Chapter 29 : ความสูญเสีย“เข้าไปในปราสาทหรือ” ทั้งคันรถอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าโอกาสจะมาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
คอนราดรีบถามซ้ำ “พวกข้าจะเข้าไปได้หรือท่าน”
“เอ๊า ได้ซิ เดี๋ยวถือจดหมายของข้าไป เอาไปให้หัวหน้าทหารที่ชื่อฮาเกน ไปตอนเย็นหน่อยนะ คืนนี้ทหารในหน่วยของเขาเข้าเวร จะได้มีดื่มกัน”
“หัวหน้าทหารชื่อฮาเกนนะขอรับ”
“ใช่ เขาเป็นคนใกล้ชิดท่านบาร์ดอฟมากที่สุด”
“แล้วพวกข้าจะไปถูกหรือขอรับ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะมีทหารมาพาเข้าไป แต่รอให้ตะวันตกดินเสียก่อนจึงจะเป็นเวลาอยู่เวรของพวกเขา”
คอนราดค้อมศีรษะลงต่ำ “ขอรับ ขอบคุณท่านบิชอปมากขอรับ”
บิชอปยิ้มกว้างรับ “ปีหน้าถ้าพวกเจ้านำเบียร์มาขาย ก็อย่าลืมมาหาข้า แต่ไม่ต้องถามหาบิชอป เพราะตอนนั้นข้าคงเป็นคาร์ดินัลเรียบร้อย”
โอ้โห... จะเป็นคาร์ดินัลไม่ต้องปรึกษาพระสันตะปาปาก่อนเรอะ
องครักษ์หนุ่มนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ หากก็ค้อมศีรษะไว้จนกระทั่งบิชอปเดินกลับเข้าโบสถ์ไป สักพักก็มีบาทหลวงนำจดหมายประทับตรามาส่งให้
“เอาจดหมายให้ทหารที่ป้อมดู แล้วเขาจะพาเข้าไปเอง”
ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนตะวันจะตกดิน ลอร์ดหนุ่มจึงใช้เวลาที่มีอยู่นั้นเพื่อวางแผนให้รอบคอบมากที่สุด
“ยาที่ท่านคาร์ลให้นำติดมา เมื่อผสมกับเบียร์แล้วจะทำให้หลับไปได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น หมอยาท่านว่าครึ่งหนึ่งของครึ่งคืนขอรับ”
ลอร์ดหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก “เวลาเท่านี้ก็น่าจะพอให้ดูลาดเลาภายในกำแพงปราสาทได้ อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นกำแพงสามชั้นที่ว่า เราจะใช้รถม้าคันเดียวเข้าไปข้างใน เมื่อส่งเบียร์เสร็จแล้วก็ให้ตามทหารออกไป ข้าจะอยู่ในนั้นกับลูคัส เออร์วิน คอนราดและพวกเจ้าสองคน”
“พวกเจ้าอีกสองคน หลังนำรถม้าออกมาจากปราสาทก็เอารถม้าออกจากเมืองไปเสีย จะได้ไม่เป็นที่น่าสงสัย ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปจัดการขอซื้อเรือชาวบ้านมาสองลำ เอาเรือไปรอรับพวกข้าที่ป้อมทิศใต้ แล้วหาเชือกที่แข็งแรงที่สุดมาไว้ด้วย”
“ขอรับท่านลอร์ด”
“ลูคัส เจ้าต้องอยู่กับข้าตลอด แล้วก็ต้องระวังให้มากที่สุด เราพลาดไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหม”
เด็กหนุ่มตอบรับอย่างแข็งขัน “ครับ!” เขาก็หวั่นๆ ใจอยู่เหมือนกันนะ แต่อยากเห็นกำแพงสามชั้นที่ว่านั่นเช่นกัน
ดวงตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ไม่นานก็ลาลับปลายฟ้าไป เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว รถม้าจึงเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ โดยมีนายทหารสองนายเป็นคนบังคับ ส่วนคาร์ล ลูคัส องครักษ์ทั้งสองและทหารอีกสองนายหลบซ่อนอยู่ด้านหลังรถม้า พวกเขาคอยแอบดูจากช่องว่างของผ้าคลุม อดใจรอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยหัวใจตุ้มต่อม ส่วนรถม้าอีกคันหนึ่งจอดรออยู่ในเมือง ส่วนทหารที่เหลือก็ไปจัดการติดต่อขอซื้อเรือจากชาวบ้าน แล้วปักหลักรอเวลาอยู่ที่ท่าน้ำ
รถม้าเคลื่อนไปบนทางเดิน ผ่านป่าที่อยู่ระหว่างเมืองกับปราสาท ก่อนจะไปหยุดที่หน้าป้อมเบื้องหน้าสะพานชักเพื่อส่งจดหมาย พอพวกทหารเห็นดวงตราบนจดหมาย พวกเขาก็สั่งให้ลดสะพานลงทันที จากนั้นทหารนายหนึ่งก็ขี่ม้านำเข้าไปช้าๆ
สะพานชักทำจากไม้ แต่ดูแข็งแรงทนทานไม่ใช่น้อย เมื่อรถม้าเคลื่อนผ่านไปได้ก็พบกับประตูลูกกรงเหล็ก มันถูกชักขึ้นช้าๆ ก่อนนายทหารจะขี่ม้านำรถม้าเคลื่อนผ่านเข้าไปต่อ
ลูคัสจับจ้องทุกขั้นตอนไว้เขม็ง หลังจากผ่านกำแพงปราสาทเข้ามา ก็พบกับลานโล่งกว้าง ซึ่งเมื่อรถม้าวิ่งต่อไปอีกสักพักก็หยุด
นายทหารที่นำเข้ามาหันกลับมาสั่ง “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปตามท่านฮาเกน”
หลังจากนายทหารคล้อยหลังไป ทหารสองนายของแบร์กไฮม์ก็จัดการตรวจดูลาดเลา ก่อนจะส่งสัญญาณบอกกับคนบนหลังรถ พวกเขาทยอยออกมาจากที่ซ่อนช้าๆ แล้วตรงไปหลบกันที่มุมมืดไม่ไกลจากจุดที่รถม้าจอดอยู่
สักพักนายทหารคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับทหารพวกเดียวกันอีกสี่คน ดูเหมือนว่านายใหญ่จะไม่ได้มาด้วย พวกเขามาขนเบียร์สองถังนั่นกลับเข้าห้องครัวไป จากนั้นนายทหารก็ขี่ม้านำรถม้ากลับออกประตูไป
จากจุดที่ซ่อนอยู่พวกเขาสามารถมองเห็นความเป็นไปภายในกำแพงปราสาทได้ และในที่สุดลูคัสก็ได้เห็นกำแพงสามชั้นที่เลื่องลือนั่น
กำแพงสองชั้นสร้างขนานกัน โดยที่กำแพงชั้นที่สองอยู่ต่ำกว่าเล็กน้อย เหนือกำแพงชั้นที่สองขึ้นไปเป็นเพิงไม้ยาวตลอดแนว ให้ทหารสามารถเดินตรวจตราบนกำแพงและเดินไปมาระหว่างป้อมได้ นอกจากนั้นก็ยังสามารถซุ่มจู่โจมศัตรูที่เข้ามารุกรานปราสาทผ่านช่องแคบๆ สำหรับยิงธนู ที่เห็นได้ชัดก็เพราะมีคบเพลิงจุดไว้ตลอดแนว
ลูคัสคิดว่ากำแพงชั้นที่สามคือกำแพงที่เชื่อมต่อกับปราสาทชั้นใน เพราะเห็นว่ามีห้องครัวและหอคอย เท่าที่เห็นก็คล้ายคลึงกับแผนผังโครงสร้างที่เขาเคยวาดไว้มากเลยทีเดียว
เสียงฝีเท้าทหารเดินไปเดินมาอยู่ตลอด พวกเขานำเบียร์ไปส่งต่อให้ทหารตามป้อมกำแพงด้วย ลอร์ดหนุ่มและพวกพ้องจึงได้แต่รอเวลาอยู่เงียบๆ
ไม่นานก็เห็นว่าพวกทหารบนเพิงไม้เหนือกำแพงยืนโงนเงน บางคนทิ้งตัวลงนั่ง บางคนก็ยืนหลับพิงกำแพง พอเห็นว่ายานอนหลับออกฤทธิ์แล้ว ลอร์ดหนุ่มจึงขยับออกจากที่ซ่อน
“ไปทางนี้ ตรงไปจะเจอลานปราสาทชั้นใน ผมขอดูให้มั่นใจสักหน่อย” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับรีบรุดออกไป
“ลูคัส!” ยังไม่ทันไรก็ขัดคำสั่งเขาเสียแล้ว คาร์ลรีบคว้าแขนเรียวไว้ ทว่าไม่ทัน เขาจึงต้องสาวเท้าตามอีกฝ่ายไป
ลูคัสหันมองซ้ายขวาขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้วย “ห้องครัวอยู่ทางซ้าย ห้องเก็บของอยู่ทางขวา ข้างหน้านั่นต้องเป็นลานปราสาทแน่”
เมื่อสุดทางเดินเด็กหนุ่มจึงยอมหยุดได้ เบื้องหน้าของเขาเป็นลานปราสาทชั้นใน
“ลูคัส! เจ้านี่นะ!” คาร์ลโอบเอวเด็กดื้อไว้แล้วดึงเข้ามาแนบกาย
“ท่านคาร์ล ดูสิ” ลูคัสชี้ไปยังตึกใหญ่ “นั่นไง ปราสาทชั้นใน บาร์ดอฟต้องอยู่ในตึกนั้นแน่ ข้างหลังนั่นที่มีไฟเล็กๆ คือหอกลาง ข้างล่างคือคุก บ้านพักทหารกับพวกช่างทั้งหลายคงอยู่ทางด้านนู้น อีกฝั่งของปราสาทชั้นใน”
“พอแล้ว! เรามีเวลาไม่มากนะ ถ้าพวกทหารตื่นขึ้นมาล่ะก็ยุ่งแน่ รีบหาทางออกก่อน!” ลอร์ดหนุ่มพูดเสียงดุ
ได้เห็นเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว ลูคัสจึงยอมให้คาร์ลพาตัวกลับทางเดิมไปได้ เมื่อไปถึงทหารของแบร์กไฮม์สองคนที่คอยระวังทางอยู่ก็เดินนำไปยังป้อมริมแม่น้ำตามที่นัดกันไว้ พวกเขาต้องคอยหลบในเงามืดเป็นระยะๆ เพราะไม่แน่ใจว่าทหารในบริเวณนั้นหลับไปทุกคนหรือไม่
พอไปถึงป้อมทิศใต้ได้ นายทหารสองคนก็เดินนำขึ้นไป ส่วนเออร์วินและคอนราดอยู่รั้งท้ายคอยระวังหลัง พวกเขาวิ่งขึ้นบันไดวนไปอย่างรวดเร็ว แม้จะเหนื่อยจนหอบก็ยังไม่หยุดวิ่ง จนกระทั่งขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ทุกอย่างดูจะราบรื่นดี จนกระทั่ง...
ทหารที่เฝ้ายามบนป้อมนั้นไม่ได้ดื่มเบียร์เข้าไป เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงชะโงกหน้ามองลงไปดูที่บันได
“ใครน่ะ!”
ลอร์ดหนุ่มชักดาบออกจากฝัก แขนแกร่งตวัดโอบเด็กหนุ่มไปทางด้านหลัง
“พวกข้าจัดการเองขอรับ!” นายทหารสองนายยกธนูขึ้นเล็งแล้วยิงออกไปทันที
เสียงร้องโอดโอยของทหารที่อยู่ข้างบนดังแว่ว ดูเหมือนลูกธนูจะเข้าเป้าพอดิบพอดี หากยังมีเสียงอื้ออึงจากทหารคนอื่นๆ อยู่
“บนป้อมจะมีทหารกี่คนกันนะ”
“แย่แล้วขอรับ เสียงฝีเท้าจากด้านล่าง! พวกมันรู้ตัวแล้ว!”
ทหารสองนายที่นำหน้าอยู่ชักดาบออกแล้ววิ่งนำขึ้นไป เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว เออร์วินจึงก้าวออกมานำลอร์ดหนุ่มและลูคัสแทน เหลือให้คอนราดระวังหลังคนเดียว
ลูคัสหันรีหันขวาง หัวใจเต้นสั่นรัว กลัวจับใจจนมือเย็นเฉียบ แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรใครก็ไม่ได้
“ออกมาได้แล้วขอรับ”
ทหารบนป้อมมีอยู่ห้าคน บัดนี้กลายเป็นศพนอนเกลื่อน เลือดสีแดงฉานหลั่งไหลนองพื้น
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “อา...”
เออร์วินรีบเดินไปที่หน้าต่าง เขาหยิบคบเพลิงมา พร้อมกับชะโงกหน้ามองลงไป แล้วเหวี่ยงคบเพลิงในมือเป็นสัญญาณ จากนั้นก็ถอยกลับไปยืนหลบข้างหน้าต่าง ไม่นานลูกธนูก็ถูกยิงขึ้นมาพร้อมกับเชือกเส้นโต
องครักษ์หนุ่มคว้าเชือกไว้แล้วโยนให้นายทหาร “มัดไว้กับลูกกรงนั่น เร็วเข้า”
เชือกถูกยิงส่งขึ้นมาสี่เส้น เพื่อที่จะได้ปีนลงกันได้โดยเร็ว เออร์วินรีบหันไปบอกผู้เป็นนาย “ท่านคาร์ล ลูคัส รีบลงไปก่อนเร็ว”
“ไปก่อน ลูคัส” คาร์ลผลักไหล่เด็กหนุ่มออกไป เขาชักดาบยาวออก เพื่อช่วยคอนราดและพวกทหารระวังหลัง
ลูคัสรีบก้าวเท้าออกไป หากจู่ๆ นายทหารที่มาด้วยกันก็ถลาเข้ามาโอบกอดเขาไว้ “อะ!” พอหันกลับไปมองก็เบิกตาโพลง อ้าปากค้าง “กุนเทอร์!”
บนแผ่นหลังนายทหารมีลูกธนูปักคาอยู่ เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าทหารจากบนเพิงไม้เหนือกำแพงใกล้ๆ กันเป็นคนยิงมา
สองแขนเรียวประคองนายทหารของแบร์กไฮม์ไว้ “กุนเทอร์ อดทนนะ เดี๋ยวลงไปแล้วค่อยหาวิธีทำแผล”
นายทหารยิ้มบางพลางส่ายหน้าไปมา “ท่านลูคัส ข้าเสียใจ... ข้าคงปกป้องท่านได้... เท่านี้”
“ไม่! ไม่นะ! เรามาด้วยกัน ต้องกลับด้วยกันสิ! ลูกของนายรออยู่นะ!”
ลอร์ดหนุ่มตะโกนเรียก “ลูคัส! เจ้าทำอะไรอยู่! รีบลงไปเร็ว!”
“ท่านคาร์ล! ช่วยกุนเทอร์ที”
คาร์ลรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ เขาช่วยเด็กหนุ่มพยุงนายทหารไว้ “กุนเทอร์”
“ท่านคาร์ล ท่านลูคัส ข้าเสียใจ... ฝาก... ดูแล...”
“ไม่ต้องห่วง ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยลูคัส ข้าจะดูแลครอบครัวเจ้าให้ดี ข้าสัญญา”
กุนเทอร์พยักหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงแน่นิ่ง ขณะที่เลือดหลั่งไหลออกมาจากรอยแผลมากมาย
เด็กหนุ่มตกใจจนแทบสิ้นสติ เขาไม่เคยต้องการให้ใครต้องเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงเพื่อตัวเองเลย “กุนเทอร์!”
“พวกทหารขึ้นมาถึงแล้ว!” คอนราดตะโกนบอก
“ลูคัสรีบลงไปเร็ว” คาร์ลหันไปบอกกับเด็กหนุ่ม
ทหารจากด้านล่างกรูกันขึ้นมาแล้ว หากสำหรับคาร์ล คอนราด เออร์วินและนายทหารอีกคนที่เหลือไม่ใช่เรื่องยากที่จะรับมือ เสียงปลายดาบกระทบกันดังก้องบริเวณนั้นไปทั่ว
“อา...” ลูคัสยืนนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ ทั้งตกใจและเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก หากพอตั้งสติได้ก็รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง
ลูกธนูจากเพิงไม้พุ่งตรงเข้ามาอีก ครั้งนี้เออร์วินสังเกตเห็น เขาจึงรีบถลาเข้าไปดึงตัวเด็กหนุ่มหลบ ลูกธนูจึงปักเข้าที่ตรงท่อนแขนเขาแทน “ลูคัส! ทำไมเจ้าวิ่งไม่มองอะไรเลย!”
เออร์วินกัดฟันดึงธนูออก เขาก้มลงหยิบธนูของศัตรูจากศพที่นอนอยู่ขึ้นเล็ง จัดการกับพวกทหารสามสี่นายบนเพิงไม้ได้ในชั่วพริบตา “เอาล่ะ รีบไปเร็ว!” หากเพราะมัวแต่ระวังให้ลูคัส เขาจึงไม่ทันมองศัตรูที่ถือดาบพุ่งตรงเข้ามาจากทางด้านหลัง
“ไม่! เออร์วิน!” เด็กหนุ่มก้มลงคว้าดาบศัตรูที่หล่นอยู่แล้วนั้น เขาถลาเข้าไปกอดเออร์วินไว้พร้อมกับหลับหูหลับตาใช้ดาบแทงไปตรงหน้า ปลายดาบพุ่งตรงเข้าตรงส่วนท้องของศัตรูพอดี ทำให้มันชะงัก ทรุดตัวลงนั่งเอามือกุมบาดแผลพลางร้องโอดโอย
“ลูคัส...” เออร์วินอ้าปากค้าง
ดวงตาสีเข้มปริ่มน้ำตา “เออร์วินจะเป็นอะไรไปไม่ได้นะ เราต้องกลับแบร์กไฮม์ด้วยกันทั้งหมด”
“ไม่ต้องห่วง” เออร์วินหยิบดาบจากในมือเด็กหนุ่ม เขาหันกลับไปปลิดชีพศัตรูก่อนที่มันจะลุกขึ้นมาได้อีก
“รีบไปเร็ว ก่อนทหารจะขึ้นมาอีก!” คอนราดตะโกนลั่น
คาร์ลก้าวเข้ามาคว้าตัวเด็กหนุ่ม “เจ้าจับเชือกให้แน่น” จากนั้นก็อุ้มขึ้นไปยังขอบหน้าต่าง “เร็ว!”
ลูคัสพยักหน้า เขาพยายามไต่ลงไปตามแนวกำแพงโดยเร็วที่สุด
สี่คนที่เหลือทยอยตามกันลงมา พวกเขาเห็นเรือที่มารออยู่ใกล้ๆ แล้ว
ทว่าจู่ๆ เชือกของเด็กหนุ่มก็สั่นคลอนแล้วยังเหวี่ยงไปมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน “ท่านคาร์ล! พวกมันกำลังตัดเชือก!”
“กระโดดลงเรือไปเลย เร็วเข้า” คาร์ลตะโกนบอก
“ผมมองไม่เห็นเรือ!”
“กระโดดลงมาเลยขอรับ เร็ว!”
ลูคัสตั้งท่าเตรียมกระโดด หากสายเกินไป เชือกของเขาขาดผึง... “ท่านคาร์ล!”
“ลูคัส!” คาร์ลกระโดดกอดเด็กหนุ่มไว้ ก่อนทั้งสองจะร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเย็นยะเยือกเบื้องล่างไปด้วยกัน
สามคนที่เหลือกระโดดลงเรือ พวกเขารีบคว้าเชือกที่เหลืออยู่เหวี่ยงลงน้ำตรงจุดที่ทั้งสองคนตกลงไป
น้ำที่เย็นเฉียบทำให้รู้สึกราวกับมีเข็มนับพันรุมทิ่มแทง ร่างกายชาจนขยับไม่ได้ เขามองอะไรไม่เห็น หัวใจราวกับหยุดเต้นไปชั่วครู่
“ท่านคาร์ล! จับเชือกไว้ขอรับ!”
คาร์ลโอบกอดเด็กหนุ่มไว้ เขาควานหาเชือกด้วยแขนอีกข้างที่เหลือ แม้จะหนาวจนแทบขาดใจ หากไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องดวงใจของเขาไว้ให้จงได้ ลอร์ดหนุ่มใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพาตัวเด็กหนุ่มเข้าไปยังลำเรือ เมื่อพวกทหารเห็นตัวพวกเขาก็ฉุดขึ้นบนลำเรือได้ในที่สุด
“ถอดเสื้อผ้าออกเร็วเข้า!”
คอนราดและทหารช่วยกันถอดเสื้อผ้าคาร์ลและลูคัสออก ลอร์ดหนุ่มกอดร่างที่เย็นราวกับน้ำแข็งของคนรักไว้แล้วเอาผ้าหนาคลุมพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน
“รีบไปเร็ว”
เสียงทหารดังจากด้านบนกำแพงโหวกเหวก หากไม่อาจมองเห็นเรือลำเล็กที่อยู่ด้านล่างได้ สักพักพวกเขาก็เงียบไป
เรือลำเล็กสองลำจ้วงฝีพายอย่างเร่งรีบ ฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวไปอย่างไม่ง่ายนัก สายลมพัดพาความหนาวเย็นมาตลอดเวลา
ร่างกายของลูคัสสั่นเทา ริมฝีปากซีดไร้สีเลือด เขาพยายามฝืนลืมตาไว้ พลางยกมือที่เย็นเฉียบขึ้นสัมผัสใบหน้าลอร์ดหนุ่ม “คาร์ล”
เจ้าของชื่อเรียกกระชับอ้อมแขนแน่น แล้วเอียงใบหน้าซบลงบนฝ่ามือของเด็กหนุ่ม “ข้าอยู่นี่”
“ขอบคุณที่ไม่ทิ้งผม”
คาร์ลยิ้มบาง “ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร หนาวมากไหม”
ลูคัสพยักหน้า “หนาวครับ... แล้ว เออร์วิน...”
องครักษ์หนุ่มที่พายเรืออยู่รีบชะโงกหน้าเข้ามาตอบ “ข้าอยู่นี่”
เด็กหนุ่มหันไปทางคนตอบช้าๆ “ดีแล้วที่ไม่เป็นไร... คอนราดล่ะ”
“คอนราดก็อยู่บนเรือนี่แล้ว”
“ทุกคนล่ะ” หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาจากนัยน์ตาสีเข้ม เขาสะอึกสะอื้นไห้ “กุนเทอร์... ผมขอโทษ...”
“ท่านคาร์ล ดูท่าท่านลูคัสน่าจะเพ้อแล้วขอรับ”
คาร์ลพยักหน้า ใจเขาร้อนรนเหลือเกินแล้ว “รีบพายเรือเร็วเข้า ต้องพาลูคัสไปที่อุ่นๆ ก่อน”
เมื่อเข้าใกล้ฝั่งพวกทหารก็พายเรือเลียบฝั่งไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่หยุดพักและจอดรถม้าขนเสบียงทิ้งไว้เมื่อคืน
คอนราดรีบพาผู้เป็นนายและลูคัสขึ้นฝั่ง เร่งนำเสื้อผ้าอุ่นๆ มาสวมให้ สั่งทหารให้เร่งใส่ฟืนในกองไฟจนลุกโชน จากนั้นจึงไปช่วยประคองเออร์วินมานั่งลงหน้ากองไฟด้วยกัน
คอนราดใช้มีดตัดแขนเสื้อของเออร์วินออก “ทำแผลก่อน ดูท่าเจ้าจะเลือดออกไม่น้อย”
“เลือดหยุดแล้วล่ะ เจ้าไปดูลูคัสกับท่านคาร์ลก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไร รีบทำแผลให้เออร์วินเถอะ” คาร์ลตอบ เขาโอบกอดเด็กหนุ่มซึ่งเวลานี้สลบไสลไม่ได้สติไว้แนบกาย
โชคดีที่บาดแผลของเออร์วินไม่ลึกมากและเริ่มประสานกันบ้างแล้ว คอนราดใช้เบียร์ราดลงบนบาดแผล ซึ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บจนต้องกัดฟันกรอด
“ฮื่อ...”
“เจ็บก็ร้องออกมาบ้างก็ได้”
“รีบๆ ทำให้เสร็จเถอะน่ะ”
“ขอรับๆ” คอนราดค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดแล้วพันแผลให้แน่น
นายทหารนำเบียร์มาส่งให้คาร์ลดื่มเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เขารีบดื่มแล้วป้อนให้เด็กหนุ่มทางปากอึกแล้วอึกเล่าจนหมดถ้วย นายหทารจึงรีบนำถ้วยใหม่มาส่งให้
“ท่านก็ดื่มบ้างเถอะขอรับ”
ลอร์ดหนุ่มป้อนเบียร์ให้ลูคัส สลับกับดื่มเองบ้าง จนกระทั่งตัวเด็กหนุ่มเริ่มอุ่นขึ้น
ลูคัสปรือตาขึ้น “....”
“อดทนก่อนนะ เราจะต้องรีบเดินทางกันต่อแล้ว”
“ครับ”
คาร์ลสั่งให้ทิ้งรถม้าสองคันที่นำออกมาจากในเมืองไว้ที่ในป่า พวกเขานำม้าทั้งหมดมาพ่วงไว้กับรถม้าสำหรับเสบียงคันเดียว จากนั้นจึงเร่งเดินทางกลับสู่แบร์กไฮม์
..
.....
..
ในยุคปัจจุบัน บิดามารดาของครอบครัววินเซนต์เดินทางจากมิวนิคมาพักที่ไฮเดลแบร์กอยู่บ่อยๆ เพื่อติดตามการสืบสวนคดีของบุตรชายคนเล็กซึ่งหายตัวไปอย่างไรร่องรอย
ทางตำรวจและหน่วยฟอเรนซิกส์ของเยอรมนีทำงานกันอย่างเต็มกำลัง ค้นหาจนครบทุกซอกทุกมุมภายในปราสาทแล้ว หากก็ยังคงมืดแปดด้าน
ในกลางดึกของคืนหนึ่ง มารดาของเด็กหนุ่มฝันเห็นบุตรชายยืนอยู่ท่ามกลางซากปราสาทปรักพัง รอบๆ ตัวเขามีเพียงก้อนหินกับตอเสาใหญ่ๆ มากมาย ทว่าเมื่อหล่อนร้องเรียกและวิ่งเข้าไปใกล้ก็เห็นว่าบุตรชายไม่ได้อยู่ที่นั่นตามลำพัง ข้างกายเขามีชายหนุ่มรูปร่างท่าทางสง่างาม ผมสีทองสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนสูงศักดิ์สมัยโบราณ ห่างออกไปเล็กน้อยมีชายหนุ่มในชุดทหารโบราณยืนอยู่ หล่อนถลาเข้าไปโดยไม่กลัวเกรง พลางตะโกนเรียกบุตรชายอีกครั้ง
“ลูคัส! ลูคัสลูกแม่!”
บิดาที่นอนหลับอยู่ข้างกันสะดุ้งตื่นขึ้น “มีอะไรรึ!”
“คุณคะ! ลูคัสไปที่ปราสาทนั่นค่ะ!”
“คุณพูดอะไรน่ะ ใจเย็นๆ ก่อน ปราสาทไหนกัน ปราสาทไฮเดลแบร์กน่ะรึ”
หล่อนลุกขึ้นนั่งนิ่ง ยกมือขึ้นประกบใบหน้าแล้วนึกย้อนไป เมื่อตอนบุตรชายเรียนปีหนึ่ง เขาเคยพูดถึงโพรเจ็กต์การวาดภาพโครงสร้างปราสาทจากปราสาทที่ในปัจจุบันเหลือเพียงแค่ซากเท่านั้นให้ฟัง
“ลูคัส... เคยเล่าถึงปราสาท... ที่เขาทำโพรเจ็กต์ อยู่ที่ไหนนะคะ”
“โรเซนไฮม์หรือเปล่า”
“ใช่ๆ ที่นั่นมีซากปราสาท มีแม่น้ำล้อม ฉันฝันว่าลูกอยู่ที่นั่นกับใครก็ไม่รู้ค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนนะคุณ ลูคัสหายไปที่ปราสาทไฮเดลแบร์ก ทำไมจู่ๆ ถึงจะไปโผล่ที่ปราสาทโรเซนไฮม์กันเล่า”
“นั่นสินะ” มารดาหลุบตาลงต่ำพลางทอดถอนใจ จากนั้นก็ยิ้มบาง “ตลอดเวลาฉันมีความรู้สึกว่าเขายังอยู่ที่ในไฮเดลแบร์กนี่ แต่ไม่รู้สิคะ... ทำไมฉันถึงฝันเห็นเขาในเมืองโรเซนไฮม์ได้”
บิดายกมือขึ้นกุมหัวไหล่ที่สั่นอยู่เล็กน้อยแล้วบีบเบาๆ “ถ้างั้นเอาไว้เราไปที่นั่นกันไหม ไปดูซากปราสาทแล้วก็แวะไปมิวเซียมสักหน่อย ชวนอเล็กซ์ไปด้วย”
“ก็ดีค่ะ”
*~TBC~*วันนี้หยุดกันวันสุดท้ายของสงกรานต์แล้วชิม้อยยย ตักตวงความสุขกันให้เต็มที่เลยค่ะ /ได้ข่าวว่าจะหมดวันแย้ว
ตอนนี้แอบเครียดนิดนุงนะคะ แต่น้องลูคัสก็ได้เห็นกำแพงแล้วล่ะ รีบหาวิธีทำลายให้ไวๆ นะหนูนะ ฮรือ~
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่ะ ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้นะคะ ปลื้มใจจจ
ปล. นิยายเรื่องนี้ฮัสกี้อ้างอิงจากยุคกลาง มีบางส่วนที่จกประวัติศาสตร์จริงมาใช้ในเรื่อง และมีบางส่วนที่แต่งเสริมขึ้นมาตามใจฮัสกี้เองนะคะ 555555