Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-3-
“คุณจันทร์”
“อืม...”
“ตื่นได้แล้วครับ นอนทับตะวันแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก”
นอนทับตะวันเหรอ? ใคร? ผมพยายามจะหันไปมองแต่ก็เจอแค่ความมืด เอ๊ะ! นี่ผมหลับตาอยู่เหรอ? แล้วทำไมเปลือกตาถึงได้หนักอึ้งแบบนี้ล่ะ???
“คุณจันทร์จะตื่นดีๆ หรือจะให้ไอ้โซ่ช่วยปลุก?”
เดี๋ยวๆ ใจเย็นไว้เพื่อน อยากจะยกมือขึ้นห้ามแต่แค่จะเปิดเปลือกตาผมยังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเลยครับ ผมต้องใช้ความพยายามในการควบคุมร่างกายอยู่พักใหญ่และในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ ดวงตาของผมเปิดโพลงจ้องเพดาน ลมหายใจหอบน้อยๆ ไม่นานนักใบหน้าคมคายเลื่อนเข้าบดบังสีนวลของฝ้าเพดาน คิ้วเข้มของไอ้โซ่ขมวดเข้าหากัน
“คุณจันทร์เป็นอะไร? ท่าทางยังกับโดนผีอำ”
ผมกระพริบตามองคนตรงหน้าเพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมองไปทางนอกหน้าต่างที่ตอนนี้ท้องฟ้าทอสีแดงอมส้มบอกเวลายามโพล้เพล้ จากนั้นก็หันมองดูนาฬิกาเข็มสั้นตรงเลขหกพอดีครับ
“อืม... โดนผีอำ”
“เหยดดดดดดดดดดดดด”
สิ้นคำสบถ ร่างยาวๆ ก็กระโดดโหยงขึ้นมานั่งบนเตียงข้างผมด้วยหน้าตาล่อกแล่กหวาดระแวงทุกอย่างรอบกายตามประสาคนกลัวผี
“จะกลัวทำไมเนี่ย คนที่โดนผีอำคือฉันนะ”
“มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”
เออ.. มีแบบนี้ด้วยแฮะ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ลุกๆ จะไปล้างหน้า”
ผมเดินลงจากเตียง ไอ้โซ่ก็เดินตามผมติดๆ มายืนเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วยนะครับ
“คุณจันทร์”
“ว่า?”
ล้างหน้าไปด้วยก็ต้องขานรับตอบไปด้วย
“ผมอยากรู้ว่าผีอะไรมันกล้าอำคุณจันทร์?”
แปลกนะครับคนกลัวผีมักจะชอบฟังเรื่องผี
“ผีญี่ปุ่น”
“หืม??? ผีโกโบริเหรอ?”
นี่ก็คิดได้นะ
“ฉันเหมือนอังศุมาลินปะล่ะ?”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าไอ้โซ่คงจะขมุบขมิบปากเหลือบตามองบนกับคำตอบของผมเป็นแน่ ถ้าหากขาผมยาวกว่านี้คงได้ยกถวายมันไปสักที ผมจึงทำได้แค่ทำเป็นไม่รู้แล้วเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูจนแห้งสนิท รู้สึกสดชื่นขึ้นมากครับ และก็ทำให้ผมเพิ่งนึกอะไรออก
“โซ่.. ฉันมานอนในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คนถูกถามกระพริบตาทำหน้าเอ๋อ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ
“คุณจันทร์ไม่รู้ แล้วผมจะรู้มั๊ยเนี่ย”
แหม— ให้มันได้แบบนี้สิครับ รู้ได้ทุกเรื่อง ทีเรื่องสำคัญไม่รู้ขึ้นมาซะงั้น
“ไอ้โซ่ก็จะถามคุณจันทร์อยู่เนี่ยว่าแอบมานอนหลับทับตะวันอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่?”
สำรวจตัวเองหน้ากระจกและมองฝ่ายตรงข้ามผ่านเงาในกระจก ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังทำหน้าครุ่นคิด ผมรู้ว่าไอ้โซ่อาจจะโกหกคนอื่นได้แต่มันไม่มีวันจะโกหกผมอย่างแน่นอน และผมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบตอแยมากความอยู่แล้ว อีกอย่างคำตอบสำหรับเรื่องนี้ผมนี่แหละที่เป็นคนรู้ดีที่สุด แต่ดันจำไม่ได้ซะงั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปโทษใครเลยครับ
“ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจันทร์เข้ามานอนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าเมื่อเที่ยงน้ามลให้ผมมาตามคุณจันทร์ไปกินข้าว ผมเดินหาทั้งไร่ทั้งสวนก็ไม่เจอ แต่มาเจอคุณจันทร์นอนหลับอยู่ในห้อง ผมปลุกให้ไปกินข้าวก็ไม่ตื่น ผมเลยคิดว่าคุณจันทร์จะหนีพวกแขกเหรื่อที่มากันซะอีก เลยไปบอกน้ามลว่าคุณจันทร์กินข้าวกับผมที่ในครัวเรียบร้อยแล้ว ท่านจะได้ไม่เป็นห่วง”
เอาจริงๆ ผมไม่เคยนอนกลางวันยาวขนาดนี้ และแม้จะยังสงสัยและข้องใจ แต่คำอธิบายยาวเหยียดของไอ้โซ่ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มออกมา
“หนีทำไม? ฉันเป็นเจ้าของบ้านนี้นะเฟ้ย”
“คุณจันทร์คิดแบบนี้ไอ้โซ่ก็สบายจายยย”
มีการทำหน้ากวนตีน ยักคิ้วแบบนักเลงให้ผมด้วย เท่ห์ตายล่ะ ฮ่าๆ
“ไปกินข้าวเถอะ หิวแล้ว” ตัดบทด้วยเสียงท้องที่ร้องประท้วง
เดินกอดคอกันออกมาจากห้องอย่างทุลักทุเลเพราะความสูงที่ต่างกัน อย่าบอกใครนะครับว่าเราโตมาด้วยกัน นี่ขนาดว่าผมแทบจะดื่มนมแทนน้ำแล้วนะเนี่ยความสูงของผมไม่พัฒนาขึ้นเลยสักนิด
“มาเร็วๆ ลูก อย่าให้ผู้ใหญ่รอ”
แม่มลที่กำลังชะเง้อคอรออยู่รีบกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม ว่าแต่ทำไมคุณแม่กับคุณเดือนยังอยู่ล่ะเนี่ย??? ผมคิดว่าพวกท่านจะกลับกันไปหมดแล้วซะอีก ผมหันมองหน้าไอ้โซ่เพื่อขอคำตอบ และมันก็กระซิบตอบมาว่า
‘คืนนี้เขาค้างที่บ้านสวนกันครับ’ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้าเงียบๆ แล้วไอ้โซ่ก็ชิ่งวิ่งหนีไปกินข้าวในครัวอย่างไวทิ้งให้ผมเดินฉีกยิ้มเดินเข้าไปร่วมวงคนเดียว
ตามมารยาทอีกเช่นเคยครับ มาช้าให้ผู้ใหญ่รอก็ต้องยกมือไหว้ขอโทษพร้อมกับแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาตำหนิและดูแคลนจากคุณแม่และคุณเดือน ด้วยการสนใจมองเมนูบนโต๊ะแทน อื้อหือ-- หมูทอดกระเทียมพริกไทย ไข่เจียวหมูสับทรงเครื่อง ผัดผักหวานป่ากับน้ำมันหอย แกงเลียงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง แล้วยังมีแกงป่าผักหวานใส่ปลากรอบ แสบท้องด้วยความหิวทันทีครับ แม้จะเป็นอาหารพื้นบ้านแต่ฝีมือแม่มล คุณยาย และป้าณี ผมการันตีว่าอร่อยทุกอย่างและผมก็ชอบทุกอย่างโดยเฉพาะผักหวานป่าที่ไม่ต้องซื้อหาที่ไหน มีอยู่ในไร่ในสวนเรานี่แหละครับ ว่าแต่คุณตากับพ่อต้อมไปไหนเนี่ย ผมหิวแล้วนะ
“มาแล้วเหรอลูก?”
พ่อต้อมก็ส่งเสียงมาแล้วครับ ผมยืดตัวส่งยิ้มให้คุณตาและพ่อต้อมที่เดินมาจากนอกชานอีกฝั่ง แต่รอยยิ้มของผมก็ต้องค่อยๆ หุบลงเพราะบุคคลที่เดินตามพวกท่านมา
“คนนี้คือน้องจันทร์ใช่มั๊ยครับ?”
ผู้ชายรูปร่างสูงสมส่วน ผิวขาว หน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม ที่ผมจำได้แม่นยำว่านั่งใกล้สาวน้อยคนสวยของผมและคนที่ผมเจอตรงสวนหลังบ้านเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าสามารถฆ่าผู้หญิงได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร่างกายเย็นวาบและชาหนึบไปทั้งตัวได้เท่ากับผู้ชายอีกคน
“อ่อ.. วันนี้ยังไม่ได้เจอกันนี่นา”
พ่อต้อมที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษมองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะหันไปแนะนำผมให้ผู้ชายรูปร่างสูงอีกคนที่หน้าตานิ่งเรียบเฉยชาฟังเป็นภาษาอังกฤษ เห็นพ่อต้อมเป็นแค่เกษตรกรชาวสวนชาวไร่แบบนี้แต่จบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับต้นๆ ของประเทศเชียวนะครับ เรื่องภาษาอังกฤษนี่พูดได้ไฟแล่บเลย
“จันทร์สวัสดีพี่เขาสิลูก นี่คุณอิเคดะแฟนคุณเดือนเขา ส่วนนี่คุณปลื้มชลล์เพื่อนของคุณอิเคดะ คืนนี้พวกพี่เขาจะค้างที่บ้านเราด้วย”
ในอกด้านซ้ายก็เต้นเร็วแรงจนรู้สึกเจ็บแน่นไปทั้งอก
“จันทร์”
ราวกับว่าผมโดนมนต์สะกดให้สมองหยุดสั่งการและร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว
“จันทร์.. ไหว้พี่เขาสิลูก”
“อ.. อ่อ..” แรงกระตุกจากคุณยายที่ยืนข้างๆ ทำให้ผมเพิ่งรู้สึกตัว
ผมยกมือขึ้นไหว้แขกทั้งสองคนโดยพยายามหลบสายตาคู่คม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงคุณเดือนพูดขึ้นว่า
‘เรียกร้องความสนใจ..’ แม้เสียงของเธอจะเบาแต่ก็ได้ยินกันทั้งโต๊ะ แต่ทุกคนก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมอย่างพร้อมเพรียง
“กินข้าวกันเถอะ มีแต่อาหารพื้นบ้านไม่รู้จะถูกปากกันรึเปล่า?”
คุณตาที่นั่งหัวโต๊ะเชิญทุกคน แล้วก็ไม่ลืมที่เป็นห่วงเป็นใยผู้มาเยือน คุณปลื้มชลล์ตอบว่าชอบอาหารพื้นบ้านด้วยเสียงหนักแน่น ส่วนคุณเดือนก็รีบเป็นล่ามแปลภาษาให้แฟนตัวเองฟัง ผมไม่กล้าแม้แต่จะแอบมองว่าคนตอบกำลังทำหน้ายังไง
“คุณอิเคดะเขาชอบค่ะ” คุณเดือนตอบแทนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหวาน
ผู้อาวุโสสูงสุดพยักหน้า ทุกคนก็ลงมือกินได้ ผมเองก็ขอก้มหน้าก้มตากินเพราะหิวจริงๆ แต่ทั้งที่หิวผมกลับกินอะไรไม่ค่อยได้ ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ ในอกด้านซ้ายก็ปวดหนึบแปลกๆ และผมก็ยังรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลา ลองเงยหน้าแอบมองรอบโต๊ะหลายต่อหลายครั้งแต่ทุกคนก็ทั้งกินและคุยกันไม่มีใครจ้องผมสักคน จะมีก็แต่แม่มลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ท่านส่งยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเลื่อนจานผัดผักหวานป่าน้ำมันหอยของโปรดให้ผม
“กินแต่ผักแต่หญ้าจะไปโตทันคนอื่นเขาได้ยังไง”
มือที่กำลังจะตักผัดผักต้องชะงักค้างกลางอากาศ
“จันทร์แกชอบกินผักน่ะ โดยเฉพาะผักหวานป่านี่ของโปรดเลย”
คุณยายอธิบายคุณแม่ด้วยรอยยิ้มพลางตักหมูทอดกระเทียมพริกไทยใส่จานให้ผม
“ก็ถึงว่าไงถึงได้ตัวแค่นี้”
ในคำประชดประชันนี้ใครๆ ก็ฟังออกว่ามีความห่วงใยปะปนอยู่ แม้จะน้อยนิดก็ผมก็ยังสัมผัสได้ ผมจึงหันไปส่งยิ้มให้คุณแม่แทนคำขอบคุณ และบังเอิญได้สบกับดวงตาคมเข้มพอดิบพอดี อาการครั่นเนื้อครั่นตัวทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ดวงตาคู่นี้ และความรู้สึกแบบนี้ผมคิดว่าผมจำมันได้ดี เพียงแต่ผมไม่มั่นใจว่ามันป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงความฝันที่ผมเรียกว่าผีอำกันแน่
ขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชายต้องกล้าหาญ ผมสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนออกเพื่อเรียกกำลังใจก่อนจะหันกลับไปจ้องตากลับเอาให้มันรู้กันไปว่าคนหรือผี แต่... ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่ผมสักหน่อยนี่ครับ?? เขากำลังคุยอยู่กับคุณเดือนสายตาก็จดต่ออยู่ที่คุณเดือนไม่มีท่าทีจะสนใจผมด้วยซ้ำ เอ๋--- หรือว่าผมอุปาทานไปเองหว่า???
เพื่อความมั่นใจผมแอบมองทุกคนรอบโต๊ะอีกครั้งจากนั้นก็ตั้งสติกลับมาสนใจข้าวในจานของตัวเอง และตอนนี้ผมก็ขอเชื่อความรู้สึกและสัญชาตญาณว่ามันคือความจริงครับ ไม่มีผีอำและไม่มีอุปาทานใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมอยู่กับความฝันเรื่องเดิมที่วนซ้ำกันอยู่อย่างนั้นมาสิบกว่าปี ผมจำได้ทุกรายละเอียดโดยเฉพาะดวงตาคู่ที่ทำให้ผมเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ..
ตลอดมื้อเย็นผมไม่ได้สนใจในบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่สักเท่าไหร่ นอกจากแค่เรื่องราวของคุณปลื้มชลล์ที่ทายาทนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่เป็นเพื่อนสนิทกับคุณอิเคดะ นอกจากจะอยู่ในวงการธุรกิจเหมือนกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือคุณปลื้มชลล์เป็นน้องชายฝาแฝดของคุณเปรมนทีป์ซึ่งเป็นน้องเขยของคุณอิเคดะ พูดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกยอกในอกขึ้นมาทันที คนที่นั่งแนบชิดกับสาวน้อยอ้อยควั่นของผมที่แท้ก็คือคุณหมอเปรมนทีป์สามีของเธอครับ กระซิกๆ
.
.
.
จบมื้อเย็นด้วยดี ผมปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เขาคุยสนทนากันต่อแล้วก็แอบย่องออกมาหาชู้รักอย่างไอ้คุณโซ่ พรุ่งนี้เราทั้งคู่จะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเอาปลาที่เลี้ยงไว้ในบ่อไปขายที่ตลาดครับ ผมลืมบอกทุกคนใช่มั๊ยว่าทุกอย่างที่อยู่ในรั้วบ้านสวนไม่เคยขายผ่านพ่อค้าคนกลาง คุณตากับพ่อต้อมสอนผมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและการใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียงเสมอว่าถ้าเหลือกินในบ้านก็ค่อยเอาไปขายที่ตลาด ทำเอง ปลูกเอง และขายเอง กำไรก็เอามาหมุนเวียนใช้ในครอบครัว บ้านเราจึงไม่เคยลำบากและไม่เคยขาดแคลนมีให้กินให้ใช้ตลอดทั้งปี
นัดแนะเรื่องงานที่ต้องทำพรุ่งนี้กับไอ้โซ่เสร็จสรรพก็นั่งคุยเรื่องสาวๆ กันต่ออีกนิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ไอ้โซ่มันแอบชอบน้องสมายล์ลูกสาวกำนันเทพครับ และเนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องตื่นก่อนไก่โห่บวกกับผมรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะไม่สบายดังนั้นไอ้โซ่จึงอาสามานอนเป็นเพื่อน
“โซ่..”
สะกิดเรียกคนที่นอนหลับหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ
“ไอ้โซ่..”
ท่าทางมันจะหลับสนิทจริงๆ แต่ผมนี่สิข่มตาให้หลับเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ
หลังจากพลิกตัวไปมาจนเหนื่อย ในหัวก็ปวดตุบๆ ผมจึงลุกขึ้นนั่งนวดขมับตัวเองและมองเข็มนาฬิกาที่เดินติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก บอกเวลาห้าทุ่มครึ่ง สงสัยเมื่อตอนกลางวันผมจะนอนเยอะไปหน่อยกลางคืนจึงนอนไม่หลับ แบบนี้คงต้องพึ่งนมอุ่นสักแก้วอีกตามเคย
ออกจากห้องนอนแล้วเดินไปบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายตรงระเบียงนอกชานสักหน่อย ผมเงยดูพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่แขวนอยู่บนผืนฟ้าสีเข้ม แล้วประดับประดาด้วยดวงดาวระยิบระยับนับล้านไม่ว่ามองกี่ครั้งก็รู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่ง นี่แหละครับเสน่ห์ของบ้านสวน
สมองโล่งขึ้นแล้วก็ต้องตามด้วยนมอุ่นๆ สักแก้วรับรองหลับสบายแน่นอน ว่าแล้วก็หันหลังกลับตรงไปห้องครัวกันเลยครับ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหน แค่หันหลังมาก็ขนลุกเกลียวเลยทีเดียว
“เหี้ย!!”
มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?! ถ้าผมตกใจจนเยี่ยวราดขึ้นมาจะว่าไงเนี่ย ดีนะที่ผมไม่ใช่คนกลัวผีเลยเรียกสติกลับมาได้อย่างว่องไว
“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ขอเท้าสะเอวถามผู้ชายที่สูงเป็นเสาไฟฟ้าตรงหน้าหน่อยนะครับ ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวเองเตี้ยมากแค่ไหนและเพื่อเป็นการสร้างสมดุลแห่งความเท่าเทียม และไม่ต้องให้ผมเงยหน้าคุยจนเมื่อยคอ ผมจึงขอเว้นระยะห่างถอยไปตั้งหลักสัก 2 ก้าว ระหว่างนั้นก็แอบสำรวจฝ่ายตรงข้ามไปด้วย
สูงยาวเข่าดี ผิวขาว ใบหน้ารูปไข่ คิ้วดกดำคมเข้ม ดวงตาดำขลับคมลึกยากจะอ่านความหมาย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง สวมเสื้อยืดเนื้อดีสีขาวกับกางเกงวอร์มแบรนด์กีฬาชื่อดัง รวมๆ แล้วก็หล่อดีนะ แต่น้อยกว่าผมนิดนึง
“นี่คุณ.. ผมถามทำไมไม่ตอบ?”
“อ่อ.. ลืมไปครับว่าคุณพูดภาษาไทยไม่ได้นี่หว่า”
ถามเองตอบเองก็เป็นนะผมเนี่ย
“โกเมนนะไซ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ห๋า? อะไรนะ? แถวนี้ไม่มีต้นไทร แล้วจะมาก้มหัวให้ผมทำไม?”
อะไรของเขาว่ะเนี่ย? ผมลองมองแบบประเมินสถานการณ์ครู่นึงแล้วจึงพูดต่อ
“คุณชื่ออะไรนะ? ยูเหรอ? นอนไม่หลับรึไงคุณ?”
รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจแต่ผมอยากจะพูดภาษาไทยอะ ใครจะทำไม?
“นอนไม่หลับสินะ งั้นเอานมอุ่นๆ สักแก้วมั๊ย?.. เอาละกัน”
ถามแล้วก็ตอบให้อีกฝ่ายเรียบร้อยก่อนจะเดินนำพามาไปที่ครัว ผมรินนมใส่แก้วกระเบื้องสองแก้วแล้วยกเข้าไมโครเวฟ ระหว่างรอเวลา ผมก็หันไปสนทนากับอีกฝ่าย(?)
“พูดภาษาไทยก็ไม่ได้แล้วมาชอบคนไทยทำไมเนี่ย?”
รอดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามนิดนึง เมื่อเห็นว่ายังนิ่งผมก็พูดต่อได้ ฮ่าาา
“จะจีบคนไทยก็ต้องพูดภาษาไทยให้ได้สิคุณ”
“อ่อ.. เดี๋ยวนะ คุณชื่ออะไรนะ อิเคดะ ยู ใช่มั๊ย?”
ผมพูดชื่อถูกปะเนี่ย? แต่เห็นเจ้าตัวยังคงยืนนิ่งใบหน้าก็นิ๊งนิ่งเรียบเฉยจนดูเหมือนคนเย็นชาแสดงว่าผมพูดชื่อเขาถูกแน่นอน
“ยู ที่แปลว่า คุณ หรือ เธอ ใช่มั๊ย?”
คนตรงหน้านิ่ง ผมจึงพยักหน้าหงึกๆ ให้ตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นผมเรียก พี่คุณ พี่คุณ เหมือนเรียกพี่นิชคุณก็ได้น่ะสิ ฮ่าาา”
อย่าเพิ่งคิดว่าผมบ้านะครับ ผมแค่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไปก็เลยหาเรื่องคุยไปเรื่อย
ติ๊ก..เสียงเตือนไมโครเวฟช่วยผมไว้พอดี
“ดื่มซะสิจะได้หลับสบาย”
ผมยื่นแก้วนมที่กำลังอุ่นพอดีให้อีกฝ่าย มือใหญ่รับแก้วจากผม ทำให้บังเอิญปลายนิ้วของเราชนกัน สัมผัสเพียงแผ่วเบาแต่ทำเอาผมสะดุ้งเหมือนโดนไฟลวก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องจ้องดวงตาคู่คมแบบตรงๆ
นิสัยของผมคือเป็นคนที่ไม่ชอบคิดอะไรให้มากความ ผมไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ให้ใครมาเอาเปรียบ ผมเป็นคนตรงไปตรงมาหรือที่พ่อต้อมบอกว่าถึงตัวจะเล็กแต่ใจต้องนักเลง เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมขอพูดออกไปตรงๆ แม้จะเป็นการพูดอยู่คนเดียวโดยที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจสักนิดก็ตาม
“คุณไม่รีบใช่มั๊ย? นั่งคุยด้วยกันก่อนสิ”
นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะหันพยักเพยิดหน้าและปุ้ยปากไปที่เก้าอี้ข้างๆ กัน อีกคนก็นั่งตามอย่างว่าง่ายและถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไปเอง ผมคิดว่าผมเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าคมนั่นแว่บนึงนะ
พอเอาเข้าจริงก็แอบประหม่านิดๆ นะครับ อากาศในตอนกลางคืนของบ้านสวนเย็นสบายแต่ทว่าเหงื่อผมกลับซึมเต็มทั่วแผ่นหลัง ยิ่งเมื่อไหร่ที่ผมมองหน้าอีกฝ่ายแบบตรงๆ ลมหายใจของผมก็ยิ่งติดขัด
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่มั๊ย?”
หลังจากคำถามนี้หลุดออกจากปากผมก็แทบอยากจะตบปากตัวเองสักทีสองที แมร่มเอ้ย! เริ่มประโยคแรกได้แต๋วแตกเหมือนจีบสาวเลย มีคำถามเป็นร้อยอยู่ในใจทำไมปากมันหลุดคำถามนี้ออกมาได้ฟร๊ะ! แต่โชคดีที่คู่สนทนาไม่เข้าใจภาษาไทยผมจึงรอดตัวไม่ต้องตบปากตัวเอง
เงียบไร้ซึ่งคำตอบ เพราะคนถูกถามไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูด แต่ผมก็ยังอยากจะพูดมันออกมาทั้งหมด พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ค้างคาอยู่ในหัวใจ ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ โดยไม่คิดจะหลบสายตาตรงหน้า แล้วจู่ๆ ผมจะรู้สึกเจ็บแน่นไปทั้งอก เมื่อไหร่ที่ได้สบดวงตาคู่คมที่ลึกล้ำตรงหน้า มันทำให้ผมหายใจลำบากเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะต้องอดทนให้ถึงที่สุด
“คุณทำให้ผมหายใจไม่ออก”
ผมกำรอบแก้วนมจนเกร็งแน่น และพยายามควบคุมสีหน้าและโทนเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่มันก็ทำไม่ได้
“เมื่อตอนสาย.. ที่.. โรงเพาะเห็ด นั่นคือ.. คุณ.. ใช่มั๊ย?” เสียงของผมสั่นและกระท่อนกระแท่น
ความอุ่นจากแก้วนมที่ถืออยู่ในมือหายไปและกลับกลายเป็นความเย็นเฉียบ จนผมไม่สามารถประคองแก้วได้อีกต่อไปจึงต้องวางมันลงบนโต๊ะ พร้อมกับที่ร่างกายของผมเริ่มจะหมดแรงเอาเสียดื้อๆ เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่??
มือใหญ่จับต้นแขนของผมไว้แล้วดึงให้ร่างของผมอยู่ในวงแขนแกร่ง น่าแปลกที่ผมไม่สามารถจะต้านทานหรือขัดขืนใดๆ ได้เลย
“คุณ....”
อาจจะเป็นเพราะความเงียบที่โรยตัวอยู่ในค่ำคืน ผมจึงได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายมันเต้นเป็นจังหวะมั่นคงผสานรวมกับอ้อมแขนที่กระชับแน่น มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย และคุ้นเคยอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และมันคงนานมากจนผมไม่อาจจะจดจำเรื่องราวใดเหล่านั้นได้เลย จะมีเพียงแค่เรื่องเดียวนั่นคือ
‘ความฝัน’ ที่เป็นเหมือนฉากละครฉายซ้ำวนไปวนมาเหมือนจะตอกย้ำฝังในจิตใจ
ถ้าหากความฝันคือจุดเชื่อมโยงของเรื่องราว ณ ตอนนี้...
“คุณมาที่นี่... เพราะคุณเดือน หรือ.. เพราะผมกันแน่?” น้ำเสียงของผมสั่นเครือและกระบอกตาก็ร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุ
เพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลก็ตอนที่คนตัวโตกว่าเช็ดน้ำตาบนแก้มให้ ดวงตาของเราทั้งคู่ไม่ละออกจากกัน แม้ผมจะไม่สามารถเดาความหมายทางสายตาของอีกฝ่ายได้แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในดวงตาคู่นั้นคือเงาของผมเอง
“ทซึกิ...”
เสียงทุ้มที่แฝงได้ด้วยอำนาจและความแข็งแกร่งเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ และผมก็ไม่ต้องการแบบนี้
“คุณควรจะไปเรียนภาษาไทยเพื่อมาพูดอธิบายให้ผมเข้าใจสิ.. ฮึก”
ให้ตายเหอะ! ลูกผู้ชายอย่างผมไม่เคยอ่อนแอจนถึงขั้นร้องไห้ให้ใครเห็นได้ง่ายๆ หรอกนะ แต่ทำไมเวลานี้ผมถึงได้อ่อนแอและเจ็บปวดซะเหลือเกิน ได้โปรด ช่วยพูดอะไรออกมาให้ผมได้เข้าใจอย่าให้ผมต้องติดอยู่ในวังวนที่ผมหรือใครไม่สามารหาคำตอบได้อีกเลย ฮึก...
“อย่าร้องไห้สิ.. ทซึกิ..”
ถ้ามันทำได้จะมีลูกผู้ชายคนไหนอยากจะร้องไห้เป็นสาวน้อยแบบนี้บ้างล่ะ? ฮึก.. ฮือออ.. เฮ้ยยย!! ผมรีบปาดน้ำตาแล้วมองคนตรงหน้าอย่างตั้งใจชัดๆ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ????
“รอนานมั๊ย?”
ภาษาไทย????
ผู้ชายญี่ปุ่นที่คุณเดือนและคุณแม่บอกว่าพูดภาษาไทยไม่ได้กำลังพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงชัดถ้อยชัดคำอยู่กับผม????
ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติม ใบหน้าคมเข้มที่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งดุจนักรบเผยรอยยิ้มละมุนชนิดที่ทำเอาโลกของผมหมุนคว้างด้วยความเคลิ้มไหว และเมื่อริมฝีปากบางค่อยๆ โน้มลงมาใกล้.. ใกล้.. และใกล้จนแตะริมฝีปากของผม เมื่อนั้นโลกทั้งใบของผมก็หยุดหมุน สรรพสิ่งรอบกายหยุดการเคลื่อนไหว ความปั่นป่วนรวดร้าวที่เป็นดั่งระเบิดเวลาที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจมาเนิ่นนานแสนนานถูกทำลายลงอย่างสิ้นซากและแสนง่ายดาย
ทว่า.. นี่มันคือจุดจบหรือจุดเริ่มต้นกันล่ะ?
.
.
.
.
TBC...

มาแล้วๆๆๆ ตอนที่ 3 มาแล้วค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้คนอ่านรอกันตลอดเลย

สงสัยนิยายเรื่องนี้จะมีอาถรรพ์ค่ะ แต่งจบ 1 ตอน รินไม่สบายไป 1 อาทิตย์ตลอดเลย

ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบและติดตามเรื่องนี้นะคะ อย่าเพิ่งทิ้งน้องจันทร์ไปไหนนะคะ
