ตอนที่ 15
“เป็นเรื่องที่ดีนะเนี้ยที่ฝรั่งนั่นไม่อยู่ พี่จะได้มีเวลาอยู่กับน้องตั้งหนึ่งอาทิตย์แหนะ”
พร้อมกานต์ที่อยู่ในสภาพหัวชี้ฟูจากการพึ่งตื่นนอนเอ่ยขึ้น ร่างสูงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารซึ่งมีโจ๊กส่งกลิ่นหอมฉุยวางอยู่ตรงหน้า
กานต์รักเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วทรุดตัวลงนั่งอีกฝั่ง ดวงตาโตมองหน้าคนพูดก่อนจะส่ายหน้าใส่เบาๆ
“ใช่ว่าตอนรักไม่อยู่พร้อมจะเหงาอยู่ห้องคนเดียว เห็นออกไปไหนต่อไหนทุกวันเลย”
ช่วงเวลากลางคืนคนเป็นพี่ออกไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนตลอด พร้อมกานต์เองก็มีเพื่อนในเมืองไทยไม่น้อย ตอนกลางวันยังมีนัดทานข้าวกับเพื่อนคนอื่นๆอยู่หลายครั้ง
“พี่น่ะออกไปเที่ยวแล้วก็กลับมา แต่เราโดนขโมยตัวไปกว่าจะถูกปล่อยก็ตอนเช้านู้น”
หลังเลิกงานรถยนต์คันหรูจะมาจอดเทียบท่ารออยู่หน้าร้าน เช้าของอีกวันถึงได้กลับมาอีกครั้ง อย่างนี้ไม่เรียกว่าถูกขโมยตัวไปจะเรียกว่าอะไร คราวนี้ฝรั่งตัวโตไปทำงานตั้งหนึ่งอาทิตย์ ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีที่พร้อมกานต์จะได้อยู่กับผู้เป็นน้องเสียที
“พร้อมพูดอย่างกับว่าคุณแพทเป็นโจรอย่างนั้นแหละ ขโมยรักอะไรกัน” เสียงเล็กเอ่ยพูดอ้อมแอ้มอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปาก
“หึ น้อยไปสิ คุณแพทริกของรักน่ะยิ่งกว่าโจรเสียอีก”
“ไม่เอาแล้ว กินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวรักต้องรีบออกไปร้านเพราะนัดลูกค้าเอาไว้ พร้อมดูร้านให้รักมาหลายวันแล้ววันนี้ก็พักนะ”
กานต์รักรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่พี่ชายจะพูดอะไรเข้าตัวไปมากกว่านี้
“งั้นเดี๋ยวยังไงพี่แวะเข้าไปช่วยตอนบ่ายๆก็แล้วกัน ตอนนี้ขี้เกียจอาบน้ำ” พร้อมกานต์รู้ทันคนเป็นน้องแต่ทว่ายอมตามน้ำอย่างที่กานต์รักต้องการ
มือหนาจึงหยิบช้อนซึ่งวางอยู่ข้างๆมาตักโจ๊กปลากะพงของโปรด ผู้เป็นน้องพยักหน้ารับก่อนต่างฝ่ายจะลงมือทานอาหารของตัวเอง
กานต์รักรีบออกจากคอนโดมาแต่เช้าเผื่อการจราจรที่ติดขัดเนื่องจากมีนัดกับลูกค้า หนึ่งอาทิตย์ที่คนตัวโตไม่อยู่เขาเองก็คงยุ่งและหัวหมุนไม่น้อย อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องดีเพราะเวลาว่างที่จะทำให้นึกถึงคงลดลงไปบ้าง
“มาเช้าจังเลยครับคุณไหม” เสียงหวานเอ่ยทักทายหญิงสาวผู้เป็นผู้จัดการร้านเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงก่อนแล้ว
“กลัวรถติดน่ะค่ะ แต่ไหมก็มาถึงก่อนคุณรักได้ไม่ถึง5นาทีนี้เอง”
“ยังไงรักฝากเช็คความเรียบร้อยต่างๆก่อนนะครับ ว่าจะไปเตรียมขนมซักหน่อย”
“ได้ค่ะ ฝ่ายทำขนมก็น่าจะมาครบแล้ว”
“โอเคครับ”
เนื่องจากวันนี้มาถึงร้านแต่เช้ากานต์รักจึงมีเวลาเตรียมขนมเอง แม้ว่าจะมีฝ่ายทำขนมอยู่แล้วทว่าหากมีเวลาก็จะลงมือทำด้วยตัวเองในบางส่วน
ร่างเล็กเตรียมตัวเรียบร้อยก่อนจะเข้าไปในห้องทำขนม เจ้าของร้านหน้าหวานขลุกตัวอยู่ในนั้นกระทั่งถึงเวลาจึงได้ละมือให้พนักงานทำต่อ เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงในการพูดคุยเรื่องรายละเอียดและการเซ็นสัญญา กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเสร็จสิ้นก็ล่วงเลยไปจนถึงเที่ยงเศษๆ
ขาเรียวสวยภายใต้กางเกงเนื้อดีสีขาวก้าวพาตัวเองเข้ามายังห้องทำงานส่วนตัวก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน สมุดเล่มเล็กสำหรับจดบันทึกถูกหยิบขึ้นมาก่อนมือบางจะเขียนแผนงานคร่าวๆลงไป ทว่ายังไม่ทันจะเรียบร้อยดีก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรู
ดวงตาโตมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนรอยยิ้มหวานละมุนจะค่อยๆปรากฏ
“ครับแม่”
ใบหน้าหวานที่คล้ายคลึงกับตัวเองปรากฏขึ้นบนหน้าจอให้กานต์รักเอ่ยทักทาย
(รักทำอะไรอยู่ลูก ยุ่งหรือเปล่า)
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ รักแค่กำลังจดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเรื่องงาน แม่พึ่งตื่นหรือครับ”
ด้วยเพราะชุดคลุมผ้าลื่นที่เป็นชุดนอนประจำของแม่ปรากฏให้เห็นอยู่บนกายกานต์รักจึงเอ่ยถาม แววตาสุกใสเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะทำงานก่อนจะคำนวณเวลาคร่าวๆในใจ ตอนนี้ที่นู้นก็พึ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้นเอง
(ใช่จ้ะ คิดว่าตอนนี้ที่นั่นเที่ยงลูกน่าจะว่างพอดีแม่เลยโทรมา)
“แล้วพ่อล่ะครับ”
(ลงไปออกกำลังกายน่ะจ้ะ...ช่วงนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรดูผิดปกติใช่ไหมลูก)
กานต์รักเข้าใจในสิ่งที่แม่ถามดี รอยยิ้มหวานจึงถูกส่งให้ปลายสายอย่างบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ผู้ให้กำเนิดนึกห่วง
“ไม่มีครับ คนของพ่อกับแม่หูตาไวยิ่งกว่าอะไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาต้องรู้แน่นอนแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกอย่างก็มีพร้อมอยู่ทั้งคน”
(แม่รู้จ้ะ แต่ก็ยังอยากถามลูกเพื่อความสบายใจ...ว่าแต่พี่เราไปไหนล่ะนั่น)
“พร้อมกำลังจะออกมาที่นี่ครับ เห็นว่าออกมาซักพักแล้วอีกเดี๋ยวก็คงถึง”
(เห็นพ่อบอกว่าพี่ชายเรากำลังจะซื้อรถใหม่อีกแล้ว บอกว่าเอาไว้ขับที่เมืองไทย)
“อีกแล้วเหรอครับ”
กานต์รักเอ่ยถามเสียงหลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูด แม้พี่ชายจะพึ่งกลับมาเมืองไทยในรอบสองปีแต่ใช่ว่าจะไม่มีรถส่วนตัว นั่นคงเป็นเพียงข้ออ้างที่อยากจะซื้อคันใหม่เสียมากกว่า
กานต์รักคุยกับแม่ต่ออีกราวๆครึ่งชั่วโมงก่อนจะวางสาย มือเล็กหยิบสมุดจดที่ยังไม่เรียบร้อยขึ้นมาจดต่อพร้อมกับอ่านตรวจทาน
Rrrrrrr เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา ตาโตกวาดมองรายละเอียดบนหน้ากระดาษพร้อมกับยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับทั้งที่ไม่ได้ดูเบอร์
แม่อาจจะลืมพูดอะไรบางอย่างถึงได้โทรมาอีกครั้ง
“ว่าไงครับ ลืมบอกอะไรรักหรือ”
(บอกอะไร?)
ทว่าเสียงทุ้มนิ่งที่ตอบกลับมากลับไม่ใช่เสียงเล็กๆของผู้เป็นแม่ กานต์รักวางสมุดในมือลงพร้อมกับผละโทรศัพท์ห่างจากหูเพื่อดูเบอร์ ปลายสายเป็นหมายเลขที่ถูกโทรเข้าจากต่างประเทศเช่นเดียวกันแต่ไม่ใช่รหัสจากประเทศที่ผู้ให้กำเนิดอยู่ เป็นเบอร์เดียวกันกับที่ส่งข้อความมาบอกเขาว่าเดินทางถึงอเมริกาแล้วในเมื่อวาน
“คุณแพทหรือครับ” เสียงหวานใสที่เอ่ยออกไปทั้งสั่นด้วยความตื่นเต้น ดีใจ และคิดถึง
แม้ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องบอกว่าเมื่อคืนยามไร้อ้อมแขนแข็งแรงคอยโอบกอดก็ทำให้กานต์รักแทบนอนไม่หลับ คนตัวสูงไปถึงนู้นแล้วก็เพียงส่งข้อความมาบอกจึงยังไม่ได้คุยกัน พออีกฝ่ายโทรมาอย่างนี้จึงอดดีใจไม่ได้
(ก็ฉันน่ะสิ นายคิดว่าใคร เมื่อกี้คุยกับใครอยู่?)
ยิ่งเอ่ยเสียงทุ้มยิ่งเข้มขึ้นจนกานต์รักกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแน่ทว่าใจดวงน้อยกลับเต้นถี่รัวขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายเคล้นถามราวกับไม่พอใจเมื่อคิดว่าเขาคุยกับใครอื่น
จะเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้วนะกานต์รัก
“รักคุยกับแม่ครับ นึกว่าแม่ลืมบอกอะไรถึงได้โทรมาอีก...ไม่ได้คุยกับคนอื่นเลย”
(อย่างนั้นก็แล้วไป แล้วนี่ทำอะไรอยู่?) ได้ยินคำตอบเสียงที่ติดเข้มจึงเอ่ยกลับมาในระดับปกติ
“รักนั่งดูตารางงานอยู่ครับ อาทิตย์นี้ต้องทำขนมสำหรับเลี้ยงงานวันเกิดเลยจดตารางเตรียมการคร่าวๆเอาไว้”
(แสดงว่าอาทิตย์นี้จะยุ่ง?)
“ก็คงจะอย่างนั้นครับ แล้วคุณแพทล่ะครับทำอะไรอยู่”
กานต์รักเป็นฝ่ายถามบ้างเพราะอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่าย ที่นู้นเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วทำไมถึงยังไม่นอน
(ฉันพึ่งคุยงานเสร็จ กำลังจะอาบน้ำแล้วก็จะเข้านอน)
“ที่นู้นดึกแล้วนะครับ ถ้าอย่างนั้นรักว่าคุณแพทรีบอาบน้ำแล้วก็รีบเข้านอนดีกว่า จะได้พักผ่อน”
สุ้มเสียงหวานที่เอ่ยอย่างเป็นห่วงทำให้คนเหนื่อยกับงานมาทั้งวันรู้สึกดีขึ้นราวกับได้รับยาวิเศษ แพทริกนึกถึงใบหน้าหวานที่อยู่ในความคิดถึงพร้อมกับยกยิ้ม
(ฉันยังอยากคุยกับนาย...คิดถึง)
ประโยคที่ไม่ปิดบังความรู้สึกทำให้คนฟังใบหน้าเห่อร้อน ริมฝีปากสีสดขบเม้มเข้าหากันอย่างพยายามกลั้นความขัดเขิน
“ระ รักก็คิดถึงครับ แต่ว่ารักเป็นห่วง คุณแพทคงทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้วควรจะพักนะครับ”
แม้ว่าใจดวงน้อยจะเต้นรัวจนเสียงสั่นตามทว่ากานต์รักก็ยังกลั้นใจเอ่ยเตือนอีกฝ่ายออกไป เขาเองก็อยากคุยกันให้นานแต่ความเป็นห่วงนั้นมีมากกว่าสิ่งอื่นใด
(นี่ไงการพักของฉัน หายเหนื่อยยิ่งกว่านอนเสียอีก)
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้แพทริกปากหวานแบบนี้ อาจเพราะความห่างหรือความคิดถึงอย่างที่อีกฝ่ายบอก กานต์รักไม่แน่ใจนักรู้เพียงแค่ว่าคำพูดแต่ละคำนั้นมันส่งผลต่อหัวใจและความรู้สึกจนความร้อนลามไปทั่วร่าง ปากก็พลอยจะฉีกยิ้มอยู่เรื่อย
“...มันจะแทนกันได้ยังไงล่ะครับ” คนหน้าหวานเอ่ยตอบเสียงอ้อมแอ้ม
(หึ แล้วนี่กินข้าวเที่ยงรึยัง)
เสียงหัวเราะในลำคอหลุดออกมาจากแพทริกอย่างห้ามไม่อยู่ยามนึกถึงเจ้าของเสียงที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขินแค่ไหน เพราะรู้ว่าหากยิ่งพูดกานต์รักจะยิ่งเขินแพทริกจึงยอมเปลี่ยนไปถามถึงอีกเรื่อง
“ยังเลยครับ รักพึ่งคุยงานเสร็จ”
แกร๊ก
เสียงประตูถูกเปิดดังขึ้นให้กานต์รักละความสนใจจากปลายสายไปชั่วครู่ ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมองผู้ที่เดินเข้ามาก่อนจะพบว่าเป็นร่างสูงของพี่ชายตัวเอง พร้อมกานต์เลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นน้องกำลังคุยโทรศัพท์ มือหนาทำสัญญาณให้คุยต่อก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา
“รักว่าคุณแพทไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีไหมครับ”
กานต์รักได้ยินเสียงปลายสายกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่จึงเอ่ยบอก แม้จะอยากคุยกันให้นานๆทว่าความเป็นห่วงก็ดึงรั้งให้ไม่อาจทำอย่างนั้น กานต์รักอยากให้อีกคนได้พัก
(ไล่ฉันอยู่นั่น ไม่อยากคุยก็บอกมาตรงๆ)
“ไม่ใช่นะครับ”
เสียงเล็กเอ่ยบอกรัวเร็ว ตากลมเบิกขึ้นนิดๆอย่างตระหนกเมื่อได้ยินอีกฝ่ายคิดไปอย่างนั้น พร้อมกานต์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หันไปมองน้องชายซึ่งมีสีหน้ากระวนใจก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ
จะวางฟอร์มซักหน่อยก็ไม่ ฝรั่งนั่นพูดอะไรก็ยอมไปเสียหมด
“รักแค่เป็นห่วง อยากให้คุณแพทสบายตัวจะได้รู้สึกดีขึ้น ไม่ได้ไม่อยากคุยนะครับ”
(...)
แพทริกอมยิ้มกับตัวเองยามนิ่งฟังเสียงเล็กเอื้อนเอ่ย สายตาคมทอดมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมกับนึกถึงใบหน้าหวานของคนปลายสาย เขารู้ดีถึงในสิ่งที่กานต์รักพูดเพียงแต่แค่อยากแกล้งอีกคนเท่านั้นเอง
“คุณแพทอย่าเงียบสิครับ”
คนร้อนรนเอ่ยด้วยเสียงง้องอน ยิ่งเห็นฝั่งนั้นเงียบไปใจดวงน้อยยิ่งวูบโหวง ไม่คิดเลยว่าแค่คำพูดนั้นจะทำให้คนตัวโตคิดไปได้ไกล
(หึ หลอกง่าย) ท้ายสุดแล้วเสียงหัวเราะก็หลุดออกมาจากลำคอแกร่ง
“นี่คุณแพทแกล้งรักเหรอครับ” คนพึ่งรู้ตัวเอ่ยออกไปด้วยเสียงฉงน ยังตามไม่ทันว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่
(ก็แค่อยากรู้ว่านายจะทำยังไง) แพทริกยอมรับ
“คนขี้แกล้ง”
กานต์รักเอ่ยพร้อมกับเบะปากน้อยๆราวกับเด็ก ไม่รู้ว่าทำไมคนฟังกลับไม่ได้ไม่พอใจกับเสียงเล็กที่เอ่ยเหมือนจะว่าเลยซักนิด แพทริกพอใจเสียด้วยซ้ำ มุมปากได้รูปยกขึ้นตลอดเวลาที่คุยกันบ่งบอกถึงความพึงพอใจได้เป็นอย่างดี
ยิ่งได้คุยยิ่งอยากรีบกลับ กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายบอบบางติดอยู่ปลายจมูกแทบจะตลอดเวลา
(ก็นายมันน่าแกล้ง...เอาล่ะ ฉันจะไปอาบน้ำอย่างที่นายบอกแล้วเดี๋ยวคงเข้านอนเลย)
“คุณแพทพักผ่อนเถอะครับ”
แม้จะยังโหยหาอยากได้ยินเสียงแต่การพักผ่อนของอีกคนย่อมสำคัญกว่า เพียงแค่เท่านี้ในอกของกานต์รักก็ฟูฟ่องด้วยความเต็มตื้นมากแล้ว
(อืม แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาใหม่)
“ครับ รักจะรอ”
แพทริกระบายยิ้มบางเบาก่อนจะตอบรับในลำคอ กว่าชั่วนาทีที่ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่กลับไม่มีใครยอมกดวางสาย กระทั่งเป็นแพทริกที่ต้องตัดใจละโทรศัพท์ออกห่างแล้วกดตัดสายไป
กานต์รักนั่งมองโทรศัพท์ในมือนิ่งยามหน้าจอมืดสนิท ลมหายใจบางเบาถูกผ่อนออกเมื่อความรู้สึกหลายอย่างตีรวนให้วูบไหว
คิดถึง
“ทำหน้าอาลัยขนาดนี้บินไปหาเขาเลยดีไหม” ร่างสูงขยับเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าน้องชายก่อนจะเอ่ยเย้า
“มะ ไม่ได้ขนาดนั้นซักหน่อย”
ดวงตาโตเหลือบมองคนเป็นพี่ก่อนจะหลบสายตาหลุกหลิกเมื่อคิดขึ้นได้ว่าตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์นั้นพร้อมกานต์ได้ยินทั้งหมด
“น้อยไปน่ะสิ”
“พร้อมหิวหรือยัง เราไปทานข้าวกันดีกว่าเนอะ”
กานต์รักรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนอีกคนพูดให้ความร้อนแล่นเข้าเล่นงานใบหน้าไปมากกว่านี้ รู้ตัวว่าตอนคุยกับคุณแพทตัวเองเผลอแสดงความรู้สึกออกไปยังไง หากยิ่งพูดจะยิ่งเข้าตัวเลยหาทางเลี่ยง
“ทำมาเปลี่ยนเรื่อง”
“บ่ายโมงแล้วหิวจะแย่ รักว่าไปทานข้าวกันดีกว่า”
ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเข้ามาดึงแขนพี่ชายให้เดินตาม พร้อมกานต์ส่ายหน้าน้อยๆใส่คนเป็นน้องทว่าก็ยอมก้าวตามอย่างง่ายดาย คราวนี้สองคนพี่น้องเลือกไปทานข้าวที่ห้างเดิมเมื่อครั้งก่อนอีกครั้ง ถือว่าเป็นการทานข้าวนอกบ้านด้วยกันจริงๆจังๆเสียทีหลังจากที่ครั้งนั้นโดนใครอีกคนมาขัดจนพร้อมกานต์ต้องห่ออาหารกลับไปทานที่คอนโดคนเดียว
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“สวัสดีครับพี่รัก”
เสียงใสของเด็กหนุ่มรุ่นน้องรั้งให้คนที่กำลังจัดขนมใส่ตู้เงยหน้าขึ้นมอง วันนี้เป็นวันเสาร์ วันที่มินต้องเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้าน
“หวัดดีมิน มาแต่เช้าเชียว” ใบหน้าหวานเนียนใสส่งยิ้มมาให้จนคนมองยิ้มตาม
“กลัวรถติดครับ งั้นมินขอเอาของไปเก็บแล้วเดี๋ยวออกมาเริ่มงานนะ” กานต์รักพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มก่อนจะจัดการกับงานตรงหน้าต่อ
เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ร้านเบเกอรี่ของคนหน้าหวานจึงวุ่นวายเป็นพิเศษ พนักงานทุกคนแทบไม่ได้พักรวมไปถึงตัวกานต์รักเอง แม้แต่พร้อมกานต์ที่เข้ามาร้านในช่วงบ่ายยังไม่เว้น เสียงกระดิ่งที่ติดไว้หน้าร้านยามลูกค้าเปิดประตูเข้ามาดังขึ้นแทบจะตลอดเวลา
“คุณรักคะ วันนี้ตอนบ่ายสาม...”
ผู้จัดร้านเดินเข้ามาบอกเรื่องนัดขณะที่กานต์รักกำลังง่วนอยู่กับการชงชาให้ลูกค้า มือบางละจากแก้วชาก่อนจะหมุนนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นรักฝากคุณไหมดูทางนี้หน่อยนะครับ”
“ค่ะ”
เจ้าของร้านพยักหน้ารับก่อนจะหันไปสั่งงานกับพนักงานคนอื่นๆ กระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปหยิบของแล้วเตรียมตัวออกไปข้างนอก
“พร้อม เดี๋ยวรักต้องออกไปคุยเรื่องของที่จะสั่งฝากดูร้านหน่อยนะ”
ร่างสูงที่พึ่งเดินเอาขนมไปเสิร์ฟพยักหน้ารับ พร้อมกานต์ยังไม่ทันจะเอ่ยตอบเสียงของเด็กบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องห่วงนะพี่รัก มีมินอยู่ซะอย่าง”
เด็กน้อยที่วิ่งวุ่นขยับมาหาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อจากนั้นก็โดนลูกค้าเรียกไปคิดเงินจนกานต์รักมองตามพร้อมกับยิ้มบาง
“รักไปเถอะ เดี๋ยวพี่ดูร้านให้”
“โอเค มีอะไรก็โทรมานะ” พร้อมกานต์รับคำเรียบร้อยกานต์รักจึงเดินออกจากร้านแล้วตรงไปยังรถของตัวเอง
กานต์รักวุ่นอยู่กับงานจนแทบไม่มีเวลาพัก ขนมปังและนมเป็นสองสิ่งที่ตกถึงท้องกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ยามกลับเข้าร้านซึ่งมีคนเบาบางลงแล้วร่างเล็กจึงได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง รู้สึกมึนหัวขึ้นมาไม่น้อย
“ไหวไหมเรา” คนเป็นพี่เดินถือแก้วน้ำเย็นๆมาส่งให้ กานต์รักส่งยิ้มขอบคุณพร้อมกับรับแก้วน้ำมาดื่มอึกใหญ่
“เหนื่อยแต่ก็มีความสุข”
รอยยิ้มเซียวถูกระบายขึ้นบนใบหน้าขาวซีด หลังจากไปร้านเพื่อคุยเรื่องวัตถุดิบต่างๆที่จะสั่งเสร็จกานต์รักก็ไปยังร้านนำเข้าผลไม้ต่อ กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็เป็นยามที่ท้องฟ้านั้นมืดสลัว
“ดีแล้วล่ะ สรุปเรื่องผลไม้เลือกได้หรือยังว่าจะเอาอะไรบ้าง แล้วของที่ผู้จัดเขารีเควสมามีหรือเปล่า”
“หาได้จนครบแล้วล่ะ ผลไม้ก็เลือกได้แล้ว เจ้าของงานโอเคเรียบร้อย...แล้วงานที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”
กานต์รักเอ่ยตอบก่อนจะถามกลับ ตาโตกวาดมองทั่วร้านที่มีคนอยู่ประปรายแล้วหันกลับมาหาพี่ชายอีกครั้ง
“วุ่นวายนิดหน่อยแต่ไม่มีปัญหาอะไร”
กานต์รักหยักหน้าก่อนจะนั่งต่ออีกซักพักแล้วลุกขึ้นไปดูความเรียบร้อย กระทั่งเมื่อถึงเวลาร้านปิดจึงเรียกพนักงานทุกคนมาประชุมเพื่อคุยเรื่องงานต่างๆ กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม พร้อมกานต์และกานต์รักกลับถึงคอนโดตอนสี่ทุ่มเศษ พอเดินเข้าห้องได้ก็รีบอาบน้ำ ยังไม่ทันจะได้ล้มตัวลงบนเตียงเสียงโทรศัพท์ก็สั่นครืนจนคนที่แทบลืมมันไปรีบลุกขึ้นเดินหา
คุณแพทโทรมา...
“ครับคุณแพท”
(ไปไหนมา! ทำไมติดต่อไม่ได้ทั้งวัน)
เสียงทุ้มตวาดก้องจนกานต์รักเผลอกลั้นลมหายใจนิ่ง น้ำเสียงจากปลายสายมีทั้งความโกรธและความร้อนรน
“รักขอโทษครับ...รักทำงาน วันนี้ยุ่งทั้งวันไม่ได้จับโทรศัพท์เลย”
(แค่จะรับสายซักสิบวินาทีแล้วบอกว่าไม่ว่างมันลำบากมากขนาดนั้นหรือไง ฉันเป็นห่วงนายจนแทบนอนไม่หลับรู้ตัวบ้างไหม)
แพทริกเสยผมตัวเองขึ้นก่อนจะผ่อนลมหายใจที่อึดอัดออกมาแรงๆ ริมฝีปากได้รูปถูกขบเม้มเพื่อสกัดกลั้นอารมณ์ร้อน คนที่ถูกสั่งให้จับตาดูกานต์รักบอกว่าอีกฝ่ายออกไปข้างนอกและหลังจากนั้นเขาก็ติดต่อกานต์รักไม่ได้เลย
ใจมันร้อนรนคิดไปต่างๆนาๆ ยิ่งอยู่ไกลกันอย่างนี้มันยิ่งพะวงจนแทบไม่เป็นอันทำงาน
“รักขอโทษจริงๆครับ รักลืมไปเลย คุณแพทอย่าโกรธเลยนะครับ” กานต์รักเอ่ยเว้าวอน รู้ว่าตัวเองผิดแต่ก็ยังไม่อยากให้ปลายสายไม่พอใจ
ไม่ชอบเลยความรู้สึกที่ต้องทะเลาะกัน
(...) เสียงลมหายใจหนักๆถูกผ่อนออกดังจนแม้แต่กานต์รักยังได้ยิน
“คุณแพท”
(...)
“ต่อไปรักจะไม่ทำแล้วครับ”
เมื่อก่อนกานต์รักไม่ค่อยมีคนให้ติดต่อมากนักนอกจากพ่อแม่และพี่ชาย คราวนี้ลืมตัวไปว่ามันไม่ใช่แค่เท่านั้น ใจดวงน้อยวูบไหวด้วยความไม่สบายใจเมื่อปลายสายกำลังโกรธ
(อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกกานต์รัก อย่างน้อยแค่ข้อความมาบอกว่าไม่ว่าง กำลังทำงานหรืออะไรก็ยังดี)
แพทริกพยายามพูดอย่างใจเย็น แค่ระยะทางที่ห่างไกลก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว ไม่อยากต้องมาทำตัวเกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่ายในยามที่ไม่เห็นแม้แต่หน้ากัน
ความงี่เง่าเกิดขึ้นกับตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้ากับคนอื่นแพทริกไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าจะไปไหนหรือทำอะไร ไม่เคยติดต่อหาเลยซักครั้ง
“ครับ รักสัญญา ต่อไปถ้ารักไปไหนจะรายงานคุณแพทตลอด...คุณแพทหายโกรธนะครับ” ประโยคท้ายเสียงเล็กเผลอออดอ้อนจนคนฟังรู้สึกราวกับว่าถูกน้ำเย็นชโลมดับความกรุ่นร้อนของอารมณ์
(กลับไปฉันจะทำโทษให้เข็ด)
แม้ว่าปลายสายจะพูดเสียงเข้มแต่ไม่รู้ทำไมกานต์รักถึงได้รู้สึกว่าความร้อนแล่นเข้ามาเล่นงานบนใบหน้ายามได้ยินคำว่า‘ทำโทษ’
“รักยอมรับผิดทุกอย่างเลยครับ” ตอบกลับเสียงไม่ดังนัก
(เปิดกล้อง)
“ครับ?”
(เปิดกล้อง อยากเห็นหน้า)
ใบหน้าหวานแดงเรื่อขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะรับคำโดยง่ายแล้วกดเปิดกล้องตามที่อีกฝ่ายบอก
ไม่นานนักใบหน้าคมหล่อเหลาของคนที่คิดถึงก็ปรากฏขึ้น ยิ่งยามเห็นหน้าอีกฝ่ายแบบนี้กานต์รักยิ่งรู้สึกขัดเขิน ดวงตาสีเทาอมฟ้าจ้องมองมาจนใจสั่นไหว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าแพทริกผ่านทางโทรศัพท์อย่างนี้ มันชวนให้สะเทิ้นอายแปลกๆ
(ทำอะไรอยู่) เป็นแพทริกที่เอ่ยถามขึ้นก่อนเมื่อคนหน้าหวานเอาแต่เงียบ
“รักกำลังจะนอน คุณแพทล่ะครับ”
(ทำงาน เตรียมตัวประชุมตอนเที่ยง...แล้ววันนี้ไปไหนมาทั้งวัน ยุ่งขนาดนั้นเลยหรือไง)
พออีกฝ่ายเอ่ยถามกานต์รักจึงเล่าเรื่องงานวันนี้ให้ฟังว่าไปไหนทำอะไรมาบ้าง ต่างฝ่ายต่างถามไถ่คุยกันจนเวลาล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ จากนาทีเป็นสิบนาที จากสิบนาทีจนกลายเป็นครึ่งชั่วโมง กระทั่งแพทริกถูกเตือนเรื่องการประชุมจึงต้องวางสายไป
กานต์รักนึกถึงใบหน้าของคนที่พึ่งคุยกันเมื่อครู่ก่อนจะอมยิ้มกับตัวเอง กระทั่งความเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันจะแทรกเข้ามาเล่นงานให้ต้องรีบนอน ทันทีที่หัวสัมผัสถึงหมอนสติก็ดับวูบไป
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
3 วันผ่านไป ยิ่งเวลาใกล้เข้ามาเท่าไหร่กานต์รักยิ่งแทบไม่ได้พัก เจ้าของร้านวิ่งวุ่นทำทุกอย่างจนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว ร่างกายเหนื่อยล้าแต่ได้แต่สั่งตัวเองให้อดทน อาการมึนหัวเริ่มเล่นงานจนใบหน้าหวานขาวซีด เป็นอย่างนี้ตลอดเกือบจะทุกวัน
“หน้าซีดๆนะรัก รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า”
ฝ่ามือใหญ่ของพร้อมกานต์วางแตะลงบนหน้าผากเนียน กานต์รักส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่เป็นไรหรอกพร้อม เดี๋ยวเสร็จแล้วก็ได้พักแล้วล่ะ”
เหลืออีกแค่บางส่วนงานของกานต์รักก็จะถือว่าเสร็จสิ้น อาการปวดหัวที่เริ่มเล่นงานจึงต้องถูกสะกดเอาไว้ และแน่นอนว่ากานต์รักไม่บอกพี่ชายเรื่องอาการของตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่พ้นถูกสั่งให้ไปพัก
“ไหวแน่นะ”
“อื้อ”
หน้าเล็กพยักรับหงึกหงัก พร้อมกานต์มองหน้าน้องชายนิ่งก่อนจะปล่อยเลยตามเลย รู้ดีว่าต่อให้บังคับกานต์รักก็คงอ้อนขอว่าไม่ได้เป็นอะไร ด้วยเพราะวันนี้ต้องดูทั้งขนมที่ร้านและขนมของงานร่างเล็กเลยเหนื่อยมากเป็นพิเศษ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมากกานต์รักได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมง ข้าวก็แทบไม่มีเวลากิน
แม้แต่กับคนที่อยู่อีกซีกโลกก็ได้คุยกันวันละไม่กี่ประโยค ต่างฝ่ายต่างยุ่งจนส่วนมากจะคุยกันผ่านทางการส่งข้อความเสียมากกว่า แม้จะคิดถึงแต่งานตรงหน้าก็ทำให้ไม่มีเวลา
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณรัก”
ผู้จัดการเดินเข้ามาบอกเมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย รถของทางเจ้าของงานวันเกิดมาจอดรออยู่หน้าร้าน หลังจากลำเลียงขนมขึ้นหมดนั่นจึงจะเป็นการหมดหน้าที่ของกานต์รักจริงๆซักที
“โอเคครับ งั้นวันนี้ปิดร้านเลย ทุกคนเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”
เจ้าของร้านเอ่ยสั่งพร้อมรอยยิ้ม ผู้จัดการสาวจึงพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปบอกพนักงานทุกคน กานต์รักเดินตามเข้าไปในร้านได้เพียงไม่กี่ก้าวอาการปวดหัวจี๊ดก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนต้องหยุดนิ่ง
โรคประจำตัวกำเริบอย่างนั้นเหรอ