~ รวมเรื่องสั้นของเรา เรื่องที่สี่ | Would you please | 13.04.62 ~
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ~ รวมเรื่องสั้นของเรา เรื่องที่สี่ | Would you please | 13.04.62 ~  (อ่าน 6922 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณา่อ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2019 22:22:25 โดย Lalalin »

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #1 เมื่อ31-10-2016 03:08:34 »

Closer
 
คุณเคยแอบรัก ‘เพื่อน’ ไหม?

โปสเตอร์โปรโมทละครเวทีขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับประโยคคำถามของคณะนิเทศ กระแทกตาผมเข้าอย่างจังตอนที่ผมกำลังจะเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่คณะ

สำหรับผมมันไม่ใช่แค่เคย เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังแอบรักเขาอยู่

ผมรู้จักเขาครั้งแรกตอนงานวันแรกพบ ทุกอย่างที่ประกอบเป็นเขามันสะดุดตาไปหมด  ผมไม่แปลกใจเท่าไรที่เขาได้รับเลือกให้เป็นเดือนคณะ  และผมยังจำท่าทางเก้ๆกังๆของเขาตอนรุ่นพี่ประกาศชื่อได้อยู่เลย มันเหมือนกับว่าเขาไม่คิดว่าชื่อที่ถูกเรียกจะเป็นตัวเอง จากนั้นก็เอาแต่ถามพวกรุ่นพี่ว่าแน่ใจเหรอครับว่าประกาศไม่ผิด พอรุ่นพี่ยืนยันหนักแน่น เขาก็เอาแต่เกาท้ายทอย ผมสังเกตว่าเขามักจะเกาท้ายทอยทุกครั้งเวลาที่ทำตัวไม่ถูก และนั่น..ผมคิดว่ามันน่ารักดี

หลังจากเทศกาลรับน้องผ่านไป ผมกับเขาเราก็กลายมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มิตรภาพของเรางอกงามเกินการควบคุม เราเข้ากันได้ดีจนน่าใจหาย แค่มองตาเราก็รู้แล้วว่าอีกคนกำลังคิดอะไร พวกเรามักจะทำในสิ่งที่เพื่อนๆต่างส่ายหน้าและบอกว่าช่างน่ารำคาญซะจริง เราสองคนหัวเราะกับคำพูดนั้น แต่ยังคงไม่เลิกทำ

จนใครสักคนในกลุ่มพูดขึ้นมาว่าผมกับเขาควรจะแต่งงานกัน แน่นอนผมปฏิเสธทันควัน แต่เขากลับบอกว่าจะเก็บไปคิดดู เพื่อนๆโห่ร้องก่อนเป่าปากแซว และนั่นยิ่งทำให้เขาได้ใจ  เขาตอบรับเสียงแซวด้วยการยกมือขึ้นมาโอบไหล่ผมพร้อมกับเอนหัวลงมาซบ เป็นไปตามคาดการกระทำของเขาทำให้เสียงแซวดังขึ้นไปอีก บางคนถึงขั้นยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เขายิ้มแฉ่งให้กล้องก่อนหันมากระซิบที่ข้างหูผมด้วยเสียงที่ไม่เบานัก เหมือนกับว่ากำลังจงใจพูดให้เพื่อนทั้งโต๊ะได้ยิน

'แจกการ์ดเลยดีไหม'

ทั้งๆที่รู้ว่าเขาแค่แกล้ง แต่ผมก็ดันใจเต้นแรงขึ้นมาซะงั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าทุกอย่างระหว่างเรามันเริ่มจะไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขามันเริ่มจะเปลี่ยนไป

เวลาล่วงเลยมาจนเราขึ้นปีสอง แน่นอนผมยังรักษาสถานะคำว่าเพื่อนได้เป็นอย่างดี ความเป็นเพื่อนของเรายังคงแน่นแฟ้นไม่เปลี่ยนแปลง เราไปดูหนังด้วยกันทุกคืนวันศุกร์ ชวนกันไปกินเหล้าทุกคืนวันเสาร์ ก่อนจะกลับมานอนแฮงค์ด้วยกันในเช้าวันอาทิตย์

 ‘จอม’ เพื่อนแถวบ้านคนที่รู้ความลับดำมืดของผมทุกอย่างถามขึ้นด้วยความสงสัยในขณะที่ผมไปนั่งเล่นเกมส์ที่บ้านมัน

‘ทำไมมึงถึงไม่บอกมันไปว่าคิดยังไง’

จอมเป็นคนประเภทที่ว่าถ้ารู้ว่ารักก็ควรจะบอก ดีกว่าเก็บเอาไว้แล้วมานั่งเสียใจที่หลัง เพราะยังไงผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ต่างกัน และถ้าหากเขาดันใจตรงกับเรา นั่นก็ถือว่าเป็นกำไร

‘เพราะทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ดีจนกูไม่ได้อยากจะเปลี่ยนอะไร’

ผมตอบจอมไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงผมเคยคิดจะบอกเขา อาจจะราวร้อยครั้งเห็นจะได้ อืมไม่สิ…เอาเป็นว่าอาจจะเป็นทุกๆครั้งเวลาที่ผมแอบมองแล้วเขาเผลอหันมาสบตา มันคล้ายกับว่าเรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน แต่ก็นั่นแหละผมอาจจะคิดและสับสนไปเองฝ่ายเดียว

‘กูว่ามึงควรจะบอกมันสักที อย่างน้อยจะได้รู้ไงว่าควรจะก้าวเดินต่อไปทางไหน’

ผมฟังคำแนะนำของจอม ก่อนจะตอบประโยคที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้ผมยังคงสถานะเพื่อนอยู่แบบนี้

‘บางทีการได้รักมันอยู่แบบนี้โดยที่มันไม่รู้ ..ยังดีกว่า มันรับรู้แต่มันไม่รักหรือเปล่าวะ กูคงทนไม่ได้ถ้าเสียมันไป’

‘มึงแม่งลูสเซอร์ว่ะ’

ใช่ผมมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งอย่างที่จอมมันว่าจริงๆนั่นแหละ

พอขึ้นปีสาม ด้วยภาระการเรียนที่เพิ่มมากขึ้น เราเลือกที่จะหยุดการไปกินเหล้าด้วยกันในคืนวันเสาร์ และนั่นทำให้ไม่มีเช้าวันอาทิตย์ แต่อย่างน้อยผมก็ยังเหลือคืนวันศุกร์ คืนที่มีแค่เขากับผม เราซื้อป๊อปคอร์นหนึ่งถัง พร้อมกับน้ำสองแก้วมาแบ่งกันกิน

อย่างที่รู้บรรยากาศในโรงหนังมันดูเป็นใจจะตาย ไม่ว่าจะเป็นไหล่ที่เกยกันโดยไม่ตั้งใจ หรือการที่บังเอิญมือชนกันในถังป๊อปคอร์นเพราะมัวแต่จดจ่อกับภาพยนตร์ที่ฉายอยู่บนจอ และถ้าเมื่อไรก็ตามที่ใครสักคนเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวในหนัง การกระซิบถามข้างหูดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้จะมีบางครั้ง หนังที่เราเลือกมันออกจะดูน่าเบื่อไปนิดแต่การเห็นเขาหลับและเอนหัวลงมาซบที่ไหล่ก็ทำให้ผมหาข้อดีของหนังเรื่องนั้นได้ไม่ยาก

เวลาผ่านมาจนเข้าปีสามเทอมสอง เพื่อนๆในกลุ่มเริ่มทยอยพากันมีแฟน ผมกับเขาคือสองคนสุดท้ายที่ยังโสด ในวัยที่อะไรๆมันก็สำคัญไปซะหมด แล้วยิ่งเรื่องความรักที่ความสำคัญนำโด่งเรื่องอื่นๆมาขาดลอย แน่นอนความอยากรู้อยากเห็นก็ครอบงำกลุ่มเพื่อนทันที

อันที่จริงผมคิดว่าคนที่เพื่อนๆสงสัยใคร่รู้น่าจะเป็นเขาซะมากกว่า ก็ทำไงได้ล่ะครับก็เขามันเป็นพวกหนุ่มป๊อป สาวๆงี้พากันตอมหึ่งทั้งในและนอกคณะ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะควงสาวคนไหนมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับเพื่อนสักที 

ด้วยสายตากดดันรอบตัว ผมเลยเลี่ยงที่จะตอบ

‘รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน’

ในขณะที่คนนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ข้างๆไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนหรือกดดัน  เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่าเรากำลังคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศก็ไม่ปาน  เขาพูดแค่ว่า…

เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว

ตู้ม! เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัว และ เปรี้ยง! ฟ้าผ่าลงกลางใจ

ด้วยความที่เขาไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร ทุกคนเลยเลือกที่จะหันมาถามผมในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดว่ารู้ไหม ผมอยากจะตอบออกไปใจจะขาดว่าแน่นอน ผมรู้ แต่นี่นอกจากผมจะไม่รู้แล้ว ผมยังไม่แม้แต่จะระแคะระคายเลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียวตอนนี้ก็คือ อกข้างซ้ายของผมมันรู้สึกโหวงๆเหมือนกับว่าเพิ่งจะมีอะไรบางอย่างหลุดลอยหายไป

 ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ หลังจากนั้นเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มก็เริ่มพูดชื่อผู้หญิงในคณะทั้งหมดขึ้นมา ก่อนจะถามว่าใช่คนที่เขาชอบไหม เขาหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้ากับชื่อแล้วชื่อเล่า

พวกเพื่อนจึงเปลี่ยนมาเอ่ยชื่อผู้ชายร่วมรุ่นแทน และนั่นทำให้เขาหัวเราะหนักขึ้นไปอีก พอหมดชื่อเพื่อนปีสาม พวกเพื่อนก็หันมาเอ่ยชื่อคนในกลุ่ม เราเริ่มจากผู้หญิงน่ารักที่สุด ทุกคนจับจ้องไปที่เขา ก็เหมือนเดิมเขายังคงส่ายหน้า แล้วถามว่าจะอยากรู้ไปทำไม

นั่นนะสิผมจะอยากรู้ไปทำไม ทำไมผมจะต้องอยากรู้ในสิ่งที่จะทำให้ผมเจ็บด้วย แต่เพื่อนคนอื่นคงไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะยังคงไล่ชื่อคนอื่นต่อไป เราไล่ชื่อจนสุดท้ายมาหยุดที่ชื่อผม ถึงรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ใช่ แต่หัวใจผมมันก็ดันกลับมาเต้นแรง

ตึกตัก..ตึกตัก

ผ่านไปได้ไม่ถึงห้าจังหวะการเต้นของหัวใจ เสียงมือถือของใครสักคนก็ดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน และมันทำให้คนอื่นๆต่างเลิกสนใจเขาแล้วเปลี่ยนมามองหาต้นเหตุของเสียงรบกวนแทน  ก่อนจะพบว่าเป็นมือถือของเขาเองที่ดัง เขาขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ ส่วนผมก็ได้เหตุผลเพิ่มอีกข้อ เหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่ควรบอกออกไป

และแล้วก็มาถึงปีสี่ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาปริญญาตรีในรั้วมหา’ลัย ที่มาพร้อมกับคำถามที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ราวกลับว่ามันมาเพื่อตอกย้ำผมโดยเฉพาะ ว่าถึงเวลาที่จะต้องพูดความจริงกันสักที

“เฮ้ย!มายืนทำอะไรตรงนี้” เสียงทักดังมาจากข้างหลัง พร้อมกับมือที่เอื้อมมากอดคอ

ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครโดนที่ไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปมอง ไม่ใช่ว่าเสียงเรียกขาน หรือว่าการกระทำที่แสดงความสนิทสนม หากแต่เป็นเพราะกลิ่น กลิ่นที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของผมเสมอมา

“สนใจหรอ” อาจเป็นเพราะผมที่ยังคงนิ่งเงียบ เขาเลยหันไปมองสิ่งที่ผมกำลังให้ความสนใจแทน

“อืม”

“เพื่อนสนิทงั้นหรอวะ มีหวังจบไม่สวยแหงม” เขาพูดพลางหยิบใบปลิวที่เล่าเรื่องบางส่วนของละครเวทีขึ้นมาดู

“ทำไมคิดงั้น”

“ก็ดูดิในนี้เขียนว่า” ใบปลิวถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนที่เขาจะชี้ให้ดูในส่วนย่อหน้าที่สอง “อาจจะด้วยความใกล้ชิด ใครบางคนจึงเริ่มที่จะคิดเกินเพื่อน…นี่ไงประโยคนี้เห็นชัดๆเลย ว่ามีแค่คนเดียวที่เปลี่ยนไป”

“เกี่ยวตรงไหน”

“อ้าว ก็ความสัมพันธ์มันต้องเกิดจากคนสองคนดิวะ ถ้ามีแค่คนเดียวที่คิดต่างยังไงมันก็ไม่เวิร์คหรอก”

“นายยังไม่ดูเลยจะรู้ได้ยังไง อีกคนอาจจะคิดเหมือนกันก็ได้ เดี๋ยวนี้เขาเลือกจะจบแบบสุขนิยมกันทั้งนั้น”

“ไม่มีทาง” คนพูดๆด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกลับว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ดี  “เพราะถ้าคิดเหมือนกันมันไม่ยืดเยื้อมาจนถึงขนาดนี้หรอก เอาจริงๆนะคนเราแม่งมีเซนส์เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่สนิทแล้วด้วยไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้”

พอเขาพูดจบผมก็หน้าเสีย  มันเหมือนว่าเขารู้มาตลอดว่าผมคิดยังไง และตอนนี้เขาไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องราวความรักในละครเวทีนั่นแล้ว แต่ที่พูดคือเรื่องระหว่างเราและเขากำลังให้คำตอบในเรื่องที่ผมไม่เคยกล้าที่จะบอกออกไป

“เฮ้ย! เป็นอะไร”

“เปล่า..” เสียงของผมที่ตอบออกไปสั่นเครือแถมยังส่อแววพิรุธเป็นอย่างมาก ผมจึงต้องอาศัยการกระแอมไอเพื่อไล่เสียง

“แน่ใจ ไม่ใช่ว่าไม่สบายนะ นายยิ่งป่วยง่ายอยู่ด้วย” เขาไม่พูดเปล่าแต่ยังยื่นมือมาแตะที่หน้าผากพร้อมกับเอามืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเอง

ผมได้แต่ร่ำร้องภายในใจ ถ้าไม่ได้คิดอะไร ก็หยุดทำอย่างนี้ซะที หยุดทำเป็นเหมือนห่วงใย หยุดทำเหมือนว่าผมเป็นคนสำคัญ แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะผมไม่กล้าแม้แต่ดึงมือเขาลง

เขาพยักหน้าเบาๆพร้อมกับงึมงำในลำคอ ตอนที่เห็นว่าทุกอย่างปกติดี แน่นอนผมไม่ได้ป่วยกายอย่างที่เขาคิด หากแต่เป็นที่ใจ และมันไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นในเร็ววันเลย หลังจากตรวจจนพอใจ เขาก็ดึงมือผมไปที่ซุ้มขายบัตร เราเลือกรอบการแสดงอยู่สักพัก เขาจึงหันไปพูดกับน้องคนขาย

“สองใบครับ”

น้องนักศึกษาที่นั่งอยู่ประจำซุ้มยื่นผังที่นั่งที่เหลืออยู่มาให้พวกเราเลือก เขาหันมาถามความคิดเห็นผม ว่าตรงนี้ดีไหม ตรงนั้นล่ะผมจะเห็นหรือเปล่า หรือผมอยากนั่งตรงริมทางเดินเหมือนเวลาดูหนังในโรงไหม

“แล้วแต่เลย ตรงไหนก็ได้” ผมยกหน้าที่ในการเลือกที่นั่งให้เขาแลกกับที่เขาให้ผมเป็นคนเลือกรอบการแสดง

ระหว่างที่ผมกำลังรอเขาซื้อบัตร ฉับพลันผมก็หันไปเห็นจอมกำลังเดินอยู่กับรุ่นน้องที่มันเคยบอกว่าคนนี้ล่ะตัวจริง มันยกมือขึ้นโบกตอนที่หันมาเห็นผม ก่อนจะหันไปพูดอะไรสองสามคำกับรุ่นน้องคนนั้น พอน้องเขาพยักหน้ามันจึงเดินยิ้มร่าตรงมา

“วันนี้มาเหยียบถึงถิ่นกูเลยนะครับคุณเพื่อน”

“เออๆ”

“แล้วนี่มาทำอะไรวะ” ผมยื่นใบปลิวโปรโมทละครเวทีให้จอมดู “อ๋อ อยากดูตัวเองเวอร์ชั่นละครเวทีว่างั้น แต่ที่จริงมึงก็แค่..” ผมรีบกระโดดตะครุบปิดปากมัน ก่อนที่มันจะได้พูดพล่ามอะไรมากไปกว่านี้

“กูไม่ได้มาคนเดียว” ผมกระซิบลอดไรฟันข้างหูเพื่อไม่ให้มันกระโตกกระตากพร้อมทั้งจับหน้ามันให้หันไปๆหาบุคคลที่กำลังเดินเข้ามาซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่มันกำลังจะกล่าวพาดพิง

“อุ๊บส์!” จอมทำท่าตกใจ ซึ่งมองดูแล้วน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด ผมจึงใช้ข้อศอกถองไปที่หน้าท้องมันเบาๆ มันโวยวายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทักทายคนมาใหม่

“ไงคิ้วท์บอย”

เป็นประจำเหมือนทุกครั้ง แทนที่มันจะเรียกชื่อเหมือนที่คนอื่นเขาเรียกกัน มันกลับเรียกด้วยตำแหน่งที่เจ้าตัวไม่เคยอยากจะเป็น

ผมคิดว่าจอมมันกำลังมีปัญหากับเพจชื่อดัง อาจเป็นเพราะสมัยปีหนึ่งจอมเองก็เคยเป็นหนึ่งในคิ้วท์บอย ใครๆก็อยากรู้จักทั้งนั้นว่าน้องจอมนิเทศคือใคร แต่ก็แค่เพียงปีเดียว พอขึ้นปีสองจอมก็สลัดภาพหนุ่มน้อยหน้าใส กลายเป็นหนุ่มเซอร์ ผมยาวประบ่า และไว้หนวดเครา ด้วยความซกมกที่เกินพอดี มันถูกขับออกจากเพจคิ้วท์บอยแทบจะทันที

จนกระทั่งปีสี่นี่ล่ะที่มันเริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคน หนวดเคราเริ่มโกนหลังจากไว้มานานสองปี ผมที่ยาวก็รวบเก็บไว้ท้ายทอยอย่างสวยงาม ผมคิดว่าน่าจะเป็นอิทธิพลจากน้องคนนั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

พวกเรายืนคุยกันอยู่สักพัก จอมก็ขอตัวพาน้องตัวจริงของมันไปกินข้าว แต่ก่อนไปมันก็ยังมิวายก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม

“ระวังคู่กรณีจะรู้ตัวนะมึง”
 

หลังจากวันนั้นราวๆสองอาทิตย์ ละครเวทีของคณะนิเทศก็เปิดฉากการแสดง ผมนัดเจอกับเขาในช่วงสายของวันอาทิตย์ ใต้หอประชุมใหญ่มหา’ลัย

“โทษทีว่ะมาช้า” ผมวิ่งกระหืดกระหอบไปหยุดตรงหน้าคนที่ยืนเล่นโทรศัพท์พิงกำแพงรออยู่ก่อนแล้ว

“กินไรมายัง” ผมส่ายหน้า เขาจึงยื่นถุงเซเว่นที่ถืออยู่มาให้ “ว่าล่ะ ตื่นสายอะดิ”

“อืม เมื่อคืนดวลวินนิ่งกับไอ้จอมยันเช้า กว่าจะได้นอน ไก่ที่พ่อมันเลี้ยงไว้ก็มาขันปลุก แถมไอ้จอมแม่งดันละเมอกดปิดนาฬิกาปลุกซะได้ กว่าจะรู้สึกตัว ก็ตอนที่เจ๊รันโทรเข้ามา”

เจ๊รันคือพี่สาวคนสวยของผมที่เพิ่งจะกลับมาจากการไปสัมนาที่หัวหิน แล้วดันเข้าบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยู่ เจ๊แกก็เลยโทรจิกน้องชายที่แสนดีอย่างผมให้มาเปิดประตู  ผมจึงจำใจต้องกระชากตัวเองขึ้นมาจากเตียงนอนบ้านไอ้จอม คว้ากุญแจก่อนจะเดินสะโหลสะเหลไม่รู้ทิศทางไปไขกุญแจเปิดบ้านรั้วติดกันให้คุณนายเธอ ทั้งยังต้องช่วยขนกระเป๋าลงจากรถ  พอทุกอย่างเรียบร้อยผมถึงได้ตื่นเต็มตา ก่อนจะพบว่ากำลังสายเสียแล้ว

“ถึงว่าได้กลิ่นตุๆ นี่คงไม่อาบน้ำล่ะสิ”เขาพูดพร้อมทำจมูกฟุดฟิดไปรอบๆ

“อาบโว้ย”

ผมว่าพลางผลักเขาให้ออกห่างจากตัว เพราะตอนนี้ระหว่างเรามันใกล้เกินไปแล้ว เขาหัวเราะจากนั้นก็กลับไปสนใจเกมในมือถือที่กำลังเล่นค้างไว้ ส่วนผมก็หันไปสนใจขนมปังในถุงแทน พร้อมกับพิสูจน์กลิ่นตัวเองไปด้วยในตัว ถึงจะตื่นสายและใช้เวลาอาบน้ำชำระร่างกายไม่ถึงห้านาที   แต่รับรองได้เลยว่าระยะเวลาเกือบสามชั่วโมงที่นั่งข้างกันในหอประชุม จะไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาจากตัวผมเป็นแน่

“กินดีๆดิวะ” เสียงบ่นดังมาจากคนข้างๆ

“ก็คนมันหิว” ผมว่าพลางปัดเศษขนมปังออกจากตัว โดยไม่วายปัดเผื่อแผ่ไปยังเจ้าของเสียงบ่นด้วย  “นี่ถ้าไม่ต…” เสียงของผมถูกดูดกลืนหายไปในลำคอแทบจะทันที ตอนที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่เขาใช้นิ้วหัวแม่มือปาดครีมที่เลอะอยู่ที่ริมฝีปากของผมออก ก่อนจะส่งนิ้วนั้นเข้าปากตัวเอง

“หวานฉิบ”

ตู้ม! ความร้อนเข้ายึดครองพื้นที่แทบจะทุกตารางเซนติเมตรบนใบหน้า 

“มะ..” มึงทำบ้าอะไรวะ  “มะ..” แม่งเอ้ย กูกำลังตัดใจอยู่นะโว้ย  “มะ..” มึงคิดว่าการตัดใจมันง่ายนักหรือไง “มะ...” มึงทำอย่างนี้แล้วกูจะตัดใจได้ยังไง

เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์และหันมาเลิกคิ้วสงสัยในท่าทางอึกอักของผม ยิ่งโดนเขาจ้องผมก็ยิ่งเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ ในหัวสมองมันตื้อไปหมด ผมได้แต่ยืนนิ่งราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ จนเขาต้องโบกมือไปมาผ่านใบหน้าของผม เพื่อตรวจสอบดูว่าผมยังมีสติอยู่หรือเปล่า

 “ขะ..ขอโทษนะคะ..คะ..คือว่าหนูขอถ่ายรูปกับพี่...ดะ..ได้ไหมคะ”

ระหว่างนั้นก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง ให้ตายผมอยากจะขอบคุณพระเจ้าสักล้านครั้ง ขอบคุณที่ท่านทรงประทานคนมาช่วย ทำให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่มันโคตรชวนปั่นป่วนหัวใจตอนนี้สักที

ผมหันไปมองเจ้าของเสียง และพบว่าเป็นรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้างุดๆ  สีแดงอมชมพูที่ปรากฏขึ้นเป็นรอยริ้วบนแก้ม แสดงให้เห็นว่าน้องเขาคงต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนที่เดินมาขอถ่ายรูปกับเขา และผมเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี

 “มาครับ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” ผมเก็บขนมปังที่กินยังไม่หมดเข้าถุงและหันไปยิ้มพร้อมกับยื่นมือไปรับโทรศัพท์ที่จะใช้ถ่ายรูป

น้องผู้หญิงเดินเข้าไปหาเขาโดยเว้นพื้นที่ว่างพอสมควร

“แน่ใจนะครับว่าอยากถ่ายรูปกับพี่จริงๆไม่ใช่ว่าโดนใครบังคับมานะ” เขาพูดยิ้มๆ พร้อมกับดวงตาพราวระยับ ดวงตาแบบที่มักจะส่งผลให้สาวๆพากันใจละลาย และคิดว่าเขามีใจ ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าตัวอาจจะเผลอทำมันโดยไม่รู้ตัวก็ตามที

“ค่ะ” น้องเขาตอบพลางก้มหน้าแดงๆมองพื้น

“อ้าวแล้วทำไมยืนห่างขนาดนั้นล่ะ มาใกล้ๆนี่่มา ลวนลามได้เต็มที่เลยพี่อนุญาต”

พอเขาพูดจบ น้องผู้หญิงก็ยิ่งหน้าแดง ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นโรคจิตอ่อนๆประเภทที่ว่า เห็นใครเขินเป็นไม่ได้ต้องแกล้ง ยิ่งเขินตัวเองแล้วด้วย ยิ่งเข้าทางไปกันใหญ่

“เลิกแกล้งน้องเขาได้แล้วหน่า” ผมพูดเพื่อให้เขาหยุดแกล้ง เพราะไม่อย่างนั้น วันนี้ก็คงไม่ได้รูปที่ปกติเป็นแน่

เขาหัวเราะก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้กล้อง แต่ยังมิวายกางขาให้กว้างเพื่อลดความสูงของตัวเองให้เท่ากับน้องผู้หญิง หลังจากกดถ่ายรูปให้น้องเขารัวๆ และหวังว่าน้องเขาจะได้รูปที่พอใจ ผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวให้พร้อมก่อนที่จะเข้าไปดูการแสดง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังใช้ทิชชู่เช็ดมือที่เปียก ชื่อของจอมปรากฎขึ้นเป็นสายเรียกเข้า ผมกดรับพร้อมๆกับโยนซากทิชชู่ลงถังขยะ

“ไงมึง ตื่นแล้วเหรอ”

“เออ” เสียงงัวเงียจากปลายสายดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดีนัก

“โทรมามีอะไรวะ”

“กูแค่จะโทรมาเตือนให้มึงอย่าลืมพกทิชชู่เข้าไปด้วย เพราะมึงอาจจะต้องหลั่งน้ำตา”

“มึงอย่ามาเว่อร์”

“ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ แค่นี้ล่ะกูไปนอนต่อละนะ”

แล้วจอมมันก็ตัดสายไปก่อนที่ผมจะทันได้ด่าเรื่องที่มันปิดเสียงนาฬิกาปลุกของผม

ระหว่างที่ผมเดินกลับไปสมทบกับเขาก็มีเสียงประกาศว่าการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงสิบนาทีนี้ ผมจึงเดินไปรับสูจิบัตรที่หน้างานและเร่งฝีเท้าเดินตามเขาเข้าไปหาที่นั่ง เพียงไม่นานไฟในหอประชุมก็ค่อยๆหรี่ลงพร้อมกับม่านหน้าเวทีที่เลื่อนเปิดออก

ฉากแรกของการแสดงเปิดตัวด้วยผู้หญิงและผู้ชายที่มีภาพอยู่ในโปสเตอร์โปรโมทกำลังเต้นอย่างสนุกสนานในวงล้อมเพื่อนๆ ผมคิดว่าคงจะเป็นกิจกรรมรับน้อง และอาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนได้เจอกัน

เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินมาเรื่อยๆ ซึ่งฉากแต่ฉากที่ปรากฎอยู่บนเวทีมันช่างคุ้นตาผมเหลือเกิน มีบางช่วงด้วยซ้ำที่ผมคิดว่าคำพูดที่นักแสดงใช้มันช่างคุ้นหู และผมคิดว่าผมอาจไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึก เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้กำลังทำสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ผมได้ยินเขาทำเสียงงึมงำในลำคอ ตอนไอ้ฉากที่ตัวเอกหัวเราะกับเสียงแซวของเพื่อนๆ แล้วไหนจะประโยคนั้นอีก ประโยคที่ผมจำได้ขึ้นใจ

ไอ้จอมไอ้เพื่อนชั่ว มันต้องมีเอี่ยวกับฉากพวกนี้แน่ๆ เพราะมันเป็นคนเดียวที่ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ตอนนี้ผมโคตรอยากจะลุกออกจากที่นั่งโบกรถกลับบ้าน แล้วไปจิกหัวมันขึ้นมาจากเตียง ด่ามันสักสองสามคำว่ามันไม่มีสิทธิ์เอาชีวิตจริงของผมไปทำ แล้วยิ่งมีคู่กรณีมานั่งดูด้วยอย่างนี้ มันควรจะกระซิบบอกผมสักนิด ไม่ใช่แค่เตือนให้ผมพกทิชชู่เข้ามาซับน้ำตา  อ้อแล้วหลังจากด่ามันจนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมจะจับหัวของมันให้ทำมุมกับขอบเตียง โดนหวังว่าเลือดของไอ้เพื่อนชั่วจะไม่กระเด็นมาโดนตัว

ก่อนที่ผมจะได้คิดวิธีจัดการกับเพื่อนชั่วให้สาสมกับที่มันบังอาจขายความลับของผม โอเคคนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเป็นผม เพราะพล๊อตเพื่อนแอบรักเพื่อนมันก็ไม่ค่อยต่างไปจากนี้เท่าไรนักหรอก แต่คนข้างๆที่กำลังขยับตัวขณะที่ไฟในหอประชุมค่อยๆสว่างขึ้นในช่วงเวลาพักครึ่งของการแสดงจะต้องรู้แน่ๆ ก็ขนาดผมยังรู้เลย แล้วเขาผู้เป็นคนพูดประโยคเหล่านั้นเองด้วยซ้ำไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้ ว่าไอ้คาร์แรคเตอร์นักแสดงชายหญิงสองคนที่อยู่บนเวทีนั้นคือผมกับเขา

ให้ตายสิไอ้เพื่อนชั่วยิ่งคิดยิ่งโมโห

“ไปห้องน้ำเปล่า” ผมสะดุ้งตัวโยนตอนที่ได้ยินเสียงเขา

“ไม่ๆนายไปเถอะ” ผมว่าพลางโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

“โอเค งั้นเดี๋ยวมา”

“อืม”

 สิบห้านาทีผ่านไป เขาก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมาจากห้องน้ำ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่หนีกลับไปก่อน อันที่จริงถึงเขาจะหนีไปผมก็โทษเขาไม่ได้อยู่ดี ถ้าเป็นผม ผมก็คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน จนกระทั่งเสียงประกาศว่าการแสดงครึ่งหลังกำลังจะเริ่มขึ้น เขาก็ปรากฎตัว

“นึกว่าตกส้วมตายไปซะแล้ว”

“โทษทีๆ เผอิญคุยธุระอยู่น่ะเลยเข้ามาช้า”

“แล้วคุยเสร็จแล้ว?”

“ยังหรอก แต่ว่ากลัวนายรอน่ะ เลยเข้ามาก่อน”

เราคุยกันแค่นั้น พอม่านเปิดเราก็ต่างหันไปสนใจการแสดงที่เวทีแทน

ผมน่าจะเชื่อจอมตอนที่มันบอกว่าให้ผมพกทิชชู่เข้ามาด้วย เพราะการแสดงครึ่งหลังดำเนินมาถึงจุดที่มีคนอีกคนเข้ามามีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ของทั้งสอง  มันเหมือนกับที่เขาบอกผมเมื่อวันนั้น ในขณะที่อีกคนคิดแบบเพื่อนสนิทแต่อีกคนกลับคิดเกินเลยมากกว่านั้นยังไงมันก็ไม่เวิร์ค ไอ้ที่บอกว่ารับได้ แค่เห็นเขามีความสุขก็พอใจแล้ว อย่างน้อยก็ยังได้เป็นเพื่อนกัน แต่เอาเข้าจริงๆ มันสาหัสเกินไป การที่ต้องมองเขาสองคนรักกัน ต้องทนฟังและรับรู้ทุกอย่าง อาจมีบ้างบางครั้งที่เราต้องเป็นฝ่ายช่วยแก้ปัญหา มันก็ชวนเจ็บปวดหัวใจได้ง่ายๆ ความห่างเหินจึงเริ่มเข้ามาแทนที่ และช่องว่างระหว่างเพื่อนมันก็เหมือนจะกว้างขึ้นไปทุกที

ทั้งๆที่เราอยู่ใกล้กว่าใครทั้งหมด เขาก็ยังมองข้าม และจำกัดสถานะเราให้อยู่แค่ตรงนั้น

อาจจะเหมือนที่จอมบอก ไม่ว่าผมจะบอกหรือไม่ สุดท้ายจุดจบมันก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาแค่ยังไม่มีใคร

สุดท้ายผมก็ดันเผลอร้องไห้ซะได้ รู้สึกเหมือนโดนไอ้จอมตอกย้ำชอบกล

“ไม่น่าเชื่อว่านายจะร้องไห้” เขาพูดพร้อมกับยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือ

“เออ ใครมันจะไปด้านชาเหมือนนายกัน พวกไม่มีหัวใจ” เขายักไหล่ไม่ยี่หระต่อคำพูดผม ก่อนจะหันกับไปสนใจการแสดงต่อ

เรื่องดำเนินมาถึงจุดจบ ตอนที่ฝ่ายแอบรักตัดสินใจจะบอกความจริงออกไป ในวันสุดท้ายของการศึกษา ถ้าอีกคนไม่ตอบรับทุกอย่างก็จะจบลงที่ตรงนี้พร้อมๆกับคำว่าเพื่อน อย่างที่เขาคิดละครเวทีไม่ได้จบสุขนิยมอย่างที่ผมหวังไว้ อีกคนต้องการเพื่อนคนเดิมกลับมา ในขณะที่อีกคนไม่ ทุกอย่างมันเลยไม่ได้สมดังหวัง

ผมลุกออกจากเก้าอี้ตัวที่นั่งด้วยความรู้สึกอึมครึม สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดตอนนี้คือเตียงนอน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวออกจากประตูหอประชุม เขาก็ดึงแขนผมไว้ ก่อนจะชวนไปหาอะไรกิน สมองผมเอาแต่สั่งให้ผมปฏิเสธ และกลับไปนอนจมความทุกข์บนเตียง ที่ๆซึ่งปลอดภัย ส่วนหัวใจน่ะหรอมันเอาแต่ตะโกนว่า ‘ไปสิ ไปสิ’  มันทุ่มเถียงกับสมองอยู่เพียงชั่วครู่ ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายชนะ

เราเข้าไปนั่งร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยนัก เราเลือกสั่งข้าวแกงกะหรี่หมูทอดทั้งสองคน ระหว่างที่รออาหารความเงียบก็เกิดขึ้น จำได้ไหมที่ผมเคยบอกคุณว่า แค่มองตาเราก็รู้แล้วว่าอีกคนกำลังคิดอะไร และแน่นอนเขารู้เหมือนที่ผมรู้

“จริงน่ะหรอ” เป็นฝ่ายเขาเองที่ทำลายความเงียบ

ผมเลือกที่จะหลบตา และเอาแต่ภาวนาให้อาหารมาเสิร์ฟสักที ตอนที่ผมกระดกแก้วดื่มน้ำเพื่อบรรเทาลำคอที่กำลังแห้งผาด

“รัก..” เขาเร่ง

รู้แล้วหน่าจะเรียกทำไมนักหนา ขอเวลาเตรียมใจหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ผมดื่มน้ำอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าไปมองเขาอย่างจำใจ

“เออ ทำไงได้วะความรู้สึกมันห้ามไม่ได้นี่หว่า”

“นานหรือยัง”

“จะอยากรู้ไปทำไมเล่า”

“รัก..” เขาเรียกชื่อผมซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ต่ำลง

“ไม่รู้โว้ย รู้ตัวอีกทีมันก็คิดเกินเพื่อนไปแล้ว นายเข้าใจไหม แต่ถ้านายไม่ชอบ..” ผมพูดทั้งๆที่ก้มหน้ามองโต๊ะ

“รู้ได้ยังไงว่าไม่ได้ชอบ” ผมพูดไม่ทันจบเขาก็แทรกขึ้นมา

“ก็…เดี๋ยวนะเมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ถึงได้เห็นว่าเขากำลังยิ้ม

“ก็แค่จะถามย้ำให้มั่นใจ ว่าทุกอย่างมันไม่ได้ผิดพลาด และถ้านายเห็นว่าฉันเหมาะสม ตั้งแต่วันนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

เขาพูดแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเหมือนอย่างวันนั้นผมถึงได้รู้ว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูก และนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดเสมอว่ามันน่ารักดี

 
******************

ครึ่งแรกเขียนเมื่อหลายเดือนก่อน ส่วนครึ่งหลังเพิ่งมาเขียนเมื่อไม่กี่วันนี้เองค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ปะติดปะต่อ ขออภัยด้วยค่ะ

ตอนแรกกะว่าจะจบอีกแบบ แต่เผอิญเรามันเป็นพวกสุขนิยมน่ะค่ะ เลยอาจจะห้วนไปนิด ขออภัยอีกรอบค่ะ

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านกันนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2016 18:21:48 โดย naruki »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #2 เมื่อ31-10-2016 07:16:03 »

อ่านไป ลุ้นไป จะดราม่ามั้ย :mew2:
รัก กับ เดือนคณะ คิวท์บอย (หาชื่อไม่เจอ) :mew1: :mew1: :mew1:
ต่างฝ่ายอมพะนำ เกบไว้ในใจ แม้จะดูใกล้ชิดมากกกก
นี่ถ้าจอม อดีตคิวท์บอย ไม่เอามาทำละคร
แล้วเพื่อนสนิทไม่มาดู เรื่องนี้จะหายไปกับสายลมสินะ
ต้องขอบใจจอม อย่างที่สุดเลยนะรัก
ไร้ท เพิ่มตอนพิเศษแบบสุขนิยม
ที่มุ้งมิ้ง หวานๆ หลายๆ ตอนนะ ชอบบบบบ
ถ้ามี NC ยิ่งยอดเยี่ยม เตรียมทิชชู่ซับเลือดไว้แล้ว:jul1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #3 เมื่อ31-10-2016 16:20:49 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #4 เมื่อ31-10-2016 18:45:01 »

ลุ้นแทบแย่เลย :hao7:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #5 เมื่อ31-10-2016 19:17:52 »

ลุ้นไปกับรัก..

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #6 เมื่อ31-10-2016 19:58:20 »

ลุ้นแทบแย่เลย :hao7:

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #7 เมื่อ03-11-2016 22:40:27 »

ลุ้นดราม่าจนบรรทัดสุดท้ายเลยค่ะ
555555555
กลัวเหลือเกินนน
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #8 เมื่อ03-11-2016 23:12:16 »

เปิดมาอย่างหน่วง นึกว่าจะฆ่ากันซะแล้วค่ะ  :sad4:

ออฟไลน์ peaceminus1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Closer (จบ)
«ตอบ #9 เมื่อ16-11-2016 01:27:15 »

โอ้ยยยย ชอบมาก แต่งดีมาก  :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Closer (จบ)
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-11-2016 01:27:15 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
มันยังไม่จบใช่มั้ย :ling1:

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Run Baby Run


Run
 
ผมเป็นนักวิ่ง ผมเริ่มวิ่งมาได้ประมาณสี่วันแล้ว อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้น ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังคิดอะไรอยู่ โอเคๆผมยอมรับก็ได้ ที่จริงผมเป็นแค่นักหัดวิ่ง  ทำไมผมถึงเริ่มมาวิ่งน่ะเหรอ เป็นคำถามที่ดีมาก แต่ถ้าคุณคิดว่าผมตอบว่าการวิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ หรือเพราะผมชอบเวลาที่มีสายลมอ่อนๆกระทบใบหน้า ได้สูดอากาศยามเช้าที่สดชื่นกว่าใคร  โนๆ คุณคิดผิดถนัดเหตุผลข้อเดียวที่ผมทิ้งเวลานอนอันมีค่า ทิ้งเตียงนุ่มๆอย่างไม่ไยดี   แล้วหันมาสวมรองเท้าก่อนจะวิ่งมาที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก เพียงเพราะรุ่นพี่คนนั้น ‘พี่ไทม์’ เช็คอินสถานที่นี้ไว้ในอินสตราแกรมน่ะสิ

ผมรู้ว่าผมแม่งโคตรงี่เง่า ผมควรจะเดินไปทำความรู้จักกับพี่เขา  ไม่ใช่แค่เพียงตามส่องIG แต่ก็นั่นล่ะอย่างน้อยผมก็รู้ว่าเขาชอบวิ่ง รูปที่ถ่ายลงส่วนมากก็พวกรองเท้าวิ่ง วิวข้างทาง บางครั้งก็จำพวกเหรียญที่ไปร่วมแข่งมา และผมก็ตามกดหัวใจให้ไปซะทุกรูป จนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วพี่เขาเช็คอินสถานที่ที่ช่วงนี้ชอบมาวิ่ง พอผมเห็นชื่อสถานที่เท่านั้นล่ะ ผมก็ใจง่ายตามพี่เขามาทันที

วันนี้เข้าวันที่ห้าแล้วที่ผมกระชากตัวเองขึ้นมาจากเตียงนอน ตั้งแต่ยังไม่ทันจะหกโมงเช้า เพื่อแค่มาวิ่งตามหลังพี่ไทม์  มิ้นท์เพื่อนสนิท ให้คำจำกัดความพฤติกรรมของผมสั้นๆ

'มึงนี้แม่ง สตอกเกอร์ฉิบหาย'

ผมไม่เถียงก็ผมรู้ตัว ที่จริงผมอยากจะตะโกนด่ามันกลับด้วยซ้ำ ว่าพฤติกรรมของมันที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากผมสักเท่าไร จากนั้นมันก็ให้คำแนะนำอีกอย่าง ที่ตัวมันเองก็ไม่ทำเหมือนกัน 

'เลิกทำตัวเป็นสตอกเกอร์และเข้าไปคุยกับเขา แต่ถ้ามึงไม่กล้าก็พยายามเรียกร้องความสนใจจากพี่เขาให้ได้ เขาจะได้รู้สักทีว่ามีมึงอยู่ในโลกใบนี้'

ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าผมเข้าใกล้เป้าหมายมากกว่ามันซะอีก

ผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งทำทีเหมือนกับกำลังหาเพลงในมือถือ ตอนที่ีพี่เขาวิ่งผ่านหน้าผมไป ผมค่อยๆลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเตรียมวิ่งตามหลังพี่เขาเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ทุกอย่างดันแปลกไปจากเดิมเพราะผมรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะหมุน เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงพี่ไทม์ตะโกนว่า "เฮ้ยรัน" ก่อนทุกอย่างจะดับไป

ผมรู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นฉุนกึกที่จมูก และความเย็นที่หน้า  มีคนยืนล้อมรอบตัวผมอยู่ประมาณสองสามคน หนึ่งในนั้นคือพี่ไทม์ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าให้ผมอยู่

"รู้สึกตัวแล้วเหรอ" พี่เขาพูดขึ้นหลังจากเห็นผมลืมตา

"โอ๊ย ป้าก็เป็นห่วงอยู่ๆก็ล้มลงไป"คุณป้าที่กำลังเอาแอมโมเนียให้ผมดมพูดพร้อมกับหันไปหาพี่ผู้ชายอีกคนแล้วไล่ให้กลับไปเฝ้าร้าน

"ลุกไหวไหม" พี่ไทม์พูดพร้อมพยายามประคองผมลุกขึ้นมา

"ขอบคุณมากครับ" ผมกล่าวขอบคุณพี่เขาหลังจากลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และหันไปไหว้ขอบคุณคุณป้าที่ช่วยอีกคน

"ไม่เป็นไร นอนไม่พอล่ะสิถึงเป็นลม” ก็จริงอย่างที่พี่เขาว่าเมื่อวานกว่าผมจะกลับถึงบ้าน ก็เลยเที่ยงคืนมานานแล้ว  กว่าจะได้เข้านอนก็เกือบตีสอง  แล้วไหนการที่ต้องตื่นหกโมงเช้าติดต่อกันมาตั้งห้าวันอีกล่ะ

“สงสัยจะจริงอย่างที่พี่ว่า”  ผมหัวเราะกลบเกลื่อนความอาย จากนั้นมือถือพี่ไทม์ก็ดัง ผมเลยได้โอกาสขอตัว พร้อมทั้งเก็บซากความอับอายกลับมา

ผมเอาเหตุการณ์เมื่อเช้าไปรายงานให้มิ้นท์ฟังเป็นประจำเหมือนทุกวัน พอมันฟังจบมันก็งึมงำในลำคอ 

"ไอ้รัน กูบอกให้มึงไปเรียกร้องความสนใจพี่เขา ไม่ใช่ให้มึงไปเรียกร้องความสนใจคนแถวนั้นทั้งหมด แต่ก็นะตอนนี้พี่เขาก็รู้แล้วว่ามีมึงอยู่บนโลกนี้ ถือว่าแผนอ่อยสัมฤทธิ์ผล"

"มึงฟังกูบ้างหรือเปล่า กูไม่ได้อ่อยกูเป็นลมไปจริงๆ” มิ้นท์ยักไหล่หาได้สนใจคำพูดของผมไม่

"ขั้นต่อไป มึงต้องกลับไปเดินแถวคณะพี่เขา เชื่อดิถ้าพี่เขาเห็นมึงต้องเดินเข้ามาทักแน่" พอมันพูดจบมันก็ลากผมไปโรงอาหารคณะวิศวะ คณะที่พี่เขาอยู่ มันควรรู้สิว่าตอนนี้ผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับพี่เขา ให้ตายผมเพิ่งเป็นลมต่อหน้าเขาไปนะ

ในโรงอาหาคณะวิศวะมีคนอยู่พลุ่กพล่าน  มิ้นท์ทิ้งผมไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินไปซื้อของกิน เพียงเวลาไม่นานผมก็เห็นพี่ไทม์เดินเข้ามากับกลุ่มเพื่อนๆ ผมรีบคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาบังหน้าทันที กลุ่มพวกพี่เขากำลังจะเดินผ่านหน้าผมไปอยู่แล้ว ถ้าไอ้มิ้นท์ไม่ตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง

“ไอ้รัน เอาน้ำอะไร” คือมิ้นท์มึงเดินมาอีกนิดก็ถึงตัวกูแล้ว ทำไมต้องตะโกนด้วย     

 “แล้วแต่เลย” ผมรีบตอบก่อนจะรู้สึกว่ามีสายตามากกว่าสี่คู่กำลังมองมา

“อ้าวเด็กทันตะมาทำอะไรในโรงอาหารวิศวะ อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรอครับ” หนึ่งในเพื่อนพี่ไทม์ถามผม พวกพี่เขารู้ได้ยังไงว่าผมเรียนทันตะ ในเมื่อเราไม่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้

 “….” ให้ตายสิจะให้ผมตอบว่ายังไง จะให้ตอบว่ามานั่งอ่อยพี่ไทม์ก็ใช่เรื่อง เมื่อไรไอ้มิ้นท์จะกลับมาสักที ทำไมแค่ซื้อน้ำถึงนานนักวะ

“ว่าไง พี่ถามน้องนั่นแหละ น้องรัน ทันตะ” เพื่อนพี่ไทม์นอกจากจะตื้อให้ผมตอบคำถาม  ยังทิ้งตัวลงมานั่งตรงข้ามผมอีก 

“นั่งด้วยได้ป่ะ คนเยอะมากเลย สงสัยคิ้วท์บอยแห่งชาติมาเยือนโรงอาหารคณะเราแน่ๆคนเลยเยอะอย่างนี้” แล้วพี่จะให้ผมตอบยังไงครับก็พี่เล่นนั่งลงมาแล้ว ผมจึงได้แต่พยักหน้า พวกพี่ที่เหลือเลยทรุดตัวลงนั่งตามๆกันมา

  “สรุปจะไม่บอกจริงๆใช่ไหมว่านั่งทำอะไรแถวนี้” คือจะอยากรู้ให้ได้ใช่ไหม มาโรงอาหารให้ทำอะไรวะ ก็ต้องมากินข้าวนะสิ  ผมกำลังจะพูดคำที่ผมคิดในหัวอยู่แล้ว แต่ก็มีเสียงพี่ไทม์ผู้ที่นั่งเยื้องกับผมแทรกขึ้นมาก่อน

“กล้า มึงจะอยากรู้อะไรนักหนา เลิกเซ้าซี้น้องเขาได้แล้ว”

“หรือว่ามึงไม่อยากรู้ กูรู้ว่ามึงเองก็อยากรู้เหมือนกัน” พี่กล้าทิ้งระเบิดก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ  พี่ไทม์มองผมอยู่สักพักนึง

 “เป็นไงบ้าง” คงจะถามถึงเรื่องเมื่อเช้า

 “โอเคแล้วครับ หลังจากแยกกับพี่ผมก็กลับไปนอนเลย สงสัยจะจริงอย่างที่พี่ว่านั่นแหละท่าทางผมจะนอนไม่พอจริงๆ”

“อืม อย่าฝืนมากรู้ไหม ถ้าไม่ไหวก็พักบ้าง”

“แต่ว่า…” ผมเกือบจะบอกพี่ไทม์ออกไปอยู่แล้วว่าที่ผมไปวิ่งก็เพราะพี่เขานั่นแหละ  ถ้าไม่ติดที่ไอ้มิ้นท์เดินมาก่อน  พี่ไทม์เลยขอตัวไปซื้อข้าว

“หรือพี่เขาจะชอบมึงเหมือนกัน” มิ้นท์ถามขึ้นตอนที่ทั้งโต๊ะเหลือแค่ผมกับมัน

“ไม่ใช่หรอกมั้ง  กูกับพี่เขาไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยนะโว้ย”

 “มึงยังชอบพี่เขาทั้งๆที่ยังไม่เคยคุยกับเขาสักครั้งเลยด้วยซ้ำ” ไอ้มิ้นท์กล่าวสรุป หลังจากนั้นโต๊ะผมก็เต็มไปด้วยรุ่นพี่วิศวะปีสามกลุ่มใหญ่

หลังจากผมกลับมาที่คณะเพื่อรอเรียนวิชาคาบบ่าย ไอ้มิ้นท์ก็หันไปคุยกับเพื่อนในคณะ เรื่องคิ้วท์บอยแห่งชาติที่พี่กล้าเพื่อนพี่ไทม์พูดถึง

“ซี แกรู้ป่ะว่ะว่าคิ้วท์บอยคืออะไร”

“ก็ผู้ชายหล่อๆน่ารักๆ ประจำมหาลัยไง”

"แล้วคิ้วท์บอยแห่งชาตินี้ใครวะ” ซีมองหน้ามิ้นท์เหมือนไอ้มิ้นท์มันกำลังถามเรื่องที่ตลกที่สุดที่เคยได้ยินมา ก่อนชี้นิ้วมาที่ผม

“ก็รันไง คิ้วท์บอยแห่งชาติ”

“ห่ะ/ห่ะ” เสียงของไอ้มิ้นท์กับผมประสานขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนมันจะหันมามองหน้าผมแล้วขำอย่างที่ผมคิดว่าถ้ามันลงไปนอนกลิ้งได้ มันคงจะทำไปแล้ว

“ไอ้รันนี้นะ แกล้อเล่นเปล่าวะซี” ไอ้มิ้นท์ยังขำไม่หยุดเลยตอนที่ถามซีให้แน่ใจอีกครั้ง

“จริงๆ”ว่าแล้วซีก็หยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะกดเข้าแอพพิเคชั่นสีน้ำเงินอันโด่งดัง พร้อมทั้งเสิร์ชหาเพจ cuteboy ของมหา’ลัยผม แล้วยื่นมือถือมาให้มิ้นท์กับผมดู

มีภาพของผมลงอยู่หลายรูป ภาพล่าสุดเพิ่งจะโพสต์ไม่ถึงห้านาทีดีเลย แต่ไลค์ปาเข้าไปเกือบจะพันแล้ว เป็นรูปที่ผมกำลังนั่งกินข้าว
 
รัน ทันตแพทยศาสตร์ #2 คิ้วท์บอยแห่งชาติ อยากไปนั่งกินข้าวตรงนั้นด้วยจัง >//<
#ทำไมต้องหล่อ #หมอหล่อบอกต่อด้วย #แต่คนนี้ไม่อยากบอกต่อเลยจริงๆอยากเก็บไว้ดูคนเดียว #ก็มีแต่ใจให้ไปให้น้องรันคนเดียว
IG : ใครรู้ไอจีน้องเปิดวาร์ปให้แอดที แอดหาไม่เจอจริงๆ  //// แอดมินน้ำหวาน
 
Panita Itthiwattana : งานดี หนูรักพี่เขา
Suraporn Poldee : โรงอาหารคุ้นๆไม่ใช่วิดวะใช่ไหม โอ๊ยพลาดอย่างแรง
Lookpudnaka : รู้สึกน้องจะไม่มีไอจีนะ ใช่ป่ะว่ะ Meena Saruta
Meena Saruta : มีนะ แต่ไม่เห็นอัพอะไรเลย ตอนแรกนึกว่าไอจีปลอม แต่ไปถามเพื่อนน้องรันมาแล้ว น้องเขายืนยันว่าใช่ Mysmallworld13 ไป follow เลยจ๊ะแอด
Lalida Pornchakit : กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 
แล้วอีกนับสิบกว่าคอมเมนต์ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อยากได้ อยากกิน อยากโดนฟันบ้างล่ะ นี้พวกเธอเห็นผมเป็นอะไร สิ่งของ ของกิน หรือฆาตกรโรคจิต ตอนผมเห็นชื่อไอจีของผมปรากฎอยู่ในเพจ ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดู เพียงแค่ผมเชื่อมต่อสัญญาณ 4G มือถือผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้า พร้อมกับข้อความแจ้งเตือนจากไอจีว่ามีผู้เริ่มติดตามคุณนับหลายร้อยคน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวินาที อย่าให้ผมรู้นะว่าใครบอกไอจีผมกับพี่เขา

ไอจีผมไม่เคยอัพรูปภาพอะไรทั้งสิ้น มิ้นท์สมัครให้ผมเพียงเพื่อที่จะเข้าไปส่องพี่ไทม์ได้สะดวก และกดหัวใจให้ทุกรูปที่พี่เขาอัพแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ผมติดตามอยู่ในไอจีตอนแรกจึงมีแค่พี่ไทม์ แต่มิ้นท์บอกว่ามันจะน่าสงสัยเกินไปถ้าติดตามพี่ไทม์เพียงคนเดียว ผมจึงกดติดตามคนเพิ่มอีกประมาณอืม..ห้าคน  แต่ตอนนี้ไอจีผมดันมีคนอื่นล่วงรู้ซะแล้ว แล้วผมจะกดหัวใจให้พี่เขาได้อย่างไงโดยไม่ให้คนอื่นรู้ โธ่ทำไมผมถึงได้ลืมตั้งค่าไพรเวทนะ ผมเกือบจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าอยู่แล้ว ถ้าไม่เห็นการแจ้งเตือน
 
thyme_pakorn  Started following  you
 
OMG ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝัน พี่ไทม์ฟอลโลว์ผมในไอจี ตอนนี้ผมอยากจะเดินไปขอโทษพี่ 'Meena Saruta' พร้อมก้มลงกราบงามๆบนตัก ที่เมื่อกี้ผมแอบว่าพี่เขาในใจ

"มิ้นท์ พี่ไทม์ฟอลกูว่ะ" ผมยื่นมือถือที่แคปรูปการแจ้งเตือนที่พี่ไทม์ฟอลโลว์ผมให้ไอ้มิ้นท์ดู

ผมกะว่าจะเอารูปนี้ไปอัดใส่กรอบวางไว้เคียงข้างกับภาพอื่นๆของพี่ไทม์บนหัวเตียง ก็พี่ไทม์คนที่ผมแอบชอบมาตั้งนานฟอลผมเชียวนะ หู้ย!นี่มันโคตร success เลย

"ไหนๆพี่ไทม์ก็ฟอลมึงแล้ว มึงก็อัพรูปให้เอฟซีมึงชื่นใจหน่อย ให้เขาแน่ใจว่านี้เป็นไอจีมึงจริงๆ"

ผมไม่รู้ว่าจะอัพรูปอะไรเป็นรูปแรก มิ้นท์มันเลยหยิบกระดาษเอสี่มาหนึ่งแผ่น เขียนข้อความลงไป 'Hello Stranger' ก่อนยื่นมาให้ผมถือ หยิบมือถือผมขึ้นมาถ่ายรูป แล้วก็เข้าไปในไอจี อัพรูปของผมลงไปพร้อมเขียนแคปชั่นให้เสร็จสรรพ

mysmallworld13  สวัสดีคนแปลกหน้า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ^________^
 
แค่เสี้ยววินาทีทั้งการกดหัวใจ และคอมเม้นท์ก็ตามมา

sss.iyu ไอจีพี่รันจริงๆด้วย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่า
doridido โอ๊ยน่ารัก
dew_dew ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่น้องรันอัพไอจี พี่ดีใจเหลือเกิน TT-TT
 
ผมกำลังไล่อ่านคอมเม้นท์จนไปสะดุดตาอยู่คอมเม้นท์หนึ่ง
 
meena94 ขอบคุณ @mint1712 ที่ยืนยันไอจีกับพี่ เกือบจะเลิกฟอลแล้วเชียว ยินดีที่ได้รู้จักจ้าน้องรัน
 
สรุปหนอนบ่อนไส้ก็อยู่ใกล้ๆตัวผมนี่เองสินะ ผมกำลังจะหันไปกราบขอบคุณในความหวังดีมากๆของมันอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งมีข้อความแจ้งเตือนจากคนที่ผมติดตามขึ้นมาเสียก่อน
 
thyme_pakorn ยินดีที่ได้รู้จัก หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ

กระผมนายรัชต  เตชะอังกูร ได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว  บายเวิล์ดดดดด
 
       หลังจากผมเรียนวิชาคาบบ่ายเสร็จ มิ้นท์ก็คว้ามือถือผมไปดูกดเปิดแอปอินสตราแกรม มันไถมือถือผมอยู่สักพักก็ส่ายหน้าพร้อมทั้งถอนหายใจยาวเหยียด

 “ทำไมกูไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยเวลาใครมาถามเรื่องของมึงกับกู ถ้ากูรู้ตั้งแต่ปีหนึ่งว่ามึงจะฮอตขนาดนี้ ป่านนี้กูรวยไปแล้ว เสียดายฉิบหาย” ไอ้มิ้นท์บ่นพร้อมกับยื่นมือถือคืนผม จากนั้นมันก็จับหน้าผมให้หันไปทางซ้ายทีทางขวาที

“มิ้นท์กูเจ็บ” มันไม่ได้สนใจคำพูดของผมเลยสักนิด เพราะตอนนี้มันกำลังบีบแก้มของผมอยู่

 “ผู้หญิงสมัยนี้เขาเลิกชอบแบบดาร์ททอลแอนด์แฮนซัมแล้วเหรอวะ มึงแม่งขาวอย่างกับหลอดไฟเดินได้ แถมสูงกว่ากูสองเซนต์ แม่งมีดีตรงไหนวะ”

มิ้นท์มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า ว่ามึงมันไม่ใช่ผู้หญิงไซส์มาตราฐาน มึงมันสูงร้อยเจ็ดสิบหกจุดเท่าไรไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นไอ้ที่บอกว่าสองเซน ผมก็สูงเกินมาตราฐานชายไทยนะ แต่ผมจะไม่ตอบโต้มัน เพราะมันก็แค่บ่นไม่ได้ต้องการคำตอบจากผมอยู่แล้ว

หลังจากมันบ่นผมจบ “รัน มึงอะนะ หล่อยังไม่ได้ครึ่ง’พี่ยุ่ง’ของกูเลย” สงสัยจะยังไม่จบ เห็นการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของมิ้นท์มันไหมครับ ‘พี่ยุ่งของกู’ ช่างกล้าพูด พี่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมันเป็นเมียอยู่หนึ่งคน

พี่ยุ่งเป็นรุ่นพี่ปีสี่ คณะสัตวแพทย์ เป็นผู้ชายที่ผมสามารถให้คำจำกัดความ ‘ดาร์ททอลแอนด์แฮนซัม’ ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ มิ้นท์ค้นพบพี่ยุ่งตอนที่เราอยู่ปีหนึ่งแล้วได้ไปเข้าค่ายอนามัยกับพวกเด็กแพทย์ พยาบาล และคณะที่เป็นสายสุขภาพอื่นๆ มันตกหลุมรักเข้าอย่างจังตอนที่พี่เขาอุ้มน้องแมวขึ้นมาฉีดวัคซีน หลังจากวันนั้นมันก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ ว่าพี่ยุ่งนี่แหละ พ่อของลูก  สามีในอนาคต  พร้อมกับลากผมไปส่องพี่เขาตามสถานที่ต่างๆในมหา’ลัย จนกระทั่งวันนั้นที่ไอ้มิ้นท์ลากผมไปส่องพี่ยุ่งที่สนามฟุตบอลเหมือนเช่นเคย ผมก็ได้เจอ ‘พี่ไทม์’

 เขาว่ากันว่าเวลาที่เราตกหลุมรักใคร โลกจะหยุดหมุน ทุกอย่างจะดูเชื่องช้าไปหมด หัวใจเราจะเต้นแรก หน้าร้อนผ่าว  มือไม้สั่น และรู้สึกปั่นปวนราวกับว่ามีผีเสื้อนับพันๆตัวบินวนอยู่ในท้อง  ตอนที่ผมเห็นพี่ไทม์ ผมเป็นทุกอย่างแบบที่เขาว่ากันจริงๆ เย็นวันนั้นยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปาก มิ้นท์ก็พูดขึ้น

‘มึงชอบพี่ผู้ชายคนนั้นใช่ปะ’

พอผมพยักหน้ามิ้นท์ก็ตบเข่าตัวเองดังฉาด

‘กูว่าแล้วเชียว  เพราะอยู่ๆมึงก็หน้าแดง ตอนที่พี่เขาเดินเข้ามาเก็บบอลใกล้ๆที่ซ่อนของเรา’

 ครับอย่างที่มันบอกนั่นแหละ มิ้นท์มันลากผมไปส่องพี่ยุ่งจริง แต่เราไม่ได้นั่งโดดเด่นอยู่ข้างสนาม เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เรานั่งหลบมุมกันหลังต้นไม้ใหญ่ ถ้าไม่สังเกตดีๆจะมองไม่เห็น ตอนแรกผมก็ลากมันให้ไปนั่งข้างสนามอย่างคนอื่นเขา แต่มันบอกว่ามันกลัวพี่ยุ่งจะเตะพลาดเพราะตะลึงในความสวยของมัน  มันไม่อยากให้สามีในอนาคตไม่มีสมาธิ ในเกมการแข่งขัน

 ตั้งแต่มิ้นท์รู้ว่าผมชอบพี่ไทม์ มันก็แสดงความเป็นเพื่อนที่แสนดีด้วยการช่วยสืบเสาะหาข้อมูลพี่เขามาบอกผม ตอบแทนกับที่ผมไปเป็นเพื่อนมันตลอดตอนที่มันส่องพี่ยุ่ง

‘พี่เขาชื่อไทม์ ภากร อิทธิวัฒนา  อยู่ปีสามวิศวะเครื่องกล’ มันเดินมาบอกผมตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้บอกหรือยังว่ามิ้นท์มันเป็นพวกอัธยาศัยดี รู้จักคนไปทั่ว มีเพื่อนอยู่ทุกคณะทั่วมหาลัย เพราะฉะนั้นการหาข้อมูลใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมัน

‘แล้ว’ ผมรู้ว่ามันรู้ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร

‘ยังโสดสนิท แต่คู่แข่งมึงตอนนี้เยอะน่าดู เห็นไอ้ต้าวบอกว่า มีสาวๆมาขายขนมจีบเยอะแยะ โดยเฉพาะสาวบัญชี มึงก็รู้สาวบัญชีมหา’ลัยเราเป็นไง ฮอตสาด’

ไอ้ต้าวที่มันพูดถึงเป็นเด็กวิศวะ รู้จักกันเพราะรุ่นพี่ทันตะสั่งให้พวกเราในตอนนั้นไปหาของที่คิดว่ามีค่าในมหา’ลัย เพื่อแลกกับลายเซ็นต์ มิ้นท์เดินกลับมาพร้อมไอ้ต้าวเดือนมหา’ลัยในขณะนั้น แน่นอนมันได้ลายเซ็นต์พี่ๆครบก่อนใคร ไอ้ต้าวมาเล่าให้ผมฟังทีหลัง ว่าไอ้มิ้นท์ไปขู่กรรโชกมันแทบตาย  เพื่อให้มันยอมมาด้วย

‘แล้วมึงว่ากูควรทำยังไงดี’ ผมจนปัญญาจริงๆ เพราะแค่ปกติก็ยากอยู่แล้วก็ผมเป็นผู้ชายนะ  แล้วนี่คู่แข่งเป็นถึงสาวบัญชีเชียวนะ ถ้าให้จัดอันดับคณะที่มีสาวสวยมากที่สุดในมหา’ลัย ก็คณะบัญชีนี่ล่ะ ผมเคยหลงเข้าไปอยู่ครั้งนึง ที่นั้นมันสวรรค์ชัดๆมีแต่นางฟ้าเต็มไปหมด

‘มึงไม่ต้องกลัวไอ้รัน เพื่อนคนนี้จะช่วยมึงเอง’ ไอ้มิ้นท์ตบบ่าผมพร้อมกับตีมือไปที่อกตัวเอง

หลังจากวันนั้นมันก็ไปก็พาผมไปร่อนแถวคณะวิศวะบ่อยๆ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่ไทม์เลย จนในที่สุดเราก็เลิกเพราะคณะผมกับพี่เขาไกลกันเหลือเกิน    จนกระทั่งวันหนึ่งมันมันเดินยิ้มมาแต่ไกล พร้อมยื่นกระดาษในมือมาให้ผม

‘อะไรวะ’ ผมมองกระดาษที่มันยื่นมาให้  แต่ไม่เข้าใจสักนิด thyme_pakorn คืออะไร

‘ห่า มึงนี้ ก็อินสตาแกรมพี่เขาไง มึงรู้จักไหมไอจีน่ะ’ ผมเป็นมนุษย์ไร้โซเซี่ยล อย่างเดียวที่มีคือไลน์ เพราะไอ้มิ้นท์บังคับให้มีเวลาส่งข้อความหากัน ผมไม่เข้าใจว่าถ้ามันอยากจะคุยกับผมทำไมไม่ใช้เฟสไทม์  มันให้เหตุผลสั้นๆ ‘กูก็แค่อยากพิมพ์คุยกัน ไม่ได้อยากเห็นหน้ามึง แล้วอีกอย่างมึงจะได้เข้าร่วมกลุ่มไลน์คณะด้วย’ แค่บอกไลน์คณะผมก็เข้าใจแล้ว ทำไมต้องกัดผมก่อนหน้าด้วยวะ

 ‘แล้วไงอะ’

 ‘รัน มึงเป็นมนุษย์ที่โง่เง่าที่สุดในโลกที่กูเคยรู้จักมา มึงถามมาได้ยังไงแล้วไง  มึงมีไอจีพี่เขาแล้ว มึงก็เข้าไปฟอลพี่เขาสิวะแล้วมึงจะได้รู้จักพี่เขามากขึ้น กูใช้ความพยายามมากนะ กว่าจะหาไอจีพี่เขามาได้’ แค่นี้ต้องด่าว่าโง่เลยเหรอวะ ก็ผมไม่รู้นี่นา แล้วอีกอย่างมันใช้ความพยายามที่ไหนกัน ไอ้ต้าวต่างหากที่ใช้ความพยายามหามาให้มัน

‘มึงก็รู้กูไม่มีไอจี’

มันถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง ‘รัน ถ้ามึงยังไม่เลิกทำตัวโง่ๆ กูจะเลิกคบกับมึงแล้วนะ’  ว่าแล้วมันก็คว้าโทรศัพท์ในมือผมไปโหลดแอปอินสตราแกรมลงเครื่อง ก่อนถามชื่อที่ผมจะใช้แล้วสมัครให้เสร็จสรรพ แล้วหยิบกระดาษในมือผมไปดู ก่อนพิมพ์อะไรลงไปในมือถือ พอมันทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็ยื่นมือถือคืนผม

ผมมองหน้าจอที่ปรากฎอยู่ตอนนี้ เป็นพี่ไทม์จริงๆด้วย ผมถามวิธีเล่นกับมิ้นท์สองสามประโยค พอมันตอบผมก็กดหัวใจให้ทุกรูปของพี่เขาในทันที

เย็นวันนั้นหลังจากแยกกับไอ้มิ้นท์ สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากเข้าห้องนอนคือหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไอจีและเข้าไปดูไอจีของพี่เขาอีกรอบ ก่อนแคปหน้าจอรูปเซลฟี่ของพี่เขามาตั้งเป็นภาพพักหน้าจอของมือถือผม แล้วก็มองมันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหลับไป

 ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า พร้อมกับการแจ้งเตือนในไอจี ว่าคนที่ผมกำลังติดตามได้อัปรูปภาพเมื่อชั่วโมงก่อน  จะมีใครล่ะก็ผมติดตามอยู่คนเดียว พี่เขาอัปภาพสนามวิ่งในมหาลัย พร้อมแคปชั่น ‘เช้าๆมาวิ่งที่มหาลัยก็ดีเหมือนกัน’ สงสัยจะชอบวิ่งจริงๆ ผมอยากไปวิ่งด้วยจัง แต่จากมหา’ลัยกับบ้านผมไกลกันพอสมควร ถ้าผมจะเนียนไปวิ่งตอนเช้ากับพี่เขาผมคงจะต้องตื่นตั้งแต่ยังไม่ตีห้าดี แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ขอบายล่ะกัน

หลังจากวันนั้นผมก็ยังคงกดหัวใจให้พี่เขาอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มฟอลคนอื่นเพิ่มตามคำแนะนำของมิ้นท์ จนกระทั่งผ่านมาได้สองเดือนพี่ไทม์ก็อัปรูปภาพสวนสาธารณะ ก่อนเช็คอินสถานที่ที่อยู่ใกล้บ้านผมนิดเดียว พร้อมแคปชั่น ‘ช่วงนี้มาวิ่งที่นี้บ่อยๆ ทั้งๆที่ไกลบ้าน แต่ถอนตัวคงไม่ทันแล้ว ก็ดันติดใจซะแล้วนะสิ’ หลังจากนั้นผมก็กดหัวใจให้เหมือนอย่างทุกครั้ง  แล้วก็นั่นแหละอย่างที่คุณรู้ เย็นวันนั้นผมชวนไอ้มิ้นท์ไปซื้อรองเท้าวิ่งทันที

(มีีต่อข้างล่างค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2016 21:25:23 โดย naruki »

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Baby
 
คำจำกัดความสั้นๆ ที่ผมจะมอบให้เด็กปีสองคนนั้นคือ ‘น่ารัก’

‘กว่าจะโผล่หัวมาได้นะมึง ไอ้หล่อ’ พี่ยุ่ง รุ่นพี่ในมหา’ลัย ทักผมทันทีที่เห็นผมเดินตัดสนามฟุตบอลเข้ามา กับพวกไอ้กล้า เพื่อนร่วมคณะ

‘โธ่พี่  เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่นานก็จริง  แต่อาจารย์คณะผมสั่งงานอย่างกับว่าแกจะไม่สามารถมาสั่งงานได้อีกแล้ว’ ไอ้กล้ากับเพื่อนที่เหลือพยักหน้าสนันสนุนให้กับคำพูดของผม

‘มึงนี้ แช่งอาจารย์เดี๋ยวเหอะ’

‘แล้วเด็กสัดแพทย์ไม่ยุ่งเหรอช่วงนี้ ปีสี่แล้วไม่ใช่เหรอ’

‘พวกกูก็ยุ่ง แต่เตะบอลก็สำคัญโว้ย คนเรามันก็ต้องออกกำลังกายกันบ้าง’ พี่ยุ่งพูดเสร็จก็ถอดเสื้อโยนไปที่กองข้าวของข้างหลัง

‘สงสัยจะไม่ได้มาเตะบอลเพื่อสุขภาพอย่างเดียวแล้วมั้งพี่’ ผมลอบมองไปที่สาวๆข้างสนาม เห็นหลายคนกำลังมองมาทางนี้แล้วหัวเราะคิกคัก

‘ถ้ามึงกำลังหมายถึงพวกสาวๆที่ข้างสนาม เขาไม่ได้มาดูพวกกูหรอก’ ผมมองสาวๆที่นั่งอยู่ข้างสนามนับสิบคน ถ้าไม่ได้มาดูพวกพี่แล้วมานั่งข้างสนามทำไม

‘นู่น เขามาดูเด็กนั่น’ ผมมองตามมือพี่ยุ่งที่ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ แต่ผมก็ไม่เห็นใครสักคน

‘ไม่เห็นมีใครเลยพี่’ พี่ยุ่งทำเสียงฟึดฟัด จากนั้นก็เตะลูกบอลไปทางต้นไม้ที่พี่เขาเพิ่งจะชี้ให้ผมดู  ผมเห็นพวกเพื่อนพี่เขาหลายคนกำลังจะวิ่งตามลูกบอลไป แต่โดนพี่ยุ่งเบรคซะก่อน

‘พวกมึงหยุดเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ไทม์มึงไปเก็บบอลมาดิ’ ว่าแล้วก็ผลักไสให้ผมออกตัววิ่งตามลูกฟุตบอลไป

ระหว่างที่ผมก้มลงเก็บลูกฟุตบอลที่ไหลมาหยุดหน้าต้นไม้ที่พี่ยุ่งเพิ่งจะชี้ให้ผมดูเมื่อสักครู่ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่  พอผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาผมก็รู้ทันทีว่าทำไมพี่ยุ่งถึงบอกว่าสาวๆที่ข้างสนามมานั่งดูเด็กคนนี้แทนที่จะเป็นตัวเอง

คุณเคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถผลิตแสงได้ด้วยตัวเองไหมครับ  ตอนนี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ ทำไมถึงขาวได้ขนาดนี้นะ เคยโดนแดดบ้างเปล่าวะ  แถมหน้าตายังโคตรจะดีมากๆ แต่ถ้าถามว่าหล่อไหม ถ้าเป็นคนอื่นตอบอาจจะบอกว่าหล่อ แต่สำหรับผมนะ อืม...ผมว่าออกไปแนวน่ารักมากกว่า

 “โดนแอคแทคอีกรายแล้วสิมึง ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะคราวนี้” เสียงทักแรกดังขึ้นตอนที่ผมวิ่งถือลูกบอลกลับไป

“ผู้ชายว่ะพี่”

“เชี่ย ชัดเจน แต่ดีแล้วที่เป็นผู้ชายเพราะผู้หญิงกูจอง” พี่ยุ่งประกาศกร้าวก่อนแสดงความเจ้าเข้าเจ้าของทันที

“สัดไทม์ กูมองน้องเขามาตั้งแต่เทอมที่แล้ว” พี่ปืนหนึ่งในรุ่นพี่สัดแพทย์ประกาศกร้าวไม่แพ้พี่ยุ่ง

“เชี่ยไทม์ กูเกลียดมึงว่ะ” พี่แพท

“มึงไปเลยนะ แค่ไอ้ยุ่งกูก็ไม่สู้แล้ว พอกูหันมามองน้องผู้ชายก็เสือกมีมึงมาขวางอีก ไอ้สัดแล้วกูจะไปสู้อะไรได้” พี่ดีน

“สัดความเป็นพี่น้องของมึงกับกูจบกัน” พี่เป้

คำสรรเสริญจากรุ่นพี่เริ่มมาเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งอยู่รอมร่อ

“เฮ้ย พวกพี่ออกตัวกันแรงมาก น่ารักขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้กล้ากำลังทำทีว่าจะเตะบอลไปทางต้นไม้แต่โดนพี่ยุ่งเบรคไว้ก่อน

“สัด เดี๋ยวน้องเขารู้ตัว” ก่อนจะล้วงมือถือในกางเกงบอลขึ้นมาเปิดเฟสบุ๊ค แล้วเสิร์ชเพจคิ้วท์บอยของมหา’ลัย

“โอ้โห พี่ยุ่งไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแมนๆอย่างพี่จะติดตามเพจนี้” ไอ้กล้าเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าจอมือถือ

“แปลกตรงไหน คิ้วท์เกิร์ลกูก็ติดตามโว้ย มึงจะดูไหม” เจ้าพ่อโซเซี่ยลตัวจริงครับพี่

พอพี่ยุ่งเลื่อนหน้าวอลล์ของเพจขึ้นมานิดเดียวผมก็เจอเจ้าเด็กเปล่งแสงของผม ขอโทษครับที่แสดงความเป็นเจ้าของนิดหน่อย

รัน ทันตแพทยศาสตร์ #2 คิ้วท์บอยแห่งชาติ ไปนั่งทำอะไรที่สนามบอล มามะมานั่งในใจพี่นี่มาจะได้ไม่ร้อน
#หมอหล่อบอกต่อด้วย  #หล่อจริงหล่อจัง ///แอดมินสวยทุกซอย
 
ชื่อรันอย่างนั้นเหรอ โอ้โหไลค์เยอะซะด้วย สงสัยจะฮอตน่าดู ผมว่าแอดมินสวยทุกซอยอะไรนี้ต้องเป็นหนึ่งในพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างสนามแน่ๆ เพราะรูปเพิ่งโพสต์ แถมยังมุมที่ถ่ายมันก็มาจากตรงนั้นอีกต่างหาก

“เป็นไงมึง” พี่ยุ่งหันไปถามไอ้กล้าผู้ซึ่งยังไม่เคยเห็นหน้าน้องเขา

“อืม ก็หล่อแต่ว่าน้อยกว่าผมว่ะ”

“มึงนี่มั่นหน้าตัวเองฉิบหาย”

“ฮ่าฮ่า พวกพี่ออกตัวกันโคตรแรงไม่ใช่น้องเขามีแฟนแล้วล่ะ” ประโยคนี้ล่ะที่ผมอยากถาม

“มึงนี่ถามเยอะ ไม่ใช่ว่ามึงจะมาร่วมแข่งขันกับพวกกูนะ”

“โอ๊ยพี่ เรื่องอย่างนี้ใครดีใครได้โว้ย”

“เชี่ยกล้า แล้วพูดเหมือนไม่สนใจ มึงนี่ตัวดี” ไอ้กล้าวิ่งหนีพี่ปืนที่กำลังไล่เตะอย่างเอาเป็นเอาตาย

“แล้วมึงละไทม์”

“น่ารักดี” แล้วผมก็วิ่งไปใกล้ๆต้นไม้ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปต้นไม้ที่น้องสองคนนั้นนั่งอยู่ข้างหลัง ก่อนจะอัปอินสตราแกรม

วิวเวลาวิ่งอยู่นี่สวยจังแหะ #รู้สึกเหมือนเพิ่งได้ค้นพบสิ่งพิเศษ

หลังจากวันนั้นไม่นานผมก็เจอน้องผู้หญิงที่นั่งอยู่กับรันมานั่งที่คณะ ผมเห็นน้องผู้หญิงกำลังคุยกับต้าวรุ่นน้องคณะอดีตเดือนมหา’ลัยปีที่แล้วอย่างสนิทสนม สงสัยพี่ยุ่งจะอกหักซะแล้ว ผมเดินเข้าไปทักต้าวทันทีที่น้องผู้หญิงลุกออกไป

‘เฮ้ยต้าว’

‘อ้าวพี่ไทม์ หวัดดีครับ’

‘เมื่อกี้ใครอ่ะ แฟนเหรอ’ ผมลองถามหยั่งเชิง

‘อู้ย ไอ้มิ้นท์นี่นะ ไม่ไหวว่ะพี่’ ดูถ้าพี่ยุ่งจะกลับมามีความหวังอีกครั้ง ในฐานะที่ผมเป็นน้องที่ดี ก็เลยกะจะหลอกถามเรื่องน้องผู้หญิงคนนั้นให้พี่ยุ่งซะหน่อย

‘อ้าวทำไม น้องเขาก็น่ารักดีนี่’

‘ไอ้หน้าตามันก็น่ารักดีหรอก แต่นิสัยนี่สิ เชื่อไหมผมเคยคิดจะจีบมันนะ แต่พอได้รู้จักกันจริงๆผมก็คิดได้ว่าเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ละดีแล้ว’

 ‘ขนาดนั้นเลยเหรอ’

‘ไม่ใช่ว่านิสัยมันไม่ดีนะพี่ นิสัยมันโคตรดีเพียงแต่เวลาอยู่กับมันทีไรผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้แม่เพิ่มมาอีกคน ผมนี่โคตรสงสารไอ้รันเลย’ พี่ยุ่งงานหนักซะแล้ว แต่ว่าต้าวอยู่ๆมันก็พูดถึงเด็กเปล่งแสงของผม ก็เข้าทางสิครับ

‘รัน?’

‘เพื่อนไอ้มิ้นท์ เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก’ เป็นเพื่อนสนิทนี่เอง ตัดเรื่องชู้สาวไปได้เลย

‘ผู้หญิง?’

‘ไอ้รันน่ะเหรอ มันเป็นผู้ชาย ผมถึงได้บอกว่าสงสารมันอยู่นี่ไง’

‘ทำไม?’

‘ก็ขนาดผมยังรู้สึกว่าไอ้มิ้นท์เป็นแม่เลย แล้วไอ้รันที่ตัวติดกับไอ้มิ้นท์ตลอดเวลาจะเหลือเหรอ นี้ผมก็กำลังพยายามหาแฟนให้ไอ้มิ้นท์มันนะ ไอ้รันจะได้มีแฟนสักที เออจริงสิว่าแต่พี่ไทม์สนใจไหมล่ะ พี่โสดไม่ใช่เหรอช่วงนี้ ผมติดต่อให้ได้นะ’

‘คนไหน’

‘อ้าวพี่ ก็ต้องไอ้มิ้นท์ดิ’

‘ขอผ่านแล้วกัน’ แต่อีกคนก็ไม่แน่

ผมบอกลาต้าวตอนที่เพื่อนๆของน้องมันเดินเข้ามาสบทบที่โต๊ะ  สรุปรันยังโสด ผมต้องรีบยุให้พี่ยุ่งเข้าไปจีบน้องผู้หญิงได้แล้ว อุปสรรคจะได้หมดไปแล้วผมจะได้เดินหน้าซะที

แต่ทว่าผมไม่มีโอกาสได้เดินหน้า เพราะช่วงนี้ผมกำลังวุ่นวายอยู่แต่ในช็อป ทำไมปีสามแม่งเรียนหนักนักวะ เพื่อนๆในภาคก็เริ่มดรอปตามๆกันไปหลังจากเห็นคะแนนมิดเทอม พอรู้ตัวอีกทีก็เหลือกันไม่ถึงยี่สิบคน

กว่าผมจะมีเวลาว่างเป็นของตัวเองก็ปาเข้าไปหลังสอบมิดเทอมเสร็จสิ้นไปได้เกือบสองอาทิตย์ ผมเริ่มกลับมาวิ่งหลังจากไม่ได้วิ่งมานานเกือบเดือน ยายเป๊ป หรือชื่อเต็มๆว่าเป๊ปเปอร์ น้องสาวคนเดียวของผมอยู่ๆก็เกิดนึกอะไรคึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ ถึงได้ชวนผมให้ไปวิ่งที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่โคตรจะไกลบ้าน

‘พี่ไทม์ พี่ต้องไปวิ่งที่นี่ให้ได้ มันดีมาก’

‘ดียังไง’

‘ดีจริงๆ พี่ต้องไปลอง’

‘หาเหตุผลดีๆมาสักข้อสิที่ไม่ใช่แค่ว่ามันดี’

‘อากาศมันสดชื่นมาก คนก็ไม่เยอะ แถมวิวยังดีอีกต่างหาก’ ผมรู้สึกว่าไอ้เหตุผมที่ยายเป๊ปยกมาอ้างมันไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด

‘เอาเหตุผลจริงๆ’

ยายเป๊ปจิ๊ปากก่อนจะยอมมอบตัวแต่โดยดี ‘เอาจริงๆเลยนะ หนูอะอยากเห็นพี่รัน’ ใช่รันเดียวกับผมปะวะ

‘รัน?’

‘พี่รันทันตะ หนูรู้มาว่าบ้านพี่เขาอยู่แถวนั้น ก็เลยจะชวนพี่ไทม์ไปวิ่งเผื่อจะฟลุ๊คเจอ’

‘ในสวนสาธารณะนี่นะ คงเจอหรอก’ เอาจริงๆโอกาสที่จะเจอในมหา’ลัยยังมีมากกว่าซะด้วยซ้ำ

‘ถึงไม่เจออย่างน้อยก็ได้มองหลังคาบ้านก็ยังดี นะพี่ไทม์นะพาไปหน่อย’

 แหม่ในเมื่อน้องสาวที่น่ารักอ้อนวอนขนาดนี้ ไอ้ผมก็ไม่ใช่พี่ที่ใจร้ายใจดำซะด้วย เอาเป็นว่าก็จะตามใจแล้วกัน ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ สาบานสิให้ตาย (อิ๊บไขว้นิ้ว)

ยายน้องสาวตัวดีมาวิ่งเป็นเพื่อนผมได้แค่สองวันก็ล่าถอยกลับไปซุกที่นอนนุ่มๆแทน ให้ตายความพยายามไม่มีเอาซะเลย ผิดกับผมวันนี้ก็เข้าวันที่สี่แล้วแต่ก็ยังมาวิ่งอยู่สม่ำเสมอ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเช็คอินในอินสตราแกรมซะหน่อยจะเป็นอะไรไป เฮ้อถึงไม่ได้เจอแต่อย่างน้อยก็ได้เห็นหลังคาบ้านละวะ ถ้าข่าวยายเป๊ปไม่ผิดนะ

พอเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ต้องประหลาดใจ เพราะรันตัวเป็นๆนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างร้านขายน้ำ เฮ้ย!สายข่าวยายเป๊ปไม่มั่วแหะ ทำไงดีวะควรจะเดินไปทักไหม แล้วน้องเขาจะตกใจหรือเปล่า จะคิดว่าผมเป็นโรคจิตเปล่าวะ  อีกอย่างผมควรจะแนะนำตัวว่าอะไรดี แม่งเอ้ยสับสนว่ะ พอจะหันไปทัก น้องเขาก็หายไปแล้ว เวรกรรมพรุ่งนี้จะเจอไหมนะ

ผมสับสนตัวเองอยู่สี่วัน ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี ทั้งๆที่น้องเขาอยู่ใกล้แค่นี้แท้ๆ แม่งเอ้ยความกล้าผมหายไปไหนหมดวะ อยากจะชวนไปกินข้าวเช้าด้วยกันจะตายอยู่แล้ว ผมตัดสินใจว่าวันนี้ละผมจะเข้าไปทำความรู้จักกับน้องเขา

นั่นไงนั่งอยู่ที่เดิมเลยเหมือนกับสี่วันที่ผ่านมา ผมวิ่งเข้าไปใกล้ จนกระทั่งอีกนิดเดียวก็จะถึงตัวน้องเขาอยู่แล้ว แต่ผมยังคิดคำพูดไม่ออก ผมเลยตัดสินใจวิ่งผ่านหน้าเหมือนเช่นทุกวัน เอาวะพรุ่งนี้คงยังไม่สาย ตอนที่ผมเอี้ยวตัวหันกลับไปมองรันอีกครั้ง ผมก็เห็นน้องเขาทำท่าเหมือนจะเป็นลม

‘เฮ้ยรัน’

 ผมตะโกนออกไปก่อนที่จะวิ่งเอาตัวมารับตัวน้องที่กำลังหมดสติและทิ้งตัวลงพื้น ป้าที่ร้านขายน้ำวิ่งมาดูก่อนจะวิ่งกลับไปหยิบแอมโมเนียมาให้น้องเขาดม ผมหยิบขวดน้ำที่เตรียมมาไว้ดื่ม เทใส่ลงบนผ้าขนหนูแล้วเอามาเช็ดหน้ารัน ส่วนอีกมือก็รับพัดมาพัด

รันเริ่มมีอาการตอบสนองและดูเหมือนว่ากำลังจะรู้สึกตัว ค่อยใจชื้นหน่อยนึกว่าจะเป็นอะไรซะแล้ว โอ๊ยเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าทำผมหัวใจจะวาย

หลังจากน้องเขารู้สึกตัวก็คุยกันนิดหน่อย จนกระทั่งมือถือผมดังผมก็เลยขอตัว ใครวะช่างมาขัดจังหวะ แต่เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็ได้คุยกันนิดหน่อยแล้วหน่า สถานะตอนนี้จากคนแปลกหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นคนรู้จักแล้ว คืบหน้ามากทีเดียว

พอตกกลางวันผมก็ต้องประหลาดใจอีกแล้ว ก็เจ้าเด็กเปล่งแสงมานั่งอยู่ที่โรงอาหารคณะผมนะสิ ถ้าน้องผู้หญิงไม่ตะโกนขึ้นมา พวกผมก็คงจะเดินผ่านไปแล้ว ไอ้กล้าหน่วยกล้าตายทักน้องเขาทันที แถมมันยังหน้าด้านขอน้องเขานั่งด้วยอีกต่างหาก  ตั้งแต่คบกันมาวันนี้ล่ะที่ผมรู้สึกว่ามันใช้ความหน้าด้านของมันเป็นประโยชน์ที่สุด

ผมเหลือบมองน้องเขาเป็นครั้งคราวระหว่างที่นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน ทำไมถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ ในหัวผมมีแค่คำนี้จริงๆ ผมอาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้  ผมตัดสินใจแล้ววันนี้ผมจะรุกแล้ว ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้มีหวังโดนคนอื่นแย่งไปแน่ๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรน้องผู้หญิงก็ฉุดรันยื่นขึ้นแล้วเดินออกไปเลย ผมพลาดอีกครั้งจนได้

เฮ้อชีวิต ไอ้ไทม์

ผมนั่งเล่นมือถือระหว่างรอเรียนคาบบ่าย แล้วก็สะดุดกับการแจ้งเตือนในไอจี น้องสาวผมกำลังฟอลใครสักคนที่ชื่อสะดุดตามากเหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน mysmallword13 เหรอ คุ้นโคตรๆ แต่ดันนึกไม่ออกนะสิว่าเคยเห็นที่ไหน ผมเข้าไปในไอจีของชื่อที่ผมคุ้นตา แต่ก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า เจ้าของไอจีไม่ได้อัปอะไรทั้งนั้น แล้วทำไมน้องผมถึงฟอล แถมคนติดตามก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 ผมเลยลองกดเข้าไปดูคนที่เจ้าของแอคติดตาม แล้วผมก็พบว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น ผมระลึกชาติอยู่เพียงครู่เดียว ความจำอันเเป็นประโยชน์มากๆก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด อ๋อจำได้แล้ว มันมีช่วงหนึ่งที่ไอจีชื่อนี้กดถูกใจรูปภาพของผมรัวๆ พูดง่ายๆแทบจะทุกภาพเลยทีเดียว ผมเลยไลน์ไปหาเป๊ปเปอร์ว่า mysmallworld13 คือใคร ทำไมน้องถึงฟอลโลว์

Pepper : พี่รันทันตะไง
Thyme : รู้ได้ไง
Pepper : ในเพจคิ้วท์บอยเขาบอก
Thyme : อ๋อโอเค แล้วนี่ทำอะไรอยู่ตั้งใจเรียนอยู่หรือปล่า
Pepper : พี่ไทม์นี่มันเวลาพักนะ  ขอเวลาน้องกรี๊ดผู้ชายบ้างได้ไหม
Thyme : เอาใหญ่แล้วนะเรา เดี๋ยวพี่จะฟ้องพ่อ
Pepper : หนูไม่กลัวหรอก เพราะแม่ก็กรี๊ดเหมือนกัน

ผมส่งสติ๊กเกอร์หมีระอาไปให้ยายเป๊ป จากนั้นยายเป๊ปก็รัวสติ๊กเกอร์คอลเลคชั่นใหม่มาให้ผม นี่คงเอากินข้าวไปซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์หมดสินะ

ผมกลับมานั่งคิดถึงคำพูดยายเป๊ปเป็นรันจริงๆเหรอ ผมเริ่มย้อนคิดไปวันที่ผมอัปรูปสวนสาธารณะ พอวันรุ่งขึ้นผมก็เจอน้องเขาเลย ทั้งที่ผมคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ ไหนน้องเขาจะมานั่งกินข้าวที่คณะผมอีกล่ะ

เฮ้ย! จริงดิ

ก่อนจะผมเดาอะไรไปมากกว่านี้ผมก็กลับไปฟอลไอจีน้องเขาทันที ถ้าเผื่อมันไม่ใช่จะได้ไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากไป

ผมนั่งรีเฟรชหน้าไอจีอยู่อย่างนั้น นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่ ตอนกำลังจะปิดมือถือเพื่อไปเข้าเรียน ไอจีผมก็มีการแจ้งเตือน ว่าผู้ที่ผมติดตามอยู่เพิ่งจะอัปรูปภาพ พอผมกดเข้าไปดูเท่านั้น ผมก็แทบจะทำมือถือตก  เป็นรันจริงๆด้วย

mysmallworld13  สวัสดีคนแปลกหน้า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ^________^

ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆ ผมเลยตอบคอมเม้นท์กลับไป

thyme_pakorn ยินดีที่ได้รู้จัก หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ

ถ้าผมไม่ติดเรียนผมจะเดินไปให้เจอถึงคณะเลยเชียว แต่เอาเถอะรอมาขนาดนี้แล้ว จะรออีกสักสองชั่วโมงจะเป็นอะไรไป ถ้าน้องเขาคิดเหมือนกันเชื่อสิเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ



Run

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกลับไปที่สวนสาธารณะนั้นอีกครั้ง แม้เมื่อวานผมจะได้สร้างเรื่องอับอายขายขี้หน้าเอาไว้ แต่ก็นั่นล่ะครับ อย่างที่เขาว่ากันว่า

‘รักชนะทุกอย่าง’ เราสามารถมองข้ามเรื่องน่าอายอะไรก็ตามที่เราทำไว้ แล้วกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เราเฝ้ารอ

ผมเดินมานั่งที่ม้านั่งตัวเดิม พร้อมกับผงกหัวให้กับคุณป้าร้านน้ำ พี่ผู้ชายร้านแซนด์วิช ผู้ที่เป็นพยานบุคคลในที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ อันที่จริงผมก็อายอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ไอ้ครั้นจะไปนั่งที่อื่น ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เจอพี่ไทม์หรือเปล่า ถึงผมจะรู้เส้นทางการวิ่งของพี่เขาก็เถอะ แต่เราก็ต้องยึดหลักความแน่นอนเอาไว้ก่อน

ผมนั่งไถหน้าจอมือถือไปเรื่อยๆ ระหว่างรอเวลา เพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ๆตัว พอผมเงยหน้าก็พบว่าเป็นพี่ไทม์กำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมผงกหัวทักทายพร้อมกับพี่ไทม์ที่ทิ้งตัวนั่งลง

“ไง”

“อ่า.. หวัดดีครับ”

“มานานยัง”

“สักพักแล้วครับ”

“แล้ววันนี้นอนมาพอแน่แล้วใช่ไหม”

“โธ่พี่ไทม์ อย่าแซวสิครับ ผมยิ่งอายๆอยู่ด้วย”

พี่ไทม์หัวเราะแล้วก็หันไปหยิบขวดน้ำที่พกมาด้วยขึ้นมาดื่ม เห็นดังนั้นผมก็เลยแก้เก้อยกน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่มบ้าง เรานั่งเงียบกันไปสักพัก พร้อมกับหัวใจของผมที่กำลังเต้นระรัว

“พี่ไทม์ชอบวิ่งหรอครับ”

“อืม…ชอบ” ให้ตายทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหูแดง เพราะคำพูดสั้นๆว่าชอบของพี่ไทม์กันนะ ไอ้รันหยุดเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้หมายถึงแกโว้ย

“แล้วรันล่ะ”

“ครับ?”

“ชอบเหมือนกันใช่ไหม”

“อ่า..ก็ไม่เชิงหรอกครับ คือผมเพิ่งจะเริ่มวิ่งได้แค่ห้าวันเองครับ ก็เลยยังไม่แน่ใจว่าชอบหรือเปล่า…” พี่ไทม์หันมามองผม ก่อนจะส่ายหน้า “…มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องวิ่ง ที่ถามพี่หมายถึงว่าเราน่ะ..ชอบพี่เหมือนกันใช่ไหม”

เคยเห็นภาพหลอนไหมครับ เคยรู้สึกไหมว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ผมกำลังฝัน ฝันว่าพี่ไทม์เพิ่งจะบอกว่าชอบผม มีคนเคยบอกว่าในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ความฝัน คือเราต้องหยิกตัวเอง และถ้ามันเจ็บ

“อ๊ากกก!” ผมตะโกนสุดเสียงเพราะแขนผมตอนนี้มันเจ็บๆเอามากๆ

“เฮ้ยรัน! หยิกตัวเองทำไม”

“ผ..ผมคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป”

พี่ไทม์หัวเราะอีกครั้ง “เด็กบ๊องเอ๊ย ดูสิแดงเลย” พูดเสร็จก็หยิบขวดน้ำที่มีไอเย็นมาประคบที่แขนของผม

“จริงนะหรอครับ ที่ว่าพี่ชอบผม”

“คิดว่าไงล่ะ”
.
.
.
“แล้วยังไงต่อวะ” มิ้นท์ถาม

“ก็..” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนา พอผมเห็นชื่อของคนที่โทรมา รอยยิ้มก็พลันฉีกขึ้นไปถึงรูหู

“ครับ”
(เลิกเรียนกี่โมง)
“ห้าโมงครับ”
(โอเค เลิกเรียนแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ เดี๋ยวไปรับ)
“ครับ”
(ไหนลองพูดคำอื่นที่ไม่ใช่ครับบ้างสิ)
“พี่ไทม์”
(ว่ายังไง)
“ก็พูดแล้วไงครับ”
(เด็กบ๊อง พี่ไปเรียนก่อนนะ ตอนเย็นเจอกัน)
“ครับผม”

ผมกดปิดโทรศัพท์พร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นก็กวาดข้าวของลงกระเป๋าเพื่อเตรียมเรียนช่วงบ่าย ส่วนไอ้มิ้นท์เพื่อนรัก เพื่อนบังเกิดเกล้าหลังจากกลับมาจากการทิ้งถุงลูกชิ้น และแก้วน้ำ มันก็ทำการทวงบุญคุณที

“เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไทม์จะมารับมึงใช่ปะ”

“อืม”

“พี่ไทม์กับพี่ยุ่งนี่เขาสนิทกันระดับไหนวะ”

“ไม่รู้ดิ”

“มึงว่าถ้ามึงชวนพี่ไทม์ไปหัวหินสุดสัปดาห์นี้ แล้วบอกให้พี่ไทม์ชวนเพื่อนไปด้วย มึงว่าพี่ไทม์จะชวนพี่ยุ่งเปล่าวะ”

“ไม่รู้ดิ แล้วใครจะไปหัวหินกัน”

“รันเพื่อนรัก ตั้งแต่คบกันมากูก็ไม่เคยขออะไรมึงเลยใช่ปะ” ผมมองเห็นลางร้ายแทบจะทันที

“ก็ใช่ แต่ว่า…”

“จุ๊ๆๆ..” มิ้นท์มึงกำลังเรียกจิ้งจกอยู่หรือไง “..ไม่มีแต่เพื่อนรัก”

“เออๆแล้วจะลองชวนให้ แต่ไม่รับประกันผลนะโว้ย”

“ดีมากเพื่อนรัก” มันลูบหัวพร้อมกับยื่นเยลลี่โคล่ามาให้ ผมขอบคุณเหลือเกินที่มันไม่พูดว่ากู๊ดบอย เพราะไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่ต่างจากเจ้าลัคกี้ หมาพันธุ์บีเกิ้ลลูกรักของมัน

เฮ้อ… พี่ยุ่งครับ สงสัยพี่จะเจองานหนักซะแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ผมขออโหสิกรรมล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน


*****

เรื่องสั้นสมัยเอ๊าะ อาจจะมีคนเคยอ่านแล้ว
เราขอเอามารวมไว้ที่กระทู้นี้นะคะ

ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่าน ทำให้เรามีกำลังใจในการแต่งต่อมากๆ
 :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2016 21:26:44 โดย naruki »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

ชอบจัง รอมาอัปเพิ่มน้าา

ออฟไลน์ praewp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
สนุกจังค่ะ :z1:

ออฟไลน์ 16meena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบภาษามากเลย  :impress2:

ออฟไลน์ swoooaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่ารักอ่าาา อยากให้เป็นเรื่องยาวจัง แนวโซเชียลนี่ฟินสุดๆ อ่านแล้วนึกถึงคู่จิ้นในทวิต คิคิ

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Someone Special

ผมกำลังโดนยั่วยุจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟน ทั้งสายตาที่ส่งมาท้าทาย และไหนจะการกระทำที่เล่นเอาผมต้องพยายามข่มตัวเองแทบตายไม่ให้เผยตัวจากกิจกรรมนี้ ทั้งหมดมันเป็นเพราะไอ้แหมว ไอ้แหมวเพียงคนเดียว

ย้อนกลับไปราวๆหนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม

'กูจะเป็นพี่เนียนเอง' เสียงไอ้แหมวประกาศก้อง

'โหแหมว อย่างนี้ก็ไม่สนุกดิวะ เพราะน้องจะจับได้ว่ามึงเป็นเพื่อนเก๊ตั้งแต่เห็นหน้า' สิ้นเสียงแซว ฝ่ามืออรหันต์ของไอ้แหมวก็ประทับเข้ามาที่แผ่นหลังเต็มรัก

'ได้! ไอ้ครามในเมื่อมึงมันลบหลู่ความหน้าเด็กของกู อย่างนั้นมึงก็รับเอาหน้าที่นี้ไป แล้วดูสิว่ามึงจะเป็นพี่เนียนครบอาทิตย์หรือเปล่า แต่กูพนันเลยว่าอย่างมึงอะเป็นได้ไม่ถึงวันหรอก’

‘โอ๊ยดูถูก มึงวางเดิมพันมาเลยดีกว่าแหมว’

ไอ้แหมวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ใช้นิ้วค่อยๆหนีบธนบัตรใบสีเทาที่ค่อนข้างยับยู่ยี่ออกมา ก่อนจะกระแทกลงมาบนโต๊ะต็มแรง

‘ไอ้ครามถ้ามึงเป็นพี่เนียนได้เกินวัน เอาไปเลยหนึ่งพันบาท แต่ถ้าไม่กูไม่ขออะไรมากหรอกก็แค่ ยืมพี่ท๊อปมาให้กูแทะโลมสักสองสามวัน’

ผมนิ่งคิดถึงข้อแลกเปลี่ยนอยู่ชั่วครู่ ก่อนต่อรอง ‘วันเดียว’ 

ไอ้แหมวเป็นฝ่ายที่หยุดคิดบ้าง ก่อนมันจะทำหน้าเจ้าเล่ห์  ‘ดีล! (Deal)’ จากนั้นผมกับมันก็จับมือกันพร้อมทั้งถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน

เย็นวันนั้นหลังจากประชุมแบ่งหน้าที่เสร็จ ผมก็กลับมาที่คอนโดเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก

‘พี่ท๊อป วันนี้พวกปีสองแบ่งหน้าที่กัน และผมได้เป็นพี่เนียนล่ะ’ ผมบอกเล่าเรื่องที่ได้ประชุมมากับคนที่นั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม

‘พี่เนียน?’

‘ก็รุ่นพี่ที่แฝงตัวไปเป็นเด็กปีหนึ่งไง’

‘อ๋อ’ คนตรงหน้าพยักหน้าเข้าใจ ‘พวกรุ่นพี่ที่เป็นคนทำร้ายจิตใจน้องปีหนึ่ง’

ผมตีไปที่แขนคนตรงหน้า ‘ไม่ใช่สักหน่อย พี่ท๊อปนี่ก็ เราเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ต่างหาก’

‘ถ้าคิดอย่างนั้น ก็อย่าไปแสดงความสนิทกับน้องเขามาก เพราะถ้าเกิดน้องเขารู้สึกว่าเราคือเพื่อนจริงๆขึ้นมา และพอถึงเวลาเฉลยพวกน้องเขาจะเจ็บปวด เข้าใจไหม’

‘รับทราบครับ’ ผมตะเบ๊ะรับคำ ‘อ้อแล้วก็ช่วงที่ผมเป็นพี่เนียน ผมจะไปกลับมหา’ลัยเอง ถ้าเกิดสมมุติเราเจอกันที่คณะพี่ท็อปก็ห้ามทักผมนะ’

‘ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ’ คนตรงหน้าพูดเสียงเรียบ เรียบซะจนผมต้องเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

‘หน่านะพี่ท๊อปนะช่วยให้ความร่วมมือผมหน่อย อาทิตย์เดียวเอง’ จากนั้นผมก็ลุกขึ้นไปนั่งข้างๆคุณแฟนก่อนจะไถหน้าตัวเองไปที่ต้นแขนคุณแฟนราวกับว่าผมกลายร่างเป็นแมว ก็ถ้าอ้อนขนาดนี้ยังไม่ได้ผลก็ให้มันรู้ไป

คุณแฟนดีดหน้าผากของผม  ‘จะพยายามก็แล้วกัน’ เอาวะคำว่าพยายามของพี่แกก็หมายถึงจะให้ความร่วมมือ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

“เนิร์ดชะมัด”

คำแรกที่หลุดมาจากปากคุณแฟนที่กำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจกตอนที่เห็นลุคใหม่รับเปิดเทอมของผม ผมก็แค่เมคโอเวอร์ตัวเองใหม่ ด้วยทรงผมแบบเด็กที่เพิ่งจบม.ปลาย พร้อมกับสวมแว่นตาทรงกลม และเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวโคร่ง ผมมองตัวเองในกระจก ไม่เห็นจะเนิร์ดเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าฮิปเตอร์ต่างหากล่ะ อันที่จริงก็หน้าเด็กใช้ได้ทีเดียว

“พี่ท็อปผมไปละนะ อย่าลืมที่สัญญาด้วยล่ะเรื่องที่ว่าห้ามทักผมที่คณะเด็ดขาด”

“มานี่ก่อน” พี่ท็อปดึงแขนผมที่กำลังจะปิดประตูห้องน้ำไว้ ส่วนตัวเองก็หันไปบ้วนปาก

“มีอะไรอะ”

“เนคไทเบี้ยว” พูดเสร็จคุณชายเธอก็เดินเข้ามาประชิดตัว พลางขยับเนคไทที่อยู่บนคอของผม ก่อนจะตบไปที่ไหล่ทั้งสองข้าง ทำเหมือนกับตัวเองเป็นคุณแม่ที่กำลังดูแลความเรียบร้อยของลูกก็ไม่ปาน เอ๊ะหรือว่าภรรยาดูแลสามีกันนะ

“ขอบคุณครับคุณภรรยา” ผมกล่าวขอบคุณแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่พอใจตำแหน่งที่ผมเพิ่งจะมอบให้

“ภรรยา?” คุณแฟนพูดนิ่งๆพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมจึงต้องรีบเปลี่ยนสถานะให้คนตรงหน้าก่อนที่จะโดนจับพิสูจน์สถานะที่แท้จริง

“คุณสามีก็ได้ โธ่พี่ท๊อปอ่ะยอมเป็นภรรยาให้ผมหน่อยก็ไม่ได้”

“หน้าอย่างนี้”

มือหนาของคุณแฟนเลื่อนมาตบแก้มของผมเบาๆ ก่อนจะค่อยไล้มือลงไปที่ลำคอ ไหล่ และตบเข้าที่แผงอกแมนๆอย่างผู้ชายสามศอกของผมดังอัก

“รูปร่างอย่างนี้ จะไปเป็นสามีใครได้”

“ดูถูกมาก!” ผมว่าพลางปัดมือคุณแฟนทิ้ง “แน่จริงพี่ท็อปก็ให้ผมรุกสิ แล้วพี่ท็อปจะรู้ว่าผมเป็นสามีได้ แถมเป็นสามีที่ดีมากด้วย”

“ถ้าอยากจะเปลี่ยนก็คงจะได้แค่ออนท๊อปเท่านั้นล่ะ ตัวแค่นี้...จะไปรุกใครได้” ดูคำพูดที่ช่างสรรหามาดูถูกผมเหลือเกิน

“ไม่รู้หรือไงความสูงไม่มีผลกับแนวราบ ถึงผมจะเตี้ยแต่ผมก็ทำให้พี่เพลียได้นะโว้ย”

หลังจากสิ้นคำพูดอวดสรรพคุณของผมคนตรงหน้าก็หัวเราะ หัวเราะซะจนผมอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดผมมันไม่ใช่การอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงเลยสักนิด

ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังจะสายขึ้นทุกทีถ้ายังมัวแต่คุย ผมจะจับคนตรงหน้ากดให้ดูเลยเชียว จะได้รู้ว่าไผเป็นไผ

พอไปถึงมหา’ลัย ผมเดินก็ไปสมทบกับน้องปีหนึ่งที่กำลังเข้าไปเรียนในอาคารเรียนรวม

“เฮ้! นาย” เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตามสัญชาตญาณ

“มีอะไรเหรอ”

“ตรงนี้มีคนนั่งยัง เรานั่งด้วยได้ไหม”

“เอาสิ”

พอผมอนุญาต น้องผู้ชายตรงหน้าก็วางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ก่อนเลื่อนเก้าอี้และทิ้งตัวนั่งข้างๆ พอจัดการข้าวของบนโต๊ะของตัวเองเสร็จก่อนหันมาแนะนำตัวกับผม

“เราชื่อพุท แล้วนายล่ะชื่ออะไร”

“บลู” ผมบอกชื่อปลอมในฐานะพี่เนียนไป ก่อนจะยื่นมือไปจับกับมือของน้องพุทที่ยื่นส่งมา

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณสีน้ำเงิน”

“อืม ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”

พอหมดคาบเช้าผมก็ได้เพื่อนเพิ่มมาอีก เป็นน้องผู้หญิงสองคน ตอนนี้เรากำลังนั่งกินข้าวในโรงอาหารประจำคณะ และผมก็ทำความรู้จักกับพวกน้องๆไปในตัว น้องผู้หญิงสองคนชื่อว่า ฝ้าย กับ ดาว มาจากโรงเรียนเดียวกัน

“ไอ้บลู” สรรพนามการเรียกชื่อผมเปลี่ยนจากบลู เป็นไอ้บลู ในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ผมคิดว่าพอหมดวันนี้ไป สรรพนามที่พวกน้องๆใช้เรียกผมต้องทำให้ผมกลายเป็นชื่อสัตว์น่ารักชนิดหนึ่งแน่นอน

“ว่าไงวะ”

“ตอนบ่ายพวกพี่เขาเรียกปีหนึ่งรวมกันหน้าคณะใช่ป่ะวะ”

“เหรอวะ ไม่เห็นรู้เลย” วันนี้ผมยังไม่เจอพวกไอ้ปีสอง เลยยังไม่เห็นแผนกิจกรรมที่พวกมันวางไว้

“ฉันได้ยินมาจากแก้ว” เมื่อฝ้ายพูดชื่อคนที่เป็นคนแจ้งข่าว ผมก็คิดว่าน่าจะจริง เพราะว่าแก้วคือพี่เนียนอีกคน

“คงงั้นมั้ง”

“งั้นแกก็รีบกินให้มันเร็วๆสิวะ อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะบ่ายแล้ว” น้องฝ้ายว่าพลางเคาะนาฬิกาที่ข้อมือ ผมจึงต้องรีบจัดการอาหารตรงหน้าตามคำสั่งคุณนายเธอ

ผมและพวกน้องๆเดินเข้าไปนั่งสมทบกับน้องคนอื่นๆที่นั่งรวมกันเป็นกลุ่มก้อนตามขั้นบันไดหน้าตึกคณะ

“น้องๆคะ” เสียงไอ้แหมวเพื่อนปีสองของผมดังผ่านโทรโข่ง “นั่งให้เป็นระเบียบนิดนึง อย่าขวางทางเดิน...นั่นน้องคนนั้น” มันพูดพร้อมชี้มือมาที่ผม

ผมชี้มือเข้าหาตัว

“ใช่ค่ะ น้องคนนั้น เขยิบหน่อยอย่าขวางทางเดินค่ะ” ผมมองรอบตัว ก็ไม่เห็นว่าผมจะนั่งขวางทางเดินใครที่ไหนเลย แต่ผมก็ยอมทำตามที่มันบอก ด้วยการขยับก้นออกจากจุดเดิมไปหนึ่งเซนติเมตร มันถึงได้พยักหน้าพอใจ

การจัดระเรียบแถวการนั่งผ่านไปได้สักพัก พวกปีสองก็เดินขนกลอง กับอุปกรณ์สันทนาการเข้ามา เราเริ่มฝึกร้องเพลงประจำคณะ ก่อนที่ไอ้แหมวจะให้น้องแต่ละคนลุกขึ้นมาเต้นพร้อมกับแนะนำตัว

“ผมชื่อบลู ชอบถูอวัยวะ” ผมยักเอวไปทางขวาที ซ้ายที

“ดีมากค่ะน้องบลู..คนต่อไปเลยค่ะ”

ระหว่างที่เรากำลังแนะนำตัวกันอยู่นั้นก็มีเสียงกระซิบกระซาบจากน้องๆแก็งค์ผู้หญิงข้างหน้า

“แกๆดูดิ พี่คนนั้นโคตรหล่อเลยอะ เหมาะกับการเป็นพ่อของลูกโคตรๆ”

“น้องๆตรงนั้นคุยอะไรกันคะ สนใจเพื่อนแนะนำตัวหน่อย” หูดีมากมึงไอ้แหมว “ว่ายังไงคะคุยอะไรกัน”

“เอ่อ..คือว่าพวกหนูแค่อยากรู้จักพี่คนนั้นอะค่ะ”

ผมมองตามมือของน้องผู้หญิงไป แล้วก็พบว่ารุ่นพี่คนที่น้องเขาอยากรู้จัก อยากได้เป็นพ่อของลูก คือคุณแฟนของผมที่กำลังเดินไปโรงอาหารคณะ ทำไมผมถึงลืมไปได้นะว่าพี่ท๊อปมันหน้าตาดี แล้วไหนเมื่อเช้าบอกกับผมว่าวันนี้จะไม่เข้ามหา’ลัยยังไง

 “อ๋อ พี่ท๊อป”ไอ้แหมวพูดกับน้องๆ ก่อนจะหันไปตะโกนใส่โทรโข่ง “พี่ท๊อปขาาาาา”

พี่ท๊อปชะงักกึกกับเสียงแปดหลอดของไอ้แหมว ก่อนจะหันมาโบกมือเบาๆพอเป็นพิธี เหมือนตอนผมอยู่ปีหนึ่งไม่มีผิด นี่มันเหตุการณ์เดจาวูชัดๆ ตอนที่พวกพี่ปีสองในขณะนั้นตะโกนเรียกพี่ท๊อป พี่แกก็แค่หันมาโบกมือเบาๆ ก่อนจะเดินหายไปที่โรงอาหารกับพี่พลอย ผมงี้ชะเง้อคอมองตามหลังพี่ท๊อปจนลับสายตาทีเดียว ก็เพราะรอยยิ้มนิดๆที่พี่ท๊อปส่งมาให้มันกระแทกใจผมเข้าอย่างจังน่ะสิ

ตอนที่ผมกำลังเพ้อถึงอดีตอันหวานชื่นอยู่นั้น คนที่ผมคิดว่าจะเดินหายไปเหมือนปีที่แล้วกลับมาปรากฎตัวข้างไอ้แหมวซะได้ พร้อมเสียงฮือฮาจากน้องๆผู้หญิง

“พี่ท๊อปคะ พวกน้องๆเขาอยากรู้จักพี่ รบกวนพี่ท๊อปแนะนำตัวนิดนึงค่ะ”

“น้องแหมวเรียกขนาดนี้พี่ไม่ต้องแนะนำตัวแล้วมั้ง”

“บ้า พี่ท๊อปก็” นั่นๆมีตีแขน ถ้าถามผมว่าใครที่หลงพี่ท๊อปมากกว่าผม ใครที่ริจะเคลมแฟนผม ถ้าเกิดผมตายไปเพราะถูกฆาตกรรม ไอ้แหมวจะเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

“พี่ชื่อท๊อป อยู่ปีห้า ถา..”

“ไอ้ท๊อป มึงแนะนำตัวแบบพวกน้องเขาดิวะ” เสียงพี่พลอยเพื่อนของพี่ท๊อปดังแทรกขึ้นมา

คุณแฟนขมวดคิ้ว เหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่าง จากนั้นก็เอามือเท้าเอวทั้งสองข้าง

“พี่ชื่อท๊อป ชอบสต๊อปอวัยวะ”

เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นตอนที่พี่ท๊อปเริ่มยักเอวไปทางขวาทีซ้ายทีเหมือนกับที่ผมทำไม่ผิดเพี้ยน ต้องเบ้าหน้าอย่างนี้สินะถึงจะได้รับเสียงกรี๊ดที่ดังสนั่น อีกอย่างผมคิดว่าพวกน้องๆผู้หญิงแถวหน้า น่าจะกรี๊ดจนขาดใจตายไปแล้วสี่ศพ อ้อเกือบลืมถ้ารวมไอ้แหมวด้วยก็เป็นห้าศพพอดิบพอดี

ผมได้แต่คิดว่าอะไรกันนะที่ทำให้คุณชายท๊อปผู้ซึ่งปกติเข้าถึงยากมาก พูดคุยกับพวกรุ่นน้องแทบนับคำได้ อยู่ๆก็เกิดอยากจะมีอารมณ์ขันขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผมคิดวนเวียนอยู่ในหัวสักพัก ก็เกิดมีเสียงติ๊ง เหมือนมีคนมาเปิดหลอดไฟในหัวให้สว่างว้าบ ต้องใช่แน่ๆพี่ท๊อปต้องกำลังโปรยเสน่ห์ให้น้องๆปีหนึ่งตกหลุมไปช่วยทำโปรเจ็คจบมหาโหด มันต้องเป็นอย่างนั้นชัวร์เลย

ก่อนพวกปีสองจะปล่อยเราแยกย้าย ก็ได้มอบภารกิจพิชิตลายเซ็นต์ โดยกฎก็คือในหนึ่งอาทิตย์ต้องล่าลายเซ็นต์ของรุ่นพี่ให้ได้มากกว่าหนึ่งร้อยชื่อ และถ้าใครทำไม่สำเร็จจะถูกลงโทษ ง่ายมากผมพูดเลย เพราะตอนนี้ผมก็นำหน้าน้องคนอื่นไปแล้ว เพียงแค่จรดปากกาลงสมุด

คราม ปีสองถาปัต ถาปัต

“ไอ้บลู….ไอ้บลูโว้ย” เสียงน้องฝ้ายดังขึ้นข้างหู

“มีอะไร” ผมละมือออกจากการเล่นเกม

“ฉันเรียกแกตั้งนานแล้ว กว่าจะหันมาตอบได้” โธ่น้องฝ้ายช่วยเห็นใจพี่นิดนึง บางครั้งพี่ก็ลืมไปว่าตอนนี้กำลังใช้ชื่อบลูอยู่

“เออโทษที พอดีเกมกำลังติดพันว่ะ แล้วฝ้ายมีอะไร”

“ฉันว่าจะชวนแกไปขอลายเซ็นต์พี่ท๊อปอะ ไปด้วยกันหน่อยดิ”

“ไม่เอาอะ คนเยอะ”

ผมมองไปยังจุดที่พี่ท๊อปนั่ง ตอนนี้นอกจากพี่ท๊อปกับเพื่อนก็มีพวกน้องปีหนึ่งหลายสิบคนกำลังรุมล้อมขอลายเซ็นต์ อีกอย่างผมจะไปเบียดพวกน้องๆทำไมในเมื่อเย็นนี้ผมสามารถให้พี่ท๊อปเซ็นต์ได้แบบสองต่อสอง แถมตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากจะเข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยงต่อการเผยตัวนักหรอก อีกแค่วิชาเดียวเท่านั้นผมก็จะได้กลับห้องและรับเงินหนึ่งพันบาทจากไอ้แหมวเหนาะๆ

แต่น้องฝ้ายผู้แสนจะเคารพความคิดของเพื่อน กลับดึงผม น้องดาว และก็น้องพุท ให้เดินไปยังจุดที่พี่ท๊อปกับเพื่อนๆนั่งแจกลายเซ็นต์ พวกเราต่อแถวได้สักพักก็ถึงคิว น้องฝ้ายเป็นคนแรกที่ได้แนะนำตัว ตามด้วยน้องดาว พุท และสุดท้ายก็เป็นผมที่กำลังยื่นสมุดให้พี่พลอยเซ็นต์แต่โดนพี่ท๊อปคว้าไปซะก่อน

“พลอยอย่าเพิ่งเซ็นต์ น้องเขายังไม่แนะนำตัวเลย”

“อ้าว แต่ว่า…” พี่พลอยทำหน้างง

“ชื่ออะไรครับ” พี่ท๊อปหันมาพูดกับผมพลางยักคิ้ว

“ผมชื่อบลู อธิป..” ให้ตายสิผมไม่ได้คิดชื่อปลอมสำหรับชื่อจริงมาซะด้วย

“อธิป?”

“อธิป จินดาพิทักษ์ อยู่ปีหนึ่งถาปัตถาปัตครับ” สุดท้ายผมก็ต้องบอกชื่อสกุลจริงไป

 พี่ท๊อปพยักหน้าก่อนจะก้มลงไปเซ็นต์ชื่อตัวเองที่สมุด ทุกอย่างกำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดีอยู่แล้วเชียว ถ้าไอ้พี่ท๊อป (ขอเรียกไอ้หน่อยเถอะครับ) ที่กำลังยื่นสมุดคืนผมไม่พูดประโยคที่ทำให้ผมชะงัก และทำให้น้องฝ้าย น้องดาว และน้องคนอื่นๆหันมาสนอกสนใจ

“น้องบลู มีแฟนหรือยังครับ”
 
มันใช่เวลามาถามอะไรอย่างนี้ไหม ผมพยายามหลับตาและข่มใจพร้อมกับดึงสมุดของผมจากในมือของไอ้มนุษย์แฟนคืน แต่เปล่าประโยชน์เพราะเจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ

 ‘จะเล่นอย่างงี้ใช่ไหม ได้!’

“ยังครับ ผมโสด พี่ท๊อปถามอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าจะจีบผม”

“เปล่าครับ ก็แค่น้องบลูชื่อคล้ายแฟนพี่ แถมยังหน้าตาคล้ายกันมากๆซะด้วย”

“พี่ท๊อปมีแฟนแล้วเหรอกคะ  ว้าหนูอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยสินะ แต่เดี๋ยวก่อนพี่ท๊อปบอกว่าแฟนคล้ายไอ้บลู แปลว่า…” น้องฝ้ายมองพี่ท๊อปที มองผมที ก่อนแก้มน้องเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

“อย่างที่น้องคิดนั่นละถูกแล้ว น่าจะได้เจอกันเร็วๆนี้ล่ะเพราะแฟนพี่ก็เรียนคณะนี้เป็นรุ่นพี่ของพวกน้องๆนี่แหละ”

 ผมมองไปที่พี่ท๊อปที่อยู่ๆเกิดอยากจะแนะนำแฟนให้น้องๆได้รู้จัก ผมละเกลียดไอ้อาการยักคิ้วข้างเดียวของคนตรงหน้าจริงๆ มันเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นต่อ ถือไพ่เหนือกว่า

แล้วนี่คิดอะไรอยู่ถึงต้องมาสาธยายนิสัยผมให้น้องๆฟังด้วย

“ข้าวเช้าไม่ค่อยชอบกิน” แค่เวลานอนผมยังแทบไม่มี  แล้วทำไมผมต้องทิ้งเตียงนุ่มๆตอนเช้าไปไปหาข้าวกินด้วยในเมื่อเราสามารถรวบมือเช้ากับเที่ยงเป็นมื้อเดียวกันได้

“ถ้าไม่มีเรียนอย่าหวังว่าจะอาบน้ำ อันที่จริงถึงจะมีเรียน บ้างครั้งก็ไปมหา’ลัยทั้งๆที่ยังไม่อาบน้ำเหมือนกัน” นี่กำลังหลอกด่าว่าผมทำตัวซกมกใช่ไหม ก็งานมันล้อมหน้าล้อมหลังไปหมด แค่ต้องตื่นมาส่งงานให้ทันก็ลำบากจะแย่

“หัวดื้อ บอกอะไรไม่เคยฟัง” พูดไปเรื่อย ผมไม่ฟังตรงไหนกัน ก็แค่เวลาเพื่อนมันชวนสังสรรค์หลังจากวันนัดตรวจแบบทุกสัปดาห์ แล้วพี่ท๊อปบอกว่าอย่ากินเยอะ ผมก็แค่เมาจนวาร์ปแค่นั้นเอง ปลดปล่อยอ่ะไม่รู้จักหรือไง อีกอย่างผมก็เป็นผู้ชาย ถึงจะไม่มีพี่ท๊อปมารับกลับ ก็ดูแลตัวเองได้อยู่แล้วสบายมาก

“ขี้หึง ขี้หวง” ก็มันควรจะหึงไหม  หัดส่องกระจกซะบ้าง ใครใช้ให้เกิดมาหน้าตาอย่างนี้เล่า

“และสุดท้ายอะไรรู้ไหม แฟนพี่นะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง”

“พี่ท๊อป!” หมดกันผมไม่สามารถข่มใจตัวเองได้อีกต่อไป

“ว่าไงครับน้องบลู”

“เลิกพูดเลยนะ ผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย”

“พี่ไม่ได้หมายถึงน้องบลูนะครับ พี่กำลังพูดถึงแฟนอยู่ต่างหาก”

“พี่ท๊อปจะไม่เลิกใช่ไหม”

พี่ท๊อปยักไหล่ ก่อนดึงผมเข้ามาโอบให้หันตัวไปเผชิญหน้ากับน้องๆที่ยืนกันอยู่

“อ้าวลืมแนะนำเลย นี่ไงพี่ครามแฟนพี่อยู่ปีสอง เห็นไหมบอกแล้วว่าแฟนพี่อะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง ผิดคำที่พี่พูดไหมล่ะ”
น้องฝ้ายช็อคไปแล้ว พร้อมๆกับน้องคนอื่นๆ โธ่เอ้ยถ้าจะเล่นเฉลยยังนี้ ก็ควรให้ผมทำหน้าที่พี่เนียนให้สมศักดิ์ศรีหน่อย อย่างน้อยผมก็ควรเป็นพี่เนียนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่หรือไง ใครที่ไหนวะบอกว่าจะพยายาม แล้วนี่คืออะไร

อีกอย่างตอนนี้ผมควรจะต้องโกรธสิที่โดนเผยตัว มันต้องไม่ใช่ไอ้อาการมานั่งหน้าแดงกับคำพูดทิ้งท้ายของตัวต้นเหตุ ก่อนที่ตัวเองจะหนีไปหาอาจารย์ และทิ้งผมไว้กับเสียงกรี๊ดจากน้องๆ และเสียงโห่แซวจากเพื่อนๆ

“แต่ก็นะถึงนิสัยของคุณแฟนที่พี่เล่าให้พวกน้องฟังจะดูไม่ค่อยน่ารัก แต่พี่ก็รักของพี่มากเลย”

บ้าจริงเชียว ผมเริ่มไม่อยากจะยกพี่ท๊อปให้ไปเป็นเครื่องบรรณาการของไอ้แหมวตามสัญญาซะแล้วสิ


************
ช่วงนี้เป็นช่วงเอางานเก่ามารีไรท์ค่ะ
แล้วก็เข้ามาฝากแฮชแท็กเรื่องสั้นของเราในทวิตด้วยค่ะ #ละลาลิน
เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ  ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่หลงเข้ามาค่ะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 15:09:49 โดย Lalalin »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ติดตามต่อค่ะ


 :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อยากให้แต่งเป็นเรื่องยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หนะ หนะ น่า ร๊าก..กกกกกกกกกกก    :กอด1:

ออฟไลน์ yunjae123

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
สนุกทุกเรื่องเลยยย
น่ารักมากๆๆๆๆด้วย
ชอบสุดๆๆตรงจบแฮปปี้ทุกเรื่อง ><

ออฟไลน์ Lalalin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Would you please


 ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะเรียกของแม่ที่หน้าประตู ครั้นลืมตาและปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างยามเช้าได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดูเป็นอย่างแรก โธ่ทำยังไงได้ก็ผมมันเป็นเด็กที่โตมาในยุคสมาร์ทโฟนครองโลกนี่นา


 เฮ้อ วันนี้อีกแล้วสินะ ทำไมปีๆ หนึ่งมันถึงได้เร็วนักวะ
ทันทีที่ผมก้าวลงจากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่นั่งมาจากหน้าปากซอยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เหตุการณ์ที่ผมคาดคะเนไว้ก็เกิดขึ้นอย่างกับเดจาวู มีน้องผู้หญิงประมาณสามถึงสี่คนทำทีเหมือนจะวิ่งตรงเข้ามาทางที่ผมยืนอยู่


 “ไอ้น้อง หญิงเยอะนี่หว่า” พี่วินมอเตอร์ไซค์พูดพลางนับเศษสตางค์ในมือขึ้นมาทอน


“…” ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่งกลับไป พอได้รับเงินทอนครบตามจำนวนก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยผ่านหน้าน้องๆ ที่ยืนอยู่ไปยังห้องเรียน


 “ไงมึง” เพียวเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังนั่งเกากีตาร์อย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องเพียงลำพังหันมาทัก


ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่นั่งโต๊ะประจำตำแหน่ง พลางหยิบสมุดการบ้านที่ต้องส่งวันนี้ยัดเข้าไปในลิ้นชักใต้โต๊ะ แต่ปรากฏว่า..มันติด พอผมล้วงเข้าไปในลิ้นชักเพื่อจะหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ ก็พบเข้ากับกล่องช็อคโกแลตรูปหัวใจสามกล่อง


“กูไม่เข้าใจเลย ทำไมวันนี้คนเราต้องให้ช็อกโกแลตด้วยวะ” ผมเอ่ยถามเพียวที่นั่งถัดไปอีกโต๊ะ พร้อมๆ กับหยิบกล่องช็อกโกแลตเหล่านั้นขึ้นมาวาง


“เพราะว่ามีบริษัทช็อกโกแลตยี่ห้อหนึ่ง พยายามปลุกปั่นสร้างกระแสในการให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์” เพียวร่ายยาวทั้งๆ ที่ยังตายังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง


“แล้วทำไมบริษัทเหล้าไม่สู้” ผมยังไม่ลดละ


“เพราะบริษัทเหล้าทุ่มงบประมาณไปกับเทศกาลอกหักหมดแล้ว อีกอย่างกูคิดว่าสาวๆ ‘ของมึง’ ..” มันหันหน้ามามองพร้อมกับย้ำคำว่าของมึงด้วยการยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาทำเป็นเป็นเครื่องหมายคำพูด “..คงไม่ใจกล้าถึงขนาดเดินไปร้านโชห่วยพร้อมกับสั่ง..” จากนั้นมันก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะเปล่งเสียงที่บีบจนเล็ก


“แปะ เหล้าขาวขวด”


“ก็จริงของมึง ว่าแต่..”


“พ่อคนฮอตตต หายมาอยู่นี่เองเหรอยะ” เสียงบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาระหว่างผมกับเพียว ก่อนจะถลาเข้ามาวางช่อกุหลาบไซส์บิ๊กเบิ้มลงบนโต๊ะตรงหน้า


ผมชี้มือเข้าหาตัว “ให้เรา”


“ก็วางตรงหน้านายถ้าไม่ใช่นายแล้วจะให้ไอ้เพียวหรือไง”


 “ต้อง” ผมเรียกชื่อสาวเจ้าของดอกไม้ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา พร้อมกับเพียวที่เริ่มเล่นเพลง ‘เพื่อนรัก’ ของวงThe Parkinson เป็นแบ๊คกาวน์ โดยก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากร้องประสาน ‘ต้องรัก’ สาวเจ้าของดอกกุหลาบก็ยกมือขึ้นห้าม


“หยุดเลยพวกนายสองคน ไม่ใช่ของฉันโว้ย”


 “ก็ว่าอยู่ว่าเธอคงไม่ลงทุน แล้วไปเอาของใครมา”


 “มีรุ่นพี่ฝากมาให้นาย”


 “ใครวะ” คนที่ถามไม่ใช่ผมหากแต่เป็นเพียวที่ตอนนี้มันย้ายก้นมานั่งเก้าอี้ข้างๆ ผมว่าต่อมเผือกในตัวมันคงกำลังสั่นระริก


“โหไอ้ทิว ให้กุหลาบขาวทำอย่างกับว่ามึงเป็นสาวแรกแย้มอย่างนั้น”


“กวนตีน”


 เพียวไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่านัก เพราะความสนใจของมันตอนนี้อยู่ที่ว่าใครเป็นเจ้าของกุหลาบช่อโตต่างหาก


“สรุปว่ารุ่นพี่คนไหนฝากมาให้ไอ้ทิววะต้อง”


“พี่มะเหมี่ยว 6/2”


 ผมพยายามรำลึกหน้าของเจ้าของช่อดอกไม้ ด้วยความที่เข้ามาเรียนกลางคัน แถมความสามารถในการจดจำชื่อและหน้าคนเป็นศูนย์จึงต้องใช้เวลานึกนานหน่อย ผิดกับไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความที่มันเรียนที่นี่มาตั้งแต่มอต้น แถมยังเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงที่ไม่ว่างานอะไรก็จะมักเสนอหน้าเข้าร่วมอยู่เสมอๆ ล่าสุดก็งานเปิดโลกกิจกรรมวันนี้ เพียวถึงขนาดฟอร์มวงกับเพื่อนสมัยมอต้นเพื่อจะเข้าร่วมประกวดวงดนตรีกับเขาด้วย โดยหลังจากที่ต้องรักเอ่ยชื่อสาวเจ้าของกุหลาบช่อโตจบ มันก็ทำตาโตพร้อมกับอุทานออกมาเสียงดัง


 “เยบโป้! พี่มะเหมี่ยวคนสวย ส่งกุหลาบขาวช่อโตให้ไอ้ทิว อ้าวอย่างนี้เฮียโมกข์แกไม่หึงเหรอวะ ก็ไหนเขาลือๆ กันว่าประธานกับรองประธานกิ๊กๆ กั๊กๆ กันอยู่ไง”


 เป็นอย่างที่ผมบอกไหมล่ะ ไม่มีเรื่องไหนหรอกที่จะรอดพ้นสายตามันไปได้ สโลแกนประจำตัวมันน่ะเหรอ

 ‘เพียวรู้..โลกรู้’


พี่โมกข์ประธานนักเรียนที่เพียวพูดถึงคนนี้ผมรู้จักดี เพราะเคยไปขอพี่แกกับพวกเพื่อนเล่นบาสด้วยตอนเย็นหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยๆ แต่ไอ้เรื่องที่ว่าประธานกิ๊กๆ กั๊กๆ กับรองของเพียวนั้น ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่จริงๆ มันก็มีมูลอยู่บ้างเพราะช่วงหลังมานี้ ผมมักจะเจอพี่มะเหมี่ยวคนสวยของไอ้เพียวที่สนามบาสอยู่เป็นประจำ


 “ก็ไม่นะ ตอนที่พี่มะเหมี่ยวฝากดอกไม้มาให้ทิว พี่โมกข์ก็ยืนคุยเรื่องเพลงที่จะใช้แสดงงานวันนี้กับพี่เบิร์ดอยู่ข้างๆ ไม่เห็นว่าพี่แกจะมีท่าทีอะไร”


 “เชร้ด! เฮียแกลงแข่งด้วยเหรอวะต้อง ไม่ได้การละไอ้ทิวกูต้องไปหาพวกไอ้เกมส์ก่อน..” เพียวรีบลุกขึ้นก่อนจะกระวีกระวาดเดินไปหยิบกีตาร์คู่ใจขึ้นมาสะพายบ่า พร้อมกับเอาสมุดการบ้านเดินมายัดใส่มือผม “..ฝากมึงส่งการบ้านให้กูที แล้วตอนบ่ายอย่าลืมไปดูวงกูแข่งที่หอประชุมด้วยล่ะ อะนี่ร้อยหนึ่งฝากซื้อดอกกุหลาบหน้างานให้กูด้วย”


 “เพียว มึงนี่แม่งซื้อเสียงฉิบ”


“อ้าวมึงเพิ่งรู้เหรอ ถ้าไม่ติดว่ากุหลาบช่อนี้เป็นกุหลาบขาว กูจะให้มึงแกะออกมาเป็นดอกๆ และมอบให้กูหน้าเวทีเลยเชียว”


“หน้าด้านสัด” ไอ้เพียวหัวเราะร่าเสียงดังก่อนจะรีบถลาวิ่งลงบันไดไป


หลังจากที่เคารพธงชาติและกล่าวเปิดงานในช่วงเช้าเสร็จ ผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยผมโดนคุณหัวหน้าห้องผู้ยิ่งใหญ่มอบหมายหน้าที่ ในการเชิญชวนให้รุ่นพี่รุ่นน้องที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาร่วมกิจกรรมภายในห้องที่ถูกตกแต่งให้ดูเหมือนห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง


ซึ่งผมก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี เพราะช่วงเช้าของการจัดกิจกรรมห้องของผมได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง มีรุ่นพี่รุ่นน้องเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก จนผู้อำนวยการของโรงเรียนที่มาเดินเยี่ยมชมถึงกับเอ่ยปาก


“โอ้โห เด็กโรงเรียนเรานี่ท่าจะสนใจวิทยาศาสตร์กันเยอะเชียว”


จนกระทั่งใกล้เวลาบ่ายสอง ห้องของผมก็เริ่มจัดการเคลียร์ข้าวของและทำความสะอาด เหมือนกับอีกหลายๆ ห้องที่เริ่มเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ เพื่อจะไปรวมตัวดูการประกวดวงดนตรีที่จะจัดขึ้นที่หอประชุม


 ผมที่มือหนึ่งถือถุงขยะ ในขณะที่อีกมือถือช่อกุหลาบที่ได้รับมาเมื่อเช้า ส่วนพวกช็อคโกแลตที่จำเป็นต้องรับมา ไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ถือโอกาสแกะกินกันเองเป็นที่เรียบร้อย มันอาจจะใจร้ายเกินไปนิดที่รับของมาแต่เรากลับโยนไปให้คนอื่นกินแทน แต่ผมไม่ถูกโรคกับพวกของหวานสักเท่าไหร่นัก ถ้าหากพวกเพื่อนมันไม่กินผมก็คงต้องแบกกลับบ้านและทิ้งให้มันเป็นซากฟอสซิลอยู่ในตู้เย็นอย่างนั้น


 ขณะที่กำลังเดินไปยังจุดทิ้งขยะที่ตั้งอยู่ชั้นล่างข้างๆ โรงอาหาร ระหว่างทางผมก็โดนถามโดนแซวเรื่องช่อดอกไม้เจ้าปัญหาทั้งจากครูอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น ไอ้ครั้นจะไม่ถือลงมาด้วยก็ไม่ได้ เพราะหลังจากบ่ายสามโมงลุงนักการประจำโรงเรียนจะทำการปิดตึก ห้ามนักเรียนทุกคนขึ้นลงอาคารเรียนอีก ผมจึงจำเป็นต้องหอบข้าวของทุกอย่างลงมา


 โคตรภาระแถมยังเป็นจุดสนใจมากเกินไป ผมเริ่มจะไม่ชอบพี่มะเหมี่ยวคนนี้แล้วสิ


หลังจากทิ้งขยะเสร็จ ผมก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปสมทบกับนักเรียนคนอื่นที่หอประชุม กว่าจะขึ้นไปยังด้านบนของหอประชุมได้ ก็เลยเวลามาพอสมควร ทำให้ผมพลาดการแสดงของสองวงแรก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะกว่าที่วงของไอ้เพียวจะเล่นก็เกือบรั้งท้าย


 ภายในหอประชุมคร่าครั่งไปด้วยเด็กนักเรียนจำนวนมาก โดยที่ตรงบริเวณทางเข้าจะมีโต๊ะจำหน่ายดอกกุหลาบแดงที่ถือเป็นคะแนนสำหรับรางวัลป๊อปปูล่าโหวต โดยจำหน่ายในราคาดอกละสิบบาท ผมเลยจัดมายี่สิบดอก สิบดอกแรกมาจากเงินซื้อเสียงของไอ้เพียว และสิบดอกหลังเป็นเงินของผมที่อยากจะช่วยส่งให้มันถึงฝั่งฝัน


 “เฮ้ย! ทิว ทางนี้ๆ” เสียงไอ้เพียวดังมาจากทางด้านข้างเวที ขณะที่ผมกำลังมองหาเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ


 กรี๊ดดดดดดดดดด!!!


น้องๆ ผู้หญิงจากโซนแถวหน้ากรี๊ดดังสนั่นจนผมตกใจ แทบจะสะดุดขาตัวเองขณะเดินไปสมทบกับพวกเพื่อนคนอื่นในห้อง พอผมหันไปมองที่หน้าเวที ก็เห็นว่าวงที่สามกำลังขึ้นมาเตรียมตัวทำการแสดง โดยสาเหตุในการกรี๊ดของพวกน้องๆ นั้นมาจากการที่นักร้องนำควักมือเรียกชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งประธานนักเรียนให้เดินออกมาจากหลังเวทีเพื่อช่วยเช็คไมค์โครโฟนก่อนที่การแสดงจะเริ่ม


“น้องผู้หญิงแถวหน้าคนนั้น ไหนเมื่อกี้ยังเดินมาขอพี่แปะสติ๊กเกอร์อยู่เลย แล้วนี่อะไร ใช่สินะ…” เสียงประชดของนักร้องนำที่ผมคุ้นหน้าว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬาบาสทีมโรงเรียน พูดขึ้นพร้อมกับชี้มือไปที่น้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นลูบสติ๊กเกอร์หัวใจสีแดงดวงโตที่ถูกติดอยู่ที่อกข้างซ้าย


 “~เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน~”


พอพี่นักร้องนำลองเทสไมค์ด้วยการร้องเพลงท่อนนั้นจบ พี่โมกข์ก็เดินลงไป ส่วนน้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาก็หน้าแดงฉ่า และเอาแต่ยกมือขึ้นมาตีพวกเพื่อนที่นั่งส่งเสียงแซวอยู่ข้างๆ


 “มึงเห็นไหมไอ้ทิว แค่เฮียแกโผล่ออกมาไม่ถึงนาที ผู้หญิงโรงเรียนเรากรีดร้องกันอย่างกับโดนน้ำมนต์สาด แล้วนี่วงเฮียแกแข่งด้วย หน้าตาอย่างพวกกูจะไปสู้อะไรได้วะ” อยู่ๆ ไอ้เพียวก็สร้างซีนดราม่าขึ้นมาซะอย่างนั้น


“มึงจะมาลากดราม่าทำไมเนี้ย ถ้าไม่มีใครเชียร์มึง เดี๋ยวกูเชียร์มึงเอง” พอพูดจบผมก็ปรบมือเสียงดังแข่งกับเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังอยู่หน้าเวที จากนั้นก็ป้องปากตะโกนวี๊ดว๊าย ‘พี่เพียวคะ พี่เพียวขา พี่หล่อมากเลยค่ะ’ จนไอ้เพียวต้องกระโดดมาตะครุบปิดปากผมเอาไว้


“เชี่ยทิว ถ้ามึงจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้ก็ช่วยรอให้พวกกูขึ้นแสดงก่อน ไอ้ห่ากูอายคนอื่นเขา”


“ไอ้เอียวอ่อยอู” ผมว่าพลางดึงมือมันออกจากปาก “อ่าอี้อ๋ม”


“วงพสาม่า เตรียมตัวหลังเวทีด้วยครับ” เสียงของคนที่ทำให้ไอ้เพียวหมดความมั่นใจในการแข่งขันดังขึ้นมาจากด้านหลัง เรียกให้ผมกับเพียวที่กำลังก่อสงครามขนาดย่อมกันอยู่ถึงกับหยุดชะงัก


 “อ้าวเฮียถึงวงผมแล้วเหรอ”


 “เออ ไปเตรียมตัวได้แล้ว” พี่โมกข์ตอบเพียวแต่สายตาพี่แกกลับมองช่อกุหลาบที่ผมได้รับมาจากพี่มะเหมี่ยวไม่วางตา ก่อนจะหันมายักคิ้วให้หนึ่งที พอผมยิ้มตอบกลับก็ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นการทักทายระหว่างเรา


 ‘เฮ้ยไอ้โมกข์ น้องเขามาขอเล่นด้วย’ พี่เผ่าพงศ์พี่ที่ผมเดินเข้าไปขอเล่นบาสด้วยในตอนเย็น ตะโกนบอกพี่โมกข์ที่กำลังยืนชู้ตลูกบาสอยู่ไกลๆ


 ‘เอาดิ’ พี่โมกข์หันมาตอบทั้งๆ ที่มือก็ชู้ตบาสออกไปโดยที่ตาไม่ได้มองแป้น


สวบ!


 สามคะแนน สำหรับลูกบาสที่ลอยเป็นเส้นโค้งลงห่วงอย่างสวยงาม


 พี่แม่งโคตรไอดอล


 หลังจากวันที่ผมประทับใจจนเผลอปรบมือออกมา ผมก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเล่นบาสหลังเลิกเรียน


 ถ้าให้ผมตีค่าระดับความสนิทสนมกับพี่โมกข์เป็นตัวเลขศูนย์ถึงสิบ โดยเลขศูนย์หมายถึงคนแปลกหน้า และเลขสิบหมายถึงคนที่สามารถหยอกล้อเล่นหัวกันได้ ผมให้คะแนนความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นเอ่อ...น่าจะเป็นเลขหกค่อนๆ ไปทางเลขเจ็ด คือเลยระดับคนแปลกหน้ามาเป็นคนรู้จัก ที่นานๆ ครั้งก็จะกลายร่างเป็นครูไหวใจร้ายเวลาต้องช่วยสอนการบ้าน บางครั้งก็สวมบทบาทเป็นนักวิจารณ์ปากจัดที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับหน้าตาเหล่าขนมของฝากที่มาจากชั่วโมงคหกรรม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกล้ำกลืนฝืนกินจนหมด สองสามเดือนหลังมานี้ก็แปรสภาพมาเป็นเพื่อนร่วมทางกลับบ้าน สุดท้ายก็คงจะเป็นพี่ที่แค่ได้รู้จักก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
 

“สวัสดีครับ พวกเราวงพสาม่า จากระดับชั้นม.ห้า”


 กรี๊ดดดดดด!


เสียงกรี๊ดดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวงไอ้เพียวเล่นจบ ผมรีบรุดไปที่หน้าเวทีเพื่อที่จะมอบดอกกุหลาบให้มันตามคำสั่ง โดยหยิบดอกกุหลาบแดงออกมาจากกองหนึ่งดอก แล้วเอาไปถือรวมกับช่อกุหลาบขาว จากนั้นก็ยื่นกุหลาบที่เหลืออยู่ในมืออีกข้างให้มันไปทั้งหมด เพียวยิ้มแก้มแทบฉีกเพราะนอกจากผมก็ยังมีพี่ๆ น้องๆ ผู้หญิงคนอื่นๆ ในโรงเรียนเดินเอาดอกไม้มามอบให้มัน


 อาจจะจริงอย่างที่มันว่า สาวๆ ชอบนักดนตรีสินะ
พอมันและเพื่อนๆ ลงจากเวที วงสุดท้ายก็ขึ้นไปเตรียมตัว พี่เบิร์ดในฐานะนักร้องนำเข้าประจำตำแหน่ง และเริ่มแนะนำสมาชิกในวงทันทีแข่งกับเสียงกรี๊ด โดยสมาชิกของวงนั้นเป็นแก๊งเล่นบาสหลังเลิกเรียนของผม


“เผ่า มือกีตาร์” พี่เผ่ายกมือขวาชูขึ้น


กรี๊ดดดด


“ก้อง มือเบส” พี่ก้องที่อยู่คนละห้องกับเพื่อนๆ ในวงยกเบสขึ้นมาโชว์


กรี๊ดดดด


“โมกข์ มือกลอง” พี่โมกข์ลุกขึ้นมาไหว้คณาจารย์ที่เป็นกรรมการในการตัดสิน ก่อนจะกลับลงไปนั่ง


กรี๊ดดดด


“ส่วนผม เบิร์ดนักร้องนำครับ”


กรี๊ดดดด


เสียงกรี๊ดยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสาวๆ โรงเรียน พวกเธอนั้นมีนกหวีดเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของลำคอหรืออย่างไรถึงกรี๊ดได้กรี๊ดดีกันขนาดนี้


“เพลงแรกที่จบลงไปเป็นเพลงที่พวกเราตั้งใจจะใช้ประกวดวันนี้นะครับ ส่วนเพลงที่สองนั้นมือกลองของเราจะเป็นคนขึ้นมาร้อง” พี่เบิร์ดพูดจบก็เดินไปหามือกลองของวง คุยอะไรกันสักพักพี่โมกข์ก็ลุกขึ้นสลับที่ให้พี่เบิร์ดนั่งแทน ก่อนตัวเองจะก้าวมาด้านหน้าเวทีเพื่อขึ้นมาเป็นนักร้องนำ


 ผมประหลาดใจมากเพราะตั้งแต่รู้จักพี่โมกข์มาผมไม่เคยได้ยินเสียงพี่แกเวลาร้องเพลงเลยสักครั้ง หลายๆครั้งที่แก๊งบาสหลังเลิกเรียนชวนกันไปคาราโอเกะ พี่โมกข์คือมนุษย์สายนั่งดู ในขณะที่ผมคือมนุษย์สายเพี้ยนเกินจะเยียวยา เราสองคนเลยเลือกจะลงเอยด้วยการเป็นสายกินล้างกินผลาญแทน


 “เพลงที่ผมจะร้องต่อไปนี้เป็นเพลงที่ผมอยากจะใช้ถามน้องคนหนึ่งมาตลอด มันอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไป มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่พี่ก็อยากได้คำตอบจริงๆ”


 “เยบโป้! เฮียแกจะทำอะไรวะ แล้วบอกน้องคนหนึ่งน้องคนไหนวะมึง” ไอ้เพียวโผล่มายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้


 “กูก็ไม่รู้เหมือนกับมึงนั่นแหละ”


 ~ด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยรับรู้
ได้เจอสักเท่าไหร่ แต่เหมือนไกลๆ ห่างกัน
ได้แค่มองหน้าเธอ ทำได้เพียงแค่นั้น
หัวใจที่แอบฝัน อยู่ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว


 หากเธอรู้ใจ หากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า
ก็ไม่รู้เลย แต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว~


 “เชี่ย หน้าอย่างเฮียแกยังต้องร้องเพลงขอความรักอีกเหรอวะ ไอ้ทิวมึงว่าใครคือสาวลึบลับคนนั้นวะ”


“ไม่รู้ดิ” ผมพยายามมองตามสายตาของพี่โมกข์ไปในหมู่คนดู ก่อนจะสบเข้ากับสายตาของพี่มะเหมี่ยวเจ้าของกุหลาบช่อโตที่อยู่ในมือผม


พี่มะเหมี่ยวยิ้มกว้างพลางโบกไม้โบกมือ ผมจึงได้แต่คร่อมศีรษะตอบกลับไปและรีบหันหน้าไปทางเวที จนเพลงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย พี่โมกข์หันมาทางที่ผมกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ และผมคิดว่าพี่แกกำลังยักคิ้วเหยาะเย้ย ที่ผมเคยไปสบประมาทเรื่องที่ว่าแกก็คงจะเสียงเพี้ยนไม่ต่างกัน


 ~อยากให้หันมาหน่อย อยากให้มองหน้ากัน
ถ้าเธอไม่หวั่นไหว กับสายตาคนอย่างฉัน
ไม่บังคับใจเธอ หากเจอคนที่ฝัน
หวังเพียงใครคนนั้นจะใกล้เคียงคนอย่างฉัน


หากเธอรู้ใจหากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า
ก็ไม่รู้เลยแต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว


แค่อยากรู้รังเกียจกันไหม ขอให้มันอย่าเป็นแบบนั้นเลย
อยากได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคย อยากจะเจอคนเดิมที่เคยที่เจอในเมื่อวาน


หากพรุ่งนี้ทุกอย่างหมุนไป ฉันคนหนึ่งจะยืนตรงที่เก่า
อยู่เพื่อบอกเธอคำที่ค้างใจ ต่อให้มันจะไม่ วันจะจริงเลยก็ตามอยากให้รู้ว่ารักเธอ~


 “เชี่ย!!” ไอ้เพียวสบถออกมาเสียงดังซะจนผมตกใจว่าเผลอมีใครเดินไปเหยียบหางมันเข้าหรืออย่างไร พอหันไปมองก็เห็นว่ามันกำลังชี้นิ้วที่กำลังสั่นเทามาตรงหน้า


“เป็นอะไรของมึง ร้องซะดังลั่น”


 “มึง....คือ.....หนึ่ง....”


 "มึงว่าอะไรนะกูไม่ได้ยิน เสียงกรี๊ดแม่งดังจนหูกูอื้อไปหมดแล้วนี่"


 จากนั้นมันก็เอาแต่พึมพำไม่ได้ศัพท์ พอการแสดงจบลง เพียวก็ถูกเรียกตัวขึ้นไปเพื่อรับดอกกุหลาบเป็นครั้งสุดท้ายบนเวที สรุปก็เลยไม่ได้รู้เรื่องกันส่วนผมก็รอจนคนเริ่มซาจึงเดินไปที่หน้าเวทีบ้าง


 “พี่โมกข์!” ผมเรียกพร้อมกับยื่นกุหลาบแดงที่เหลืออยู่ในมือไปให้


 “ให้เหรอ?”


 “สิบบาท” ผมพูดด้วยหน้าตาจริงจังพร้อมทั้งแบมือคอยท่า อีกฝ่ายจึงล้วงเอากระเป๋าเงินของตัวเองมายัดใส่ในมือด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน “เฮ้ย! ..ล้อเล่น”


 “ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวถ้าชนะจะพาไปเลี้ยง”


 “หมดตูดแน่พี่ เพราะดูจากดอกกุหลาบในมือแล้ว ไม่มีทางไม่ชนะ” ว่าที่เจ้ามือในอนาคตหัวเราะก่อนจะหิ้วตะกร้าใส่กุหลาบเดินตามเพื่อนไปด้านหลังเวที


 ถึงแม้วงพี่โมกข์จะพลาดที่หนึ่งในการประกวด แต่รางวัลป๊อปปูล่าโหวตก็ตกเป็นของวงพี่แกด้วยคะแนนท่วมท้น ผมจึงได้มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่หน้าเตาหมูกระทะตามสัญญา


 “น้องทิว ชอบดอกกุหลาบที่ฝากไปให้ไหมคะ” พี่มะเหมี่ยวที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้นขณะที่ผมกำลังคีบหมูสามชั้นชิ้นแรกเข้าปาก


บางครั้งก็ควรจะบอกก่อนว่าขนกันมาทั้งห้องขนาดนี้ ผมจะได้เลือกไปกับไอ้เพียวแทน


 “เอ่อ...ก็สวยดีนะครับ”


“เห็นโมกข์บอกว่าน้องทิวไม่ถูกโรคกับช็อกโกแลต ถ้าได้ไปก็คงไม่ได้กินแน่ ไหนๆ มันก็เป็นวันวาเลนไทน์นี่เนอะ พี่ก็เลยคิดว่าให้เป็นดอกไม้น่าจะดีกว่า หวังว่าจะชอบนะคะ”


 “อ่า..ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มพร้อมกับคิดว่าตอนนี้ควรจะต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นหมูกระทะมื้อนี้คงกร่อยน่าดู


 "พี่โมกข์! " ผมหันไปเรียกคนที่เพิ่งจะกลับมาจากห้องน้ำ "เพลงที่ร้องบนเวทีอ่ะ..” ฉับพลันที่ผมเปล่งคำถามความวุ่นวายและเสียงจอแจที่ดังรอบตัวก็พลันเงียบงัน จนผมต้องต้องหันไปมอง การเคลื่อนไหวถึงเกิดขึ้นอีกครั้ง


“ว่า?”


“พี่ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าร้องเพลงเพราะ เออแล้วเพลงที่ร้องอ่ะ พี่จะถามน้องคนไหน ผมรู้จักปะ”


“รู้ดิ”


“อ้าวใครอ่ะ เพื่อนผมปะ หรือว่าคนอื่น แต่เอาจริงๆนะ ในฐานะที่ผมเป็นน้องและจะไม่อวยพี่ ผมว่าไอ้การเลือกร้องเพลงบอกรักในวันวาเลนไทน์ แม่งโคตรเสี่ยว คิดได้ไง ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะว่าพี่จะทำ จบกันภาพลักษณ์ อย่าไปบอกใครนะว่ารู้จักผมอ่ะ”


ดูท่าประโยคที่ผมพูดจะถูกใจคนอื่นๆในโต๊ะ ถึงได้เกิดเสียงฮายกใหญ่


ส่วนคนเสี่ยวข้างตัวก็สำลักน้ำก่อนจะชูนิ้วกลางไปที่พี่เบิร์ดและสบถเบาๆ


“สัดเพราะมึงเลย”


“พี่เบิร์ดเป็นคนคิดเหรอ โอ๊ยเชื่อคนง่ายนะเรา” ผมว่าพลางตบบ่าให้กำลังใจ


“เออกูน้อมรับผิด งั้นกูถามหน่อยถ้ามึงจะสารภาพรัก แบบไหนเวิร์คสำหรับมึงวะไอ้ทิว”


“โหพี่ยากโคตร คิดไม่ออกเลย แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ร้องเพลงขอความรักอ่ะ”


“อ่ะ” คนเสี่ยวข้างตัวยื่นส้อมมาให้ “แทงกูให้ตาย”


จากนั้นเสียงฮาก็กลับมาอีกรอบ แล้วบทสนทนาในโต๊ะก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น กว่าจะกินกันเสร็จและได้เวลาแยกย้าย ก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ในขณะที่รุ่นพี่คนอื่นเลือกจะกลับรถแท็กซี่ เพราะหลายๆคนอยู่ใกล้เคียงกัน ผมกับพี่โมกข์คือสองคนที่เลือกจะดินไปขึ้นรถไฟฟ้า


“พี่โมกข์แล้วสรุปว่าสำเร็จไหม น้องคนนั้นเขาตอบว่าไงเหรอ”ผมถามหลังจากเดินกันมาได้สักพัก


“ท่าทางจะแป๊ก เพราะดูท่าเขาจะไม่ชอบ”


“โหกอดนะ โอ๋เอ๋ๆ เดี๋ยวพี่ก็จะต้องไปเจอคนใหม่ๆที่มหาลัย กว่าจะเจอคนที่ใช่คนเรามันก็ต้องอกหักกันทั้งนั้นแหละ” ผมพยายามปลอบคนข้างตัว


“แต่คนนี้กูรักจริงๆ” แม่งเอ๊ยอย่าตบปากตัวเองฉิบหาย ไม่น่าไปแซวเลยโว้ย รู้สึกผิดไปหมดแล้ว


“ผมล้อเล่นนะ ไอ้เรื่องที่บอกว่าเพลงมันเสี่ยว พี่ได้ถามเขาต่อหน้ายัง ตอนที่พี่ร้องพี่ได้มองหน้าเขาเปล่า เขามีปฎิกริยายังไง”


“มอง”


“แล้ว?”


“ก็ดูปกติ”


“อ้าว แล้วสรุปคืออะไร เขารู้ตัวไหมว่าพี่หมายถึงเขา หลังจากลงเวทีพี่ได้เดินไปบอกเขายัง แบบต่อหน้าอะ ผมเริ่มจะงงแล้วนะเนี่ย”


“เหมือนจะยังไม่รู้ตัว”


“เอ้า ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ไม่แป๊กดิ พี่ยังไม่ถามเขาตรงๆเลย เรื่องแบบนี้ใครเขาคิดเองเออเองกัน ผมว่าพี่ดีขนาดนี้ถ้าเขาปฏิเสธก็บ้าแล้ว”


“ทิว”


“ว่า?”


“ชอบกุหลาบไหม” ผมงงเลยอยู่ๆก็โดนเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว


“ช่อนี้น่ะเหรอ” พอเห็นว่าพี่แกพยักหน้าก็เลยต้องตอบตามความจริง “ไม่อ่ะ พี่ห้ามไปบอกพี่มะเหมี่ยวนะ เดี๋ยวเขาเสียใจ อีกอย่างช่อนี้คงแพงน่าดู”


“ไม่เท่าไรหรอก”


“พี่ก็อยู่เหรอตอนที่ซื้อ โหพี่น่าจะกริ๊งกร๊างมาหาผมก่อน จะได้บอกว่าไม่ต้องซื้อ รู้ปะผมโดนแซวหนักมากเลย ว่าแต่ทำไมถึงซื้อ คือชอบผมเหรอ  ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันเลยนี่นะ”


“ทำไมถึงคิดว่ามะเหมี่ยวเป็นคนซื้อ”


“เอ้า ก็พี่มะเหมี่ยวฝากกุหลาบกับต้องมาให้ผมนี่ สรุปคืออะไร ผมเริ่มงงละนะ”


ผมหันไปมองหวังจะได้คำตอบ แต่ได้รับเพียงความเงียบและอยู่ๆพี่แกก็หยุดเดินเอาซะดื้อๆ ก่อนจะค่อยๆหันมาเผชิญหน้า ท่าทีแปลกตาของคนตรงหน้าเล่นเอาทำผมเกร็งไปไม่น้อย


“ทิว” นี่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ พี่มันดูจริงจังเกินไป


“ว่าไง”


“ในหัวกูตอนนี้แม่งมีเรื่องให้คิดเยอะไปหมด ทั้งเรื่องสอบ เรื่องเรียนต่อ”


“เห้ย พี่ต้องทำได้อยู่แล้ว พี่เก่งจะตาย” ผมไม่อวยเกินจริง เพราะอย่างที่รู้ผมก็ไปอาศัยให้พี่โมกข์ติวให้อยู่บ่อยๆ


“แต่เอาจริงๆเรื่องพวกนั้นแม่งไม่ใช่ปัญหา เพราะกูคิดว่ากูตั้งใจเรียนมากพออยู่แล้ว” นั่นไง


“เอ้าแล้วพี่กังวลอะไรอะ”


“มึงต้องคิดว่ามันงี่เง่าแน่นอน”


“อย่าตัดสินผมดิ ก็ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ ผมไม่คิดว่ามันงี่เง่าหรอก ระบายมาเลย ผมพร้อมรับฟังนะ”


“กูคิดไม่ตกเรื่องมึง”


“เรื่องผม?”


“กูไม่รู้จะเริ่มยังไง สิ่งที่ทำวันนี้ทั้งหมด ทั้งดอกกุหลาบเอ่ย ทั้งร้องเพลงบอกความในใจเอ่ย ก็ไอ้ห่าเบิร์ดกับมะเหมี่ยวนั่นแหละที่ยุยงส่งเสริม มันบอกว่าดีกูก็เลยลองดู แต่มันดันเฟล”


“ดอกกุหลาบ?”


“เออช่อนี่แหละ มะเหมี่ยวมันแนะนำ ซื้อมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็มึงไม่ชอบช็อคโกแลตนี่ มะเหมี่ยวมันก็เลยบอกว่าให้ซื้อเป็นกุหลาบแทน กูก็ดันเชื่ออีก แล้วดูดิ”


“พี่เป็นคนซื้อเหรอ”


“ใช่ไง งงอะไรวะ”


“เดี๋ยวๆๆๆ ทำไมต้องให้ผมอ่ะ”


“ก็วาเลนไทน์ไง”


“แล้ว?”


“กูแม่งโง่ฉิบหายเลย ทั้งๆที่รู้จักมึงดีกว่าพวกมันทั้งหมดด้วยซ้ำ กูน่าฉุกคิดสักนิด ว่ามึงต้อง..”


“เดี๋ยวนะ สรุปว่าผมคือน้องคนหนึ่งคนนั้นเหรอ”


“อืม ตลกอะดิ เอาจริงๆคือกูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน จนพวกไอ้เบิร์ดมันมาจุดประกาย รู้ตัวอีกทีกูก็เอาแต่คิดเรื่องมึง สุดท้ายมันเป็นแบบที่มึงได้เห็น น่าขายหน้าฉิบหาย นี่ดีนะที่กูแคนเซิลแผนอื่นไปบ้างแล้ว”


“มีแผนอื่นอีกเหรอ”


“เออ” พี่มันล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาไถหน้าจอสักพักก่อนยื่นมาให้ผมดู “ไหนๆแม่งก็ไม่สำเร็จอยู่แล้ว มึงเอาไปดูเลย” ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง


บนหน้าจอแสดงรูปถ่ายกระดานดำที่มีหัวข้อที่ชวนขำ


‘ปฏิบัติการสารภาพรักฉบับท่านประธาน’


“โห ใครคิดหัวข้อเนี่ย”


“ไอ้เบิร์ด”


“ผมนึกสภาพพี่ทำข้อสี่ไม่ออกเลย”


“กูแคนเซิลข้อแรกเลย แผนแม่งงี่เง่าฉิบหาย”


“แต่ข้อเจ็ดน่าสนใจ”


“จริงดิ”


“อืม ดูง่ายๆดี ไม่ยุ่งยาก ผมว่าบางครั้งความรักมันก็ไม่น่าจะต้องยากขนาดนั้นเปล่า แต่ข้ออื่นไม่ไหวจริงๆ นึกไม่ถึงพี่เบิร์ดนี่แม่งเสี่ยวตัวพ่อ”


“ทิว”


“ว่า?”


“ลองมาคบกันดูไหม”


“กำลังทำข้อเจ็ดอยู่เหรอ”


“อืม ก็มึงแนะนำ เผื่อจะเวิร์ค”


“พี่เอาจริงดิ”


“อืม แล้วว่าไง”


“เอาจริงๆนะ ก็ถ้าพี่มาปรึกษาผมแต่แรกก็สำเร็จไปนานแล้ว”

"สรุปคือ ตกลง"

"ยังอ่ะ อยากเห็นพี่ทำข้อสี่ให้ดูก่อน"

"ได้ มึงเตรียมตัวไว้เลย"

"จะรอนะจ๊ะ" พูดเสร็จผมก็ยื่นโทรศัพท์คืนพี่มันก่อนจะหนีขึ้นบันไดเลื่อน แค่คิดก็ขำแล้ว พี่โมกข์กับการเต้นแฟลชม๊อบ(Flash mob) นี่นะ พี่เบิร์ดแม่งคิดได้ไงวะ โคตรอัจฉริยะ

End..

เรื่องสั้นงงๆที่แต่งไม่ทันวาเลนไทน์ เลยเอามาลงวันสงกรานต์แทน

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ  :pig4: :pig4:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2019 22:54:31 โดย Lalalin »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ว้าวๆๆๆๆ น่ารักเหมือนเดิม   :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด