Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-16-
ถ้าถามว่าผมรู้สึกเช่นไรกับคำตอบที่ได้รับฟังจากจันทร์ แน่นอนครับว่ามันมีความผิดหวังแทรกปนอยู่แต่ในขณะเดียวกันผมก็เข้าใจในเหตุผลของเจ้าตัว จันทร์ยังไม่พร้อมที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นตามที่ผมและทุกคนสนับสนุน จันทร์มีเหตุผลหลายอย่างที่อธิบายให้ผมและทุกคนฟังและสรุปได้ว่าจันทร์จะขอเวลาให้ตัวเองเรียนจบปริญญาตรีเสียก่อนแล้วหลังจากนั้นจะไปต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่น เก็บเกี่ยวความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งผมก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของคนที่ผมรักเพื่อให้เขาได้ทำตามความฝันและตามความตั้งใจของตัวเองเป็นดีที่สุด
เอาเป็นว่าเรื่องญี่ปุ่นขอพักไว้จนครบ 4 ปีแล้วค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญที่ผมต้องจัดการให้เรียบร้อย นั่นคือหลังจากกลับมาจากกราบหลวงตาที่วัดเมื่อวานนอกจากมีเรื่องคำสอนที่ซ่อนปริศนาไว้ให้ขบคิดแล้วก็ยังมีสายลับปริศนาที่แอบตามผมและจันทร์โผล่มาอีก ความจริงแล้วลำพังแค่ตัวผมและมีบอดี้การ์ดฝีมือดีอย่างซากิอยู่ด้วยอีกหนึ่งคนก็คงพอจะรับมือไหวแต่คนที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรมากกว่า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องเรียกมาซารุให้รีบตามมาที่บ้านสวนโดยเร็วที่สุด
ปลื้มชลล์กับคุณหมอดินกลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว และตามกำหนดพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางกลับญี่ปุ่นเพราะมีงานและภาระหน้าที่มากมายรอให้ผมกลับไปสะสางจัดการ ดังนั้นเมื่อทานมื้อเที่ยงกันเสร็จผมจึงขอตัวลากลับก่อน ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแม้จะมาเยือนบ้านสวนแค่ไม่กี่ครั้งแต่ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ที่นี่ อาจจะเพราะญาติผู้ใหญ่ทุกคนที่นี่ใจดีและเห็นผมเป็นลูกหลานคนหนึ่ง แม้พวกท่านจะไม่ได้สนับสนุนในความรักของผมและจันทร์แต่พวกท่านก็ไม่ได้รังเกียจ สิ่งที่พวกท่านแคร์มากที่สุดก็คือจันทร์ อะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกหลานของท่านมีความสุขพวกท่านก็จะเปิดใจและพร้อมที่จะทำความเข้าใจยอมรับมัน นี่แหละครับที่เรียกว่าสายใยของครอบครัวอย่างสมบูรณ์
จันทร์ขออนุญาตกลับกรุงเทพฯ มาพร้อมกับผมด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการจะไปส่งผมที่สนามบินด้วยตัวเอง ส่วนน้องโซ่อยู่ต่อที่บ้านสวนอีกหนึ่งคืนและจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับคุณอาต้อมและคุณลุงฟื้น ตอนนี้ในรถจึงมีซากิทำหน้าที่สารถี มาซารุนั่งเบาะหน้าคู่กับซากิ และผมนั่งเบาะหลังคู่กับจันทร์
เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าสู่ตัวอำเภอก็ปรากฏความผิดปกติให้ต้องระวังตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามไม่ให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างผมรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นเด็ดขาดด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายกังวลใจไปด้วย ผมใช้วิธีสื่อสารกับลูกน้องด้วยภาษาญี่ปุ่นและส่งสัญญาณทางสายตา และหลังจากการประเมินสถานการณ์มาได้ระยะหนึ่งจนใกล้จะเข้าสู่เขตกรุงเทพฯ ก็พอจะเดาได้ว่าฝั่งตรงกันข้ามคงแค่สะกดรอยตาม ไม่ได้คิดจะลงมือหรือก่อเหตุอะไรอย่างแน่นอน ที่สำคัญก็คือเป้าหมายน่าจะเป็นผมมากกว่าจันทร์
“ชิเซนโชเมะสึ”
มาซารุรายงานว่ารถปริศนาได้หายไปแล้ว ผมพยักหน้ารับและส่งสายตาให้ซากิขับรถกลับคอนโดได้ และเพราะผมมัวแต่กังวลเรื่องอื่นจึงลืมไปว่ามีดวงตาคู่ใส่คู่หนึ่งกำลังมองอยู่ เมื่อหันไปสบตาอีกฝ่ายก็หลบทันที อีกทั้งยังแกล้งฝืนยิ้มเหมือนต้องการจะกลบเกลื่อนไม่ให้รู้ว่าตัวเองกำลังน้อยใจ
ตลอดการเดินทางจันทร์ชวนผมคุยโน่นนี่นั่นมาตลอดแต่ผมก็เอาแต่ถามคำตอบคำ หรือแม้กระทั่งไม่ทันได้ฟังว่าจันทร์กำลังพูดเรื่องอะไร
“จันทร์”
“หืม?”
เด็กหนุ่มหันมายิ้มจนตาปิด ยิ้มแบบที่รู้ได้ทันทีว่ากำลังฝืนความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน
“เมื่อครู่เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“จันทร์แค่จะบอกว่าไว้พี่ยูว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยบินมาหาจันทร์ก็ได้”
ริมฝีปากระบายรอยยิ้มทว่าดวงตากลับฉายแววตัดพ้อ มันทำให้ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออก ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าความรู้สึกเมื่อทำให้คนรักเสียใจมันเป็นยังไง
“หรือถ้าพี่ยูไม่ว่าง.. ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ท้ายประโยคเบาหวิวและสั่นเครือ ใบหน้าน่ารักเบือนหนีหันมองวิวทิวทัศน์ข้างถนน
“ฮึก..”
แม้อีกฝ่ายจะเอามือปิดปากไว้แต่คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะไม่รู้ว่ามันคืออาการของคนกำลังร้องไห้ ซึ่งผมรู้ดีครับว่าลูกผู้ชายที่รักในศักดิ์ศรีอย่างจันทร์ไม่ใช่คนที่จะเสียน้ำตาง่ายๆ ยกเว้นว่าเจอเรื่องที่สะเทือนใจจริงๆ และผมก็เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น นี่ผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีครับ
ผมดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้ด้วยแขนข้างเดียว และด้วยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจึงทำให้ได้สบตากันในระยะประชิด
“เคยร้องไห้ให้ใครแบบนี้รึเปล่า?”
“ลูกผู้ชายที่ไหนเขาร้องไห้กันเล่า!”
หลักฐานคือน้ำหูน้ำตาเขลอะทั่วหน้าขนาดนี้แต่ยังเถียงเสียงแข็ง ผมจึงหยิกจมูกรั้นไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว เจ้าของจมูกก็ยู่หน้าและดิ้นขลุกขลักจะผลักออกจากอ้อมแขนของผมแต่มีเหรอที่ผมจะยอม แรงแค่นี้จะสู้ผมไหวได้ยังไงยิ่งดิ้นผมก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น พร้อมกับกระซิบข้างๆ หู
“ถ้าเธอบอกว่าคิดถึงและอยากเจอฉัน.. ฉันก็จะมาหา”
ต่อยตรงอกผมดัง
‘อั่ก’ เอาซะเต็มแรงจนผมแอบจุกเล็กๆ ไม่ถึงกับสะเทือนอะไรมากมาย
“งั้นจันทร์พูดทุกวันเลยคอยดู!”
คำพูดที่หนักแน่นประกอบกับสายตาที่จริงจังทำให้ผมอดจะยิ้มกว้างเสียไม่ได้
“ทำคนอื่นเสียใจแล้วจะมายิ้มอะไรอีกเล่า!”
ตวาดใส่หน้าแล้วออกแรงหยิกหน้าท้องของผม รอบนี้เจ็บจริงอะไรจริงแต่จะให้แสดงอาการว่าเจ็บก็คงจะไม่ได้เพราะในรถมีลูกน้องนั่งอยู่ด้วยถึงสองคน เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้เวลาโกรธโคตรโหดเลยนะครับเนี่ย
“โกรธหรือไม่พอใจอะไรกันก็พูดออกมาสิ! อย่ามาทำเฉยแล้วเงียบใส่แบบนี้อีก!”
“ไม่ได้โกรธ”
“อย่ามาโกหก!”
“จริงๆ”
ให้สาบานก็ได้ว่าผมไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไรคนในอ้อมแขนเลยสักนิด ใบหน้างอง้ำจ้องผมเขม็งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยู่ปากเล็กน้อย
“แล้วที่จันทร์ชวนคุยด้วยทำไมไม่คุย เอาแต่นิ่งอยู่ได้”
อารมณ์เย็นลงมานิดนึงแล้วล่ะครับ
“ฉันผิดเองเพราะมัวแต่คิดเรื่องงาน”
“ถ้ากำลังยุ่งก็บอกจันทร์สิ ไม่ใช่ปล่อยให้จันทร์พูดเป็นคนบ้าอยู่ได้คนเดียว”
“ขอโทษ”
กดจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อย้ำให้รู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“อืม”
“ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ให้บอกห้ามเอาแต่เงียบ”
“ตกลง”
“ถึงจันทร์จะยังเป็นเด็กในสายตาของพี่ยูแต่จันทร์ก็ไม่ได้โง่ที่จะแยกแยะไม่ออกว่าไหนเรื่องงานไหนเรื่องเล่น”
“ฉันรู้”
“และไม่ว่าจันทร์จะทำผิดสักแค่ไหนก็ห้ามหันหลังให้จันทร์เด็ดขาด พี่ยูจะต้องฟังเหตุผลของจันทร์ก่อนเสมอเข้าใจมั๊ย?”
“แน่นอน”
“มองแค่จันทร์ แค่จันทร์คนนี้คนเดียว”
“ฉันสัญญา”
ใบหน้างอง้ำเปลี่ยนเป็นอมยิ้มกลั้นเขิน แก้มใสขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาที่เอ่อน้ำเมื่อครู่ตอนนี้กลับมาทอประกายสดใสอีกครั้ง ร่างเล็กขยับตัวเบียดเข้ามาแนบชิดมากขึ้นจากนั้นก็โน้มใบหน้าฝังลงตรงลำคอของผมแล้วก็กัด..
“อืม..”
ผมหลับตากลั้นความเจ็บให้เด็กหนุ่มขบกัดคอจนพอใจ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าคงจะเป็นรอยฟันแน่ๆ แต่ก็คุ้มครับเมื่อแลกกับเสียงหัวเราะสะใจเบาๆ
“ใครสอนให้ทำแบบนี้?”
“ก็เห็นพี่ยูชอบกัดคอจันทร์ จันทร์เลยกัดกลับบ้างไง”
ตอบเสร็จก็มีฉีกยิ้มภูมิใจอีกนะ สรุปแล้วคือความผิดของผมเหรอครับเนี่ย.. ลูกน้องก็คงจะรู้กันหมดครั้งนี้แหละว่าผมเป็นประเภทซาดิสชอบกัดคอคนรัก แต่เท่าที่ผมจำได้ผมว่าผมแค่ขบแล้วดูดเบาๆ พอให้ขึ้นรอยแดงเท่านั้นนะไม่เคยขบกัดแบบนี้เลยสักครั้ง
“สงสัยฉันคงต้องสอนเธอใหม่”
คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นหรี่ตาลงคล้ายจับผิด
“จะหาข้ออ้างมานอนห้องจันทร์อีกอะดิ”
หมดกันครับ ภาพลักษณ์เจ้านายและฉายานักธุรกิจซามูไรหน้าเดียวตอนนี้โดนเด็กหนุ่มที่ชื่อจันทร์ทำลายล้างจนไม่เหลือแล้วครับ และผมก็ทำได้แค่หัวเราะในลำคอ ‘หึๆ’ เท่านั้น เอาไงก็เอาแล้วแต่ความพอใจของพ่อคุณเลยละกัน
.
.
.
.
ฝ่ารถติดของเย็นวันศุกร์มาถึงคอนโดก็ใกล้ค่ำ และเพื่อความสะดวกจึงแวะทานมื้อเย็นในร้านอาหารพาสฟู้ดใกล้ๆ คอนโด ส่วนเรื่องกระเป๋าเดินทางและเอกสารสำคัญต่างๆ คงจะต้องให้มาซารุจัดการให้เพราะเมื่อมาถึงห้องจันทร์ก็จับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย แถมยังจูงพาผมเข้าห้องตัวเองอีกต่างหาก
เข้ามาในห้อง เจ้าของห้องก็เปิดทีวีให้ผมดูพร้อมหาน้ำและขนมมาบริการเต็มโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปนอกระเบียงและกลับเข้ามาพร้อมกระถางดอกไม้สีแดงและสีชมพูอมม่วง
“ดอกบานชื่นสีแดงมีความหมายถึงความเชื่อใจและจงรักภักดี ส่วนสีชมพูอมม่วงมีความหมายว่าความรักครั้งสุดท้าย..”
เจ้าของกระถางอธิบาย ยิ้มให้ดอกไม้ในกระถางก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผม
“จันทร์ให้พี่ยู”
กระถางในมือถูกมาตรงหน้า และผมก็รับมันไว้
“รักษามันดีๆ นะ”
ผมรู้ว่าคนพูดกำลังหมายถึงอะไร ผมวางกระถางดอกไม้ไว้บนโต๊ะแล้วนั่งลงบนโซฟาเด็กหนุ่มก็หย่อนก้นลงนั่งตาม ผมมองดอกไม้สีสันสดใสที่อยู่ในกระถางใบเล็กด้วยรอยยิ้มอยู่ครู่หนึ่งหัวทุยเล็กก็วางซบอิงลงบนบ่า
“พี่ยูอยากจะมีอะไรกับจันทร์มั๊ย?”
หืม?? ว่าไงนะ? ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่มั๊ย?
“จันทร์พอจะรู้แล้วล่ะว่าเวลาที่ผู้ชายกับผู้ชายเขามีอะไรกันเขาต้องทำยังไงกันบ้าง”
“มาแก่แดดอะไรเอาตอนนี้?”
“แล้วอยากมีรึเปล่าละ?”
ยืดตัวนั่งหลังตรงมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบ
“ฉันสัญญากับคุณตาและคุณพ่อของเธอไว้”
“แสดงว่าอยาก..”
แน่ะ มีอมยิ้มลอยหน้าลอย
“จันทร์ไม่ได้สัญญากับใครไว้สักคน เพราะฉะนั้นถ้าจันทร์เริ่มก่อน พี่ยูก็ไม่ผิด”
ผมหรี่ตามอง ใบหน้าน่ารักโน้มลงมาจนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน
“เป็นเด็กดีนะที่รัก เดี๋ยวน้องจัดการเอง”
ชักจะไม่ค่อยมั่นใจแล้วครับว่ารู้ดีเรื่อง sex จริงๆ ทฤษฎีกับปฏิบัติมันต่างกันนะเด็กน้อย ผมหยิกแก้มใสไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อย่าคิดว่าจันทร์พูดเล่นนะ”
เอากับเขาสิครับ พูดเสร็จก็ถอดเสื้อตัวเองโชว์ผิวขาวเนียนทันทีแถมยังใจดีมาแกะกระดุมเสื้อให้ผมด้วยอีกต่างหาก ผมเกลี่ยข้างแก้มเนียนที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขิน
“ถ้าเริ่มแล้ว.. ฉันจะไม่หยุดนะ”
ยักคิ้วตอบด้วยนะครับ อยากรู้จริงๆ อะไรที่ทำให้จันทร์คึกคักได้ขนาดนี้ แต่เรื่องหาคำตอบผมคงรอไว้หลังจากทำให้คนรักของผมพอใจเสียก่อน
ริมฝีปากนิ่มแตะผะผ่าวลงบนริมฝีปากของผม ดวงตาของเราสบกันแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เปลือกตาเรียวจะปรือลงอวดแพขนตาเรียงตัวสวยพร้อมกับแนบริมฝีปากลงอีกครั้งและบดเบียดอย่างเก้ๆ กังๆ แม้มันจะเป็นจูบที่ไม่ประสีประสาแต่กลับปลุกอารมณ์ของได้ง่ายยิ่งกว่าระดับมืออาชีพเสียอีก และถ้าหากผมแอบช่วยขยับมุมองศาให้เข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้นมันคงไม่ผิดกติกาใช่มั๊ยครับ?
“อืมม”
ผละจูบออกจากกัน ร่างเล็กขยับขึ้นมานั่งคร่อมตักผม แต่แค่แป๊ปเดียวก็ถอยกลับลงจากตัก คิ้วบางขมวดเล็กน้อยเหมือนกำลังลังเลบางอย่างจากนั้นจึงกลับขึ้นมานั่งคร่อมตักใหม่ ผมก็ปล่อยตามใจไม่ขอห้าม ผใยึดคติที่ว่าอะไรที่คนรักมีความสุขผมก็มีความสุขไปด้วย อยากทำอะไรก็ทำแต่ผมขอแค่แอบช่วยโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ก็พอ
“พี่ยูเอนหลังลงไปหน่อยสิ จันทร์ทำไม่ถนัด”
เอาหมอนอิงมาวางรองตรงพนักวางแขนไว้แล้วผมก็เอนหลังลง มองคนตัวเล็กรูดซิปกางเกงให้ผมอยู่ มือบางวางลงบนอันเดอร์แวร์แล้วนวดคลึงเบาๆ แค่ไม่นานมังกรที่นอนสงบนิ่งก็ผงาดสู้มือครับ คนที่นั่งอยู่บนตัวผมก็เบิกตาโตเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวลงมานอนทับผมแล้วประกอบจูบอีกครั้ง
“ถอดกางเกงให้จันทร์หน่อยสิ”
มีหรือที่ผมจะกล้าขัดใจ จัดการถอดให้ทั้งกางเกงและอันเดอร์แวร์รวดเดียวเลย ตอนนี้คนบนร่างของผมก็เหลือแค่ผิวขาวเรียบเนียนเปลือยเปล่า ผมอดใจไม่ไหวต้องลูบไล้เคล้นคลึงทุกสัดส่วนโดยเฉพาะสะโพกที่ช่างเหมาะพอดีมือเสียจริง และด้วยความเงอะงะของคนรักผมจึงช่วยขยับมือบางให้รวบทั้งของผมและของเจ้าตัวขยับเสียดสีพร้อมกัน แบบที่เคยสอนเมื่อครั้งก่อน เด็กหัวไวอย่างจันทร์จึงเรียนรู้ได้เร็ว
“อ่ะ”
ไม่นานแก่นกายของเราทั้งคู่ก็ขยายโต แต่ในส่วนของผมยังไม่เต็มที่ครับมันยังตื่นตัวได้อีกตอนนี้ให้เด็กน้อยที่ไวต่อความรู้สึกของผมถึงจุดสุดยอดไปก่อน
“อ๊าาา”
น้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาเต็มหน้าท้องของผมพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ผมชอบฟัง ผมโอบกอดร่างเล็กล้มตัวลงนอนหอบหายใจบนแผ่นอก
“มีโลชั่นมั๊ย?”
กระซิบถาม คนถูกถามก็พยักหน้าหงึกๆ อยู่สองสามครั้งจึงขยับตัวลุกขึ้นไปหยิบเบบี้ออยล์มาส่งให้ผม เตรียมพร้อมและชำนาญขนาดนี้ผมรู้ได้ทันทีว่าต้องมีคนสอนมาแน่ๆ แต่เอาเป็นว่าผมจะยกผลประโยชน์นี้ให้ตัวเองแล้วกันนะครับ
ร่างเปลือยเปล่ากลับขึ้นมานั่งคร่อมผมอีกครั้ง และส่วนนี้คงเป็นหน้าที่ของผมในการช่วยจัดการตระเตรียมช่องทางก่อนเริ่มของจริง ซึ่งแน่นอนว่าผู้นำมือใหม่ป้ายแดงต้องอยู่ด้านบน และถึงแม้ว่าบทเพลงรักจะดำเนินไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็ถือว่าโอเคมากสำหรับผม ทว่าทางฝั่งของท่านผู้นำนั้นผมขอยืนยันด้วยเสียงแทนละกันนะครับ
“อ๊ะ อ่ะ พ พี่ยู”
“พ พ ยู จ เจ็บ อ่ะ”
“จ จันทร์ เจ็บ อื๊อออ”
“อ๊า อื้ออ”
“ช ช้า อ๊า อ๊ะ”
“ต ตรงนั้น อ่ะ”
“อ่ะ อืมม”
“อ่ะ อ่ะ”
“อ๊าาา”
อืมมมม ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วยังไงล่ะครับว่าถ้าเริ่มแล้ว.. ผมก็จะไม่หยุดกลางคันแน่นอน และคืนนี้ยังอีกยาวไกลไม่ต้องเร่งรีบมากมาย ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเนิบนาบเรื่อยๆ เอาที่ท่านผู้นำพอใจและมีความสุขที่สุด ส่วนผมนั้นไม่ขออะไรมาก แค่ต้องได้กำไรเท่าตัวเท่านั้นเอง
.
.
.
.
ความสุขผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน เช้าวันแห่งการจากลาก็มาถึงเร็วแค่นั้น..
สนามบินสุวรรณภูมิยังคงคึกคักไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ หลังจากเช็คอินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ผมก็เดินกลับมาหาไอจังคนสวยกับคุณหมอเปรม และเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนหน้าซีดเผือดเพราะมีไข้อ่อนๆ ก็จะไม่ให้ไข้จับได้ยังไงล่ะครับ เมื่อคืนอวดเก่งซะขนาดนั้น นี่ขนาดผมพยายามยับยั้งอารมณ์ไม่ให้รุนแรงอย่างถึงที่สุดแล้วนะครับ เอาเป็นว่าแค่ท่าเดินกะโผลกกะเผลกเนี่ยใครเห็นก็รู้แล้วล่ะครับว่าโดนอะไรมา ไอจังก็ส่งสายตาหยอกล้อซะจนผมรู้สึกสำนึกผิดเลย
“ถ้าจันทร์บอกว่าคิดถึงและอยากเจอพี่ยูจะต้องรีบเคลียร์งานมาหาจันทร์นะ”
“อืม”
จูบหน้าผากมนที่อุณหภูมิสูงกว่าปกติ ผมอยากจะให้จันทร์นอนพักอยู่ที่ห้องมากกว่าแต่เจ้าตัวก็ยังดื้อจะมาส่งผมให้ได้
“ตั้งใจเรียนและดูแลตัวเองให้ดี”
“รู้แล้วครับ”
“ฉันจะพยายามเคลียร์งานเพื่อจะได้มาหาเธอบ่อยๆ”
“นั่นเป็นสิ่งที่พี่ยูต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
สองแขนเรียวโอบกอดรอบเอวและซบหน้าลงกับแผ่นอกของผม
“จันทร์รักพี่ยูนะ”
“ฉันก็รักเธอ”
ใบหน้าซีดเซียวเงยมองผม เสี้ยววินาทีนั้นผมเห็นคนตรงหน้าเป็นเด็กหนุ่มในชุดยูกิโมโนของผู้ชายเนื้อผ้าทำด้วยผ้าไหมอย่างดีและที่สำคัญคือมีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ...ทซึกิ.. แววตาที่ผมเห็นเหมือนกับว่าทซึกิกำลังร้อนรนใจอะไรบางอย่าง และมันก็ทำให้ในอกด้านซ้ายของผมวูบโหวงขึ้นมาทันที
“ไอจัง”
“ไฮ้”
ผมหันไปเรียกไอจังที่ยืนอยู่ไม่ไกล ไอจังขานรับแล้วรีบเดินมาหาผม
“คาเระ โอะ อิโม่โตะ นิ อะสุเครุ”
ผมฝากจันทร์ไว้กับไอจัง
“ไฮ้! ชิมปัยชิไนเด่ะ เน๊ะ โอนี่จัง”
ไอจังรับปากด้วยความเต็มใจ และบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ถึงแม้ว่าผมมั่นใจในศักยภาพของทีมบอร์ดี้การ์ดของคุณหนูอิเคดะไอ ทว่าหน้าที่หลักของพวกเขาเหล่านั้นคือดูแลเจ้านายของตัวเอง ดังนั้นการดูแลคนรักของผมจึงเป็นเพียงแค่หน้าที่รอง
“กลับไปพักผ่อนที่คอนโด ห้ามออกไปไหนจนกว่าคุณพ่อและน้องโซ่จะมาถึง”
“ครับ”
ประทับจูบบนหน้าผากมนอีกครั้ง ถ้าหากจันทร์ตัดสินใจไปญี่ปุ่นกับผมด้วยคงไม่ต้องกังวลมากขนาดนี้ แต่ยังไงซะผมยังคงเชื่อว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่ผมสามารถควบคุมได้นั่นหมายความว่าอันตรายที่ผมเป็นกังวลจะไม่เกิดขึ้นกับจันทร์ไปอีกพักใหญ่
เมื่อบอกลากันพอเป็นพิธี ผมก็เดินเข้าด้านในพร้อมกับมาซารุและลูกน้องอีกสองคนเพราะใกล้ถึงเวลาเดินทางแล้ว ผมพยายามที่จะไม่หันกลับไปมองด้านหลังด้วยกลัวว่าจะอดทนไม่ไหวที่จะไม่ฉุดพาคนรักขึ้นเครื่องกลับไปญี่ปุ่นด้วยกัน และขณะที่กำลังนั่งรอฟังเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องอยู่นั้น มาซารุก็เดินมากระซิบบางอย่างที่ผมให้ผมต้องกระตุกยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปมองบุคคลที่สาม
“สวัสดีค่ะ คุณอิเคดะ ยู”
“สวัสดีครับ คุณศศิ”
“ถ้าฉันรู้ว่าคุณพูดไทยได้ชัดขนาดนี้คงไม่ปล่อยไก่ไปเป็นเล้าแน่”
“คุณไม่เคยถามผมต่างหาก”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้คือ ศศิ จินตเลิศวิวัฒน์ หรือเธอก็คือคุณเดือน นักธุรกิจสาวสวยและมากความสามารถของเกาะฮ่องกง ตั้งแต่แยกกันที่บ้านสวนเมื่อเดือนก่อนเราก็ไม่ได้เจอและไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
“คุณบินไฟท์นี้เหรอคะ? แหม บังเอิญจัง”
ถ้าหากมีสาวสวยมาพูดแบบนี้กับผู้ชายไหนคงได้ตกหลุมพรางแห่งความ ‘บังเอิญ’ เป็นแน่ แต่ไม่ใช่สำหรับผมครับ เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“คุณจะไม่ถามอะไรฉันสักคำเหรอคะ?”
“คุณตามผมทำไม?”
ริมฝีปากสีแดงชาดระบายรอยยิ้มขบขัน
“น่าเศร้าจังเลยนะคะ เดี๋ยวนี้เราเหมือนเป็นคนอื่นกันไปซะแล้ว”
เธอไม่ตอบคำถามของผม และยังจะเลี่ยงประเด็นสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น
“คุณไม่เคยเป็นคนอื่นครับ”
“เอ๋?”
“สำหรับผม คุณเป็นเพื่อนร่วมวงการที่ดีและยังเป็นพี่สาวของศศิน.. คนที่ผมรัก”
ใบหน้าสะสวยแสดงอาการไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็สามารถควบคุมอารมณ์แล้วกลับมาระบายรอยยิ้มเช่นเดิมได้ภายในไม่กี่วินาที
“ฉันตามคุณเพราะฉันแค่คิดถึงคุณ..”
มันคือคำตอบของคำถามที่ผมถามไปก่อนหน้า เธอวนกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้งแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงประกาศให้ผู้เดินทางขึ้นเครื่อง ผมจึงลุกขึ้นเดินขึ้นเครื่องพร้อมกับคุณเดือน อย่างน้อยคนที่ผมกลัวที่สุดก็อยู่ตรงนี้นั่นหมายความว่าจันทร์จะยังคงปลอดภัย
แม้ผมกับคุณเดือนจะนั่งในชั้นโดยสารพิเศษเหมือนกันและที่นั่งก็อยู่ใกล้กัน แต่หลังจากนักบินประกาศนำเครื่องขึ้นผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธออีกเลย จนกระทั่งสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง มาซารุเดินมาจากอีกห้องชั้นโดยสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและกระซิบบางอย่างกับผมนั่นจึงทำให้ผมต้องเริ่มบทสนทนากับคุณเดือนอีกครั้ง
“คุณแม่ของคุณต้องการอะไรจากจันทร์?”
คำถามของผมทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มขบขัน
“แหม.. แม่ลูกกันนะคะ”
ถ้าหากเป็นคนอื่นผมจะไม่แปลกใจสงสัยแต่นี่เป็นคุณรวินทร์นิภากับลูกชายที่ไม่เคยใส่ใจดูแล ผมคิดว่าผมคาดเดาอะไรบางอย่างพลาดไปแน่ๆ และขณะที่ผมจ้องมองเธอเพื่อต้องการคำตอบ ผมจึงได้รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าผมในขณะนี้ไม่ใช่คุณเดือน แต่มันเป็นภาพซ้อนทับของใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก หญิงสาววัยกลางคนในชุดกิโมโนหรูหราที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ระดับสามัญชน
“คุณคิดว่าฉันเป็นตัวร้ายของเรื่องนี้มาตลอดสินะคะ”
ในแววตาที่มองผมนั้นช่างอ่อนโยนแต่ทว่าก็แฝงไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ
“หัวใจของฉันเศร้ามาตลอดเพราะคุณเหมือนคนตาบอดนี่แหละค่ะ”
เธอคือใคร?.... เธอไม่ใช่มิกิ!
.
.
.
.
.
.
TBC..

โอ๊ยยยย อีก 2 ตอนจะจบแล้ว รินตื่นเต้นจังเลย 