Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-18-
หมดสติไปหลายวัน ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงเพื่อรักษาตัวต่อร่วมเดือน ถ้าจะให้พูดกันตามตรงผมเองก็จำอะไรได้ไม่มาก รู้แค่ว่าผมอยากจะจบปัญหาทุกอย่างโดยการใช้ดาบแทงเข้าช่องท้องของตัวเองแบบเต็มแรงไม่มียั้งดังนั้นแผลของผมจึงฉกาจฉกรรจ์มาก ถ้าพี่ยูไม่ตามไปผมคงได้กลายเป็นคนบาปจากการทำอัตตวิบากกรรมเป็นแน่ และที่รู้อีกอย่างก็คือทุกครั้งที่ผมลืมตาขึ้นผมจะเจอผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงเสมอ บางครั้งก็ฟุบหลับ บางครั้งก็นั่งทำงาน หรือบางครั้งก็นั่งกุมมือผมไว้.. คนๆ นั้นก็คือพี่ยู
“โอ๊ย”
แค่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนฝ่าเท้าแล้วขยับเก้าเดินช้าๆ ความเจ็บปวดก็แล่นริ้วจากช่วงท้องลุกลามไปจนถึงกระดูกสันหลัง ฝ่ามือใหญ่เช็ดหยดน้ำตรงหางตาให้ผมก่อนจะลูบศีรษะปลอบโยน
“อย่าเกร็งสิ.. ค่อยๆ ขยับ แต่ถ้าไม่ไหวก็พอแค่นี้ก่อน”
เงยหน้ามองเจ้าของแขนแกร่งที่ประคองผมไว้ ปกติพี่ยูเป็นคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีไม่เคยปล่อยให้หนวดเคราโผล่แม้แต่เส้นเดียว แต่ดูตอนนี้สิมีไรหนวดตรงคางด้วยดูแล้วก็หล่อมาดเข้มดีเหมือนกันนะเนี่ย
“ถ้าอยากจะหายไวๆ ก็อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้บ่อยนัก”
“พี่ยูจะทำอะไรจันทร์เหรอครับ?”
คำตอบที่ได้รับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ และจมูกโด่งที่ฝังลงกลางกระหม่อม จากนั้นพี่ยูก็ประคองผมกลับไปนั่งบนรถเข็น
บ่ายสี่โมงเย็นของฤดูใบไม้ร่วงแดดร่มลมตกเร็วกว่าฤดูร้อน สายลมที่พัดก็เริ่มมีไอเย็นทำเอาคนที่อยู่ในประเทศที่มีแต่อากาศร้อนตลอดปีแบบผมต้องห่อไหล่ นี่ขนาดพี่ยูให้ใส่เสื้อคลุมไหมพรมไว้ผมยังรู้สึกว่าลมเย็นปะทะผิวเนื้อเลย
“หนาวเหรอ? กลับเข้าด้านในก่อนมั๊ย พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
ลืมบอกไปครับว่าตอนนี้ผมรักษาตัวอยู่ที่บ้านของพี่ยู หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือผมอาศัยตระกูลอิเคดะเป็นที่พักพิงนั่นแหละ เนื้อที่ของตระกูลอิเคดะมีอยู่สิบกว่าไร่และได้แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนให้ลูกหลานสร้างบ้านของตัวเองภายในรั้วเดียวกัน โดยทุกหลังเป็นทรงญี่ปุ่นโบราณเหมือนกันหมด มีบ้านหลักเป็นที่พักของคุณปู่คุณย่าและคุณพ่อคุณแม่ของพี่ยู ส่วนบ้านของพี่ยูอยู่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ พี่ยูเล่าว่าบ้านหลังนี้เคยใช้เป็นเรือนหอกับภรรยาคนแรกแต่หลังจากภรรยาเสียไปครบ 1 ปี คุณปู่ของพี่ยูก็สั่งให้รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ทั้งหลังและผมก็เป็นผู้มีเกียรติคนแรกที่ได้มาใช้บริการค้างอ้างแรมแบบฟรีๆ ที่นี่ น่าภูมิใจมั๊ยละครับ
“จันทร์อยากเดินเล่นกับพี่ยูต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ?”
ส่งสายตาอ้อนวอน เอาจริงๆ ผมเบื่อการอุดอู้อยู่ในห้องมากครับ นอนอยู่บนเตียงมาเกือบเดือนก็อยากจะสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างไรบ้างยิ่งได้อยู่กับคนที่เรารักด้วยแล้วมันยิ่งดีต่อใจจริงๆ นะครับ แล้วคุณคิดว่าผมอ้อนขนาดนี้มีเหรอที่พี่ยูจะไม่ยอม แต่ก่อนจะไปเดินเล่นพี่ยูก็เรียกเด็กรับใช้ให้เอาผ้าคุลมมาคลุมให้ผมก่อน
ล้อรถเข็นขยับเลื่อนอีกครั้งให้ผมได้ชื่นชมธรรมชาติภายในสวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ต้นไม้หลายต้นใบร่วงจนเหลือแค่ลำต้น บางต้นใบไม้ก็เปลี่ยนเป็นสีอมส้มอมแดงสวยแปลกตา ผมชี้ให้พี่ยูหยุดนั่งพักลงตรงม้าหินใต้ต้นอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จักแต่รู้แค่ว่ามันได้บรรยากาศโรแมนติกดีจังเลย พี่ยูจัดผ้าคลุมให้ผมจนมั่นใจว่าอบอุ่นดีแล้วจึงหย่อนก้นลงนั่งบนม้าหิน ส่วนผมนั่งบนรถเข็นแล้วคว้ามือใหญ่มากุมไว้แก้หนาว ผมส่งยิ้มให้พี่ยู
“พี่ยูเล่าให้จันทร์ฟังได้รึยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง?”
ตั้งแต่รู้สึกตัวผมรับรู้แค่ว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะทุกคนที่บ้านสวน ซึ่งพี่ยูบอกแค่ว่าคุณแม่พาผมมาหาพี่ยูที่ญี่ปุ่นแต่ดันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ดังนั้นพี่ยูจึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและการดูแลทั้งหมดของผมเอง แหม.. ดูเป็นพระเอกใช่มั๊ยละครับ ผมยังได้รับอนุญาตให้วิดีโอคอลคุยไลน์กับทุกคนที่บ้านสวนได้ทุกวันจนผมรู้สึกดีขึ้นแทบจะไม่กังวลอะไรอีก ยกเว้นอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดหรือเอ่ยให้ผมได้ยินเลยแม้แต่คนเดียวนั่นคือเรื่องของคุณแม่..
“คุณรวินทร์นิภาปลอดภัยและสบายดีไม่ต้องห่วง”
คำตอบของพี่ยูทำให้ผมรู้สึกโล่งอกก็จริงแต่ผมอยากได้คำอธิบายที่มากกว่านี้ ผมจึงกระชับมือใหญ่ให้แน่นขึ้นเพื่อให้รู้ว่าผมพร้อมที่จะรับฟังทุกเรื่อง
พี่ยูเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะหันมาปัดปอยผมตรงหน้าผากให้ผมแล้วจากนั้นก็เริ่มเล่าตั้งแต่ผมถูกคุณแม่วางยาและพาตัวมาที่ญี่ปุ่นด้วยเครื่องบินส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสถานะแม่ลูกจึงไม่มีใครสงสัยติดใจอะไร คุณแม่พาผมไปที่ศาลเจ้าของตระกูลโอดะหรือก็คือตระกูลของโชกุนคนสุดท้ายของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ในส่วนนี้พี่ยูไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าทำไมคุณแม่ถึงต้องพาผมไปที่นั่นโดยให้เหตุผลว่าเรื่องเหล่านั้นคุณปู่และคุณย่าของพี่ยูจะเป็นคนคลี่คลายให้ผมฟังด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะฉะนั้นนั่นหมายความว่าผมจะต้องได้เจอกับคุณปู่พี่ยูอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมพี่ยูถึงรู้ว่าคุณแม่พาผมไปที่นั่นเรื่องนี้พี่ยูบอกว่าคุณเดือนเป็นคนบอกพี่ยูเอง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าพี่ยูจะเลิกติดตามและขัดแข้งขัดขาเกี่ยวกับธุรกิจมืดของจินตเลิศวิวัฒน์โดยเด็ดขาด
หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเกือบจะทำอัตวินิบาตกรรมนั้น คุณเดือนก็พาคุณแม่กลับโรงแรมและเดินทางกลับฮ่องกงในเย็นวันรุ่งขึ้น ตอนนี้พวกท่านทุกคนสบายดี ทำงานปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปถึงหูตำรวจหรือนักข่าว
“ผมอยากจะไปเจอคุณแม่และคุณเดือน”
คำขอของผมทำให้พี่ยูเงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง
“ไว้ให้เธอหายดีเมื่อไหร่แล้วฉันจะพาไป”
ผมพยักหน้ารับ
“อ่อ จันทร์ต้องไปพบคุณปู่และคุณย่าของพี่ยูด้วยใช่มั๊ย? เมื่อไหร่ครับ?”
“คุณปู่จะมาหาเธอเอง”
ผมร้อง
‘อ่อ’ ในใจ.. แต่เดี๋ยวๆๆ เฮ้ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ??! ให้ผู้ใหญ่ระดับประมุขของตระกูลอิเคดะมาหาผมเองเนี่ยนะ? ไม่ดีม๊างงงงงง???? และผมคงจะตกใจมากไปหน่อยเจ้าของบ้านจึงได้แต่อมยิ้มพร้อมใช้นิ้วเกลี่ยข้างแก้มผมเบาๆ
“เธอคือคนสำคัญของที่นี่”
“ตระกูลอิเคดะเนี่ยนะ?”
คำตอบคือเสียง
‘อืม’ ในลำคอ
“จันทร์คิดว่าจันทร์เป็นคนสำคัญของคุณอิเคดะยูคนเดียวซะอีก นี่จันทร์เข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอ?”
เออ.. นี่ผมพูดจริงๆ นะ แต่ทำไมพี่ยูถึงได้ขำล่ะ มันไม่ตลกเลยนะครับคุณพี่
“ข้างนอกลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบาย เรากลับเข้าข้างในกันเถอะ”
อ้าวเฮ้ย! อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ จะโวยวายมากก็ไม่ได้เพราะปวดแผลผมจึงได้แค่ทำหน้าตาเหรอหราอ้าปากค้างกลางอากาศ แต่แล้วจู่ๆ ก่อนจะเข้าประตูบ้าน จมูกโด่งๆ ก็กดลงบนแก้มของผม ท่ามกลางสายตาของคนรับใช้ 5-6 คน.. อืมมมมมมม..... นี่ใช่มั๊ยที่เขาเรียกว่าการกระทำมันก็ชัดเจนมากกว่าคำพูด >///<
.
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้นพี่ยูมีเรื่องมาเซอร์ไพร้ผมแต่เช้านั่นคือการพาแม่มลกับไอ้โซ่มาอยู่เป็นเพื่อนผม เชื่อมั๊ยครับว่าผมดีใจแทบอยากจะกระโดดกอดทั้งคู่ แต่ติดตรงที่เจ็บแผลเหลือเกินจึงทำได้แค่ร้องไห้โฮและไม่ยอมให้แม่มลและไอ้โซ่อยู่ห่างจากสายตาแม้แต่นาทีเดียวเพราะกลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วทั้งคู่หายไปผมจะทำยังไงล่ะ??
ได้กำลังใจดีขนาดนี้ อาการของผมดีขึ้นจนคุณหมอเอ่ยชมว่าผมดูแลตัวเองดี และวันนี้แหละครับที่คุณปู่และคุณย่าของพี่ยูจะมาทานมื้อเย็นกับพวกเรา อย่าถามนะครับว่าผม แม่มล และไอ้โซ่คุยภาษาญี่ปุ่นเข้าใจรึเปล่า? ตอบชัดๆ เลยว่าไม่กระดิกสักตัวครับ แต่ทางตระกูลอิเคดะเขาเตรียมตัวมาดี นั่นคือเขายังมีล่ามมาด้วย แปลแบบประโยคต่อประโยคโดยมีพี่ยูช่วยเสริมบ้างในบางเรื่อง ซึ่งคุณปู่คุณย่าท่านคุยกับแม่มลเกี่ยวกับการเกษตรและเรื่องอาหารไทยเสียมากกว่า ผมกับไอ้โซ่แค่นั่งกินไปและฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันเท่านั้น จนกระทั่งจบมื้ออาหารก็ย้ายไปที่ห้องนั่งเล่น มาถึงตรงนี้ผมก็เป็นตัวเด่นของเรื่องแล้วล่ะครับ
คุณปู่กับคุณย่าของพี่ยูแตกต่างจากคุณตาคุณยายของผมอย่างสิ้นเชิง คนจะเป็นผู้นำตระกูลใหญ่และร่ำรวยขนาดนี้ได้จะต้องเป็นคนยังไงกันนะ? ผมเองนึกภาพไม่ออกจริงๆ แต่เท่าที่รู้ก็คือท่านทั้งสองเหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างแฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว ทุกรอยยิ้ม และทุกคำพูด จึงไม่แปลกใจที่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ยูซึ่งเป็นหลานและพวกท่านจะดูห่างเหินจนบางครั้งก็ดูเหมือนเจ้านายและลูกน้องเสียมากกว่า
แม่มลและไอ้โซ่ขอตัวแยกออกไปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้นำตระกูลอิเคดะถามผมว่าผมพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวของ
‘ทซึกิ’ มั๊ย? ผมพยักหน้าตอบว่า
‘ครับ’ อย่างมั่นใจแต่ก็แอบสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้งเพื่อลดความเกร็งเครียดจนคุณผู้หญิงของตระกูลอิเคดะก็มองผมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนคล้ายจะเอ็นดู
ประมุขของตระกูลอิเคดะมองผมด้วยใบหน้านิ่งเรียบอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่าเรื่องทั้งหมดที่จะเล่าให้ผมฟังนั้นเป็น
‘ความลับ’ ของตระกูลอิเคดะ ซึ่งผู้ที่สามารถรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้จะมีแค่ผู้นำของตระกูลเท่านั้น เพราะฉะนั้นแม้แต่พี่ยูเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ที่ผมมีสิทธิได้รับฟังนั้นเพราะผมคือคนที่คุณปู่ทวดของพี่ยูเคยกล่าวถึงไว้ว่าเมื่อไหร่ที่พี่ยูหาตัวผมเจอก็จงเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผมได้ฟัง..
เรื่องราวเกิดขึ้นในศตวรรษที่สิบเก้า ไดเมียวแห่งตระกูลอิเคดะได้ส่งบุตรสาวที่มีความงามพร้อมความเฉลียวฉลาดนามว่า
‘อิเคดะ ยูกิ’ เข้าถวายเป็นฝ่ายในแด่ท่านโอดะโชกุน และเนื่องจากความโดดเด่นที่ถูกตาต้องใจท่านโชกุนจึงยกให้อิเคดะ ยูกิ ขึ้นเป็นมิไดซามะหรือภรรยาหลวง แต่เวลาผ่านไปหลายปีมิไดซามะก็ไม่มีวี่แววจะให้กำเนิดทายาทแก่ท่านโชกุน จนบุตรของอนุภรรยาท่านอื่นเริ่มเติบใหญ่และมีบทบาทมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้ไดเมียวแห่งตระกูลอิเคดะว้าวุ่นใจจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะให้บุตรสาวตั้งครรภ์ ใครว่าที่ไหนมียาดีก็ให้คนไปกว้านซื้อแล้วให้ซามูไรฝีมือดีลักลอบนำเข้าไปส่งให้มิไดซามะ หลังจากนั้นให้หลังท่านยูกิมิไดซามะก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายที่แข็งแรงและน่ารักแก่ท่านโชกุนนามว่า
‘โอดะ ทซึกิ’...
“โอดะ.. ทซึกิ”
ผมทวนชื่อนั้นด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ มือทั้งสองข้างของผมเริ่มสั่นจนต้องเกร็งกำไว้แน่น พี่ยูเองก็คงจะสังเกตเห็นความตึงเครียดของผม จึงดึงมือผมไปกุมไว้
ฟังเรื่องราวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคิ้วเข้มของพี่ยูขมวดแน่นทำเอาผมเริ่มใจคอไม่ดี รีบจดจ้องริมฝีปากของล่ามแบบไม่กระพริบตาและประโยคที่หยุดออกมาก็คือ..
“ความลับก็คือ.. ทซึกิไม่ใช่ลูกชายของท่านยูกิมิไดซามะกับท่านโชกุน แต่เป็นลูกชายที่เกิดจากซามูไรคนลักลอบส่งยาให้ซึ่งก็คือคนรักเก่าของท่านกิมิไดซามะนั่นเอง”
ลมหายใจของผมสะดุด ในอกด้านซ้ายเจ็บลึกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ราวกับว่าความลับที่ทซึกิเก็บงำมานานหลายร้อยปีกำลังจะถูกเปิดเผย
“เมื่อทซึกิอายุย่างเข้าสิบห้า ก็เริ่มระแคะระคายว่ามีคนล่วงรู้ความลับของตนมากขึ้น ด้วยกลัวว่าความลับของตนจะรั่วไหลจึงวางแผนสังหารผู้สนับสนุนมิไดซามะจากตระกูลไดเมียวเฮนจิจนสิ้น จากนั้นก็โยนความผิดให้กับโอดะ มิกิ ด้วยเหตุผลที่ว่ามิกิโกรธแค้นตนเรื่องแย่งความรัก.. ความโกรธใดจะเท่าความโกรธแค้นของอิสตรี..”
ทุกคำพูดที่ล่ามแปลออกมาทำให้ลำคอของผมแห้งผากและเหงื่อไหลซึมทั่วแผ่นหลัง ผมหันมองหน้าพี่ยูด้วยสายตาที่พร่ามัว
ก่อนจะมีการจัดพิธีแต่งงานระหว่างเรียวมะและมิกินั้น ทซึกิได้ขอให้ท่านโชกุนอนุญาตให้ตนเองเข้าพิธีชุโดกับเรียวมะตามประเพณีของซามูไร หรือที่เรียกว่าประเพณีสายใยแห่งรักของเหล่าซามูไร นี่จึงเป็นสาเหตุให้มิกิและผู้เป็นแม่โกรธแค้นทซึกิอย่างถึงที่สุด ทซึกิใช้จุดนี้เป็นข้ออ้างเพื่อโยนความผิดให้มิกิ .. ช่างเป็นแผนการที่แยบยลยิ่งนัก และเพราะถูกป้ายความผิดจึงไม่มีป้ายดวงวิญญาณและไม่มีใครจัดพิธีสวดส่งวิญญาณให้ท่านทั้งคู่ สินะคือสาเหตุที่ทำให้ดวงวิญญาณของท่านเฮนจิมิไดซามะและบุตรสาว โอดะ มิกิ จึงไม่มีวันสงบเสียที..
“ผ ผมไม่ใช่ทซึกิ”
นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ผมยืนยันได้ว่าผมไม่ใช่ทซึกิจริงๆ เพราะผมจะไม่มีวันกระทำการชั่วช้าแบบนั้นอย่างแน่นอน
“ถูกต้อง.. เธอไม่ใช่ท่านทซึกิ.. ฉันคิดว่าเธอเป็นเพียงตัวแปรที่ท่านทซึกิใช้สื่อสารเท่านั้น”
ล่ามแปลประโยคของคุณผู้หญิงแห่งอิเคดะ ดวงตาของท่านส่องประกายความอ่อนโยน
“ตระกูลอิเคดะจัดพิธีสวดส่งวิญญาณให้บรรพชนทุกปี และเราคิดว่าวิญญาณของท่านทซึกิคงไปสู่สุขตินานแล้ว แต่ที่หลงเหลืออยู่คงเป็นเพียงจิตที่อยากจะลบล้างความผิดที่เคยกระทำในอดีต และจิตดวงนั้นก็คือส่วนลึกในจิตใจของเธอ”
ทซึกิ.. นายไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องนี้ แต่เป็นตัวร้ายต่างหาก.. ผมร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว พี่ยูโอบผมไว้แล้วบีบไหล่เบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
ท่านผู้ใหญ่ของตระกูลผ่อนคลายบรรยากาศด้วยการให้สาวใช้ยกขนมและรินชาร้อนๆ ให้ทุกคน เมื่อเห็นว่าผมหยุดร้องไห้ดีแล้ว คุณปู่ของพี่ยูก็ให้คนรับใช้นำอะไรบางอย่างมาวางบนโต๊ะ เมื่อเปิดดูจึงรู้ว่าเป็นรูปภาพโบราณ นักรบซามูไรคนหนึ่งถือดาบที่มีตราสัญลักษณ์บางอย่างไว้ในมือ แม้ภาพจะเลือนลางแต่ผมก็จำได้ในทันทีว่ามันคือภาพของซามูไรที่ผมมักจะเห็นเป็นภาพซ้อนทับกับพี่ยู
“นี่คือรูปของท่านโอดะ เรียวมะ.. ท่านทซึกิได้ให้จิตรกรฝีมือดีเป็นคนวาดและท่านทซึกิก็เก็บไว้กับตัวเสมอตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต”
โอดะ เรียวมะ.. บุคคลคนนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็นเพียงบุตรชายบุญธรรมของท่านโอดะโชกุน เป็นซามูไรที่ท่านโชกุนไว้วางใจและยังมอบหน้าที่ทางการทหารสำคัญๆ ให้เรียวมะดูแลหลายอย่าง รวมทั้งยังให้ดูแลคุ้มกันบุตรชายผู้เป็นทายาทของตระกูลอย่าง
‘โอดะ ทซึกิ’ และยังถูกวางตัวให้เป็นคู่แต่งงานกับ
‘โอดะ มิกิ’ บุตรสาวที่เกิดจากมิไดซามะจากตระกูลไดเมียวเฮนจิ ซึ่งเป็นบุตรสาวที่ท่านโชกุนรักและหวงแหนมากที่สุด
เรียวนิ้วที่ผ่านล่วงเลยวัยเกษียณมานานบรรจงชี้ไปที่รูปดาบในมือของท่านซามูไร.. ผมตั้งใจฟังคำแปลจากล่ามมากกว่าฟังอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนเสียอีก
“ดาบนี้มันหายไปและไม่มีใครเคยพบเจอแต่เมื่อไม่นานมานี้มันกลับปรากฏขึ้นและมันก็ปักอยู่บนตัวเธอ”
มันคือดาบที่คุณแม่เป็นคนยื่นมันให้ผมด้วยตัวเอง
“ท่านโอดะ เรียวมะ.. เสียชีวิตยังไงเหรอครับ?”
คุณปู่คุณย่าของพี่ยูมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า.. ผมเกือบจะหมดหวังแล้วเชียวแต่จู่ๆ คุณปู่ก็เหมือนจะนึกอะไรออก ผมนี่รีบฟังคำแปลแบบหูตั้งหางชี้
“มันเป็นเรื่องเล่าสืบต่อมาคล้ายตำนานจึงไม่อาจรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ..ในคืนฤดูร้อนพระจันทร์เต็มดวงท่านเรียวมะเป็นคนปกปิดความผิดให้ท่านทซึกิและยังช่วยให้หนีออกจากตระกูลโอดะ แล้วตนเองก็กลับไปรายงานท่านโชกุนพร้อมกับศพหนึ่งศพว่าท่านทซึกิเสียชีวิตแล้ว นั่นจึงเป็นข้อสันนิษฐานว่าท่านเรียวมะทำผิดกฎของซามูไรด้วยการหักหลังเจ้านาย ดังนั้นจึงได้ทำฮาราคีรีตนเอง”
โหดร้าย! ผมตะโกนความเจ็บปวดอยู่ภายในใจ
ภาพความฝันที่วนเวียนอยู่กับผมมาตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งมันหายไปเมื่อได้เจอพี่ยูฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ ในภาพฝันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักรบเอ่ยคำสั่งให้ทซึกิหนีไป และทซึกิได้ลั่นวาจาดั่งคำอธิษฐานขอให้นักรบผู้นั้นตามหาตนเองให้เจอ.. ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหนก็ขอให้ได้เจอกัน เพราะคำอธิษฐานนั้นจึงทำให้ผมกับพี่ยูได้เจอกันและนำมาซึ่งการเปิดเผยความลับของอดีตกาล
“ถ้าหากเรื่องราวเป็นอย่างเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจริง นั่นหมายความว่าเธอเป็นคนปลดปล่อยเขา.. ท่านเรียวมะได้รับการปลดปล่อยด้วยเลือดของเธอที่อาบดาบเล่มนั้นแล้ว”
นั่นหมายความว่านับจากนี้ผมจะไม่เห็นภาพซ้อนทับของพี่ยูเป็นคุณซามูไรอีกต่อไป
“เลือดจะต้องล้างด้วยเลือดเหรอครับ?”
“นั่นอาจเป็นสิ่งที่ท่านทซึกิต้องการ.. ดาบเล่มนั้นอาบเลือดคนที่ตัวเองรักก็ต้องล้างด้วยเลือดของตัวเอง”
พี่ยูที่นั่งเงียบมานานเอ่ยตอบผม จนทำให้ผมต้องหรี่ตามอง ตั้งแต่ฟังเรื่องมาตั้งแต่ต้นนี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกอยากจะยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกัน
“จันทร์จะพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องโรแมนติกล่ะกันนะครับ”
ขอบคุณคุณล่ามที่ไม่แปลประโยคของผมและพี่ยูให้คุณปู่คุณย่าฟัง
ตอนจบของเรื่องราวก็คือตระกูลโอดะเกิดภาวะขัดแย้งภายในและล้มเหลวอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ท่านโชกุนต้องสูญเสียบุตรชายและบุตรสาวอันเป็นที่รักถึงสองคน ดังนั้นท่านโอดะโชกุนจึงสละตำแหน่งและถวายอำนาจของโชกุนคืนแก่จักรพรรดิเมจิในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่ชาติตะวันตกเข้ามามีบทบาทและตระกูลอิเคดะก็ผันตัวเข้าสู่วงการค้าขายอย่างเต็มตัว
“ทซึกิเสียชีวิตเหรอครับ?”
“ทซึกิ.. กลับมายังตระกูลอิเคดะ และขึ้นเป็นผู้บุกเบิกทางการค้ากับชาติตะวันตกในนาม อิเคดะ ทซึกิ”
อึ้งยิ่งกว่าอึ้ง.. มิน่ามันถึงเป็นความลับของตระกูลอิเคดะ เพราะฆาตกรมือสังหารและต้นเหตุผู้ทำให้ตระกูลโอดะโชกุนล่มสลายได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกความร่ำรวยของตระกูลนี่เอง มันเป็นเรื่องเศร้าที่ยิ่งกว่าเศร้านะครับ คนร้ายตัวจริงกลายเป็นมหาเศรษฐีพรั่งพร้อมไปด้วยครอบครัวและบริวาร ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามต้องทนทุกข์อยู่กับวังวนแห่งทรมานไม่จบไม่สิ้น ทุกข์เพราะโกรธแค้น และทุกข์เพราะรัก..
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยังแอบนึกเสียใจที่ไม่เชื่อคำของหลวงตาตั้งแต่ต้นที่ให้ผมตามพี่ยูกลับญี่ปุ่น ถ้าหากผมทำตามที่ท่านบอกผมคงได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดก่อนจะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ เป็นแน่... เฮ้อออ กลับไปคงต้องให้หลวงตาเขกกะบาลกับเอาน้ำมนต์รดหัวครั้งใหญ่ซะแล้ว
.
.
.
.
.
เรื่องราวมันถึงตอนจบแล้วล่ะครับ...
แม้ผมจะไม่ใช่ทซึกิแต่ในเมื่อทซึกิเลือกให้ผมเป็นคนช่วยลบล้างความผิดพลาดของตนเองที่เคยก่อไว้ในอดีต ผมก็จะทำให้ถึงที่สุด และผมก็คิดว่าผลกรรมทั้งหมดที่ทซึกิก่อไว้เจ้าตัวคงได้รับมันแล้ว เพราะจากคำบอกเล่าเรื่องราวของบรรพบุรุษผู้นำความมั่งคั่งมาสู่ตระกูลอิเคดะนั้น ต่อให้มีชีวิตยืนยาวเกือบ 100 ปี แต่ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่นั้นไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะแม้แต่สักครั้งเดียว ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทางใจที่หาทางหลุดพ้นไม่ได้จวบลมหายใจสุดท้ายก็ได้แต่กอดรูปภาพของคนที่ตัวเองรักเอาไว้เท่านั้น..
“โอเคมั๊ย?”
พี่ยูถามผมด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เห็นผมยืนมองประตูรั้วอยู่นานสองนาน
ตามสัญญาครับ หลังจากที่แผลของผมหายสนิทเป็นปลิดทิ้งพี่ยูก็พาผมมาที่ฮ่องกงเพื่อให้ผมมาเจอคุณพ่อคุณแม่และคุณเดือนนั่นเอง
“โอเครับ”
ผมตอบพี่ยูด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะรออยู่ตรงนี้”
พยักหน้ารับพร้อมกับยกแขนคล้องคอบอร์ดี้การ์ดประจำตัวของผมลงมาหอมแก้มขอกำลังใจฟอดใหญ่ จากนั้นก็กดกริ่งหน้าประตู ไม่นานนักสาวใช้ก็เดินมาเปิดประตูเชิญผมเข้าไปภายในบ้าน
พี่ยูคงแจ้งมาก่อนล่วงหน้าว่าผมขอพบบุพการี ดังนั้นพวกท่านจึงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา คุณพ่อเป็นคนเดินมารับผมที่หน้าประตู บอกตามตรงครับว่าผมเกือบจะจำหน้าพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองไม่ได้ซะด้วยซ้ำ
“ทำไมยังตัวเท่าเดิม? ที่โน่นเขาไม่มีนมวัวให้ดื่มรึไง?”
นี่คือคำทักทายแรกของคุณพ่อเมื่อเจอหน้าผมเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี เอ๊ะ! หรือมากกว่านั้นนะ???? ผมก็ได้แต่ฉีกยิ้มหน้าเจื่อน คือถ้าคุณพ่อจะพูดว่าผมเตี้ยก็พูดออกมาตรงๆ ก็ได้นะครับ ผมว่ามันเจ็บน้อยกว่าประโยคที่เพิ่งจบไปเสียอีก
ในตัวบ้านหรูหราฟู่ฟ่าตามฐานะของคนมีอันจะกิน คุณแม่และคุณเดือนนั่งอยู่ในห้องรับแขก คุณพ่อตะโกนบอกว่าผมมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ผมก็ได้แต่เดินตามคุณพ่อไปเงียบๆ ท่านยังใจดีหันมาถามว่าผมอยากกินอะไรมั๊ย? แถมยังบอกว่าจะให้คนส่งพวกของบำรุงเกี่ยวกับสร้างเสริมกล้ามเนื้อและกระดูกไปให้และยิ่งกว่านั้นยังจะหาหมอเก่งๆ ให้ผมไปลองฝังเข็มเพิ่มความสูงดูอีกต่างหาก ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยล่ะครับยิ้มรับอย่างเดียวดีที่สุด แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าคุณพ่อคงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
“คุณยุ้ย.. ลูกมาแล้วน่ะ”
“พี่โก้คะ เมื่อสักครู่ลูกค้าโทรมาสอบถามเรื่องงาน พี่โก้โทรกลับไปคุยกับเขาหน่อยสิคะ”
คุณพ่อรับโทรศัพท์จากคุณแม่แล้วเดินออกไปด้านนอก ช่วงจังหวะที่เดินสวนผมออกไปคุณพ่อหันมายิ้มและยกมือขยี้หัวผมเล่น ทำเอาในอกของผมสะท้อนก้อนสะอื้นขึ้นมาแทบจะทันที ตลอดชีวิตของผมนี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมมีความรู้สึกว่าคุณพ่อไม่ใช่คนแข็งกระด้างและเย็นชาอย่างที่ผมคิดมาตลอดเลยสักนิด
“สวัสดีครับ”
ยกมือไหว้สวัสดีแต่ไม่มีใครหันมามองหรือรับไหว้ผมสักคน ผมจึงย่อตัวลงคลานเข่าเข้าไปหาท่านทั้งสองคน จากนั้นก็ก้มกราบลงตรงเท้าของคุณแม่และคุณเดือน
“บาปกรรมที่ทซึกิก่อไว้ใหญ่หลวงนัก ทซึกิเองก็ได้รับผลกรรมที่ก่อไว้แล้ว ขอให้คุณแม่และคุณเดือนอโหสิกรรมต่อกันเถอะครับ”
ผมนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนน้ำตาไหลออกมาหยดลงบนหลังเท้าของคุณแม่
“ผมไม่ใช่ทซึ..”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยค คุณเดือนก็แทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“จากนี้ไปเธอไม่ใช่ลูกชายของคุณแม่ และไม่ใช่น้องชายของฉันอีก”
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าสะสวยที่ส่งแววตาเย็นยะเยือกมาให้
“จงทำตัวเองให้ตายและหายไปจากชีวิตของฉัน อย่าได้เอ่ยหรือคิดถึงกันแม้แต่นิด และอย่ามาเผาผีกันเด็ดขาด”
สายตาที่มองมาก็ราวกับว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ผมได้แต่นิ่งอึ้งตัวชาวาบอยู่อย่างนั้น จะมีเพียงอย่างเดียวที่เคลื่อนไหวก็คือหยดน้ำตาที่ไหลลงอาบทั้งสองแก้ม
“ไม่ใช่เป็นแค่เงา.. แต่จงเป็นอากาศธาตุ ถ้าหากวันหนึ่งวันใดข้างหน้านับจากนี้ฉันเห็นแม้แต่เงาของเธอ นั่นหมายความว่าวันนั้นเธอจะไม่มีลมหายใจบนโลกใบนี้อีกต่อไป”
สิ้นเสียงประโยคของผู้ให้กำเนิด ท่านทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินจากผมไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งให้ผมนั่งตัวแข็งทื่อเจ็บปวดเหมือนมีใครเอาฆ้อนมาทุบตรงแสกหน้า แม้ว่าผมจะเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านความเจ็บปวดที่ยาวนานไม่อาจลบล้างได้ในพริบตาเดียว แต่สิ่งที่ผมอยากจะให้ท่านรับรู้ก็คือผมไม่ใช่ทซึกิ.. อย่าเอาแค่หน้าตาของผมที่เหมือนกับทซึกิไปฝังรวมไว้กับอดีตที่โศกตรมของพวกท่านเลย ต่อให้ไม่สนใจใยดีกันมาตั้งแต่ต้นแต่ถึงยังไงซะสายเลือดก็ตัดกันไม่ขาดไม่ใช่รึไง และที่สำคัญ.. ผมคือจันทร์ ผมคือนายศศิน พินญุโธ ไม่ใช่ ทซึกิ ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มมือเปื้อนเลือดคนนั้นสักหน่อย ต่อให้หน้าตาจะเหมือนกันสักแค่ไหนแต่เราก็เป็นคนละคนกัน
คำอุทธรณ์ของผมไร้ความหมาย...
ผมเดินกลับออกมาจากครอบครัวจินตเลิศวิวัฒน์โดยไม่ได้ล่ำราใครสักคน แม้แต่สาวใช้ก็ยังมองผมแปลกๆ ระหว่างทางกลับโรงแรมที่พักผมอดกลั้นต่อไปไม่ไหวจึงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่คิดจะอายใคร สำหรับลูกผู้ชายอย่างผมนี่คือการร้องไห้ที่หนักหนาที่สุดในชีวิต สายเลือดมันตัดกันไม่ขาดหรอก.. ใครๆ ก็บอกผมอย่างนี้และผมก็บอกตัวเองเสมอเหมือนกัน.. ที่แท้มันก็แค่คำพูดปลอบใจตัวเองเท่านั้น..
วันรุ่งขึ้นผมขอให้พี่ยูช่วยทำป้ายชื่อของเฮนจิมิไดซามะและโอดะ มิกิ ไปไว้ที่ศาลเจ้าของตระกูลโอดะเพื่อที่ต่อจากนี้ไปวิญญาณทั้งสองดวงจะได้รับการสวดวิญญาณ พี่ยูรับปากว่าจะจัดการให้โดยเร็วที่สุด และนี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำแทนทซึกิได้
หลังจากนั้นไม่นานข่าวการเสียชีวิตด้วยการของลูกชายนักธุรกิจไทยคนดังของเกาะฮ่องกงก็ตีหราแผ่ทุกหน้าหนังสือพิมพ์ ระบุสาเหตุว่า
‘ฆ่าตัวตายประชดรักจากแฟนเกย์’ ซึ่งแน่นอนครับว่าโดนประณามจากสังคมจนยับเยินว่าโง่ไม่มีหัวคิดและสมควรตาย แต่ดีหน่อยครับตรงที่ในเนื้อข่าวใช้แค่นามสมมติทั้งหมด ดังนั้นตอนครูเอี่ยมอ่านหนังสือพิมพ์จึงแค่ได้ยินคำบ่นว่าเด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่รู้จักคิด.. และนอกจากไอ้โซ่แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย
.
.
.
.
.
มีต่อนะคะ