บทที่ 19
ทันทีที่ลืมตาขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ก็สาดเข้ากระทบนัยน์ตาจนต้องปิดเปลือกตาลงรวดเร็ว ตอนที่ลืมตาขึ้นเป็นครั้งที่สองนี่เองที่พบว่าตาข้างหนึ่งของเขายังคงถูกผ้าพันปิดไว้
ยองจูขยับลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ บ้านไม้ ทุกอย่างจัดวางเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่ต้องอยู่แต่ในความมืดมิด เขาสำรวจร่างกายตนเองที่มีผ้าสีขาวพันอยู่รอบลำตัว ที่ท่อนแขนและท่อนขาก็มีผ้าสีขาวพันไว้ไม่ต่างกัน ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนซบหน้าอยู่ข้างเตียง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ทุกๆ คืน และทุกๆ เช้า เขารู้ว่าฮีอูมักจะมานอนหลับอยู่เช่นนี้เกือบทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวกลายเป็นสิ่งที่ประสาทสัมผัสของเขาจดจำมันได้ดีที่สุด
คนเจ็บขยับตัวเล็กน้อย เขาดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วยันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนโดยไม่ให้เกิดเสียงและแรงขยับมากที่สุด เมื่อลุกขึ้นยืนได้เขาก็พบว่าร่างกายของตนเองฟื้นฟูมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ตอนที่วิ่งออกไปช่วยฮีอูเมื่อคราวนั้นเขาฝืนร่างกายอย่างที่สุด จนคิดไปว่าอาจจะเจ็บหนักและทรุดลงมากกว่าเดิม โชคยังดีที่เพราะการฝืนร่างกายใช้วรยุทธครั้งนั้นจะเป็นการปลุกธาตุในกายที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้
อีกไม่นาน สภาพร่างกายของเขาคงจะกลับมาเป็นปกติได้
ใบหน้าคมเข้มทอดสายตาลงมองร่างเล็กบอบบางที่นอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจนถึงตอนนี้คิมฮีอูยังคงทำเพื่อเขา อยู่ดูแลเขา ยอมกลายเป็นชาวบ้านเดินดินคนธรรมดา ทั้งที่เขาทำร้ายคนคนนี้ไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
ราชครูหนุ่มพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองได้ปฏิเสธความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มีต่อตนเอง แต่ยิ่งควานหามันเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่า คำว่ารักที่ฮีอูมอบให้เขานั้นบริสุทธิ์และมากเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะปฏิเสธได้ เช่นนั้นแล้ว เขาควรจะยอมรับความรู้สึกที่ถูกยื่นให้ตรงหน้านี้หรือ?
หากว่าตอบรับความรู้สึกนั้นแล้ว คิมฮีอูจะไม่เสียใจที่รักเขาแน่หรือเปล่า
เป็นเขาดีแล้วแน่หรือ?
ยองจูอุ้มคนที่ยังนอนหลับขึ้นวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จับผ้าขึ้นห่มร่างเล็กๆ ที่บิดกายเล็กน้อยด้วยความสบาย ข้อนิ้วหนาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากขาวให้พ้นไปด้านข้าง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแทนคนตัวเล็กเมื่อครู่
ร่างสูงนั่งมองดวงหน้าใสที่หลับตาพริ้ม เขาใช้ปลายนิ้วไล้ใบหน้าอ่อนล้านั้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าอิดโรยและร่างกายผ่ายผอมลงทำให้เขารู้ว่าฮีอูต้องลำบากแค่ไหนที่ต้องดูแลเขาและจัดการเรื่องอื่นๆ ด้วยตนเอง
“ทุ่มเทมากมายเสียขนาดนี้ คิดบ้างไหมว่ามันทำให้ข้าลำบากใจ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่จรดริมฝีปากลงกับหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเรื่อยไล้แตะสัมผัสลงเข้าหากลีบปากบางสีหวาน แล้วเอ่ยเสียงกระซิบ
“ข้าต้องใช้ทั้งชีวิตชดเชยให้เจ้าเลยหรือเปล่า ถึงจะเพียงพอกับที่เจ้ามอบให้ข้า คิมฮีอู”
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
อึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับมีมือของใครบางคนมาบีบรัดปิดกั้นลมหายใจ หน้าอกรู้สึกปวดหนึบ ร่างกายร้อนราวกับมีเปลวเพลิงปะทุร้อนระอุอยู่ภายใน ช่วงเวลาโหยหาลมหายใจช่างยาวนานเหลือเกิน
คิดว่าต้องตายแล้วแน่ๆ พลันเปลือกตาก็ลืมขึ้น
ฝันอีกแล้ว...
ซอนอินลุกขึ้นนั่งหอบหายใจหนักหน่วงจนรู้สึกร้าวไปทั้งหน้าอก มือเรียวบางชื้นเหงื่อไม่ต่างจากผิวกายลูบคลำลำคอตัวเองด้วยอาการสั่นเทา
ความฝันซ้ำๆ ที่ชักจะถี่ขึ้นทุกวันทำให้คนร่างบางอดรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ ในฝันที่มีใครอีกคนหน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน รูปร่างหน้าตา แม้แต่ดวงตาคู่นั้นที่จ้องตรงมาก็ยังเป็นแววตาที่เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน
จะผิดก็แต่ คนที่เหมือนกับเขาคนนี้คิดจะฆ่าเขาทุกครั้งที่เขาตกอยู่ในความฝันซ้ำซากนี้
ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ความฝันไร้สาระเท่านั้น ซอนอินบอกตัวเองในใจ อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี้เขาคิดอะไรหลายเรื่องจนส่งผลไปถึงในความฝัน หลับตาลงก็เหมือนไม่ได้หลับ ทุกชั่วยามที่พ้นผ่านในใจเอาแต่คอยกังวลถึงคนผู้นั้นอยู่ตลอด ดวงหน้าสวยหันมองออกไปยังหน้าต่างที่เผยให้เห็นท้องนภาสีน้ำทะเล คงใกล้จะเข้ายามสามแล้ว ...ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะที่ชองจีรยงออกไปทำศึก ผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นเพราะสะดุ้งตื่นเอาตอนใกล้รุ่งสาง ความง่วงที่มีจึงมลายหายไปหมดแล้ว ร่างบอบบางตัดสินใจลุกจากที่นอนโดยไม่เรียกสาวใช้ให้มาคอยปรนนิบัติ เรียวขาบางที่โผล่พ้นทบชายชุดนอนตัวบางยังมีเม็ดเหงื่อเกาะซึม ร่างกายยังรู้สึกถึงความร้อนจนต้องพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่
กว่าที่คนร่างบางจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ซอนอินนั่งลงที่หน้าโต๊ะกระจกแล้วเริ่มสางเส้นผมอย่างเบามือ ขณะที่ก้มหน้าก้มตาแกะปลายเส้นผมที่ขมวดยุ่ง สายตาก็เหลือบเห็นเงาวูบไหวในกระจก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับเห็นว่าทุกอย่างปกติดี
แต่นั่นไม่ใช่หลังจากที่ซอนอินก้มหน้าลง เพราะเงาสะท้อนในบานกระจกยังคงปรากฏดวงหน้าสะสวยที่เหมือนกับคนร่างบางไม่ผิดเพี้ยนจ้องตอบกลับมาอยู่เช่นเดิม รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเงานั้นบ่งบอกถึงความพึ่งพอใจ ก่อนที่จะจางหายไปในชั่วพริบตา
“องค์วังชอนซาทรงทำเช่นนี้ไม่ดีนะเพคะ เกิดองค์รัชทายาททรงรู้เข้า พวกหม่อมฉันได้โดนลงโทษเป็นแน่” ยอนอาครางเสียงน่าสงสาร ทั้งที่ตัวเองเป็นสาวใช้แท้ๆ แต่กลับตื่นหลังผู้เป็นนายเสียได้ เตรียมตัวมาปรนนิบัติเสียดิบดี ปรากฏว่าเจ้านายคนสวยแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียนี่ น่าละอายนัก น่าละอายจริงๆ!
“ไม่หรอกน่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีใครเขาว่าเจ้าหรอก ข้าเองก็ตื่นเร็วด้วย เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ซอนอินบอกปัดไปอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักเพื่อเพิ่มความเบาใจให้กับสองสาวใช้
“กึมซอง เจ้านั่นแหละที่ผิด ตัวยืนเฝ้ายามอยู่แท้ๆ กลับไม่ได้ยินว่าองค์วังชอนซาตื่นได้อย่างไร” ไม่วายหันไปหาผู้ร่วมกระทำผิดที่ยืนทำหน้าเหรอหราเพราะถูกใส่ความเอาดื้อๆ
“ชิชะ คิดว่าข้าจะเหมือนเจ้าหรือ ข้าน่ะเอ่ยถามองค์วังชอนซาแล้วหรอกว่าให้ช่วยสิ่งใดหรือไม่ แต่องค์วังชอนซาทรงปฏิเสธต่างหากเล่า” องครักษ์หนุ่มแยกเขี้ยวใส่ยอนอาด้วยท่าทางเหนือกว่า
“พอๆ หยุดเลยทั้งสองคน ทะเลาะกันได้ทุกวันสิน่า” เจ้านายคนสวยส่ายศีรษะระอา ใจจริงเขาก็รู้หรอกว่าที่กึมซองและยอนอาโวยวายใส่กันได้ทุกวันแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ตำหนักเงียบเหงาเกินไป ไม่อยากให้เขาเอาเวลาไปนั่งซึมอยู่คนเดียว แต่นี่ก็มากเกินไปหน่อย ทุกวันเป็นต้องได้ยินเสียงแหลมๆ สูงๆ โต้คารมกันไม่หยุดหย่อน
“กึมซอง เจ้าได้ข่าวอะไรคืบหน้าบ้างไหม?” ซอนอินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้องเพื่อทานขนมต้มหลากสีอย่างเสียไม่ได้
เห็นเจ้านายยอมทานขนมที่โซยอนตั้งใจทำถวายแต่โดยดีแล้ว นางกำนัลแบยอนอาก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยขัดอะไรอีก อย่างน้อยถ้าไม่ทานข้าว ทานขนมก็ยังดี!
“กระหม่อมได้รับสาส์นล่าสุดก็เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ”
สาส์นเมื่อสามวันที่แล้วบอกว่ากองกำลังฮานึลและคันเซยังเท่าเทียมกันอยู่ แล้วเพลานี้ผู้ใดกันที่เสียเปรียบ ผู้ใดกันที่ได้เปรียบ ซอนอินอยากจะรู้ให้แน่แก่ใจเหลือเกิน
ถึงจะรู้ว่าชองจีรยงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจก็เถอะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ไม่มีสักวินาทีใดที่เขาจะเบาใจได้เลย
ซอนอินใช้เวลาในตอนบ่ายของวันหมดไปกับการนั่งเล่นในศาลา ฟังสองสาวใช้และกึมซองเล่าเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย มีบ้างในบางช่วงที่จะถูกถามความเห็น ทำให้ซอนอินต้องหยุดพักเรื่องกังวลใจเพื่อตอบคำถามต่างๆ นาๆ ที่สรรหาจะมาเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ตลอด เรียกได้ว่าไม่ยอมปล่อยให้เขาได้คิดฟุ้งซ่านได้นานเกินอึดใจ
“อา...จริงสิ อีกสองวันก็จะถึง วันพยอลดัลนิม แล้ว น่าเสียดายที่ปีนี้องค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย”
“วันอะไรนะ?” ซอนอินเลิกคิ้วสนใจ โซยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบเอ่ยตอบรวดเร็วด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“วันพยอลดัลนิม เป็นวันขอบคุณเทพแห่งท้องฟ้าเพคะ เป็นประเพณีของฮานึลที่ทุกคนจะต้องร่วมกันจัดงานขอบคุณต่อเทพแห่งท้องฟ้าผู้ปกปักษ์รักษาแคว้นฮานึลให้สงบร่มเย็นมาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะเรียกงานนี้ว่าวันชมจันทร์ชมดาวเพคะ เพราะว่าพิธีจัดเลี้ยงจะดำเนินในตอนค่ำ”
“และที่สำคัญ ขนมจองเจที่พระสนมฮีวอนทรงลงมือทำด้วยพระองค์เองยังอร่อยมากๆ ด้วย!” กึมซองรีบออกความเห็นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สีหน้าของเด็กหนุ่มเริงรื่นเสียจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
“พูดอย่างนี้หมายความว่าขนมจองเจที่น้องสาวข้าทำไม่อร่อยสินะ? ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาขอกินขนมที่ตำหนักโยกันเลยนะกึมซอง!”
“ข้าเปล่าพูดว่าขนมที่โซยอนทำไม่อร่อยเสียหน่อย!” เจ้าตัวพูดพร้อมกันส่ายหัวหนักๆ เพื่อยืนยัน คราวนี้สีหน้าที่แสดงออกกลายเป็นตื่นตูมขึ้นมาฉับพลัน ด้วยกลัวว่าจะอดกินขนมอร่อยๆ จากพวกนางอีก “ขนมที่โซยอนทำน่ะอร่อยที่สุดอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าก็รู้นี่ ว่าขนมจองเจที่พระสนมทำแม้แต่องค์กษัตริย์ก็ยังชื่นชอบ ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าพระนางทำอร่อยที่สุด ...เจ้าก็อย่าได้กลัวว่าจะด้อยฝีมือไปเลย พระสนมทรงทำขนมด้วยองค์เองก็เพื่อวันพยอลดัลนิมเพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากวันนั้นแล้ว เจ้าก็ยังเป็นคนทำขนมที่ข้าชอบมากที่สุดอย่างแน่นอน!” คนพูดยิ้มหน้าบานฉีกปากจนเห็นซี่ฟันขาว
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าชอบทานเลยเถอะ!” โซยอนงึมงำคล้ายกำลังงอน เด็กสาวสะบัดชายแขนเสื้อใส่อีกฝ่าย
ซอนอินมองเด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนโต้คารมกันไปมาอยู่สักพักก็มีคนจากตำหนักของพระสนมฮีวอนมาหา คนที่มานี้เป็นสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงาม การแต่งกายแตกต่างจากยอนอาและโซยอน บ่งบอกถึงระดับตำแหน่งที่สูงกว่า นางมาพร้อมกับทหารติดตามสองคนเพื่อมารายงานว่าในวันพรุ่งนี้จะมีคนมารับองค์วังชอนซาไปที่ตำหนักของพระสนมฮีวอน เป็นประสงค์ของพระนางที่อยากจะให้แขกคนสำคัญได้ร่วมทำขนมในวันพยอลดัลนิมด้วยกัน
“แต่ข้าไม่เคยทำความรู้จักกับพระสนมเลยนะ? ข้าคิดว่า...”
ซอนอินยังไม่ทันได้พูดต่อ นางกำนัลตรงหน้าก็เอ่ยต่อประโยคเสียเอง
“เรื่องนี้องค์วังชอนซาไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ พระสนมฮีวอนเพียงต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์วังชอนซาให้มากขึ้น ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ พระสนมจึงประสงค์จะเป็นเพื่อนคุยกับองค์วังชอนซาเพคะ”
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เท่าที่ซอนอินจำได้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่ฮานึล เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับพระสนมฮีวอนเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่คุย เคยพบหน้ากันยังแทบจะนับครั้งได้ จีมุนเองก็ไม่ได้พูดถึงผู้เป็นแม่ให้เขาฟังเลยสักนิดเดียว แล้วอยู่ดีๆ นางคิดอย่างไรถึงได้อยากคุยกับเขากัน?
แล้วเขาควรจะตอบรับหรือเปล่านี่สิยังเป็นปัญหา ก็ในเมื่อคนที่จะสั่งเขาให้ทำสิ่งใดได้ก็มีแต่ชองจีรยงเท่านั้น หากเขาตอบรับ แล้วเกิดจีรยงมารู้ทีหลังแล้วไม่พอใจที่เขาไปยุ่งวุ่นวายกับพระญาติขึ้นมา เขามิต้องโดนต่อว่าเละหรอกหรือ?
เป็นแค่คนอาศัยนี่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยจริงๆ!
“องค์วังชอนซาเตรียมตัวให้พร้อมนะเพคะ วันพรุ่งจะมีคนมารับที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่”
“เอ๋? เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายัง...”
ข้ายังไม่ได้ตอบตกลง ซอนอินกลืนคำที่เหลือลงคอเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าพากันลากลับโดยไม่คิดจะฟังความเห็นของตนแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่คิดจะรอฟังคำปฏิเสธใดๆ เลยต่างหาก
(ต่อ)