ราคาฝัน # 14
...แล้วสุดท้ายจินดาก็เข้ามานั่งจ๋องอยู่กลางเพนต์เฮาส์ยูนิตเดิมจนได้...
ดวงตาเรียวรีเบนมองร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนไปนู่นมานี่ด้วยความรู้สึกวูบโหวงในอก สถาปนิกหนุ่มตระหนักได้อย่างง่ายดายว่าคนเป็นเจ้าของห้องเมตตาให้เขาขึ้นมาที่นี่ก็เพียงเพื่อใช้เป็นที่พักพิงหลบฝนเท่านั้น
...ตอนนี้ธีรชาติกำลังทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศธาตุ...
ผู้บริหารคนดังทำกิจกรรมส่วนตัวโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับจินดาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นคนถูกมองข้ามที่ทำตัวไม่ค่อยจะถูกนักจึงได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงจนแทบจะแข็งกลายเป็นหินประดับโซฟา
กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงชายหนุ่มก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจเดินงุ่มง่ามเข้าไปหาธีรชาติที่กำลังง่วนกับทำอาหารอยู่ในครัว
...ไหนๆก็ได้ใช้เวลากับอีกฝ่ายต่ออีกนิดแล้ว เขาก็ขอใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุดอีกสักทีแล้วกัน...
ดวงตาคู่คมของคนเป็นเจ้าของห้องปรายมองมาทางแขกไม่ได้รับเชิญเพียงครู่สั้นๆก่อนที่มันจะถูกดึงกลับไปอยู่ที่เส้นพาสต้าในหม้อทรงสูงต่อตามเดิม
...แม้เป็นอิริยาบถเล็กๆ แต่เพียงแค่นั้นมันก็มีพลังมากพอที่จะทำให้จินดายิ่งรู้สึกใจฝ่อขึ้นมายิ่งกว่าเก่าได้แล้ว...
“..มี..อะไรให้ผมช่วยไหมครับพี่?...” นักออกแบบหนุ่มกล่าวเสียงอ่อนอีกทั้งยังแผ่วเบาราวกับแมวกรน
“ไม่มี จินไปนั่งรอข้างนอกเถอะ”
“..ให้ผมช่วยนะ..ผ..ผักตรงนี้ยังไม่ได้ล้างใช่ไหม? เดี๋ยวผมล้างให้ดีกว่า” คนพยายามง้อทำเป็นหูทวนลมก่อนหลับหูหลับตาปรี่เข้าไปหาพืชผักสีสันสวยงามที่ถูกอีกฝ่ายจัดเตรียมไว้รอใช้งานอยู่ในตระกร้าใบสวยก่อนแล้ว
จินดารู้ดีว่าธีรชาติชอบทำอาหาร ช่วงเวลาที่ธีรชาติทำอาหารเป็นช่วงเวลาที่ธีรชาติมีความสุข
...ก็ได้แต่หวังว่านี่คงจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเข้าหา...
หากแต่สิ่งที่สถาปนิกปากพล่อยคาดการณ์ไว้กลับผิดถนัด
ตระกร้าบรรจุผักใบที่ว่าถูกฝ่ามือหนาใหญ่คว้าไปวางไว้อีกฟากหนึ่งของเคาน์เตอร์ครัวเสียก่อนที่จินดาจะได้กระทำการใดๆ
“พี่ล้างหมดแล้ว ถ้าล้างซ้ำเดี๋ยวผักมันจะช้ำ”
“..อ..อ้าวเหรอ..’งั้นไส้กรอกนี่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆไหมครับ? เดี๋ยวผมหั่นให้นะ” ว่าแล้วฝ่ายจำเลยก็ตั้งท่าจะหันไปหยิบมีดหยิบเขียงออกมาจากชั้นวาง แต่คราวนี้ธีรชาติก็มาอีหรอบเดิม
“เดี๋ยวพี่หั่นเอง จินไม่ต้องทำหรอก”
“..ท..ทำไมล่ะ? ไหนๆก็จะต้องหั่นอยู่แล้วให้ผมทำเลยสิ พี่ก็ดูเส้นพาสต้าไป พอมันสุกปุ๊บไส้กรอกก็พร้อมใช้งานพอดี ช่วยกันทำสองคนเร็วดีออก”
พอจบประโยคทู่ซี้ของจินดา ลมหายใจห้วงเล็กๆจากธีรชาติก็ถูกผ่อนออกมาในทันที “ไม่ล่ะ พี่ว่าทำคนเดียวคงเร็วกว่าเยอะ”
คำตอบแสนตรงไปตรงมาและเจือไปด้วยการประชดประชันที่อีกฝ่ายเปล่งออกมานั้นทำเอาคนฟังหน้าเสียไปโดยพลัน
...ประโยคนี้มันคุ้นๆไหม?...
...ฟังแล้วรู้สึกแย่พอๆกับเวลาโดนไล่ชิ่วๆเป็นหมูเป็นหมาเลยเชียว...
ใบหน้าอ่อนใสกดลงต่ำจนปลายคางแทบจะแตะแผ่นอก หางคิ้วของสถาปนิกหนุ่มตกลงจากตำแหน่งปกติโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้น
จินดาเลือกที่จะไม่กล่าวอะไรอีกต่อไปอีก เขาเพียงแต่เดินไหล่ห่อคอตกกลับออกจากครัวไปเงียบๆ
.
.
.
สมุดสเก็ทช์คู่ใจคือสิ่งที่จินดามอบเวลาให้ยามที่คนเป็นเจ้าของห้องไม่ต้องการให้เขาไปยุ่มย่าม ชายหนุ่มขยับปลายปากกาลามี่ที่พกติดกายไว้เสมอจรดลงสู่เนื้อกระดาษบนหน้าตักด้วยท่าทางคล่องมือ
...เปล่า...
...เขาไม่ได้สเก็ทช์ไอเดีย...
...ไม่ได้คิดเรื่องงาน...
...แต่กำลังวาดรูป...
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาโมเม้นต์นี้น่าจะเป็นโมเม้นต์ที่เขารู้สึกห่อเหี่ยวถึงขีดสุดแล้วล่ะมั้ง ในใจมันรู้สึกหนึบๆหน่วงๆไปหมด อารมณ์คล้ายๆเวลาโดนลูกค้ารีเจ็คต์งานนั่นแหละ เพียงแต่ว่าดีกรีออกจะแรงกว่าสักสี่ถึงห้าเท่าได้ ซ้ำยังมีความรู้สึกผิดบวกเพิ่มเข้ามาด้วย
จินดาใช้เวลาไปกับการขีดเขียนอยู่นานพอดู ซึ่งตลอดระยะเวลานั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากในครัวที่เขาเพิ่งจะถูกไล่ออกมาอยู่เรื่อยๆ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าธีรชาติยังคงทำอาหารไม่เสร็จ
...กระทั่งจู่ๆเสียงหยิบจับข้าวของเหล่านั้นก็เงียบลงไปอย่างผิดวิสัย...
หลังจากเสียงเงียบลงไปได้สักนาทีจินดาก็เริ่มรู้สึกตัว สถาปนิกผู้อยู่ในอารมณ์ขุ่นหมองหันมองไปทางห้องครัวหมายว่าจะสังเกตความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจคนดัง หากแต่ทันทีที่ได้เห็นความเป็นไปจังหวะลมหายใจของชายหนุ่มก็ต้องสะดุดลงในทันที
ธีรชาติกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองเขามาจากบริเวณหน้าห้องครัว ผ้ากันเปื้อนสีเข้มยังคงผูกติดอยู่บนตัวและในมือข้างหนึ่งก็ยังคงถือตะหลิวไม้เอาไว้ด้วย
...ไม่รู้แหละว่ามองทำไม ดูไม่ออกหรอกว่ามองกันด้วยความรู้สึกแบบไหน...
...แต่แค่ได้รู้ว่าตัวเองยังอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาแล้ว...
ยังไม่ทันที่จินดาจะได้ส่งยิ้มแรกของวันไปให้ ผู้บริหารหนุ่มก็รีบดึงสายตาหนีไปอย่างรวดเร็ว
ธีรชาติเด้งตัวออกจากกรอบประตูที่ถูกใช้เป็นจุดฝากน้ำหนักส่วนหนึ่งไว้ก่อนจะเดินหายกลับเข้าครัวไปอีกครั้ง
...อ้าว...
.
.
.
“พี่ชาติ”
จินดาเอ่ยเรียกเสียงแผ่วให้คนที่กำลังหันหลังจัดแต่งพาสต้าหน้าตาดีลงจานต้องหันกลับมามอง
ธีรชาติไม่กล่าวอะไรเพียงแต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามหาธุระเท่านั้น
กระดาษเนื้อดีที่โดนฉีกออกมาจากสมุดสเก็ทช์แผ่นหนึ่งถูกสถาปนิกหนุ่มยื่นมาให้ตรงหน้า
“ผม...วาดมาให้ดู...” จินดาพูดกุกกักด้วยน้ำเสียงเจือแววประหม่า ลูกตาดำขลับใต้กรอบเรียวรีหลุบมองลงมาที่มือของตัวเองแทนใบหน้าหล่อเหลาทว่าเฉยชาของอีกฝ่าย
“อะไร?”
“รูป” สถาปนิกหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึกเล็กๆ “ไม่ได้สำคัญอะไรมาก..แต่ก็อยากให้พี่ดู”
“ไปวางไว้บนโต๊ะข้างนอกไป พี่ไม่ว่างดูตอนนี้” ว่าแล้วธีรชาติก็หันกลับไปหาจานพาสต้าต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะสนอกสนใจกับสิ่งที่คนพยายามง้อเอามาให้ดูเลยสักนิด
...โธ่...
จินดายืนนิ่งจัดการกับความรู้สึกปั่นป่วนในอกอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจขยับกายเข้าไปใกล้คนที่กำลังหันหลังให้เขาแล้วยื่นมือออกไปกระตุกชายเสื้อราคาแพงเบาๆ
“...แค่รับไปจากมือก็ไม่ได้เหรอครับ?...” สถาปนิกหนุ่มเอ่ยพ้อแล้วจึงค่อยๆพิงหน้าผากลงไปกับแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ
...ฝ่ามือหนาใหญ่ทั้งสองข้างที่กำลังวุ่นวายอยู่กับอาหารตรงหน้าชะงักความเคลื่อนไหวลงในตอนนั้นเอง...
จินดาขยับศีรษะชนหลังธีรชาติเบาๆอยู่สองถึงสามทีราวกับต้องการกระตุ้นให้อีกฝ่ายแสดงปฏิกิริยาอะไรออกมาบ้าง
ทุกกิจกรรมในห้องครัวหยุดนิ่งไปนานหลายชั่วอึดใจ กระทั่งในที่สุดนักธุรกิจคนดังก็ยอมหันกลับมาแล้วรับเอาแผ่นกระดาษเจ้าปัญหาไปจากมือของจินดาจนได้
“ขอบคุณครับ” สถาปนิกหน้าอ่อนกล่าวเช่นนั้น และเมื่อเห็นความความตั้งใจลุล่วงแล้วเขาจึงจำต้องเดินออกจากห้องครัวไปอย่างรู้สถานะปัจจุบันของตัวเองดี
ธีรชาติรอจนแผ่นหลังเล็กจ้อยนั่นหายลับจากสายตาไปแล้วจึงค่อยก้มลงสำรวจลายเส้นอันแสนคุ้นตาที่ปรากฏอยู่บนกระดาษในมือ
รูปการ์ตูนฉวัดเฉวียนจากปากกาหมึกดำจำนวนหลายรูปปรากฏอยู่ทั่วหน้ากระดาษ โดยตัวพระเอกที่ถูกวาดอยู่ในอิริยาบถพิลึกกึกกือต่างๆนั้นน่าจะเป็นรูปของตัวจินดาเองอย่างไม่ต้องสงสัย
...มีทั้งนายจินดาเวอร์ชั่นที่ถูกเสืองับ...
...มีทั้งนายจินดาเวอร์ชั่นที่ยืนกระต่ายขาเดียวคาบไม้บรรทัด...
...มีทั้งนายจินดาเวอร์ชั่นที่ทำสก็อตจัมพ์จนเหงื่อตก...
...มีทั้งนายจินดาเวอร์ชั่นที่นั่งพาดคออยู่ใต้ใบมีดกิโยติน...
...และอีกสารพัดสารเพวิธีการลงโทษ...
ที่มุมล่างของกระดาษ ลุงหนวดหน้าตาถมึงทึงในชุดพัศดีคุมนักโทษคนหนึ่งถูกวาดประดับไว้ตรงนั้นพร้อมด้วยคำพูดที่ถูกเขียนโยงออกมาจากปากว่า
...‘นายจินดาได้รับการลงโทษอย่างสาสมแล้วครับคุณธีรชาติ!!’...
ผู้บริหารหนุ่มคลี่ยิ้มขำขันออกมาบางเบา
...ดูสิ...
...ขนาดจะง้อกันก็ยังไม่ยอมทิ้งลายสถาปนิกช่างสรรสร้างไปไหน...
...จริงๆเลย...
เมื่อสำรวจรูปการ์ตูนตลกๆทั้งหมดจนถ้วนทั่วแล้วธีรชาติก็พลิกแผ่นกระดาษเพื่อตรวจสอบว่าหน้าหลังยังมีอะไรให้เขาได้เชยชมอีกไหม และปรากฏว่ามันก็มีจริงๆ
ทั้งที่รายละเอียดในหน้ากระดาษฝั่งนี้ถือว่าน้อยกว่าหน้าเมื่อสักครู่อยู่มากมายทีเดียว แต่กระนั้นผู้บริหารหนุ่มกลับใช้เวลาพิจารณามันนานกว่าหลายเท่านัก
ภาพอาคารที่เขารู้ดีว่ามันคือตึกเฮดควอเตอร์ของลิงเกอร์คอร์ปฯที่จินดาเป็นผู้ออกแบบถูกวาดตระหง่านอยู่เต็มหน้ากระดาษ ข้างๆตัวตึกมีผู้ชายสองคนที่ดูยังไงก็เป็นตัวเขากับจินดากำลังปีนไต่ระดับความสูงขึ้นไปราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นสไปเดอร์แมน แต่ดูเหมือนจินดาในรูปจะเสียหลักใกล้หล่นลงสู่พื้นเบื้องล่างเต็มที และหนึ่งสิ่งที่ยึดตัวสถาปนิกหนุ่มไว้ก็คือมือของเขานั่นเอง
...จินดาเวอร์ชั่นลายเส้นสีดำมีสีหน้าหวาดหวั่นและกำลังร้องตะโกนออกมาว่า ‘ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว อย่าเพิ่งปล่อยมือผมนะครับ’...
ธีรชาติอ่านทวนประโยคสุดท้ายซ้ำไปซ้ำมาราวกับว่ามันถูกเขียนไว้ด้วยอักษรเฮียโรกรีฟฟิกส์อันแสนเข้าใจยากอย่างไรอย่างนั้น
...ชายหนุ่มขยับปลายนิ้วหัวแม่มือสัมผัสเนื้อกระดาษไปมาเพียงแผ่วเบา ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีพื้นผิวที่ชวนให้รู้สึกเพลินมือแต่อย่างใด...
.
.
.
