ตอนพิเศษ 2
“เป็นอะไรหรือเปล่ารัก หน้าดูซีดๆ”
เสียงของพี่ชายเอ่ยทักขึ้นยามเห็นผู้เป็นน้องทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม ใบหน้าหวานแลดูซีดเซียวกว่าเคย สองวันมานี้พร้อมกานต์สังเกตเห็นว่ากานต์รักดูไร้เรี่ยวแรงและเอื่อยเฉื่อยราวกับไม่มีกำลัง คราแรกนึกว่าเป็นเพราะคิดถึงแพทริกแต่เช้านี้ดูท่าว่าจะไม่ใช่
“ช่วงนี้รักนอนไม่ค่อยหลับน่ะพร้อม” คำแก้ตัวที่น่าเชื่อถือที่สุดถูกตอบออกไปพร้อมทั้งพยายามกดความรู้สึกมึนหัวเอาไว้ไม่ให้แสดงอาการ
กานต์รักคิดว่าตัวเองคงจะป่วยเข้าจริงๆหลังจากที่อาการของวันนี้เป็นหนักกว่าเคย จากเพียงแค่มึนหัวคราวนี้กลับวิงเวียนเหมือนโลกหมุนกลับด้านทั้งยังมีอาการมวนท้องร่วมด้วย
“ไม่ได้ป่วยแน่นะ”
“...ไม่เลย”
คนโกหกไม่แนบเนียนแสดงพิรุธออกมาอย่างชัดเจนแต่ถึงอย่างนั้นพร้อมกานต์ก็ยอมปล่อยผ่านไม่เซ้าซี้เพราะคนเป็นน้องคงไม่อยากตอบจึงได้เลือกโกหก ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรต่อทำเพียงแค่เริ่มต้นทานอาหารเช้าขณะที่ลอบสังเกตกานต์รักอยู่ตลอด
“ไม่กินผักเหรอรัก ปกติเราก็กินนี่” เสียงทุ้มถามขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อจานของน้องมีผักซึ่งถูกเขี่ยออกวางอยู่ข้างๆ
“วันนี้รักไม่อยากกินเลย”
แม้จะแปลกใจกับตัวเองไม่ต่างกันแต่ก็สรุปเอาเองว่าคงเป็นเพราะอาการป่วยจึงทำให้ความอยากอาหารนั้นลดลง แม้จะยังทานอย่างอื่นได้ปกติแต่ผักที่ชื่นชอบกลับรู้สึกเหม็นเขียวเสียอย่างนั้น
“แปลกๆนะเรา”
“อาจจะเป็นผลมาจากการนอนน้อยนั่นแหละพร้อม”
คนฟังพยักหน้ารับถึงแม้จะยังคลางแคลงใจ ปริมาณการทานอาหารของผู้เป็นน้องยังคงปกติไม่ได้น้อยเหมือนแมวดมแต่อย่างใด น้ำส้มและนมจืดที่ถูกเตรียมไว้ให้เลือกทานกานต์รักก็ดื่มได้จนหมดทั้งสองแก้ว
“พร้อมเข้าไปดูร้านให้รักหลายวันแล้ววันนี้รักไปคนเดียวก็ได้ พร้อมพักผ่อนเถอะ” กานต์รักเอ่ยขึ้นหลังจากมื้อเช้าผ่านพ้นไป ดูเหมือนว่าเมื่อได้รับสารอาหารอาการทุกอย่างจะบรรเทาลง
“ไปดูร้านพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากสักหน่อย คุณไหมจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย อยู่เฉยๆก็เบื่อออกไปหาอะไรทำน่ะดีแล้ว”
“ถ้าพร้อมไม่เหนื่อยรักก็ไม่ว่า”
สองพี่น้องนั่งคุยกันเพื่อรออาหารย่อยอีกสักพักก่อนจะออกไปร้านอย่างเช่นทุกวัน รถคันหรูขับเคลื่อนไปตามการจราจรที่หนาแน่นของกรุงเทพ ดวงตาโตที่ทอดมองข้างทางเริ่มปรือปิดด้วยความเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกอ่อนเพลียเข้ามาแทนที่จนในที่สุดกานต์รักก็ผล็อยหลับไป
พร้อมกานต์ทอดมองใบหน้าของน้องที่อิงแนบอยู่กับกระจกนิ่งก่อนร่างสูงจะขยับเข้าหาจากนั้นจึงค่อยๆช้อนหัวเล็กให้เอนพิงกับไหล่ของตัวเอง
คงต้องพากานต์รักไปหาหมออย่างจริงจังแล้ว
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
เนื่องจากเพราะเป็นวันหยุดลูกค้าจึงแวะเวียนมาซื้อขนมทั้งยังเข้ามานั่งพักผ่อนให้กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังและน้ำชาเยียวยาความเหนื่อยล้าจากเรื่องต่างๆให้บรรเทา เค้กในตู้ที่ทำเผื่อไว้มากมายร่อยหรอจนไม่น่าจะเหลือพอถึงร้านปิด กานต์รักต้องเข้ามาช่วยจัดการเรื่องตกแต่งหน้าเค้ก ร่างเล็กจึงวิ่งวุ่นไม่ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ
“คุณรักเหงื่อออกเต็มเลยค่ะ”
ผู้ช่วยเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นได้ว่าตามกรอบหน้าหวานชื้นไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ แม้จะรู้ตัวแต่กานต์รักก็ทำได้เพียงแค่รับทิชชู่มาเช็ดออกลวกๆเพราะไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
“ตรงนี้เสร็จแล้วครับ ยกออกไปได้เลย”
ร่างเล็กพูดพร้อมทั้งหอบหายใจ สองมือที่วางอยู่บนขอบโต๊ะกว้างบีบเข้าหากันแน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่ออาการที่เป็นมาตั้งแต่เช้ากำลังเล่นงานให้ความทรมานกัดกินร่างกายทีละน้อย
เป็นอะไรนะ...
“คุณรักพักหน่อยไหมคะ หน้าซีดมากเลย”
กานต์รักอยากจะฝืนตอบออกไปว่าไม่เป็นไรแต่ร่างกายกลับส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าหากไม่หยุดคงล้มทรุดลงตรงนี้ ใบหน้าหวานซีดเซียวจึงจำต้องกดรับ ก่อนจะพยุงร่างกายอันหนักอึ้งเดินออกไปจากห้องเพื่อตรงไปยังห้องทำงาน แต่แล้วยังไม่ทันจะถึงความวูบโหวงก็แล่นเข้ามาในหัวให้ทุกอย่างวืดไหว
“พี่รัก!”
เด็กหนุ่มที่กำลังจะเดินมารายงานเรื่องขนมหน้าร้านรีบถลาเขามาพยุงคนที่ซวนเซจะล้มลง กานต์รักสะบัดหัวตัวเองไปมาสองสามทีเพื่อเรียกสติอันมึนเบลอ
“มะ มิน”
“ไหวไหมครับพี่รัก”
“พี่ไหว สงสัยจะก้มๆเงยๆนานไปหน่อย”
“แต่พี่รักหน้าซีดมากเลยนะครับ ไปหาหมอดีกว่าไหม”
“ไม่ปะ...”
“มีอะไรน่ะมิน รักเป็นอะไร”
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นพร้อมๆกับการพรวดพราดเข้ามาหาน้องชายที่ถูกแฟนตัวเองกำลังพยุงอยู่ พร้อมกานต์ยื่นมือไปรับร่างเล็กไร้เรี่ยวแรงเข้ามาในอ้อมแขน ทอดสายตามองกานต์รักด้วยความเป็นห่วง
“พี่รักเหมือนจะเป็นลมครับ”
“แค่วูบน่ะพร้อม” คนป่วยรีบเอ่ยแก้ตัวก่อนจะต้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นสายตาเข้มดุที่จ้องมองมา
“ไปหาหมอ” คำสั่งเรียบนิ่งเอ่ยสั้นๆบ่งบอกว่าไม่ให้กานต์รักปฏิเสธ
“แต่ว่า...”
“ฝากดูทางนี้ด้วยนะมิน บอกคุณไหมให้ตัดสินใจได้ทุกอย่าง ถ้ามีปัญหาจริงๆก็ให้โทรหาพี่”
“ได้ครับ”
พร้อมกานต์พยักหน้าเมื่ออีกคนรับคำ ท่อนแขนใหญ่สอดเข้าใต้ร่างของน้องชายช้อนคนป่วยขึ้นจากนั้นจึงเดินตรงไปยังรถคันหรูเอ่ยบอกกับลูกน้องสั้นๆว่าไปโรงพยาบาล
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“โอเค เท่าที่หมอตรวจดูอย่างละเอียดแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ ไมเกรนไม่ได้กำเริบ อาการมึนหัววิงเวียนก็เป็นผลมาจากการนอนน้อยและความเครียด ส่วนอื่นๆก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”
ทั้งสองนั่งฟังหมอประจำตัวของกานต์รักที่ถูกเรียกตัวด่วนมาเพื่อรักษาคนป่วยคนสำคัญโดยเฉพาะรายงานเรื่องผลการตรวจอย่างละเอียด
“เห็นไหม รักบอกแล้วว่าแค่นอนน้อย” คนเป็นน้องหันมาพูดกับพร้อมกานต์เบาๆพลางระบายยิ้มยืนยันว่าได้เป็นอะไรมาก
“แต่ว่า...หมอมีอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่จะบอก ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจเลยส่งเรื่องต่อให้กับหมอเฉพาะทางด้านนี้แล้วก็พบว่าผลยังเหมือนเดิม”
นายแพทย์หนุ่มยกยิ้มมองสองพี่น้องตรงหน้าอย่างยินดีเมื่อสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายมีอาการอย่างนี้ไม่ใช่อาการป่วยอย่างที่เข้าใจ
“อะไรครับ?” พร้อมกานต์ถามขึ้นอย่างกลัวว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง
“ยินดีด้วยนะครับ ตอนนี้คุณรักตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์แล้ว” “...”
“...”
หลังจากที่คุณหมอพูดจบกานต์รักก็ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น โลกตรงหน้าพลันหยุดนิ่งราวกับทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว หูทั้งสองข้างดับสนิท สมองหยุดการทำงาน นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นไม่มีแม้แต่คำจะเอ่ย
“นะ น้องผมท้องอย่างนั้นเหรอครับหมอ” เป็นพร้อมกานต์ที่เรียกสติตัวเองได้ก่อนแล้วถามหมอออกไปเพื่อตอกย้ำประโยคเมื่อครู่ให้แน่ชัด
“ใช่ครับ แปดสัปดาห์แล้ว”
“...แต่หมอเคยบอกว่ารักเป็นคนท้องยาก ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงต้องทานยาก่อนถ้าหากจะมีลูกไม่ใช่เหรอครับ”
“ใช่ครับ แต่ดูท่าว่าคุณพ่อจะแข็งแรงมากจึงทำให้คนไข้ท้องได้โดยไม่ต้องทานยาเพื่อปรับร่างกายใดๆ อีกอย่างคือ...คงเพราะมี
ความสม่ำเสมอมาก เขาเลยมาแล้วครับ”
ประโยคยาวเหยียดนั้นเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างทว่ากานต์รักก็ได้ยินคำว่าสม่ำเสมอนั้นอย่างชัดเจนจนความเขินอายแทรกเข้ามาแทนที่ความตื่นเต้น
ช็อก ยินดี และดีใจอย่างที่สุด
“มะ หมอไม่ได้ตรวจผิดนะครับ รักท้อง...จริงๆใช่ไหม”
คนที่เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอถามออกมาทั้งที่ใจหยุดเต้นไปกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง มือไม้เย็นเฉียบบีบเข้าหาจนพร้อมกานต์ต้องเอื้อมมาจับ
“จริงแท้ไม่มีผิดแน่นอนครับ”
เมื่อได้รับการยืนยันอีกครั้งน้ำตามากมายก็ค่อยๆไหลรินเปรอะใบหน้าของว่าที่คุณแม่ด้วยความดีใจ มือบางวางแนบลงบนหน้าท้องที่ยังแบนราบ ความรู้สึกเต็มตื้นไหลวนอยู่ในร่างกาย ในหัวคิดถึงคนรักอย่างสุดหัวใจ
ถ้าคุณแพทรู้จะเป็นยังไง จะดีใจแค่ไหน...ครอบครัวของเรา
“ยังไงเดี๋ยวหมอจะส่งตัวให้หมอสูติอีกทีนะครับ”
“ครับ” พร้อมกานต์รับคำ
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวให้พยาบาลนำทางไปเลย ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ”
กานต์รักยิ้มรับทั้งน้ำตา อ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นพี่จึงทำหน้าที่โอบประคองร่างเล็กๆนั้นขึ้นเพื่อเดินตามพยาบาลไปอีกแผนก ใบหน้าเล็กซุกซบอยู่กับอกกว้าง เสียงสะอื้นไห้ด้วยความปิติดังแผ่วเบาไปตลอดทาง
พร้อมกานต์นั้นทั้งยินดีและดีใจไม่แตกต่าง ความรู้สึกข้างในมากล้นจนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใดนอกจากทำได้เพียงกดจูบลงบนหัวของน้องชายที่กำลังจะก้าวไปอีกขั้นอย่างแนบแน่นแทนความรู้สึกทั้งหมด
น้องตัวน้อยๆของเขากำลังจะเป็นแม่คนแล้ว
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลกานต์รักก็ถูกสั่งให้นอนอยู่นิ่งๆ ข่าวดีนี้ถูกบอกกระจายไปทั่วและถูกสั่งห้ามไม่ให้รายงานแพทริกเนื่องจากว่าที่คุณแม่อยากบอกเองกับตัว ร่างเล็กนอนทอดกายอยู่บนเตียงกว้าง จับจ้องแผ่นท้องของตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นเรียกสติให้หลุดจากภวังค์
พอรู้ว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใครกานต์รักก็สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจ จากนั้นจึงกดรับ
(มีคนบอกว่านายไปโรงพยาบาล ไปทำอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า)
น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายทำให้คนที่เพิ่งได้รับข่าวดีที่สุดในชีวิตแย้มยิ้มทั้งน้ำตา ความรู้สึกเต็มตื้นในอกมากล้นจนไม่อาจจะอธิบายได้
หลังมือเล็กถูกยกขึ้นมาไล้น้ำตาออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกน้ำตาให้ไหลกลับก่อนที่อีกคนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
(กานต์รัก! ตอบฉันสิ)
ยิ่งคนรักเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงตอบรับแพทริกยิ่งร้อนรน เสียงทุ้มเจือความห่วงใยจนกานต์รักต้องรีบเอ่ยตอบ
“...รักแค่ไปตรวจสุขภาพครับ”
(ตรวจทำไม เป็นอะไร รู้สึกไม่ดีตรงไหนบ้าง หรือว่านายป่วย แล้วหมอว่ายังไง เป็นโรคอะไรหรือเปล่า)
คำถามมากมายถูกส่งมารัวเร็วจนกานต์รักฟังแทบไม่ทัน อาการกังวลเกินเหตุของคนตัวโตทำให้ร่างเล็กถึงกับหลุดหัวเราะ
“คุณแพทครับ รักไม่ได้เป็นอะไรเลย ปกติสบายดีทุกอย่าง”
ตอบคำถามคนเป็นห่วงยามมือบางสัมผัสลูบไล้หน้าท้องที่ยังแบนราบไปด้วยแผ่วเบา หัวใจดวงน้อยฟูฟ่องราวกับมีลูกโป่งลอยอยู่ข้างในเป็นร้อยเมื่อรู้ว่ามีใครอยู่ในนี้
ลูกจ๋า... ดีใจเหลือเกิน
(ถ้าอย่างนั้นนายไปตรวจสุขภาพทำไม ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่สบายถึงได้ไปหรือไง)
ไปโรงพยาบาลไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรแต่ในความคิดของแพทริกมันคือสถานที่ที่ไม่ดีเสมอ หากเป็นไปได้เขาไม่แม้แต่อยากจะให้ร่างเล็กเฉียดเข้าใกล้
“คือ... คุณหมอประจำตัวรัก เขา...เขาแวะมาซื้อขนมที่ร้าน เลยเตือนว่าปีนี้ยังไม่ได้ตรวจสุขภาพรักก็เลยไปครับ”
ระหว่างตอบก็คิดหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะทำให้แพทริกเชื่อไปด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยนั้นจึงตะกุกตะกักไม่ต่อเนื่องจนกลัวว่าจะถูกจับได้
(จริงหรือ?)
แพทริกยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดเพราะกานต์รักมักเก็บเรื่องไม่สบายใจเอาไว้กับตัวมากกว่าจะพูดออกมา กลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรแต่ไม่ยอมบอกกัน
“จริงๆครับ รักสบายดี ไม่เชื่อก็เปิดกล้องคุยสิครับ”
(นั่นสิ แล้วทำไมฉันไม่วิดีโอคอลหานายตั้งแต่แรก)
แพทริกนึกตลกตัวเองขึ้นมาครามครัน เพราะความเป็นห่วงอันมากล้นทำให้ลืมเลือนทุกอย่างไปสนิท ในหัวคิดเพียงแค่ว่าต้องติดต่อกานต์รักให้เร็วที่สุดจนลืมไปว่าวิธีการคุยกันพร้อมทั้งเห็นหน้าไปด้วยมีมาแล้วเนิ่นนาน
คิดได้ดังนั้นนิ้วแกร่งจึงกดเปิดกล้องก่อนไม่นานใบหน้าของคนที่คิดถึงสุดหัวใจจะปรากฏให้เห็นพร้อมรอยยิ้มหวาน
“รักสบายดีเห็นไหมครับ”
ใบหน้าหวานทอประกายความสุขเอ่ยพร้อมด้วยเสียงสดใส ดวงตาโตระยิบระยับจนคนมองสัมผัสได้ถึงเรื่องราวดีๆจากอีกฝั่ง
(เห็นอย่างนี้ฉันค่อยเบาใจ)
เมื่อกานต์รักดูร่าเริงออกมาจากข้างในไม่ได้แสร้งทำแพทริกจึงสบายใจได้ว่าอีกคนคงไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่กังวล ร่างบางโกหกไม่เก่งนักและดวงตาที่ราวกับแก้วสุกใสนี้มันไม่เคยโกหกเขาได้
“รักมีความสุขมากเลยครับ”
กานต์รักพูดออกมาเมื่อความรู้สึกข้างในมันเต็มตื้นจนเกินทน แม้ตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องลูกไว้เซอร์ไพร์สวันที่คนรักกลับมาแต่ความรู้สึกแห่งความสุขนี้ก็อยากบอกให้อีกคนรับรู้
(มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ)
ใบหน้าและดวงตาที่แพทริกแสนหลงใหลมันมีประกายของความสุขลอยออกมาจนแม้แต่คนที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกยังสัมผัสได้ เรื่องที่ว่ากานต์รักป่วยถูกสลัดออกไปไม่มีเหลือยามเห็นท่าทางสดใสตรงหน้า
“ดี...มากๆเลยครับ” คนตอบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
(เรื่องอะไร บอกฉันได้หรือเปล่า)
คิ้วเข้มขมวดเป็นปมน้อยๆด้วยความอยากรู้ บางอย่างในใจสะกิดเตือนแต่แพทริกกลับสลัดมันออกไป
“เอาไว้กลับมาเราค่อยคุยกันนะครับ ว่าแต่งานของคุณแพทเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
หากยังพูดเรื่องนี้มากไปกว่านั้นไม่พ้นว่ากานต์รักอาจหลุดบอกสาเหตุของความสุขออกไปและแน่นอนว่าความวุ่นวายมหาศาลจะเกิดขึ้น ว่าที่คุณแม่จึงต้องเอ่ยไปถึงอีกเรื่องเพื่อเปลี่ยนประเด็นให้หลุดออกจากหัวข้ออันตราย
(มีบ้างเป็นธรรมดา...เพิ่งผ่านไป4วัน คิดถึงนายจะแย่)
วกกลับมาเรื่องของความคิดถึงที่กัดกร่อนหัวใจและความคิดอยู่ทุกวินาที ยิ่งเห็นใบหน้าหวานอยู่ตรงหน้าความรู้สึกอยากกอด อยากจูบ อยากคลอเคลียยิ่งมากล้น
คิดถึงกลิ่นหอมอ่อนที่กรุ่นติดปลายจมูก อยากดอมดมให้หายคิดถึง อยากฟัดร่างหอมหวานอย่างที่ใจอยาก
“อดทนนะครับ รักก็คิดถึง คิดถึงคุณแพทมากๆ”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยทอดอ่อนหวานจนแพทริกอยากจะดึงอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดแล้วรัดแน่นๆด้วยท่อนแขนของตัวเอง ทว่าเพราะรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้นิ้วมือแกร่งจึงทำได้เพียงยกขึ้นมาไล้หน้าจอโทรศัพท์แผ่วเบา
(รัก...)
“ครับ?” เจ้าของชื่อขานรับยามอีกคนเอ่ยแล้วก็เงียบเสียงไป
(ไม่ได้เรียก...แต่ฉันบอกว่ารัก) ถ้อยคำแสนหวานพร้อมรอยยิ้มมุมปากทำให้ใบหน้าคนมองเห่อร้อน ระยะทางที่แสนห่างไกลดูจะไม่ได้เลวร้ายอย่างคิดเมื่อแพทริกยังคงทำให้ใจดวงน้อยสั่นไหวรุนแรงแม้ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ความรู้สึกฟูฟ่องล่องลอยอยู่ในอก
“...ปากหวานจังครับ” คนเขินเอ่ยออกไปเสียงเบา
(ไม่บอกรักฉันกลับบ้างหรือ แพทริกกระเซ้าทีเล่นทีจริง
“คุณแพทก็รู้อยู่แล้วนิครับ”
(แต่ฉันอยากได้ยิน)
“แกล้งรักอีกแล้ว”
นัยต์ตาคมมีแววสนุกประกายชัดจนคนโดนแกล้งบ่นเง้างอน ท่าทางน่ารักนั้นทำให้แพทริกหลุดหัวเราะ ใจที่เหนื่อยล้าโหยหาราวกับได้น้ำมารินรดชื่นฉ่ำ พลังที่ถูกส่งมาจากร่างเล็กๆทำให้มีกำลังใจจะต่อสู้กับเวลาอีก6วันได้อีกมาก
(หึหึ ถ้าอยู่ตรงหน้าฉันจะจับนายมาฟัด) แค่เห็นจากตรงนี้ความมันเขี้ยวยังมากล้นจนแพทริกต้องทดเอาไว้ในใจว่าหากเจอหน้าจะจับกานต์รักมาฟัดให้เต็มแรง
“รักไม่ใช่ตุ๊กตาเสียหน่อย”
(ฉันรู้ ตุ๊กตาที่ไหนจะตอดรัดฉันได้ขนาดนี้)
“คุณแพท!”
คนฟังร้องเสียงหลง เขินอายกับคำพูดแสนทะลึ่งนั้นจนโทรศัพท์แทบล่วงหล่นจากมือ แก้มเนียนที่เห่อร้อนก่อนหน้าคราวนี้ไหม้จนแทบสุก
(โทษที ฉันจะพูดว่าตอบรับ ลิ้นมันพันกัน)
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และดวงตาแพรวพราวทำให้รู้ว่าคราแรกแพทริกนั้นตั้งใจแต่ประโยคเมื่อครู่ต่างหากที่เพียงแค่แกล้งพูด ยิ่งสบตากันกานต์รักยิ่งไม่อาจทน ต้องคว่ำหน้าโทรศัพท์ลงให้ฝ่ายนั้นเห็นเพียงความมืดมิดจนได้ยินเสียงร้องเรียกตามมา
(กานต์รัก)
“รักไม่คุยกับคุณแพทแล้ว”
คนอายเอ่ยทั้งที่สายตายังคงจับจ้องโทรศัพท์หรูไม่วางตา สองข้างแก้มเกิดไอร้อนจนต้องแนบมือประกบก่อนจะนวดวนเบาๆบรรเทาความขัดเขิน
คุณแพทบ้า อยู่ห่างขนาดนี้ยังแกล้งกันอีก
(ฉันไม่แกล้งแล้ว เงยโทรศัพท์ขึ้นให้ฉันเห็นหน้าเถอะ)
เสียงทุ้มเอ่ยเว้าวอนแม้จะเจือด้วยเสียงหัวเราะอยู่เล็กน้อย กานต์รักยู่ปากใส่แม้อีกคนจะมองไม่เห็น ร่างเล็กไม่ตอบกลับใดๆ ขณะปากเล็กก็บ่นพึมพำให้ลูกฟังไปด้วย
‘โตมาลูกห้ามเป็นแบบนี้นะครับ พ่อขี้แกล้ง ชอบทำให้แม่อาย นิสัยไม่ดีเลย’
(กานต์รัก...)
ดวงตาโตเลื่อนจากหน้าท้องที่ยังแบนราบของตัวเองไปยังโทรศัพท์อีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยเรียก นิ่งมองอยู่ชั่วครู่ก่อนหยิบมันขึ้นมาให้อีกคนได้เห็นตัวเองอย่างที่ร้องขอ
“คุณแพทชอบแกล้ง”
(หึ ไม่ให้ฉันแกล้งนายแล้วจะให้แกล้งใคร ก็มีเมียอยู่คนเดียว)
สรรพนามที่ถูกเรียกขานทำให้กานต์รักต้องเม้มปากเข้าหา แม้จะอยู่ด้วยกันมานาน ถูกเรียกด้วยคำนี้มาหลายหนทว่าก็ยังไม่เคยชินหูสักที
“ละ ลองมีหลายคนสิครับ” ...รักจะหอบลูกหนีเลย
ประโยคหลังถูกต่อเพียงในใจ
(ไม่กล้ามีหรอก กลัวนายจะร้องไห้)
แพทริกหัวเราะ นึกไม่ออกว่าคนอย่างกานต์รักจะทำอะไรนอกจากร้องไห้ด้วยความเสียใจ ครั้นจะลุกขึ้นมาโวยวายด่าทอเขาคงไม่มีทางเป็นไปได้
“คุณแพทห้ามมีคนอื่นจริงๆนะครับ”
ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อหัวข้อสนทนายังคงเป็นเรื่องที่หวั่นใจอยู่ลึกๆ กานต์รักขมวดคิ้วเป็นปม มองหน้าคนรักอย่างเศร้าสร้อย คิดไปถึงหากแพทริกมีคนอื่นตัวเองจะเป็นอย่างไร
ไม่เอา...ไม่ให้คุณแพทมีคนอื่น
ฝ่ามือบางโอบท้องตัวเองเอาไว้แน่น
(ฉันจะมีคนอื่นได้ยังไง อยู่ดีๆคิดมากทำไมหือ)
คนขี้แกล้งเลิกล้อเล่นก่อนเอ่ยบอกร่างเล็กด้วยความจริงจังระคนอ่อนโยน ดวงตาคมมองสบมาด้วยความมั่นคง หนักแน่น
“สาวๆอิตาเลียนมีแต่คนบอกว่าสวย” เอ่ยตอบเสียงเบา
(ฉันชอบคนน่ารัก ใครก็น่ารักสู้เมียฉันไม่ได้)
พอถูกเอาใจด้วยคำพูดคนที่คิดไปไกลก็ระบายยิ้ม สลับอารมณ์ไปมาจนแพทริกเริ่มงุนงง
“น่ารักก็ต้องรักเยอะๆนะครับ”
ประโยคอ้อนขอทำให้แพทริกแทบอยากจะบอกนักบินให้เตรียมตัวบินกลับเมืองไทยเสียเดี๋ยวนี้ ดวงตาโตทอความเว้าวอน เอ่ยพูดด้วยเสียงไม่มั่นใจอย่างน่ารักในสายตา
(แค่นี้ฉันก็รักนายจนไม่เหลืออะไรให้รักแล้ว แล้วก็เลิกทำหน้าตาน่ารักแบบนั้นสักที ฉันอยากอดทนไปทำกับนายไม่ใช่ทำกับมือตัวเอง)
ตาโตเบิกกว้างให้กับประโยคแสนตรงจากคนรักก่อนใจที่วูบไหวไปไม่กี่วินาทีก่อนหน้าจะเต้นถี่รัว ริ้วแดงปรากฏบนแก้มเนียนจางๆ
“อะ อีก6วันนะครับ”
(เตรียมตัวไว้เลย ฉันหิวขนาดนี้กินนายไม่มีเหลือแน่ๆ)
“คุณแพทคนหื่น”
เพราะหื่นขนาดนี้เจ้าเม็ดถั่วแดงเลยถือกำเนิดอยู่ในท้องทั้งที่ปกติแล้วควรจะมีการเตรียมตัวและพึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทุกขั้นตอน ขณะที่คนถูกว่าหัวเราะร่วน ไม่ได้นึกจะเถียงกับคำกล่าวว่านั้นสักนิด
การคุยกันผ่านเครื่องมือสื่อสารแห่งยุคดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีเบื่อ แพทริกกระเซ้าเย้าแหย่คนรักบ้าง อ้อนคิดถึงบ้าง เป็นอย่างนั้นไปกระทั่งถึงเวลาต้องออกไปข้างนอกจึงต้องวางสาย ร่ำลากันด้วยถ้อยคำแสนหวานก่อนสัญญาณจะถูกตัดไปให้หน้าจอที่เคยปรากฏใบหน้าคนรักมืดสนิท
“รอแดดดี๊อีก6วันนะครับคนเก่ง”
เสียงหวานเอ่ยละมุนกับคนในท้อง ความอบอุ่นยามรู้ว่าสิ่งที่แสนวิเศษอยู่ในร่างอาบล้นทั่วกาย ใบหน้าสวยแย้มยิ้ม แม้คิดถึงคนรักแต่เม็ดถั่วแดงนี้ก็ทำให้สุขใจทดแทนกันได้
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋