= 9 =
“มันจะเป็นไรไปหละ แค่นี้เอง”
“ไม่ครับ ผมไม่อยากเป็นขี้ปากใคร”
บทสนทนาของเราในเช้าวันนี้คือเรื่องการไปทำงานครับ ไอ้กระป๋องคู่ใจของผมเข้าอู่อีกแล้ว มันอยู่ในอู่มากกว่าอยู่กับผมซะอีก และผมก็เจอคนงอแงหนึ่งอัตราตรงนี้
“ไม่เห็นจะสนใจเลย ทำไมนายต้องสนใจคนอื่นด้วย”
“แค่นี้ผมก็ถูกจับตามองทุกย่างก้าวแล้วครับ”
“เฮ้อ....” ถอนหายใจพลางมองแก้วกาแฟที่ผมเพิ่งวางไว้ให้ พร้อมกับอาหารเช้าแบบง่ายๆ
“ขับรถดีๆ นะครับ คุณขับรถเร็วเกินไปนะ ช่วงนี้” พอเห็นอีกคนไม่มีข้อโต้แย้งผมก็เหมาเอาเองว่าเขาโอเคแล้ว
“ซุ่มซ่ามแบบนายข้ามถนนรถจะชนเอา ไปด้วยกันแล้วจอดให้ลงหน้าบริษัทก็ได้” พูดไปก็หยิบกาแฟขึ้นดื่มไปด้วย
“ระวังนะครับ มันร้อน” ได้ยินเสียงเป่ากาแฟดังพรู่ “คุณก็ส่งลุงยามไปอบรมมาแล้วนี่ครับ”
“เมื่อไรฉันจะชนะนาย”
“คุณเป็นเด็กต้องแพ้ผู้ใหญ่อย่างผมอยู่แล้ว” ผมถอดผ้ากันเปื้อนพาดกับพนักเก้าอี้โต๊ะกินข้าวก่อนที่คว้าเอาเสื้อสูทกับกระเป๋าเอกสารเดินออกจากห้องครัว
“ระวังด้วยนะตัวเปี๊ยก” เสียงทุ้มตะโกนไล่หลัง เขาไม่ได้หันมามองหรือเดินมาส่งที่หน้าประตู ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วหละ เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นคงได้เห็นแก้มแดงๆ ของผมแน่
เราไม่ได้พูดถึงเรื่องคุณเอมมี่อีก นั้นคือข้อเสียของผม ผมแค่รู้ว่าคุณเอมมี่คืนแฟนเก่าและพ่อคุณเอมมี่มีหุ้นส่วนอยู่กับอีกบริษัทที่อยู่ในเครือ ถึงแม้คุณเกียรติ พ่อของคุณซี จะไม่ได้ซีเรียสเรื่องคบหรือเรื่องเลิก แต่การถือหุ้นถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์มันก็มีผล
ผมลงจากแท็กซี่แล้วมองลุงยามกับนกหวีดอันใหม่ของแก ถึงจะดูไม่แก่เท่าไรแต่ใครๆ ที่นี่ก็เรียกแกติดปากว่าลุงไปหมดแล้ว ลุงยามถูกส่งไปอบรมเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะว่าหน้าบริษัทมีอุบัติเหตุบ่อยครั้งถึงแม้จะไม่ร้ายแรงอะไร แต่เจ้านายคนใหม่ของ บริษัท เค ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ไม่เห็นสมควร
อาทิตย์ที่แล้ว มีคนโดนรถเฉี่ยวหัวเข่าถลอก เดือนก่อนก็มีมอเตอร์ไซด์เบียดกับรถของพนักงาน ผ่านไปสามวัน ลุงยามแกก็กลับมาด้วยหน้าแช่มชื่น พร้อมกับพูดว่า “นี่พายุ ลุงจะไม่ให้มีใครเจออุบัติเหตุหน้าบริษัทเราอีก เชื่อมือลุงเลย” พร้อมกับยกกำปั้นทุบลงหัวใจเบาๆ ลุงแกมีลูกหลงเล็กๆ ยัยหนูนุ่มนิ่ม ตัวนิ่มสมชื่อ เมื่อก่อนติดพี่พายุแจแต่ตอนนี้ เพื่อนตัวน้อยที่โรงเรียนอนุบาลก็ได้ใจยัยหนูไปเต็มๆ ไม่เหลือที่ให้พี่พายุอีกแล้ว เห็นท่าทางที่แกโบกไม้โบกมือแล้ว ก็กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ผมชูถุงน้ำเต้าหู้ที่มีในมือให้แกดู แกก็พนักหน้ารับพร้อมกับส่งสัญญาณมือห้ามไม่ให้ผมข้ามไป
“อย่าเพิ่งนะพายุ” แกตะโกนข้ามฝั่งมา “รถพวกนี้นี่ทางม้าลายแท้ๆ ไม่ชะลอกันเลย” บ่นงึมงำคิ้วขมวดยุ่ง
“มาเลย มาเลย ทางโล้งแล้ว”
แกตะโกนมาจากอีกฝั่งของถนน แต่ยังก้าวข้ามถนนไปไม่ถึงดี มอเตอร์ไซด์ที่ออกมาจากซอยเล็กอีกฝั่งของถนนก็โผล่พรวดออกมาตัดหน้ารถยนต์ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ รถยนต์หักหลบ เหมือนจะพุ่งมาทางผม ‘ไอ้ยุคงได้ตายวันนี้’ นั่นคือสิ่งเดียวที่โผล่ขึ้นในหัวผม กับเสียงปี้ดๆ ของนกหวีดลุงยาม ในขณะที่ผมรู้สึกถึงแรงปะทะที่เข้ามา กับภาพหน้ารถที่ดูจะเลือนไปก็ได้ยินเสียง เสียงของเขาที่ก้องในหู “ตัวเปี๊ยก!!”
ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของลุงยาม แล้วคนที่ยืนมองอยู่นั่นก็คุณศิริวัฒน์ ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อศอก พอเหลือบตามองเสื้อเชิ้ตแขนยาวของผม ตรงข้อศอกมันก็ขาดวิ่นเป็นรูใหญ่ นั้นอาจเป็นเพราะแรงไถลที่ลุงยามคงพยายามช่วยผมให้พ้นจากวิถีของรถที่วิ่งมา สีหน้าของคนที่ยืนมองอยู่ไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าเขาห่วง ห่วงมาก และก็คงโกรธมากเช่นกัน คำพูดของเขาเมื่อเช้ามันวนในหัวผม ‘ระวังด้วยนะ’ แต่สายตาที่เขาส่งมามันทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ ผมพยุงตัวเองขึ้นในขณะที่ลุงยามก็ทำเช่นกัน แต่ผมกับรู้สึกหน้ามืด พอจับที่หัวก็รู้สึกว่ามีแผลอยู่นิดหน่อย น่าจะกระแทกตอนที่ลุงยามมาช่วยไว้ พอผมตั้งตัวได้แขนนั้นก็โอบไหล่ของผมไว้แล้ว
“ผมไม่เป็นไร นิดหน่อยเองครับ”
เขาเหลือบลงมามองผม มือใหญ่นั้นแตะเลือดที่ไหลซึมออกมาจากแผลที่หัว จากนั้นก็ผละมามองที่ข้อศอก เขาไม่พูดอะไรสักคำ มันยิ่งทำให้ผมกลัวมากกว่าเดิมซะอีก ถ้าเขาพูดต่อว่าอะไรผมบ้างผมคงรู้สึกดีกว่านี้ สายตาที่มองผม กับสายตาที่มองลุงยาม มันต่างกันสิ้นดี บางทีผมก็ไม่อยากคิดอะไรเลย ผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิด
“ผมขอโทษครับนาย” ลุงยามเอ่ยปากออกมาทันทีที่คุณซีจ้องหน้าแกเขม่ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ลุงไปทำแผลเถอะครับ”
“ผมไล่คุณออก” ลุงยามยังไม่ทันที่จะพนักหน้ารับ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ โพล่งพูดขึ้นมาซะก่อน พูดในสิ่งที่ผมกลัวจนได้
“แต่นายครับ ผมดูดีแล้วนะครับ ถนนไม่มีรถแล้วจริงๆ ตอนที่พายุจะข้ามมา”
“นั่นสิ ผมก็ดูอยู่นะครับ” ผมดึงปลายเสื้อสูทของคนที่ยื่นอยู่ข้างๆ แรงสะกิดของผมทำให้เขาปรายตาลงมามองแล้วกระชับอ้อมกอดเข้าไปอีก นี่ถ้าลุงยามโดนไล่ออกมันก็เป็นความผิดของผม ผมคงรู้สึกผิดไปอีกนาน
“ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก”
“เดี๋ยวก่อนคุณ เรื่องแบบนี้ใครจะอยากให้เกิดขึ้น อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ” ผมพยายามใช้เสียงที่อ่อนลงให้เขาได้เห็นใจ หรือไม่ก็เห็นแก่ผมบ้าง
“นายเกือบตายนะ ฉันบอกแล้วใช่ไหมให้ระวัง บอกว่าให้มาด้วยกัน มันเป็นเพราะความดื้อของนาย” เขาตะโกนใส่หน้าผม แววตาที่โกรธเกรี้ยวนั้น ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่มุงดูอุบัติเหตุก็ว่าเยอะพอตัวอยู่แล้ว แต่เสียงตะโกนของเขายิ่งเรียกความสนใจของพนักงาน ก็มันใกล้เวลาเข้างานไปทุกทีแล้ว ไม่แปลกที่ชั้นล่างจะมีคนเยอะขนาดนี้
“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะหายไปจากตรงนี้ คุณซีกระชับแขนแกร่งที่โอบกอดผมไว้ แน่นเข้าไปอีก
“แล้วนั่นอะไร” ถึงน้ำเสียงจะอ่อนลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้นเลย เขาเหลือบมองดูข้อศอกของผมที่เอามืออีกข้างกุมไว้
“ถ้าคุณไล่ลุงออก แล้วเมียแกลูกแกจะอยู่ยังไงครับ ลูกแกเพิ่งจะเข้าโรงเรียน แล้วลุงแกก็แก่แล้วจะไปหางานเงินเดือนแบบนี้ได้จากที่ไหน คุณซีครับ” ผมส่งสายตาอ้อนวอนไปที่เขาในมือก็ยังกำชายเสื้อสูทไม่ปล่อย
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม” คุณซีพูดจบก็เสหน้ามองไปอีกทาง ผมไม่คิดเลยว่าคำพูดเย็นชาแบบนี้จะออกมาจากปากของเขา คนที่ผมอยู่ด้วยและคิดว่าเขาคือคนดี แต่คำพูดของเขาเมื่อกี้ ผมบอกตรงๆ เลยครับ ว่าผมผิดหวัง
“คุณเย็นชาเกินไปแล้วนะครับ” ผมขยับตัวออกจากแขนแกร่งที่โอบไหล่ผมไว้ ข้ามฝั่งถนนเพื่อเดินเข้าบริษัท ให้ผมอยู่ตรงนี้คงไม่ไหว ผมโกรธจริงๆ เขาดูไร้เหตุผล ลุงแกเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้ใครบาดเจ็บรวมทั้งตัวแกเองด้วย
“พายุ!!!” เจ้านายคนใหม่กระแทกเสียงลงต่อหน้าผม แถมยังมีคนอื่นๆที่มองดูเหตุการ์ณอยู่อีก ผมพ่นลมหายใจตามมาด้วยเสียงกระแทกเท้า ถึงมันจะไม่ได้ดังสักเท่าไร แต่ก็ทำให้อารมณ์ที่พุ่งพล่านของคนตรงหน้า เดือดดาลเพิ่มขึ้นอีก
“พายุ หยุดเดียวนี้นะ” เขาตะโกนชื่อของผมตามหลังมา ผมได้ยินชัด แต่ผมจะหยุดเพื่อหันไปฟังคนที่ไร้มนุษยธรรมและความเห็นใจแบบนั้นหรอ ผมคงไม่ทำ
“พายุ มาคุยให้รู้เรื่อง หยุดเดี๋ยวนี้นะตัวเปี๊ยก” สรรพนามที่เคยเอ่ยเรียกกันแค่สองคนถูกพ่นออกมา ทันทีที่สองหูผมได้ยิน ก็อดที่จะมองรอบข้างไม่ได้ หลายคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ คงสงสัยในสรรพนามที่เจ้านายคนใหม่ของผมเอ่ยเรียก
“พูดจาแบบนั้นแล้วยังกล้าส่งสายตาแบบนั้นมาอีก ชักจะเอาใหญ่แล้ว” ประโยคถัดมาตะโกนตามหลังให้ได้ยิน หลังจากที่ผมส่งสายตาไม่พอใจไปให้
************************************************************************************
หลังจากที่พายุ งอนผมเดินหายไป ผมปล่อยให้เจ้าหน้าที่เคลียร์เรื่องหน้าบริษัทให้เรียบร้อยแล้วออกตามหาตัวแสบ สายตาแบบนั้นผมเกลียดจนแทบทนไม่ได้ให้ตายเถอะ ใครกันแน่นะที่เย็นชา
ลุงยามที่ยังเดินตามมาขอโทษขอโพยผมไม่หยุด ผมไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แต่ผมโกรธจริงๆ โกรธจนไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็พูดกันอยู่หยกๆ ว่าให้ระวังรถ แต่ก็ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
“ลุงไปก่อนเถอะครับ”
“แต่…. นายอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ” แกยืนค้อมหัวอยู่ต่อหน้า ก้มหน้าก้มตา ผมรู้ว่าแกก็คงไม่อยากให้เกิดรวมถึงผมด้วย ถึงได้ส่งแกไปอบรม ไม่ว่าจะเกิดกับใครผมก็ไม่ชอบทั้งนั้น แต่นี่ดันมาเกิดกับเขาผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก
“เอาจริงๆนะ ตอนนี้ผมหงุดหงิดแล้วก็โกรธมาก ผมไม่มีความคิดวิเคราะห์ใดๆเลย ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”
“ครับ” แกทำหน้าไม่สู้ดีแต่ก็ยังไม่เดินไป
“ไปทำแผลเถอะ ถ้าหมอนั่นเป็นอะไรมากกว่านี้ ผมคงไม่ยืนคุยกับลุงแบบนี้แน่”
ผมไม่เห็นคนที่ต้องการพบมากที่สุดตอนนี้ ระหว่างทางจากชั้นล่างขึ้นมา ผมรู้ว่ามีคนกระซิบกระซาบกันมาตลอดทาง และผมก็รู้อีกว่าที่พายุโกรธผม นอกจากเรื่องที่ลั่นปากว่าจะไล่ลุงยามออกแล้วก็คงเป็นเรื่องนี้อีกเรื่อง เรื่องที่ผมตะโกนเรียกเขาด้วยสรรพนามนั้น “อย่าให้ใครรู้เลยครับผมไม่อยากเป็นขี้ปากใคร” แต่ผมโมโหนิครับ ถ้าออกมาด้วยกันก็ไม่ต้องเจอแบบนี้ สนใจแต่คนอื่น โดยไม่สนใจผมเลยว่าจะรู้สึกยังไง ถ้าเขาต้องเป็นอะไรไป
“คุณปริม พายุไปไหน” คุณปริมเงยหน้าจากกองเอกสาร ส่งสายตารำคาญมาให้ ก็เธอยังโกรธผมเรื่องเอมมี่อยู่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา
“ยุ ไปช่วยงานตึกโน้น คุณซีมีอะไรคะ บอกพี่ก็ได้พี่ทำให้” คุณปริม พูดพลางก้มลงไปสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ
“ไปทำไม ตึกโน้นมีอะไร แล้วนี่เขาทำแผลแล้วหรอครับ ไปทั้งที่สภาพตัวเองเป็นแบบนั้นอะนะ” ผมเค้นเสียง จะไม่ให้โมโหได้ยังไงก็ดูเอาแขนก็เจ็บหัวก็แตก แล้วนี่โทรไปก็ไม่รับ ชักกล้าดีมากขึ้นทุกวัน นี่เขาไม่แคร์ผมเลยสักนิดซินะ
“คุณซีไปทำอะไรมาหละคะ ยุถึงได้ไม่อยากเห็นหน้า” คุณปริมพูดโดยทีไม่เงยหน้ามามองผม ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยปิดความรู้สึกกับคุณปริมได้แม้แต่เรื่องเดียว มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว
“เอ่อ คือผม” คุณปริมเงยหน้ามองผมอย่างสงสัย
“ว่าไงคะ อยากให้พี่ทำอะไร”
“คุณปริมตามพายุมาได้ไหมครับ นะครับ ผมไม่อยากทะเลาะกับเขาแล้ว” เพราะผมรู้สึกว่าเราทะเลาะกันบ่อยเกินไปแล้ว ตั้งแต่เรื่องแพร เรื่องเอมมี่
“แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาหละคะ” ท่าทางของคนขี้แกล้งทำให้ผมต้องยอมคุณปริมทุกอย่างแล้วครับ ได้ทีแล้วนี่
“จะขู่ยังไงก็ได้ครับ นะครับ นะครับพี่ปริม” ผมตัดสินใจใช้สรรพนามที่เคยเรียกคุณปริมก่อนหน้านี้ เผื่อคุณปริมจะหายโกรธ ผมเผยรอยยิ้มออกมาทันทีที่เห็นคุณปริมหยิบมือถือออกมาจากในลิ้นชัก แต่ก็เหมือนเดิม เขาไม่รับโทรศัพท์แม้กระทั่งของคุณปริม
“เจน พายุอยู่ไหม คุณศิริวัฒน์ ต้องการพบด่วน”
“ยุ คุณซีต้องการพบยุด่วนเลย ไม่ต้องให้พี่อธิบายนะว่าทางนี้เป็นยังไงบ้าง”
“อื่ม รีบมาหละ พี่เบื่อหน้าคุณซีแย่แล้ว มารับหน้าเขาแทนพี่หน่อย”
“เขาต้องว่าผมบ้าอำนาจแน่ๆ” ผมถามคนที่เพิ่งวางโทรศัพท์ ด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสะใจมาก
“คุณซีนี่รู้ใจยุนะคะ ห้านาทีค่ะ เดี๋ยวมา” คุณปริมพูด และแถมด้วยหัวเราะเล็กๆ อยู่ในลำคอ สะใจเขาหละ
********************************************************************************
“ยุ ไปเร็วๆ เลย ทะเลาะอะไรกันเนี้ย” พี่ปริม เลขาส่วนตัวคุณซี หน้าบูดบึ้ง หลังจากที่เล่าให้ฟังว่าโดนอะไรเหวี่ยงออกมาบ้าง ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กแบบนี้
ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมว่าตอนนี้อารมณ์คงเย็นลงแล้ว ผมรู้ครับว่าที่เขาโกรธก็เพราะห่วงทำไมผมจะไม่รู้ แต่การที่ไล่คนๆ หนึ่งออกเพราะเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดแบบนี้มันไม่ยุติธรรม แล้วอีกอย่างลุงยามแกก็เป็นคนช่วยผมไว้
“ผมบอกแล้วนี่ครับว่าถ้าไม่ใช่พายุก็ออกไปก่อน” เขาพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้ามามองสักนิดว่าใครเป็นคนที่เดินเข้ามา ใช้ฝ่ามือพยุงหัวตัวเองเอาไว้ แถมนิ้วเรียวยาวนั้นก็เคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะชวนน่ารำคาญ
“งั้นผมไปนะครับ” เขาเงยหน้ามองผมแต่กลับไม่พูดอะไร รอยยิ้มเหมือนจะดีใจในทีแรก ก็หุบลงทันทีที่ไม่ได้รับรอยยิ้มกลับจากผม เราจ้องตากันประหนึ่งว่าเล่นเกมส์ใครเผลอกระพริบตาก่อนคนนั้นต้องแพ้
“ไหนบอกอยากพบผม ถ้าไม่มีอะไรพูด ผมไปนะครับ” ผมหันหลังกลับ ถ้าไม่มีอะไรคุยมันก็เปล่าประโยชน์ที่ผมจะต้องอยู่ตรงนี้ เผลอๆ จะพาลใจอ่อนหายโกรธเอาดื้อๆ
“ตัวเปี๊ยก” เอาอีกแล้วเรียกแบบนี้อีกแล้ว ทั้งๆผมบอกหลายทีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าเวลาที่ได้ยินแบบนี้ น้ำเสียงที่เหมือนจะอ้อนวอนนั้น มันทำให้ขาแข้งอ่อนยวบจริงๆครับ คงมีแต่ใจที่เต้นแรงทุกๆ ครั้งที่ได้ยิน ผมหันหลังกลับไปมองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง
“ทำไมทำตัวเป็นเด็กแบบนี้หละครับ มีอย่างที่ไหน เที่ยวไล่คนนั้นคนนี้ออกไปทั่ว บ้าอำนาจหรอครับ”
“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะนายน่ะ”
“ไว้คุณใจเย็นก่อน แล้วค่อยมาคุยกันผมว่าตอนนั้นเราน่าจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า”
“ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะใครหละ” เขาตะโกนสุดเสียง ลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะด้วยกำปั้น อารมณ์แบบนี้ไม่ต่างจากตอนที่ไปลากผมมาจากแผนกการตลาด คงคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ เอาเถอะ ผมไม่อยากคุยตอนที่เขากำลังร้อน
“ ไม่คุยแล้วนะครับ ไร้สาระ แล้วก็ดูเด็กมากจริงๆ ถ้าคุณยังยืนยันจะไล่ลุงยามออก ผมก็ทำอะไรไม่ได้ พนักงานตัวเล็กๆ แบบผม คงทำได้แค่นี้แหละ แต่ลองนึกในมุมกลับกันบ้างก็ดีนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปทำงาน” เขาไม่พูดอะไรจ้องผมตาเขม่ง พอกันทีครับ ผมเหนื่อยที่จะต้องคุยอะไรกับเขาแล้ว
“วันนี้ผมขอไม่กลับคอนโดนะครับ มันคงไม่ดีถ้าคุณยังแบบนี้” ผมกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นอยู่แล้วถ้าไม่ใช่….. แรงกอดโถมทั้งตัวจากด้านหลังของผม ผมก้มลงมองแขนแกร่งที่ตอนนี้กอดผมไว้แน่น
“นี่ฉันไม่ชัดเจนอีกใช่ไหม”
“.........” เรื่องอะไรหละครับ ไม่เคยพูดอะไรเลย จะให้ผมคิดเองคนเดียวไปถึงไหนกัน
“ทำไมต้องบอกว่าจะไม่กลับมานอนห้องด้วย ร้ายกาจไปแล้วนะ”
“........” เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่ครับ ถึงแม้แต่ตอนที่คุณกอดผมอยู่ ผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี
“ลุงยามคนนั้น มีความสำคัญถึงขนาดที่ทำให้นายทำกับฉันแบบนี้เลยหรอ”
“........” ถ้าคุณไม่สำคัญใจของผมคงไม่สั่นอยู่แบบนี้
“ตัวเปี๊ยก พูดอะไรบ้าง ฉันอึดอัดนะ อย่าเป็นแบบนี้ นายอยากให้ฉันบ้าจริงๆใช่ไหม”
“........” คุณก็กำลังทำให้ผมเป็นบ้าเหมือนกันครับ
“นายก็รู้ว่าฉันห่วง หรือว่านายไม่รู้เลย ถ้านายเป็นอะไรไป คิดถึงฉันบ้างรึเปล่า ถ้านายเป็นอะไรไปฉันจะเป็นยังไงบ้าง”
“แต่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ แล้วถ้าไม่มีลุงแกผมอาจเจ็บมากกว่านี้ แกเป็นคนช่วยผม คุณลืมแล้วหรอครับ”
“ฉันรู้ แต่โมโหนิ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดด้วยหละ ไม่เอาแล้วไม่อยากให้มันเกิดอีก” เขาก้มหน้างุดลงกับไหล่ของผม ปลายจมูกนั้นก็เขี่ยรั้นบนหัวไหล่ไปมา
“..............” เคยเกิดขึ้นแล้วหรอ ถึงได้พูดแบบนี้
“อย่าพูดว่าจะไปอยู่ที่อื่นอีกนะ” ความสงสัยของผมก็ถูกพับไปกับน้ำเสียงออดอ้อนนั้นที่ถูกส่งมา ผมอยากอยู่กับคุณทุกวันเลยครับ อยากอยู่ด้วยใจแทบขาด อยากตื่นมาตอนเช้าแล้วเห็นหน้าคุณทุกวัน แต่… ผมอยู่ในฐานะอะไรหละครับ
“ในฐานะอะไรหละครับ” สองแขนที่กระชับกอดผมแน่นค่อยๆคลายออก ผมค่อยๆ แกะแขนแกร่งนั้นออกจากตัวผม และแน่นอนคนดื้อที่กอดจากด้านหลังนั้นไม่ยอมปล่อย
“.......” ไม่มีคำตอบจากคนด้านหลัง ผมค่อยๆ หันไปมองหน้าเขา สีหน้าที่ดูหงอยลงไปถนัดตานั้นทำให้ผมสงสารเขาขึ้นมาจับใจแต่ผมก็สงสารตัวเองเหมือนกัน
“ถ้าคุณซีระบุอะไรต่อมิอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ได้ก็ดีซินะครับ บางทีการกระทำก็ไม่ได้ทำให้มั่นใจเท่าคำพูดหรอกนะครับ”
“ก็ได้ ฉันจะไม่ไล่ลุงแกออก แต่ นายกลับไปนอนห้องได้ไหม อย่าไปนอนที่อื่นเลย”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับลุงหรอก ผมรู้ว่าคุณเข้าใจที่ผมพูด”
“ก็ฉันยังนึกไม่ออกนี่ว่าจะต้องทำยังไงถ้าไม่มีนายนอนอยู่ข้างๆ”
“ก่อนหน้านี้ก็นอนคนเดียวนี่ครับ”
“แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วนิ ขนาดฉันนอนโซฟาแต่นายอยู่ในห้องแค่แยกกันนอนฉันยังนอนไม่ค่อยจะหลับ แล้วนี่จะไปนอนที่อื่น นะ นะ ตัวเปี๊ยก นี่นายไม่อยากเจอหน้าฉันมากขนาดนั้นเลยหรอ”
“อยากเป็นเด็กสมอายุเอาตอนนี้หรอครับ” นี่หรอที่ว่าผมดื้อ คุณนั้นแหละตัวดื้อเลย คุณซี
“นะ ตัวเปี๊ยก นายอยากให้ฉันตายหรอ”
“แค่นี้ไม่ตายหรอกครับ เป็นเด็กติดพี่เลี้ยงไปได้ ให้คุณแพรมาอยู่เป็นเพื่อนไหมหละ หรือจะเป็นคุณเอมมี่หละครับ รายนั้นมาเร็วแน่เชื่อผม” ผมพยายามทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น
“ไม่เอาเรื่องนี้มาพูดได้ไหม”
“..........”
เขาค่อยๆ คลายมือจากรอบเอวของผมแต่ก็ยังไม่วายกอดมันไว้หลวม ผมเกลี่ยปรอยผมที่เริ่มยาวลงมาปิดตา ผมรักเขาจัง ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ ทำไมผมถึงได้รักเขาทั้งๆ ที่เรื่องมันไม่มีเหตุและผลเลยสักนิด
“จะไปนอนที่ไหน ไม่ต้องมาทำหน้าตาใจดี ทั้งๆ ที่นายกำลังถือมีดจะแทงฉันเลย”
“โอ้โห เจ้าบทเจ้ากลอน เจ้าเล่ห์”
“เหมือนไม่โกรธแล้วเลย ทำไมยังจะไปหละ”
“ถ้าผมบอกว่าผม... ผมชอบคุณ คุณจะว่ายังไงครับ” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ถึงแม้มันจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่มันก็ไม่ตื่นเต้นจนใจสั่นอีกแล้ว เพราะผมสารภาพกับเขาทุกการกระทำ และผมรู้ว่าเขาก็รู้
“งั้นก็อยู่ด้วยกันซิ” เขาดูไม่ตกใจ เขาดูผมออกอยู่ตลอด
“คุณซีมีคนอื่นอยู่ตลอดเลย ทั้งๆ ที่ผมชัดเจนขนาดนี้ และผมรู้ว่าคุณรู้ความรู้สึกของผมตั้งแต่วันแรกที่เราได้อยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำใช่ไหมครับ แต่นอกจากคุณจะไม่เคยบอกถึงเหตุผลที่เรานอนกอดกัน ที่เราจับมือกัน หรือแม้แต่ .... ที่เราจูบกัน ผมก็ไม่เคยคิดจะถาม เรื่องคุณแพร หรือแม้แต่คุณเอมมี่ ผมคิดว่าคุณก็คงรู้ว่าผมเจ็บแต่คุณก็ได้แต่พูดว่าขอโทษ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการเหตุผลของรอยจูบ ที่คุณมอบให้และผมไม่มีทางลืมมันได้ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าเป็นแบบไหนกันแน่ ก็อย่าเอาตัวคุณมาอยู่ในโลกของผมเลย โลกของผมในสายตาคนอื่นมันสกปรก ปล่อยผมไปเถอะ ยิ่งอยู่ผมยิ่งรู้สึก แล้ววันนี้ที่คุณโมโหขนาดนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าข้างตัวเองว่าคุณก็รู้สึกเหมือนกับผม ขอบคุณนะครับ”
“ซีคะ” ผมไม่รู้ว่านั้นคือเสียงสวรรค์สำหรับผมรึเปล่า ขาผมอ่อนแรงเต็มทน และผมก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเขาได้อีกกี่วินาที การไม่มีมารยาทในการเคาะประตูของคุณเอมมี่ ผมว่ามันดีก็วันนี้แหละ
“ผมขอตัวนะครับ” อ้อมกอดนั้นปล่อยออกจากเอวผมแล้ว สายตานั้นผมจะจำให้ได้มากที่สุด เพราะไม่แน่ว่าหลังจากที่ผมสารภาพทุกอย่างออกไปแล้ว ผมอาจไม่ได้เห็นตาคู่นั้นอีก
ประตูไม้บานใหญ่ถูกปิดลง และผมก็ไม่รู้ว่าจะได้เปิดมันอีกไหม ไม่ใช่ประตูห้องทำงานหรอกนะ แต่เป็นประตูของเขาประตูที่มันกั้นอยู่ที่ผมเข้าไปไม่ได้
***************************************************************************************
รองเท้าหนังขัดมัน หยุดยืนหน้าประตูไม้บานใหญ่ ขาที่ออกจะสั่นน้อยๆ นั้น แสดงถึงความหวั่นเกรงอย่างปิดไม่มิด คนถูกมอบหมายงาน ตั้งหลักหน้าประตูสักพัก ก่อนที่ประตูไม้จะถูกเปิดออก โดยที่ไม่เคาะประตู สองมือกุมกันไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูนโปน บทลงโทษที่เขาต้องน้อมรับเพราะการทำงานที่ผิดพลาด
“เป็นไง”
“รอดไปได้ครับ” น้ำเสียงที่ตอบออกไปถึงจะมีความหนักแน่นแต่ก็เจือความกลัวไว้อย่างชัดเจน
“ ท่าทางจะดวงแข็งกว่าคนก่อน” เสียงหัวเราะในลำคอของบุคคลหลังพนักเก้าอี้หนังสีดำ นั้นชวนให้คนรายงานผลงานที่ได้รับมอบมายขนลุกซู่ ตั้งหลักไว้ว่าต้องเจออารมณ์เกรี้ยวกร้าด แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอนั้นแทน
TBC
ผิดสัญญาไปหลายวันเลย (ก็ตั้งใจจะลงวันเสาร์น่ะ) ขอโต๊ดดดดดดด
ขอบคุณอีกครั้งที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ