
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 12จิ๋วไล่ทุกคนให้ออกไปรออยู่ข้างนอก แล้วนั่งลูบหลังผมเบาๆ คำปลอบโยนดังซ้ำๆ อยู่ข้างหู ผมร้องไห้ด้วยความกลัวและสับสนจนเหนื่อย พอเริ่มหายเกร็งจิ๋วก็ล้มตัวลงนอนข้างหลังแล้วจับไหล่ผมให้หันหน้าไปหา
“.....ดีขี้นมั้ย”จิ๋วเช็ดน้ำตาเบาๆ พร้อมส่งยิ้มมาให้ ผมพยักหน้าตอบแล้วดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาน้ำมูกออกจนหมด
“หึหึ...คอเสื้อย้วยหมดพอดี”จิ๋วหัวเราะไปก็ลูบมือผมไปด้วย ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่จิ๋วดูเด็กๆ แต่...ผมกับรู้สึกอบอุ่น....ถ้าผมมีพี่ชาย ผมอาจรู้สึกแบบนี้มั้ง
“...อืม....ขอบใจ”
“พาย.....จิ๋วถามตรงๆ นะ.....พายเป็นอย่างนี้นานหรือยัง”แววตาที่มองตรงทำให้ต้องหันหนี คำถามที่เหมือนรู้คำตอบทำให้ผมกลัวที่จะพูดความจริง
“....ปะ...เป็นอะไร”
“ทำไมจิ๋วจะดูไม่ออกว่าพายกลัวอะไร เจออะไรมา.....จิ๋วเองก็เคยโดนอย่างพายเหมือนกัน”
“จิ๋ว.....เอ่อ...”
“ก็ดูรูปร่างหน้าตาจิ๋วสิ มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิด ไอ้พวกชอบลองที่โรงเรียนเก่าก็มีเยอะ ไม่แปลกหรอกที่จิ๋วจะกลายเป็นเหยื่อพวกมันน่ะ”
“.......จิ๋ว”เสียงผมครางเครือด้วยความสงสาร พลิกมือกุมมือจิ๋วไว้หลวมๆ จากที่ไม่ไว้ใจที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จิ๋วพูดแบบนี้ ผมก็เลยกล้าพูดมากขึ้น ผมเล่าเรื่องที่ผมเจอมาให้จิ๋วฟังโดยย่อ มันทั้งตกใจและสงสาร จิ๋วบอกว่าตอนเรียนมัธยมปลายไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัด เขาถูกพวกเด็กเกเรในโรงเรียนดักฉุดไปรุมในห้องน้ำ จิ๋วบอกว่าเจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจมากกว่า พวกมันเวียนกันสนองตัณหาบนร่างกายจิ๋วไม่พอ มันยังจับจิ๋วขังไว้ในห้องน้ำ จิ๋วจัดการล้างคราบต่างๆ แล้วนั่งสะสมความแค้นรอเวลา จิ๋วนั่งอยู่ในห้องน้ำเก่าๆ ร่วมชั่วโมงถึงมีคนเดินผ่านมา จิ๋วรีบไปเปลี่ยนชุดท่ามกลางความสงสัยของเพื่อน ร่างกายที่บอบช้ำเกินกว่าจะปกปิดทำให้หลายคนเดินเข้ามาสอบถาม จิ๋วเดินไปบริเวณประกอบอาหารของหมู่แล้วหยิบมีดทำครัวไปฟันไอ้หัวโจกคนนั้นทันที โชคดีที่เพื่อนๆ ห้ามจิ๋วทัน มันก็เลยไม่ถึงตาย ผู้ปกครองฝ่ายนั้นไม่กล้าเอาเรื่อง เพราะร่างกายจิ๋วยืนยันได้ว่าถูกทำร้ายอะไรมาบ้าง สุดท้ายพวกนั้นทั้งกลุ่มก็ถูกไล่ออกและดำเนินคดี จิ๋วบอกว่าตอนนั้นไม่สนว่าใครจะคิดยังไง แต่ถ้าจิ๋วไม่ตอบโต้ เรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ
“จิ๋วเข้มแข็งจัง”
“เปล่าหรอกพาย....จิ๋วแค่รักตัวเอง ช่วงนั้นพ่อกับแม่เพิ่งจะแยกทางกัน ถึงจิ๋วจะอยู่กับแม่ แต่เขาก็ทำงานหนัก ไม่ค่อยอยู่บ้าน พอรู้สึกว่าถูกเมินมากๆ จิ๋วก็เลยไม่แคร์คนอื่นบ้าง สนใจแต่ตัวเองอย่างเดียว”ที่จิ๋วพูดมาผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ถึงผมจะขาดพ่อ แต่ตอนที่เขาอยู่ ผมก็รักเขามาก ครอบครัวอบอุ่น แม้ตอนนี้จะเหลือแม่คนเดียวแต่ก็ยังมีความสุขอยู่
“.....จิ๋วยังมีเพื่อนๆ...แล้วก็พายอีกคนนะ”ผมไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้จะปลอบจิ๋วได้มั้ย แต่คิดว่าคงได้....เพราะจิ๋วยิ้มและเลื่อนตัวเข้ามากอดผม ในขณะที่ผมเองก็กอดตอบ....ความรู้สึกของเราสี่อถึงกัน.....ความเจ็บปวดที่มีเหมือนกัน....เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา....ผมไม่สามารถพูดได้ว่า...ดีใจ...ที่จิ๋วเข้าใจผม
“เอ่อ....พาย...เป็นไงบ้าง”เสียงทุ้มเอ่ยถามเบาๆ จากหน้าประตู ผมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมๆ กับจิ๋ว คนที่ถามยืนอยู่นอกห้องและเปิดประตูเอาไว้เหมือนไม่กล้าเข้ามา ผมกับจิ๋วหันมองหน้ากันและหัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าๆๆ ทำอะไรวะทิว หน้าประตูมียันต์รึไงมึงเข้าไม่ได้น่ะ”จิ๋วลุกขึ้นนั่งและดึงให้ผมลุกตาม เห็นทิวหงอทีไรอดขำไม่ได้ทุกที
“อ้าว...กูไม่รู้นี่หว่า เผื่อมึงไล่กูออกไปอีกล่ะ”
“เชี่ยนี่ อุตส่าห์ช่วยเด็กมึงแล้วยังปากหมาอีกนะ เดี๋ยวกูไม่ช่วยเลย”จิ๋วพูดจบ ผมถึงกับหยุดหัวเราะ....ผม...ไปเป็นเด็กทิวตั้งแต่เมื่อไหร่...มันหมายความอย่างที่ผมเข้าใจหรือเปล่า...หรือว่าไม่มีอะไรแค่พูดแซวเฉยๆ
“.....พาย...เป็นไงบ้าง...ทิวขอโทษนะ”
“อะ...อืม...ไม่เป็นไรหรอก พายตกใจมากไปหน่อย ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวายกัน”ผมเอ่ยขอโทษทิวและคนอื่นที่ยืนอยู่ด้านหลังมันด้วย ท่าทางจะสร่างเมากันหมดเลย
“......พาย....เอ่อ...นอนไปก่อนนะ เดี๋ยวตื่นมาแล้วทิวพากลับห้อง”ทิวพูดพร้อมกวักมือเรียกจิ๋วให้ออกไป ผมเองก็ร้องไห้จนเหนื่อย ตอนนี้ไม่อยากคิด ไม่อยากพูดอะไรเลย ขอนอนก่อนแล้วกัน
ผมตื่นมาตอนสาย พวกข้างนอกนอนกันเกลื่อนพื้นเลยครับ รู้สึกเกรงใจเจ้าของห้องเหมือนกันนะเนี่ย ผมไม่แน่ใจว่าพวกมันนอนกันตอนไหน ไม่กล้าปลุกก็เลยเดินลงมาหาซื้อกับข้าวไปไว้ให้กินกัน แถวหอมันมีร้านอาหารตามสั่งแค่ร้านเดียว ผมก็เลยสั่งกับข้าวห้าอย่าง แล้วก็ข้าวเปล่าอีกหกสิบบาท ไม่รู้จะพอกินมั้ย แต่ละคนกินจุมากครับ
เดินกลับมาถึงห้อง ทุกคนตื่นกันหมดแล้วครับ พอทิวเห็นผมก็ถามใหญ่เลยว่าไปไหนมา นึกว่าผมหนีกลับห้องไปแล้ว คนอื่นที่อยู่ในห้องอมยิ้มส่ายหัวกันถ้วนหน้า ขนาดผมเองยังขำในความวิตกกังวลของมันเลย
กว่าจะกลับมาถึงห้องได้ก็บ่ายแล้ว ทิวทำท่าทางเหมือนอยากถาม แต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยนั่งติวหนังสือกันต่อ แต่ผมรู้สึกว่าทิวพยายามรักษาระยะห่าง ปกติทิวชอบที่จะคอยคลอเคลียใกล้ๆ แต่วันนี้ยังไม่โดนตัวผมเลยครับ นั่งๆ ติวกัน ผมชะโงกหน้าไปถามใกล้ๆ มันก็ขยับหนี พอแกล้งแย่งปากกาในมือ มันก็ดูเกร็งๆ รู้สึกแปลกๆ ครับ
“ทิวเป็นอะไร ทำหน้าแปลกๆ”ผมเองที่เป็นฝ่ายทนบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ไม่ไหว จนต้องเอ่ยถามมันก่อน
“...ไม่รู้สิพาย...ทิว....ขอโทษนะ..เรื่องเมื่อคืนน่ะ ทิวไม่คิดว่าพายจะกลัวขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไร พายรู้ว่าทิวไม่ได้ตั้งใจ”
“....เอ่อ....อืม....พายมีอะไรอยากเล่าให้ทิวฟังรึเปล่า...ทิวไม่เคยเห็นพายกลัวแบบนั้นมาก่อนเลย มีอะไรบอกทิวได้นะ”
“..........”บางทีผมควรจะเล่าให้ทิวฟังตั้งแต่แรก คงเพราะว่าเราสนิทกันผมเลยไม่ค่อยกล้าพูด ทั้งๆ ที่มันสมควรรู้
“พาย”ทิวเห็นผมเงียบก็เลยเรียกอีกครั้งเพื่อให้ผมตอบคำถาม
“..........พายโดนข่มขืน”ผมกลั้นใจพูดออกไป เหมือนเสียงบรรยากาศรอบตัวหายไป ได้แม้กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตัวเอง ผมไม่กล้าเงยหน้ามองทิว ไม่รู้ว่าทิวจะรังเกียจผมมั้ย คนที่ทิวมองว่าสดใส แสนดี....ผม...ไม่อยากทำลายภาพพจน์ในใจของทิวเลย....เพราะผมคิวว่าเริ่มรู้แล้วไง...รู้ว่าทิวรู้สึกอย่างไรกับผม...ผมถึงไม่กล้าจะทำร้ายเขา ผมเองก็อยากจะดูบริสุทธิ์สดใสในใจของทิวเหมือนกัน...ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าทำไม....แต่....ไม่อยากที่จะต้องสูญเสียที่ว่างในใจของทิวไปเลย
“........เมื่อไหร่”ทิวเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยถาม สีหน้าผิดหวัง เสียใจ และโกรธแค้น ทำให้ใจผมกระตุกวูบ....ผม...กลัวทิวรังเกียจจริงๆ นะ
“....วันที่พายหายไปไง.....ทิว...พายไม่สนนะว่าทิวจะรู้สึกกับพายเหมือนเดิมมั้ย จะรังเกียจพายหรือเปล่า”ผมพูดจบทิวก็คว้าตัวผมไปกอดแน่นเลย อ้อมกอดครั้งนี้มันไม่ใช่การหยอกล้อเหมือนทุกครั้ง ผมไม่กลัวหรือตกใจเลย กลับรู้สึกดีใจที่ทิวไม่รังเกียจผม ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลตั้งแต่ตอนไหน อ้อมแขนที่กอดกระชับแน่นจนเจ็บไม่ทำให้อึดอัด แต่กลับรู้สึกสบายและอบอุ่น
“.....ขอบคุณ”การกระทำของทิวยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเราได้ดี....ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมใช่มั้ย
“ทิวขอโทษนะพาย.....ขอโทษที่ดูแลพายไม่ดี ขอโทษ.....ขอโทษ......ขอโทษ.......”ทิวพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ผม...ไม่อยากคิดแล้วว่าทิวรู้สึกยังไงกับผม....หากมันอบอุ่นขนาดนี้....จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ
หลังจากที่ได้บอกทิวไป ผมรู้สึกโล่งใจมากเลยครับ ทิวเองก็ไม่ถามรายละเอียดให้ผมอึดอัด ถึงถามผมเองก็ยังไม่กล้าเล่าด้วย ไม่อยากนึกถึงครับ
“เป็นไง ทำข้อสอบได้มั้ย”เดินออกมาจากห้องสอบ ทิวก็ยืนรออยู่แล้วครับ หลังจากวันนั้นทิวเอาใจใส่ผมมากขึ้น คอยไปรับไปส่งไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันก็จะโทรหาตลอด เรียกได้ว่าเป็นเงาตามตัวเลยล่ะครับ
“ก็พอได้นะ...เฮ้ออออ สอบเสร็จสักที อยากกลับไปนอนจัง”กว่าจะทำข้อสอบเสร็จ ตาแทบปิดเลยครับ ผมน่ะหัวช้า อ่านหนังสือก็ต้องอ่านหลายรอบกว่าจะเข้าใจ ไม่เหมือนทิว มันอ่านรอบเดียวก็เข้าใจ เวลานอนเลยเยอะกว่าผม เยอะขนาดที่ว่ามีเวลานั่งเล่นเกมส์เชียวล่ะ
“งั้นกลับไปนอนที่ห้องกันเถอะ”
“วันนี้จะกลับหอนะ พรุ่งนี้ค่อยเจอกันที่ร้าน”ช่วงที่ผ่านมาถึงจะสอบ แต่งานก็ยังเป็นงานครับ เหนื่อยดีแท้
“จะกลับทำไมล่ะ เสื้อผ้าพายยังอยู่ห้องทิวอยู่เลย จะไม่กลับไปเอาเหรอ”
“ไว้พรุ่งนี้ทิวเอาไปให้ที่ร้านด้วยแล้วกัน พรุ่งนี้วันเกิดนุน่ะ พายกะว่าวันนี้จะชวนนุกินข้าวด้วยกัน”ก่อนวันเกิดนุทุกปีผมจะเลี้ยงข้าวนุประจำ เลือกของขวัญให้ใครไม่เป็นครับ พาไปกินข้าวน่ะแหล่ะง่ายสุด
“ก็ทำไมไม่เลี้ยงพรุ่งนี้ล่ะ พาไปร้านก็ได้”
“พรุ่งนี้เขาอาจจะไปฉลองกับคนอื่นก็ได้ พายโทรไปบอกไว้แล้วด้วย”ผมกลัวนุไม่อยู่เลยโทรไปนัดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ทิวขับรถมาส่งผมที่หอ มันก็อยากจะไปด้วย แต่คงเพลียเหมือนกัน ต่างคนต่างนอนเอาแรงดีกว่า ไว้ตื่นมาเย็นๆ ค่อยไปเรียกนุที่ห้อง
หลังจากนอนไปได้สามสี่ชั่วโมง พอตื่นมาผมกดโทรศัพท์ในห้องต่อไปห้องนุ บอกว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะไปหาที่ห้อง ให้เตรียมตัวได้ คราวนี้จะพาไปเลี้ยงสุกี้ครับ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องสักพักประตูก็เปิด คนที่เปิดไม่ใช่เจ้าของห้อง ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกกลัวคนๆ นี้ ทั้งท่าทีการพูด สายตาที่จ้องมอง และที่สำคัญ....น้ำเสียง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

มิมีไรเอื้อนเอ่ย