่ใจว่าใช่ผมตัวจริงรึเปล่า สายตามองด้วยความห่วงหาอาทรเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ผมจึงยิ้มให้เธอบางๆ
“น้องสบายดีครับ แต่ถึงจะโตขึ้นขนาดไหนคุณนมก็ยังจำน้องได้นี่ครับ” ผมจับมือที่เหี่ยวย่นของผู้หญิงตรงหน้าออกจากใบหน้าผม คลึงไปตามมือสากด้วยความถนุถนอมปนคิดถึง
“นม...ไม่เคยลืมคุณน้อง...ทำไมไม่ยอมกลับบ้านบ้างเลยคะ กลับมาหานมบ้าง แค่โทรหาสักครั้งก็ไม่เคย ฮึก...อย่าใจร้ายกับคนแก่นักเลยนะคะคุณน้อง” คุณนมพูดตัดพ้อเสียงขาดเป็นห้วงๆจนสะอื้นไห้ในที่สุด ภาพตรงหน้ามันมันสะเทือนใจจนผมพูดไม่ออก ผมทำให้ผู้หญิงที่ผมรักที่สุดอีกคนต้องร้องไห้อีกครั้ง ผมยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้คุณนมแผ่วเบา ไม่อยากให้ต้องมาเสียน้ำตาให้คนอย่างผมเลย
นมใจ หรือ ‘คุณนม’ เป็นคำที่ผมเรียกติดปากตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่จำความได้ผมก็มีเธอคอยอยู่ข้างๆแล้ว ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ก็จะมีคุณนมคอยทำทุกอย่างให้เสมอ เธอเป็นพี่เลี้ยงของผม ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็น ‘แม่เลี้ยง’ มากกว่า เพราะคุณนมก็เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของผมดีๆนี่เอง นมใจเป็นแม่นมของพ่อผม จนมาถึงรุ่นผมเธอก็คอยช่วยเลี้ยงดูไม่ห่าง แม้ว่าเธอจะแก่มากแล้ว แต่ก็เต็มใจที่จะทำด้วยความรักและภัคดี
“น้องขอโทษครับ แต่น้องไม่อยากกลับ ที่นั่นไม่ใช่ที่ของน้องอีกต่อไปแล้ว” ผมไม่มีที่ให้กลับ ไม่มีครอบครัวให้พึ่งพิงอีกแล้ว
“ทำไมจะไม่ใช่คะ ที่นั่นคือบ้านของคุณน้อง คุณน้องจะกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้” คุณนมค้านหัวชนฝา ก็แน่ล่ะ ที่บ้านหลังนั้นอาจจะมีแค่นมคนเดียวที่คิดแบบนั้นก็ได้
“คงไม่มีใครต้อนรับน้อง ‘เขา’ ไล่น้องออกมาแล้ว จะให้น้องกลับไปเหยียบที่นั่นอีกได้ยังไงครับ” ผมยิ้มเยาะให้ตัวเองด้วยความสมเพช คนอย่างผมใครเขาจะต้องการ ทำไมใครๆถึงได้ชอบทิ้งผมนัก
“ท่านพูดไปด้วยแรงอารมณ์ ไม่ได้มีเจตนาจะไล่คุณน้องออกจากบ้านหรอกนะคะ ท่านถามหาถึงคุณน้องทุกวัน กลับบ้านกับนมนะคะ”นมเกลี้ยกล่อมผมเสียงอ่อน เธอหยุดร้องไห้แล้ว แต่ในดวงตายังมีน้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา ผมนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ไม่ได้ลังเลว่าจะกลับหรือไม่กลับ ผมมีคำตอบในใจของตัวเองอยู่แล้ว แต่แค่คิดว่าจะพูดยังไงไม่ให้คุณนมเสียใจไปมากกว่านี้
“น้องยังกลับตอนนี้ไม่ได้จริงๆครับ คุณนมอย่าเป็นห่วงน้องเลยนะครับ น้องดูแลตัวเองได้ ตอนนี้โตแล้ว แข็งแรง และไม่เกเรแล้วด้วย”
“คุณน้อง...5ปีแล้วนะคะ จะให้นมรอไปถึงเมื่อไหร่ หรือว่านมต้องตายก่อนคุณน้องถึงจะไปงานศพนม”
“คุณนม! อย่าพูดแบบนั้นอีกเด็ดขาดนะครับ ไม่อย่างนั้นน้องจะโกรธจริงๆ ถ้านมเป็นอะไรไปน้องจะเหลือใคร น้องไม่เคยลืมนมนะครับ นมอยู่ในใจน้องตลอด” ผมบอกนมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นมทั้งคิดถึงทั้งน้อยใจคุณน้อง ตอนนี้คุณท่านก็ไม่ค่อยสบาย กลับไปหาท่านสักหน่อยนะคะ ยังไงเขาก็เป็น ‘พ่อ’ คุณน้องนะคะ”
“เขามีคนที่ดูแลอยู่แล้ว ไม่มีน้องคงไม่เป็นไร ยิ่งถ้าน้องโผล่หน้าไปอาจจะทรุดหนักกว่าเดิมก็ได้”
“ไม่เอาค่ะ ไม่พูดอย่างนั้นนะคะ ไม่ดีเลย ถ้าคุณแม่ยังอยู่ คุณน้องต้องโดนเปี๊ยะปากแน่ๆ ยังไงก็ต้องไปดูแลท่านบ้างนะคะ นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ความโกรธคุณน้องไม่ลดลงบ้างเลยหรือคะ อย่าปล่อยให้ทิฐิที่มีมาทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมเลยนะคะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป นมอยากให้คุณน้องคิดทบทวนให้ดีๆ คุณน้องโตแล้ว ไม่มีใครสั่งคุณน้องได้แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจคุณน้องนะคะ”
“น้องขอคิดดูก่อนครับ” ผมนิ่งไปก่อนจะตอบคุณนม
“ก็ได้ค่ะ แต่เดือนหน้าก็วันเกิดคุณน้องแล้ว ออกมาเจอนมอีกนะคะถือว่านมขอร้อง”
“ก็ได้ครับ”
.
.
.
.
.
.
“ใครหรอวะมึง” พี่สมิธถามขึ้นขณะที่พวกเราเดินถือข้าวของพะรุงพะรังเข้าลิฟท์ คงอยากเผือกเต็มที่แต่เห็นผมเดินหน้านิ่งๆกลับไปที่รถเลยไม่กล้าถาม
“พี่เลี้ยงสมัยเด็กน่ะครับ”
“อ่อ แล้วทำไมเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้เลยวะ ไม่ได้เจอกันนานเลยหรอ”
“ก็ราวๆ5ปีได้ครับ”
“โห แล้วทำไมไม่ไปเจอกันว้า เขาคงคิดถึงมึงแย่”
“พี่ก็ยังมีคนที่พี่เจอไม่ได้ ทำไมผมจะมีไม่ได้ครับ”
“…”
“…”
“คนหนึ่งไม่ได้เจอกันแต่ยังมีความรู้สึกดีๆให้กัน กับอีกคนหนึ่งที่ไม่เจอเพราะเกลียด มันไม่เหมือนกันหรอกนะรันต์” น้ำเสียงพี่สมิธเต็มไปด้วยความตัดพ้อ มือพี่สมิธสั่นนิดๆ อยากจะตบปากตัวเองจริงๆที่ปล่อยให้อารมณ์มาทำให้พลั้งปากโดยไม่คิดขนาดนี้
“ผมขอโทษครับ ผมมีเรื่องให้คิดเยอะจนน่าหงุดหงิด พี่อย่าโกรธผมเลยนะครับ” ผมเอียงหัวไปถูกับไหล่พี่สมิธไปมาอย่างอ้อนๆ เคยใช้วิธีนี้ง้อเมฆแล้วหายทุกที
“…” ยังเงียบอยู่
“นะ...หายโกรธเค้านะ”
“หึ เออ ไม่ได้โกรธหรอก...กูว่าละทำไมไอ้ทศถึงแพ้ให้มึง” พี่สมิธใช้ไหล่ดันผมออก ผมได้ยินแต่ว่าไม่โกรธแล้ว แต่ไอ้ประโยคหลังนี่ไม่ค่อยได้ยินเลย
“ประโยคหลังพี่พูดว่าอะไรนะครับ”
“ไม่บอกแล้วโว้ย ไปๆถึงละ” ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นสี่สิบพอดี ผมจึงยักไหล่ไม่ถามเซ้าซี้เขาอีก
++++++++++++++++++++
“คืนนี้มึงนอนห้องเล็กนะ” ทศกัณฐ์บอกพี่สมิธขณะที่เรากำลังนั่งทานอาหารค่ำกัน วันนี้พวกผมไม่ได้ออกไปไหนกันเลยตั้งแต่กลับมาจากตลาดเมื่อเช้านั่นแหละครับ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ทศกัณฐ์ทำงาน ผมดูทีวี ส่วนพี่สมิธนอนกลางวัน...
“จริงๆให้ผมไปนอนห้องเล็กก็ได้นะครับ”
“ไม่/ไม่ต้อง” ต้องพูดพร้อมกันขนาดนั้นเลยหรอวะ ผมเลิกคิ้วมองพวกเขาสองคนงงๆ
“พวกมึงก็นอนบนชั้นสองเหมือนเดิมนั่นแหละ เดี๋ยวกูนอนห้องข้างล่างเอง” พี่สมิธพูดขึ้นแทน ทศกัณฐ์ก็พยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย ผมเลยพยักหน้าเออออไป อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว ทศกัณฐ์ก็ยื่นกระปุกยาเล็กๆส่งให้พี่สมิธ
“กูถามเกรย์แล้ว เขาบอกให้ช่วงนี้กินก่อนนอนสองเม็ด จนกว่าจะเลิกฝันร้ายนะ”
“อือฮึ” พี่สมิธพยักหน้าแล้วรับเอาไป
“มองไรมึง” พี่สมิธหันมาถามเมื่อเห็นผมจ้องกระปุกยาในมือเขาเขม็ง
“ยาไรอ่ะ” ถามตรงๆก็ตอบตรงๆมันนี่แหละ
“ยาใจ อิอิ” กวนตีน คิดว่ามุกมันเข้ากับหน้าไหม? ผมเลยทำหน้าป่วยๆใส่เขา
“เรื่องของผู้ใหญ่ เป็นเด็กเป็นเล็กรีบไปนอนไป”
“พี่โตแค่ไหนกันเชียว”
“21 แล้วโว้ย มึงล่ะกี่ขวบละ”
“ผมจะสิบเก้าแล้วครับ”
“อะไร?ทำไมอายุน้อยจังวะ ที่ไทยนี่แบ่งเกณฑ์เข้าเรียนยังไงวะ?”
“ความจริงถ้าเรียนปีสองมันต้องสิบเก้าขึ้นมั้ง” ทศกัณฐ์ว่าบ้าง
“ผมเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ แต่เดือนหน้าก็จะสิบเก้าแล้วล่ะครับ” ไม่รู้ว่าพี่สมิธต้องทำหน้าสงสัยอะไรมากมายเบอนั้น
“เฮ้ย จะวันเกิดแล้ว ทำไมมึงไม่เห็นบอกล่ะ”
“ทำไมต้องบอกล่ะครับ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรนี่ครับ” นานแล้วล่ะครับที่ไม่ได้จัดวันเกิด เป็นแค่วันธรรมดาๆวันหนึ่ง เมฆก็พาออกไปกินข้าว แล้วก็กลับหอมานอน
“เฮ้ยไม่ได้ๆ เป็นน้องรักของสมิธทั้งที มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ”
“ไม่ต้องหรอกครับ มัน...ไม่ได้สำคัญอะไร”
“เออน่ะ วันนั้นก็ทำตัวว่างๆไว้แล้วกัน เฮ้อออ อิ่มล่ะ ไปอาบน้ำนอนดีกว่า” พี่สมิธพูดจบก็ลุกเอาจานไปเก็บแล้วเดินลิ่วๆออกจากครัวไป ผมกับทศกัณฐ์ก็อิ่มแล้วจึงช่วยกันเก็บจานชามที่เหลือ
“วันนี้เป็นอะไร” ทศกัณฐ์ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ครับ?”
“ตั้งแต่กลับมาเมื่อเช้าก็ดูเงียบ เหม่อ เป็นอะไร” เขาขยายความให้ผมเข้าใจมากขึ้น ไม่คิดว่าเขาจะจับสังเกตได้ ปกติผมไม่ใช่คนช่างพูดขนาดนั้น อยู่กับเขาก็โอเคเพราะเขาไม่ค่อยพูดยิ่งกว่าผมซะอีก
“มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะครับ อ้อ คุณ เอ่อ..พี่พอจะมีหมอผ่าตัดที่ไว้ใจได้สักคนไหมครับ?” ผมถามเขาเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
“อืม...มีอยู่คนหนึ่ง ทำไม?”
“เขาพอจะว่างได้ภายในเดือนนี้ไหมครับ”
“เดี๋ยวถามก่อน” ผมพยักหน้ารับ
“พี่เคยถามรันต์ ว่าข้อมูลที่รันต์ไปเอามาอยู่ที่ไหนใช่ไหม”
“ใช่ เอามาให้พี่ ที่เหลือเดี๋ยวจะจัดการเอง”
“ครับ อยู่กับเจคสองส่วน รันต์จะติดต่อให้เขาเอามาให้ภายในเดือนนี้ ส่วนที่อยู่กับรันต์ ชิ้นหนึ่งอยู่ในเซฟของธนาคารต้องใช้กุญแจสองดอกเปิดพร้อมรหัสเป็นชื่อของชาวต่างชาติที่รันต์ปลอมมาอีกที ส่วนอีกชิ้นอยู่กับตัวรันต์”
“พกติดตัวงั้นหรอ ไม่อันตรายไปหน่อยหรอ” ทศกัณฐ์ถาม
“ก็ติดตัวนะครับ แต่ถ้าไม่กรีดเนื้อรันต์ดูก็คงไม่เห็นหรอก”
“หมายความว่าไง?” ทศกัณฐ์ถามด้วยความสงสัยปนงุนงง
“ที่ขาผมมีเหล็กดามอยู่อันหนึ่ง…”
“รันต์...!?!” ทศกัณฐ์มองผมเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ผมจึงฉีกยิ้มบางๆเพื่อยืนยันความเข้าใจของเขา
“ครับ ชิพข้อมูลอีกอันอยู่ในนั้นแหละ”
ถามว่าจำเป็นต้องทำขนาดนี้ไหม?
ก็ต้องจำเป็นอยู่แล้ว เพราะความจริงแล้ว
การที่ผมยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยสวัสดิภาพครบสามสิบสองจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นไปได้เลย
คงต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
+++++++++++++++++++++
ตอนต่อไปเป็นพาร์ทอดีตของน้องรันต์แล้วนะ อย่าพลาดเชียวล่ะ จุ๊ฟๆ 