ตำราบทที่ 6
'You have a secret, But i don' t know'
คุณมีความลับแต่ผมไม่รู้
ในช่วงนี้ฟ้าฝนดูจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ในการออกไปเที่ยวเตร่เดินตลาดนัดกลางแจ้งเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนว่าจะมีพายุเข้าติดต่อกันถึงหนึ่งอาทิตย์ วันหยุดที่แสนน่าเบื่อเลยเต็มไปด้วยขนมนมเนยและการดูหนังฆ่าเวลารอจรกว่าฝนจะหยุดตกแล้วออกไปหาอะไรใส่ท้องกัน จริงๆ จะพึ่งมาม่าในตู้ก็ได้แต่เกิดอินดี้อยากกินปิ้งอย่างสไตล์เกาหลีกันขึ้นมา
"ไอ้อุ่น เอาตีนออกไปจะโดนหัวกูแล้วนะ"
ผมบ่นเมื่อเห็นคนที่นั่งขัดสมาธิบนโซฟาขยับตัวเข้ามาใกล้กัน อุตส่าห์เลือกนั่งที่พื้นระหว่างไอ้อุ่นกับเซนแล้วเชียว ที่ไม่ขึ้นไปร่วมแออัดเพราะว่ายังติดพันกับงานใน Mac Book ด้วย
"ไม่โดนหรอกน่า แค่ปลายนิ้วโป้งสะกิดผมมึงได้เอง"
ไอ้อุ่นพูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมต้องหันขวับขึ้นไปมองหน้าอย่างเหลืออด มีอย่างที่ไหนรู้ว่าเท้าจะโดนหัวเพื่อนยังนั่งลอยหน้าลอยตาไม่สนใจกันอยู่อีก นี่หัวคนนะไม่ใช่พรมเช็ดเท้า!
"ไอ้สกปรก ถอยไปเลยนะ ไม่งั้นกูจะเอาโกโก้ราดเป้ามึง"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแก้วโกโก้ที่ยังมีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่ ไม่อยากจะอวดว่าเซนเพิ่งไปชงมาให้กันล่ะ ยังไม่ได้ชิมเลย... จะว่าไปก็เสียดายแต่โมโหไอ้อุ่นมากกว่า
"หูย... กล้าเทเหรอวะ เซนอุตส่าห์ชงให้กินนะมึง ร้อยวันพันปีคุณชายเขาจะยอมบริการใครสักคน"
ไอ้อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน แต่เซนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากความนิ่งเงียบจนน่าใจหาย ผมหันตามไปก็พบว่าเจ้าตัวเข้าสู่นิทราทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่านั่งหลับโดยไม่สัปหงกได้ยังไง ถ้าเป็นผมคงหัวทิ่มลงจากโซฟาแล้ว
"โห... หลับง่ายฉิบ เมื่อกี้ยังบ่นกูทำงานผิดอยู่เลย"
ผมบ่นพึมพำเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะปลุกคนที่นั่งหลับ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่เมื่อยบ้างหรือไงเลยหันไปขอความคิดเห็นจากไอ้อุ่น
"มึง... เซนจะเมื่อยปะวะ เราควรจัดท่าให้นอนดีๆ ไหม"
"อือ มึงจัดให้เซนนอนบนโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกูนั่งพื้นกับมึงเอง"
อุ่นบอกจบก็ขยับมานั่งลงข้างๆ กันที่พื้นแทบจะทันที จะช่วยกันหน่อยก็ไม่ได้ ขืนพลาดปล่อยตัวเซนลงบนโซฟาแรงผมไม่โดนฆ่าอยู่คนเดียวเหรอวะ แต่ก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่รบกวนใจกันมากกว่านั้นคือตลอดเวลาที่ผ่านมาอุ่นไม่เคยใช้คำหยายกับเซนเลยสักครั้ง ง่ายๆ ก็คือไม่เคยขึ้นมึงขึ้นกู นับว่าแปลกอยู่มากแต่ไม่เคยถามออกไปเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องปกติของเขาสองคนก็ได้
ผมจัดการลุกขึ้นจากพื้นแล้วจับไหล่เซนเพื่อดันให้นอนราบลงบนโซฟา แต่พอจะถึงที่หมายเอวสอบก็โดนรั้งให้ลงไปนอนทาบทับอยู่บนตัวเขาซะอย่างนั้น อยากจะดิ้นหนีแต่ความตกใจทำให้ร่างกายแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ที่น่าแปลกคือไอ้อุ่นไม่เอ่ยแซวสักคำ ปิดปากเงียบจนผิดปกติเลยก็ว่าได้ไม่ใช่ว่าหลับคอพับคออ่อนไปอีกคนนะ
"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
ผมถามเสียงอู้อี้กับอกของเขาเพราะหน้าแนบอยู่ตรงตำแหน่งนั้นอย่างพอดิบพอดี กลิ่นกายอ่อนๆ ชวนเคลิ้มจนเผลอหลับตาลงเพื่อให้ประสาทสัมผัสทำงานได้ดีกว่าเดิม ตั้งแต่วันนั้นที่ผมสารภาพความรู้สึกกับเซนไป ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ แต่มันไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนที่แล้วๆ มา ออกจะพอใจด้วยซ้ำ แต่ก็แอบหวังว่าเขาจะตอบความรู้สึกที่มีกลับมาบ้างหรือบอกปฏิเสธก็ยังดี
"ใครตื่น กูไม่ได้หลับ"
เสียงราบเรียบตอบไขความกระจ่างจนผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ อ้อมแขนแกร่งกอดกระชับกันมากขึ้นรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นเช่นกัน ไม่อยากอยู่ในท่านี้นานๆ เลยว่ะ แต่จะให้ดิ้นไปมาก็กลัวว่าอะไรต่อมิอะไรจะตื่นขึ้น
"อ่าว กูหน้าแตกอะดิแบบนี้"
ผมบ่นอีกครั้งก่อนจะหุบปากฉับเมื่อรับรู้ถึงแรงกดกลางกระหม่อม ดวงตากลมปิดแน่นและย่นคออย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนใต้ร่าง ทำไมชอบเล่นอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลยวะ ยิ่งสารภาพออกไปยิ่งโดนปั่นหัวมากยิ่งขึ้น แต่แปลกใจตัวเองที่ไม่สามารถหนีเรื่องบ้าๆ นี่ไปได้เลยสักครั้ง เคยคิดจะหนีไปอยู่กับไอ้อุ่นหลังจากสารภาพความรู้สึกไปแล้วสักพักแต่กลับทำไม่ได้เมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องอยู่ห่างจากเซน ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ะ
"อยากปากแตกแทนไหม"
เขาพูดจบก็รั้งผมตรงท้ายทอยเบาๆ เป็นสัญญาณให้ผมผงกหัวขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลานั่นในระยะประชิด ดวงตาสีเทาฉายแววทะเล้นอย่างไม่ปิดบัง และนั่นก็สามมารถเขย่าหัวใจคนมองได้อย่างง่ายดาย
"ปากแตกอะไรวะ"
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เซนหมายถึงคืออะไร แต่ยังทำมึนถามไปเพราะจะฉวยโอกาสหลบสายตา แต่สุดท้ายกลับโดนนิ้วเรียวจะประคองใต้คางเอาไว้จนไม่กล้าขยับไปไหน เกลียดการรู้ทันจริงๆ ให้ตายสิ
"ถ้าไม่รู้ เดี๋ยวสาธิตให้ดูดีปะ"
แววตาเจ้าเล่ห์นั่นพร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ทำให้ผมส่ายหน้าพรืดแล้วรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันทีโดยไม่สนว่าตัวเองจะถูกรั้งเอวอยู่หรือเปล่า ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าปากผมประกบเข้ากับปากของเซนโดยไม่ต้องใจเพราะความสะเพร่าของตัวเองที่ไปไม่พ้นอ้อมแขนของคนใต้ร่าง ดวงตากลมเบิกค้างพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นแต่กลับโดนมือเรียวกดท้ายทอยลงให้แนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากแนบชิดจนไร้ช่องว่างให้อากาศผ่านความอุ่นร้อนเริ่มทวีคูณเมื่อปลายลิ้นเปียกชื้นไล่เลียอย่างอ้อยอิ่งไปตามกลีบปากนุ่ม ครั้นจะเม้มปากลงกั้นการแทรกแซงกลับโดนปลายลิ้นดุนดันเข้ามาจนได้ ผมครางอื้อเมื่อถูกไล่ต้อนอย่างหนักจนหัวสมองขาวโพลน ลืมไปแล้วว่าไอ้เพื่อนทรยศอย่างอุ่นยังอยู่ด้วยกันอีกหรือเปล่า
"หวาน"
คำๆ เดียวหลุดออกจากปากคนใต้ร่างเมื่อริมฝีปากผละออกจากกัน ผมได้แต่หอบหายใจแล้วพยายามเบนสายตาหนีจากเขา ไม่มีเรี่ยวแรงจะดันตัวให้ลุกขึ้นด้วยซ้ำ อยากจะบ้าตาย เขินจนตัวแทบแตกอยู่แล้ว ไอ้อุ่นไม่คิดจะช่วยกันบ้างหรือยังไงนะ
"อะ อีกแล้วนะมึง ถ้าไม่คิดอะไรด้วยอย่าทำแบบนี้ได้ไหม"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักพยายามบอกทุกอย่างที่คิดให้เขาฟัง ไม่ใช่ว่าอึดอัดอะไรกับการถูกหยอกไปวันๆ แต่กลัวว่าตัวเองจะถลำลึกอยู่ฝ่ายเดียวจนไปไหนไม่ได้... แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้คงเป็นไปแล้วเกือบครึ่งทางเลยล่ะมั้ง
"อาจจะคิดหรืออาจจะไม่คิด"
คำตอบแบบนี้ออกจากปากเซนมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนประสาทกันหรือไม่รู้ว่าตัวเองคิดยังไงกันแน่ ผมดันตัวลุกขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่เดิม และในตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าเพื่อนสนิทอีกคนหายตัวไปแล้ว ท่ามกลางฝนตกหนักเนี่ยนะ... ไปได้ยังไงกัน
"เกลียดคำตอบของมึงว่ะ ไม่เคยชัดเจนสักครั้ง"
ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวางคางลงบนขาที่ชันไว้ ดวงตากลมเหม่อลอยมองทีวีที่กำลังฉายหนังเรื่องเดิมอยู่ ไม่นานนักสัมผัสตรงไหล่ก็ทำให้รู้ว่าเซนไม่ได้นอนอยู่เหมือนเดิมอีกแล้ว
"วิน... กูไม่เข้าใจหรอกว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตลอดชีวิตที่ผ่านมากูรู้จักแค่คำว่าภักดี"
น้ำเสียงเซนอ่อนลงจนผมต้องถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก้มต่ำลงมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ตักแข็งแกร่งรองรับศีรษะของผมอย่างพอดิบพอดีเป็นบรรยากาศที่คนนอกอ่านจะคิดว่าหวาน แต่ความจริงแล้วกำลังหน่วงจนอยากร้องไห้
"ไม่เคยรักพ่อแม่เหรอวะ"
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย มนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างน้อยก็ต้องรักครอบครัวของตัวเองเป็นสิ พ่อแม่ที่ไหนจะสอนให้รู้จักแค่คำว่าซื่อสัตย์และภักดีกัน... ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวสักหน่อย
"พ่อแม่เหรอ... กูลืมไปแล้วว่าเคยมี"
คำตอบของเซนทำให้ผมต้องหุบปากเงียบแล้วไม่สงสัยอะไรอีกเลย ไม่ว่าเขาจะรู้จักความรักหรือไม่รู้จักก็ไม่ได้สำคัญอะไร ความรู้สึกต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ
"เซน... ถ้ากูขอให้มึงหยุดทำอะไรเกินเลยคำว่าเพื่อนได้ไหม กูไม่อยากถลำลึกไปกว่านี้"
ผมผละตัวออกห่างจากเขาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหมุนตัวหนีดวงตาสีเทาที่กำลังจ้องมาอย่างเอาเรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องคิดว่าเขามีความรู้สึกเจ็บปวดแฝงอยู่ภายใน
"ถ้ากูขอให้มึงเลิกชอบกู มึงทำได้ไหมล่ะ"
เสียงแข็งกร้าวเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังพร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบเมื่อเจ้าของคำพูดลุกขึ้นยืนซ้อนหลังกัน ลมหายใจอุ่นกำลังเป่ารดต้นคอจนผมต้องขยับหนีไปอีกหนึ่งก้าวโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง
"ตะ แต่มันไม่เหมือนกันนะเว้ย ความรู้สึกของกูกับการกระทำของมึงน่ะ"
นำเสียงสั่นๆ มาพร้อมกับการยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจที่กำลังทำงานอย่างหนักหน่วง ไม่รู้ว่าควรเจ็บหรือตื่นเต้นกับคำพูดกำกวมไร้ความแน่ชัดนั้นดี
"มึงรู้เหรอว่ากูคิดอะไร กูรู้สึกยังไงตอนอยู่ใกล้มึง จะหาว่าเห็นแก่ตัวหรืออยากด่าอะไรก็ได้ แต่กูบอกมึงตอนนี้ไม่ได้มันยังไม่ถึงเวลา"
ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่มีคำกล่าวห้ามคนที่เดินหนีออกไปจากห้อง สมองกำลังมึนงงและความคิดกำลังตีกันไปมาจรเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากไปนักคงแปลประโยคนั้นได้ประมาณว่า 'รู้สึกอะไรบางอย่างด้วย แต่บอกไม่ได้' ทำไมล่ะ หรือเขามีเจ้าของไปแล้ว... แค่คิดยังปวดหัวใจหนึบๆ ขนาดนี้ ถ้าได้ยินจากปากยืนยันผมคงหัวใจแหลกสลาย
ผมไม่รู้จะไปตามเซนกับอุ่นได้จากที่ไหนเพราะทั้งคู่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย เลยได้แต่นั่งจดๆ จ้องๆ จอสี่เหลี่ยมดำสนิทที่ฉายหนังจบไปแล้วด้วยหัวใจที่ว้าวุ่นพอตัว กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของตัวเองในคราวนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ร้องขออะไรแบบนั้นเด็ดขาด
Rrrrr
เบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคย... แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับเผื่อว่าจะเป็นใครสักคนที่หายออกไปจากห้องนี้ และแล้วก็เป็นอุ่นที่ใช้โทรศัพท์ส่วนกลางของคอนโดโทรขึ้นมา
"มึงเห็นเซนไหมอุ่น"
หลังจากที่ถามไถ่กันเรื่องที่มันหายไปไหนมาเรียบร้อยแล้วผมก็ถามหาเพื่อนสนิทอีกคนทันที เพราะรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาจับใจ หายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แปลกมาก
'หือ เซนหายไปไหน'
เสียงที่ถามกลับมาดูแปลกใจไม่น้อยจนผมเริ่มกังวลเพราะอุ่นไม่ได้เจอเซนระหว่างทางแน่ๆ
"มันเดินออกจากห้องไปไหนก็ไม่รู้ ไม่หยิบโทรศัพท์ไปด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วลุกขึ้นไปหยิบกุญแจห้องและรวบโทรศัพท์มือถืออีกสองเครื่องมาด้วย
'เชี่ย มึงลงมาหากูเร็วๆ'
อุ่นพูดอย่างรีบร้อนก่อนสายจะตัดไปทำให้ผมรีบออกจากห้องโดนเร็ว ไม่ถึงห้านาทีผมก็วิ่งมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าอุ่น ไม่เคยคิดว่าการที่เซนออกไปข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรแย่ๆ ขึ้นได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเพื่อนอีกคนแล้วเหมือนมีความลับบางอย่างปิดบังกันอยู่
"แฮ่ก อุ่น... มีอะไรหรือเปล่าวะ"
ผมพูดไปพลางหอบไป ใบหน้าชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อทั้งๆที่อากาศเย็นแทบจะขาดใจ เสียงเม็ดฝนตกกระทบถนนดังสนั่นหวั่นไหวจนไม่กล้าย่างเท้าออกไปนอกอาคารทั้งๆ ที่ถือร่มกันอยู่ ทัศนียภาพด้านหน้าขาวโพลนยากแก่การมองเห็นทำให้เราทั้งคู่ยื่นชั่งใจอยู่นาน
"ไปตามหาเซนกัน ช่วงนี้มันไม่ค่อยสบาย"
น้ำเสียงเรียบนิ่งต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจอะไรมากมาย แต่ความหมายของประโยคที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่นี่สิ ผมที่อยู่กับเซนทุกวันทำไมไม่รู้ว่าเขาป่วยกันล่ะ
"ทำไมกูไม่รู้เรื่องวะอุ่น"
ผมถามกลับไปด้วยความงุนงงแต่อุ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับจับข้อมือกันแล้วออกเดินไปตามทางที่คาดว่าเซนจะไป ตลอดทางที่เราทั้งคู่ผ่านมาเงียบสนิทราวกับที่นี่เป็นเมืองร้าง ผู้คนหายเข้าไปหลบฝนในตัวอาคารกันส่วนใหญ่เลยทำให้ริมทางเท้าเงียบเชียบ ละอองฝนทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เริ่มชื้นจนแนบเนื้อ อุณหภูมิที่ต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องยกมือข้างที่ว่างขึ้นกอดตัวเองเอาไว้
"หนาวเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยความห่วงใย ผมพยักหน้ารับอย่างง่ายดายเพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ ร่างกายชอบอ่อนแอเวลาเจอกับละอองฝนปริมาณมาก มือเย็นชืดที่จับข้อมือกันเลื่อนลงไปจนกลายเป็นประสานในที่สุด ความอุ่นกำลังแผ่ซ่านแต่หัวใจกลับหนาวเหน็บ เซนหายไปไหนกันแน่
"จะกลับก่อนไหม เดี๋ยวกูไปส่ง"
"ไม่เอา ยังหาเซนไม่เจอเลย"
"กูไปหาคนเดียวก็ได้ ห่วงว่ามึงจะป่วยมากกว่า เดี๋ยวเซนจะมาฆ่ากู"
"ทำไมต้องพูดจาอะไรแปลกๆ วะ อะไรๆ ก็เซน มันไม่เป็นห่วงกูขนาดจะทำร้ายมึงหรอกอุ่น คนที่อยู่ข้างมันมานานคือมึง ไม่ใช่กู เพราะฉะนั้น มึงสำคัญกว่ากูแน่นอน"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมดเพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดที่เซนจะทำร้ายเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างอุ่นได้ลงเพียงแค่ดูแลเพื่อนใหม่อย่างผมไม่ดี เขาชะงักเท้ากึกแล้วหันมาสบสายตากัน ในวินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่ว่าเรารู้สึกใจเต้นแรงต่อกัน แต่มันคือแววตาวาววับน่ากลัว
"วิน... มึงสำคัญกับเซนมากกว่าที่มึงคิด เอาร่มเดินกลับคอนโดไปได้แล้ว กูจะไปหาเซนคนเดียว ถ้ามึงยังดื้อกูจะจัดการขั้นเด็ดขาด"
ผมไม่ได้เปิดปากพูดอะไรสักคำอุ่นก็ยัดเยียดร่มในมือของเขาให้กันแล้วเดินจากไปท่ามกลางสายฝน อยากวิ่งตามไปแต่รู้ว่าเมื่อครู่เขาดูจริงจังและเกรี้ยวกราดมากแค่ไหน ถึงจะเป็นห่วงก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลยต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำเท่าไหร่นัก
ผมจัดการเปิดประตูห้องแล้วถอดรองเท้าแตะที่เปียกชื้นน้ำตั้งเอาไว้แล้วลากเนื้อตัวที่เปียกชื้นเข้าห้องน้ำ สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจนกลัวว่าใครอีกสองคนจะมีสภาพเปียกปอนไม่ต่างกัน ยิ่งคำที่บอกว่า 'เซนไม่สบาย' ยิ่งทำให้กังวลเป็นสองเท่า แต่คนอย่างผมซึ่งทำอะไรไม่ได้คงต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเอาไว้ก่อน
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยก็พบว่าไฟฟ้าของคอนโดดับลงอีกแล้ว ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วเดินไปหาเทียนที่ชั้นวางทีวี เพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดเซนเอามันเก็บไว้ตรงนั้น ลิ้นชักเปิดออกทำให้ผมตะลึงเล็กน้อยเมื่อเจอเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า 'อุปกรณ์ในการอัญเชิญปีศาจ' ไม่ว่าจะเป็นเทียน ถ้วยเงิน ผืนผ้าที่เขียนวงเวทย์ กำยานเครื่องหอม แหวนเงิน ผ้าลินินสีขาว แก้วไวน์ที่ทำจากเงิน น้ำมัน ตราผนึกเวทย์ของปีศาจ และมีดสั้นลายสลักสวยงาม ทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ ความคิดมากมายกำลังประเดประดังเข้ามา 'เซนเคยอัญเชิญปีศาจอย่างนั้นเหรอ' ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงสมเหตุสมผลที่ว่าทำไมรู้จักพวกปีศาจดีขนาดนั้น
"วิน!"
เสียงทุ้มที่จำได้ดีว่าเป็นของอุ่นดังขึ้น ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบหยิบเทียนสีฟ้าออกมาจากลิ้นชักทันที เมื่อหันกลับไปก็เจอสภาพเปียกชุ่มของทั้งสองคน แต่เซนดูอ่อนปวกเปียกจนผมรีบลุกขึ้นไปดูอาการ
"ทะ ทำไมเซนเป็นแบบนี้วะ แล้วนี่รอยช้ำอะไร"
น้ำเสียงที่ถามออกไปสั่นจนควบคุมไม่ได้ ผมมองสำรวจร่างกายของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าบนตัวมีรอยฟกช้ำจนน่ากลัว บางที่เลือดไหลซึมออกจากแผล หายไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะเนี่ย
"เอ่อ ยังไงดีวะ"
อุ่นมีท่าทางลังเลจะตอบคำถามกลับมา ส่วนเซนจ้องเขม็งจนผมนึกยากควักลูกตาสีสวยนั่นทิ้ง สภาพยับเยินขนาดนี้ยังจะขู่คนอื่นเขาอีกเหรอไง
"ตอบมาดิอุ่น เกิดอะไรขึ้น!"
ผมเริ่มโมโหจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ มือเรียวของเซนแตะลงบนบ่าเพื่อช่วยปลอบโยนให้ใจเย็นลง แต่รอยช้ำที่เห็นยิ่งตอกย้ำว่าไม่ควรปล่อยเรื่องผ่านไป ใครทำกับเขาขนาดนี้
"คือว่า... มีเรื่องกับ..."
"มีเรื่องกับคน 'ที่บ้าน' นิดหน่อย"
เซนแย่งอุ่นตอบในที่สุด แต่นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจว่าที่บ้านของเขาทำไมเป็นแบบนี้ คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือยังไง
"อะไรนะ มีเรื่องกับคนที่บ้าน คือบ้าอะไร พูดกันดีๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องทำร้ายร่างกาย"
ผมพูดด้วยอารมณ์โมโหและมองสำรวจร่างกายของเซนอีกครั้งอย่างละเอียด อุ่นเดินหายไปและกลับมาพร้อมชุดปฐมพยาบาล เซนไม่ได้ตอบคำถามกลับมาแต่ถอดเสื้อเปียกชุ่มส่งให้อุ่นแทน
"ทำแผลให้หน่อย"
เสียงทุ้มร้องขอกัน ผมได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ แล้วรับกล่องปฐมพยาบาลมาจากมืออุ่นแล้วเริ่มทำแผลอย่างช้าๆ เพราะกลัวเซนจะเจ็บ มีบางจังหวะที่สายตาของเราประสานกัน ดวงตาสีเทามักจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างมาเสมอ แต่เสียดายที่คนอย่างผมโง่ดักดานอ่านสายตาของใครไม่เป็นเลยทำได้แค่หลบเลี่ยงเท่านั้น
"เสร็จแล้ว ที่จริงน่าจะอาบน้ำก่อนทำแผลปะ เปียกมาขนาดนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
ผมบ่นกระปอดกระแปดให้ขณะที่เซนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยหลังจากทำแผล เส้นผมสีดำสนิทยังเปียกลู่แนบใบหน้าจนนึกรำคาญแทนเลยเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กไปวางไว้บนหัวเขา เซนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วใช้มือเรียวจับผ้า... แต่ไม่ยอมเช็ดวะ รออะไรอยู่
"เช็ดให้หน่อย"
อีกแล้ว... น้ำเสียงออดอ้อนชวนใจสั่นนั่นทำให้ผมยอมทุกทีสิน่า อยากใจแข็งแต่ทำไม่ได้สุดท้ายก็ลงเอยที่มานั่งเช็ดผมและสบตากันไปด้วย โคตรโรแมนติกเลยถ้าไม่มีไอ้อุ่นนั่งอยู่ที่พื้นแล้วส่งสายตาล้อเลียนมาให้
"แหม... เซนจะอ้อนมากไปแล้วมั้ง ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะมองผมสลับกับเซนไปมา ยอมรับอย่างไม่อายใครว่าประโยคนั้นสั่นหัวใจกันได้ทันทีเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่เคยอ่อนโยนแบบนี้ แต่ช่วงหลังๆ มานี่ดูนิสัยจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจริงๆ
"หุบปากแล้วนั่งไปเงียบๆ ถ้าทำไม่ได้ก็ออกไปจากห้องซะ"
เซนส่งสายตาดุๆ ไปให้กับอุ่นที่รีบหุบปากฉับแล้วเดินหนีเข้าห้องครัวไปเงียบๆ ผมได้แต่มองเขาแล้วลอบถอนหายใจ สองคนดูเหมือนจะรักกันแต่ก็มีเรื่องขัดกันไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ
"นี่... ขอถามอะไรหน่อยได้ปะ"
ผมตัดสินใจถามถึงสิ่งที่อยากรู้แล้วเหลือบไปมองลิ้นชักใต้ทีวี... สิ่งของทุกอย่างในนั้นมันคืออะไรกันแน่ เซนเคยอัญเชิญปีศาจตนไหนอย่างนั้นเหรอ
"อืม ถามมาสิ"
คำอนุญาตราบเรียบทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อาจเพราะกลัวที่จะถามออกไปหรือกลัวคำตอบที่กำลังจะได้กลับมา ยังไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่
"คือ... อุปกรณ์ในลิ้นชักนั่น"
ผมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็นปิดปากกันไว้ เซนใช้ดวงตาสีเทาจ้องมาก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากซะเอง
"ของสะสมเฉยๆ"
เซนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมจับไม่ได้ว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่ แต่ดวงตาสีเทานั่นไม่ได้มีความสั่นไหวแต่อย่างใด สุดท้ายเลยทำได้แค่พยักหน้ารับคำตอบนั้นเอาไว้และปิดประเด็นเรื่องนี้ไป
"ฝนเริ่มซาแล้วล่ะ"
ผมบอกในขณะที่เดินตรงไปยังประตูกระจกเพื่อดูสถานการณ์ฟ้าฝนที่ด้านนอก นาฬิกาข้อมือแสดงเวลาสี่โมงเย็นแต่ท้องฟ้ากลับมืดอย่างกับหกโมงไปซะอย่างนั้น ไม่ค่อยชอบความเปียกชื้นสักเท่าไหร่แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอากาศตอนฝนตกมันดีเพียงใด
"เออว่ะ งั้นออกไปหาอะไรกินกันปะ"
เสียงทุ้มของอุ่นดังขึ้นข้างๆ ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สมควรชินได้แล้วเพราะเขาเป็นแบบนี้เสมอ ไปมาไม่เคยให้ซุ่มให้เสียงเลยสักครั้ง
"แล้วแต่ กูยังไงก็ได้ ไปถามเซนนู่น"
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางที่ร่างสูงของเซนนั่งอยู่ ดูเหมือนเขากำลังจะยุ่งกับแผลบนร่างกายจนอุ่นตรงเข้าไปห้ามและพูดคุยอะไรกันอยู่สักพักโดยที่ผมไม่เข้าไปมีส่วนร่วม รู้สึกว่าควรยืนอยู่ตรงนี้มากกว่า มองสายฝนบางครั้งก็เพลินดีเหมือนกันนะ
"ไปกินข้าวกันไอ้วิน"
เสียงอุ่นเรียกอยู่ไกลๆ ทำให้ผมละสายตาจากสายฝนแล้วหมุนตัวไปพยักหน้าก่อนจะก้าวขาตามพวกเขาออกจากห้องไป
หน้าที่พลขับตกเป็นของอุ่นไปโดยปริยายและมีเซนนั่งด้านข้าง ส่วนผมเนรเทศตัวเองมานั่งส่วนหลังของรถ Audi A4 สีแดงสดใส ไม่รู้ว่าตอนซื้อรถอุ่นคิดอะไรอยู่ถึงได้ซื้อสีแบบนี้ โคตรจะเด่น ขับไปไหนมาไหนมีแต่คนมอง
"วิน"
เสียงทุ้มนุ่มเรียกกันจากด้านหน้าทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมที่กำลังมองอยู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเจ้าของเสียงไม่ได้หันมามองเลยสักนิด ช่วยกรุณามองคู่สนทนาหน่อยไม่ได้หรือไง แบบนี้เหมือนกำลังพูดคนเดียวเลยว่ะ
"มีอะไร"
ผมถามกลับไปและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อก่อนจะขยับก้นไปนั่งปลายเบาะเพื่อจะได้คุยกับคนด้านหน้าถนัดขึ้น อยากเห็นสีหน้าเขาด้วย ไม่ใช่อะไรหรอก
"พรุ่งนี้อยู่คนเดียวได้ไหม"
"หือ มึงจะไปไหนอะ"
"ธุระนิดหน่อย อยู่ได้ไหม"
"อือ... อยู่ได้ดิวะ พูดอย่างกับกูเป็นเด็กน้อยที่ต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา"
ผมตอบกลับไปแต่ในใจก็แอบหวั่นเล็กๆ เพราะตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันไม่เคยห่างกันนานๆ เลย
"ถ้าอยู่ไม่ได้โทรหากูนะครับ จะรีบไปหาที่คอนโด"
อุ่นพูดขึ้นมาแถมยังขยิบตาผ่านกระจกมองหลังมาให้กันจนผมต้องเบ้ปากในความหยอดเล็กหยอดน้อยของมัน เซนถึงกับเอื้อมมือไปผลักหัวอุ่นเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้
"กูไม่อยากลำบากมึงหรอก"
ผมตอบปัดๆ ก่อนจะขยับเข้าที่เหมือนเดิม กลัวอุ่นมันแกล้งเบรกแล้วหัวจะทิ่มไปด้านหน้า
"จริงๆ มันก็เป็นหน้าที่ของกูนะ"
อุ่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เป็นผมเองที่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หน้าที่อะไรของเขากันล่ะ ยิ่งเซนส่งสายตาดุๆ ไปให้คนข้างๆ ยิ่งทำให้ผมอยากรู้จนต้องขยับไปนั่งปลายเบาะอีกครั้งแล้วแนบแก้มลงบนเบาะหน้า
"หน้าที่อะไรวะ"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้แต่แทนที่จะได้คำตอบกลับโดนเซนผลักหัวออก ก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้กันจนผมต้องจิ๊ปากด้วยความขัดใจ
"หน้าที่ของเพื่อนที่ต้องดูแลเพื่อนไง สงสัยจังนะมึง"
อุ่นตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้นนิดหน่อย ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เลยครางอือรับไปเบาๆ ในตอนนั้นเองหางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวิ่งไล่รถอยู่ด้านข้าง พอเพ่งดูดีๆ ก็พบว่าเป็นหมาขนาดใหญ่ดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือน... บารอน!
"ไอ้อุ่นๆ จอดรถก่อน"
ผมบอกอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้เท้าความถึงเหตุผลใดๆ อุ่นดูงงๆ แต่ก็ยอมจอดรถให้กัน ส่วนเซนเขาน่าจะรู้แล้วว่าทำไมผมถึงบอกให้อุ่นจอดรถ
"อะไรของมึงวะ"
"บารอน"
เซนตอบแทนก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวหมายักษ์ที่ยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างรถ อุ่นชะโงกหน้ามองก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นราวกับตกใจ
"เฮ้ย... มาได้ไงวะเนี่ย"
อุ่นอุทานออกมาด้วยความแปลกใจแล้วหันมามองกัน ผมไหวไหล่เพราะตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด บารอนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน เป็นคำถามที่ตอบได้ยากที่สุดแม้แต่เซนเองก็ไม่อาจตอบได้เช่นกัน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะกระจกดึงสติของผมกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เซนบอกให้ผมเปิดประตูในขณะที่เขาจับปลอกคอของบารอนเอาไว้
"เอามันเข้าไปนั่งกับมึงด้วย"
เขาบอกก่อนจะดันบารอนให้ขึ้นมาด้านหลัง ส่วนผมขยับที่ขยับทางให้พอสำหรับหมาตัวโตนั่ง ดูจะคับแคบไปหน่อยแต่ก็ดี เซนปิดประตูแล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างเงียบเชียบและไม่มีใครกล้าถามอะไรทั้งนั้น
มีต่อด้านล่าง