(จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (จบแล้วจร้า) The Love อย่ามาใกล้ถ้าไม่ได้รัก :UP ตอนที่ 21 บทส่งท้าย (29/4/60)  (อ่าน 17235 ครั้ง)

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
=16=

 



     หมอกหนาพร่าเลือนทำให้ผมมองไม่เห็นทางข้างหน้า ผมกำลังเดินแต่ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เดินอยู่ที่ไหน ข้างหน้าดูเหมือนจะมีควันเต็มไปหมด แต่นั้น เหมือนเสียงคลื่น นี่ผม อยู่ที่ทะเลหรอ ใช่ต้องใช่แน่ ผมค่อยๆ เดินเพราะทัศนวิสัยค่อนข้างแย่ถึงแย่จัด แต่ตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ครั้งสุดท้าย ผมขับรถ จะไปสนามบินเพื่อไปหาคุณซี รถติดไฟแดง แต่ผมเหยียบเบรกไม่ได้ หรือว่า

ผมตายแล้วหรอ???

 

         ภาพข้างหน้าเริ่มชัดเจนแล้ว ที่นี่ เกาะงั้นหรอ เกาะที่คุณซีเคยพาผมมา ที่ตรงนั้น ที่เราเคยนั่งอยู่ด้วยกัน ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบเขามากกว่าครั้งไหนๆ

     “มานี่ซิ” เสียงเรียกดังอยู่ไม่ไกลนัก ผมค่อยๆ เดินตามเสียงนั้นไป ไม่จริง ถ้าผมไม่ตายไปแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องเป็นผมแน่ที่กำลังฝันอยู่

     “งงอะไร” คนๆ เดิมพูดออกมา เหมือนเรื่องที่ผมเห็นหน้าเขามันตลกสิ้นดี

     “เปล่าครับ”

     “นั่งซิ” ผมลงนั่งที่พื้นทราย เป็นที่เดิมที่ผมเคยนั่งกับคุณซีก่อนหน้านี้ ที่ที่คุณซีเคยกอดผมจากทางด้านหลัง

     “หน้านายนี่น่าแกล้งเหมือนที่ไอ้ซีบอกจริงๆ ด้วย”

     “เขาพูดแบบนั้นกับทุกคนเลยหรอครับ”

     “อื่ม” คนที่หน้าตาคล้ายกับผมมาก ใส่ชุดขาวสะอาดทั้งตัว ผมสีเทาควันบุหรี่ปลิวไปตามลมทะเล เขาน่ารัก และมีเสน่ห์ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ไม่แปลกใจที่คุณซียังรักเขาอยู่จนทุกวันนี้

     “ไม่ผิดหรอก ไอ้ซีมันยังรักฉันอยู่ แล้วยังไงล่ะ นายจะเลิกรักมันไหม”

     “เอ่อ ผม ผม ตอบไม่ได้ครับ”

     “ฮ่าๆๆ ทำไมหละ คำถามง่ายจะตาย ซีมันไม่ได้รักนายนะ มันเห็นนายเป็นแค่ตัวแทนฉันเฉยๆ”   คุณบีหัวเราะร่วนและก็ปล่อยคำถามที่ผมตอบไม่ได้ มันตรงกับที่ผมคิดทุกอย่าง

     “เอาน่า เลิกรักมันซะ ยังไงมันก็ไม่รักนายอยู่ดี มันรักฉัน”

     “แต่คุณซี บอกว่ารักผมเหมือนกันนะครับ” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนข้าง ๆ

     “มั่นใจได้ยังไงหละ”

     “ก็ตอนที่คุณซีขอผมคบเขาก็ดูหนักแน่น แล้วแววตานั้นก็ไม่โกหก” ผมพูดด้วยความสัตย์จริง ตอนที่คุณซี บอกว่าทนให้ใครมาสนใจผมไม่ได้แล้ว แววตาของเขาดูจริงจังแล้วก็ไม่ล้อเล่นด้วย

     “ไอ้บ้านั้นมันไม่เคยล้อเล่นหรอก” ผมต้องรีบหันกลับไปหลบตา เพราะคนข้างๆ มองมาอีกแล้ว ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดกับคุณบียังไงก็ไม่รู้

     “ครับ”

     “แล้วเรื่องที่มันยังรักฉันอยู่ก็จริงด้วย นายจะทนได้หรอเป็นตัวแทนของฉันไปตลอดน่ะ”

     “คิดว่าไม่ได้ครับ”

     “งั้นต้องทำยังไงล่ะ”

     “ทำไมคุณถึงถามผมเรื่องนี้ล่ะครับ”

     “นายนี่เก่งนะ ทำให้ไอ้ซีมันบอกรักได้ ฉันแอบรักมันมาตั้งสามปี กว่าที่มันกับฉันจะได้รักกัน แถมรักกันได้ปีเดียวก็มาตายซะนี่ ฮ่าๆๆๆ ตลกเนาะว่าไหม”

     “น่าเศร้าจะตาย ตลกตรงไหนครับ”  สีหน้าของคนที่บอกว่าตลกไม่เห็นมีความสุขสักนิด

     “ตลกตรงที่รู้จักกันมาตั้งนาน เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก ดันมารักกันซะได้ แถมรักกันก็ต้องจากกันแบบนี้ ชีวิตแม่งโคตรตลก” ผมรู้สึกถึงความเศร้าใจที่ส่งออกมาอย่างชัดเจน น่าสงสาร ทำไมเรื่องของคุณบีกับคุณซีถึงน่าสงสารขนาดนี้

     “มันเป็นเรื่องที่ดีนะ คุณบีไม่คิดแบบนั้นหรอ การที่มีใครบางคนรักเราได้มากขนาดนี้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าจดจำไม่เห็นจะน่าน้อยใจตรงไหนเลย”

     “ฉันบอกเมื่อไรว่าน้อยใจ”

     “อิจฉาหรอครับ”

     “แหน่ะ อิจฉาทำไมเป็นแค่ตัวแทนเขาอย่าทำมาเป็นดีใจ” ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะหน้าตาของคนพูด ดูก็รู้ว่าอิจฉาชัดๆ

     “ผมไม่แย่งคุณซีจากคุณหรอกครับ”

     “หมายความว่ายังไง”

     “ก็คุณซี เป็นของคุณบีนี่ครับ เป็นมาตลอด สามปีที่ผ่านมา คุณซีไม่เคยรักใครเลยนะครับ”

     “แล้วนายล่ะ ไหนเมื่อกี้บอกว่ามันรักนายไง”

     “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจริงๆ แล้วคุณซีเห็นผมเป็นแค่ตัวแทนของคุณหรือเปล่า”

     “กลับไปได้แล้ว ไอ้ซีมันกำลังจะเป็นบ้า”

     “เขาคงคิดถึงคุณในตัวของผม”

     “คิดถึงได้ไง นายกับฉันไม่เหมือนกันสักนิด ถึงหน้าตาจะคล้ายกันก็เถอะ” รอยยิ้มใจดีแอบกวนประสาทนิดๆ นั้นน่าหมั่นไส้จริงๆ เหมือนกำลังคุยกับคุณซีในเวอร์ชั่นหน้าคล้ายตัวเองยังไงยังงั้นเลย

     “มันก็น่าคิดนี่ครับ ดูอย่างอาหารที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาชอบสั่งแต่เมนูเดิมทั้งๆ ที่ตัวเองก็กินไม่ได้ นั้นคงเป็นอาหารที่คุณชอบ”

     “กินเหล้าไหม สูบบุหรี่ไหมล่ะ เคยนอนกับผู้หญิงหรือเปล่า” ประโยคสุดท้ายทำให้ผมเบิกตาโพล่ง มันใช่เรื่องต้องมาถามกันโต้งๆ แบบนี้ไหม

     “ไม่เคยใช่ไหมล่ะ เห็นไหม นี่ก็ไม่เหมือนกันตั้งสามข้อแล้ว”

     “ทำไมถึงจากคุณซีมาหละครับ”

     “ฉันไม่ได้อยาก แต่ฉันจำเป็น ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่ชอบที่เราคบกันเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่ฉันกับมันก็เก็บเป็นความลับเต็มที่ แต่คงไม่ดีพอ อุบัติเหตุคราวนั้นมันทำให้ฉันไม่เจอมันอีก เหมือนกับคราวนี้ ถ้านายไม่กลับไป ซีมันต้องตายแน่ๆ “

     “อุบัติเหตุ มีคนตั้งใจทำร้ายคุณหรือครับ ใครเป็นคนทำครับ”

     “คนแก่บ๊องเอ้ย ฉันเป็นเรื่องในหัวของนาย ถ้านายไม่รู้แล้วฉันจะรู้ได้ไง”

     “อ้าว งั้นหรอครับ หมายความว่าคราวนี้ผมก็โดนทำร้ายเหมือนกันหรือครับ”

     “ก็น่าจะนะ อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

     ทำไมถึงมีคนต้องการทำร้ายผม หรือว่าจะเป็นแม่คุณซีที่อยากให้เราเลิกกัน ไม่น่าจะใช่ ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่ก็คงไม่ใจร้ายถึงขนาดฆ่าแกงกันได้ แต่จะมีใครอีกหละ คำขู่นั้นก็ดูหนักแน่นและน่ากลัว และเธอก็คงทำแบบนั้นได้ไม่ยาก

     “กลับไปเถอะ แล้วบอกไอ้ซีด้วย ว่าเรื่องมันกับแพร ฉันไม่เคยเอามาคิดสักนิด ให้มันสบายใจได้ แล้วเรื่องจูบวันนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันนอกใจ เพียงแต่อยากที่จะหนีไปสงบสติสักแป๊บ จะมีใครเห็นแฟนตัวเองจูบกับคนอื่นแล้วจะอยู่เฉยได้จริงไหม”

     “เรื่องจูบอะไรครับ ไหนคุณบอกว่าคุณอยู่ในหัวของผม ถ้าผมรู้คุณก็รู้ เรื่องนี้ผมไม่เห็นจะรู้เลย” ผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่ ขยี้หัวผมจนไม่เป็นทรง

     “นายนี่มันน่าแกล้งจริงๆ” เสียงหัวเราะที่ผมได้ยินจากคนตรงหน้า  มันดีจริงๆ มันเป็นเสียงหัวเราะที่บอกถึงความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย

     “ผมมีคำตอบแล้วนะครับ”

     “หื่ม???”

     “ที่คุณบีถามว่า ถ้าคุณซียังรักคุณอยู่ แล้วผมจะเลิกรักเขาไหม”

     คุณบีใช้มือเท้าคางตัวเองไว้ เอียงหัวน่ารัก แถมยิ้มมุมปากจนหน้าหมั่นไส้

     “ผมจะไม่เลิกรักเขาหรอกครับ ถึงแม้เขาจะรักคุณนั้นก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม ส่วนเรื่องทีผมรักเขา นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาเหมือนกัน”

     รอยยิ้มจนตาหยีปรากฎให้เห็นต่อสายตา นี่เป็นเรื่องดีอีกเรื่องในชีวิตของผม ดีจริงๆ

 

 
******************************************************************************************
 

     สายตาค่อยๆ ปรับโฟกัส จนเห็นเพดานสีขาว ไฟดาวน์ไลท์ที่เกาะอยู่บนเพดาน

     “ยุฟื้นแล้ว”

     เสียงพี่ปริม บอกให้รู้ว่าเธอมีความสุขมากแค่ไหน ที่ผมลืมตาในที่สุด ผมไม่รู้ว่านอนนิ่งๆ แบบนี้มากี่วันแล้ว ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร แต่หนังตาที่หนักอึ้ง กับความระบมที่หัวก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนที่นอนดูด ต้องนานแล้วแน่ๆ เลย

     ภาพผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่กับรอยยิ้มน่ารักนั้น ผมยังจำได้ เหมือนว่าเพิ่งคุยกันเมื่อกี้ แต่ที่นี่ไม่ใช่เกาะเล็กกลางทะเลนั้น ที่นี่ไม่ใช่ทะเลหาดส่วนตัวของคุณซี และถ้าผมไม่สติเลอะเลือนจนเกินไป ที่นี่คงเป็นโรงพยาบาล

     “เป็นไงมั่งยุ จำพี่ได้ไหม” เสียงพี่ปริมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เดาไม่ออก จะว่าตกใจก็น่าจะใช่อยู่ หรือว่าความรู้สึกดีใจก็ปนๆ กันไป

     “ตายแล้ว จำอะไรไม่ได้หรือเปล่า คุณเรียกหมอหน่อยค่ะ” เสียงเลื่อนประตูดังตามมาติดๆ ถ้าคำว่าคุณนั้น น่าจะหมายถึงคุณเกีรยติ ไม่ใช่ผมจำไม่ได้ แต่ดูเหมือนสติผมจะประมวลไม่ทัน มันยังรู้สึกหัวหนักๆ อยู่

     “คุณยุครับ คุณยุ มองตามแสงนะครับ” หมอธรรมวุฒิ ใช้ไฟฉายขนาดเล็กสำหรับแพทย์ ส่ายไปมาบริเวณตาผม ผมเพียงมองนิ่งๆ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด

     “ปกตินะครับ คุณยุครับ คุณยุได้ยินหมอไหม” ผมพยักหน้าให้กับคำถามนี้ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นทุกคนคงวุ่นวายกันกว่านี้แน่

     “ดิฉันโทรบอกคุณซีนะคะหมอ คุณซีต้องดีใจแน่ๆ” เสียงเอ่ยชื่อของอีกคน ทำให้ผมใจเต้น นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราเจอกันหลังจากเกิดเรื่องบ้าๆ นั้น คำถามที่ค้างคาในใจ ถึงแม้คุณบีบอกว่าผมกับเขาไม่เหมือนกันสักนิด แต่ดูด้วยตามันก็คล้ายเลยใช่ไหมล่ะ ตอนแรกที่คุณซีเห็นผมก็ต้องคิดว่าใช่ ใช่ไหม

     “ผมโทรเรียบร้อยครับ เดี๋ยวมันคงรีบกลับมา”

     “พี่ดีใจมากนะ” ผมพยักหน้าอีกรอบ ให้กับคนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำตาพี่ปริมปริ่มจะไหลลงบนแก้มผมแล้ว

     “ตอนที่ยุยังไม่ฟื้น คุณซีเป็นห่วงยุมากนะ นั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืนเลย ก็มีวันนี้นี่แหละ ที่เขาไม่อยู่” ผมส่งยิ้มเล็กๆ ให้กับพี่ปริม

     “ให้ยุพักผ่อนดีไหม คุณชวนคุยเยอะไปแล้ว”

     “ก็ดีใจนี่คะ” หันไปยิ้มให้กับคุณเกียรติที่เพิ่งปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง

     “ผมหลับไปนานไหมครับ”

     “ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนี้ก็เข้าวันที่ห้าแล้วล่ะ ดื้อนะเรา เรียกให้กลับก็ไม่กลับ”

     “ห้าวันเชียวหรอครับ”

     “จำอะไรได้บ้างไหม เกิดอะไรขึ้นแล้วไปที่บ้านนั้นทำไม” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงคำถามนี้ก็ต้องถูกถาม แต่ผมกลับไม่ได้คิดคำตอบไว้ล่วงหน้าเลย

“อุบัติเหตุ มีคนตั้งใจทำร้ายคุณหรือครับ ใครเป็นคนทำครับ”

     มีคนตั้งใจทำร้ายผมและคุณบี

“หมายความว่าคราวนี้ผมก็โดนทำร้ายเหมือนกันหรือครับ”

     มีคนอยากให้เราทั้งคู่หายไป

“ก็น่าจะนะ อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

 
     ผมจะพูดเรื่องนี้ได้ยังไง คนเดียวที่อยากให้ผมกับคุณบีหายไป คงมีแต่เขา

     “ผมจำไม่ได้ครับ” พี่ปริมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

     “กระทบกระเทือนหรอ จำไม่ได้หรือไง ว่าไปที่ไหนมา”

     “ผมจำได้ว่า ผมตั้งใจเอาสัญญาไปให้คุณอัลเบิร์ตเซ็น หลังจากนั้นก็ ..... ก็ จำอะไรไม่ได้อีกเลยครับ”

     สีหน้าที่เป็นกังวลของพี่ปริมส่งออกมาชัดเจนมาก ผมรู้ว่าเธอเป็นห่วง เธอรักผมเหมือนกับน้องชายแท้ๆ แต่ผมก็เป็นห่วงเหมือนกัน ห่วงความรู้สึกของคนที่ผมรัก

“แกอยากให้ฉันใช้ไม้แข็งกับแกหรือไง”

     ถ้าผมพูดหรือเล่าอะไรไป คุณซีจะรู้สึกยังไง

“ถ้าแกไม่อยากตายศพไม่สวย ก็อยู่ห่างๆ ลูกฉันไว้”

     คำพูดวนเวียนออกจากหัวไม่ได้เลยจริงๆ

 
     ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พี่ปริมยังคงง่วนอยู่กับการปอกผลไม้ข้างๆ เตียง เจ้าปอมเด็กแสบตัวน้อย แอบขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมนิ่งๆ บนเตียง พร้อมกับพูดตลอดว่า พี่ยุเจ็บไหมฮะ อยู่แบบนั้น

     ตอนนี้ก็ใกล้เย็นแล้ว แสงสีส้มที่รอดผ่านช่องหน้าต่างนั้นเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้ผมได้รับรู้เวลา เขายังไม่มา คุณซียังไม่มา ผมยังคงรอคอย และคิดถึงเขาเหลือเกิน

     ผมคิดถึงคุณซี แต่ก็ล้างเรื่องราวของคุณบีออกจากหัวไม่ได้เลย ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว ว่าทำไมคุณเอ ถึงคิดว่าผมตั้งใจมาหลอกน้องชายเขานัก เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงคิดแบบนั้น คนอะไรหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ ถ้าผมรู้มาก่อนว่าเขารักคุณบีมากแค่ไหน เรื่องที่จะให้เขาสนใจผมทันทีที่เห็นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

     “พี่ปริมรู้จักคุณบีใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยถามในความเงียบของห้อง ทั้งๆ ที่ผมมองไปนอกหน้าต่าง แต่ก็แอบเห็นพี่ปริมหันไปมองหน้าคุณเกียรติ คุณเกียรติเดินออกจากห้องไปพร้อมน้องปอม เหมือนรู้ว่าผมอยากคุยกับพี่ปริมแค่สองคน

     “เขาน่ารักใช่ไหมครับ” พี่ปริมพยักหน้า

     “ไปรู้เรื่องเขามาจากไหนหละ ไหนว่าจำไม่ได้ว่าไปไหนมา”

     “ผมไม่อยากพูดอะไร แต่ก็ค้างคาน่ะครับ”

     “แฟนเก่าคุณซี นิสัยดี น่ารักเชียวแหละ ออกจะกวนๆ สักหน่อยตามประสาผู้ชาย แต่เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมาะกันดี” ภาพผู้ชายผมสีเทาควันบุหรี่ที่ส่งสายตายียวนก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมาในความคิดทันที

     “คุณซีรักคุณบีมากใช่ไหมครับ”

     “......”

     “พี่ปริมไม่อยากบอกผมหรือครับ ยังไงผมก็รู้เรื่องนี้แล้ว แล้วก็ไม่ได้รู้จากคุณซีด้วย ผมเลยจุดที่จะตกใจหรือเสียใจกับการที่ผมหน้าคล้ายคุณบีมาแล้วครับ ผมเลยความรู้สึกที่ว่าคุณซีอาจเห็นผมเป็นแค่คุณบี และอาจไม่ได้รักผมอย่างที่เขาบอกจริงๆ”

     “ยุอย่าคิดมากน่า ยังไงบีก็จากไปนานแล้ว เราคือปัจจุบัน อย่าสนใจกับอดีตนักเลย”

     “แต่อดีตนั้นสวยงามเหลือเกินครับ และก็เจ็บปวดมากด้วย จะลืมง่ายๆ เชียวหรือครับ ถ้าลืมง่าย คุณซีคงไม่ใช้เวลาในการทำใจตั้งสามปีหรอกใช่ไหมครับ แล้วตอนนี้ก็ใช่ว่าคุณซีจะลืมได้เมื่อไรกัน”

     เสียงเลื่อนประตูทำให้บทสนทนาของเราจบลง พี่ปริมยังคงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมและพี่ปริมหันไปทางประตูพร้อมกัน และนั้นก็ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

     สีหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนเปื้อนน้ำตา ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆ กลัว ผมมองหน้านั้นนิ่ง แขนข้างหนึ่งที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่อยากโอบกอดความรักที่หายไปนานหลายปี หัวที่มีผ้าพันแผลอยู่อยากซบลงที่ไหล่เล็กๆ นั้น ให้สมกับความคิดถึง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมสักนิด ถ้าไม่ติดสายน้ำเกลือ ผมคงจะลงจากเตียงโผกอดผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมคิดถึง

     “ยุลูก” น้ำเสียงสั่นเครือที่นานแล้วไม่ได้ยินแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันก็หลายเดือนก่อนตอนโดนไล่ออกจากห้อง แต่กี่ปีแล้วนะ ที่เราไม่คุยกันต่อหน้าแบบนี้

     “แม่ครับ” ผมพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พี่ปริมที่ยื่นอยู่ข้าง ๆ เห็นก็เข้ามาช่วยในทันที

     “แม่ไม่เข้ามาหายุหรอครับ ยุลงจากเตียงไม่ไหว แม่เดินมาหาให้ยุกอดหน่อยได้ไหมครับ” น้ำตาค่อยๆ คลอออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม่ปล่อยโฮร้องไห้แล้วเดินมาหาข้างเตียง ผมโผกอดผู้หญิงคนนี้ ที่ผมสามารถกอดเขาไปได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะต้องเวลานานเท่าไร

     “เจ็บไหมลูก” น้ำเสียงปนกับเสียงสะอื้นทำให้ผมแทบจะขาดใจ ต่อให้ผมเจ็บปางตายผมก็จะไม่ปริปาก

     “ไม่ครับ ยุไม่เจ็บเลย”  ผมผละออกจากอ้อมกอดอยากเห็นหน้าแม่ชัดๆ

     “เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดโกหก หายแล้วจะตีให้ตาย”

     “ยุโตแล้วนะแม่” โผเข้ากอดคนเป็นแม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะกอดอีกนานเท่าไรมันก็รู้สึกว่ามันชดเชยไม่ได้ ตลอดเวลาหลายปี ที่เราเสียทุกอย่างให้กับคำว่าทิฎฐิ

     “ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษที่ขับรถไม่ระวัง หรือขอโทษที่แกเกิดมา” น้ำเสียงดุดัน ที่ผมเคยชิน แต่ไม่ได้ยินมันมาหลายปี น้ำตาที่ไหลนองหน้าไหลหดกลับเข้าไปหมด ไม่ได้ยินเสียงของพ่อมานานเท่าไรแล้ว ผมเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนที่จะจ้องหน้านั่นเขม่ง น้ำเสียงเกีรยวกราดยังมีให้เห็นไม่ได้ลดลง ผ่านมานานเท่าไรแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นผมเป็นลูก

     ผมไม่รู้ว่าพ่อไม่รักผมตั้งแต่เมื่อไร ผมจำความได้ ก็ไม่เคยมีอะไรดีสำหรับพ่อเลยสักนิด จะว่าเขาโกรธตอนที่ผมบอกว่าผมชอบผู้ชาย ก็คงจะไม่ใช่ เพราะเขามีลูกเพียงคนเดียวมานานแล้ว ลูกที่ชื่อตะวัน พอตะวันตายทุกอย่างทุกความคาดหวัง ก็มาฝากไว้ที่ผม ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมองเห็นผมเสียด้วยซ้ำ แต่พอไม่มีตะวันอยู่ตรงนี้ ผมก็กลายเป็นคนสำคัญ ที่ไม่มีตัวเลือก

     ครั้งนึงที่ผมเคยเล่าเรื่องของผมให้กับคุณซีฟัง แต่ไม่ได้เล่าถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงออกจากบ้าน ตอนนั้นแค่เล่าไปแค่นั้นก็เหมือนว่าตัวเองเปิดใจให้เขาไปจนหมดแล้ว แต่เรื่องที่มันทำให้ทุกอย่างบานปลายคือเรื่องที่พ่อพยายามหาแฟนให้ผม ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องบอกออกไปตรงๆ ว่าผมชอบผู้ชาย จากนั้นทุกอย่างที่ผมหยิบจับก็ดูจะน่ารังเกียจสกปรกไปซะหมด ยิ่งไม่มีตะวันคอยห้ามเรื่องของผมกับพ่อก็ยิ่งรุนแรง จนผมออกมาจากบ้าน

     วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกในรอบหกปีที่เราได้คุยกัน แน่นอน ว่ามันรู้สึกกะอักกะอ่วนไม่น้อย ผมไม่รู้จะตอบคำพูดนั้นออกไปยังไงดี คำพูดที่ดูเหมือนจะค่อนขอดว่าผมไม่น่ามีชีวิตอยู่ให้เขาได้อาย

     “คงจะเป็นอย่างหลังมั่งครับ” ผมตอบออกไปโดยที่จ้องหน้าแม่นิ่ง จริงๆ เขาไม่ต้องมาด้วยก็ได้

     “แม่มาได้ยังไงครับ ทำไมถึงมาที่นี่ได้”

     “แฟนเรานั่นแหละ เขาไปพาแม่มา”

     “แฟน???” คงไม่ต้องอธิบายก็คงพอจะเดาออก ว่าต้องเป็นคุณซีแน่ แต่ไอ้เรื่องที่ไปบอกพ่อกับแม่ว่าเป็นแฟนนี่คือยังไง แล้วคนต้นเรื่องหายไปไหนซะล่ะ

     “ไม่ต้องมามองหน้าฉัน ฉันไม่ได้ยินดียอมรับหรอกนะ แค่เห็นว่าแกยังไม่ตายหรอกถึงมา” พ่อหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับกระแทก พลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

     “เขาบอกแม่หรือครับ ว่าเป็นแฟนยุ”

     “เขาบอกว่าเป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นคนรัก แบบนี้เรียกแฟนไหมหละ” แม่ยีหัวผมเหมือนกับผมเป็นเด็ก ผมมองหน้าแม่ทีพ่อที แล้วก็โผกอดกันอีกครั้ง แว็บนึงที่ผมเห็นพ่อมองมาแล้วทำท่าเหมือนโล่งใจ ทำไมผมถึงรู้สึกดีใจกับอีแค่รอยอมยิ้มที่มองไม่ออกด้วยซ้ำว่ายิ้มหรือเปล่านั้นนะ

     “ทำเป็นเก๊กไม่เข้าเรื่อง”

     “อะไรเล่า แม่นี่ พูดอะไร พ่อไม่ได้เก๊กอะไรสักหน่อย”

     “ไหนตลอดทางพูดว่า มันฟื้นก็ดีแล้ว”

     “อะไร ไม่ได้พูดสักหน่อย”

     เสียงพ่อกับแม่เถียงกันลั่นโรงพยาบาล พลอยมีเสียงหัวเราะของพี่ปริม เสียงคุณเกียรติที่พาเจ้าปอมตามเข้ามาทีหลัง แนะนำตัวกันเสร็จสรรพ ผมจะคิดเอาเองว่าพ่อยอมเปิดใจบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย ถึงสายตาที่มองมาจะไม่เอ็นดูนัก แต่ก็ดีแค่ไหนแล้วที่เขายอมมา ยอมคุยกับคุณเกียรติ ดีแค่ไหนแล้ว ที่เขายังมองหน้าผมบ้าง

     ผมเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังเป็นลูกของพ่อกับแม่ใช่ไหมครับ
 

 

 
*************************************************************************************
 

 

          เสียงหัวเราะ ดังลั่นรอดประตูห้องพักคนไข้ของโรงพยายาม มือเล็กกำกันแน่น เห็นเส้นเลือดปุนโปนด้วยความโมโหเหมือนกำลังมีไฟที่เผาหัวใจให้ร้อนและใกล้แตกเป็นเสี่ยง เพราะเรื่องที่อุตส่าห์ลงแรงไปกลับไม่เป็นผล คนยืนอยู่ข้างๆ กับรองเท้าหนังสีดำขลับ ยืนสงบนิ่งไม่ปริปาก เพราะอารมณ์ของอีกคนต่อให้พูดอะไรก็คงไม่มีทางทุเลาแน่

          “ตายยากจริงนะ” น้ำเสียงพึมพำเหมือนจะไม่อยากให้ใครได้ยิน รองเท้าหนังสีดำขยับเข้ามาใกล้ เหมือนสัญญาณบอกว่าควรไปจากตรงนี้ได้แล้วก่อนที่ใครจะมาเห็น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

TBC

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ขอตัดตอนที่ตรงนี้ ถ้าต่ออีกฉากต้องยาวแน่ แล้วเจอกันค่ะ



ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
= 17 =

 

 

สีดำมืดสนิทคือสิ่งแรกที่ปรากฎต่อสายตาของผม มือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่ไว้ข้างหลัง อาการปวดหนึบที่ขมับขวาแสดงอาการทันทีที่ผมรู้สึกตัว เวลาที่ผ่านไปไม่นานก็ทำให้สายตาของผมปรับรับแสงได้มากขึ้น นี่คือห้องว่างที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง ที่กลางห้องมีเพียงแค่เตียงเหล็กเก่าๆ เพียงหลังเดียว และก็เป็นที่ที่ผมนั่งอยู่ ห้องไม่ได้ใหญ่นัก และกลิ่นอับเหม็นคละคลุ้งนั้นก็ทำให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะไม่มีใครอยู่นานมากแล้ว

ผมไม่ได้รับการตอบกลับจากสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างยังคงเงียบมาร่วมชั่วโมง แสงเล็กๆ ที่รอดผ่านช่องประตูเข้ามา และมีเงาตัดกันบ้างในบางครั้ง ทำให้รู้ว่าข้างนอกหลังประตูที่ผมแทบจะมองไม่เห็นนั้น มีคนเฝ้าอยู่

ผมไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้แม้ว่าคนร้ายที่จับผมมานั้นต้องการอะไร เอาเข้าจริง ตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุใกล้เลขสามผมมั่นใจว่าไม่มีทางที่ผมจะไปก่อศัตรูที่ไหนแน่ จนตอนนี้ หนึ่งปีให้หลังมานี่ผมก็รู้สึกเหมือนมีศัตรูรอบตัว แบบขนาดที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าเป็นใครกันแน่ ทุกคนดูอยากเป็นศัตรูกับผมทั้งนั้น

ประตูบานเล็กๆ ตรงหน้า ค่อยๆ ถูกเปิดออก แสงจ้าจากทางด้านนอกทำให้ผมมองเห็นแค่เพียงเงาดำๆ ของคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาเท่านั้น แต่เงาดำนั้นก็ไม่ได้ปิดท่าทางของคนที่กำลังถือถาดเข้ามาได้

รองเท้าหนังสีดำที่ผมเห็นได้ชัดตอนที่เขาเข้ามาใกล้ ผู้ชาย ที่ใส่กางเกงทรงสุภาพสีเทาเข้มที่เห็นแค่ปลายขานั้น ดูได้ไม่ยากว่าการตัดเย็บนั้นต้องมาจากห้องเสื้อหรูพอสมควร

ถาดอาหารถูกบรรจงวางลงที่ปลายเตียง อาการค้อมหัวเล็กน้อย แสดงถึงความสุภาพที่มีต่อผมเป็นอย่างดี เขาดูไม่เหมือนคนร้าย

“จับผมมาทำไมครับ” และท่าทางของคนตรงหน้าดูจะมีความเป็นมิตรอยู่ไม่น้อย ไม่มีเสียงตอบจากอีกคน แต่เขากำลังเปิดฝาครอบที่กำลังครอบชามข้าวต้มควันของความร้อนพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอม แต่ผมคงจะไม่มีอารมณ์กินตอนนี้แน่

“คุณต้องการอะไรครับ”

“ทานก่อนเถอะครับ คุณจะได้มีแรง” น้ำเสียงทุ้มดูมีความใจดี และสุภาพเกินกว่าจะเป็นผู้ร้าย แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็คือคนที่ทำให้ผมติดอยู่ในสภาพนี้อยู่ดี

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับ คุณจับเขามาด้วยหรือเปล่า” ผมถามออกไปและไม่ได้แม้แต่จะชายตามองช้อนที่มีข้าวต้มอยู่ค่อนช้อน เล็บสะอาดสอ้าน มือเรียวยาวสวย บ่งบอกถึงความมีสุขภาพของคนตรงหน้า ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เหตุผลของการที่ผมต้องมาอยู่ที่นี่

“ทานหน่อยซิครับ” คำคะยั้นคะยอยังคงถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ถ้าคุณทานข้าวต้มชามนี้หมด พร้อมทั้งกินยาที่ผมเตรียมไว้ ผมจะตอบคำถามทุกข้อเลยครับ” สัจจะในหมู่โจรจะมีไหมหละ แต่ก็เอาเถอะ ผมเลือกที่จะรับช้อนข้าวต้มนั้นแล้วตักมันเข้าปากเสียเอง ไม่นานนัก ข้าวต้มพร้อมกับยาเม็ดเล็กหลายเม็ดก็หมดไม่มีเหลือ

“ผมทานหมดแล้ว คนอื่นหายไปไหนกันครับ”

“คุณมาที่นี่เพียงคนเดียวครับ” น้ำเสียงสุภาพเอ่ยออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในห้องมืดนี้

“แล้วคุณจับผมมาทำไม”

“คุณคงเป็นที่รักมากเกินไป มีความสุขเกินไป และแข็งแรงเกินไป”

“ที่คุณพูดคือผมน่าจะต้องตาย แต่กลับไม่ตายหรือครับ หรือว่าคุณ” คำตอบของคำถามนี้อยู่ในหัวผมเต็มไปหมด โดยที่ไม่ต้องรอคำตอบจากเสียงที่ไม่รู้ต้นทาง

 “คุณทำให้มีคนไม่พอใจ”

“ไม่พอใจที่ผมรอด ไม่ตายเหมือนคุณบีหรือครับ”

“น่าจะเป็นแบบนั้น”  น้ำเสียงแผ่วลง แสดงถึงความลังเล และรู้สึกผิดอยู่ในที

“ทำยังไงผมถึงจะได้กลับบ้านครับ”

“ก็เลิกกับเขาซิ!!!”

 

น้ำเสียงนี้ ผมคุ้นเคยดี แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเขา

 

 

 
********************************************************************************************
 

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมตำรวจเต็มไปหมดแบบนี้” วันนี้พายุออกจากโรงพยาบาล ผมตั้งใจจะมารับเขากลับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอเขามาเป็นอาทิตย์แล้ว

 

 

เมื่อคืนนี้

“คุณหนูจะไม่ไปหาคุณยุบ้างหรือครับ” เสียงของคิด ที่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานในบ้านหลังใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นอาทิตย์แล้วที่พายุฟื้นจากอาการที่ประสบอุบัตเหตุแต่ผมยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปเห็นหน้าเขา คิด คนสนิทของเอ ที่ผมใช้เขาทำเรื่องต่าง สืบเรื่องราวทั้งหมด ก็กลับเข้ามาดูแลผมเหมือนกับเลขาส่วนตัวในเวลานี้  ผมกลับมาอยู่ที่บ้านใหญ่ ตั้งแต่พายุฟื้น ผมต้องมาคอยดู และใกล้ชิดเพื่อที่ผมจะได้รู้ข่าวเร็วกว่าใคร การอยู่ใกล้ศัตรูยิ่งทำให้รู้ความเคลื่อนไหวมากขึ้น

“เรื่องที่ให้ไปสืบไปถึงไหนแล้ว”

“ผมกำลังเช็กกล้องวงจรปิดทุกตัวที่มีครับ แต่ของเมื่อสามปีก่อนก็ดูจะยากสักหน่อยครับ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด ส่วนของคุณยุ ดูเหมือนจะเกิดหลังจากที่คุณหนูเดินทางครับ”

“เรื่องบี ฉันอยากหาตัวคนที่ทำร้ายเขาให้เจอ ไม่งั้นฉันคงไม่มีหน้าไปเจอยุ ถ้าเรื่องของบียังผุดขึ้นในหัวฉันทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา” ผมได้ยินเสียงรับคำของคิด ก่อนที่เข่าจะเปิดประตูออกไป

“ฉันคิดถึงตัวเปี๊ยกของฉันจริงๆ อยากเห็นหน้าอยากกอด” ผมได้แต่พูดกับตัวเอง คำพูดที่ผมอยากพูดกับเขา พอรู้ว่าคนที่ตั้งใจจะทำร้ายพายุกับบีเป็นคนเดียวกัน ผมก็ต้องยิ่งกังวล และยอมรับตรงๆ ว่าไม่มีหน้าไปเจอพายุ มันน่าละอาย ที่ปากผมบอกว่ารักเขาแทบจะขาดเขาไม่ได้ แต่ก็นึกถึงเรื่องบีอยู่ตลอดเวลา

ผมย้ายตัวเองเข้ามาอยู่บ้านใหญ่ไม่ต้องบอก ก็คงเข้าใจความต้องการของผม การที่อยู่ใกล้ๆ เขาทำให้ผมดูแลพายุได้ดีกว่า ทุกการกระทำของเขา จะต้องอยู่ในสายตาผม เราไม่เคยคุยกัน ผมกับแม่ ไม่เคยแม้แต่มองหน้ากัน เราเหมือนคนอื่นสำหรับกันและกันไปแล้ว ซึ่งตามหลักความจริงแล้วมันทำไม่ได้ ยังไงเขาก็เป็นแม่ ถึงผมจะคิดว่าทุกอย่างเป็นฝีมือเขา แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนอื่นไม่ใช่แม่ของผม

คุณปริมโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ พายุจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งผมก็คัดค้านในทันที เขาเพิ่งจะฟื้นน่าจะพักอีกสักหน่อย ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี ทันทีที่ผมรู้เรื่องก็โทรหาไอ้หมอทันที

“ทำไมให้ออกเร็วจังวะ”

(มึงน่าจะมาหาเขาบ้าง เขารอมึงทุกวัน)

“กูก็ไปทุกวัน”

(มาตอนหลับมาทำไมวะ)

“กูอยากให้เขาพักอีกสักหน่อย อีกอย่างกูว่าเขายังไม่ปลอดภัย”

(เขาอยากกลับคอนโด เพราะคิดว่ามึงอยู่ที่นั้นไม่ต้องบอกก็รู้นะ ว่าเขาอยากเจอมึงมากแค่ไหน” ประโยคที่มันพูดกับผม ผมเข้าใจดีทุกอย่าง ดีกว่าอะไรทั้งหมด

“กู เกือบทำเขาตาย”

(มึงคิดแบบนี้อีกแล้วนะ แต่เขายังไม่ตายถ้ามึงคิดว่าตัวมึงเป็นสาเหตุมึงก็ควรมาโผล่มาให้เขาเห็นบ้าง)

“เอ่อ กูรู้แล้ว เดี๋ยวกูจะไปรับเขาเอง”

ผมตกปากรับคำไอ้หมอออกไปแล้ว เมื่อคืน นั่นเป็นเหตุผลที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อเช้ากว่าจะทำใจออกจากบ้านใหญ่ได้ก็เดินแล้วเดินอีก ไม่รุ้จะต้องทำหน้ายังไง พอทำใจได้ตัดสินใจมา กลับพบว่ามีตำรวจยืนเต็มหน้าห้องพายุไปหมด

“ว่าไงครับ คุณปริม แล้วนี่ยุอยู่ไหน” คุณปริมทำหน้าเจือนจนใจคอผมไม่ดี

“เกิดอะไรขึ้น” ผมเน้นเสียงให้อีกคนตอบอะไรออกมาบ้าง

“คือ ยุ หายไปค่ะ”

“หายไป ยังไง”

คุณปริมยื่นกระดาษใบเล็ก มาให้ผม

บอกให้ศิริวัฒน์ เลิกยุ่งกับพายุซะ ถ้ายังอยากเจอกันอีก

หนังสือตัวพิมพ์ออกจากคอมพิวเตอร์ บนกระดาษใบเล็กที่ผมได้อ่าน แทบจะทำให้ผมหมดแรง ผมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องพักคนไข้ สมองตีรวนจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองกระดาษใบเล็กที่ตอนนี้ดูจะยับยู่ยี่เต็มที

“นี่มันอะไรกันอีก” ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที เสยผมที่ปกหน้าผากลวกๆ เพราะรู้สึกรำคาญ แค่เสียงเดินไปเดินมาของตำรวจผมก็รำคาญ ทุกอย่างมันชวนหน้าหงุดหงิด ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงหวังจะต่อสายถึงอีกคน ให้จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะอกแตกตาย แต่ก็เหมือนโลกจะพังลงตรงหน้า คิดปิดเครื่อง ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยจะปิดโทรศพัท์ ทุกครั้งที่ผมโทรหาเขา ไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหนไม่มีทางที่คิดจะไม่รับโทรศัพท์แน่ๆ

ความหงุดหงิดและความโมโหเข้าเกาะกุมทั้งอารมณ์ สมอง จิตใจ จนตอนนี้กระวนกระวายแทบเป็นบ้า ไอ้หมอเดินมาพร้อมกับตำรวจอีกสองคนที่หน้าตาดูจริงจังและแสดงออกถึงความกังวล

“ดูเหมือนจะปลอมตัวเป็นบุรษพยาบาลแล้วพาคุณพายุออกไปทางด้านหลัง”

ผมเงยหน้ามองหน้าไอ้หมอแล้วไม่พูดอะไรสลับกับมองหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนคนเดิมที่ทำคดีขอ

“ผมประสานไปเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดแล้วครับ น่าจะได้เรื่อง”
 

“พอดีกล้องที่หลังโรงพยาบาลเสีย เราเลยไม่เห็นเลขทะเบียน” ผมถอดหายใจอีกครั้ง และมองหน้าคนตรงหน้าที่เหมือนผลัดกันรายงานสถานการณ์ประจำวันทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ถาม

“ดูเหมือนคุณพายุจะหมดสติ” ผมกำกระดาษในมือแน่น จนเส้นเลือดปูน

“มึงดูกล้องแล้ว คิดว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนไหม”

“มองคร่าวๆ ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร อาจจะโดนยาสลบ ถึงได้ดูหมดสติแบบนั้น”

ผมจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ผมจะต้องทำยังไงให้ทุกอย่างมันจบลงซะที  ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผมกันแน่ แม่ต้องการอะไรกันแน่ถึงต้องทำแบบนี้ แค่ทำให้เกิดอุบัตเหตนั่นก็มากเกินพอแล้ว ถึงขนาดมีคนตายแล้ว และนี่เขายังต้องการอะไรอีก ต้องการอะไรจากผมอีก ในเมื่อผมยังติดต่อคิดไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงกับเรื่องนี้ กุญแจรถที่อยู่ในมือ ผมกำมันแน่น ไม่ได้ใช้เวลาในการใคร่ครวญเรื่องต่างๆ นานเท่าไรนัก ผมจะต้องเค้นคอถามคนที่เป็นต้นเรื่องว่าทุกอย่าง ผมจะต้องทำยังไงมันถึงจะจบ แล้วเขาเอาพายุไปไว้ที่ไหน

 
ผมตัดสินใจแบบนั้นแล้ว เหยียบคันเร่งเต็มกำลัง เดินทางกลับบ้านใหญ่ ไปคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง เรื่องนี้มันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว

ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้าน ภาพที่เห็นนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ภาพตรงหน้าที่แม่กำลังจิบน้ำชาถ้วยโปรด มือสไลด์หน้าจอแทบเล็ตเลือกแบบเครื่องเพชรแบบที่ท่านชอบทำ ท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้น ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม

แม่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ไม่มีท่าทางร้อนรน หรือสบายใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ท่านดูธรรมดา ปกติ เหมือนไม่ได้มีเรื่องให้คิด

“จ้องทำไม มีอะไรก็พูด” พอจบประโยคนั้น ผมก็นั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม คนตรงหน้าไม่ได้มองหน้าผมสักนิด

“มี๊ กำลังทำอะไรอยู่ครับ” ผมพยายามคุมความโกรธที่มีอยู่ให้มันสงบลง ถ้าผมผลีผลามพายุอาจอยู่ในอัตราย

“เลือกเครื่องเพชรที่จะใส่ไปงานพรุ่งนี้ ทำไม” นั่นไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึงว่ามี๊กำลังทำอะไรอยู่ เรื่องผมกับยุ”

“ทำไม มันตายแล้วหรอ” ผมกำมือแน่น ความโมโหที่มีมันกำลังทำให้ผมตกนรก

“มี๊ปล่อยผมกับยุไปเถอะครับ เรารักกัน”  สายตาที่แม่มองมาที่ผม เหมือนกับละจากของที่ตัวเองสนใจเพียงแค่ชั่วแวบ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่ากับสิ่งแรกที่มองอยู่มันดูไร้ค่าจนผมต้องหลบสายตาเย็นชาแบบนั้น

“มาบอกฉันทำไม”

“มี๊ปล่อยเราไปเถอะครับ ผมจะไม่บอกเรื่องที่ผมรักกัน ไม่ทำให้มี๊ต้องเสียหน้าทางสังคม ปล่อยพวกเราเถอะ เรื่องสามปีก่อน เรื่องอื่นๆ ผม ...ผมจะไม่ใส่ใจและมองข้ามมันไป เพียงแค่วันนี้ มี๊ปล่อยพายุเถอะครับ” ทั้งๆ ที่ตั้งใจ มาถามให้รู้เรื่อง มาด้วยความโมโห และจะให้มันรู้ดำรู้แดงกันวันนี้ แต่พอมาถึง กลับทำได้แค่เพียงอ้อนวอนให้แม่เห็นใจเราทั้งคู่

“มี๊จะคิดซะว่าผมไม่ใช่ลูกก็ได้ ถ้ามันจะทำให้มี๊ต้องอับอาย”

“แกคิดว่ามันง่ายแบบนั้นหรอ แกเป็นลูกฉันมา 26 ปี แล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นก็ได้หรอ” น้ำเสียงของแม่ราบเรียบซะจนตัดความหวังของผมอย่างไม่มีทางเลือก

“ผมกับยุจะไปอยู่ที่อื่น ประเทศอื่น ออกจากวงจรชีวิตของมี๊”

“ทำเหมือนที่พ่อแกทำน่ะหรอ” แม่วางแท็บเล็ต แล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ ขายกไขว้ห้าง หลังพิงพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์

“แล้วมี๊จะให้ผมทำยังไงครับ ทำยังไง ผม.. ฮึก ผม ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ผมอยากได้เขาคืนมี๊คืนเขาให้ผมเถอะครับ ผมขอร้องล่ะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่มี๊ต้องการ ผมไม่อยากเสียเขาไปเหมือนเสียบีอีกแล้ว มี๊ครับ ได้โปรด ..ฮึก.. ได้โปรดเถอะครับ” ผมไม่ได้มองหน้าแม่ว่าตอนนี้ท่านทำหน้ายังไง ผมก้มหน้าให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลอีกแล้ว ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้ ผมอยากได้เขาคืน ถ้าไม่มีเขาอีกคน ถ้าผมต้องเสียคนที่รักอีกคน ผมคงต้องตาย

“ตาซี เงยหน้า มองแม่” ผมค่อยๆ ทำตามคำสั่ง ที่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าคำสั่งนั้นคือคำสั่งของแม่ ที่มีต่อลูก ไม่รู้สึกเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เหมือนกับเจ้านายสั่งลูกน้อง

“....”

“แกร้องไห้ขนาดนี้ทำไม ได้ข่าวว่ามันไม่ตายไม่ใช่หรือไง”

“ผม ผมขอร้องนะครับมี๊” ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างเต็มตา ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่ผมรู้สึกว่าไม่ได้รับมันนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
 

“ขอร้องฉันเรื่องอะไร”

“ปล่อยพายุกลับมาหาผมเถอะครับ มี๊เอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” แม่ขมวดคิ้วต่อหน้าผม ยังไม่ตอบคำถามที่ผมถาม

“มี๊ครับ ผมขอร้อง ปล่อยเขามาเถอะครับ แล้วผมจะลืมทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องบี หรือเรื่องนี้”

“เดี๋ยวตาซี นี่แกกำลังพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“มี๊พาตัวพายุไปไว้ไหนครับ แค่มี๊บอกมา ผมจะไปรับเขาเอง แล้วเรามาลืมเรื่องนี้ด้วยกันนะครับ” ผมยอมทุกอย่างพยายามเกลี่ยกล่อมคนตรงหน้า นั่งลงที่พื้นต่อหน้าแม่ วางมือไว้บนตัก เหมือนตอนเด็กที่ผมเคยอ้อน
 
“ฉันไม่ได้เอาตัวมันไป”

“ฉันไม่ได้เอาตัวพายุไป แม่ไม่ได้ทำแบบนั้นนะตาซี” น้ำเสียงที่จริงจังของแม่ ทำให้ผมรุ้สึกว่ามันไม่มีคำโกหกปนอยู่ในนั้นเลย ไม่ใช่แค่ตลอดสามปีที่ผมไม่ได้เห็นสายตาจริงจังแบบนี้ แต่สายตาแบบนี้จะถูกแสดงออกเสมอถ้าเรื่องนั้นจริงจังจนไม่มีทางปฎิเสธแม่ได้ สายตาแบบนี้แม่เคยมองผมตอนที่บอกให้ผมเลือกท่านกับบี

“มี๊ ...”

“ฉันไม่ได้จับตัวเด็กนั้นไปจริงๆ เรื่องอุบัติเหตุหน้าบริษัท เรื่องรถที่เสียบ่อยๆ เรื่องโดนไล่ออกจากคอนโด เรื่องอุบัติเหตุแปลกๆ ทุกอย่าง ฉันเป็นคนทำเอง เรื่องข้อความที่มันได้รับว่าให้เลิกคบกับแก เรื่องเอมมี่ เรื่องหนูแพร ที่ฉันบอกให้พวกหล่อนเข้าไปวนเวียน ให้กุญแจคอนโดแกกับหนูแพร ฉันทำเองทั้งนั้น แต่ฉันไม่ได้เป็นคนเอาตัวมันไป”

คำพูดที่แม่พูดออกมาทำเอาผมน้ำตาไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน สีหน้า น้ำเสียง ไม่มีแววโกหกแม้แต่นิดเดียว

“แล้วเรื่องตัดสายเบรก”

“ฉันไม่ได้ทำ”

“.....” ผมยังมองหน้าคนเป็นแม่นิ่ง

“ไม่ได้ทำทั้งตอนนี้ ไม่ได้ทำทั้งเมื่อสามปีก่อน”



คุณหนูกำลังเข้าใจผิดนะครับ

 

“นี่แกคิดว่า แม่ของแกจะฆ่าใครให้ตายได้อย่างนั้นหรอ”

“ก็คำพูดของมี๊วันนั้น”

“แกคิดว่าฉัน ใจร้ายขนาดนั้นเลยหรอ ถึงฉันจะเกลียดไอ้เด็กนั่น เกลียดมันทั้งคู่ แต่คิดว่าฉันจะฆ่าคนได้เลยหรอ” แม่หยิบมือของผมออกจากตักของท่านและนั่งหันหน้าหนี

ผมนั่งหมดแรงอยู่ที่เดิม ยอมรับว่ารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกว่าเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้บีต้องตายและทำให้พายุเกือบตายไม่ใช่ฝีมือแม่ คำของพี่ขจร ดังในหูว่าผมกำลังเข้าใจผิด นั้นไม่ได้หมายความเพียงแต่ว่า พี่จรรู้ว่าแม่ไม่ได้ทำ แต่นั่นอาจหมายถึง พี่จรรู้ว่าใครเป็นคนทำด้วย

“มี๊ พี่จรอยู่ไหน”

“ขอลางาน เห็นบอกว่ามีธุระต้องไปจัดการ ถามมันก็ไม่บอก” แม่พูดถึงเลขาส่วนตัวของตัวเอง ด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“ลาตั้งแต่เมื่อไร”

“วันนี้แหละ มาบอกเมื่อเช้า ทำไมมีอะไร”

“ก็พี่เขาพูดกับผม ตอนที่เจอกันที่หลุมศพบี พูดเหมือนเขารู้ว่าใครเป็นคนทำ”

แม่ไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองหน้าผมนิ่ง ๆ

เสียงโทรศัพท์ทำลายบรรยากาศน่างุนงงและใช้ความคิดของผม

“นี่หายไปไหนมารู้ไหมฉันโทรหากี่รอบแล้ว”

(ทราบครับ)

“มี...”

(คุณหนูครับ)  ผมยังไม่ทันได้บอกสิ่งที่คิดอยู่ในใจคิดก็ขัดขึ้นมาซะก่อน

“ว่ามา”

(ผมได้กล้องวงจรปิดเมื่อสามปีก่อนมาแล้วครับ และก็ได้พยานปากสำคัญคดีคุณพายุด้วยครับ ตอนนี้ผมอยู่ชลบุรี แต่ผมมีไฟล์บางส่วนที่อยากส่งให้คุณหนูดูก่อน)

“ส่งมา”

(คุณหนู ห้ามบุมบ่ามนะครับ) ไม่มีอะไรทำให้ผมอารมณ์ร้อนได้มากกว่านี้อีกแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าแม่ไม่ใช่คนทำ แต่ใช่ว่าผมจะไม่โกรธไอ้คนทำ

คิดว่างสายไปแล้ว รอชั่วอึดใจเดียว เสียงแจ้งเตือนก็ดังตามมา ไฟล์วีดีโอที่ผมได้รับผ่านทางแอพริเคชั่นนั้น ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ที่เห็นชัดถึงแม้ภาพจะเบลอขนาดไหนก็คงเป็นเขา ผมสีเทาควันบุหรี่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใส่ไปวันนั้น เขายืนหันหลังให้กับกล้องกำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนในขณะนั้น ไฟล์วีดีโออีกอัน ที่มองเห็นหน้าของบีชัดเจน แต่เพียงแค่เสี้ยวเดียว โฟกัสหลักของกล้องกลับตรงไปที่รถที่ตอนนี้เห็นปลายขาเลยออกมาจากใต้ท้องรถ

หลังจากที่ผมดูทั้งสองคลิปจบแล้ว ความรู้สึกคุ้นก็ติดอยู่ในหัวแต่นึกไม่ออก ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร ซึ่งถ้าดูกันตามหลักแล้ว คงไม่พ้นเรื่องสมรู้ร่วมคิดแน่ๆ

Kid: ต่อไปเป็นภาพนิ่งนะครับ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

Kid: ส่งรูปภาพถึงคุณ

 

 

รูปภาพจำนวนสี่รูปถูกส่งมาเครื่องของผม และแค่ไม่นานรูปนั้นก็ชัดเจนขึ้นจากการโหลดเรียบร้อย และภาพของผู้หญิงคนนั้น

 

 

 

 

“ไม่จริง!!!!”

 

 

 

TBC

 

 

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ใกล้จบแล้วนะ มีใครลองเดากันบ้างไหมว่าใครเป็นคนร้าย แต่ไม่ใช่แม่นะ ไม่ใจดี แต่ก็ไม่ใจร้ายนะจ๊ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2017 20:19:23 โดย pradoza »

ออฟไลน์ bemue_am

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งื้อสนุกกกก ทำไมพึ่งเห็น  :mew1:

ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
=18=




“ทานนี่ซิคะ จะได้ทานยา” เสียงหวานหูพร้อมกับช้อนที่มีข้าวต้มอยู่เต็มช้อน ยื่นเข้ามาใกล้หน้า เหมือนไม่ได้ต้องการป้อนแต่ต้องการราดใส่หน้าซะมากกว่า

“อย่าดื้อซิคะ คุณพายุไม่ทานอะไรเลย เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอซีหรอกค่ะ”  น้ำเสียงไพเราะทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงซะคุณซีก็ไม่ได้รักผมอยู่แล้ว”

“รู้ตัวแล้วหรือค่ะ นึกว่าจะโง่อีกนานซะอีก”

“ครับ ผมรู้แล้ว แล้วคุณล่ะครับ”

“หมายความว่ายังไง”

“คุณรู้หรือยังครับ ว่าไม่ว่ายังไงคุณซีก็ไม่มีทางรักคุณ” เสียงกระแทกชามข้าวต้มกับโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงดังไปทั่วห้องมืดมิด

“คุณพายุ” เสียงกระแทกรอดไรฟัน เป็นสัญญาณของอารมณ์ครุกรุ่นของคนตรงหน้า

“เราต่างก็รู้ดี ว่าหัวใจของคุณซีมีแต่คุณบีเท่านั้น ถ้าผมไม่หน้าคล้ายคุณบี เขาเองก็อาจจะไม่คบกับผมก็ได้ ถ้าเขาคิดจะรักคุณ ผมคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้”

“ปากดีนักนะ”

ผมอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ไหว ร่างกายที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก ผมถูกจับตัวมาที่นี่เข้าวันที่สามแล้ว มีเพียงนาฬิกาข้อมือกับเข็มเรืองแสงที่พอจะบอกเวลากับวันที่ให้กับผมได้ ห้องมืดสนิทที่มองไม่เห็นใคร มองไม่เห็นแม้แต่หน้าตาของคนพูด แต่ผมจำเสียงเขาได้ดี และก็นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย คนที่ผมไม่เคยนึกถึงว่าจะเป็นคนทำร้ายผมได้

ความสงสารที่ผมเคยมีให้เขาก่อนหน้านี้ผมอยากจะขอคืนมันทั้งหมด เขาไม่เคยอยู่ในลิสต์รายชื่อของคนที่ทำร้ายผมเลยสักนิด ถ้าเขาเพียงแค่แสดงตัวว่าเกลียดผมให้ชัดเจนกว่านี้ โอเค ผมรู้ว่าเราไม่ได้ญาติดีกันนัก แต่เราไม่ได้เกลียดกันถึงขนาดตั้งใจฆ่ากันได้ขนาดนี้

“เอาล่ะ ยังไงก็กินซะ หรือต้องรอให้ผู้ชายมาป้อนถึงกินได้” ผมเบือนหน้าหนีช้อนคันเล็กนั้น

“ให้ผมจัดการเองดีกว่า” เสียงทุ้มที่ดูใจดี พูดขัดการกระทำบ้าๆ นั้นซะก่อน

“ลืมไป ว่าเป็นเกย์” น้ำเสียงที่ดูราบเรียบแต่แฝงด้วยความเย้ยหยันทำให้ผมรู้สึกหวิวโหวงอยู่ในใจไม่น้อย เสียงเดินด้วยรองเท้าส้นสูง และแสงจากประตูทำให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปแล้ว

“ทำไมไม่ทานล่ะครับ  แรงแทบจะไม่มีอยู่แล้ว บางทีคุณก็น่าจะทำตัวน่ารักบ้าง เธอจะได้ไม่โมโห เจ็บไหมครับ” ชามข้าวต้มถูกถือกลับมาอยู่ในมือใหญ่อีกครั้ง อีกมือที่ตอนนี้น่าจะถือช้อนกลับลูบเบาๆ ที่ขมับของผม ที่โดนตีเมื่อวาน

“ไม่ครับ”

“ทานเถอะครับ น้ำเสียงคุณดูอ่อนแรงซะจนผมกลัว” ช้อนที่เต็มไปด้วยข้าวต้มคันเดิมถูกยื่นมาอีก ผมอ้าปากรับข้าวต้มนั้นอย่างว่าง่าย

“แล้วทำไมไม่ทำตัวน่ารักแบบนี้กับเธอบ้างล่ะ” ถ้าผมหูไม่ฝาดเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอของคนตรงหน้า ที่แม้แต่หน้าก็มองไม่เห็นกัน

“คนเกลียดกันจะให้มาทำน่ารักใส่กันได้ยังไงกันครับ”

“ผมรู้แล้วครับว่าทำไมคุณซีถึงรักคุณนัก”

“...”

“ก็คุณน่ารัก ขนาดโกรธยังน่ารักเลยนะผมว่า” ผมรับข้าวต้มอีกคำ ผมอยากมองเห็นหน้าเขา จากน้ำเสียงเหมือนว่าเขากำลังยิ้ม

“ไม่รักหรอกครับ” ช้อนข้าวต้มนั่นชะงัก และวางกลับลงไปในชาม

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นครับ”

“สามวันแล้วนะครับ ผมว่ามันนานเกินไปแล้ว ไม่สิ ตั้งแต่ผมฟื้นผมยังไม่เห็นหน้าเขาสักครั้งเลย” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา

“ข้างนอกวุ่นวายน่าดูเลยครับ ทีมสืบสวนชุดใหญ่กำลังหาคุณกันให้ขวัก แถมมีคนสนิทคุณเอมาช่วยด้วย ไม่นานนี้คุณซีคงหาคุณเจอ และนั่นอาจทำให้เราต้องย้ายที่ซ่อนตัวคุณ” น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังมากกว่าทุกที ถึงรู้ว่ายังไงคุณซีก็คงต้องออกตามหาผมแน่ๆ แต่เรื่องที่น้อยใจกับเรื่องตามหาตัวผมกลับไปผมแยกมันออกจากกันอย่างชัดเจน มาหักกลบลบกันไม่ได้

“งั้นหรอครับ” ผมรับชามข้าวต้มมาถือไว้เอง

“ทำไมถึงคิดว่าคุณซีไม่รักล่ะครับ”

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของใครไปตลอด หน้าคล้ายกันแต่ไม่ใช่คนเดียวกัน ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่เขาทำ เขารู้สึกมันจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแค่อยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้เห็นคุณบีตลอดเวลา” ข้าวต้มในชามที่กินไปได้เพียงครึ่งถูกวางลง  ผมควานหาถ้วยเล็กที่ใส่ยาและกลืนมันลงคอ เพียงชั่ววิ แก้วน้ำก็ถูกยัดใส่มือ

“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับ”

“เข้าใจเขาดีหรอครับ” ผมคืนแก้วน้ำให้กับคนตรงหน้า

“ผมคิดว่าผมเข้าใจ”

“ทำไมถึงทำแบบนี้ครับ”

“ทำอะไรครับ”

“ทำไมถึงยอมร่วมมือกับเธอ คุณอาจจะติดคุกไปด้วยนะ”

“ผมรักเธอครับ  รักเธอมานาน ไม่รู้หรอกครับว่าเมื่อไร รู้ตัวว่ารักเธอก็พร้อมๆ กับที่รู้ว่าเธอรักคนอื่นนั่นแหละครับ” เรื่องนี้มันคือเรื่องน่าเศร้าที่สุดที่ผมได้สัมผัสมา การรักใครสักคนแล้วเขาไม่รักเนี้ย มันน่าเศร้านะว่าไหม

พวกเราทุกคนล้วนมัวเมาอยู่ในคำว่ารัก ผม คุณซี คุณคนแปลกหน้า และผู้หญิงคนนั้น ทำไมมันถึงได้ดูน่าเจ็บปวดขนาดนี้ แค่คำว่า รัก ทำให้พวกเรายอมทำทุกอย่าง ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายหัวใจที่อ่อนแอลงทุกวัน

“น่ากลัวจังนะครับ”

“???”

“คำว่ารัก มันน่ากลัว จริงๆ “

“เราเลิกคุยกันดีกว่าครับ แล้วก็พักผ่อนนะ ผมคิดว่าคืนนี้พวกเราคงต้องเดินทางกันจริงๆ แล้ว คุณซี คงไม่ยอมให้คุณหายไปเข้าวันที่สี่แน่ ผมรู้สึกได้” ถึงแม้คนแปลกหน้าจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังรู้สึกน้อยใจ มันเป็นความขัดแย้งที่ผมเองก็บอกไม่ถูก คิดถึงเขาอยากเจอเขามาก อยากกอด อยากให้เขาพูดว่ารักผม แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอเขาอีก รอดจากตรงนี้ไปได้ ผมอยากหายไปจากชีวิตเขา ใช่และเขาก็ต้องหายไปจากชีวิตผมด้วย ผมไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีก ผมไม่อยากเป็นตัวแทนของคุณบีไปตลอด เหมือนที่ผมเคยบอกไว้นั้นแหละ ว่าผมยอมไม่ได้ ที่จะเป็นตัวแทนเขาไปตลอด

 

 *************************************************************************************
 

 

             ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณเป็นเครื่องกำบังให้ผมและเหล่าตำรวจได้เป็นอย่างดี ตำรวจใช้เวลานานเกินไปมันเป็นสามวันที่ผมสุดจะทรมาน  คิดได้ขอให้เพื่อนเข้ามาช่วย แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันจะดูอืดอาดไปหมด “เราต้องไม่ประมาทเราต้องวางแผนไม่งั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวประกัน” นี่คือคำพูดที่ผมได้ยินเกือบจะตลอดเวลา ให้ตาย!! ผมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบเป็นบ้า ภาพของพายุถูกส่งเข้าเครื่องของผม จากเบอร์ที่ค้นหาไม่พบ ภาพที่เขามีเลือดซึมที่ขมับ มันถูกส่งเข้ามาเมื่อวาน ผมสติขาดทันทีที่เห็น แต่คงเป็นแค่ผมคนเดียว คิดและเหล่าตำรวจยังคงใจเย็น เย็นจนผมกลัวว่าพายุจะตายไปซะก่อน

          “บอกซิ ว่าจะเลือกยุ่งกับมัน แล้วพายุจะปลอดภัย” คำขู่ไร้สาระที่ส่งให้ผมทุกวันตั้งแต่วันแรกที่พายุถูกจับตัวไป ผมไม่เคยตอบข้อความนั้น แต่ไม่ใช่ไม่สนใจ ผมพยายามค้นหาประสานกับทางตำรวจแต่เป็นเบอร์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนทุกอย่างก็จบ และเบอร์ก็เปลี่ยนไปทุกๆ วัน  และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกทำร้าย 

ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ครั้งนี้ของเธอว่าเธอต้องการอะไร ทำไปเพื่ออะไร และที่ผมอยากรู้เหตุผลก็คือเรื่องเมื่อสามปีก่อน

          ตำรวจเข้าประชิดตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ มันน่าจะเป็นที่แรกที่ผมควรนึกถึงแต่ไม่เลย ผมไม่ได้คิดถึงที่นี่เลยสักนิด แสงไฟสีส้มจากหลอดกลมเพียงดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่กลางบ้านในตอนนี้ พวกเราเฝ้าดูอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะรู้แน่ชัดว่าพายุอยู่ห้องไหน ห้องใต้บันได ห้องที่ผมเคยใช้เล่นซ่อนแอบ มีเงาคนเดินเข้าออกจากตรงนั้น

ปัง!!!!


เสียงปืนมาจากทางหลังบ้านที่ติดกับทางเข้าป่า คิดยัดปืนกระบอกนึงให้ผม และวิ่งไปกับตำรวจอีกสองคน อีกสองคนที่อยู่กับผมกำชับปืนในมือแน่น นั่นรวมทั้งผมด้วย

ผมอ้อมไปเข้าทางข้างบ้าน ทางนั้นเป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่เข้าไปที่ห้องใต้บันได แต่คงไม่ทัน ไฟของบ้านทั้งหลังถูกเปิดจนสว่าง และทันทีที่ผมเปิดประตูพร้อมกับตำรวจอีกสองนาย

 

แพรวากำลังใช้ปืนจ่อขมับพายุ!!!!

 

เพราะพายุตัวเล็ก และสภาพยังไม่แข็งแรงดี นั้นทำให้ดูเหมือนเขาจะไม่มีแรงสู้ หน้าตาที่ดูอิดโรยนั่นทำให้หัวใจของผมแถบหลุดออกจากร่าง น้ำใสที่คลออยู่ที่หน่วยตาเล็กๆ นั้น ยิ่งทำให้ผมอยากเข้าไปกอดเขา และทันทีที่ผมก้าวเท้า ปืนพกพาสำหรับผุ้หญิงก็กระแทกเข้ากับขมับของพายุ ถึงจะไม่แรงนัก แต่ก็หยุดการกระทำของผมได้ทุกอย่าง

“แพร ปล่อยพายุเถอะ เขายังไม่หายดี” ผมใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเพียงแค่หวังให้เธอปล่อยคนรักของผม

“ไม่!!! ทำไมซีถึงมองข้ามแพรตลอดเลย”

“ซีไม่ได้รักแพรไง แค่นี้”

“ไม่จริง ถ้าไม่มีพวกมัน ซีก็ต้องรักแพรอยู่แล้วใช่ไหม เหลือแพรเพียงคนเดียวแล้วที่รักซี” น้ำตาของผู้หญิงตรงหน้าผมไม่ได้เรียกความสงสารจากผมเลยสักนิด เอาเข้าจริงถ้ามองข้ามเรืองเพศผมอยากชกหน้าแพรวาตรงนี้เลย สีหน้าของพายุดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว

“ต่อให้ไม่มีผม คุณซีก็ไม่รักคุณแพรหรอกครับ แค่ก “ เสียงไอปนกับเสียงพูดของพายุทำให้ผมแทบขาดใจ ตาหยีๆ ของเขาทำให้ผมรู้ว่า เขาคงถูกขังอยู่ในห้องมืดๆ นี้ตลอดสามวัน

“หุบปากไปเลยนะ” แพรวาพูดลอดไรฟันข้างหูตัวประกัน ถ้าพายุมีแรงดี แรงล๊อกของผู้หญิงแค่นั้นคงไม่ลำบาก ยังไงพายุก็เป็นผู้ชาย แต่ตอนนี้ตอนที่ร่างกายเขายังไม่แข็งแรง ยังคงมีผ้าพันแผลพันอยู่เหมือนกับตอนที่ออกจากโรงพยาบาลแค่แรงจะยืนยังเอาไม่อยู่

“แพร ต่อให้คุณทำอะไรพายุมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ายังไง ซีก็ไม่ได้รักแพร”

“งั้นซี่รักใครหล่ะ รักมันงั้นหรอ” น้ำเสียงปนเย้ยหยันที่ถูกส่งออกมายังไม่เท่ากับสายตาที่ต้องการฟังคำตอบของอีกคน

“หรือว่า ซีรัก ไอ้บี รักมันจนทุกวันนี้ เพราะหน้ามันเหมือนกันใช่ไหม ซีถึงเลือกมัน ถ้าไม่มีมัน ไม่มีพวกมัน ซีก็ต้องเลือกแพร ไม่มีใครเหมาะสมกับซีเท่าแพรอีกแล้ว” เสียงไอค่อกแคกของอีกคนยังทำหัวใจผมหล่นวูบอยู่ดี

“มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละ ปล่อยพายุไปเถอะแพร” ระหว่างที่กำลังเกลี่ยกล่อมกันอยู่นั้น ผมก็ดันเหลือบไปให้ใครอีกคน ที่ไหล่ขวาของเขามีรอยกระสุน ขจรโดนยิง

“ไม่จริง ก่อนหน้านี้ ซีไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย ใจร้าย ซีใจร้ายที่สุด ไม่รู้สึกได้ยังไง ไม่รู้ได้ยังไงว่าแพรรักซีมากขนาดไหน  คิดว่าขจัดยัยดาวไปได้ ทุกอย่างจะจบ ก็ดันมีบีเข้ามาอีก”

“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับดาว”

“ฮึ ซีคิดว่า ผู้หญิงโง่แบบดาว จะดูออกเองเหรอ ว่าไอ้บีมันชอบซีถ้าไม่มีคนสะกิดมัน ไม่มีคนบอกมันมันจะรู้เหรอ พวกสวยแต่โง่แบบนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร”

“นี่ มีเรื่องอะไรบ้างที่แพรทำ นี่แพรทำอะไรลงไปบ้าง”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย ท่าทางของซีที่ไม่ตกใจเลยตอนเห็นแพรไม่ได้หมายความว่า ซีรู้เรื่องมาก่อนหรอ”

สีหน้าของพายุเริ่มน่าเป็นห่วงมากกว่าเก่า เสียงหอบหายใจที่ดังมาเป็นระยะ แผลที่หัวที่น่าจะโดนตีเมื่อวาน ตามภาพที่ผมได้รับ เริ่มมีเลือดซึมออกมาอีก ผมเหลือบตามองดูเหมือนพี่จรจะค่อยๆ เดินมาข้างหลังแพร โดยที่เธอไม่รู้ตัว ช่วงเวลาไม่ถึงวิ ผมเหลือบมองเห็นสายตาที่ส่งมานั้นทำให้ผมรุ้ว่าพี่จรต้องการให้ผมถ่วงเวลาและเรียกความสนใจจากอีกคนที่ถือปืนจ่อขมับพายุอยู่

“แพร อย่าทำแบบนี้เลยนะ ถ้าแพรยอมปล่อยพายุ ซี จะคิดเรื่องของเราใหม่”  สีหน้าที่ดูดีใจของแพร มีให้เห็นไม่นานนัก แล้วคิ้วก็กลับมาขมวดอีก

“โกหกอีกแล้วนะซี”

“จริงๆ คุณก็รู้นี่ครับ คะ แค่ก ว่า ยังไง คุณซี คะ แค่ก ไม่มีทางรักคุณ” เสียงไอปนเสียงหายใจหอบ แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่คิด

“จะตายอยู่แล้วยังไม่เงียบปาก” ปลายกระบอกปืนถูกดันหัวคนดื้อที่ฝีนร่างกาย จนผมแทบอยากจะเข้าไปกระชากออก

“ซีก็รู้ว่ายังไงแพรก็ไม่ยอม แพรทำได้ทุกอย่าง แพรบอกคุณป้าเรื่องบีกับซี แพรกระจายข่าวในวงสังคมแบบลับๆ เพื่อให้เข้าถึงหูคุณป้า ซีก็รู้ว่าคุณป้าห่วงหน้าตาตัวเองแค่ไหน ข้างหลังไม่ต้องขยับ ถ้ามีตำรวจคนไหนก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว หัวไอ้นี่กระจุยแน่” เสียงแพรวาประกาศกร้าว หลังจากที่ตำรวจอีกสองนายกำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้

“ทำทุกอย่างให้คุณป้าเรียกบีมาคุย แต่ก็ไม่เป็นผล จนถึงซี ขนาดมีเรื่องหย่า ซีก็ไม่ยอมเลิกกับมัน รักมันมากนักหรอ” พูดไป ก็เหมือนกับระบายอารมณ์กับคนที่ไร้เรี่ยวแรงที่ตัวเองล๊อกคออยู่

“อุตส่าห์ดันด้นตามไปถึงสุสานพ่อกับแม่มัน ขอร้องมันดีๆ ว่าแพรรักซีมากแค่ไหน แต่มันก็กลับบอกว่ามันก็รักเหมือนกัน ตลก ผู้ชายกับผู้ชาย มันน่าขยะแขยง แล้วความคิดของแพรก็คิดได้ แพรบอกว่าเรามีอะไรกัน วันนี้บีไม่อยู่ แพรมีนัดกับซี แต่มันตอบไงรู้ไหม มันบอกว่าขอให้มันได้เห็นกับตามันถึงจะเลิก ขอให้ซีเป็นคนบอกมันเองว่าไม่รักมันแล้วมันจะไป ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ มันก็คงต้องตายแล้วหละ ถึงจะเลิกรักซี แล้วยังไง แพรก็เลยทำให้มันตายสมใจ แต่ก็น่าเสียดายนะ จริงๆ แพรไม่ได้อยากให้มันตายเลยด้วยซ้ำแต่มันใจเสาะทนเห็นแพรกับซีจูบกันไม่ไหวถึงได้แหกโค้งตายแบบนั้น”

“ผิดแล้วล่ะครับ คุณแพรเข้าใจคุณบีผิดแล้ว”  ทั้งแพรและผมต่างก็มองหน้าอีกคนที่กำลังเหมือนรวบรวมกำลังเพื่อที่จะพูด

“คุณบีไม่เคยเข้าใจคุณซีผิด คุณบีไม่เคยคิดว่าคุณซีนอกใจ เหมือนกับผม ที่ไม่เคยคิดว่าคุณซีจะรักใครคนอื่นนอกจากคุณบีได้ ตอนนั้นคุณบีแค่ต้องการหลบไปก่อน มันก็จริงที่คุณบีทนเห็นคนรักของตัวเองจูบกับคนอื่นไม่ได้ แต่ คุณบีไม่โกรธคุณซีเลยสักนิดครับ เขายังคงรักคุณ รักเหมือนเดิม” ประโยคสุดท้ายที่พูดออกมา เหมือนพูดกับผม สายตาที่มองผม ทำให้ผมอยากเข้าไปกอดเขา แต่ไอ้ปืนบ้านั้นก็ยังจ่อหัวเขาอยู่ พี่จรกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาและดูท่าทางของแพรอยู่ห่างๆ

“ไม่มีแรงจะพูดยังปากดีอีก เรื่องแกก็เหมือนกัน ฉันเป็นคนเป่าหูให้คุณป้าทำทุกอย่าง เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับแกมันเป็นเพราะฉันทั้งนั้น และคนที่เสนอเรื่องให้คุณอัลเบิร์ตเข้ามาในช่วงจังหวะที่คุณลุงกับซีไม่อยู่ ก็ฉันอีกนั้นแหละ และเป็นฉันเอง ที่ทำให้รถแกเบรกแตก แต่แปลกนะ ฉันอยากให้แกตาย แต่แกกลับดวงแข็ง รอดจนมาปากดีใส่ฉันได้ ฮึ แกคิดว่าฉันจะยอมหรอ ที่ทุกครั้งที่ไปห้องซีต้องเห็นไอ้รูปบ้าๆ พวกนั้น แกคิดว่าฉันจะยอมใช่ไหม” 

ด้ามปืนแข็งถูกทุบเข้าที่ท้ายทอยของอีกคน จนร่างทั้งร่างลงไปกองกับพื้น พี่จรใช้จังหวะนี้ในการจู่โจมเข้าจับตัวแพรจากทางด้านหลัง

 

 

ปัง!!!

 

แพรลั่นไกปืนมันเป็นช่วงชุลมุนวุ่นวาย ลูกปืนเฉียดต้นแขนผมไปเพียงนิดเดียว ผมเซถลารับร่างทั้งร่างของพายุ และกอดเขาไว้แน่น ไม่ได้สนใจ แผลที่ต้นแขนเลยสักนิด และนั่นทำให้การกระทำของแพรที่กำลังต่อสู้สุดกำลังหยุดลง

“ซี แพรไม่ได้ตั้งใจ แพรขอโทษ” ผมเพียงแค่เงยหน้ามองแพรแค่นั้น ไม่ได้แม้แต่ตอบว่าไม่เป็นไร ผมอภัยให้เธอซึ่งนั้นผมคงมอบให้เธอไม่ได้


“ตัวเปี๊ยก มองฉัน ตื่นซิ อย่าหลับ อย่าเป็นอะไรไปอีก ฉันขาดนายไม่ได้ นายก็รู้ ตัวเปี๊ยก”

ผมเห็นแพรทรุดตัวลงตรงหน้าอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องไห้ปานจะขาดใจ แต่ผมจะไม่ปล่อยพายุอีกแล้ว

“ซีมาหาแพร มาปลอบแพร แพรรักซีนะ รักซีมากกว่าใคร รักซีมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ที่บ้านเรายังอยู่ข้างกัน ซี มาหาแพร มาหาแพร ฮึก ฮื่อออ ซี มานี่นะ”

“ซีขอโทษนะแพร”

“ทำไม ทำไมไม่เป็นแพร ทำไมซีถึงมองคนอื่นตลอดเวลา แพรขจัดทุกคนออกไปจากซี แม้กระทั่งเอมมี่ ทำไม ทำไมซีถึงทำแบบนี้ ทำไมไม่มองเห็นแพรบ้าง มันไม่ได้รู้จักซีเลย มันไม่ได้รักซีเท่ากับที่แพรรัก ซี ซีกลับมาหาแพร มาหาแพร”

ภาพของเพื่อนสนิทที่โดนหิ้วปีกออกไป พร้อมกับน้ำตาทำให้ผมแทบขาดใจ แพรวา ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุด ยังคงเป็นเพื่อนที่ผมคิดถึงมากที่สุด และ เป็นเพื่อนที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากที่สุด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะ ผมเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนใช่ไหม เรื่องมันถึงได้ลงเอยแบบนี้

 *********************************************************************************


คนป่วยยังหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ เรื่องนี้วนกลับมาอีกแล้ว ผมทำให้พายุเหนื่อยเกินไป เขาเจอเรื่องบ้าๆ พวกนี้เพราะผม ภาพที่เขาหลับพริ้มยิ่งทำให้ผมเจ็บปวด ถึงหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากเพราะร่างกายยังอ่อนแอ และยังเจอเรื่องแบบนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะหมดสติ “ปล่อยให้คุณพายุชาร์ตแบตซักพักนะไอ้ซี” คำพูดติดตลกของไอ้หมอไม่ได้ทำให้ผมยิ้มเลยสักนิด

แพรสารภาพหมดเปลือกและบอกว่าตัวเองเป็นคนสั่งการทุกอย่าง ถึงแม้ว่าพี่จรจะเป็นคนที่กระทำการทุกอย่าง แต่เธอก็บอกเองว่าเธอรับผิดทั้งหมด พี่จรเป็นคนลงมือตัดสายเบรก

พี่จรทำทุกอย่างไปเพราะรักแพรวา รักมากและทนไม่ได้ที่จะเห็นแพรต้องร้องไห้ทุกๆ ครั้งที่ผมมีแฟน นั่นเป็นสาเหตุที่เขาพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่แพรสั่ง แม้กระทั่งฆ่าคน แต่เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณเขา คิดบอกว่า เขาได้คุยกับพี่จรก่อนที่พายุจะหายตัวไป พี่จรเป็นคนแนะนำให้ลองไปคุยกับบาทหลวงคนก่อน ว่าเหตุการ์ณเมื่อสามปีก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง และก็ได้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโบสถ์ และข้อมูลจีพีเอส ที่คิดได้รับจากเบอร์ที่ไม่ได้ลงทะเบียนที่ระบุสถานที่ที่จับตัวพายุก็มาจากพี่จรเหมือนกัน  “คุณซีรักคุณพายุมากผมรู้” คำพูดประโยคเดียวที่ผมได้ยินก่อนที่พี่จรจะถูกใส่กุญแจมือ

แพรเป็นคนแนะนำเอมมี่ให้ไปเปิดตัวกับพ่อในตอนนั้นเพราะเธอรู้ว่าผมจะไม่ชอบใจและขอเลิกในที่สุด เป็นคนบอกแม่เรื่องที่อยู่ของพายุ และดูเหมือนจะตามสืบเรื่องพายุตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ต้องยอมรับว่าแพรมีเซนต์เรื่องนี้ และเธอบอกว่าเธอแน่ใจมากขึ้นว่าพายุต้องชอบผมแน่ๆ ก็ตอนที่เธอเอาสเต็กมาให้แล้วเราเกือบจูบกัน “สีหน้าของมันชัดเจนจะตาย”

ถึงจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้บีตาย แต่ถ้าถึงขนาดตัดสายเบรกกันแล้วมาพูดแบบนี้มันก็ขัดกันไปหน่อย วันนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าที่พี่จรบอกว่าผมเข้าใจผิดเรื่องแม่ก็เป็นแบบนี้เอง

แม่เพียงแค่มามองพายุตอนที่ยังไม่ฟื้นไม่ได้พูดอะไรแล้วกลับไป “ฉันจะไปดูหนูแพรที่สถานีตำรวจ”  แพรยังเป็นที่รักของพวกเราเสมอ เอตกใจมากกว่าใครที่สุด เพราะแพรเป็นเหมือนกับน้องสาว และเป็นเหมือนกับเลขาของเอด้วย ท่าทางน่ารักสุภาพ มันผิดจากที่คาดการณ์ไว้มาก “ไม่เป็นไรก็ดี ท่าทางจะชอบนอน ไม่ฟื้นสักที” เอชายตามองคนที่นอนหลับ ตบไหล่ผมสองสามครั้งแล้วออกจากห้องไป

ผมโทรบอกพ่อกับแม่ของพายุ และแน่นอนท่านต้องตกใจและโกรธผมมาก ยืนยันว่าให้ผมไล่พายุออกจากงานซะ และปล่อยตัวลูกชายเขากลับบ้านซะที นั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมยังคิดไม่ตกตอนนี้ ผมไม่อยากจากเขาไปไหนอีกแล้ว

ส่วนอีกเรื่อง คำพูดของพายุ คุณบีไม่เคยคิดว่าคุณซีนอกใจ เหมือนกับผม ที่ไม่เคยคิดว่าคุณซีจะรักใครคนอื่นนอกจากคุณบีได้  ที่ผมต้องแก้ไข หลังจากที่คำพูดมันวนอยู่ในหัว ผมก็เข้าใจแล้วว่าพายุต้องคิดว่าผมไม่รักเขาแน่ๆ และที่ผมไม่ได้มาเจอเขาเลยเขาก็ต้องคิด นั้นมันไม่ผิด เพียงแต่เขาเข้าใจผิด

ผมไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าเขา เพราะเขาเป็นตัวแทนของใคร แต่ที่ผมหลบเพราะผมละอายใจ ที่เรื่องของเขามันซ้ำกับของบี จนผมทนมองหน้าเขาไม่ได้ ทำไมคนที่ผมรักต้องเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้เพราะผม ถึงแม้ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ แต่ผมก็จะไม่ยอมให้เรื่องมันบานปลายจนกลายเป็นว่าเขาเกลียดผมหรอกนะ

 

“อื่มม น้ำ ขอน้ำหน่อยครับ” เสียงอู่อี้จากคนป่วยทำให้ผมลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง รินน้ำใส่แก้วพร้อมหลอดให้กับคนขี้เซ้า

“ตื่นแล้วหรอ คนขี้เซ้า” สายตานิ่งที่ส่งมานั้นทำให้ผมกลัว กลัวซะจนไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตัวเปี๊ยกจะกลับมาให้ผมอีกเมื่อไร

“เจ็บไหมครับ” นิ้วเล็กๆ นั้น ที่ท่าทางดูอ่อนแรง ยกขึ้น แตะที่ผ้าพันแผลตรงต้นแขนของผม ผมจับมือนุ่มๆ นั้น แล้วกำมันไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่ผมมี พร้อมกับส่ายหน้าให้ไปเป็นคำตอบ

“พักสักหน่อย เดี๋ยวไอ้หมอก็มา แล้วกลับบ้านเรากันนะ”

“คุณแพรเป็นยังไงบ้างครับ” ยังมีกระจิตกระใจไปห่วงเขาทั้งๆ ที่เขาทำให้เป็นถึงขนาดนี้

“อยู่สถานีตำรวจ”

“ผู้ชายคนนั้น มีทางช่วยเขาไหมครับ เขาดูแลผม และดีกับผมมาก”

“นายหมายถึงพี่จรหรอ เรื่องสามปีก่อนเขาเป็นคนตัดสายเบรกคราวนี้ก็เหมือนกัน ต้องรอรูปคดีอีกที แต่คงทำอะไรไม่ได้มาก”

“งั้นหรอครับ” น้ำเสียงอ่อยลงไป แถมยังเมินหน้าหนีอีก

“เป็นอะไร ไม่หันมามองกันเต็มๆ ตาหน่อยเหรอ ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ไม่อยากมองครับ” หัวใจผมกระตุกวูบ เขาตอบในทันทีโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ เหมือนเป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่มีผลต่อความรู้สึกอะไรสักอย่าง

“ตัวเปี๊ยก”

“หยุดเรียกแบบนั้นเถอะครับ ผมมีชื่อ” ผมถูกเกลียดแล้ว

“พายุ” ผมลูบกลุ่มผมนั้นอย่างเบามือ หวังทุเลาความโกรธเกลียดที่เขามีต่อผม

“อย่าเลยครับ อย่าทำให้ผมเข้าใจว่าคุณรักผมเลย ผมคือผม ผมเป็นตัวแทนของใครให้คุณไม่ได้”

“นายกำลังเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ดะ...”

“ผมไม่รู้จริงๆ  ว่าคุณต้องการให้ผมอยู่ในฐานะอะไร”

“ตัวเปี๊ยก นายเป็นคนรักของฉัน คนรักของฉันไง”

เขาสะบัดมือผมออกและนอนหันหลังให้กับผม และเอ่ยประโยคที่แทบจะทำให้ผมตายทั้งเป็น

 

“คุณจำคนผิดแล้ว ผมไม่ใช่คุณบี”

 



TBC

เจอศึกหนักแล้วคุณซี สู้ๆ นะ  :ling3:

ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่านนะคะ ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ ขอบคุณค่ะ

ตอนหน้าจะมีคัทซีน ไม่รู้ว่า กฎของเล้าจะอธิบายได้มากขนาดไหน แฮ่ :hao4:
เม้นมาบอกเค้าด้วย เผื่อจะไปเกลาให้สละสลวยแค่พองาม แบบแค่กอดกันตัดฉากโคมไฟงี้  :o8: 

รักคนอ่านนะจ๊ะ :กอด1:

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
=19=



ท้องฟ้าวันนี้สดใส ยังคงสดใสเหมือนเมื่อสามเดือนก่อน และยังคงงดงามเหมือนเมื่อตอนที่เราเจอกันครั้งแรก ทุกๆวันของผมในไร่พายุตะวัน ที่ไม่มีคุณซีคอยป่วนเปี้ยน มันรู้สึกเหงาจนบอกไม่ถูก และรู้สึกทรมานจนยากจะอธิบาย ผมผ่านมันมาได้ และมันเป็นเรื่องที่ผมสมควรจะเก็บไว้เป็นบทเรียน ไม่มีใครทำร้ายใจเราได้ นอกจากตัวเราเอง สามเดือนก่อน ที่ผมสะบักสะบอมกลับมาบ้าน ทันทีที่พ่อรู้เรื่องการลักพาตัว ก็เหมือนผมโดนลักพาตัวอีกรอบ เราเดินอาดๆ ออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ได้รับคำอนุญาติจากหมอ “บอกไอ้ซีมันหน่อยดีไหมครับ ผมบอกให้มันออกไปหาอะไรกิน” คำพูดของหมอวุฒิไม่ได้ทำให้ขาทั้งสองข้างของพ่อ และมือทั้งสองข้างที่กุมมือผมกับมือแม่ลดกำลังลงเลย

ทันทีที่เราขึ้นรถกะบะคันใหญ่โดยที่พ่อเป็นคนขับ ประโยคแรกและประโยคเดียว ตลอดการเดินทาง “จะอยู่ให้มันทำร้ายอยู่ทำไม” และทั้งผมและแม่ก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก คุณซีโทรมาไม่ได้หยุด เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ตลอดเวลา พ่อแค่ปรายตามองผ่านกระจกมองหลังและก็ไม่ได้บอกให้ผมรับหรือไม่รับ หลังจากที่พูดประโยคนั้นไป ผมกลับรู้สึกผิดขึ้นมาซะเอง ทั้งๆ ที่ผมก็รู้อยู่แล้ว ว่าคุณซีน่ะรักผมแค่ไหน ผมเชื่อแบบนั้น และก็ยังเชื่ออยู่ตลอด แต่ที่ผมพูดไปกับคุณแพรนั่นก็เรื่องจริงทั้งหมด ผมไม่คิดว่าคุณซีจะรักใครได้อีกนอกจากคุณบี ซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกนั้นเหมือนกัน มันเป็นความย้อนแย้งในใจผมจนเรียบเรียงเป็นคำพูดลำบาก

ผมคิดถึงคุณซีและยังคิดถึงมาก ถึงแม้ว่าจะผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว แต่ก็ยังทรมานอยู่

“ตัวเปี๊ยก ฉันไปหาได้ไหม”
“ตัวเปี๊ยก กินข้าวหรือยัง นอนพักด้วยหล่ะ”
“ตัวเปี๊ยก ที่โน้นฝนตกไหม ดูแลตัวเองด้วยนะ ที่นี่ตกหนักมากเลย”
“ตัวเปี๊ยก น้องปอมเรียกหาพี่ยุทุกวันเลยนะ ฉันเองก็ด้วย”
“ตัวเปี๊ยก ฉันคิดถึงนาย”

ข้อความที่ผมได้รับทุกๆ วันมันทำให้ผมใจอ่อนลงทุกที อยากจะขับรถเข้าไปหาเขาซะเดี๋ยวนี้ ผมกำโทรศัพท์ในมือแน่น เมื่อเห็นว่าข่าวทางทีวีช่วงข่าวสังคมสั้นๆ ได้บอกถึงข่าวลือเกี่ยวกับความสั่นคลอนของความมั่นคงในบริษัท ยิ่งทำให้ผมอยากตอบกลับข้อความเหล่านั้น อยากยืนใกล้เขาและบอกว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น

เนื้อข่าวไม่ได้มีอะไรนอกจาก บริษัทในเครื่อเกียรติกุลทั้งหมด กำลังประสบปัญหาขลาดแคลนเงินทุน และจ้องที่จะคว้ากำไรอย่างหนักหน่วงกับบริษัทที่มีชื่อเสียงทางฝั่งตะวันตก แต่กลับยังเลือกที่จะปฎิเสธและดูถูกบริษัทที่เล็กกว่า ว่าไม่มีอำนาจมากพอที่จะเหมาะสมเป็นผู้ร่วมทุนกับทางเกรียติกุล พอผมเห็นข่าวก็พอเดาทางได้ว่าไอ้ข่าวพวกนี้มันออกมาจากไหน

“บริษัทที่เราทำงานหรอ” ผมพยักหน้าตอบแม่แค่เพียงเท่านั้น หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบอีกหน “ตัวเปี๊ยก ฉันเหนื่อย” ผมกับแม่มองมันพร้อมกัน ผมยังมองหน้าจอนั้นนิ่งและไม่คิดทีจะสไลด์มันอ่าน

“นี่ ทำแบบนี้แล้วมันมีความสุขหรือไง อย่าไปฟังพ่อให้มากนัก หาความสุขให้ตัวเองซะยังจะดีกว่า”

“แล้วถ้ามันไม่ใช่ความสุขหละแม่”

“ยุ รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มีคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

“.....”

“อะไรมีความสุขก็ทำเถอะ” แม่เดินออกจากห้องรับแขกไป พร้อมกับความรู้สึกของผม เพราะตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าตาของคนที่คิดถึงมาตลอดอาทิตย์ปรากฎหล่าอยู่ในหน้าจอทีวี ด้วยที่โดนนักข่าวรุมซะจนแทบจะไม่มีทางเดิน

ผมกดปิดทีวี และยังคงจ้องโทรศัพท์เขม่ง ถ้าผมโทรไปเขาจะหายเหนื่อยไหม

ผ่านความทรมานจากการคิดถึงมาอีกอาทิตย์ ผมไม่ได้รับข้อความจากคุณซีอีก และก็ไม่มีการโทรเข้ามาด้วย ใจหนึ่งผมก็คิดว่าคุณซีต้องกำลังวุ่นวายกับเรื่องของอัลเบิร์ตแน่ ส่วนอีกใจก็คิดว่าคุณซีอาจเบื่อที่ง้อกันแล้ว แต่ยังไงซะผมก็ยังเข้าข้างตัวเองว่ามันยังเป็นข้อแรกอยู่

เรื่องของคดีความเมื่อสามปีก่อน และคดีของผมถูกคลี่คลายแล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเจ้าของคดี ผู้ชายแปลกหน้าที่คุณซีบอกผมตอนอยู่โรงพยาบาล ชื่อขจร เป็นลูกชายของลุงจวง และเป็นคนสนิทของคุณเพชรสินี เขาน่าจะรักคุณแพรมานาน คุณแพรกลับคำให้การว่า เธอไม่เคยบอกให้ขจรทำอะไรทั้งสิ้น เธอไม่ได้เป็นคนสั่งให้ไปฆ่าใคร ซึ่งมันก็ตรงกับคำให้การของคุณขจร “เธอแค่บอกว่าไม่อยากเห็นคนๆ นั้นอีกแล้ว และผมก็ทำมันเองทุกอย่าง” นั้นคือคำตอบของการกระทำทั้งหมด คุณแพรไม่ได้รับความรักดีๆ แบบนี้มันน่าเสียดาย เรื่องอุบัติเหตุที่หน้าบริษัท เรื่องที่ผมโดนไล่จากคอนโด นั้นก็เป็นฝีมือคุณขจรเหมือนกัน แต่เป็นคำสั่งของคุณเพชรสินี แค่ทำยังไงก็ได้ ให้ผมออกไปจากชีวิตลูกชายเขา ซึ่ง คุณขจรก็บอกอีกว่า “ทุกอย่างผมคิดเองว่าการทำแบบนั้นน่าจะทำให้คุณพายุออกไปจากชีวิตคุณศิริวัฒน์ นายหญิงไม่เคยสั่งให้ผมไปทำร้ายใคร ผมคิดเอง” ตามรูปคดีจำเลยก็เลยกลายเป็นขจรไปซะ ส่วนคุณแพรยังหนีไม่พ้นเรื่องลักพาตัว กักขัง ซึ่งคุณขจรก็รับอีกว่าเขาเป็นคนต้นคิด คุณแพรไม่ใช่ตัวหลักในเรื่องนี้  แต่ยังไงซะคนไม่รักก็คือไม่รัก คุณแพรยังเรียกหาคุณซีอยู่ตลอดเวลา

ผมมีโอกาสไปเยี่ยมคุณขจร หลังจากผ่านเหตุการ์ณบ้าๆ นั้นมาได้เดือนหนึ่ง กระจกกั้นเจาะรูเพียงเล็กน้อยที่ทำให้เราได้คุยกัน

“ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณชัดๆ เป็นครั้งแรก” ผมได้รอยยิ้มเล็กๆ กลับมาเป็นคำตอบ “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” และผมได้คำตอบเหมือนเดิม แถมการส่ายหน้าเล็กๆ มาด้วย

“ผมมีผลไม้จากสวนมาด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะให้คุณทานได้ไหม ผู้คุมเอาไปแล้วนะครับ” คำตอบกลับมาคือการพยักหน้าอีกรอบ

“ทำไมถึงรับผิดอยู่คนเดียวหละครับ”

“คุณยุไม่น่ามาที่แบบนี้เลยครับ”

“ทำไมผมจะมาไม่ได้ ผมมาหาคนที่เคยช่วยชีวิตผมนะ”

“คุณซีรู้คุณต้องโดนเอ็ดแน่ครับ” ผมไม่รู้ว่าส่งสายตาแบบไหนไปให้หรือว่าทำหน้ากระอักกระอ่วนจนอีกคนสังเกตเห็น “ทะเลาะกันหรือครับ” ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ส่งยิ้มที่อธิบายไม่ถูกออกไป แต่มันก็คุ้ม เพราะผมได้เสียงหัวเราะจากอีกคนกลับมา

“คิดเรื่องคุณบีหรอครับ คุณซีไม่ได้รักคุณบีแล้วหละครับ วางใจได้”

“คุณรู้ใจคุณซีหรอครับ”

“ถ้าคุณได้เห็นตอนที่เขาคุกเข่าร้องไห้ อ้อนวอนบอกให้ผมเล่าถึงเรื่องอุบัติเหตุของคุณ ตอนที่คุณยังไม่ได้สติ คุณต้องไม่ถามผมแบบนี้แน่” ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาอีกคนที่ตอนนี้กำลังมองผมเหมือนผมทำอะไรผิด

“เขาเป็นเพื่อนกันมานาน ก่อนที่จะเป็นคนรัก ขาดใครไปสักคนมันก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดาครับ ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนรักกัน แค่เพื่อนกัน ถ้าคุณบีจากไปแบบนี้ เชื่อเถอะครับว่าคุณซีก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ยิ่งก่อนหน้านั้นคุณซีเข้าใจว่าคุณบีตายเพราะตัวเองยืนจูบกับ ... กับแพร ทำให้ขาดสติในการขับรถถึงเกิดอุบัตเหตุด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เศร้าหนักไปกันใหญ่ สามปีก่อน สองปีก่อน ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขายังรักกันอยู่ไหม แต่ตอนนี้ ผมกล้ายืนยันว่าไม่แล้ว” ประโยคยาวถูกพูดออกมาจนหมด นี่คงจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่คุยกันมา ก่อนที่ผู้คุมจะบอกว่าหมดเวลา

ผมเหลือบเห็นในสมุดลงชื่อเยี่ยมผู้ต้องหา ศิริวัฒน์ เกียรติกุล เซ็นต์ต่อจากชื่อของผม

“ขอโทษนะครับ คนนี้เขาไปไหนแล้ว”

“น่าจะกลับไปแล้ว เขามาเยี่ยมคนเดียวกับคุณ”

“อ่อ ครับ” ไม่รู้ว่าผมหวังอะไร ทั้งๆ ที่เป็นผมเองที่ไม่ได้อนุญาตให้เขามาหา ทั้งๆ ที่ข้อความพวกนั้นจะถามอยู่ตลอดว่ามาหาได้ไหม แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่า ถ้าเราบังเอิญเจอกันความทรมานจากการคิดถึงของผมมันคงได้เยียวยา แต่ก็ไม่ ผมยังคงนั่งรออยู่ตรงนั้น รอให้เขาไปไกลกว่านี้ รอให้เราไม่บังเอิญเจอกันทั้งๆ ที่ผมอยากเห็นหน้าเขาใจแทบขาด

ผมขับรถกะบะคันใหญ่ของพ่อกลับไร่ และลายมือหวัดๆ นั้นก็ยังติดตาไม่ต่างจากเจ้าของของมัน

“ตัวเปี๊ยก คิดถึงจัง นี่นายนั่งอยู่ในนั้นนานเท่าไร ไม่อยากเจอกันขนาดนั้นเลยหรอ ไม่เป็นไรหรอกนะ แค่ฉันได้เห็นหลังเล็กๆ นั้น มันก็ดีมากแล้ว”

ข้อความที่ถูกส่งมาหลังจากที่ผมออกจากเรือนจำมาไม่ถึงร้อยเมตร คุณซียังคงอยู่แถวนี้ซินะ ทำให้ผมหาคำตอบได้ว่า ไม่ว่าจะบังเอิญเจอกัน หรือตั้งใจเจอกัน ผมก็ยังทรมานกับการคิดถึงอยู่ดี นี่ผมไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เห็นแค่ลายมือหวัดๆ นั้นก็อยากจะกลับรถกลับไปซะแล้ว

ผมมาถึงไร่โดยสวัสดิภาพกับการมีเรื่องกวนใจอย่างขมุกขมัว พ่อเป็นห่วงซะจนออกนอกหน้า เดี๋ยวนี้ไม่เกร็กทำเป็นไม่รักผมอีกแล้วหละ ผมเข้าในนั่งในห้องตะวัน เล่าเรื่องที่คับแค้นใจอยู่ในนั้น เขาเป็นพี่ชายที่ผมพูดได้ทุกเรื่อง

“ตะวัน ถ้ายุไม่ได้เป็นแบบที่พ่อหรือตะวันตั้งใจอยากให้เป็น ตะวันจะเกลียดยุไหม”

“แล้วแกยังจะเป็นน้องฉัน เป็นลูกของพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า”

“แล้ว ... แล้ว ถ้าเกิด ถ้า.. ยุ ไม่ได้ ชอบผู้หญิงหล่ะ” สายตาของพี่ชายเบิกโพลงเล็กน้อย แต่ก็ส่งยิ้มกลับมา

“แกก็ยังเป็นน้องฉัน เป็นลูกพ่อกับแม่อยู่ดี” แรงกอดเต็มอกของพี่ชาย ทำให้ผมร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ ตะวันยีผมของผมแล้วลูบมันอยู่แบบนั้นจนผมหายสะอื้น

ภาพของตะวันที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงตอนที่ผมสารภาพว่าเป็นเกย์ เพราะแอบชอบรุ่นพี่ที่เป็นนักบาสในโรงเรียน ยังอยู่ในหัวผมเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

“ตะวันยุรักเขา รักเขามาก เขาจะรักยุไหม เขาจะใช้ยุเพื่อเป็นตัวแทนของใครหรือเปล่า ยุทรมานมากเลย ที่ไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆ” พูดความในใจทั้งๆ ที่รู้ว่าตะวันไม่มีทางตอบกลับมา แล้วน้ำตาที่ตกอยู่ข้างในมันก็ไหล “ผมคิดถึงคุณครับคุณซี” และเสียงโฮของผมที่ปล่อยออกมามันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่มีทางที่จะหยุดรัก และหยุดคิดถึงเขาได้

เข้าเดือนที่สองของการกลับมาอยู่บ้าน พื้นที่ว่างท้ายไร่เป็นงานอดิเรกของผมที่คิดอยากจะลองทำดู ผมปลูกดอกไม้จนเต็มพื้นที่ และมันน่าจะกลายเป็นรายได้อีกทางของไร่พายุตะวัน ข่าวของคุณซีที่ลงในหน้าอินเตอร์เน็ตเวบไซต์หน้าธุรกิจ บอกว่าคุณซีเดินทางเข้าออกไทยเป็นว่าเล่น แถมเดินทางทั่วประเทศแทบยุโรปและอเมริกาด้วย ถ้าเดาไม่ผิด ก็คงไม่พ้นการไปสร้างไมตรีและไปแก้ข่าวแย่ๆ ผมติดต่อกับพี่ปริมบ้างบางครั้งและได้มีโอกาสคุยกันเล็กน้อยถึงเรื่องงาน คุณเพชรสินีช่วยอะไรไม่ได้นัก เพราะเพื่อนรักเพื่อนสนิทอย่างอัลเบิร์ต รู้สึกว่าเพชรชี่ของเขายอมง่ายเกินไปแล้ว สำหรับความแค้นใจกับการถูกนอกใจ ยิ่งกลายเป็นคุณเพชรสินีเข้าไปเจรจาความโมโหและข่าวลือเลยกระพรือมากขึ้น ข้อความของคุณซี ก็ห่างๆ ไปด้วย อาจเป็นเพราะงานที่ยุ่งมาก ถึงจะรู้เหตุผลแต่เวลาข้อความที่ขึ้นด้วย ตัวเปี๊ยก มันหายไปบ้างก็รู้สึกน้อยใจแปลกๆ

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผมได้แต่รู้ข่าวของคุณซีจากหน้าจอทีวี และอินเตอร์เน็ต มันก็ออกจะทรมานอยู่สักหน่อย “ตัวเปี๊ยก ถ้าเคลียร์ทางนี้เรียบร้อยแล้ว อยากไปหาจัง ได้ไหม”  ผมเปิดอ่านและมองหน้าจออยู่แบบนั้น “ไม่เป็นไร แค่นายอ่านก็ดีใจแล้ว” และนั่นก็เป็นข้อความที่ส่งมาอีกรอบ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ไม่ได้ตอบข้อความอะไรของเขาเลย ทั้งๆ ที่ผมโหยหาเขาแทบแย่

“ไอ้ยุ เดี๋ยวดอกไม้ให้พ่อเอาไปพร้อมกับผลไม้เลยไหม”

“เดี๋ยววันนี้ยุเข้าไปส่งเองก็ได้”

“เอางั้นหรอ ก็ดี วันนี้พวกเกษตรจังหวัดเขาจะมาด้วย พ่อจะได้ไม่ต้องรีบ”

“อื่ม ยุจะไปดูปุ๋ยมาใส่เยอบีร่าด้วย แล้วในไร่ในสวนจะเอาอะไรก็พ่อก็จดมาแล้วกัน”

“จะขับไปคนเดียวหรอ ทำได้หรอ” เสียงแม่ที่วางแก้วน้ำหวานลงตรงหน้า พลางหย่อนตัวลงข้างๆ พ่อ

“ฝนมามืดแล้วไอ้ยุ ไม่ต้องกลับดีกว่ามั่ง ไปค้างที่โรงแรมในเมืองที่แกจะไปส่งดอกไม้นั่นแหละ”

“ไม่เป็นไรพ่อ เดี๋ยวดูก่อนถ้าพอกลับมาได้ ยุจะกลับมานอนบ้าน”

“งั้นก็ไม่ต้องไป ขับรถมันอันตราย”  ผมเข้าใจความหมายของพ่อดี กลายเป็นคนวิตกกังวลไปแล้ว หลังจากที่เมื่อก่อนขับรถขับราได้สบาย กลายเป็นว่าต้องมาคอยห่วง ถ้ามืดไม่ต้องขับ ฝนตกไม่ตัองขับ “นี่ถ้าไม่ติดว่าพวกเกษตรจังหวัดจะมาดูสวน ก็ไปเองแล้ว”

“ตัวเปี๊ยก ฉันคิดถึงนาย”  หน้าจอสว่างวาบอีกครั้ง เราสามคนในห้องนั่งเล่นพากันมองไปที่จุดเดียวกัน ผมกดปิดหน้าจอให้มันมืดลงเหมือนเดิม พ่อมองหน้าพลางจดยุกยิกลงในกระดาษตามเดิม “พรุ่งนี้เช้าที่โรงแรมจะมีงาน ดอกไม้สำหรับพรุ่งนี้ผมจะให้พวกคนงานตัดแล้วออกเลย จะได้ดอกไม้สดๆ อีกอย่างเห็นว่าพวกจัดดอกไม้เก่งๆ ระดับแนวหน้ามากันด้วยผมอยากไปดู แอบบอกกับพี่แป้งไว้แล้วด้วย” สาธยายเหตุผลออกไปซะมากมาย เห็นพ่ออมยิ้ม แล้วกลับทำหน้าบึ้งอีกรอบ
 


   “มาเองหรอ” ผมสวัสดีพี่สาวคนสวย ที่อยู่แผนกจัดเลี้ยง พลางเรียกให้พนักงานมาช่วยกันยกดอกไม้ลงจากรถ พร้อมกับเสียงพูดอยู่ตลอดเวลา “เบาๆ หน่อยเดี๋ยวจะช้ำ”

   “ยุ ตัดเสร็จก็มาส่งเลยครับ แล้วนี่พวกทีมงานมากันหรือยังครับ”

   “อื่ม ก็ทยอยกันมาแล้วหละ อยากดูเขาจัดดอกไม้สิเรา” ผมยิ้มและพยักหน้าให้กับพี่แป้ง

   ภายในห้องจัดดอกไม้ของโรงแรมระดับห้าดาว ดูวุ่นวายไปหมด นอกจากดอกไม้สดที่สั่งจากไร่ของผมก็ยังมีของประดับตกแต่งอื่นๆ ที่กำลังทยอยขนกันเข้ามา เสียงโวยวายประโยคเดียวกับพี่แป้งเมื่อกี้เป๊ะ ทุกคนดูชำนาญไปกันหมด เอาจริงๆ มันสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผมอยู่มากโข คนที่โง่เรื่องดอกไม้ ทั้งๆ ที่เป็นคนปลูกเองแท้ๆ ก็เพิ่งเริ่มเองนี่ แต่ผมจะทำให้สุดฝีมือผมเลย

   “ดอกไม้มาส่งพอดีเลยค่ะ วันนี้น้องมาเอง แล้วก็ขอเข้ามาดูจัดดอกไม้ด้วยค่ะ” ผมได้ยินเสียงพี่แป้งรายงานถึงการมาของผม ซึ่งถ้าให้เดาน่าจะเป็นเจ้าของงานวันนี้

สิ่งที่ประสบกับสายตาแรกของผม คิ้วเข้มๆ ปากอิ่ม ผิวที่คล้ำลงไปนิดหน่อย ร่างสูง เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทพอดีตัว กับการเกงสีซีด ผมที่ไม่ได้เซท มีแว่นกันแดดเสียบไปที่สาบเสื้อกระดุมเม็ดที่สามเป็นเพียงปราการเดียวที่ไม่ให้มันตกลงไป สายตาที่ส่งมาให้ มันแสดงความคิดถึงโดยที่ไม่ต้องพูด ไม่มีรอยยิ้มที่ใบหน้าเราทั้งคู่ ไม่มีแม้แต่คำทักทาย โลกของผมมันหยุดหมุนและผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไป ถึงแม้ในห้องนี้จะวุ่นวายแค่ไหน แต่ผมก็เห็นเพียงแค่เขา

   “พายุนี่คุณซี เจ้าของที่นี่ พายุ ยุ ได้ยินพี่ไหม” แรงเขย่าจากรุ่นพี่ตัวเล็กทำให้เสสายตาจากคนตรงหน้า หันไปหาคนที่เรียกก่อนหน้านี้

   “พี่แป้ง ยุกลับก่อนนะครับ”

   “อ้าวไหนว่าอยากเจอพวกอาจารย์ที่จัดดอกไม้ไง”

   “ผมไม่ว่างแล้วหละครับขอโทษด้วย” ผมรีบเดินผละออกมาจากห้องจัดเลี้ยงทันที ผ่านหน้าคุณซีมาโดยไม่หันกลับไปมอง

ให้ตาย!!! ฝนตก

ฝนที่ตกลงเหมือนกับจะไม่ตกอีกแล้ว ฟ้ามืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็น

“ตัวเปี๊ยก เดี๋ยวก่อน” พอได้ยินเสียงคุณซีทั้งๆ ที่คิดถึงแต่ร่างกายกลับปฎิเสธ ผมสาวเท้าก้าวสู่สายฝนและตั้งใจจะเปิดประตูรถ แรงของน้ำฝนที่ปะทะใบหน้าทำเอาเจ็บไปหมด

“ตัวเปี๊ยก หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฝนตกเห็นไหม”

ผมพยายามเปิดประตูรถและออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ฝนตกแรงขนาดนี้คงกลับไร่ไม่ได้ แต่ผมก็จะไม่ยอมมองหน้าเขานานๆ แน่ แต่ดูเหมือนฝนฟ้าจะเข้าข้างคุณซีมากกว่าผม ผมหากุญแจรถไม่เจอ และยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะไม่อยู่ในกระเป๋า เพราะตอนนี้ผมเทมันออกมาข้างรถแต่ไม่มีไอ้ตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ห้อยกุญแจรถอยู่เลย

   “กลับเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้นะ” คุณซีตะโกนแข่งกับเสียงฝนทันทีที่ถึงตัวผม

   “ผม คือ”

   “คืออะไรอีก ทำไมถึงดื้อแบบนี้” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ คุณซีเสยผมที่เปียกชุ่มลวกๆ แล้วมือใหญ่ๆ นั้นก็กลับมาลูบแก้มผมที่เต็มไปด้วยน้ำ ใจของผม ใจของผม มันเต้นแรงยิ่งกว่าฝนที่ตกลงมาซะอีก

   “กลับเข้าไปก่อน ถ้านายไม่อยากเจอฉัน ฉันไปก็ได้ แต่กลับเข้าไปเถอะ ฉันไม่ให้นายขับรถออกไปในสภาพอากาศแบบนนี้แน่”


เราสองคนอยู่ในห้องสวีทของโรงแรมในสภาพที่เปียกโชก คุณซีเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมถอดเสื้อลายสก๊อตสีแดงของตัวเองใส่ลงในตระกร้าที่มีถุงพลาสติกรองอยู่ เสื้อยืดสีขาวตอนนี้ไม่ได้ช่วยให้อุ่นเลยสักนิด กางเกงยีนส์ชุ่มน้ำไปหมดจนหนักอึ้ง แทบจะยกไม่ไหว คุณซีเดินออกมาในสภาพที่มีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวพันอยู่รอบเอว และหน้าผมก็ร้อนจนไม่ต้องพึ่งเครื่องทำความร้อนจากที่ไหนเลยสักนิด ถึงแม้จะเห็นกันมาแล้ว แต่นี่ก็สามเดือนแล้ว ผมต้องทำความคุ้นชินกับมันใหม่ซินะ

   “ตัวเปี๊ยกไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะป่วย” คุณซียื่นผ้าเช็ดตัวผืนหนา รวมทั้งชุดคลุมอาบน้ำส่งมาให้

   “แล้วคุณหละครับ”

   “ไปอาบก่อนเถอะ นายอาบเสร็จแล้วฉันค่อยอาบ หรือ อยากจะอาบพร้อมกัน” ผมคว้าผ้าเช็ดตัวจากมือเขาแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำทันที


   คุณซียังนั่งอยู่ในชุดเดิม จิบกาแฟสบายอารมณ์เหมือนไม่ตื่นเต้นอะไรเลย ผิดกับผมที่ตอนนี้หัวใจเหมือนจะทะลุออกมาข้างนอก ผมอยากกอด อยากจูบ อยากคุย และอยากถามว่าระหว่างที่เราไม่เจอกัน อะไรทำให้คุณซีผอมขนาดนี้ อะไรทำให้ผิวคล้ำไปขนาดนี้ อะไรทำให้แววตานั้นมันเหนื่อยล้าเหลือเกิน

   “ฉันอุ่นนมไว้ให้ ดื่มก่อน จะได้อุ่นขึ้น” ผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดผมถูกโยนมาแปะอยู่บนหัวผม ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีคุณซีก็ออกจากห้องน้ำ เขาไม่เคยอาบน้ำเร็วขนาดนี้

   “ผม ผมเตรียมยาไว้ ทานซะหน่อย” ผมหันไปหยิบยาหลังจากที่เห็นคุณซีนั่งลงที่ปลายเตียง

   “แล้วนายหละ กินหรือยัง” ผมพยักหน้าพลางส่งยาแก้ไข้สองเม็ดพร้อมกับน้ำไปให้ คุณซีรับแก้วน้ำหลังจากกินยาสองเม็ดนั้นลง ยื่นแก้วน้ำกลับมาให้ผม แต่.... ทันทีที่ผมจะคว้าแก้วน้ำจากมือเขา มืออีกข้างก็คว้าแขนของผมและช้อนตัวขึ้นไปนั่งตักคนขี้แกล้งแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว สองมือโอบกอดรัดเอวอยู่ไม่ห่าง

   “ทำไมผอมขนาดนี้ สามเดือนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้กินข้าวเลยหรือไง”

   “......”
   
   “ฉันใช้แรงแค่หนึ่งในสามนายก็ปลิวมาแล้ว”

   เราสบตากัน จ้องมองกันถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ขนตาของคุณซียังคงเป็นแพรสวยเหมือนที่เคยเป็น จมูกโด่งยังคงเป็นสันคมชวนหลงใหล ริมฝีปากหนายังคงอวบอิ่มหน้าสัมผัส และรอยสัมผัสที่เคยคุ้นชินก็กลับมา ปากหนาของคนขี้แกล้งประทับลงที่ปากของผม ผมกำลังจะละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ มันไม่เร้าร้อน ไม่รุนแรง แต่อ่อนนุ่มละมุนจนผมเผลอเผยอปากให้คนเอาแต่ใจได้ส่งลิ้นเข้าไปชิมความหวาน แก้วน้ำถูกดึงออกจากมือและวางลงบนโต๊ะหัวเตียงโดยที่เรายังไม่ผละจูบออกจากกัน ท้ายทอยถูกควบคุมด้วยมือใหญ่ให้ปรับองศาที่เข้ากับการจูบ ไหล่กำยำของคุณซีถูกผมบีบกดเพราะอากาศที่ไม่เพียงพอ คุณซีงับลงที่ปากล่างของผมเบาๆ แค่พอทำให้ใจสั่นก็ผละออก

   “คิดถึงจังเลย คนใจร้าย” พูดไปก็มือเจ้าเล่ห์นั่นก็เขี่ยปากของผมไปด้วย ผมไม่มีคำตอบให้เขาได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาคนขี้แกล้ง ที่แกล้งให้ผมแทบจะสำลักความเขินตายหลังจากที่ไม่เจอกันร่วมสามเดือน

   “หอมจัง” จมูกโด่งนั้นซุกไซร้ลงกับซอกคอ พร่ำกระซิบคำว่าหอมไม่หยุดหย่อน ความต้องการโหยหาแล่นลิ่วจนไม่อาจปิดบังได้

   “ขอกอดได้ไหม ฉันใจจะขาดอยู่แล้ว”

พูดไม่พูดเปล่า เด็กจอมซน ซุกไซร้ จมูกวนไปตามลำคอ  อายุป่านนี้จะไม่เข้าใจคำว่ากอดได้ยังไง หน้าตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์ หรือเพราะคำพูดที่ไม่ต้องการคำตอบนั้นกันแน่
เราสองคนเปลื่อยเปล่า แค่ชุดคลุมอาบน้ำกับผ้าขนหนูผืนเดียว คงไม่ได้ทำให้อะไรต่ออะไร มันสงบหรือเก็บเนื้อเก็บตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ คุณซี ดึงมือของผมที่ดันอกของเขาเอาไว้ ทำให้เราแนบชิดกันมากขึ้นไปอีก เชือกชุดคลุมอาบน้ำหลุดออกไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ จมูกซนยังคงทำหน้าที่ของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ความขุ่นเคืองใจที่เรามีให้กันตอนนี้ถูกบดบังด้วยแรงอารมณ์ที่มันเหมือนกับกลายเป็นแค่จุดเล็กๆ ที่ทำให้เคืองตาแต่ไม่ได้ทำให้มองทางข้างหน้าไม่เห็น
มือซุกซนบีบเค้นก้อนนุ่มเหมือนหนอนลูกใหญ่ คนถูกบีบแบบผม รู้สึกเหมือนเขากำลังจะขย้ำให้มันแหลกคามือ

“คุณ คุณซี” น้ำเสียงของผมแม้แต่จะเปล่งออกมาได้ยังลำบาก ทั้งมือทั้งจมูกทำหน้าที่ของมันได้ถนัดถนี

“หื้ม” ไม่เงยหน้ามอง ไม่หยุด และไม่ได้ปล่อยให้ผมได้หายใจ มือหนาที่เคยตะคองกอด บีบเค้นก้อนนุ่มนั้นกลับมาสนใจ ความเป็นตัวผมแบบไม่ทันตั้งตัว และมันก็คงไม่ต้องบอก
ว่าต้องการคุณซีมากแค่ไหน
    
   “ดีจัง ฉันชอบนะ ที่นายรับความรู้สึกฉันได้ดีขนาดนี้”

สายตาเจ้าเล่ห์ส่อให้เห็น ถึงผมจะแก่กว่าเขา แต่ดูเหมือนตอนนี้ผมเป็นเด็กไร้เดียงสาในมือเขาเท่านั้น ยิ่งอีกคนขยับมือจนผมแทบจะทนไม่ได้ ถึงได้ตัดสินใจกุมมือหนาๆ นั้นไว้

   “อะไรกัน...ไม่ถูกใจเหรอ” ผมได้แต่ส่ายหน้าแต่ก็อายเกินกว่าจะบอกว่า มันมีความสุขซะจนจะทะลุออกมาจากตัวของผม

   “อ๊ะ....”

“อยู่กับฉัน ฉันไม่ยอมนะ” ผมถูกผลักลงที่เตียงนุ่ม ชุดคลุมอาบน้ำถูกเหวี่ยงแบบไม่ต้องเสียเวลาหาว่าอยู่ตรงไหน
   
“หน้าแดงเชียว” ผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าผมอายและเขินเรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ประสา ก็อายุปาเข้าไปเท่านี้แล้ว รวมถึงตอนที่คุณซีเข้ามาด้วย ให้ตายผมกำลังจะตาย ตัวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

   “ตัวเปี๊ยกฉันคิดถึงนาย” แรงเร้าถูกส่งมาได้เพียงครึ่ง

   “เจ็บ” น้ำตาที่ไหลเพราะความเจ็บปวดทรมาน ถูกแปลงเป็นเสียงออกมา

   “แป๊บเดียวนะคนดี แป็บเดียว” คุณซีเกลี่ยปรอยผมที่ชื้นเหงื่อเปอะหน้าผากของผม

   “ฉันอยากกอดนายแรงๆ มันดีกว่าที่จินตนาการไว้ซะอีก” แรงเร้าถูกส่งเข้ามาเป็นครั้งที่สอง

   “ผม เจ็บครับ ผมเจ็บ”

   “เจ็บก็จิกแรงๆ” มือของผมที่ตอนนี้กำที่นอนจนยับย่นกลับถูกเปลี่ยนทิศทางมาที่ไหล่และผมก็จิกเข้าเต็มแรง

   “ตัวเปี๊ยกฉันรักนาย” คำบอกรัก เหมือนคำล่อหลอก ผมสติหลุดไปเพราะคำว่ารักที่เคยได้ยินจากปากเขาเป็นครั้งแรก แบบที่ไม่ได้คิดไปเอง และนั้นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอย่างเต็มรัก หัวใจของผม ความคิดถึงของผม ถูกเยี่ยวยาด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข รวมถึงความแคลงใจที่ผมล้างไปได้แค่เพียงจูบเดียว

   “อื่ม พายุ” เสียงคุณซียิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาบหวิวช่องท้องไปหมด แรงรักนั้นยิ่งแรงมากขึ้นเกินกว่าที่ผมจะคาดการ์ณไว้

   “ให้ตายเถอะพายุ ให้ตาย” คุณซีป้อนจูบ แต่คราวนี้มันรุนแรงและเร้าร้อน แรงส่งรุนแรงพอๆ กับรอยจูบ ผมได้กลิ่นคาวเลือดและรสฝาดเฝื่อนในปากของตัวเอง

คุณซีโน้มตัวลงมา สอดแขนเข้าใต้ท้ายทอยของผม กอดรัดแน่นซะจนเหมือนเรากำลังจะลอมหลวม ความเจ็บปวดที่ทรมานกลายเป็นความสุขสมจนเผลอครางเสียงน่าอายออกมาแข่งกับเสียงฝนด้านนอก

“ฉันรักนาย พายุ รักมาก” เสียงน่าเกลียด ที่ผมพยายามกลั้นไว้กลับ ถูกครางร้องออกมาไม่หยุด

“ตรงนั้น แรงๆ ได้ไหมครับ” คุณซียิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะทำตามใจ ขาแขนผมไร้เรี่ยวแรงร่างกายบิดเร้าทรมานแต่สุขสม สีขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า ความเป็นตัวเองแข็งขื่นและรับความเสียวซ่าน คุณซีใช้มือกอบกุมมันเหมือนที่เคยทำ ส่งแรงตามใจหลังจากที่เอ่ยขอไปไม่หยุด จนผมกลั้นไว้ไม่ได้ และไม่นานผมก็ได้รับแรงรักของคุณซีที่ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้

“พายุ ฉันรักนาย” พร่ำพูดคำว่ารักไม่หยุดปาก

“ผมรู้แล้วครับ ผมได้ยินแล้ว” คุณซียิ้มและทิ้งตัวทั้งตัวบนตัวของผม

เด็กจอมซนไล่เลียใบหู หายใจเอาไอร้อนรินรดจนขนลุกชันไปหมด  นิ้วซนกลับมาทำงานจนผมหว้าวุ่นอีกรอบ ความรักของคุณซีก็กลับมาให้ผมรู้สึกได้อีกครั้งเพราะเรายังไม่ได้แยกจากกัน

“ฉันรักนายพายุ”

เสียงฝนที่แข่งกับเสียงครางกระเซ่าในคืนนี้คงจะไม่มีทางหยุดง่ายๆ



 TBC
********************************************************


ปรับ NC เพราะมันน่าจะขัดกับกฎเล้านิดนึง ก็เลย เขียนใหม่  :hao5:
แต่ถ้าใครอยากอ่านออริจิ ก็ ทางนี้ http://pradoza.blogspot.com/  :o8:
แล้วจะรีบกลับมานะจ๊ะคนดี  :katai2-1:




   




ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
   
=20=





เสียงฝนข้างนอกยังคงดังแซ่งแซ่ ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนลงเลย และนี่คงเป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว แต่ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มเหมือนกับไม่ใช่เช้าวันใหม่ ผมลืมตาตื่นเวลานี้ทุกๆ วัน ทั้งๆที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้จากโทรศัพท์ แต่ก็ตื่นก่อนปลุกทุกที ถึงแม้ว่าเมื่อคืนจะเพลียมากแค่ไหนก็ตาม ร่างกายเปลื่อยเปล่าถูกห่มด้วยผ้านวมผืนหนา เราไม่ได้กกกอดกันจนแทบจะจมหายไปในอกของอีกคน แต่เรากำลังหันหน้าเข้าหากัน และภาพที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นประสบกับสายตา

   คิ้วหนายังคงดูหนาได้รูป ดูเหมือนว่าคุณซีจะกันคิ้วเล็กน้อย ปากหนาที่เฝ้าบอกรักยังคงปิดสนิทไม่ต่างจากเปลือกตาสีไข่ไก่แพรขนตายาว และจมูกซุกซนที่เมื่อคืนพร่ำบอกให้หยุดเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง อีกคนยังคงหลับสนิท และเพียงแค่นี้ ก็ทำให้ผมนอนมองยิ้มจนเสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์ลั่นดัง

   ผมกดปิดมันเพื่อไม่ให้รบกวนคนที่หลับอยู่ จมูกโด่งนั้น  ผมอดที่จะสัมผัสไม่ได้ นิ้วยาว ค่อยๆลูบสันนั้น และมือหนาก็คว้าหมับเข้า ทำให้ผมรู้ว่าคนที่กำลังแกล้งหลับนั้นน่าตีแค่ไหน

   “แตะอั๋งหรอ” คำถามที่ถูกปล่อยออกมาทั้งที่ตายังหลับอยู่ คนขี้แกล้งคว้ามือไปจูบและซุกมือนั้นไว้ข้างแก้มของตัวเอง

   “ตื่นนานแล้วหรอครับ”

   “อื่ม ยังง่วงอยู่เลย แต่โดนเมียแกล้ง” คำว่าเมียที่หลุดออกมาทำผมหน้าร้อนฉึ่งแล้วก็ไม่ชินกับการได้ยินคำนี้เลย

   “พูดอะไรของคุณ”

   “ทำไมล่ะ เป็นแล้วนิ ทำไมเรียกแบบนี้ไม่ได้ เมียจ๋า”

   “เรียกคุณบีแบบนี้หรือเปล่าครับ”

   “ไม่นะ ก็เรียกไอ้บี๋ตลอด” ผมต้องคุยเรื่องนี้ให้เป็นปกติใช่ไหม ในเมื่ออีกคนดูจะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ถึงแม้เขาจะสอดแขนเข้ามาที่ท้ายทอยของผมเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอดก็ตาม 

   “ยังไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย แม่งก็ชิงตายไปซะก่อน” ผมตีคุณซีดังอักเข้าที่หน้าอก เสียงหัวเราะคิกคักนั้นยิ่งหน้าหมั่นไส้

   “อย่าพูดแบบนั้นซิครับ ผมเศร้านะ”

   “ฉันก็เศร้า” คุณซีพูดพลางไล้มือไปกับผมของผม “เจ็บมากไหม” ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบ ผมได้รับไออุ่นจากจูบที่แสดงความรู้สึกเอ็นดูที่หน้าผาก ผมมีความสุข มีความสุขจริงๆ ขอโทษนะครับคุณบี ที่ผมรู้สึกที่มีความสุขในขณะที่คุณกำลังทุกข์หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่ว่า ผมขอไม่เอาคุณมาไว้ในหัวใจผมแล้วได้ไหมครับ ผมขอแค่มีคุณซีคนเดียว

“นอนต่อนะ”

“ไม่ได้ครับ ต้องกลับแล้ว”

“อยากกอดอยู่เลย” ผมมองหน้าคนพูดนิ่งเพราะไม่รู้ความหมายของคำว่ากอดที่แน่ชัดได้ ก็คุณซีเล่นใช้มัวไปหมด

“กอดแบบนี้ต่างหาก แต่ถ้านายอยากกอดแบบนั้น ฉันก็โอเคนะ” พูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นซะจนเกือบหายใจไม่ออก ผมซุกหน้าลงกับอกกว้างๆ นั้น ไม่กล้าเงยหน้าไปสบตากับคนพูดเลยสักนิด ให้ตาย ขยันทำให้ใจสั่นทำให้เขินตลอด

“ว่าไง กอดแบบไหนดี”

“คุณซี” ผมพาดมือวางลงบนเอวของคนตรงหน้า ตอนนี้เราได้กกกอดเหมือนจะจมหายไปกับอกอีกคนอย่างแท้จริง “อีกแปบเดียวนะครับ”

“แค่แปบเดียวก็พอแล้ว”









RRRRRRRRRR 

เสียงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยทำเอาผมปรือตา มองเห็นเป็นเบอร์จากที่ไร่ ก็ตื่นได้เต็มตาแบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย ผมมองนาฬิกาที่ผนัง 10.00 น. ผมตายแน่งานนี้

“ครับ”

(นี่ จะกลับกี่โมงตะวันโด่งแล้ว ยัยแววแกบอกแกสั่งดอกไม้ไว้ ไม่เห็นไปส่ง) ผมลืมออเดอร์ของป้าแววซะสนิท แกเปิดร้านดอกไม้ไม่ใหญ่นักในตลาด

“เอ่อ พอดี ผม...”

“ตัวเปี๊ยก” เสียงที่รอดเข้ามาทำเอาผมตะกุกตะกักมากกว่าเดิม รู้อยู่หรอกว่าเด้งตัวออกมาแบบนั้น ต้องปลุกอีกคนไปด้วยแน่

(อื่ม เสร็จธุระแล้วก็กลับมาบ้านได้แล้ว)

“ครับ”

(เอามันกลับมาด้วย มีเรื่องต้องคุย)

“ครับ”

.
   “มือเปียกหมดแล้ว” มือที่กระชับมือของผมไว้สอดประสาน ในขณะที่ขับรถเพียงมือเดียว ผมมองเสี้ยวหน้าของคนขับแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้

   “ไม่ต้องกลัวน่า ไม่มีอะไรหรอก” น้ำเสียงราบเรียบไม่ตื่นเต้นอะไรของอีกคน กลับยิ่งทำให้ผมกลัว
   
   “คุณซีน่าจะให้ผมกลับมาเอง”

   “ไม่เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวหรือไง มีคนขับให้ไม่ดีหรอ อีกอย่างคุณลุงก็บอกให้พาฉันกลับมาด้วยไม่ใช่หรอ”

   “คุณซี..” ผมกระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด

   “ไม่เอาน่า กลัวไปได้ พ่อนายคงไม่ฆ่าฉันหรอก หรือถ้าทำ นายจะปล่อยให้ผัวตายหรอ” ผมบุ้ยหน้าใส่ คำพูดประเจิดประเจ้อพูดออกมาแบบไม่อาย รู้อยู่หรอกว่าคนๆ นี้ทั้งยียวน ทั้งขี้แกล้ง แต่เล่นพูดโต้งๆ ทุกสามนาทีก็ไม่ไหวนะ

   “มันใช่เวลามาทำเป็นเล่นหรอ ไอ้เด็กนี่” เสียงหัวเราะร่วนตอบกลับมา มือที่เคยจับกันไว้ ละออกมายีหัวผมเล่น

   “ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางยอมให้นายหายไปจากชีวิตอีกแล้ว ที่ผ่านมาเรามีความทุกข์กันมากเกินไปแล้ว มันนานเกินไปแล้ว”

   

บรรยกาศในบ้านมันวังเวงยิ่งกว่าบ้านพี่สิง พี่อ้อยที่มาช่วยดูแลบ้าน แกก็ทำหน้าปะหลับปะเหลือกเหมือนไม่อยากยุ่ง แกเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำบุ้ยปากว่ามีคนอยู่ในครัว ผมค่อยๆ เดินไป มือเรายังกำกันแน่น คุณซีได้แต่ยิ้ม ไม่มีท่าทางว่าจะกลัวอะไรสักนิด แต่ผมนี่แหละที่กลัว

รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าพ่อไม่ได้พออกพอใจกับการที่ผมเป็นแบบนี้ ถึงแกจะไม่ได้ขัดขวางเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ใช่ว่าแกจะยินดีปรีดาอ้าแขนรับ

แล้วเรื่องที่แกลากผมออกจากโรงพยาบาลก็เพราะเรื่องคุณซีไม่ใช่หรอ เพราะแกรู้เรื่องที่ถูกลักพาตัวนั้นอีกรอบ แกถึงได้โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วนี่จะให้ผมสบายใจได้ยังไง ผมยังไม่รู้ว่าถ้าผมไม่สามารถอยู่กับคุณซีได้ ผมจะเป็นยังไงต่อ ผมไม่อยากขัดคำสั่งพ่อ และผมก็ไม่อยากเสียคุณซีไป ผมรับรุ้ว่าตลอดสามเดือนที่ผมจมอยู่กับความทุกข์ถึงแม้จะไม่ได้นั่งเศร้าร้องไห้ฟูมฟายแต่ผมรุ้ว่าพ่อกับแม่ก็ทุกข์ไปกับผมเหมือนกัน แต่ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคุณซียิ่งตอนนี้ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว

   “อ้าว มากันเงียบเชียว คุณซีนั่งก่อน แม่เพิ่งทำคุกกี้เสร็จ” แม่ยิ้มหวานถือถาดคุกกี้ด้วยมือที่สวมถุงมือฟองน้ำหนา “ระวังหล่ะมันร้อน ยุไปเอาน้ำเย็นๆ มาหน่อยซิ เอามาเผื่อพ่อด้วยหล่ะ” ผมพนักหน้ารับ ได้แต่ทำตามคำสั่ง ทำไมแม่ถึงได้ดูใจเย็นนัก

   “ไปไงมาไงเนี้ย”

   “มาจัดงานต้อนรับพวกเอเย่นต์จากแถบยุโรปครับ ไม่รู้ก่อนว่าดอกไม้สวยๆ นั้นเป็นของที่ไร่”

   “อ่อ เพิ่งจะดิวกับโรงแรมได้ไม่นานเอง ไม่รู้ว่าเป็นของคุณซี”

   “ครับ พอดีโรงแรมนี้เป็นของผมกับเพื่อนๆ รวมหุ้นกัน ไม่ได้อยู่ในเครือของเกียรติกุล”

   “อื่มกินขนมก่อน แม่เพิ่งได้สูตรมาจากเพื่อน” คุณซีหยิบคุ้กกี้จากถาดที่ตอนนี้ถูกจัดลงจานเรียบร้อยแล้วไปชิม อมยิ้มแก้มแทบปริ และรับแก้วน้ำแดงจากผมไปด้วย

   “พ่อหละแม่”

   “โน้น ไปดูดอกไม้ในสวนแทนแกโน้น หายไปเป็นวันๆ”

   “ป้าแววแกว่าไงบ้างแม่”

   “ไม่ว่า พ่อแกให้คนงานเอาไปส่งแล้ว”

   ผมพนักหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงหัวเราะที่คุณซีกับแม่มีไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย เสียงหัวเราะเงียบลงทันทีที่เจ้าของบ้านตัวจริงลงนั่งที่โซฟาตัวตรงข้าม คุณซีหุบยิ้ม และยกมือไหว้ ก่อนที่สีหน้าเรียบตึงและไม่มีการรับไหว้ใดๆ ปรากฎต่อสายตา

   “ทำไมเพิ่งมา”

   “พอดีฝนตกหนัก ยุก็เลย..”

   “ไม่ได้ถามแก ว่าไง ทำไมเพิ่งมา” พ่อไม่ได้มามองที่ผมเลยสักนิดกลับจ้องตาคุณซีเขม่ง

   “ผมเคลียร์หลายเรื่อง ทั้งเรื่องคดี เรื่องที่มีข่าวลือเกี่ยวกับบริษัทในเครือ แถมบินไปบินมาจนเรื่องคลีคลายลงได้บ้าง”

   “แล้วนี่เรียบร้อยแล้วหรือไงถึงโผล่หัวมาได้” ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้กล้าแม้แต่จะสบตาคนเป็นพ่อได้แต่หลุบสายตาลง

   “ยังครับ มาจัดงานต้อนรับกุล่มบริษัททางแถบยุโรป ที่ไปคุยมาช่วงก่อนหน้านี้ และบังเอิญเจอกันครับ”

   “อ่อ ไม่ได้ตั้งใจมาง้อมาหา”

   “แต่ผมไม่เคยลืมครับ”

   “แล้วไอ้ที่อยู่บนคอไอ้ยุนั้นอีกนานไหมกว่าจะหาย ทำอะไรไม่เข้าท่า” ผมรีบตะครุบคอที่ไม่ได้สังเกตตัวเองว่ามันมีรอยอะไรหรือเปล่า พอรับโทรศัพท์จากพ่อก็รีบออกมากันเลย ทั้งอายและทั้งไม่รู้จะตอบคำถามของพ่อยังไง

   “น่าจะประมาณสามสี่วันก็คงหายครับ ถ้าไม่ได้ทำเพิ่ม” น้ำเสียงเรียบนิ่งของคนข้างๆ ทำผมหันขวับไปหาทันที คนพูดหันมาสบตา ยิ้มให้ราวกับดีใจอะไรสักอย่าง หัวเราะหึออกมาในลำคอ และคว้ามือผมที่ตะครุบคอตัวเองไปกุมไว้พอหลวม ถึงผมจะดึงดันขนาดไหน มือนั่นกลับยิ่งส่งแรงบีบ ไม่ให้ผมออกจากการกอบกุม แถมยังสอดนิ้วประสานเข้ามาอีกด้วย ถึงผมจะทมึงตาใส่อีกฝ่ายยังไงก็ไม่เป็นผล เพราะอีกคนนอกจากจะไม่ยอมปล่อยมือ แถมไม่มองหน้าผมกลับจ้องตาพ่อซะนิ่ง

   ผมหันไปมองพ่อที่กอดอกพิงพนักโซฟา และถอนหายใจ จ้องหน้าคุณซีสลับกับมือที่กุมกันไว้ ยกขาขึ้นไขว้ห้าง ดูเหมือนท่าทางจะคุยสบายๆ แต่เปล่าเลย ดูสีหน้าที่ขมวดคิ้วเป็นปมนั่นยิ่งแล้วใหญ่

เฮ้อ!!! ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของพ่ออีกแล้ว

   “แล้วคดีเป็นยังไง”

   “พี่จรรับสารภาพว่าทำเองหมด โดยไม่สักทอดไปทางคุณเพชรสินี หรือว่า แพรวาครับ แต่เพราะพายุเคยพูดไว้ ว่าอยากให้เขารับโทษน้อยที่สุด ผมก็เลยกำลังหาทนายฝีมือดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ ช่วยเขาอยู่” พ่อทำเพียงพนักหน้างึกงัก

   “แล้วเรื่องแฟนเก่าคุณหละ”

   “บีเสียไปนานแล้วครับ บีเป็นความทรงจำเป็นอดีตที่มีค่า ผมคงไม่ลืมบีแน่ๆ แต่...” คุณซีเว้นช่วงจังหวะ และใช้สองมือกุมมือของผมที่จับไว้อยู่ก่อนแล้ว “แต่พายุเป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต” และสบตากับผมนิ่ง “เพราะฉนั้น ผมขออนาคตของผมคืนได้ไหมครับ” ก่อนที่จะหัดสบตาส่งน้ำเสียงจริงจังแววตาแน่วแน่ให้กับพ่อ

   “งั้นก็ดี แล้วแกหละไอ้ยุ” ผมเผลอเลียริมฝีปากที่ตอนนี้มันแห้งผากซะจนรู้สึกเจ็บ

   “ยุไม่รู้ครับ รู้แค่ว่าคิดถึง และคิดถึงตลอดเวลา มากขึ้นทุกๆ วินาทีแต่ถ้าพ่อบอกว่ามันไม่สมควร ความคิดถึงของยุ ก็ไม่สำคัญครับ” เราสบตากันนิ่งก่อนที่คุณซีจะเบือนหน้าไป

   “ช่วงเวลาหลายปีที่พายุออกจากบ้าน เขาคิดถึงคุณลุงนะครับ เพราะฉนั้น พอความสัมพันธ์ของคุณลุงกับพายุดีขึ้นผมก็ไม่อยากเป็นตัวมาทำลาย ถ้าคุณลุงไม่ยอม ผมเชื่อว่ายังไงพายุต้องเลือกคุณลุงอยู่แล้ว แต่... ผมอยากขออนุญาต โปรดเห็นด้วยกับเรื่องของเราด้วยเถอะครับ”

   “แล้วแกทำใจเรื่องคนเก่าได้แล้วหรือยังไง” ผมหันไปสบตากับคุณซีนิ่ง จ้องมองลงไปในดวงตาของเขา ที่ในนั้นมีแต่ผม แค่ผมคนเดียวเท่านั้น

   “ยังครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พ่อปล่อยมือที่กอดอกยกตัวนั่งหลังตรง “แต่ยุจะอยู่กับปัจจุบัน เพราะยุเป็นปัจจุบันและอนาคตใช่ไหมครับ” ผมหันหาคุณซีอีกรอบ และประโยคนั้นผมก็ถามคุณซีด้วยกลายๆ

   คุณซีพยักหน้า พลางอมยิ้ม ปล่อยมือที่กุมกันไว้ ขึ้นลูบหัวผมราวกับเอ็นดู ทุกอย่างอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ ผมหลุบตาลงไม่กล้ามองหน้าพ่อ เหมือนรอคำตัดสินจากผู้พิพากษา


   “ไปคุณลุก ไปช่วยกันดูไร่สวนหน่อย ไอ้ยุคนเดียวเลยทำระบบรวนไปหมด ให้มันไปค้างแต่ไม่ได้ให้มันกลับมาสายโด่งป่านนี้” ผมตกใจเล็กน้อยกับคำพูดของพ่อก่อนที่ท่านจะยกแก้วน้ำแดง และคาบคุกกี้ที่แม่วางไว้ในปากชิ้นนึง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “หาหมวกให้สักใบนะแม่ตะวัน เดี๋ยวคนกรุงเทพจะเป็นลม” ตะโกนไล่หลังมาอีกก่อนเดินจากบ้านไปทางประตูข้าง

   “เดี๋ยวคุณซี” ผมดึงมือรั้งอีกคนไว้ ตอนที่คุณซีลุกขึ้นเต็มความสูง ยิ้มตาหยีให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น

   “เอ้า ลีลาอยู่นั้นมาเร็วๆ จะไปส่งผลไม้ในตลาด เร็วๆ เข้า” เสียงตะโกนโวยวายจากข้างนอกของพ่อไม่ได้ทำให้มือที่ผมกุมไว้อยากเปล่อยออกเลยสักนิด

   “ไหวหรือครับ” ผมได้คำตอบแค่เพียงการตบหลังมือของผมปุๆ คุณซีรับหมวกใบเก่งจากแม่แล้วเดินออกนอกบ้านไป

   “ไม่ต้องห่วงนะ พ่อแกคงไม่ทำให้ถึงตาย” แม่พูดขึ้นมาลอยๆ แล้วเดินหายเข้าไปในครัว





***********************************************************************************************
   

   
   ท้องฟ้าฉ่ำน้ำเพราะตลอดช่วงบ่ายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่มีท่าว่าจะหยุดสนิท ขนาดปาเข้าไปเกือบทุ่ม แต่น้ำฝนก็ยังเป็นละอองอยู่ประปราย จากที่ให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำ จนกลายเป็นความน่าหงุดหงิดอย่างที่ไม่รู้จะระบายตรงไหน ผมได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ยืนมองทางเข้าของไร่ หลังจากที่รถบรรทุกขนาดเล็กของพวกคนงานกลับมาแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววของรถกะบะคนโตของพ่อเลยสักนิด ฟ้าสีแดง ที่สังเกตเห็นแม้จะมืดค่ำทำให้ผมรู้ว่า อีกไม่นานพายุคงจะมาแน่

   “อย่ากังวลไปเลย ไปหาอะไรกินกันหรือเปล่า”

   “พ่อคิดอะไรอยู่ครับ” ผมเอ่ยเสียงอ่อน ต่อคนที่คอยลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง

   “พ่อแกไม่ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นหรอกนะ เอาน่ะ” ตบไหล่อีกสองที แม่ก็บอกว่าจะลงครัวเพราะไม่รู้ว่าสองหนุ่มจะกินอะไรรองท้องมาแล้วหรือเปล่า

   ใช้ว่าเวลากว่าชั่วโมง แสงไฟสีส้มของหน้ารถก็ทอดเข้ามาจนเกือบถึงตัวบ้าน ผมที่ทนความเหนอะหน่ะของอากาศไม่ไหว ก็เข้าไปอาบน้ำและออกมาเห็นพอดี อยากจะวิ่งโจนทะยานจากตรงนี้ไปยังบ้านใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอด ห่วงคนที่ไม่เคยได้หยิบจับอะไรที่ต้องใช้แรงงาน ตากแดดตัวดำซะก็ไม่รู้ ถึงใจอยากจะทำอย่างนั้น แต่ผมก็ต้องทำให้เป็นปกติ ยิ่งพ่อแซวเรื่องรอยจูบที่คอ ผมยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ ไม่อยากให้แกรู้สึกว่า ผมเห็นคุณซีสำคัญกว่าแก

   “พ่อกลับช้าจัง” ผมเอ่ยเรียบๆ เคียงๆ กับคนที่ยกแก้วน้ำแดงชงขึ้นดื่ม ถึงหางตาจะแอบมองอีกคนแต่คนๆ นั้นก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ให้เหล่มองเลยสักนิด

   “ทำไม ปกติก็ไม่เห็นจะเคยรอ”

   “แต่ยุว่า วันนี้พ่อกลับช้ากว่าปกติ”

   “เพราะแกรอนะสิ เลยรู้สึกว่ามันช้า ห่วงว่าพ่อจะทำให้คนของแกตายหรือไง”

   “ยุไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ยุก็ห่วงพ่อนั่นแหละ ฟ้าแดงไม่นานฝนคงตกใหญ่”

   “เหอะๆ ไม่ต้องมาพูด ห่วงผะ เฮ้อ ห่วงคนอื่นก็พูดมา” ถึงแม้ประโยคที่ละไว้จะไม่เอ่ยปากออกมา แต่ผมกับแม่ก็เดาได้ว่าพ่อพูดคำไหน คำพูดที่มากับเสียงถอนหายใจทำให้ผมต้องถอนใจตามไปด้วย

   “เหนียวตัวเต็มทีแม่ตะวัน ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ หาอะไรง่ายๆ ให้คนกรุงเทพหน่อย น้ำพริกแมงดาของยายจาบคุณแกคงกินไม่ได้ หน้าดำหน้าแดงไม่รู้เผ็ดอะไรนักหนา” เดินไปพูดไปไม่ทันจบประโยค

   “แม่เห็นคุณซีไหมครับ”

   “ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก นึกว่าจะไม่ถามถึงซะอีก”

   “กลัวพ่อ แม่ไปพักเถอะ เดี๋ยวยุจัดการเอง” ผมมองถ้วยไข่เจียวที่แม่ว่างไว้ข้างเตา เปิดแก๊สอุ่นกะทะ ลอบมองคนเดินออกไปคุยโทรศัพท์จนแทบหาไม่เจอ กลิ่นไข่เจียวที่ลอยฟุ้งไม่ได้ทำให้ผมสนใจมันมากไปกว่าน้ำเสียงที่ดูออกจะหงุดหงิดนั้นให้ได้ยิน

   คุณซีเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยเสื้อผ้าที่เปียกชื้น และท่าทางสงบสติอารมณ์อย่างไม่ปิดไม่มิด

   “หิวไหมครับ ไม่มีอะไรให้ทานมากนัก กินไข่เจียวไปก่อน”

   “แค่นี้ก็พอแล้ว”

   “วันนี้เป็นไงมั่ง” ผมนั่งลงที่เก้าอีกตัวข้างๆ ขณะที่คุณซีกำลังเขี่ยข้าวในจานให้ควันลอยฉุ่ยออกมา
    “อื่ม สนุกดี ไม่ได้ทำอะไรมาก คุณลุงให้ขับรถให้ ส่วนพวกเข่งผลไม้ก็ให้คนงานเป็นคนยก”

   “คุณซี”

   “หื้ม”

   “ถามได้ไหมครับ” คุณซีละออกจากจานข้าว มองหน้าผมแล้วอมยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงไปทานข้าวต่อ

   “แพรน่ะ เธออยากเจอฉัน ไม่รู้ว่าทำไม”

   “ก็เธอรักของเธอ”

   “พูดอะไรไม่เห็นใจกันเลย นั่นคนที่ตั้งใจฆ่าคนรักของฉันถึงสองคนเลยนะ ความรักครั้งแรก และความรักเพียงครั้งเดียวที่ฉันต้องการมี ครั้งแรก คือ บี และครั้งเดียวคือนาย”

ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สีหน้าก็ปิดไม่มิด ศิริวัฒน์ ขี้แกล้ง ไม่มีอีกแล้ว แค่บรรยากาศข้างนอกที่ฝนยังโปรยปรายก็ทำให้ทุกอย่าง่มันเศร้าอย่างอัตโนมัตอยู่แล้ว ยิ่งพูดเรื่องนี้ผมยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่

ผมพาคุณซีกลับม่าที่บ้านพักท้ายไร่ หาเสื้อผ้าของตะวันให้ใส่ เพราะของผมเองคุณซีคงยัดไม่ลง ที่นี่ไม่มีรายการเคเบิ้ลเหมือนที่คุณซีชอบดู เราจึงล้มตัวลงนอน ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลาสามทุ่ม

“คิดอะไรอยู่ครับ ถ้าเรื่องคุณบีเลิกคิดเถอะผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้ว คุณให้ผมอยู่ตรงไหนผมก็อยู่” ผมตัดสินใจถามทำลายความอึดอัดที่ก่อตัวแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก่อนออกไปคุณซีก็ยังดูดีไม่ท่าทางว่าจะเศร้าขนาดนี้ หรือจริงๆ แล้วเป็นผมเองที่ไม่ได้สังเกต หรือตลอดเวลาคุณซีก็ยังคิดถึง

“.....”

“เรื่องคุณแพรก็ด้วย จบๆ มันไปเถอะ”

“ดูพูดเข้า”

คุณซีลุกขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ จมูกโด่ง ไล้หอมแก้มซ้ายแก้มขวา พลางลูบผมที่ลงมาปิดหน้าให้ ผมใจสั่นแต่ไม่ได้รู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเลยเสียเมื่อไร

“อย่าพูดว่าให้อยู่ตรงไหนก็ได้ได้ไหม บอกแล้วไงว่าไม่ได้ให้มาแทนใครสักหน่อย”

“ผมรู้ แต่... ผมจะพยายามคิดให้น้อยลงก็ได้” เสียงหัวเราะในลำคอ หยุดลงด้วยเสียงฟอดที่แก้มของผม

“วันนี้เหนื่อยนะ เอาใจหน่อย”

“ไหนบอกไม่เหนื่อยไง ไหนบอกว่าสนุกดี”

“นะ เอาใจหน่อย ช่วงนายไม่อยู่ไม่มีใครมาดูแลเลย คุณปริมก็ไปช่วยทางพ่อ เหนื่อยจะแย่” มือซนสอดเข้าใต้เสื้อนอนตัวโคร่ง

“คุณซี”

“หื้ม ...” ถึงจะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจความต้องการของเด็กซนว่าต้องการอะไรกันแน่

“จะไม่ยิ่งเหนื่อยหรอครับ”

“ไม่เลย ไม่เหนื่อยแน่ ๆ”
 

ความรักของผมกำลังงดงาม หัวใจของผมกำลังเต็มอิ่ม ต่อให้ต่อไปจะต้องเจอกับอะไรผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น ผมจะไม่หนี และผมจะรับมันของแค่มีมือคู่นี้จับกันไปตลอดก็พอ









TBC

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านงานของเรานะคะ ขอบคุณค่ะ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
=21=





คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ผมมีความทรงจำกับมันไม่ดีนัก มันเป็นความทรงจำค่อนข้างแย่ และไม่อยากนึกถึง ความทรงจำที่ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ บ้านใหญ่ของตระกูลเกียรติกุล ยังคงมีความน่าเกรงขาม ยังคงเต็มไปด้วยเหล่าบอร์ดีการ์ดเหมือนกับที่ครั้งแรกที่ผมได้มาเหยียบที่นี่ไม่มีผิด แตกต่างกันตรงที่ตอนนี้ มือของผม มีมือของใครอีกคนกระชับอยู่ มือของเราทั้งคู่สอดประสาน และคงไม่มีวันที่ผมจะกลัวอะไรอีก


ทุกย่างก้าวที่ได้ก้าวเดินออกจากความกลัวนั้นยังคงมีความกังวล แต่แรงบีบนั้นเหมือนกับกำลังเปล่งเสียง “ไม่เป็นไร” ออกมาให้ได้ยิน ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใดก็ตาม

“ตาซี” เสียงเรียกระคนความดีใจ ลอดออกมาให้ได้ยินทันที ที่คุณซีก้าวผ่านธรณีประตู แต่สีหน้าของคุณหญิงเพชรสินีก็เรียบตึงอีกครั้ง เมื่อเห็นหน้าผม สองขาของหญิงวัยกลางคน หยุดชะงักลงดื้อ ๆ ทั้งที่จริงๆ แล้ว จากเหตุการ์ณตรงหน้า ท่านคงกำลังอยากจะวิ่งมากอดลูกชายคนเดียว ที่มีทั้งความรัก ความหวังของท่านอยู่เต็มเปี่ยม และสาเหตุของการผิดหวัง เสียใจ ที่มีปรากฎต่อดวงตาคู่นั้น ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็มีส่วน

คุณซีโอบไหล่ผมไว้ เดินผ่านคุณหญิง ด้วยสีหน้าที่ผมอ่านไม่ออก เขาไม่มีคำพูด และมีแค่รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้านั้น ส่งมาให้ ผมนั่งลงตรงที่โซฟาตัวเดิม ชุดเดิม ที่ผมเคยเห็นภาพของผู้ชายหน้าตาน่ารัก กับผมสีเทาควันบุหรี่ ภาพนั้นซ้อนทับเอาจนปวดหัวใจ ถึงแม้ว่าผมจะไม่คิดเรื่องนั้นแล้ว แต่พอได้คิดหัวใจก็เจ็บไปหมด

คุณซีเดินตรงไปที่คุณหญิง ที่ดูเหมือนภาพตรงหน้าที่คุณซีโอบไหล่ผม จะยังทำให้เธอตะลึงจนก้าวขาไม่ออก เขากอดคุณหญิงจากทางด้านหลัง คางเกยไว้บนไหล่ของคนเป็นแม่ ภาพที่เห็นมันทำให้ผมน้ำตาลื้นออกมา อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ ความรู้สึกผิดแล่นลิ่ว มือของผู้หญิงวัยกลางคนเอื้อมมาขยุ้มกลุ่มผมสีดำโดยที่ไม่พลิกตัวกลับมา ไหล่ที่สั่นสะท้าน ทำให้ผมรู้ว่าคนเก่ง อย่างคุณหญิง เพชรสินีกำลังร้องไห้

ผมไม่เคยนึกโกรธ เรื่องที่ท่านห่วงลูกชายจนเผลอทำร้าย ลูกใคร ใครก็รัก คิดในแง่ของผู้หญิงคนนึง คนที่ถูกสามีที่อยู่ด้วยกันมาจนมีลูกเต้า โตจนเป็นหนุ่มเป็นสาว กลับถูกพูดใส่หน้าปาวๆ ว่าไม่เคยรัก แต่งกันเพราะความจำเป็น แล้วแถมยังถูกหักหน้าด้วยการบอกรักผู้หญิงอื่นมากกว่า หน้าตาทางสังคมค้ำคอเกินกว่าจะร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งๆ ที่ในใจเสียใจ หัวใจแหลกสลายแทบไม่เหลือชิ้นดี ความหวังเดียว กลับถูกทำลายในเรื่องที่คนในสังคมยังไม่ยอมรับ ลูกชายรักผู้ชาย ความสูญเสียที่มีอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับหัวใจ ผมยังนึกไม่ออก ถ้าตัวเองเป็นคุณหญิง ผมจะทำแบบนั้น หรือมากกว่าที่เธอเคยทำไหม

ภาพสองคนแม่ลูกกอดกัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเศร้า ตัวเองเป็นหนึ่งในตัวการที่แสนจะเจ็บปวดของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่แบกรับภาระ อยู่บนคอ น้ำหนักของคำว่าอคติ ทิฎฐิ ศักดิ์ศรี และหน้าตาทางสังคม ทำให้ความสุขแค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ และความเข้าใจ ถูกบดบังจนสนิท ไม่เหลือแม้แต่ความรักที่มีให้แต่ลูกมากมายแต่กลับแสดงออกมาในแง่ที่ทำให้คิดว่าไม่รักกันเลยสักนิด

ยิ่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน กลับยินดีปรีดาญาติดีกับคนที่ทำให้เจ็บช้ำยิ่งโกรธยิ่งเกลียด ถึงลูกสาวจะไม่ได้ออกหน้ามากนัก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนฝ่ายนั้น ให้คุณหญิงเพชรสินีรู้สึกว่านี้แหละพวกของตัว ได้อย่างเต็มอกซะทีไหน ยิ่งท่าทางเป็นกลางของคุณเอ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดยิ่งชัดเท่าไร คุณหญิงก็รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว เพราะฉนั้นการที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้หัวเดียวกระเทียมลีบ ร้ายแค่ไหนก็ต้องทำ

แก้วน้ำชาถูกวางลงที่เดิมเหมือนกับภาพซ้อนทับ นั่งไทม์แมชชีนกลับมาอย่างไรอย่างนั้น คนรับใช้ในบ้านยังคงมองด้วยสายตาเหยียดอยู่นิดหน่อย ก่อนจะวางแก้วลงอย่างสุภาพและเดินจากไป คุณหญิงถูกประคองด้วยลูกชายลงนั่งฝั่งตรงข้ามที่เธอเคยนั่ง ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีขาวสะอาดถูกหยิบยื่นด้วยลูกชายคนเดียว เธอซับน้ำตาพร้อมทั้งรอยยิ้มให้ลูกชายที่นั่งข้าง ๆ อยู่ไม่ห่าง

“มี๊ครับ นี่คือคนรักของผม” เป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการที่แสนเจ็บปวด มือที่เคยเช็ดน้ำตาอย่างอ่อนโยน กลับกำผ้าเช็ดหน้าที่เมื่อกี้ถะนุถนอมเสมือนของล้ำค่ากว่าสิ่งใดในโลก จนยับย่นไม่เหลือชิ้นดี

“แกจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” น้ำเสียงสั่นเครือกระแทกน้ำหนักเสียงทีละคำ ทำให้ผมไม่กล้าสบสายตา

ก่อนหน้านี้ที่ผมตัดสินใจกลับมากับคุณซี เพียงแค่เราต้องการจะไปหาคุณบีด้วยกัน เพราะผมอยากขอโทษ ความรู้สึกจิตใต้สำนึกว่าผมแย่งคนรักของคุณบีมา ยังคงวนเวียนไม่ห่าง ถึงแม้จะตกใจนิดหน่อย หวั่นใจเล็กน้อย เมื่อคุณซีเลี้ยวเข้าเขตรั้วคฤหาสน์ แต่นี่ก็ไม่ช่สิ่งที่ผมผิดคาดมากนัก แต่ที่ไม่กล้าสบตา เพราะดวงตาคู่นั้น มันช่างเศร้าสลด เจ็บปวด ราวกับโดนทำร้ายอย่างจัง แทบจะไม่เหลือชิ้นดี

“ผมจริงจังกับยุ ผมอยากให้เขาเป็นอนาคตของผม”

“ฉันมองเห็นอนาคตที่มืดมนของแกแล้ว” น้ำเสียงถึงแม้จะอ่อนลงแต่ก็ไม่ลดความขุ่นเคืองลงสักนิด

“มี๊ครับ”

“ฉันไม่ยอม!! ยังไงฉันก็ไม่มีทางให้แกกลายเป็นพวกผิดเพศสกปรก” คุณหญิง ลุกขึ้นยืนตะเบงเสียงตะโกนลั่น สองมือกำกันแน่นด้วยความโกรธ เส้นเลือดปูดโปนเหมือนจะทะลุ หน้าตาแดงก่ำ น้ำตาไหลนองสองแก้ม

“ผมไม่ได้ให้มี๊ยอมรับพายุ ผมแค่พา พายุมาแนะนำให้รู้จัก ซึ่งนั้นหมายถึงพายุต้องเคารพมี๊ในฐานะแม่ของผม และมี๊ก็ต้องรับรู้ว่าลูกของมี๊มีคนรักแล้ว แค่นั้น ที่ผมต้องการ”

“ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่เด็ดขาด แกเตรียมตัวเข้าพิธีหมั่นแต่งงาน เป็นหลักเป็นฐานได้เลย ยังไงซะฉันก็จะให้แกแต่งกับลูกคุณหญิงคนใดคนหนึ่งอยู่ดี”

“มี๊ต้องการให้ผมมีชีวิตแบบพ่อ และทำกับลูกคุณหญิงพวกนั้นเหมือนที่พ่อทำกับมี๊หรือครับ ต้องการแบบนั้นใช่ไหม”

“ตาซี!!!”

สองสายตาแม่ลูกจ้องกันเขม็ง คนเป็นแม่เข่าอ่อนทรุดลงนั้ง น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ผมอยากจะเอื้อมมือไปบีบแขนของทั้งคุณซีและคุณหญิงให้ทั้งคู่คลายมือที่กำแน่นออกจากมือของตัวเองเสียที ความโกรธที่ทั้งสองคนกำลังสาดใส่กันไม่ได้ทำอะไรให้มันดีขึ้นสักนิด

“แกกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดเหรอ แกก็รู้ว่าฉันเจ็บกับเรื่องนี้มากแค่ไหนแกก็ยังขุดเอาขึ้นมาพูด ใช่สิ ก็พ่อแกมันดี อีนั้นมันก็ดีใช่ไหม แกถึงพะเน้าพะนอมัน แล้วก็รับเรื่องบ้าๆ สกปรกของแกกับเด็กบ้านั้นได้ใช่ไหม แกถึงเรียกมันคุณทุกคำ” เสียงสะอึกสะอื้น ทำให้ผมใจเสีย สิ่งที่คิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสารภาพตรงหน้ายิ่งตอกย้ำมากขึ้น   

“พ่อแกไม่ผิด ไม่ผิดเลยที่ไม่ได้รักฉัน เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้แกคิดแบบนั้นใช่ไหม แต่แกรู้อะไรไหมซี ฉันรักเขา รักเขาจนหมดใจ รักตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าต้องแต่งงานกับเขา”

“พี่เกียรติ คือผู้ชายใจดี เขาน่ารัก เขาดูแลฉัน ที่เป็นแค่ลูกเศรษฐีใหม่ ที่ในสังคมไม่ได้ยอมรับมากนัก น้องพิชชี่ ทุกครั้งที่เสียงทุ้มๆ นั้นเรียกฉันทำให้ฉันใจสั่น หัวใจของฉันลิงโลดพอรู้ว่าจะได้แต่งงานกัน เพียงแค่เพราะฐานะทางบ้านฉันจะช่วยเกียรติกุลได้ พี่เกียรติของฉันก็เลยกลายเป็นคุณเกียรติ ไม่มีแววตาของพี่ชาย และไม่มีทางที่เขาจะรักฉัน”

“ฉันรู้ตอนนั้นแหละ ว่าสิ่งที่เขาทำกับฉัน ห่วงใยใส่ใจทุกอย่างฉันคิดไปแค่คนเดียว มันยุติธรรมไหม ฉันอดกลั้น ถึงแม้จะรู้เรื่องยัยบ้านั้น แต่ก็ยอม ขอแค่เรายังเป็นครอบครัว ฉันยอมเป็นหัวโขนยิ้มให้กับเรื่องทุกอย่างที่ถูกนินทา แต่พ่อแกก็ทำมันพังหมด โดยการประกาศหย่า และรับมันเป็นเมียพร้อมกับเด็กหัวขนในท้องนั้นอีก แล้วแก แกก็ยังจะไปจากฉัน ไปรักกับไอ้เด็กกำพร้านั้น ทั้งๆ ที่มันกินเงินมูลนิธิของฉันแท้ๆ มันยังกล้า แค่สะเอ่อะมาเป็นเพื่อนกับแกฉันก็เตือนหลายครั้งแล้ว มันยังกล้า กล้าก้าวข้ามความรู้สึกบ้าๆ นั้น ทั้งๆ ที่มันสัญญาแล้ว มันสมควรแล้ว สมควรที่มันต้องตายแล้ว”

“มี๊” น้ำเสียงของคุณซีดูอ่อนใจ

ผมลุกจากที่นั่งของตัวเอง เดินเข้าไปหาคนที่นั่งสะอึกสะอื้นร้องไห้ปานจะขาดใจ คุกเข่าอยู่แทบเท้า คนที่รังเกียจผมเหมือนกับใช้ลมหายใจร่วมกันไม่ได้ กลับไม่ถอยหนี นั่นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย ผมจับมือ และคุณหญิงก็ไม่ชักมือกลับนั่นก็เป็นเรื่องที่ดี

“คุณหญิงครับ” เธอไม่ตอบได้แต่กลืนน้ำลาย กัดฟันข่มความโกรธที่มี

“ผมไม่แย่งคุณซีไปจากคุณหญิงครับ ผมไม่เอาเขามาสกปรกกับผมแบบที่คุณหญิงคิด และผมจะไม่ทำให้คุณซีหรือตระกูลของเกียรติกุลแปดเปื้อน” ผมไม่ได้ประชด ผมคิดแบบนั้นจริงๆ

“ผมจะยอมไม่มีตัวตนเป็นอากาศธาตุ ไม่ให้คุณหญิงรำคาญตาอีก แต่ผมขออย่างนึงได้ไหมครับ”

“.....”

“เลิกร้องไห้” ผมค่อยๆ แกะมือที่กำกันแน่น ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก และเช็ดลงไปที่ใบหน้าสวยที่ตอนนี้  นองไปด้วยน้ำตา แต่คุณหญิงก็ยังสวยงามด้วยความรักของคนเป็นแม่

“แล้วมีความสุขได้ไหมครับ เลิกทิฎฐิ อคติ และเลิกสนใจคำนินทา คำพูดของคนอื่น คุณหญิงไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูด คุณหญิงคือคนที่ทำให้ทุกคนมีความสุขโดยแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียว คุณหญิงเก็บคำพูดพวกนั้นเอามาวางบนบ่าจนเจ็บไปหมดแล้ว ปล่อยมันได้ไหมครับ แล้วผมจะหายไปเลย”
ผมยิ้มให้กับคุณหญิง ที่เบ้ปากกระเหง้ากระงอด เหมือนเด็ก น้ำตายังไหลเผาะๆ หันไปเห็นคุณซีก็ขมวดคิ้วฉับ แถมส่ายหัวให้กับความคิดโง่ๆ ของผม

ผมไม่ได้จะเลิกรักคุณซี ผมไม่ได้จะเลิกกับเขา เพียงแต่ ความสุขเล็กน้อย ที่คุณหญิงจะได้รับเพียงแค่ผมหายไปจากสายตาจากความคิด แลกกับความทรมานที่เธอต้องแบกรับมาตั้งแต่แต่งงานผมว่ามันคุ้ม ถึงมันจะดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ผมเชื่อว่าเวลาคงจะช่วยบรรเทาให้พวกเราเจ็บปวดกับความรักน้อยลง ทรมานกับการไม่รักน้อยลง และยิ้มรับให้กับความโดดเดี่ยวมากขึ้น ทุกอย่างจะต้องดีและเป็นไปในทางที่ถูกวางไว้แล้ว



*********************************


กลิ่นไอทะเล หญ้าเขียวๆ กลิ่นดินหลังจากฝนตกใหม่ๆ ที่ปลายฟ้ามีรุ้งให้เห็นอยู่เล็ก ๆ นี่คือบรรยากาศของความสุข ที่ผมสัมผัสได้เต็มหัวใจ หลังจากฝนหยุดตก เราออกจากโรงแรมในตัวเมืองทันที พอมาถึง ความชื้นในผืนดินก็คลายลงไปมาก แต่อากาศกำลังสบาย ดอกแคสเปียในมือ ถูกวางลงที่หน้าแผ่นศิลาหินอ่อน รอยยิ้มที่ปรากฎแก่ใบหน้าของคนวางดอกไม้ ทำให้ผมยิ้มออกมา

“บีกูรักมึง มึงรู้ใช่ไหม” คำพูดเบาหวิวลอยมาให้ได้ยิน ผมยิ้มรับคำนั้นได้เต็มหัวใจ อดีตของคุณซี มันน่าชื่นชม ความรักสวยงามเสมอ

“ขอบคุณนะครับคุณบีและก็ขอโทษด้วย” ผมขอบคุณที่ทำให้คุณซีกับผมได้เจอกัน และขอโทษที่รู้สึกยินดีกับการจากไป ผมเห็นแก่ตัวครับ ผมยอมรับ ถ้าคุณบียังยืนอยู่ตรงนี้ ผมคงไม่ได้เจอความรักของตัวเอง แต่คุณบีและคุณซีคงเป็นคนรัก ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก

ใบไม้ไหวลมพัดผ่านเหมือนกับว่าคุณบียอมรับในคำพูดของผม และรับรู้ในความรักของคุณซีเช่นกัน คุณซีถอยออกมาจับมือของผมไว้แน่น ก่อนที่เราจะสบตากัน

คุณซีหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ศิลานั้น และบอกกับผมว่า เขามักจะทำแบบนี้ เวลาไม่สบายใจ เคยมาปรับทุกข์กับคุณบีหลายหน จนไม่รู้ว่าคนข้างในเบื่อฟังไปแล้วหรือเปล่า คุณซีกำลังดื่มน้ำ และมีแซนวิชอันเล็กที่ผมทำใส่กล่องมากินด้วยกัน เรากำลังปิคนิคกันสามคน และเรากำลังมีความสุข

หลังจากวันนั้น แพลนที่วางไว้ว่าจะไปหาคุณบีก็เป็นอันต้องพับเก็บ คุณหญิงงอแงเหมือนเด็ก และแน่นอนผมโดนคุณซีเทศน์ยาว

“ยังไงก็ไม่เลิก พูดอะไรไม่เคยคิดถึงใจฉันเลย” นั้นเป็นคำพูดแรกที่ตะวาดใส่หน้าผมหลังจากที่กล่อมให้คุณหญิงเข้านอน ครับ เราอยู่ที่นั้นกันทั้งวัน จนค่ำมืด และนอนค้างที่นั้นด้วย

“ผมไม่ได้บอกสักนิดว่าจะเลิกกัน”

“แต่พูดแบบนั้น ก็เหมือนเลิกไหมหละ”

“คุณซีแลกความสุขเล็กๆน้อย ๆ เพื่อความสุขของคุณหญิงไม่ได้หรอครับ”

“ความสุขของฉันคือการมีนาย”

“ความสุขของผมคือเห็นคุณมีความสุข และคนรอบข้างคุณมีความสุขด้วย”

“......” เด็กซนไม่ยอมตอบ ขณะที่กำลังนอนหนุนตักผมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

“เรารักกันใช่ไหม” คนนอนเล่นหลับตาพริ้มพลางพนักหน้ารับ

“ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ผมก็รักคุณอยู่ดี คุณซี และผมรู้ว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน คุณก็จะรักผมเหมือนกัน เพราะเรารักกัน”

นั่นคือคำพูดที่ดูจริงจังที่สุดสำหรับเราทั้งคู่

ผมยังอยู่ที่ไร่ ผมยังคงดูแลสวนดอกไม้ของผม และทำให้มันเติบโต คุณซียังคงเป็น ศิริวัฒน์ เกียรติกุล ที่ต้องดูแลบริษัทในเครือ และออกงานสังคมไปกับคุณหญิงควบคู่กัน เวลาผ่านไป พวกเราโตขึ้น ดูแลตัวเองมากขึ้น และรักกันมากขึ้น แฟนเด็กอายุ 29 ของผม เป็นผู้ใหญ่จนผมตามเขาไม่ทัน เราจะเจอกันทุกครั้งที่คุณซีว่าง และทุกวันที่คุณบีจากไปของทุก ๆ ปี อย่างเช่นวันนี้ 

ความรักของเราเติบโต มองมุมกว้างขึ้น รักคนอื่นมากขึ้น ผมไม่หวังให้อะไรมันดีกว่านี้ มีความสุขมากกว่านี้ เพราะที่มีตอนนี้ผมก็รู้สึกโชคดีมากแล้ว จะมีใครสักกี่คนที่ได้รับความรู้สึกนี้กัน

คุณหญิงไม่ได้สะบัดปัดปึงยามที่เจอหน้ากัน แค่รับไหว้ แล้วหายไปจากวงสนทนา ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องดี ที่เธอไม่สั่งให้ใครลากผมออกไป ผมไม่ได้หวังให้เธอยอมรับโอบกอดผมเหมือนกับลูกชายอีกคน นั้นมันคงเป็นไปได้ยาก

พ่อไม่ได้บอกว่าคุณซีคือลูกเขย เพราะแบบนั้นจะเป็นการยอมรับว่าผมกลายเป็นผู้หญิง แต่การที่พ่อชอบบังคับให้คุณซีกินของเผ็ดทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณซีกินไม่ได้ แล้วหัวเราะชอบใจเวลาที่คุณซีเรียกหาน้ำนันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของผม มันเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ ของพ่อ

คุณเอ ไม่ได้ตกลงปลงใจกับหมอธรรมวุฒิ แต่เหตุการณ์ที่คุณหมอโดนกาแฟเย็นสาดหน้า เพราะรับมันมาจากพยาบาลที่เข้าบรรจุใหม่ โกรธเป็นฟื้นเป็นไฟอยู่หลายวันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน ถึงจะโดนกาแฟสาด แต่หมอธรรมวุฒิก็ยิ้มแก้มแทบแตกอยู่ทั้งวัน

เจ้เจน วัลลภ บอส ยังคงทำงานที่เค ดีเวลฯ และพวกเรายังติดต่อกันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้ติดต่อกับบอสโดยตรงแต่ก็ได้ฟังคำบอกเล่าจากเจ้อยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่ผมแวะเข้ากรุงเทพฯไปค้างที่คอนโดหรือค้างที่บ้านใหญ่เราจะนัดสังสรรค์กันเฉพาะกิจอยู่เสมอ ถึงแม้จะถูกงอนว่าถูกแย่งเวลาจากเด็กซน แต่มันก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก

น้องปอม มีน้องสาวแล้ว นั้นทำให้พี่พายุถูกหลงลืมไปซะสนิท พักร้อนของคุณซีปีนี้เราคงไปบินไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็ก ได้เห็นแต่รูปถ่าย แก้มยุ้ยๆ นั้นน่าหยิกซะไม่มี


“ตัวเปี๊ยก”

“หืม”

“ไม่กลับมาอยู่ด้วยกันหรอ ฉันคิดถึงนายนะ”

“กล้าพูดแบบนี้ ต่อหน้าคุณบีหรอครับ” เด็กซนเจ้าเล่ห์ ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้า ใกล้กับแท่นศิลาหินอ่อน
“ไอ้บี๋มันรู้หรอก กลับมาอยู่ด้วยกันนะ อย่าทรมานกันนักเลย”

“แล้วไร่ผมล่ะ”

“นานๆ กลับไปดูทีก็ได้นี่น่า” ผมเกลี่ยปอยผมของคุณซีที่ตอนนี้เริ่มยาวแล้ว “จะพากลับทุกอาทิตย์เลยก็ได้เอ้า”

“แล้วคุณหญิงล่ะครับ กลับไปนอนบ้านบ้าง ถ้าผมกลับมาอยู่ที่คอนโด คุณซีจะกลับไปนอนบ้านไหม”

“ฉันคิดถึงนาย” น้ำเสียงงอแงแสดงความเป็นเด็กเต็มที่

“ผมก็คิดถึงคุณ แต่ตอนนี้คุณไม่มีความสุขหรอ”

“มีสิ”

“ผมก็มีครับ มีมากด้วย”

คุณซีหยัดตัวลุกขึ้น มือใหญ่ลูบแก้มผม นิ้วโป้งนั้นเกลี่ยแก้ม ด้วยความเอ็นดู ขนตายาวๆ ของคุณซีเข้ามาใกล้ทุกที ริมฝีปากหนา ที่เมื้อกี้ยังกระเหง้ากระงอดงอแง ใกล้เข้ามา ประทับรอยจูบลงอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก

“ฉันรักนาย พายุ”

“ผมรักคุณซีนะ” เราสบตากัน และรอยจูบนั้นก็ดึงดูดกันอีกครั้ง สองมือ คุณซีประคองใบหน้าให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม และผมไม่คิดที่จะขยับหนี ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาทำให้ใจวาบหวิว จูบกันจนนับครั้งไม่ได้ แต่ทุกครั้งก็ยังตื่นเต้น หัวใจสั่นไหว เหมือนเป็นจูบแรกอยู่เสมอ

ดอกแคสเปียถูกวางไปบนแท่นศิลา พลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่าน

ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่ลืมเลือน

เราจูบกันและผละออก และจูบกันอีกครั้ง

เรารักกัน และคงรักตลอดไป

ข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไร หนทางต่อจากนี้จะมีอุปสรรคหรือยากลำบากแค่ไหน แต่เราจะจับมือกัน มีความสุข และมีความทุกข์ ไปด้วยกันเสมอ







 The End.






เดินทางกันมาจนถึงตอนจบ ขอบคุณนะคะ นี่เกินความคาดหวังที่ตั้งเอาไว้มากเลย สำหรับเรื่องแรก ดีใจและก็เป็นแรงฮึด ให้ฝึกฝีมือต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้สึกท้อไปบ้างแต่ก็ทำให้ยิ้มและกลับมาเขียนอีกครั้ง เพราะทุกคอมเม้นท์เลยค่ะ


จริงๆ มีที่สต๊อกเขียนขาดๆ เกินๆ ไว้หลายเรื่องแต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเนาะ

ไม่รู้ว่าตอนจบจะถูกใจหรือเปล่า ที่เขียนไม่ให้คุณซีกับพายุกลับไปอยู่ด้วยกัน เพราะในความเป็นจริงบางทีทุกอย่างก็ไม่แฮปปี้เอนดิ้ง เสมอไปค่ะ แต่เขาก็ยังรักกัน ถ้ารักกันแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดหรอกจริงไหม ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องดำเนินชีวิตในแบบที่เป็นค่ะ

อาจจะไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ทุกอย่างดูง่ายไปหมด ไม่รู้ว่ามองโลกในแง่ร้ายไหม แต่เชื่อว่า คนไม่ชอบกัน การเปิดใจให้รับเข้ามาและรักเหมือนไม่เคยเกลียดกันมาก่อนเลยคงเป็นไปได้ยาก พ่อของพายุไม่ได้ยอมรับการเป็นเกย์ของพายุนะคะ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่ถ้าใครมาถามว่า ลูกเป็นเกย์หรอ ไอ้หนุ่มกรุงเทพนั้นเป็นแฟนลุกชายหรอ แกคงไม่ตอบว่าใช่แน่นอน แม่ของซีก็เหมือนกันค่ะ

เพราะฉนั้นเรารักกัน ไม่ได้รักกันแค่สองคนค่ะ ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบอื่นๆก็มีผล

ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้นะคะ และอย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน ตามเรื่องอื่นๆ ด้วยน้าาาาาาา ^^

นี่เป็นทอล์คที่ยาวที่สุดแล้ว ตั้งแต่เปิดบทความ อย่าเพิ่งเบื่อ อิอิ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ



**ความหมายของดอกแคสเปีย ขอบคุณข้อมูล twitter@ILA_flower
ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่ลืมเลือน**

pradoza

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุนสำหรับนิยายดีๆค่า :hao3:

ออฟไลน์ miwmiwzaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ

ออฟไลน์ express_men

  • Catching Light.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
    • SpeedlightTH
เราว่าจบเก๋นะ

แต่ตัวคุณหญิง ยังขาดเรื่องราวหรือเบื้องหลังที่รุนแรงพอจนยอมรับไม่ได้
บางเหตุการณ์ก็ยังดูขาดความสมจริง เหมือนตัวละครถูกจับยัดเข้าเหตุการณ์ ปูเรื่องไม่แน่นพอ

แต่รวมๆดีครับ

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

มันเป็นอีกมุมหนึ่งของสังคม

แม้ไม่ได้บอกใคร

แต่ก็รักกัน


ออฟไลน์ pradoza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
    • twitter
ขอบคุณสำหรับคำติชมมากๆ ค่ะ จะพยายามฝึกฝน ให้ดียิ่งๆ ขึ้นค่ะ ของคุณนะคะ  :L2: :pig4:
เราว่าจบเก๋นะ

แต่ตัวคุณหญิง ยังขาดเรื่องราวหรือเบื้องหลังที่รุนแรงพอจนยอมรับไม่ได้
บางเหตุการณ์ก็ยังดูขาดความสมจริง เหมือนตัวละครถูกจับยัดเข้าเหตุการณ์ ปูเรื่องไม่แน่นพอ

แต่รวมๆดีครับ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ขจรดูฉลาดและจิตใจดี ไม่น่าเลือกตามใจแพรแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย เสียดาย  :เฮ้อ: 

ดูแล้วแพรไม่น่าจะโดนโทษหนัก คนที่มีปัญหาทางจิตใจขั้นรุนแรง ปล่อยออกมาเดินเพ่นพ่านจะดีเหรอ? น่ากลัวง่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tangMa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตื่นเต้นในทุกๆตอนที่อ่าน
ขอบคุณที่ทำให้เรามองความรักได้ในหลายแง่มุมมากขึ้นนะคะ
ชอบมากๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ
 :man1:

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
ชอบมากค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกดี เข้าใจซี ที่มีคนนึงเป็นอดีต และอีกคนเป็นปัจจุบันและอนาคต
เพราะเราก็มีเหมือนกัน ต่างกันตรงที่อดีตของเรา เขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนซักแห่ง 55+
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ สนุกมากๆ
คนร้ายเป็นคนที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณคนเขียนค่าาาา ลงได้จุใจมาก
แรกๆลุ้นว่าเป็นหญิงแม่แน่ๆ ไปๆมาๆเป็นแพรเฉย อ๊ากกกก ร้ายกาจจจจ
 :z3: :bye2: :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด