มาแบบเต็มๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 18“ทิว วันนี้มาเร็วนี่”ปกติมันมาห้าโมงเย็นหรือไม่ก็ห้าโมงกว่า แต่ตอนนี้เพิ่งสี่โมงกว่าเอง
“ทำไม ทิวมาเร็วไปหรือไง”
“ก็ปกติไม่เคยมาเวลานี้นี่”
“พายก็ไม่เคยเหมือนกัน”ทิวพูดจบก็เดินหันหลังกลับเข้าร้านไปเลย ผมเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรไปบอกทิวว่าผมมาถึงร้านแล้ว สงสัยมันต้องไปรับที่หอแล้วไม่เจอแน่ๆ....แต่ถ้าไปรับผมมันก็ต้องโทรหาผมสิ.....งงครับ ไม่ชอบอะไรค้างๆ คาๆ
“พี่นัทเดี๋ยวพายมานะครับ แล้วจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ย พายจะได้ไปเคลียร์เงินเลย”
“ไม่แล้วครับ พี่ว่าจะกลับพอดี ส่วนค่าอาหารนี่มาเก็บที่พี่นะ พายไม่ต้องเลี้ยงหรอก”
“ทำไมล่ะครับ พายบอกจะเลี้ยงก็เลี้ยงสิ”
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน มื้อนี้ให้พี่เลี้ยงดีกว่า”
“เอางั้นเหรอครับ”ผมถามย้ำอีกครั้ง พี่นัทก็พยักหน้าให้ ตามใจครับ ผมยังไงก็ได้
หลังจากเดินไปปริ๊นท์ใบเสร็จให้พนักงานไปเก็บเงิน ผมก็เดินไปหาทิวในห้อง พอเปิดประตูเข้าก็งงหนักกว่าเก่าอีกครับ ทั้งวงอยู่กับเกือบครบ ขาดแค่โบ้คนเดียวเอง
“ทำไมวันนี้มากันเร็วจัง”ผมเดินไปนั่งข้างๆ ทิว เพราะมันเป็นที่เดียวที่ว่างอยู่ ผมพยายามก้มหน้ามากๆ เพื่อไม่ให้เห็นรอยช้ำที่แก้ม ถึงจะเป็นรอยไม่มาก แต่ถ้าสังเกตดีๆ ล่ะก็ต้องรู้แน่ว่าเป็นรอยมือ
“เมื่อคืนค้างห้องศักดิ์มันน่ะ หิวเลยรีบออกมา”จิ๋วเป็นคนที่ตอบออกมา
“ทิวเป็นไร”อดถามไม่ได้ครับ ไม่รู้เป็นอะไร หน้าบึ้งมากๆ แถมยังสูบบุหรี่โดยไม่สนใจว่าผมนั่งมองอยู่ ปกติมันไม่เคยทำอย่างนี้เลยนะ
“สนใจด้วยเหรอ”
“ทิว...พายถามดีๆ นะ”
“กินข้าวกับใคร”
“เพื่อน”
“เพื่อนไหน ทำไมทิวไม่รู้จัก ไอ้คนนี้เมื่อวานมันก็มาไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ มาพร้อมกับนุไง”
“แล้วพายมาพร้อมมันได้ไง”ทิวมันรู้ได้ไงเนี่ย ต้องมีคนเห็นผมแล้วโทรไปบอกมันแน่ๆ
“.....บังเอิญเจอกัน”บังเอิญจริงๆ แต่ไม่ได้บอกว่าเจอกันที่ไหนแค่นั้น
“จริงๆ น่ะเหรอ”น้ำเสียงยียวนพอๆ กับสีหน้ามันตอนนี้
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความอย่างที่พูด เห็นคุยกันกระหนุงกระหนิง ไม่รู้จะเอาไอ้แซนไปนั่งเป็นก้างทำไม”
“.....ประสาท”เบื่อครับ ไม่อยากคุยกับมัน ถึงคำพูดจะไม่ได้รุนแรง แต่ความหมายก็ไม่ต่างจากที่ไอ้บ้านั่นเคยพูดใส่ผม ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องมาทนฟังคำพวกนี้ด้วย หนีจากปากอีกคน มาเจออีกคน
“โอ้ย!!”พอลุกเดินหนีทิวก็บีบข้อมือผมไว้แรงมากเลยครับ
“พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
“ทิวนั่นแหล่ะที่พูดไม่รู้เรื่อง เรื่องอะไรมาหาเรื่องพายแบบนี้”ผมพยายามบิดข้อมือตัวเองออก ทิวไม่เคยทำผมเจ็บแบบนี้เลย เล่นแรงๆ ก็ไม่เคย แต่วันนี้มันเป็นอะไร
“ทิวเบาๆ ก็ได้มึง พายมันเจ็บนะ”จิ๋วพยายามช่วยห้าม แต่คงไม่ได้ผล เพราะแรงที่ข้อมือไม่ได้ลดลงเลย
“อย่าสอด!”
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูก่อนที่คนด้านนอกจะเปิดเข้ามา แซนมองมาที่ผมกับทิวแบบงงๆ ผมถือโอกาสที่ทิวเผลอบิดข้อมือตัวเองออกมา ทิวมองผมแบบโกรธมากๆ ไม่รู้ว่าทำไมต้องโกรธขนาดนี้ ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย
“พี่พาย พี่นัทจะกลับแล้ว”แซนพูดแล้วก็เดินออกไปเลย ผมก็เดินตามแซนออกไป ไม่อยากสนใจครับ ผมเองก็มีปัญหาเยอะอยู่แล้ว ทิวยังมาหาเรื่องผมอีก หน้าตาผมนี่มันชวนให้คนอื่นทะเลาะด้วยนักหรือไง
“พี่นัทจะกลับแล้วเหรอครับ”
“ครับ ต้องไปธุระต่อน่ะ พายก็อย่าลืมที่พี่บอกไปนะ”พี่นัทคงหมายถึงเรื่องที่บอกให้ผมไปค้างที่อื่นสักระยะ
“ครับ งั้นเดี๋ยวพายออกไปส่งที่รถ”ผมเดินนำพี่นัทไปที่ลานจอดรถ อารมณ์กำลังโมโหทิวอยู่ เดินก้มหน้าไม่สนใจแม้แต้พี่นัทที่เดินตามมา แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นล่ะครับ ร่างกายมันหยุดโดยอัตโนมัติ จากนั้นผมก็หันหลังแล้ววิ่งไม่คิดชีวิต วิ่งผ่านหน้าพี่นัทไปได้ไม่กี่ก้าว คอเสื้อด้านหลังก็ถูกกระชากแรงจนหงายหลังไปปะทะกับแผ่นอกกว้างที่วิ่งตามมา
“ช่วยดะ!!...อื้ออออ อื้อออออ”เสียงร้องขอความช่วยเหลือถูกปิดกั้นด้วยฝ่ามือที่ปิดปากผมเอาไว้
“ไอ้ตั้ม!!”เสียงพี่นัทดังขึ้นข้างหลัง ผมพยายามหันไปขอความช่วยเหลือ แต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน
“เออกูเอง เสือกไม่เข้าเรื่องนะมึง”
“มึงจะทำอะไรเขาอีก ปล่อยเขาไปเถอะ”
“เสือก!! อยู่เฉยๆ ไปเลยมึง ไม่งั้นกูจะเอาเรื่องทั้งหมดไปหมดเมียมึง”คำพูดของมันทำให้พี่นัทยืนนิ่ง
“ไอ้ตั้ม!!”พี่นัทคงช่วยอะไรผมไม่ได้ ผมพยายามอ้าปากแล้วกัดเนื้อที่ฝ่ามือมันเต็มๆ ปาก
“โอ้ย!!”มันร้องเสียงดังพร้อมกับผลักตัวผมออก เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แรงผลักของมันทำให้ผมล้มคว่ำไปบนพื้น พอจะลุกขึ้นวิ่งหนีมันก็นั่งทับลงบนหลังแล้วก็ดึงมือผมไปไขว้หลังเอาไว้ แค่นี้ก็รู้แล้วครับว่ามันจะทำอะไร แต่ก็สายเกินไป โลหะเย็นๆ ที่สัมผัสบนข้อมือทำให้รู้ว่าอิสระภาพกำลังถูกจำกัดอีกครั้ง มันดึงตัวผมให้ยืนขึ้น แค่คิดจะอ้าปากร้องก็โดนต่อยเข้าที่ท้องจนทรุด ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานผมสลบเพราะมัน ขนาดตอนนี้สติผมยังเหมือนจะหลุดลอยไปทุกที เสียงพี่นัทก็ห่างออกไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถูกจับโยนเข้ามานอนที่เบาะหลังรถแล้ว
“จะพาผมไปไหน อึ๊ก!”เจ็บปนจุกเลยครับ มันออกรถซะเร็ว แล้วอยู่ดีๆ ก็เหยีบเบรค ผมกลิ้งตกจากเบาะลงมาบนพื้นแทน สะโพกกระแทกแรงจนปวดเลยครับ ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าเจ็บตรงไหนมากกว่ากัน
“จะทำอะไร ไม่! อื้อออ”ผมหันหน้าหนีผ้าเช็ดหน้าในมือมัน ไอ้นี่มันโรคจิตชัดๆ มันพยายามบีบปากผมให้อ้าออก แรงบีบที่กรามย้ำรอยที่โดนต่อยเมื่อวานทำให้ผมต้องอ้าปากโดยไม่เต็มใจ มันยัดผ้าเช็ดหน้าเข้ามาเต็มปากแล้วก็ถอดเนคไทด์มามัดปากผมไว้อีกที
“ทีนี้ก็จะได้เงียบสักที”ผมนอนกองบนพื้นเหมือนเดิม ส่วนมันก็กลับไปประจำที่คนขับแล้วก็ขับออกไปต่อ ผมพยายามร้องตะโกนทั้งๆ ที่ถูกปิดปาก เท้าที่เป็นอิสระก็ทั้งเตะทั้งถีบเบาะและกระจกประตูรถ แต่ก็ไม่ได้รับการสนใจ ผมดิ้นและร้องจนเหนื่อยเลยตัดสินใจนอนนิ่งๆ ยังไงผมก็ไม่กล้าลุกขึ้นเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไปแบบในหนังหรอก ผมไม่รู้ว่ามันจะขับพาผมไปไหน......หรือจะพาไปห้องนั้นอีก........แล้วทิวจะรู้มั้ยว่าผมถูกจับมา......พี่ธารจะไล่ผมออกโทษฐานหนีงานหรือเปล่า ทำไมผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเอง......ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนอื่นตลอดเลย
ตลอดทางมีเสียงโทรศัพท์ดังเป็นระยะ ทั้งของผมและมัน ผม....ไม่สามารถหยิบขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงได้ ส่วนมัน...ไม่คิดจะรับ พอรถจอดสนิทผมก็ยกหัวขึ้นมองนอกกระจก แต่ก็เห็นเพียงท้องฟ้ามืดๆ เสียงประตูรถเหนือหัวไม่สามารถเรียกความสนใจได้อีก ร่างของผมถูกมันดึงออกมาแล้วก็ช้อนตัวอุ้มไว้เหมือนเดิม ผมหันหน้าออกจากอกมันเพื่อสำรวจบรรยากาศรอบตัว หมู่บ้านจัดสรร....ที่ยังสร้างไม่เสร็จ บ้านหลังใหญ่เบื้องหน้าเรียกความสนใจจากผมได้ดี ผมเคยฝันว่าสักวันจะทำงานเก็บเงินซื้อบ้านแบบนี้ให้แม่อยู่ ถ้ามีบ้านหลังใหญ่แบบนี้แม่คงมีความสุข วันๆ คงวุ่นอยู่กับการทำความสะอาด รดน้ำต้นไม้ ผมกลับมาบ้านก็มีอาหารจานโปรดให้กิน แต่คงเป็นเพียงฝันที่ยังห่างไกลความจริง
มันอุ้มผมเดินขึ้นบ้านโดยใช้แสงไฟจากโทรศัพท์เป็นเครื่องนำทาง ร่างผมถูกวางลงบนเตียงนอนในห้องแรกที่เดินขึ้นมาถึง ผมเลือกที่จะนอนหลับตาแล้วจมดิ่งอยู่กับความฝันของตัวเอง หลับตานึกถึงสิ่งดีๆ สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจเพื่อจะอยู่ต่อ...นึกถึงแม่
สัมผัสเบาๆ บนใบหน้าทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมา ใบหน้าที่ห่างกันเพียงแค่ช่วงฝ่ามือทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ผม...ไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ ไม่เข้าใจการกระทำของเขา ไม่คิดว่าอยากจะเข้าใจด้วย...แต่......สายตาที่มองตรงมา...หมายความว่าอะไร
“บ้านนี้ห่างจากถนนใหญ่หลายกิโล แล้วก็อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ หน้าหมู่บ้านมีบ้านพักของกลุ่มคนงานก่อสร้างที่เป็นคนของพี่พักอยู่.......พาย.....หนีไม่พ้นหรอก”คำพูดที่เกือบจะไร้แก่นสาร ยกเว้นเพียงประโยคปิดท้ายซึ่งเป็นใจความสำคัญ ผมมองหน้าเขาแบบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาจับตัวผมตะแคงด้านข้างแล้วไขกุญแจมือออก ปมเนคไทด์ถูกคลายออกในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมดึงผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มน้ำลายออกมาโยนทิ้งข้างๆ เตียงแล้วนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ผมออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนไปกระแทกกำแพงห้องจนไม่เหลือสภาพเดิม เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังจากคนด้านบน ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ พลิกตัวไปนอนด้านหลัง ผมหลับตาลงเพื่อสงบความรู้สึกตัวเอง....ความกลัว...หวาดระแวง....เจ็บปวด.....ทุกๆ อย่าง ผมได้รับมาจากเขาทั้งหมด.....มันมากพอที่จะทำให้ผม.....เป็นบ้า
ผมลุกขึ้นนั่งช้าๆ หลังจากที่คิดว่ามันคงหลับไปแล้ว ห้องนี้มีเพียงเตียงนอนเปล่าๆ ที่ยังหุ้มพลาสติกอยู่ ไม่มีหมอน ผ้าห่ม หรือแม้แต่ผ้าปูเตียง ความเจ็บที่ช่วงท้องยังคงเหลืออยู่บ้าง ผมทรงตัวให้มั่นคงแล้วเดินเปิดประตูห้องนอนออกไป ชั้นบนมีประตูห้องอยู่อีกสองห้อง แต่ผมไม่ได้เปิดเข้าไปดู ผมค่อยๆ เดินลงมาที่ชั้นล่าง ความมืดทำให้ก้าวพลาดและเกือบกลิ้งตกลงมาหลายครั้ง ทางขวามือของบันไดขั้นสุดท้ายมีสวิทซ์ไฟอยู่สามปุ่ม ผมกดฝ่ามือลงไปเพื่อเปิดทุกสวิทซ์พร้อมๆ กัน แสงไฟในบ้านสว่างพรึ่บจนผมต้องหลับตาลงเพื่อปรับตัว
บริเวณตรงหน้าผมไม่มีอะไรเลย...ไม่มีอะไรอยู่เลยจริงๆ สภาพบ้านสะอาดหมดจดเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ผมเดินไปเปิดไฟจนเกือบจะทั่วทั้งบ้าน ห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดบันไดมีโซฟาตัวยาวหนึ่งตัว ผมเดินไปนั่งมองบรรยากาศรอบๆ....ไม่มีเสียงอะไรเลย.....มันสงบ...เหมือนกับผมที่กำลังสงบ....จนตัวเองยังประหลาดใจ.....ผมเอนตัวลงบนเบาะ ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง....เหนื่อยเหลือเกิน....เหนื่อย...เกินกว่าจะสงสัย....เกินกว่าจะรู้สึก....และทำอะไรอีกแล้ว
ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ และโยกตามจังหวะก้าวเดินของใครสักคน เมื่อลืมตามองก็เป็นคนที่ไม่อยากเห็น ผมปิดตาลงช้าๆ ไม่ดิ้น ไม่ขัดขืน เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แผ่นหลังสัมผัสกับเบาะนุ่มของเตียงนอน ยังไม่ทันจะขยับตัวหนีก็ถูกดึงเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว ผมพยายามที่จะไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน ความกลัวและระแวงทำให้ผมเกร็งตัวอัตโนมัติ กลิ่นคาวเลือดที่ปลายจมูกทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามอง เลือดสีแดงซึมออกมาจนเห็นเป็นรอยกว้าง คอเสื้อที่เปิดทำให้เห็นรอยข่วนและรอยฟัน....ความทรงจำที่ขาดหายไป...ย้อนกลับมาจนเกือบ...สมบูรณ์
“......แผลเปิด”ผมพูดออกไปทั้งที่ไม่แน่ใจว่า...จะสื่ออะไร คำพูดที่เหมือนคำบอกเล่า ไม่แสดงถึงความห่วงใยหรือเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้แน่ใจว่ารอยแผลเหล่านี้...เป็นฝีมือผม....แต่....เขาสมควรได้รับมัน
“รู้แล้ว”เสียงที่ตอบกลับมาราบเรียบ ไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดของตนเอง พอๆ กับไม่สนใจความเจ็บปวดของคนอี่น....มันเป็นคนแบบนี้เองสินะ
“.......”
“ถ้าพากลับไปคอนโดฯ.....จะหนีอีกมั้ย”คำถามที่ค่อนข้างไร้สาระถูกเอ่ยออกมา และผมตอบไปอย่างใจคิด
“หนี”
“งั้นก็ไม่ต้องกลับ”มันเองก็ตอบอย่างใจคิดเช่นกันสินะ
“ถึงอยู่ที่นี่ก็จะหนี”
“.....นอนสักงีบก่อนแล้วค่อยหนีใหม่”
“ปล่อย”ผมดันแขนเพื่อให้ระยะห่างของมันและผมเพิ่มขึ้น แต่แขนที่โอบกอดผมไว้ก็ไม่ยอมง่ายๆ ความใกล้ชิดที่ไม่น่าเกิดขึ้น บทสนทนาที่ไม่ควรมี ร่างกายที่ไม่ควรสัมผัสกันอีก....ทุกสิ่งที่ไม่ควรเกิด....กำลัง....เกิดขึ้น
“ทำไม”
“ไม่ชอบ”
“อืม..รู้”
“...ผมรังเกียจคุณ”
“รู้แล้ว”
“ถ้าคุณเผลอผมจะแทงคุณอีก”
“ตามใจ”
“.....ผมเกลียดคุณ”
“แล้วไง”
------------------------------------------------------------------------------------------------
ป.ล. รอบนี้ก็ไม่ค้าง เอาไปเต็ม
