Chapter 14 : หน้าไม้อากาศในช่วงต้นฤดูหนาวเย็นเยียบแม้ในเวลากลางวัน แต่โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าสดใส มีแสงอาทิตย์แรงจ้าที่พอจะให้ความอบอุ่นได้บ้าง ลูคัสเงยหน้าขึ้นให้ลำแสงนั้นฉาบไล้ใบหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนออกมายาวเหยียด
“ดีจังที่ยังไม่มีหิมะ” ถึงจะพูดไปเช่นนั้นแต่ที่จริงเขาก็อยากเห็นหิมะที่นี่เหมือนกันนะ หากเมื่อนึกถึงพวกชาวเมืองที่กำลังเร่งโม่ข้าวแล้ว ยังไม่ตกจะดีกว่า
“เฮ้อ... ท่านลอร์ดทำอะไรอยู่นะ” ลูคัสเท้าแขนลงกับราวระเบียง เขาไม่ได้พบกับลอร์ดหนุ่มมาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว พอถามถึงพวกสาวใช้ก็บอกว่าอีกฝ่ายกำลังจัดการอะไรอยู่สักอย่าง ตัวเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในปราสาทฝั่งซ้าย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเข้าไปหาอีกฝ่ายได้อย่างไร เมื่อวานก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในคอกม้า แล้วก็ออกไปขี่ม้าเล่นในสนามหญ้าภายในปราสาท
“น่าเบื่อชะมัด ไม่มีอะไรให้ทำบ้างเลย จะออกไปขี่ม้าเล่นอีกดีมั้ยนะ” เด็กหนุ่มยืดแขนขาบิดขี้เกียจ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าทหารที่กำลังฝึกยิงธนูอยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมาบนระเบียงพร้อมกันหมด พอสบสายตากับเขาพวกทหารก็ค้อมศีรษะลงต่ำ
“หือ” ลูคัสเงยหน้าขึ้นมองไประเบียงชั้นบนกับระเบียงห้องข้างๆ ซึ่งก็ไม่ได้มีใคร หมายความว่าพวกทหารค้อมศีรษะให้เขางั้นหรือ
สักพักก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เด็กหนุ่มจึงรีบเดินไปเปิดประตูออกดู
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นนายทหารที่เขาเคยพบอยู่ด้วยกันกับลอร์ดหนุ่มตอนยิงธนูครั้งก่อน เมื่อสังเกตดูบนเสื้อคลุมมีตรายศติดอยู่ ดูไม่เหมือนกับทหารทั่วไป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคนคนนี้น่าจะเป็นระดับหัวหน้า? “มีอะไร...”
“ข้า รูฟ ขอรับ เป็นหัวหน้ากองธนู” นายทหารค้อมศีรษะลงต่ำ “พวกข้าจะขอความกรุณาจากท่านลูคัสไปชมการทดสอบการยิงหน้าไม้ได้ไหมขอรับ”
“ท่าน... ท่าน?” นิ้วเรียวชี้กลับไปที่ตัวเองอย่างงุนงง “ผมน่ะหรือ”
“ขอรับ พวกข้าเพิ่งทำหน้าไม้มาใหม่ขอรับ”
หน้าไม้งั้นหรือ... จะว่าไปก็ดีเหมือนกันแฮะ อย่างน้อยมันก็ยิงง่ายกว่าธนู บางทีเขาอาจจะได้ลองฝึกยิงบ้าง
ลูคัสพยักหน้า “เอาสิ เดี๋ยวผมไปเอาเสื้อคลุมก่อนนะ”
เมื่อเด็กหนุ่มลงไปถึงสนามฝึก พวกทหารก็ค้อมศีรษะรับอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้เขารู้สึกเขิน เขาจึงค้อมศีรษะตอบ เล่นเอาพวกทหารเบิกตาโพลง
“ท่านลูคัสจะก้มศีรษะให้พวกข้าไม่ได้นะขอรับ!” รูฟร้องลั่น
“อ้าว ทำไมล่ะ ค้อมทักทายมามาผมก็ค้อมทักตอบไง”
“การค้อมศีรษะจะกระทำกับผู้ต่ำศักดิ์กว่าเท่านั้นขอรับ”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น “ผมมีศักดิ์อะไรที่ไหนกันล่ะ”
“แต่ท่านลูคัสมีตำแหน่งเป็นมือขวาของท่านลอร์ด” หัวหน้านายทหารตอบ
เรียกท่านได้อีก... ลูคัสยิ้มแหยๆ มือขวาอะไรนั่นก็ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรสักหน่อยไม่ใช่หรือ เขาก็เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนทุกคนนั่นละ “คือ... แบบว่า...”
ขณะที่ยืนทำหน้างงอยู่นั้นก็มีทหารก้าวเข้ามาหาพร้อมกับส่งหน้าไม้ให้
“ท่านลูคัส อยากจะทดลองยิงไหมขอรับ”
มือขาวรับหน้าไม้มาพิจารณาดู มันเป็นหน้าไม้ที่ทำขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ตัวหน้าไม้ทำจากไม้ที่เหลาจนเกลี้ยงเกลา มีช่องสำหรับวางลูกธนูอยู่ตรงกลาง ตรงปลายโค้งคล้ายคันธนู มีสายธนูขึงไว้ วิธีการยิงก็เดาได้ไม่ยาก แค่น้าวสายธนูมาเกี่ยวไว้ที่สลักด้านหลังช่องวางลูกธนูแล้วเหนี่ยวไก เพียงแค่นั้นก็ยิงได้แล้ว
ลูคัสยิ้มกริ่ม... เสร็จเรา วันนี้ลองยิงได้ไม่อายทหารแน่ๆ
เด็กหนุ่มหันไปมองทหารที่กำลังฝึกยิงหน้าไม้ให้เข้าเป้าหมายสำคัญ ทุกคนเหนี่ยวแล้วปล่อยลูกธนูได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับนายขมังธนูมือหนึ่งที่ได้เห็นเมื่อครั้งก่อนแล้วก็ถือว่ายังช้ากว่ามาก เพราะต้องเสียเวลาในการโหลดลูกธนูใส่หน้าไม้ เขาหยิบลูกธนูวางลงในช่อง หากพอจะเหนี่ยวสายธนูไปเกี่ยวสลักก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะมันเหนี่ยวได้ยากเหมือนเมื่อตอนเขาทดลองใช้คันธนูของท่านลอร์ดเลย
“อะ โอย...” พอดึงมาเกี่ยวสลักได้ก็ถูกสายธนูบาดเอาเสียอย่างนั้น ลูคัสรีบชักมือออกแล้วซุกไว้ด้านหลัง เขาหันไปมองนายทหารที่กำลังฝึกยิง แค่ช่วงเวลาที่เขาโหลดลูกธนู คนอื่นๆ ก็ยิงไปได้เกือบสิบดอกแล้ว
“ท่านลูคัสบาดเจ็บหรือ!” รูฟหน้าเสีย “ขอข้าดูบาดแผลสักหน่อย”
เด็กหนุ่มหันกลับมาตอบพร้อมกับเอี้ยวตัวหลบ “ไม่เป็นไร นิดเดียว”
“ไม่ได้นะขอรับ ถ้าหากมีบาดแผลจะต้องรีบทำแผลก่อน” รูฟยกมือขึ้นขอมือจากอีกฝ่าย สีหน้าของเขาจริงจังจนลูคัสจำใจต้องส่งมือให้ “โอ เลือดออก!” พอเห็นบาดแผลรูฟก็หน้าซีดลงไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“โธ่ แค่นี้เอง” ลูคัสยกมือขึ้นทำท่าจะเลีย หากหัวหน้านายทหารรั้งมือไว้พร้อมกับหันไปสั่งนายทหารให้ทำน้ำสะอาดกับผ้ามาพันแผลให้เรียบร้อย
พวกทหารรุมทำแผลให้เด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่ ทว่าอีกฝ่าย ถึงจะรู้สึกเจ็บแต่กลับนึกขันท่าทางตกอกตกใจของทุกคนมากกว่า ดูเข้าสิ ทำอย่างกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
แล้วจู่ๆ ทุกคนก็ถอยหลังไปพลางค้อมศีรษะลงต่ำ
อ้าว หรือจะเห็นผีเข้าจริงๆ
“มีอะไร ทำท่าเหมือนโดนผีหลอกกันแบบนั้น” ลูคัสหัวเราะ
“สงสัยข้าจะเหมือนผีมากกระมัง”
เด็กหนุ่มหันขวับไปตามต้นเสียง “ท่านลอร์ด! โอ้โห! บทจะมาก็มาเงียบๆ เลย”
คาร์ลนิ่งขรึม เขาเพิ่งจะพอมีเวลาว่างจึงแวะไปหาอีกฝ่ายที่ห้อง ทว่าไม่พบใคร พวกทหารยามจึงเข้ามารายงานว่าเด็กหนุ่มไปที่ลานฝึกยิงธนู เมื่อมองลงมาจากระเบียงห้องก็พบว่าพวกทหารกำลังจับมือถือแขนอีกฝ่ายอยู่ เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที แล้วดูทำหน้าเข้าสิ รอยยิ้มน่ารักแบบนั้น มันควรจะมีให้กับเขาและเป็นของเขาเพียงคนเดียว อารมณ์ของลอร์ดหนุ่มพลุ่งพล่านจนแทบควบคุมไม่ได้ ทำให้เขาต้องรีบรุดมาที่ลานฝึกธนูแห่งนี้
“ทำไมเจ้าปล่อยให้คนอื่นถูกตัวเช่นนั้น”
“เอ๋?” ลูคัสขมวดคิ้ว
“ส่งมือเจ้ามาซิ”
เด็กหนุ่มรีบส่งมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บให้ทันที
“อีกข้าง”
“อ่า ท่านลอร์ด...” ลูคัสอยากจะชวนเปลี่ยนเรื่องคุย หากเมื่อเห็นสีหน้าดุๆ ของลอร์ดหนุ่มแล้วก็เริ่มจะกังวล เขายื่นมือที่ถูกพันแผลไว้ให้อีกฝ่ายช้าๆ
“เจ้าบาดเจ็บหรือ” มือกร้านประคองมือนุ่มขึ้นมาอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาอ่อนแสงลง “เกิดอะไรขึ้น”
“ผมอยากจะลองยิงหน้าไม้... แต่รีบน้าวสายธนูไปหน่อย”
พอได้รับฟังคำตอบ คาร์ลก็มองไปทางพวกทหารทันที เด็กหนุ่มจึงรีบก้าวเข้าไปขวางไว้ เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะดุว่าพวกทหารเอา
“คุณอย่าว่าอะไรพวกเขานะ ผมอยากลองยิงหน้าไม้นี่เอง แล้วก็ทำตัวเองบาดเจ็บเองด้วย”
“พวกเขามีความผิดที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ ข้าควรจะต้องลงโทษพวกเขา”
“ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น มันเป็นความเลินเล่อของผมเองต่างหาก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าลงโทษเจ้าแทนดีไหม”
ยิ่งพอลอร์ดหนุ่มทำหน้าขมึงทึง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พวกทหารก็ยิ่งถอยออกห่าง เด็กหนุ่มหันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถ้าต้องถูกลงโทษจริงๆ จะทำอย่างไร เขาต้องแย่แน่ๆ
แต่แล้วคาร์ลกลับก้มลงประทับรอยจูบบนฝ่ามือเด็กหนุ่ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลง “ท่าน...”
ใบหน้าน่ารักเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เขารีบหันไปมองดูว่ามีคนอื่นเห็นหรือเปล่า ทว่าพวกทหารกำลังก้มหน้ากันอยู่จึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
“เอ่อ...” ครั้งนี้เขาพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว พอสบสายตากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยก็ราวกับถูกสะกดไว้นิ่ง
“เจ็บมากไหม”
หัวใจเต้นรัวแรงราวกับจะระเบิดอยู่ในอก ลูคัสรีบส่ายหน้าไปมาพลางค่อยๆ ดึงมือออก แล้วก้มหน้าหลุบตาต่ำ “ไม่เจ็บหรอกครับ นิดหน่อยเอง” เขารู้สึกว่าลอร์ดหนุ่มกำลังจ้องมองตัวเขาราวกับมองเห็นทะลุปรุโปร่งได้ไปถึงไหนต่อไหน เขินจนควันจะออกจากหูทั้งสองข้างแล้ว เขาควรต้องทำอะไรกลบเกลื่อน เพราะถ้าพวกทหารเห็นเข้าคงไม่ดีแน่
“เอ้อ...” ลูคัสกวาดสายตาไปพบหน้าไม้ที่วางทิ้งไว้ เขารีบหยิบมันขึ้นมาพลิกไปพลิกมาแล้วคิดในใจ หน้าไม้ที่เขาเคยเห็นในโทรทัศน์ดูจะแตกต่างออกไปนิดหน่อย ตรงวิธีการเหนี่ยวสายธนู “มีนายขมังธนูแล้วทำไมต้องใช้หน้าไม้อีกล่ะครับ ทั้งที่ธนูยิงได้เร็วกว่าตั้งเยอะ”
“หน้าไม้อาจจะยิงได้ไม่เร็วเท่า แต่ยิงได้ง่ายกว่าธนู ถึงจะมีความแม่นยำเหมือนกัน แต่นายทหารไม่จำเป็นต้องเป็นนายขมังธนูที่มีฝีมือซึ่งหาได้ยากและต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ในสนามรบนั้น เราจะใช้หน้าไม้ในการโจมตีเป็นตัวบุคคล ขณะที่ธนูโจมตีวงกว้าง ทั้งม้าและทหารทั่วไป”
“อย่างนี้นี่เอง” เด็กหนุ่มรับฟังอย่างสนใจ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเปรยกับลอร์ดหนุ่ม “ผมเคยเห็นหน้าไม้ที่มีโกลนโลหะยื่นออกมาตรงส่วนปลายนี่ เอาไว้ใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มีแรงเหนี่ยวสายธนูได้มากขึ้น ลองทำดูบ้างดีมั้ยครับ”
“รูฟ” คาร์ลหันไปเรียกหัวหน้านายกองธนู ซึ่งอีกฝ่ายก็สะดุ้งเฮือกแล้วรีบรุดเข้ามาหา
รูฟค้อมศีรษะลงต่ำ “ท่านลอร์ด”
ลอร์ดหนุ่มหันไปทางลูคัสเป็นเชิงบอกให้เด็กหนุ่มออกคำสั่งกับนายทหารด้วยตัวเอง
มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นทำรูปโกลน เอานิ้วโป้งยืดตรงแตะกันไว้ ส่วนนิ้วที่เหลือทำเป็นทรงโค้งแตะกันคล้ายหลังคา “ไปหาโกลนแบบที่ใช้เหยียบเวลาขึ้นขี่ม้า เอาที่มีด้ามจับยื่นออกมาด้วยนะ ผมจะเอามาผูกกับตรงปลายของหน้าไม้เอาไว้เหยียบน่ะ อ้อ แล้วก็หาตะขอมาด้วยนะ”
“ขอรับ ท่านลูคัส โปรดรอสักครู่” รูฟถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันไปสั่งกับนายทหารแล้วพากันรีบรุดออกไป
ที่ในลานนั้นเหลือเด็กหนุ่มกับเจ้าของปราสาทเพียงลำพัง มีทหารเวรยามเดินไปเดินมาเป็นระยะๆ เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายบ่อยๆ ระหว่างที่รอให้พวกทหารกลับมา หากก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี
“ข้าได้ยินว่าพวกชาวเมืองโม่ข้าวกันสนุกเลยทีเดียว เมื่อเช้าพวกทหารที่ไปตรวจรักษาการณ์ได้รับขนมปังมากินกันมากมาย”
ลูคัสยิ้มกว้าง แววตาสดใสเป็นประกาย “ดีจังเลยนะครับ”
“เจ้า...” ลอร์ดหนุ่มชะงักกับรอยยิ้มนั้นไปชั่วครู่ เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะยกมือขึ้นประกบแก้มนิ่มสีแดงเรื่อไว้ “อย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครอีก นอกจากข้า เข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีเข้มหลุบต่ำมองตามฝ่ามืออีกฝ่าย “มือคุณอุ่นดีจัง”
“ข้าไม่ชอบ”
หัวใจเต้นแรงอีกแล้ว ใบหน้าก็ร้อนไปหมด ลูคัสเม้มปาก จากนั้นจึงยกมือขึ้นวางซ้อนทับมือกร้านพร้อมกับหันหน้าไปทางฝ่ามือนั้นช้าๆ
แขนแกร่งโอบเอวของเด็กหนุ่มแล้วดึงให้เข้ามาแนบชิด จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน มือที่ประกบพวงแก้มนวลค่อยๆ เคลื่อนมาช้อนคางอีกฝ่ายขึ้น แล้วจึงโน้มใบหน้าเข้าไปแนบจูบอย่างแผ่วเบา
หากคนในอ้อมแขนกลับขืนตัวออก
“ลูคัส...”
“ตรงนี้ไม่เอา คนอยู่เยอะแยะไปหมดเลย ผมอาย”
“หมายความว่าถ้าไม่มีใครอยู่ เจ้าจะไม่อาย แล้วข้าก็จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่ไหม” คาร์ลยิ้มกริ่ม
ใบหน้าของลูคัสเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ทำอะไรของคุณนี่คือจะทำอะไร”
“ก็อย่างเช่น... ทำแบบที่สอนค้างไว้ ที่เจ้าขอให้สอนเมื่อวันก่อน”
นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้าง ทั้งเขินทั้งอาย มือเรียวทั้งผลักทั้งดันตัวเองออกห่างจากร่างสูง หากอีกฝ่ายกลับยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น “ท่านลอร์ด ปล่อยผมเถอะ”
“ทำไม”
“คุณจะจูบผมทำไมกัน ผมน่ะ... เป็นผู้ชายนะ”
“ข้ารู้ ก็เห็นอยู่”
“รู้แล้วจูบทำไม” ลูคัสถามเสียงอ่อย
“ข้าก็เป็นชาย เจ้ายอมให้ข้าจูบทำไมกันล่ะ”
ไม่มีคำตอบจากเด็กหนุ่ม ในเมื่อไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุดจากอ้อมแขนแกร่ง เขาจึงซุกใบหน้าเข้าหาแผ่นอกกว้างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าที่แดงเป็นลูกสตรอว์เบอร์รีแบบนี้ ท่านลอร์ดคงจะอ่านคำตอบจากใจเขาได้หมดแน่ๆ
ที่ยอมให้จูบ ก็เพราะชอบน่ะสิ
ฮะ!?
เดี๋ยวก่อน... ชอบ? ชอบอะไร!
ลูคัสได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตนเองชัดเจน มันเต้นแรงเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้เห็นลอร์ดหนุ่ม ยิ่งได้อยู่ใกล้ก็ยิ่งเต้นถี่รัวหนักขึ้น แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน หากก็คิดว่าใช่... เขาคงจะตกหลุมรักท่านลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์เข้าเสียแล้ว
ลอร์ดหนุ่มก้มลงกระซิบ “ลูคัส เจ้าตัดสินใจได้หรือยังว่าจะอยู่ที่นี่กับข้าตลอดไปได้หรือไม่”
“ผม...” ในใจของเด็กหนุ่มสับสน จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากอยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย แต่ความคลางแคลงในใจนี่คืออะไร ราวกับมีเมฆหมอกหนาบดบัง ทำให้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ชัดเจน
“ยังตัดสินใจไม่ได้อีกหรือ”
ลูคัสเงยหน้าขึ้นช้าๆ “จะให้ผมตัดสินใจอยู่กับคุณที่นี่... ทั้งที่ผมยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเต็มๆ ของคุณเลยน่ะหรือ ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย รู้แค่ว่าคุณเป็นผู้ปกครองเมืองแบร์กไฮม์นี้ แล้วคอนราดกับเออร์วินก็เรียกคุณว่าคาร์ลเท่านั้นเอง”
“ข้าคือ คาร์ล ฟรีดริช แห่งไฮเดลแบร์ก มาควิสที่หนึ่งแห่งแบร์กไฮม์ พ่อของข้าคือวิลแฮล์ม ฟรีดริช อาร์ชดยุกแห่งไฮเดลแบร์ก ผู้ปกครองแคว้นไฮเดลแบร์กทั้งหมดนี่”
นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลง
ท่านลอร์ดคือมาควิส! แล้วถ้าอย่างนั้น... “อาร์ชดยุกอย่างงั้นหรือ ถ้างั้น... ที่คุณเคยบอกว่ามีน้องชายสองคน ก็แปลว่าคุณเป็นลูกชายคนโตอย่างนั้นสิ”
“ใช่”
นั่นหมายความว่าคนตรงหน้าของเขานี่ ในอนาคตจะเป็นอาร์ชดยุกผู้ปกครองแคว้นไฮเดลแบร์กทั้งหมด
“น้องของข้าคือ ไฮน์ริช ลอร์ดแห่งเคิร์ชไฮม์ กับยาคอป ลอร์ดแห่งนอยเออไฮม์ เราทั้งสามแยกกันไปปกครองเมืองรอบนอกของแคว้นไฮเดลแบร์ก เพื่อช่วยท่านพ่อดูแลปกป้องแคว้นจากศัตรูที่คิดร้าย”
ลูคัสแทบไม่ได้ฟังอีกฝ่ายอีกแล้ว เขารู้เพียงแค่ว่าสถานะของตนเองกับลอร์ดหนุ่มต่างกันราวกับฟ้าเหว ซึ่งส่งผลให้ภายในหัวใจเจ็บปวด พวกเขาต่างกันมากเสียจนไม่น่าจะมาพบกันได้เลยด้วยซ้ำ
“เจ้ายังมีอะไรอยากรู้อีก”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา “ไม่มีแล้วครับ”
“ถ้าเช่นนั้นจะให้คำตอบข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
ใบหน้าน่ารักเบือนหนี เขาตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับลมหายใจ “ท่านลอร์ด ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม ความจริงผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ลูคัส”
“ปล่อยผมก่อนเถอะ พวกทหารคงใกล้จะกลับมาแล้วล่ะครับ” ลูคัสขืนตัวออก พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็ผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งอย่างแรง แล้วรีบหันหน้าหนีจากลอร์ดหนุ่ม เป็นเวลาที่หัวหน้านายกองทหารกับพวกทหารวิ่งเข้ามาหาพอดี
เด็กหนุ่มทำเป็นไม่สนใจคาร์ล เขาหยิบชิ้นโกลนโลหะที่พวกทหารไปหามาขึ้นมาพิจารณาดู “โอเค ช่วยผมหน่อยได้มั้ย เอาโกลนนี่ไปติดไว้ตรงปลายหน้าไม้ที เอาให้แน่นเลยนะ”
“ขอรับ” สิ้นคำตอบรับพวกทหารก็รุมจัดการหน้าไม้ตามที่เด็กหนุ่มสั่ง
ลูคัสลอบมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังตน เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ยังคงจับจ้องมาที่ตัวเขาเขม็ง “คุณไม่มีงานแล้วหรือ”
“ข้าจะรอดูหน้าไม้ของเจ้า” ลอร์ดหนุ่มตอบเสียงเรียบ
สักพักทหารก็นำหน้าไม้มาส่งให้เด็กหนุ่ม “อืม แน่นดีแล้ว... ขอตะขอที่ให้ไปหามาหน่อยสิ” มือเรียวผูกตะขอเข้ากับปลายเชือกข้างหนึ่ง แล้วผูกปลายอีกข้างไว้ที่เข็มขัดหนังที่เอว เขาก้มลงสอดเท้าเข้าไปเหยียบโกลนโลหะตรงปลายหน้าไม้ไว้ แล้วใช้ตะขอที่ห้อยลงมาจากเอวน้าวสายธนูขึ้นแทนการใช้นิ้ว แรงจากลำตัวมีมากกว่านิ้วมาก เขาจึงน้าวสายธนูมาเกี่ยวสลักไว้ได้โดยง่ายและรวดเร็ว
“ง่ายขึ้นเยอะเลย เห็นมั้ย” ลูคัสยกหน้าไม้ขึ้นเล็ง ยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเหนี่ยวไกปล่อยลูกธนูออกไป
"เย้!"
ลูกธนูพุ่งตรงเข้าเป้าฟางพอดี เด็กหนุ่มชูแขนขึ้นร้องเฮราวกับเด็กเล็กๆ พวกทหารก็ปรบมือให้อย่างชื่นชม “หน้าไม้นี่ยิงง่ายกว่าธนูจริงๆ ด้วย”
รูฟรับหน้าไม้คืนจากลูคัส เขาลองก้มลงเหยียบโกลนโลหะส่วนปลายหน้าไม้ไว้แล้วเหนี่ยวสายธนูบ้าง “แบบนี้เราจะใช้สายธนูแข็งขึ้นได้อีก เพื่อให้ลูกธนูเร็วและแรงขึ้น”
“แต่ต้องติดโกลนให้แน่นนะ ไม่งั้นเดี๋ยวหงายหลังกันหมด” ลูคัสพูดกลั้วหัวเราะ
“ดีเหลือเกินท่านลูคัส” พวกทหารเอ่ยปากชมกันไม่หยุด
ในขณะเดียวกันนั้น ลูคัสก็เหลือบไปเห็นองครักษ์หนุ่มวิ่งเข้ามาในลานฝึกยิงธนู ตรงไปหาผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คงจะมีข่าวไม่ค่อยดีนัก เขาจึงพยายามเงี่ยหูฟัง
คอนราดก้าวเข้าไปหาผู้เป็นนายแล้วพูดเสียงขรึม “มีจดหมายด่วนมาจากท่านไฮน์ริชและท่านยาคอป แล้วก็ท่านอาร์ชดยุกสั่งให้นำจดหมายจากเลดี้บาธิลดากับท่านบาร์ดอฟมาส่งให้ถึงมือท่านด้วยขอรับ”
คาร์ลชักสีหน้า “เลดี้บาธิลดากับบาร์ดอฟรึ มีธุระกงการอะไรกับข้า”
เสียงของลอร์ดหนุ่มฟังดูหงุดหงิด เขาหันไปสบสายตากับลูคัสก่อน แล้วจึงรีบรุดเดินออกไปจากลานฝึกธนู
ดวงตาสีเข้มมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา เขาถอนหายใจหนักๆ หัวใจเจ็บเพียงเพราะได้ยินชื่อเลดี้จากปากของลอร์ดหนุ่ม
“เลดี้บาธิลดากับบาร์ดอฟ เป็นใครกันน่ะ”
รูฟเลิกคิ้วขึ้น เขาหันไปมองนายทหารคนอื่นๆ ก่อนจะตอบ “ท่านบาร์ดอฟเป็นท่านอาของท่านลอร์ดขอรับ เลดี้บาธิลดาเป็นลูกสาว”
“ท่านอา?”
“ท่านบาร์ดอฟคือมาควิสแห่งโรเซนไฮม์ เป็นผู้ปกครองเมืองโรเซนไฮม์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากแบร์กไฮม์นัก” รูฟพูดไปพลางถอนหายใจ “ข้าคงบอกท่านได้เพียงเท่านี้”
“แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณนะ” ลูคัสยิ้มบาง ไม่จำเป็นต้องบอกเขาก็น่าจะเดาได้ล่ะ บุตรสาวเขียนจดหมายมาหาชายหนุ่มโดยที่บิดาทั้งสองฝ่ายรู้เห็น หล่อนคงจะเป็นคนสำคัญของท่านลอร์ดไม่ใช่น้อย เขาหันไปทางที่พวกนายทหารกำลังทดลองใช้หน้าไม้อันใหม่กัน หากสายตาเหม่อลอย ในใจเจ็บหน่วงอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านลูคัสขอรับ...”
“ผมว่าในระยะใกล้ ลูกธนูจากหน้าไม้นี่น่าจะยิงทะลุเสื้อเกราะได้สบายๆ ท่านลอร์ดบอกว่าหน้าไม้เอาไว้ใช้ยิงตัวบุคคลในสนามรบ ถ้าจะเลือกยิงทั้งทีก็น่าจะต้องเป็นคนสำคัญหน่อยใช่มั้ย พวกคนสำคัญก็ต้องใส่เสื้อเกราะ ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะลองเอาชุดเกราะเก่าๆ มาทำเป็นเป้ายิงดูบ้าง” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ
รูฟค้อมศีรษะลงต่ำ “ขอรับ”
“ลองถอยเป้าฟางออกไปอีกสักหน่อยสิ จะได้รู้ว่ายิงหน้าไม้ได้ไกลแค่ไหน”
“ขอรับ”
ลูคัสยืนดูพวกทหารทดลองยิงหน้าไม้ไปอีกสักพัก แล้วจึงเปรยกับหัวหน้ากองทหารที่ยืนอยู่ข้างกัน “ระยะขนาดนี้ น่าจะใช้ยิงลงมาจากกำแพงปราสาทได้สบายๆ”
“คงจะยากสักหน่อยขอรับ บนกำแพงปราสาทไม่มีที่ยืนและไม่มีที่กำบัง ที่ๆ พอจะยืนได้ก็มีเฉพาะบนป้อมเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็มีช่องโหว่เยอะน่ะสิ ป้อมมีแค่สี่ป้อม อยู่ห่างกันมากเสียด้วย” คิ้วเรียวขมวดมุ่น เพราะกำแพงม่านล้อมปราสาทที่ในยุคปัจจุบันที่เขาได้เห็นเป็นกำแพงสองชั้น ภายในกำแพงมีช่องว่างให้ทหารเดินตรวจเวรยามทั้งด้านบนกำแพงและภายในกำแพง แสดงว่านั่นคงจะเป็นกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทีหลัง “ว่าแต่ผมเห็นมีการฝึกอาวุธอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ เป็นเพราะกำลังจะมีสงครามหรือ”
“ต้องเตรียมพร้อมขอรับ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ท่านบาร์ดอฟ...” รูฟรีบยกมือขึ้นปิดปาก
“หือ คนคนนั้นเป็นท่านอาของท่านลอร์ดไม่ใช่หรือ”
รูฟก้มหน้าหลุบตาต่ำ ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรอีก หากลูคัสก็พอจะเดาได้ ในยุคโบราณเช่นนี้ คนบางคนก็เห็นแก่อำนาจและความมั่งมีเสียจนลืมไปว่าคนที่ตนเองคิดแย่งชิงสิ่งเหล่านั้นมามีสายเลือดเดียวกัน
“แย่จังเลยนะ” เขาพึมพำเบาๆ
*~TBC~*มีตัวละครชื่อยากๆ โผล่มาอี๊กกกกกก
แต่บาร์ดอฟเป็นตัวละครค่อนข้างจะสำคัญต่อจากตอนนี้ไปนะคะ ทั่นหลอดดด ระวังให้ดีๆๆๆ
ว่าด้วยอายุของทั่นหลอด 555555 ก็ยังหนุ่มแน่นน่าบีบล่ะค่ะ ฮัสกี้คิดเองเออเองว่าคนสมัยก่อนน่าจะโตไวกว่า เดาจากที่กษัตริย์บางพระองค์มีอายุแค่สิบกว่าปีเท่านั้น >.< ทั่นหลอดถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นชนชั้นปกครอง มีทหารต้องดูแลเป็นกองทัพ แต่ก็เพิ่งจะได้ปกครองเมืองแบร์กไฮม์เป็นเมืองแรก เลดี้(เรียกง่ายๆ ว่าเมีย) ก็ยังไม่มี ถ้าอายุมากกว่านี้อาจจะดูไม่เข้าสักเท่าไหร่ค่ะ ที่สำคัญเลดี้ของทั่นหลอดต้องเป็นน้องลูไร่อ้อยเท่านั้นใช่ม้อยยยย /น้องลูถีบ 55555 ส่วนน้องลูไร่อ้อยอายุสิบเก้า อาจดูไม่ต่างกับทั่นหลอดมาก แต่ด้วยยุคสมัยที่ต่างกัน น้องลูเป็นน้องเล็ก ที่บ้านโอ๋ เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็เอ็นดู๊เอ็นดู เพราะงั้นเลยอาจจะดูเหมือนต่างกันเยอะค่ะ 55555 (ขอบคุณคุณj123 คุณneverland ค่ะ) 
และแล้วววว~ ตอนนี้เราก็ได้รู้กันว่าทั่นหลอดเป็นลูกใครมาจากไหนนะคะ สรุปง่ายๆ ว่าเหนือทั่นหลอดยังมีพ่อทั่นหลอดอีกที
อนาคตน้องลูไร่อ้อยจะได้นั่งตำแหน่งไหนกันน้าาา~
หน้าไม้ที่ใช้ในเรื่องยังเป็นหน้าไม้โล้นๆ ยังไม่มีอุปกรณ์เสริมใดๆ ค่ะ อาจจะนึกภาพลำบากไปนิด แต่เดี๋ยวฮัสกี้หารูปไว้ให้ดูในเพจน้า~
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ ฮืออออออ ช่วงนี้ปั่นสองเรื่อง มึนตึ้บไปหมดเหลย อีกเรื่องก็อยากจะเอามาลงให้อ่านกันแล้วววว แต่ยังเขียนไม่ถึงไหนสักที โฮรวววว 