ตอนที่ 12
“เปล่า...แต่อย่างน้อยก็จะทำเบาลง” ประโยคที่ไม่ได้ยาวนักทว่ากลับทำให้ใจดวงน้อยเต้นแรงจนคนป่วยได้แต่เบือนหน้าแดงซ่านหนีไปอีกทางด้วยความขัดเขิน ฝ่ามือที่จับกันอยู่พลันรู้สึกอุ่นร้อนจนเหงื่อไหลซึมตามข้อนิ้ว
“นายต้องกินข้าวเพราะต้องกินยา จะออกไปทานข้างนอกหรือว่าจะทานที่นี่”
แพทริกเองก็ไม่คิดที่จะพูดเรื่องนั้นต่อให้อีกคนต้องเขินอายไปมากกว่าเดิม เสียงทุ้มจึงเอ่ยไปอีกเรื่องซึ่งสำคัญกว่า
“ทานข้างนอกดีกว่าครับ” ใบหน้าหวานที่ยังคงซับสีเลือดอยู่จางๆเบือนกลับมาสบกันอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันออกไปบอกให้คนจัดโต๊ะให้”
ร่างสูงเอ่ยก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วรีบเดินออกจากห้องไป ดวงตากลมโตมองตามแผ่นหลังกว้างของอีกคนกระทั่งลับสายตา
เมื่ออยู่ในห้องคนเดียวกานต์รักจึงกวาดตามองไปรอบห้องที่คุ้นเคย นาฬิกาพรายน้ำบนผนังบอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่ม ก่อนร่างเล็กจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงลองมองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วพบว่ามันถูกวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง
นิ้วมือเล็กวางทาบลงบนปุ่มสแกนก่อนโทรศัพท์จะปลดล็อคเรียบร้อย กานต์รักกดเข้าไปยังแอพลิเคชั่นสีเขียวที่ถูกปิดแจ้งเตือนเอาไว้ก่อนจะพบว่าไลน์กรุ๊ปของครอบครัวกำลังมีการเคลื่อนไหว
เมื่ออ่านบทสนทนาล่าสุดร่างบางจึงขยับนิ้วพิมพ์ข้อความตอบกลับไปก่อนจะโดนทั้งพ่อ แม่ และพี่ ถามกลับมาชุดใหญ่ แต่พอได้รับการยืนยันว่าเขานั้นสบายดีทุกคนจึงเบาใจลงได้
แกร๊ก
ไม่นานนักเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นให้คนที่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าร่างสูงกำลังเดินเข้ามากานต์รักจึงไลน์บอกครอบครัวว่าจะโทรไปรายงานตัวในวันพรุ่งนี้ก่อนจะกดล็อคหน้าจอ
“ทำอะไรอยู่” คนตัวโตขยับมาทรุดตัวลงนั่งที่เดิม สายตาคมเหลือบมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือบางนิ่ง
“รักคุยกับครอบครัวครับ...พ่อกับแม่เห็นว่ารักเงียบไปก็เลยเป็นห่วงนิดหน่อย” ใบหน้าหวานระบายยิ้มบางๆพร้อมกับเอ่ยตอบให้คนถามพยักหน้ารับ
“ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”
“นิดหน่อยครับ แต่ว่าดีขึ้นมากแล้ว”
“อยากจะเข้าห้องน้ำรึเปล่า ล้างหน้าซะหน่อยก่อนออกไปกินข้าว”
“ก็ดีเหมือนกันครับ”
กานต์รักยิ้มตอบก่อนจะค่อยๆขยับตัวหย่อนขาลงข้างเตียง ทันทีที่คนป่วยหยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงเรือนร่างสูงใหญ่ของคนที่นั่งอยู่ก็ขยับเข้ามาโอบประคอง
“อ๊ะ ไม่เป็นไรครับคุณแพท รักเดินได้”
แม้ความใกล้ชิดอันรวดเร็วนั้นจะพาให้ใจดวงน้อยเต้นรัวและอุ่นวาบด้วยความปลื้มปริ่มทว่ากานต์รักก็ยังเกรงใจ อีกอย่างตัวเขานั้นก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แค่เดินเหินด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร
“ห้ามดื้อ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวกับจะดุเด็กน้อย กานต์รักเบิกตาขึ้นนิดๆกับคำกล่าวนั้น
“รักไม่ได้ดื้อนะครับ”
“เด็กอะไรดื้อแล้วยังชอบเถียง”
“รักไม่ใช่เด็ก” คนถูกกล่าวหาเผลอโต้ตอบโดยไม่ได้คำนึงเลยว่าท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนตัวเองนั้นเป็นเด็กเข้าไปใหญ่
“เด็ก”
“...” ปากเล็กๆยู่เข้าหากันอย่างไม่รู้ตัวเมื่อจนใจที่จะเถียง กานต์รักเงียบเสียงลงโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก ไม่ได้ไม่พอใจทว่าถ้าคุณแพททริกจะว่าอย่างนั้นเขาก็จะยอมรับก็ได้
“เด็กดื้อของฉัน”
เสียงทุ้มที่เอ่ยอยู่เหนือหัวทำให้กานต์รักได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ สมองที่ทำการประมวลผลเหมือนช็อตไปทันทีหลังจากได้ยินคำนั้น
เมื่อกี้คุณแพทริกพูดว่าอะไร?
เด็กดื้อของฉัน อย่างนั้นเหรอ...
กานต์รักทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคนที่กำลังโอบประคองตัวเอง กระทั่งได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะในลำคอสติที่หลุดลอยจึงค่อยๆกลับมาอีกครั้ง
“หึ ยังจะไปห้องน้ำหรือเปล่า ทำไมยืนนิ่งเชียว”
คนขี้แกล้ง
รู้ทั้งรู้ว่าที่เขายืนนิ่งอยู่อย่างนี้เป็นเพราะอะไรยังกล้าเอ่ยถามกันด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ กานต์รักเงยหน้าแดงๆขึ้นมองคนตัวสูงก่อนจะเม้มปากเข้าหากันราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่รังแก
ใบหน้าเล็กแดงอย่างกับลูกตำลึงสุก แพทริกมองภาพนั้นด้วยความอารมณ์ดี
“ไปครับ”
เสียงหวานเอ่ยติดเง้างอนก่อนจะค่อยๆก้าวเดินโดยมีอ้อมแขนแข็งแรงช่วยพยุงกระทั่งถึงห้องน้ำ พอจัดการล้างหน้าล้างตาจนเรียบร้อยแพทริกก็ทำท่าจะขยับเข้ามาประคองอีกรอบแต่กานต์รักยืนยันเสียงแข็งว่าไม่เป็นอะไรแล้วร่างสูงจึงต้องยอมผละออกไป
“ยำหมูยอ~”
กานต์รักลากเสียงเบาๆเมื่อเดินมาจนถึงโต๊ะอาหารแล้วพบว่ามีเมนูโปรดนั้นวางอยู่ เพราะอาการป่วยจึงทำให้ความอยากอาหารลดลงกว่าเคย มีเพียงอย่างเดียวที่นึกอยากและอีกคนก็ทำราวกับว่ารู้ใจ
หวังว่ารสชาติของมันจะได้ช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“กินเยอะๆ จะได้กินยา” แพทริกเดินอ้อมมาทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยบอก
“ครับ”
รับคำอย่างอารมณ์ดีก่อนที่ต่างฝ่ายจะลงมือทานอาหารโดยกานต์รักนั้นก็คอยตักอาหารให้แพทริกเป็นระยะด้วยความเคยชิน ยามทานข้าวด้วยกันร่างเล็กมักจะทำอย่างนี้เสมอ ปกติแล้วการถูกเอาใจมากก็ไม่ใช่สิ่งที่นึกชอบนักแถมยังให้ความรู้สึกน่ารำคาญเสียมากกว่า แต่กับกานต์รักแล้วแพทริกไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกลับชอบด้วยซ้ำไป
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“วันนี้มีดาวด้วยนะครับ”
คนที่นั่งให้อีกคนใช้ตักต่างหมอนเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดหลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ท้องฟ้ามืดมิดที่มีแสงจากไฟทั่วเมืองหลวงทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นดาวมากนักทว่าก็ยังคงมีอยู่ดวงหนึ่งที่มักส่องสว่างอยู่เสมอ
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้นั่งดูดาวแบบนี้แล้วก็อดคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้เลย
“มีอยู่ดวงเดียวนั่นนะ” เปลือกตาหนาเปิดขึ้นก่อนจะมองตามสายตาของกานต์รักไป
“แสดงว่ามันต้องสว่างมากเลยเพราะแสงไฟมากมายก็ยังไม่สามารถกลบตัวมันได้...เก่งจังเลยว่าไหมครับ” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มน้อยๆขณะมองไปยังดาวดวงที่กำลังพูดถึง
กานต์รักชอบมองดูท้องฟ้าและหมู่ดาว ยามปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับความกว้างใหญ่นั้นมันทำให้สมองไม่ต้องนึกคิดอะไรให้วุ่นวายใจ
“คนไทยเรียกว่าอะไรนะ?...ดาวประจำเมืองใช่ไหม”
“ครับ”
“มันส่องสว่าง สดใส...เหมือนนาย”
เสียงทุ้มนั้นทำให้คนฟังดึงสายตากลับมายังใบหน้าคมบนตักซึ่งกำลังหลับพริ้ม กานต์รักไม่รู้ว่าคนพูดหมายความไปลึกซึ้งแค่ไหนแต่สำหรับเขาแล้วมันมีความหมายต่อใจดวงน้อยมากเหลือเกิน
ไม่เคยคิดเทียบเท่าว่าตัวเองเป็นดาวเพราะมันช่างสูงเกินไป อีกอย่างกานต์รักก็ไม่ได้เจิดจรัสเช่นนั้นจึงไม่อาจคิด
แต่คุณแพทริกกลับบอกอย่างนั้นมันจึงส่งผลต่อความรู้สึกให้สั่นไหว
“ไม่หรอกครับ...ถ้าจะเป็นดาวรักก็คงเป็นดาวพลูโต”
ดาวที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มาก ก่อนจะถูกตัดออกจากวงโคจรในที่สุด
“ทำไมคิดว่าตัวเองเป็นดาวพลูโต?” คนที่ยังคงหลับตาเอ่ยถาม แปลกที่แม้จะไม่ได้ลืมตาขึ้นมองหากแต่แพทริกกลับจับความรู้สึกบางอย่างของคนใกล้ตัวได้ เหมือนมันมีอะไรที่ไม่แจ่มใสอยู่ในนั้น
“ก็...ห่างไกล เพราะว่ามันห่างไกลเหลือเกินครับ” กานต์รักเอ่ยตอบเสียงแผ่ว ดวงตาโตที่มีแววเศร้ามองคนบนตักอย่างโหยหา
“ห่างไกลจากอะไร”
“ดวงอาทิตย์ครับ”
“
ห่างไกลแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สำคัญ”
ดวงตาคมลืมขึ้นมาสบกับกานต์รักนิ่งยามเอ่ยประโยคนั้น นัยน์ตาที่เคยสุกใสมีแววสั่นไหว ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันอย่างไม่มั่นใจในความรู้สึก ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นหมายถึงอะไรแน่
“ไม่ว่านายจะเป็นดาวอะไร แต่นายมีแสงสว่างในตัวเอง...
แบบที่ฉันชอบ”
หากเปรียบกานต์รักเป็นดาวแพทริกก็ไม่แน่ใจนักว่าควรจะเป็นดาวอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่รู้นั่นคือดาวดวงนั้นมีแสงสว่างในตัวเอง ประกายของมันไม่ได้เจิดจ้า สว่างไสวจนแสบตาแต่กลับเป็นแสงนุ่มนวลที่ทำให้คนมองอุ่นใจ
“คะ คุณแพริกชอบดาวเหรอครับ”
กานต์รักคงไม่กล้าจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าชอบที่อีกคนเอ่ยขึ้นนั้นจะหมายถึงตัวเอง น้ำเสียงไม่มั่นคงจึงเอ่ยไปถึงอีกสิ่ง
“เปล่า”
“...”
“ฉันหมายถึงชอบนาย” เปลือกตาสีอ่อนเบิกขึ้นอย่างไม่คาดฝันกับคำตอบนั้น กานต์รักนิ่งอึ้งจนแทบหยุดหายใจขณะที่คนพูดไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย
แพทริกยอมรับว่าชอบกานต์รัก...ชอบที่จะอยู่ด้วย ชอบการถูกเอาใจใส่ ชอบท่าทางนุ่มนวล และเขาคิดว่ามันจะต้องกลายเป็นความรักเข้าในซักวัน
ร่างสูงที่นอนทอดเต็มโซฟาขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรงแล้วหันหน้าเข้าหาร่างเล็กที่ดูเหมือนว่าสติหลุดไปแล้ว
“ยังไม่สามารถพูดคำว่ารักได้ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ชอบ” “...”
“ฉันสบายใจเวลาอยู่กับนาย” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างจริงจัง
ครั้งแรกที่เจอกันเมื่อครั้งในผับความสบายตาก็เป็นสิ่งที่ทำให้แพทริกสะดุด ท่าทางหวานละมุนที่แทบจะไม่เข้ากับสถานที่แบบนั้นยิ่งทำให้แปลกใจเข้าไปใหญ่ จำได้ว่าตัวเองจับจ้องเพียงร่างบางซึ่งนั่งคุยอยู่กับใครซักคนนิ่ง กระทั่งสั่งคนให้เข้าไปติดต่อโดยที่แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
ตอนนั้นมันเป็นเพียงความถูกใจ ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นความชอบ
ทั้งที่ไม่ว่าเขาจะใจร้ายใส่ยังไงกานต์รักก็ยังคงแสดงออกอย่างบริสุทธิ์ ความอ่อนโยนนั้นไม่เคยหายไปเลยซักนิด
“คะ คุณแพทว่ายังไงนะครับ”
คนที่แทบไม่มีสติเอ่ยขึ้นเสียงสั่นพร่า ราวกับทุกอย่างเป็นความฝันจนอยากได้ยินมันอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิด
“ฉันสบายใจเวลาอยู่กับนาย”
“ไม่...ไม่ใช่ครับ ก่อนหน้านั้น”
“ฉันชอบนาย”
“...อีกทีได้ไหมครับ”
“หึ ฉันชอบนาย...ชอบกานต์รัก...ชอบรัก ได้ยินชัดหรือยัง”
ไม่พูดเปล่ามือหนายังรั้งเอวบางของอีกคนให้ขยับเข้าหากระทั่งขาเรียวแนบชิดกับท่อนขาแกร่ง สองสายตาสบกันด้วยระยะที่ไม่ได้ห่างมากนัก
หมับ
“พูดอีกได้ไหมครับ...พูดอีกร้อยรอบเลยได้ไหมรักอยากฟัง”
กานต์รักโถมกายเข้าหาจนคนไม่ทันได้ตั้งตัวได้แต่รีบตวัดแขนโอบร่างเล็กเอาไว้ตามสัญชาตญาณ เสียงหวานติดสั่นเอ่ยกระซิบข้างหู ท่อนแขนเรียวก็รัดอยู่รอบคอแกร่งแน่น
แพทริกมองไม่เห็นว่าคนในอ้อมกอดนั้นมีสีหน้าอย่างไร แต่น้ำเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความสุขจนแม้แต่คนพูดยังยกยิ้มตาม
ไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำจะทำให้กานต์รักดีใจขนาดนี้
“ฉันชอบรัก...ถ้าอยากฟังคืนนี้จะพูดให้ฟังทั้งคืน”
สรรพนามที่ถูกเอ่ยเรียกพาให้กานต์รักใจเต้นรัวเสียจนน้ำตาไหล ความรู้สึกนั้นทั้งตื่นเต้น ตื้นตันและดีใจ ผสมปนเปกันไปหมดจนแยกไม่ออก
ยิ่งกว่าฝันเสียอีก...คำที่เขารอคอยมาเกือบครึ่งชีวิต ไม่ต้องมากมายถึงคำว่ารักแต่แค่นี้กานต์รักก็ดีใจมากมายเหลือเกิน
“รักก็ชอบคุณ ชอบมากจนไม่ใช่แค่ชอบแล้ว”
กานต์รักเอ่ยพูดทั้งที่กอดคนตัวสูงเอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กก็ซบเข้ากับลาดไหล่แกร่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับหลับตาลงซึมซับทุกอย่างทุกความรู้สึก
“ดีแล้วกานต์รัก รู้สึกกับฉันให้มากๆ มากจนไม่สามารถรู้สึกกับใครได้อีก”
คนขี้หวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบแผ่นหลังเล็กไปมาแผ่วเบา
กานต์รักทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับหงึกหงักเพราะตื้นตันจนแทบพูดออกมาไม่ได้
“ย้ายมาอยู่ที่นี่นะ...อยู่กับฉัน”
ประโยคที่ได้ยินทำให้กานต์รักค่อยๆผละออกมา แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ยังคงใกล้ชิดเมื่อร่างเล็กแทบจะนั่งเกยอยู่บนตักของอีกคน มือบางถูกยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมด้วยความปิติออกจากใบหน้า
ประโยคที่เอ่ยพูดราวกับกำลังอ้อนขอทำให้กานต์รักหัวใจพองโตไปหมดแต่ว่าก็ยังไม่อาจตกลงรับคำได้ในทันที
“รักอยากอยู่กับคุณแพทนะครับ แต่ว่าตอนนี้...ยังไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ รักขอเวลาอีกซักพักได้ไหมครับ”
ใบหน้าหวานมีแววลำบากใจอยู่ในนั้นจนคนมองขมวดคิ้วเข้าหากัน เรื่องที่ไม่สะดวกหลักๆแล้วคือเรื่องของพร้อม จะให้เขาทิ้งพี่ชายมาอยู่กับคุณแพทก็ยังไงๆอยู่
“ทำไม” น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นจนกานต์รักต้องเอ่ยต่อด้วยเสียงติดจะอ้อน
“รักยังต้องจัดการอีกหลายอย่าง แต่ว่าระหว่างนี้จะมาหาเท่าที่คุณแพทต้องการเลย”
“...”
“...นะครับ” เพราะอีกคนยังคงนิ่งไม่ยอมตอบอะไรกานต์รักจึงเพิ่มเลเวลความอ้อนที่มักใช้กับพี่ชายบ่อยๆขึ้นมาอีกนิด
“ฉันจะให้เวลา แต่ต้องไม่นานนัก...ไม่อย่างนั้นฉันจะจับรักขังเอาไว้ไม่ต้องออกไปไหน”
สุดท้ายแล้วแพริกก็ต้องเป็นฝ่ายยอมเมื่อใจแกร่งนั้นอ่อนยวบลงกับเสียงออดอ้อนของร่างเล็ก มันช่างน่าหมั่นเขี้ยวเสียจนอยากจับคนตรงหน้ามาฟัดแรงๆซักทีสองที
“ครับ รักยอมทุกอย่างเลย...ละ แล้วก็ คุณแพทเรียกรักเหมือนเดิมก็ได้ครับ พอคุณแพทพูดอย่างนี้แล้ว มัน...แปลกๆ”
บอกตรงๆว่ากานต์รักไม่ชินซักนิด ยามได้ยินแล้วหัวใจมันจักกะจี้แปลกๆ ใบหน้าก็พลันเห่อร้อนไปหมด ขัดเขินจนเกินกว่าจะกล้าสบตากับอีกคน ลิ้นนั้นก็พลอยสั่นไปด้วย แบบนี้ให้คุณแพทพูดอย่างเดิมน่าจะดีกว่า
“ทำไม ไม่ชอบหรือไง ฉันชอบนะ นายยังเรียกฉันว่าคุณแพทเลย”
แพทริกรู้ว่าอีกคนเขินอายเพียงใดแต่เขาก็ยังอยากเหย้าแหย่ และอีกอย่างก็ชอบมากกว่าอย่างที่บอกไปจริงๆ คำว่านายมันดูห่างเหินกันไปซักหน่อย
“มะ ไม่ได้ไม่ชอบครับ แต่มันฟังแล้วไม่ค่อยชินเท่าไหร่เลย”
กานต์รักไม่ได้ซีเรียสว่าอีกคนต้องพูดหรือเรียกตัวเองอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าคำไหนขอแค่คุณแพทเอ่ยด้วยก็ยินดีทั้งหมด แต่พอยามเสียงทุ้มและใบหน้าหล่อเหลาพูดอย่างนี้นี้มันทำให้รู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก
“ฟังบ่อยๆเดี๋ยวก็ชิน”
“คุณแพทแกล้งรักอีกแล้ว”
เพราะสายตาคมนั้นวาววับเสียจนกานต์รักอดเอ่ยออกมาไม่ได้ อีกคนดูอารมณ์ดียามพูดทั้งที่ปกติไม่ได้เป็นเช่นนี้ ไม่พ้นว่าคงกำลังแกล้งเขาอยู่ อีกหนึ่งนิสัยที่กานต์รักพึ่งค้นพบยามอยู่ด้วยกัน
“หึ แต่ฉันชอบพูดแบบนั้นมากกว่าจริงๆ”
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากแกล้งแต่อีกส่วนก็เพราะว่าพอใจที่จะแทนตัวอีกคนด้วยอย่างนั้นมากกว่าเรียกว่านาย
“เรียกแบบเดิมเถอะนะครับ” มันก็ไม่ใช่คำที่ไม่ดีอะไร แต่เพียงแค่ดีมากจนพาให้ใจสั่นเท่านั้น
“ตามใจนายแล้วกัน” แพทริกก็ไม่ได้คิดจะขัดใจอีกคนจึงยอมตามใจในที่สุด
“คุณแพทน่ารัก”
ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเต็มหน้าก่อนจะหลุดคำพูดให้คนฟังนั้นต้องเลิกคิ้ว อย่างเขานี่นะหรือจะใช้คำว่าน่ารัก แพทริกคิดพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจ
“ฉันน่ะนะ”
“ครับ เพราะคุณแพทใจดี” กานต์รักตอบ แม้ใบหน้าคมจะติดดุทว่าความจริงแล้วนั้นคุณแพทก็ใจดีไม่น้อย
“ฉันไม่เห็นรู้ตัว”
“จริงๆนะครับ”
“เอาเถอะ...พรุ่งนี้ฉันว่าง นายก็ว่าง อยากจะไปไหนหรือเปล่า”
เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันที่ร้านปิด กานต์รักว่างเพราะไม่ต้องเข้าร้านแต่อีกคนนั้นตั้งใจทำตัวให้ว่างเพื่อจะได้มีเวลาขลุกอยู่กับร่างเล็ก
“ดีจังเลยครับที่คุณแพทว่าง...อืม ไปห้างได้ไหมครับ รักไม่ได้ไปเดินห้างนานแล้วเหมือนกัน ว่าจะไปดูพวกของใช้ซักหน่อย”
“ก็ดี ฉันเองก็ไม่ได้ไปนานแล้ว”
เพราะปกติเวลาว่างนั้นแทบไม่มีเรื่องจะไปเดินห้างนั้นจึงไม่ต้องพูดถึง ถ้าอยากจะได้อะไรแพทริกก็แค่ให้คนไปจัดการไม่จำเป็นต้องไปถึงที่ ถ้าไปส่วนมากก็ไปแค่เพื่อทานข้าวเท่านั้น
“งั้นเราไปห้างกันนะครับ”
“อืม แต่ว่าตอนนี้นายควรจะไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนซะ เดี๋ยวจะได้ป่วยยิ่งกว่าเดิม”
คนโดนสั่งยิ้มกว้างก่อนใบหน้าเล็กจะขยับเข้ามาใกล้ แพทริกยังคงนิ่งกระทั่งความนุ่มหยุ่นทาบทับลงมา ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มอย่างพึงพอใจในการกระทำนั้นก่อนจะปล่อยเลยตามเลย กานต์รักหลับตาลงแน่นแนบปากบางไว้อย่างนั้นให้ทุกความรู้สึกโอบล้อมร่างกายและหัวใจ
“ขอบคุณนะครับ” ร่างเล็กผละออกแล้วเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบาง พวงแก้มนุ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ามอง
“...”
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ...นายต้องอดทนกับคนอย่างฉันไม่น้อย”
มือหนายกขึ้นลูบแก้มนิ่มไปมาอย่างแผ่วเบา สายตาคมที่มักนิ่งเรียบมีแววอ่อนโยนเสียจนคนมองรู้สึกขัดเขิน ยามคนตรงหน้านิ่งนั้นก็มีเสน่ห์อันตรายน่าค้นหา แต่พอแววตาคมอ่อนลงก็ทำให้ใจแทบจะละลาย
“ไม่เลยครับ รักไม่ได้ใช้ความอดทนอะไรเลย”
“กานต์รัก” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อ มือหนาวางนิ่งข้างกรอบหน้าเล็กค้างอยู่อย่างนั้น
“ครับ?”
“ชื่อนายแปลว่าอะไร”
แพทริกพอจะรู้ว่ามันมีความหมายเกี่ยวกับความรัก แต่เขาอยากรู้ละเอียดมากกว่านั้น เพราะคนตัวเล็กตรงหน้าถึงทำให้อยากรู้ขึ้นมา
“กานต์แปลว่าผู้เป็นที่รักครับ ส่วนรักก็คือความรัก”
แม้จะไม่เข้าใจนักที่อยู่ดีๆอีกฝ่ายก็ถามถึงความหมายชื่อแต่กานต์รักก็ตอบออกไปพร้อมรอยยิ้มหวานละมุน รู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อของตัวเองเพราะชื่อนั้นมาจากความรักของผู้เป็นพ่อแม่
“มิน่าล่ะ”
“มิน่าอะไรครับ?”
“นายถึงได้เป็นคนอย่างนี้...เป็นที่รักและเต็มไปด้วยความรัก”
แพทริกพูดออกไปด้วยความรู้สึก แม้ไม่รู้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรแต่เขาก็รับรู้ได้เลยว่ากานต์รักเติบโตมาในครอบครัวที่แสนอบอุ่น มันแสดงออกผ่านตัวตนของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
คำพูดของแพทริกราวกับหมัดฮุคให้คนฟังนิ่งไปด้วยความเขินอาย อีกหนึ่งอย่างที่กานต์รักค้นพบในตัวร่างสูงคือแพทริกชอบพูดประโยคชวนสั่นไหวขณะที่ใบหน้าคมยังคงความนิ่งซึ่งต่างจากคนฟังโดยสิ้นเชิง
กานต์รักถูกทำให้เขินด้วยคำพูดเป็นรอบที่นับไม่ได้แล้ว
“ปะ เป็นคำชมใช่ไหมครับ” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่าเนื่องจากอาการเขิน
“แน่นอน” แพทริกพยักหน้ารับ
“..ขอบคุณครับ”
เสียงหวานเอ่ยตอบแผ่วเบาพร้อมกับหลบสายตาคมไปอีกทาง ปกติกานต์รักก็เป็นคนเขินง่ายอยู่แล้ว ยิ่งถ้ากับแพทริกนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกฝ่ายก็ช่างขยันทำให้เขาขัดเขินเหลือเกิน
“หึ จะไปอาบน้ำได้หรือยัง
หรือต้องให้ฉันจูบคืน”
แพทริกหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยถามคนตัวแดงตรงหน้า คนอะไรเขินไปหมดซะทุกอย่างทั้งที่ควรจะชินได้แล้ว
“ไปแล้วครับ”
คำพูดชวนให้อายหนักยิ่งกว่าเดิมทำให้กานต์รักเอ่ยตอบเสียงรัวแล้วรีบขยับตัวลงจากโซฟา ดวงตาโตเหลือบมองแพทริกเล็กน้อยก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองอยู่ก่อนแล้ว
“ไปแล้วนะครับ”
กานต์รักพูดรัวๆก่อนจะรีบเดินออกไปจนแพทริกได้แต่มองตามแล้วหัวเราะกับท่าทางนั้น ใบหน้าคมส่ายน้อยๆกับตัวเองก่อนจะหันมองไปยังท้องฟ้ากว้าง จ้องมองดวงดาวที่ส่องสว่างอยู่เพียงดวงเดียวแล้วยกยิ้ม
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“ง่วงแล้วก็นอน”
แพทริกนั่งลงข้างๆคนบนเตียงที่นอนตาปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่แล้วลูบหัวทุยนั้นอย่างแผ่วเบา หลังจากที่กานต์รักเข้าไปอาบน้ำร่างสูงก็ลงไปตรวจเอกสารเล็กน้อยก่อนจะกลับขึ้นมา ฤทธิ์ยาที่ทานไปก่อนหน้าคงจะเริ่มทำงานร่างเล็กเลยง่วงเต็มแก่
“รักรอคุณ” กานต์รักพยายามถ่างตาอันหนักอึ้งของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ปิดลง อยากจะรอคนตรงหน้าเสียก่อน
“หลับไปเถอะ ฉันยังต้องอาบน้ำอีก”
“ไม่เป็นไรครับ รักจะรอ”
“ดื้ออีกแล้วนะ” แพทริกแกล้งเอ่ยเสียงเข้ม
“รักไม่ดื้อ”
“นี่แหละดื้อ...เอาเถอะ อยากจะรอก็รอ แต่ถ้าทนไม่ไหวก็หลับไปได้เลยเข้าใจไหม”
กานต์รักพยักหน้ารับหงึกหงักให้แพทริกต้องรีบขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เร็วที่สุด พอเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้งก็พบว่าคนรอนั้นยังไม่ยอมหลับแม้ดูท่าว่าใกล้จะไม่ไหวแล้วก็ตาม
ดื้อจริงๆ
“นอนได้แล้ว” ร่างสูงขยับไปนอนอีกฝั่งก่อนจะรั้งคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด
“อื้อ ฝันดีนะครับ” เสียงเล็กเอ่ยติดยานคางจนคนฟังได้แต่ส่ายหน้า ง่วงขนาดนี้ก็ยังอุตสาห์รอ
“ฝันดีกานต์รัก” สัมผัสหนักๆกดลงบนหัวเล็กก่อนคนทนความง่วงไม่ไหวจะปิดเปลือกตาลงแล้วหลับไปทันที แพทริกไล้ฝ่ามือไปตามไหล่บางเบาๆขณะที่ยังลืมตาในความมืด ร่างสูงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะค่อยๆหลับตามไป
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋