Would you please ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะเรียกของแม่ที่หน้าประตู ครั้นลืมตาและปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่างยามเช้าได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดูเป็นอย่างแรก โธ่ทำยังไงได้ก็ผมมันเป็นเด็กที่โตมาในยุคสมาร์ทโฟนครองโลกนี่นา
เฮ้อ วันนี้อีกแล้วสินะ ทำไมปีๆ หนึ่งมันถึงได้เร็วนักวะ
ทันทีที่ผมก้าวลงจากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่นั่งมาจากหน้าปากซอยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เหตุการณ์ที่ผมคาดคะเนไว้ก็เกิดขึ้นอย่างกับเดจาวู มีน้องผู้หญิงประมาณสามถึงสี่คนทำทีเหมือนจะวิ่งตรงเข้ามาทางที่ผมยืนอยู่
“ไอ้น้อง หญิงเยอะนี่หว่า” พี่วินมอเตอร์ไซค์พูดพลางนับเศษสตางค์ในมือขึ้นมาทอน
“…” ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ส่งกลับไป พอได้รับเงินทอนครบตามจำนวนก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยผ่านหน้าน้องๆ ที่ยืนอยู่ไปยังห้องเรียน
“ไงมึง” เพียวเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังนั่งเกากีตาร์อย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้องเพียงลำพังหันมาทัก
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่นั่งโต๊ะประจำตำแหน่ง พลางหยิบสมุดการบ้านที่ต้องส่งวันนี้ยัดเข้าไปในลิ้นชักใต้โต๊ะ แต่ปรากฏว่า..มันติด พอผมล้วงเข้าไปในลิ้นชักเพื่อจะหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ ก็พบเข้ากับกล่องช็อคโกแลตรูปหัวใจสามกล่อง
“กูไม่เข้าใจเลย ทำไมวันนี้คนเราต้องให้ช็อกโกแลตด้วยวะ” ผมเอ่ยถามเพียวที่นั่งถัดไปอีกโต๊ะ พร้อมๆ กับหยิบกล่องช็อกโกแลตเหล่านั้นขึ้นมาวาง
“เพราะว่ามีบริษัทช็อกโกแลตยี่ห้อหนึ่ง พยายามปลุกปั่นสร้างกระแสในการให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์” เพียวร่ายยาวทั้งๆ ที่ยังตายังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“แล้วทำไมบริษัทเหล้าไม่สู้” ผมยังไม่ลดละ
“เพราะบริษัทเหล้าทุ่มงบประมาณไปกับเทศกาลอกหักหมดแล้ว อีกอย่างกูคิดว่าสาวๆ ‘ของมึง’ ..” มันหันหน้ามามองพร้อมกับย้ำคำว่าของมึงด้วยการยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมาทำเป็นเป็นเครื่องหมายคำพูด “..คงไม่ใจกล้าถึงขนาดเดินไปร้านโชห่วยพร้อมกับสั่ง..” จากนั้นมันก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะเปล่งเสียงที่บีบจนเล็ก
“แปะ เหล้าขาวขวด”
“ก็จริงของมึง ว่าแต่..”
“พ่อคนฮอตตต หายมาอยู่นี่เองเหรอยะ” เสียงบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาระหว่างผมกับเพียว ก่อนจะถลาเข้ามาวางช่อกุหลาบไซส์บิ๊กเบิ้มลงบนโต๊ะตรงหน้า
ผมชี้มือเข้าหาตัว “ให้เรา”
“ก็วางตรงหน้านายถ้าไม่ใช่นายแล้วจะให้ไอ้เพียวหรือไง”
“ต้อง” ผมเรียกชื่อสาวเจ้าของดอกไม้ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา พร้อมกับเพียวที่เริ่มเล่นเพลง ‘เพื่อนรัก’ ของวงThe Parkinson เป็นแบ๊คกาวน์ โดยก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากร้องประสาน ‘ต้องรัก’ สาวเจ้าของดอกกุหลาบก็ยกมือขึ้นห้าม
“หยุดเลยพวกนายสองคน ไม่ใช่ของฉันโว้ย”
“ก็ว่าอยู่ว่าเธอคงไม่ลงทุน แล้วไปเอาของใครมา”
“มีรุ่นพี่ฝากมาให้นาย”
“ใครวะ” คนที่ถามไม่ใช่ผมหากแต่เป็นเพียวที่ตอนนี้มันย้ายก้นมานั่งเก้าอี้ข้างๆ ผมว่าต่อมเผือกในตัวมันคงกำลังสั่นระริก
“โหไอ้ทิว ให้กุหลาบขาวทำอย่างกับว่ามึงเป็นสาวแรกแย้มอย่างนั้น”
“กวนตีน”
เพียวไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่านัก เพราะความสนใจของมันตอนนี้อยู่ที่ว่าใครเป็นเจ้าของกุหลาบช่อโตต่างหาก
“สรุปว่ารุ่นพี่คนไหนฝากมาให้ไอ้ทิววะต้อง”
“พี่มะเหมี่ยว 6/2”
ผมพยายามรำลึกหน้าของเจ้าของช่อดอกไม้ ด้วยความที่เข้ามาเรียนกลางคัน แถมความสามารถในการจดจำชื่อและหน้าคนเป็นศูนย์จึงต้องใช้เวลานึกนานหน่อย ผิดกับไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความที่มันเรียนที่นี่มาตั้งแต่มอต้น แถมยังเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงที่ไม่ว่างานอะไรก็จะมักเสนอหน้าเข้าร่วมอยู่เสมอๆ ล่าสุดก็งานเปิดโลกกิจกรรมวันนี้ เพียวถึงขนาดฟอร์มวงกับเพื่อนสมัยมอต้นเพื่อจะเข้าร่วมประกวดวงดนตรีกับเขาด้วย โดยหลังจากที่ต้องรักเอ่ยชื่อสาวเจ้าของกุหลาบช่อโตจบ มันก็ทำตาโตพร้อมกับอุทานออกมาเสียงดัง
“เยบโป้! พี่มะเหมี่ยวคนสวย ส่งกุหลาบขาวช่อโตให้ไอ้ทิว อ้าวอย่างนี้เฮียโมกข์แกไม่หึงเหรอวะ ก็ไหนเขาลือๆ กันว่าประธานกับรองประธานกิ๊กๆ กั๊กๆ กันอยู่ไง”
เป็นอย่างที่ผมบอกไหมล่ะ ไม่มีเรื่องไหนหรอกที่จะรอดพ้นสายตามันไปได้ สโลแกนประจำตัวมันน่ะเหรอ
‘เพียวรู้..โลกรู้’
พี่โมกข์ประธานนักเรียนที่เพียวพูดถึงคนนี้ผมรู้จักดี เพราะเคยไปขอพี่แกกับพวกเพื่อนเล่นบาสด้วยตอนเย็นหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยๆ แต่ไอ้เรื่องที่ว่าประธานกิ๊กๆ กั๊กๆ กับรองของเพียวนั้น ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่จริงๆ มันก็มีมูลอยู่บ้างเพราะช่วงหลังมานี้ ผมมักจะเจอพี่มะเหมี่ยวคนสวยของไอ้เพียวที่สนามบาสอยู่เป็นประจำ
“ก็ไม่นะ ตอนที่พี่มะเหมี่ยวฝากดอกไม้มาให้ทิว พี่โมกข์ก็ยืนคุยเรื่องเพลงที่จะใช้แสดงงานวันนี้กับพี่เบิร์ดอยู่ข้างๆ ไม่เห็นว่าพี่แกจะมีท่าทีอะไร”
“เชร้ด! เฮียแกลงแข่งด้วยเหรอวะต้อง ไม่ได้การละไอ้ทิวกูต้องไปหาพวกไอ้เกมส์ก่อน..” เพียวรีบลุกขึ้นก่อนจะกระวีกระวาดเดินไปหยิบกีตาร์คู่ใจขึ้นมาสะพายบ่า พร้อมกับเอาสมุดการบ้านเดินมายัดใส่มือผม “..ฝากมึงส่งการบ้านให้กูที แล้วตอนบ่ายอย่าลืมไปดูวงกูแข่งที่หอประชุมด้วยล่ะ อะนี่ร้อยหนึ่งฝากซื้อดอกกุหลาบหน้างานให้กูด้วย”
“เพียว มึงนี่แม่งซื้อเสียงฉิบ”
“อ้าวมึงเพิ่งรู้เหรอ ถ้าไม่ติดว่ากุหลาบช่อนี้เป็นกุหลาบขาว กูจะให้มึงแกะออกมาเป็นดอกๆ และมอบให้กูหน้าเวทีเลยเชียว”
“หน้าด้านสัด” ไอ้เพียวหัวเราะร่าเสียงดังก่อนจะรีบถลาวิ่งลงบันไดไป
หลังจากที่เคารพธงชาติและกล่าวเปิดงานในช่วงเช้าเสร็จ ผมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยผมโดนคุณหัวหน้าห้องผู้ยิ่งใหญ่มอบหมายหน้าที่ ในการเชิญชวนให้รุ่นพี่รุ่นน้องที่เดินผ่านไปมาให้เข้ามาร่วมกิจกรรมภายในห้องที่ถูกตกแต่งให้ดูเหมือนห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
ซึ่งผมก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี เพราะช่วงเช้าของการจัดกิจกรรมห้องของผมได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง มีรุ่นพี่รุ่นน้องเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก จนผู้อำนวยการของโรงเรียนที่มาเดินเยี่ยมชมถึงกับเอ่ยปาก
“โอ้โห เด็กโรงเรียนเรานี่ท่าจะสนใจวิทยาศาสตร์กันเยอะเชียว”
จนกระทั่งใกล้เวลาบ่ายสอง ห้องของผมก็เริ่มจัดการเคลียร์ข้าวของและทำความสะอาด เหมือนกับอีกหลายๆ ห้องที่เริ่มเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ เพื่อจะไปรวมตัวดูการประกวดวงดนตรีที่จะจัดขึ้นที่หอประชุม
ผมที่มือหนึ่งถือถุงขยะ ในขณะที่อีกมือถือช่อกุหลาบที่ได้รับมาเมื่อเช้า ส่วนพวกช็อคโกแลตที่จำเป็นต้องรับมา ไอ้พวกเพื่อนๆ ก็ถือโอกาสแกะกินกันเองเป็นที่เรียบร้อย มันอาจจะใจร้ายเกินไปนิดที่รับของมาแต่เรากลับโยนไปให้คนอื่นกินแทน แต่ผมไม่ถูกโรคกับพวกของหวานสักเท่าไหร่นัก ถ้าหากพวกเพื่อนมันไม่กินผมก็คงต้องแบกกลับบ้านและทิ้งให้มันเป็นซากฟอสซิลอยู่ในตู้เย็นอย่างนั้น
ขณะที่กำลังเดินไปยังจุดทิ้งขยะที่ตั้งอยู่ชั้นล่างข้างๆ โรงอาหาร ระหว่างทางผมก็โดนถามโดนแซวเรื่องช่อดอกไม้เจ้าปัญหาทั้งจากครูอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น ไอ้ครั้นจะไม่ถือลงมาด้วยก็ไม่ได้ เพราะหลังจากบ่ายสามโมงลุงนักการประจำโรงเรียนจะทำการปิดตึก ห้ามนักเรียนทุกคนขึ้นลงอาคารเรียนอีก ผมจึงจำเป็นต้องหอบข้าวของทุกอย่างลงมา
โคตรภาระแถมยังเป็นจุดสนใจมากเกินไป ผมเริ่มจะไม่ชอบพี่มะเหมี่ยวคนนี้แล้วสิ
หลังจากทิ้งขยะเสร็จ ผมก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปสมทบกับนักเรียนคนอื่นที่หอประชุม กว่าจะขึ้นไปยังด้านบนของหอประชุมได้ ก็เลยเวลามาพอสมควร ทำให้ผมพลาดการแสดงของสองวงแรก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะกว่าที่วงของไอ้เพียวจะเล่นก็เกือบรั้งท้าย
ภายในหอประชุมคร่าครั่งไปด้วยเด็กนักเรียนจำนวนมาก โดยที่ตรงบริเวณทางเข้าจะมีโต๊ะจำหน่ายดอกกุหลาบแดงที่ถือเป็นคะแนนสำหรับรางวัลป๊อปปูล่าโหวต โดยจำหน่ายในราคาดอกละสิบบาท ผมเลยจัดมายี่สิบดอก สิบดอกแรกมาจากเงินซื้อเสียงของไอ้เพียว และสิบดอกหลังเป็นเงินของผมที่อยากจะช่วยส่งให้มันถึงฝั่งฝัน
“เฮ้ย! ทิว ทางนี้ๆ” เสียงไอ้เพียวดังมาจากทางด้านข้างเวที ขณะที่ผมกำลังมองหาเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ
กรี๊ดดดดดดดดดด!!!
น้องๆ ผู้หญิงจากโซนแถวหน้ากรี๊ดดังสนั่นจนผมตกใจ แทบจะสะดุดขาตัวเองขณะเดินไปสมทบกับพวกเพื่อนคนอื่นในห้อง พอผมหันไปมองที่หน้าเวที ก็เห็นว่าวงที่สามกำลังขึ้นมาเตรียมตัวทำการแสดง โดยสาเหตุในการกรี๊ดของพวกน้องๆ นั้นมาจากการที่นักร้องนำควักมือเรียกชายหนุ่มผู้รั้งตำแหน่งประธานนักเรียนให้เดินออกมาจากหลังเวทีเพื่อช่วยเช็คไมค์โครโฟนก่อนที่การแสดงจะเริ่ม
“น้องผู้หญิงแถวหน้าคนนั้น ไหนเมื่อกี้ยังเดินมาขอพี่แปะสติ๊กเกอร์อยู่เลย แล้วนี่อะไร ใช่สินะ…” เสียงประชดของนักร้องนำที่ผมคุ้นหน้าว่าเป็นหนึ่งในนักกีฬาบาสทีมโรงเรียน พูดขึ้นพร้อมกับชี้มือไปที่น้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นลูบสติ๊กเกอร์หัวใจสีแดงดวงโตที่ถูกติดอยู่ที่อกข้างซ้าย
“~เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน~”
พอพี่นักร้องนำลองเทสไมค์ด้วยการร้องเพลงท่อนนั้นจบ พี่โมกข์ก็เดินลงไป ส่วนน้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาก็หน้าแดงฉ่า และเอาแต่ยกมือขึ้นมาตีพวกเพื่อนที่นั่งส่งเสียงแซวอยู่ข้างๆ
“มึงเห็นไหมไอ้ทิว แค่เฮียแกโผล่ออกมาไม่ถึงนาที ผู้หญิงโรงเรียนเรากรีดร้องกันอย่างกับโดนน้ำมนต์สาด แล้วนี่วงเฮียแกแข่งด้วย หน้าตาอย่างพวกกูจะไปสู้อะไรได้วะ” อยู่ๆ ไอ้เพียวก็สร้างซีนดราม่าขึ้นมาซะอย่างนั้น
“มึงจะมาลากดราม่าทำไมเนี้ย ถ้าไม่มีใครเชียร์มึง เดี๋ยวกูเชียร์มึงเอง” พอพูดจบผมก็ปรบมือเสียงดังแข่งกับเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังอยู่หน้าเวที จากนั้นก็ป้องปากตะโกนวี๊ดว๊าย ‘พี่เพียวคะ พี่เพียวขา พี่หล่อมากเลยค่ะ’ จนไอ้เพียวต้องกระโดดมาตะครุบปิดปากผมเอาไว้
“เชี่ยทิว ถ้ามึงจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้ก็ช่วยรอให้พวกกูขึ้นแสดงก่อน ไอ้ห่ากูอายคนอื่นเขา”
“ไอ้เอียวอ่อยอู” ผมว่าพลางดึงมือมันออกจากปาก “อ่าอี้อ๋ม”
“วงพสาม่า เตรียมตัวหลังเวทีด้วยครับ” เสียงของคนที่ทำให้ไอ้เพียวหมดความมั่นใจในการแข่งขันดังขึ้นมาจากด้านหลัง เรียกให้ผมกับเพียวที่กำลังก่อสงครามขนาดย่อมกันอยู่ถึงกับหยุดชะงัก
“อ้าวเฮียถึงวงผมแล้วเหรอ”
“เออ ไปเตรียมตัวได้แล้ว” พี่โมกข์ตอบเพียวแต่สายตาพี่แกกลับมองช่อกุหลาบที่ผมได้รับมาจากพี่มะเหมี่ยวไม่วางตา ก่อนจะหันมายักคิ้วให้หนึ่งที พอผมยิ้มตอบกลับก็ถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นการทักทายระหว่างเรา
‘เฮ้ยไอ้โมกข์ น้องเขามาขอเล่นด้วย’ พี่เผ่าพงศ์พี่ที่ผมเดินเข้าไปขอเล่นบาสด้วยในตอนเย็น ตะโกนบอกพี่โมกข์ที่กำลังยืนชู้ตลูกบาสอยู่ไกลๆ
‘เอาดิ’ พี่โมกข์หันมาตอบทั้งๆ ที่มือก็ชู้ตบาสออกไปโดยที่ตาไม่ได้มองแป้น
สวบ!
สามคะแนน สำหรับลูกบาสที่ลอยเป็นเส้นโค้งลงห่วงอย่างสวยงาม
พี่แม่งโคตรไอดอล
หลังจากวันที่ผมประทับใจจนเผลอปรบมือออกมา ผมก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเล่นบาสหลังเลิกเรียน
ถ้าให้ผมตีค่าระดับความสนิทสนมกับพี่โมกข์เป็นตัวเลขศูนย์ถึงสิบ โดยเลขศูนย์หมายถึงคนแปลกหน้า และเลขสิบหมายถึงคนที่สามารถหยอกล้อเล่นหัวกันได้ ผมให้คะแนนความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นเอ่อ...น่าจะเป็นเลขหกค่อนๆ ไปทางเลขเจ็ด คือเลยระดับคนแปลกหน้ามาเป็นคนรู้จัก ที่นานๆ ครั้งก็จะกลายร่างเป็นครูไหวใจร้ายเวลาต้องช่วยสอนการบ้าน บางครั้งก็สวมบทบาทเป็นนักวิจารณ์ปากจัดที่หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับหน้าตาเหล่าขนมของฝากที่มาจากชั่วโมงคหกรรม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกล้ำกลืนฝืนกินจนหมด สองสามเดือนหลังมานี้ก็แปรสภาพมาเป็นเพื่อนร่วมทางกลับบ้าน สุดท้ายก็คงจะเป็นพี่ที่แค่ได้รู้จักก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“สวัสดีครับ พวกเราวงพสาม่า จากระดับชั้นม.ห้า”
กรี๊ดดดดดด!
เสียงกรี๊ดดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งวงไอ้เพียวเล่นจบ ผมรีบรุดไปที่หน้าเวทีเพื่อที่จะมอบดอกกุหลาบให้มันตามคำสั่ง โดยหยิบดอกกุหลาบแดงออกมาจากกองหนึ่งดอก แล้วเอาไปถือรวมกับช่อกุหลาบขาว จากนั้นก็ยื่นกุหลาบที่เหลืออยู่ในมืออีกข้างให้มันไปทั้งหมด เพียวยิ้มแก้มแทบฉีกเพราะนอกจากผมก็ยังมีพี่ๆ น้องๆ ผู้หญิงคนอื่นๆ ในโรงเรียนเดินเอาดอกไม้มามอบให้มัน
อาจจะจริงอย่างที่มันว่า สาวๆ ชอบนักดนตรีสินะ
พอมันและเพื่อนๆ ลงจากเวที วงสุดท้ายก็ขึ้นไปเตรียมตัว พี่เบิร์ดในฐานะนักร้องนำเข้าประจำตำแหน่ง และเริ่มแนะนำสมาชิกในวงทันทีแข่งกับเสียงกรี๊ด โดยสมาชิกของวงนั้นเป็นแก๊งเล่นบาสหลังเลิกเรียนของผม
“เผ่า มือกีตาร์” พี่เผ่ายกมือขวาชูขึ้น
กรี๊ดดดด
“ก้อง มือเบส” พี่ก้องที่อยู่คนละห้องกับเพื่อนๆ ในวงยกเบสขึ้นมาโชว์
กรี๊ดดดด
“โมกข์ มือกลอง” พี่โมกข์ลุกขึ้นมาไหว้คณาจารย์ที่เป็นกรรมการในการตัดสิน ก่อนจะกลับลงไปนั่ง
กรี๊ดดดด
“ส่วนผม เบิร์ดนักร้องนำครับ”
กรี๊ดดดด
เสียงกรี๊ดยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จนผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสาวๆ โรงเรียน พวกเธอนั้นมีนกหวีดเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของลำคอหรืออย่างไรถึงกรี๊ดได้กรี๊ดดีกันขนาดนี้
“เพลงแรกที่จบลงไปเป็นเพลงที่พวกเราตั้งใจจะใช้ประกวดวันนี้นะครับ ส่วนเพลงที่สองนั้นมือกลองของเราจะเป็นคนขึ้นมาร้อง” พี่เบิร์ดพูดจบก็เดินไปหามือกลองของวง คุยอะไรกันสักพักพี่โมกข์ก็ลุกขึ้นสลับที่ให้พี่เบิร์ดนั่งแทน ก่อนตัวเองจะก้าวมาด้านหน้าเวทีเพื่อขึ้นมาเป็นนักร้องนำ
ผมประหลาดใจมากเพราะตั้งแต่รู้จักพี่โมกข์มาผมไม่เคยได้ยินเสียงพี่แกเวลาร้องเพลงเลยสักครั้ง หลายๆครั้งที่แก๊งบาสหลังเลิกเรียนชวนกันไปคาราโอเกะ พี่โมกข์คือมนุษย์สายนั่งดู ในขณะที่ผมคือมนุษย์สายเพี้ยนเกินจะเยียวยา เราสองคนเลยเลือกจะลงเอยด้วยการเป็นสายกินล้างกินผลาญแทน
“เพลงที่ผมจะร้องต่อไปนี้เป็นเพลงที่ผมอยากจะใช้ถามน้องคนหนึ่งมาตลอด มันอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไป มันอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่พี่ก็อยากได้คำตอบจริงๆ”
“เยบโป้! เฮียแกจะทำอะไรวะ แล้วบอกน้องคนหนึ่งน้องคนไหนวะมึง” ไอ้เพียวโผล่มายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
“กูก็ไม่รู้เหมือนกับมึงนั่นแหละ”
~ด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยรับรู้
ได้เจอสักเท่าไหร่ แต่เหมือนไกลๆ ห่างกัน
ได้แค่มองหน้าเธอ ทำได้เพียงแค่นั้น
หัวใจที่แอบฝัน อยู่ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว
หากเธอรู้ใจ หากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า
ก็ไม่รู้เลย แต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว~
“เชี่ย หน้าอย่างเฮียแกยังต้องร้องเพลงขอความรักอีกเหรอวะ ไอ้ทิวมึงว่าใครคือสาวลึบลับคนนั้นวะ”
“ไม่รู้ดิ” ผมพยายามมองตามสายตาของพี่โมกข์ไปในหมู่คนดู ก่อนจะสบเข้ากับสายตาของพี่มะเหมี่ยวเจ้าของกุหลาบช่อโตที่อยู่ในมือผม
พี่มะเหมี่ยวยิ้มกว้างพลางโบกไม้โบกมือ ผมจึงได้แต่คร่อมศีรษะตอบกลับไปและรีบหันหน้าไปทางเวที จนเพลงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย พี่โมกข์หันมาทางที่ผมกับเพื่อนๆ ยืนอยู่ และผมคิดว่าพี่แกกำลังยักคิ้วเหยาะเย้ย ที่ผมเคยไปสบประมาทเรื่องที่ว่าแกก็คงจะเสียงเพี้ยนไม่ต่างกัน
~อยากให้หันมาหน่อย อยากให้มองหน้ากัน
ถ้าเธอไม่หวั่นไหว กับสายตาคนอย่างฉัน
ไม่บังคับใจเธอ หากเจอคนที่ฝัน
หวังเพียงใครคนนั้นจะใกล้เคียงคนอย่างฉัน
หากเธอรู้ใจหากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า
ก็ไม่รู้เลยแต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว
แค่อยากรู้รังเกียจกันไหม ขอให้มันอย่าเป็นแบบนั้นเลย
อยากได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคย อยากจะเจอคนเดิมที่เคยที่เจอในเมื่อวาน
หากพรุ่งนี้ทุกอย่างหมุนไป ฉันคนหนึ่งจะยืนตรงที่เก่า
อยู่เพื่อบอกเธอคำที่ค้างใจ ต่อให้มันจะไม่ วันจะจริงเลยก็ตามอยากให้รู้ว่ารักเธอ~
“เชี่ย!!” ไอ้เพียวสบถออกมาเสียงดังซะจนผมตกใจว่าเผลอมีใครเดินไปเหยียบหางมันเข้าหรืออย่างไร พอหันไปมองก็เห็นว่ามันกำลังชี้นิ้วที่กำลังสั่นเทามาตรงหน้า
“เป็นอะไรของมึง ร้องซะดังลั่น”
“มึง....คือ.....หนึ่ง....”
"มึงว่าอะไรนะกูไม่ได้ยิน เสียงกรี๊ดแม่งดังจนหูกูอื้อไปหมดแล้วนี่"
จากนั้นมันก็เอาแต่พึมพำไม่ได้ศัพท์ พอการแสดงจบลง เพียวก็ถูกเรียกตัวขึ้นไปเพื่อรับดอกกุหลาบเป็นครั้งสุดท้ายบนเวที สรุปก็เลยไม่ได้รู้เรื่องกันส่วนผมก็รอจนคนเริ่มซาจึงเดินไปที่หน้าเวทีบ้าง
“พี่โมกข์!” ผมเรียกพร้อมกับยื่นกุหลาบแดงที่เหลืออยู่ในมือไปให้
“ให้เหรอ?”
“สิบบาท” ผมพูดด้วยหน้าตาจริงจังพร้อมทั้งแบมือคอยท่า อีกฝ่ายจึงล้วงเอากระเป๋าเงินของตัวเองมายัดใส่ในมือด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกัน “เฮ้ย! ..ล้อเล่น”
“ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวถ้าชนะจะพาไปเลี้ยง”
“หมดตูดแน่พี่ เพราะดูจากดอกกุหลาบในมือแล้ว ไม่มีทางไม่ชนะ” ว่าที่เจ้ามือในอนาคตหัวเราะก่อนจะหิ้วตะกร้าใส่กุหลาบเดินตามเพื่อนไปด้านหลังเวที
ถึงแม้วงพี่โมกข์จะพลาดที่หนึ่งในการประกวด แต่รางวัลป๊อปปูล่าโหวตก็ตกเป็นของวงพี่แกด้วยคะแนนท่วมท้น ผมจึงได้มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่หน้าเตาหมูกระทะตามสัญญา
“น้องทิว ชอบดอกกุหลาบที่ฝากไปให้ไหมคะ” พี่มะเหมี่ยวที่นั่งอยู่ตรงข้ามถามขึ้นขณะที่ผมกำลังคีบหมูสามชั้นชิ้นแรกเข้าปาก
บางครั้งก็ควรจะบอกก่อนว่าขนกันมาทั้งห้องขนาดนี้ ผมจะได้เลือกไปกับไอ้เพียวแทน
“เอ่อ...ก็สวยดีนะครับ”
“เห็นโมกข์บอกว่าน้องทิวไม่ถูกโรคกับช็อกโกแลต ถ้าได้ไปก็คงไม่ได้กินแน่ ไหนๆ มันก็เป็นวันวาเลนไทน์นี่เนอะ พี่ก็เลยคิดว่าให้เป็นดอกไม้น่าจะดีกว่า หวังว่าจะชอบนะคะ”
“อ่า..ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มพร้อมกับคิดว่าตอนนี้ควรจะต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นหมูกระทะมื้อนี้คงกร่อยน่าดู
"พี่โมกข์! " ผมหันไปเรียกคนที่เพิ่งจะกลับมาจากห้องน้ำ "เพลงที่ร้องบนเวทีอ่ะ..” ฉับพลันที่ผมเปล่งคำถามความวุ่นวายและเสียงจอแจที่ดังรอบตัวก็พลันเงียบงัน จนผมต้องต้องหันไปมอง การเคลื่อนไหวถึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ว่า?”
“พี่ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าร้องเพลงเพราะ เออแล้วเพลงที่ร้องอ่ะ พี่จะถามน้องคนไหน ผมรู้จักปะ”
“รู้ดิ”
“อ้าวใครอ่ะ เพื่อนผมปะ หรือว่าคนอื่น แต่เอาจริงๆนะ ในฐานะที่ผมเป็นน้องและจะไม่อวยพี่ ผมว่าไอ้การเลือกร้องเพลงบอกรักในวันวาเลนไทน์ แม่งโคตรเสี่ยว คิดได้ไง ไม่น่าเชื่อเลยอ่ะว่าพี่จะทำ จบกันภาพลักษณ์ อย่าไปบอกใครนะว่ารู้จักผมอ่ะ”
ดูท่าประโยคที่ผมพูดจะถูกใจคนอื่นๆในโต๊ะ ถึงได้เกิดเสียงฮายกใหญ่
ส่วนคนเสี่ยวข้างตัวก็สำลักน้ำก่อนจะชูนิ้วกลางไปที่พี่เบิร์ดและสบถเบาๆ
“สัดเพราะมึงเลย”
“พี่เบิร์ดเป็นคนคิดเหรอ โอ๊ยเชื่อคนง่ายนะเรา” ผมว่าพลางตบบ่าให้กำลังใจ
“เออกูน้อมรับผิด งั้นกูถามหน่อยถ้ามึงจะสารภาพรัก แบบไหนเวิร์คสำหรับมึงวะไอ้ทิว”
“โหพี่ยากโคตร คิดไม่ออกเลย แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ร้องเพลงขอความรักอ่ะ”
“อ่ะ” คนเสี่ยวข้างตัวยื่นส้อมมาให้ “แทงกูให้ตาย”
จากนั้นเสียงฮาก็กลับมาอีกรอบ แล้วบทสนทนาในโต๊ะก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น กว่าจะกินกันเสร็จและได้เวลาแยกย้าย ก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ในขณะที่รุ่นพี่คนอื่นเลือกจะกลับรถแท็กซี่ เพราะหลายๆคนอยู่ใกล้เคียงกัน ผมกับพี่โมกข์คือสองคนที่เลือกจะดินไปขึ้นรถไฟฟ้า
“พี่โมกข์แล้วสรุปว่าสำเร็จไหม น้องคนนั้นเขาตอบว่าไงเหรอ”ผมถามหลังจากเดินกันมาได้สักพัก
“ท่าทางจะแป๊ก เพราะดูท่าเขาจะไม่ชอบ”
“โหกอดนะ โอ๋เอ๋ๆ เดี๋ยวพี่ก็จะต้องไปเจอคนใหม่ๆที่มหาลัย กว่าจะเจอคนที่ใช่คนเรามันก็ต้องอกหักกันทั้งนั้นแหละ” ผมพยายามปลอบคนข้างตัว
“แต่คนนี้กูรักจริงๆ” แม่งเอ๊ยอย่าตบปากตัวเองฉิบหาย ไม่น่าไปแซวเลยโว้ย รู้สึกผิดไปหมดแล้ว
“ผมล้อเล่นนะ ไอ้เรื่องที่บอกว่าเพลงมันเสี่ยว พี่ได้ถามเขาต่อหน้ายัง ตอนที่พี่ร้องพี่ได้มองหน้าเขาเปล่า เขามีปฎิกริยายังไง”
“มอง”
“แล้ว?”
“ก็ดูปกติ”
“อ้าว แล้วสรุปคืออะไร เขารู้ตัวไหมว่าพี่หมายถึงเขา หลังจากลงเวทีพี่ได้เดินไปบอกเขายัง แบบต่อหน้าอะ ผมเริ่มจะงงแล้วนะเนี่ย”
“เหมือนจะยังไม่รู้ตัว”
“เอ้า ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ไม่แป๊กดิ พี่ยังไม่ถามเขาตรงๆเลย เรื่องแบบนี้ใครเขาคิดเองเออเองกัน ผมว่าพี่ดีขนาดนี้ถ้าเขาปฏิเสธก็บ้าแล้ว”
“ทิว”
“ว่า?”
“ชอบกุหลาบไหม” ผมงงเลยอยู่ๆก็โดนเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว
“ช่อนี้น่ะเหรอ” พอเห็นว่าพี่แกพยักหน้าก็เลยต้องตอบตามความจริง “ไม่อ่ะ พี่ห้ามไปบอกพี่มะเหมี่ยวนะ เดี๋ยวเขาเสียใจ อีกอย่างช่อนี้คงแพงน่าดู”
“ไม่เท่าไรหรอก”
“พี่ก็อยู่เหรอตอนที่ซื้อ โหพี่น่าจะกริ๊งกร๊างมาหาผมก่อน จะได้บอกว่าไม่ต้องซื้อ รู้ปะผมโดนแซวหนักมากเลย ว่าแต่ทำไมถึงซื้อ คือชอบผมเหรอ ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันเลยนี่นะ”
“ทำไมถึงคิดว่ามะเหมี่ยวเป็นคนซื้อ”
“เอ้า ก็พี่มะเหมี่ยวฝากกุหลาบกับต้องมาให้ผมนี่ สรุปคืออะไร ผมเริ่มงงละนะ”
ผมหันไปมองหวังจะได้คำตอบ แต่ได้รับเพียงความเงียบและอยู่ๆพี่แกก็หยุดเดินเอาซะดื้อๆ ก่อนจะค่อยๆหันมาเผชิญหน้า ท่าทีแปลกตาของคนตรงหน้าเล่นเอาทำผมเกร็งไปไม่น้อย
“ทิว” นี่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ พี่มันดูจริงจังเกินไป
“ว่าไง”
“ในหัวกูตอนนี้แม่งมีเรื่องให้คิดเยอะไปหมด ทั้งเรื่องสอบ เรื่องเรียนต่อ”
“เห้ย พี่ต้องทำได้อยู่แล้ว พี่เก่งจะตาย” ผมไม่อวยเกินจริง เพราะอย่างที่รู้ผมก็ไปอาศัยให้พี่โมกข์ติวให้อยู่บ่อยๆ
“แต่เอาจริงๆเรื่องพวกนั้นแม่งไม่ใช่ปัญหา เพราะกูคิดว่ากูตั้งใจเรียนมากพออยู่แล้ว” นั่นไง
“เอ้าแล้วพี่กังวลอะไรอะ”
“มึงต้องคิดว่ามันงี่เง่าแน่นอน”
“อย่าตัดสินผมดิ ก็ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ ผมไม่คิดว่ามันงี่เง่าหรอก ระบายมาเลย ผมพร้อมรับฟังนะ”
“กูคิดไม่ตกเรื่องมึง”
“เรื่องผม?”
“กูไม่รู้จะเริ่มยังไง สิ่งที่ทำวันนี้ทั้งหมด ทั้งดอกกุหลาบเอ่ย ทั้งร้องเพลงบอกความในใจเอ่ย ก็ไอ้ห่าเบิร์ดกับมะเหมี่ยวนั่นแหละที่ยุยงส่งเสริม มันบอกว่าดีกูก็เลยลองดู แต่มันดันเฟล”
“ดอกกุหลาบ?”
“เออช่อนี่แหละ มะเหมี่ยวมันแนะนำ ซื้อมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็มึงไม่ชอบช็อคโกแลตนี่ มะเหมี่ยวมันก็เลยบอกว่าให้ซื้อเป็นกุหลาบแทน กูก็ดันเชื่ออีก แล้วดูดิ”
“พี่เป็นคนซื้อเหรอ”
“ใช่ไง งงอะไรวะ”
“เดี๋ยวๆๆๆ ทำไมต้องให้ผมอ่ะ”
“ก็วาเลนไทน์ไง”
“แล้ว?”
“กูแม่งโง่ฉิบหายเลย ทั้งๆที่รู้จักมึงดีกว่าพวกมันทั้งหมดด้วยซ้ำ กูน่าฉุกคิดสักนิด ว่ามึงต้อง..”
“เดี๋ยวนะ สรุปว่าผมคือน้องคนหนึ่งคนนั้นเหรอ”
“อืม ตลกอะดิ เอาจริงๆคือกูก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน จนพวกไอ้เบิร์ดมันมาจุดประกาย รู้ตัวอีกทีกูก็เอาแต่คิดเรื่องมึง สุดท้ายมันเป็นแบบที่มึงได้เห็น น่าขายหน้าฉิบหาย นี่ดีนะที่กูแคนเซิลแผนอื่นไปบ้างแล้ว”
“มีแผนอื่นอีกเหรอ”
“เออ” พี่มันล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาไถหน้าจอสักพักก่อนยื่นมาให้ผมดู “ไหนๆแม่งก็ไม่สำเร็จอยู่แล้ว มึงเอาไปดูเลย” ก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง
บนหน้าจอแสดงรูปถ่ายกระดานดำที่มีหัวข้อที่ชวนขำ
‘ปฏิบัติการสารภาพรักฉบับท่านประธาน’
“โห ใครคิดหัวข้อเนี่ย”
“ไอ้เบิร์ด”
“ผมนึกสภาพพี่ทำข้อสี่ไม่ออกเลย”
“กูแคนเซิลข้อแรกเลย แผนแม่งงี่เง่าฉิบหาย”
“แต่ข้อเจ็ดน่าสนใจ”
“จริงดิ”
“อืม ดูง่ายๆดี ไม่ยุ่งยาก ผมว่าบางครั้งความรักมันก็ไม่น่าจะต้องยากขนาดนั้นเปล่า แต่ข้ออื่นไม่ไหวจริงๆ นึกไม่ถึงพี่เบิร์ดนี่แม่งเสี่ยวตัวพ่อ”
“ทิว”
“ว่า?”
“ลองมาคบกันดูไหม”
“กำลังทำข้อเจ็ดอยู่เหรอ”
“อืม ก็มึงแนะนำ เผื่อจะเวิร์ค”
“พี่เอาจริงดิ”
“อืม แล้วว่าไง”
“เอาจริงๆนะ ก็ถ้าพี่มาปรึกษาผมแต่แรกก็สำเร็จไปนานแล้ว”
"สรุปคือ ตกลง"
"ยังอ่ะ อยากเห็นพี่ทำข้อสี่ให้ดูก่อน"
"ได้ มึงเตรียมตัวไว้เลย"
"จะรอนะจ๊ะ" พูดเสร็จผมก็ยื่นโทรศัพท์คืนพี่มันก่อนจะหนีขึ้นบันไดเลื่อน แค่คิดก็ขำแล้ว พี่โมกข์กับการเต้นแฟลชม๊อบ(Flash mob) นี่นะ พี่เบิร์ดแม่งคิดได้ไงวะ โคตรอัจฉริยะ
End..
เรื่องสั้นงงๆที่แต่งไม่ทันวาเลนไทน์ เลยเอามาลงวันสงกรานต์แทน
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ