ตอนที่ 7“ไม่ไปไม่ได้หรอครับ” เสียงครูฝ่ายบุคคลเปรยขึ้นราวกับทำท่าเสียดายนักเรียนเรียนดีคนหนึ่งไป
แต่นั่นก็เป็นเพียงความต้องการของคุณครู ไม่อยากให้เตชานุย้ายโรงเรียนเท่านั้นเอง แต่ในเวลานี้ผู้ปกครองอย่างประทวน นักธุรกิจคอนโดหรูมาทั้งทีมีหรือจะยอมแพ้ ยังไงเขาก็ต้องพาลูกชายย้ายออก
“ยังไงลูกผมก็ต้องไป พวกคุณไม่สามารถดูแลลูกชายผมได้ ผมก็จะไปหาที่ที่ดูแลลูกชายผมได้ดีกว่านี้”
ประทวนเหน็บแนมเหล่าคุณครูทั้งหลายในห้อง ทุกคนเงียบกริบไป ไม่กล้าแม้แต่จะต่อกรกับประทวน ทันใดนั้นลายเซ็นอนุมัติก็ปรากฏบนกระดาษทันที เป็นอันสิ้นสุดและพ้นสภาพการเป็นนักเรียนโยธินวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว
“ขอบคุณที่ยอมปล่อยลูกชายผม เต้ยไปกันเถอะลูก พ่อจะพาไปโรงเรียนใหม่”
ร่างบางลูกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคุณครู เดินตามผู้เป็นพ่อออกไป แต่ดูเหมือนว่าด้านหน้าห้องใครบางคนกำลังยืนเคียงข้างพี่ชายของตัวเองอยู่ เขาคนนี้มาทำไมกัน?
“เต้ย บอลเขาอยากขอคุยด้วย” ต้อมเอ่ยชื่อ บอล ออกมา ตอนนี้ร่างบางเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นบ้างแล้ว
“ไปคุยกันตรงนั้นเถอะนะเต้ย” หนุ่มหล่อเปรยบอกเสียงนุ่มสบายหู ราวกับคนละคน เหมือนวันนี้เขาเป็นเทพบุตร ไม่ใช่ซาตาน แต่หน้ากากนั่นปกปิดตัวตนที่แท้จริงจากเต้ยไม่ได้หรอก
แต่คิดดูอีกที หากตามอิทธิพลไปคุยตรงโน้น ก็ไม่เสียหายอะไร ยังไงเสียเขาก็จะไปจากที่นี่อยู่แล้ว อีกอย่าง คนที่อ้างชื่อคนอื่นมาปกปิดตัวตนแบบนี้มันน่าไม่อายที่สุด อิทธิพลไม่มีทางทำอะไรเขาในเวลานี้หรอก เขามั่นใจ
คนที่เต้ยเกลียดที่สุดเดินนำไปจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ลับตาคนพอสมควร อิทธิพล หยุดเดินทันที พร้อมกับสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงนักเรียนราวกับทำตัวเท่ห์ก็มิปาน
...
...
“กล้ามากเลยนะที่อ้างชื่อ ของบอลมาหลอกพี่ชายเรา” เต้ยเปรยขึ้นทันที
“ฮึฮึ แล้วมันก็ได้ผลไหมล่ะ พี่ชายมึงเนี่ยโง่เสียยิ่งกว่าโง่จริงๆ ” ร่างสูงพูดเสร็จก็ค่อยๆหันกลับมามองหน้าร่างบาง
“อย่ามาว่าพี่ชายเราเด็ดขาด คนที่สิ้นคิด ทำแต่เรื่องเลวทราม ต่ำช้า แบบนายต่างหากที่สมควรได้รับคำว่า โง่ ไม่ใช่คนอื่น!”
“ปากเก่ง จัดจ้าน เหมือนหมาจริงๆ!!! คิดหรอว่าไปอยู่โรงเรียนอื่นแล้วจะหนีกูพ้น”
“อย่ามาระรานกันแบบนี้ นายไม่มีเหตุผลเอาซะเลยอิทธิพล ทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเราด้วย”
“เพราะมึงเป็นของของกูไง ชัดไหม สัส!!!”
“เราไม่ใช่สิ่งของ ของใครทั้งนั้น”
“อ้ออออออ กูลืมไป ตอนนี้มึงพิศวาสผัวน้อย อย่างไอ้บอล ไปแล้วสินะ จนลืมผัวหลวงคนนี้ได้ลงคอ”
“อย่ามาหยาบคายกับคุณชายนะ” เตชานุเปรยปกป้องเพื่อนสนิทคนใหม่
“คุณชายหรอ ฮ่าๆๆๆๆ เทิดทูนมันขนาดนี้ มันให้มึง กินกี่น้ำ แล้วล่ะ”
“ไอ้อิท ไอ้สารเลว!” เต้ยเดินไปหาอีกฝ่าย พร้อมกับตั้งใจจะง้างมือตบแก้มอีกคนซักทีสองทีให้สมกับปากพร่อยๆ หยาบคายนั่น
หมับ!!! “คิดจะตบกูหรอ? ตบผัวมันบาปนะ รู้ไหม?” ร่างสูงคว้าจับข้อมือนั้นเอาไว้อย่างง่ายดาย
“สารเลว!”
“ฮึฮึ สารเลว ชั่วช้า ต่ำทราม กูได้ยินจนชินแล้ว แต่รู้อะไรไหม กูช้อบชอบ เวลามึงด่ากูเนี่ย ”
“ไอ้นรก!”
“อ้อออออ ลืมไป มีคำว่า นรก เพิ่มมาอีกคำสินะ คำด่าของมึงมันยั่วให้กูมีอารมณ์ทุกครั้งเลยเต้ย”
จ๊วบบบบบบบบบ อิทธิพลก้มลงจูบไม่รีรอ ไม่สิ ต้องบอกว่าร่างสูงนั้นบดขยี้ริมฝีปากอย่างรุนแรงมากต่างหาก และมันแรงพอจนเต้ยรับรู้ได้ว่าเลือดกำลังซึมออกมาจากริมฝีปากที่ถูกขบกัดเบาๆ แต่มันเจ็บใช่เล่น ปากเขากำลังปริแตกในไม่ช้า
พรึบ!!! ร่างสูงผละริมฝีปากหนาของเขาออกจากเตชานุ คราบเลือดติดริมฝีปากนิดๆ เขากลับเอาลิ้นสกปรกนั่นเลียตวัดกลับเข้าไปในปากหน้าตาเฉย
“เลือดมึงนี่ หวานมากเลยเต้ย”
“อย่ามาพูดจาเลอะเทอะเหมือนคนโรคจิตแบบนี้ ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เราขอตัว”
หมับ!!! ฟอดดดดด อิทธิพลคว้าเอวบางเข้ามากอดรัดไว้แน่นจากทางด้านหลัง พร้อมกับหอมแก้ม ซักไซ้ซอกคอหอมๆนั่นทันที
“ไอ้อิท ไอ้เลว ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!!! ไม่อย่างนั้นกูจะบอกความจริงให้หมดว่ามึงคือ อิทธิพล ”
“!!!” ร่างสูงหยุดชะงักไป ร่างบางเห็นจังหวะทีเผลอ ก็ดิ้นใหญ่ จนกระทั่งหลุดออกมาจากอ้อมแขนแกร่งนั้นได้
“อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยนะอิท” เต้ยพูดราวกับสั่งเสีย ทั้งชีวิตนี้เขาสองคนไม่สมควรมาเจอกันอีก
“เต้ย!!! สิ่งเดียวที่กูอยากรู้ ทำไมมึงต้องปกปิดความจริงที่ว่า กูเป็นคนที่ทำร้ายมึง? ”
นี่คือความจริงในใจ ที่เขาต้องการอยากคุยกับร่างบางในเวลานี้ที่สุด เขาอยากรู้จริงๆ
“ทำไมนะหรอ? สงเคราะห์สัตว์เดระฉานไงอิท เราไม่ใช่คนเลวขนาดที่มองดูคนชั่วๆแบบนายถูกฟ้องคดี ขึ้นศาล หรือไม่ก็ติดคุก ”
เต้ยยิ้มมุมปากราวกับถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะเดินออกจากตรงนี้ไป แต่กลับถูกรั้งเอาไว้อีกครั้งด้วยเสียงตะโกนจากอิทธิพล
“เดี๋ยวเต้ย! มึง...ไม่ย้ายได้ไหม?” พูดเป็นเล่น ตอนนี้เขาไม่ใช่นักเรียนของโยธินวิทยาลัยอีกต่อไปแล้ว
“ชีวิตของเรา ไม่เคยคิดจะได้ตกนรก แต่นายเป็นคนยัดเยียดสิ่งนี้ให้กับเรา เราจำเป็นต้องไปที่ใหม่ เลือกทางเดินใหม่ๆ ไปเจอคนที่ให้ความสุขเราได้ ไม่ใช่มีแต่มอบความทุกข์!”
“มึงหนีกูไม่พ้นหรอก!”
“เลิกยุ่งกับเราได้แล้วอิท เราเกลียดนาย ได้ยินไหม? จะให้บอกอีกกี่ครั้ง คนเกลียดกันไม่ควรเจอกันอีกเลยจะดีที่สุด ลาก่อน!”
“ใครบอกว่ากูเกลียดมึง”
“!!!?” เต้ยชะงักกับคำพุดนั้น มันทั้งแผ่วเบาและไม่มีความก้าวร้าว กลับฟังดูเหมือนเสียใจยังไงพิกล
“มึงอย่าไปเลยนะ”
“เราเสียเวลามามากแล้ว ต้องไปลา บอล อีก จบกันแค่นี้นะอิท ลาก่อน”
“กูไม่มีทางพ่ายแพ้มึงหรอก มึงจำไว้ กูเกลียดที่สุดคือคนขัดความต้องการกู และมึงคือคนที่ขัดกูมากที่สุด ต่อให้มึงหนีไปจนสุดขอบล่าฟ้าเขียว กูก็จะลากมึงมาหากูเหมือนเดิม จำเอาไว้ เต้ย!”
ร่างบางได้แต่กำหมัดแน่น รีบเดินหนีจากตรงนั้นทันที แต่เขาเชื่อนะว่า... คนคนนี้คงเก่งแต่ปาก มันทำอย่างที่ว่าไม่สำเร็จหรอก มันไม่มีทางตามเขามาสยบแทบเท้าได้อีก เพราะโรงเรียนที่เขาจะไป มันค่อนข้างเรียนหนัก และเข้ายากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ พูดให้ง่ายๆคือคนอย่างอิทิพลสอบเข้าไม่ได้แน่ เขาไมได้ดูถุก แต่ตัดสินจากปัจจุบันที่เห็นๆกันอยู่
“โถ่เว้ย ”
เพล้ง! เสียงไม่พอใจของใครบางคน ทำเอาเตชานุที่อยู่ไกลออกไปนั้นต้องสะดุ้งเล็กน้อย แต่นั่นเขาก็ชินกับนิสัยแย่ๆแบบนั้นของร่างสูงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เต้ยเดินออกจากตรงนั้นจนกระทั่งถึงห้องเรียนประจำที่แสนผูกพัน ถึงแม้เวลานี้จะเป็นเวลาเรียนของเพื่อนๆก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้เข้าไปลาเพื่อนก็ยังดี
“ขออนุญาตครับคุณครู ผมมาลาเพื่อนๆครับ”
คาบเรียนตอนนี้ เพื่อนๆกำลังเรียนเคมี ซึ่งทางสะดวก เพราะคุณครูท่านนี้เป็นคนใจดีมากทีเดียว
“ได้สิเต้ย เข้ามาข้างในก่อนเร็ว”
เตชานุเดินเข้าไปช้าๆตามคำอนุญาต จนกระทั่งถึงบริเวณกึ่งกลางหน้ากระดาน เขาสบสายตาเพื่อนๆในห้องทุกคน แต่แววตาเหล่านั้นหลับมองมาที่เขาอย่างไม่กระพริบตา บ้างก็ทำสีหน้างง สงสัย แต่พอมองไปจนถึงใครคนหนึ่งที่นั่งเรียน แยกตัวสันโดษนั้น กลับมองเต้ยด้วยแววตาไม่เข้าใจร่างบางเอาเสียเลย
“ทุกคน เรามาลานะ เราได้ย้ายโรงเรียนแล้ว ขอให้ทุกคนตั้งใจเรียนนะ เราเชื่อว่าซักวันจะได้เจอกันอีก เราฝันอยากเป็นแพทย์ ถ้าใครจะสอบแพทย์เหมือนกัน ขอให้สอบได้นะ ส่วนใครจะไปเรียนที่เดียวกัน เราหวังว่าคงได้เจอกัน เราจะไปเป็นเพื่อนกันอีกที่นั่น เราต้องการเข้ามหาวิทยาลัย..... มันเป็นที่เดียวที่เราชอบและพี่ชายเราก็เรียนที่นั่น เรายังเล่นเฟสบุ๊ค เล่นไลน์เดิมนะ โทรศัพท์ก็เบอร์เดิม ถ้าคิดถึงก็ติดต่อมาได้ทุกทาง ทุกเมื่อนะ โชคดีครับทุกคน”
เต้ยพยายามข่มใจไม่ให้น้ำตาไหลต่อหน้าเพื่อนๆทุกคน ท้ายที่สุดก็คงต้องเป็นคุณครูเจ้าของคาบเรียนในเวลานี้แล้วที่เต้ยจะต้องเอ่ยลาเป็นคนสุดท้าย
“ผมลาแล้วนะครับคุณครู ขอบคุณครูมากๆที่ทำให้ผมชอบวิชาเคมีมาตั้งแต่มอสี่ ผมจะเอาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดครับ”
“โชคดีเต้ย ครูจะรอดูความสำเร็จลูกศิษย์อย่างเธอเสมอ”
“ครับคุณครู”
ร่างบางยิ้มพร้อมกับโบกมือลาเพื่อนๆอีกครั้ง ตอนนี้เขาต้องไปแล้วใช่ไหม? ใช่สิ! เขาต้องไปแล้วจริงๆ ในขณะที่เดินลงบันไดอย่างเศร้าใจนั้น กลับได้ยินเสียงเหมือนใครบางคนกำลังวิ่งตามมา และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
...
...
“เต้ย!!!”
“บอล!”
“ทำไมเต้ยย้ายโรงเเรียนไม่บอกเราก่อนหน้านี้” คุณชายในคราบเหนื่อยหอบนิดๆ ถามขึ้น
“ขอโทษที เรา...”
“เพราะอิทธิพลใช่ไหมที่ทำให้เต้ยเป็นแบบนี้”
“มันผ่านไปแล้วล่ะ บอลอย่าพูดถึงอีกเลยนะ”
“เต้ยจะไปโรงเรียนไหน เราจะไปด้วย”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้นะบอล นายจะตามเรามาทำไม?”
“เรา...เราเพิ่งมีนายเป็นเพื่อน นายจะให้เราเสียเพื่อนดีๆไปอย่างนั้นหรอ?”
“เพื่อนทุกคนในห้อง รอบอลเข้าไปขอเป็นเพื่อนอยู่นะ เปิดใจของนายให้กว้างๆ ชีวิตจริงเราจะอยู่กับการแข่งขันไปไม่ได้ตลอดหรอก โดยเฉพาะมิตรภาพ เอาใจแลกใจเท่านั้น ไม่ใช่การแข่งขันนะบอล”
“ทุกวันนี้เต้ยทำให้เราเรียนรู้หลายๆอย่าง แต่ทำไมทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี นายกลับหนีไปจากเรา”
“เราสำคัญกับนายมากขนาดนั้นเลยหรอ?” คำพุดของบอลอดไม่ได้ที่เต้ยต้องคิดแบบนั้น
พรึบ!!!! คุณชายร่างสูงไม่พูดอะไรต่อแล้ว ตอนนี้เขากลับเดินเข้าไปกอดร่างคนตัวเล็กกว่าไว้แนบอก
“สำคัญสิ สำคัญมาก นายสำคัญที่สุดสำหรับเราเลย ตลอดสองปีที่ผ่านมา นายเป้นคนเดียวจริงๆ”
“หมายความไง?” เตชานุไม่เข้าใจในสิ่งที่บอลพูด
“ตั้งแต่เห็นเต้ยครั้งแรก เราอยากคุย เราอยากทัก แต่ความหยิ่งของเรา มันทำให้เราได้แต่รอ รอวันที่เต้ยจะกล้าเข้ามาชวนเราคุยก่อน แต่พอได้คุยกับเต้ย ชีวิตเราเหมือนเปลี่ยนไปทันที”
“เราดีใจ ที่นายคิดได้แบบนี้”
“ให้เราตามเต้ยไปนะ ให้เราได้อยู่ใกล้ๆเต้ย ได้อยู่กับเพื่อนคนเดียวในชีวิตของเรา”
“อย่ากีดกั้นตัวเองแบบนั้นสิบอล เพื่อนแท้มันไม่มีจำกัดตายตัวหรอกนะ ทุกคนรอนายเป็นเพื่อนทั้งนั้น”
“ไม่มีใครดี และเหมือนนาย ไม่มีใครแทนที่นายได้หรอก”
“บอล!!!”
“เต้ยพูดว่าอยากเป็นหมอใช่ไหม เราก็อยากเป็นเหมือนกัน มหา’ลัยที่เต้ยฝันอยากเรียน ก็เป็นที่เดียวกัน สัญญากับบอลนะว่าเต้ยจะตั้งใจเรียน สอบให้ได้คะแนนสูงๆ เราต้องติดด้วยกัน และเป็นเพื่อนกัน”
“เราสัญญา แล้วเจอกันนะว่าที่คุณหมอบอล”
“เราจะอดทนรอให้ถึงวันนั้น ....จริงสิเต้ย! เราขอมือถือเต้ยหน่อยสิ”
ร่างบางหยิบสิ่งนั้นให้อีกคนทันที คุณชายรับไปพลางกดหมายเลขหลายหลัก ถ้าให้เต้ยเดาก็คงจะเป็นเบอร์มือถือแน่นอน
ครืดดด ครืดดดด เขาใช้มือถือเต้ยโทรเข้าเครื่องตัวเองจริงๆด้วย
“เราได้เบอร์เต้ยแล้วนะ ส่วนเบอร์ที่กดโทรออกในเครื่องเต้ย นั่นเป็นเบอร์เรา คืนนี้เดี๋ยวโทรหานะ เต้ยนอนดึกรึเปล่า”
“ประมาณเที่ยงคืน ”
“งั้นดีเลย รอรับสายบอลนะ”
“เต้ย! ไปเถอะลูก เดี๋ยวพ่อต้องเข้าประชุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีก” เสียงทรงอำนาจดังใกล้เข้ามาพร้อมกับต้อม พี่ชายของเขาเอง
“ครับคุณพ่อ”
“คุณอาประทวน สวัสดีครับ”“อ้าวบอลนั่นเอง รู้จักกับลูกชายอาด้วยหรอ?” ประทวนทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“ใช่ครับ เราเรียนห้องเดียวกัน”
“นี่บอลรู้จักคุณพ่อเราด้วยหรอ” เตชานุแปลกใจมากทีเดียว
“ก็ใช่นะสิลูก พ่อของบอลกำลังเป็นหุ้นส่วนร่วมกันกับพ่ออยู่นี่ไง ตอนบ่ายเดี๋ยวก็ไปเจอกันในห้องประชุม ”
เต้ยพยักหน้าพยายามเข้าใจ แต่ดูท่าทีว่าอีกฝ่ายที่เงียบขรึมกำลังเปรยยิ้มออกมา สงสัยจะดีใจที่รู้ว่าเต้ยเป็นคนรู้จักใกล้ตัวสินะ
“คุณอาครับ วันเสาร์นี้ผมอยากไปบ้านคุณอาได้ไหมครับ”
“ถามอะไรแบบนั้นมาได้เสมอแหละ เป็นเพื่อนกับเต้ยแบบนี้ อาจะไปขวางอะไรได้ ฮ่าๆๆ”
“ขอบคุณครับคุณอา อย่าลืมที่สัญญากันไว้นะเต้ย” คุณชายหันมากำชับอีกครั้ง
“โอเค” เต้ยยิ้มให้คุณชายสุดหล่อ
“สัญญาอะไรกัน?” ประทวนต้องการอยากรู้
“เราสัญญาว่าจะสอบติดหมอให้ได้ที่เดียวกันครับคุณพ่อ”
“เออดีๆ เอาให้ได้นะ ขึ้นมหา’ลัย อาจะได้สบายใจ ถ้ามีบอลดูแลลูกชายให้อา”
“คุณพ่อ...รบกวนคนอื่นเขาเปล่าๆนะครับ”
“ไม่มีปัญหาครับคุณอา ผมเต็มใจครับ” บอลยิ้มให้คนตัวเล็ก
“ฮ่าๆๆ ดี ดีมากไอ้หลานชาย อาไปก่อนนะ”
“ผมลานะครับคุณอา พี่...”
“เรียกพี่ต้อมก็ได้ครับ” หนุ่มผิวขาวเปรยบอกอย่างเป็นกันเอง
“อ่อ..ครับ พี่ต้อม แล้วเจอกันเสาร์นี้นะเต้ย”
“มาให้ได้นะบอล”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ท้ายที่สุดเต้ยก็นั่งรถส่วนตัวออกจากโรงเรียนโยธินวิทยาลัยไป พลางมองข้างกระจกรถ เก็บความผุกพันสองปีที่ผ่านมาเอาไว้ในความทรงจำ และนี่เป็นการนั่งรถหรูของคุณพ่อในรอบ หลายเดือนที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ เขาชินกับแท็กซี่ รถเมล์ สายประจำทางมากกว่าเสียอีก
“เต้ย สรุปเพื่อนในห้องเต้ยมีคนชื่อบอลกี่คนกันแน่” ต้อมยังไม่หายสงสัย เก็บคำถามไว้ตั้งแต่เจอบอลคนที่สองแล้ว แต่คนถูกถามกลับกระอักกระอวนไม่รู้จะตอบต้อมไปยังไงดี
“มีสองคนไงครับ บอลสองคนเลย”
“แปลกนะ ชื่อบอลเหมือนกัน แถมสนิทเต้ยทั้งสองคน นิยมชอบคนชื่อบอลหรอเรา หืม”
“เอ่อ...”
“ถ้าเป็น บอล คุณชายคนกลางของตระกูล พิมลประชาทิศ พ่อไฟเขียวนะลูก”“อะไรครับ ไฟเขียวที่คุณพ่อว่า..” เต้ยทะแม่งทะแม่งยังไงชอบกล
“เปล๊า...พ่อหมายถึง เป็นเพื่อนกันไง พ่อกับลุง ดำรงฤทธิ์ สนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้องจริงๆ น่าเสียดาย ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ
พ่อจับให้นั่งเรียนคู่กันตั้งแต่มอสี่แล้ว”
“พ่อพูดอะไรเนี่ย..”
“ฮ่าๆๆๆ เต้ยหน้าแดง” ต้อมเอ่ยแซวน้องชายทันทีที่เห็น แต่เต้ยแยกเขี้ยวใส่พี่ชายตัวดี ลองเปลี่ยนมาเป็นคนถูกแซวบ้างไหมจะได้รู้ว่ามันมีความรู้สึกยังไง?
...
...
และแล้ว กาลเวลาก็ผ่านพ้นไป...ยาวนานร่วมหนึ่งปี ต่อมาเยสสสสสสสส น้องเต้ยของพี่ออกไปจากขุมนรกได้แล้วววว
ตอนต่อไป เรื่องราวบ้าๆบอๆ ในมหาวิทยาลัยกำลังจะเริ่มขึ้น ตามไปส่องกันเถอะ หุหุ ส่วนบักห่าอิทธิพล ขอยกแห้วให้สิบกิโลนาจา เอาไปแดร๊กกก ให้อิ่มเบยยย