วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59  (อ่าน 27416 ครั้ง)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

บทที่ 19


 

ทันทีที่ลืมตาขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ก็สาดเข้ากระทบนัยน์ตาจนต้องปิดเปลือกตาลงรวดเร็ว ตอนที่ลืมตาขึ้นเป็นครั้งที่สองนี่เองที่พบว่าตาข้างหนึ่งของเขายังคงถูกผ้าพันปิดไว้
 
ยองจูขยับลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ บ้านไม้ ทุกอย่างจัดวางเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินที่ต้องอยู่แต่ในความมืดมิด เขาสำรวจร่างกายตนเองที่มีผ้าสีขาวพันอยู่รอบลำตัว ที่ท่อนแขนและท่อนขาก็มีผ้าสีขาวพันไว้ไม่ต่างกัน ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งนอนซบหน้าอยู่ข้างเตียง
 
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร ทุกๆ คืน และทุกๆ เช้า เขารู้ว่าฮีอูมักจะมานอนหลับอยู่เช่นนี้เกือบทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวกลายเป็นสิ่งที่ประสาทสัมผัสของเขาจดจำมันได้ดีที่สุด
 
คนเจ็บขยับตัวเล็กน้อย เขาดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วยันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนโดยไม่ให้เกิดเสียงและแรงขยับมากที่สุด เมื่อลุกขึ้นยืนได้เขาก็พบว่าร่างกายของตนเองฟื้นฟูมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ตอนที่วิ่งออกไปช่วยฮีอูเมื่อคราวนั้นเขาฝืนร่างกายอย่างที่สุด จนคิดไปว่าอาจจะเจ็บหนักและทรุดลงมากกว่าเดิม โชคยังดีที่เพราะการฝืนร่างกายใช้วรยุทธครั้งนั้นจะเป็นการปลุกธาตุในกายที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาได้
 
อีกไม่นาน สภาพร่างกายของเขาคงจะกลับมาเป็นปกติได้
 
ใบหน้าคมเข้มทอดสายตาลงมองร่างเล็กบอบบางที่นอนฟุบอยู่ที่ข้างเตียง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจนถึงตอนนี้คิมฮีอูยังคงทำเพื่อเขา อยู่ดูแลเขา ยอมกลายเป็นชาวบ้านเดินดินคนธรรมดา ทั้งที่เขาทำร้ายคนคนนี้ไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
 
ราชครูหนุ่มพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองได้ปฏิเสธความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มีต่อตนเอง แต่ยิ่งควานหามันเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอแต่ความว่างเปล่า คำว่ารักที่ฮีอูมอบให้เขานั้นบริสุทธิ์และมากเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะปฏิเสธได้ เช่นนั้นแล้ว เขาควรจะยอมรับความรู้สึกที่ถูกยื่นให้ตรงหน้านี้หรือ?
 
หากว่าตอบรับความรู้สึกนั้นแล้ว คิมฮีอูจะไม่เสียใจที่รักเขาแน่หรือเปล่า
 
เป็นเขาดีแล้วแน่หรือ?
 
 
ยองจูอุ้มคนที่ยังนอนหลับขึ้นวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จับผ้าขึ้นห่มร่างเล็กๆ ที่บิดกายเล็กน้อยด้วยความสบาย ข้อนิ้วหนาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากขาวให้พ้นไปด้านข้าง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแทนคนตัวเล็กเมื่อครู่
 
ร่างสูงนั่งมองดวงหน้าใสที่หลับตาพริ้ม เขาใช้ปลายนิ้วไล้ใบหน้าอ่อนล้านั้นอย่างแผ่วเบา สีหน้าอิดโรยและร่างกายผ่ายผอมลงทำให้เขารู้ว่าฮีอูต้องลำบากแค่ไหนที่ต้องดูแลเขาและจัดการเรื่องอื่นๆ ด้วยตนเอง
 
 
“ทุ่มเทมากมายเสียขนาดนี้ คิดบ้างไหมว่ามันทำให้ข้าลำบากใจ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับที่จรดริมฝีปากลงกับหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเรื่อยไล้แตะสัมผัสลงเข้าหากลีบปากบางสีหวาน แล้วเอ่ยเสียงกระซิบ
 
“ข้าต้องใช้ทั้งชีวิตชดเชยให้เจ้าเลยหรือเปล่า ถึงจะเพียงพอกับที่เจ้ามอบให้ข้า คิมฮีอู”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
อึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับมีมือของใครบางคนมาบีบรัดปิดกั้นลมหายใจ หน้าอกรู้สึกปวดหนึบ ร่างกายร้อนราวกับมีเปลวเพลิงปะทุร้อนระอุอยู่ภายใน ช่วงเวลาโหยหาลมหายใจช่างยาวนานเหลือเกิน
 
คิดว่าต้องตายแล้วแน่ๆ พลันเปลือกตาก็ลืมขึ้น
 
ฝันอีกแล้ว...
 
ซอนอินลุกขึ้นนั่งหอบหายใจหนักหน่วงจนรู้สึกร้าวไปทั้งหน้าอก มือเรียวบางชื้นเหงื่อไม่ต่างจากผิวกายลูบคลำลำคอตัวเองด้วยอาการสั่นเทา
 
ความฝันซ้ำๆ ที่ชักจะถี่ขึ้นทุกวันทำให้คนร่างบางอดรู้สึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ ในฝันที่มีใครอีกคนหน้าตาเหมือนเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน รูปร่างหน้าตา แม้แต่ดวงตาคู่นั้นที่จ้องตรงมาก็ยังเป็นแววตาที่เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน
 
จะผิดก็แต่ คนที่เหมือนกับเขาคนนี้คิดจะฆ่าเขาทุกครั้งที่เขาตกอยู่ในความฝันซ้ำซากนี้
 
ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่ความฝันไร้สาระเท่านั้น ซอนอินบอกตัวเองในใจ อาจจะเป็นเพราะหลายวันมานี้เขาคิดอะไรหลายเรื่องจนส่งผลไปถึงในความฝัน หลับตาลงก็เหมือนไม่ได้หลับ ทุกชั่วยามที่พ้นผ่านในใจเอาแต่คอยกังวลถึงคนผู้นั้นอยู่ตลอด ดวงหน้าสวยหันมองออกไปยังหน้าต่างที่เผยให้เห็นท้องนภาสีน้ำทะเล คงใกล้จะเข้ายามสามแล้ว ...ครบหนึ่งอาทิตย์แล้วสินะที่ชองจีรยงออกไปทำศึก ผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง
 
เป็นเพราะสะดุ้งตื่นเอาตอนใกล้รุ่งสาง ความง่วงที่มีจึงมลายหายไปหมดแล้ว ร่างบอบบางตัดสินใจลุกจากที่นอนโดยไม่เรียกสาวใช้ให้มาคอยปรนนิบัติ เรียวขาบางที่โผล่พ้นทบชายชุดนอนตัวบางยังมีเม็ดเหงื่อเกาะซึม ร่างกายยังรู้สึกถึงความร้อนจนต้องพาตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่
 
กว่าที่คนร่างบางจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ซอนอินนั่งลงที่หน้าโต๊ะกระจกแล้วเริ่มสางเส้นผมอย่างเบามือ ขณะที่ก้มหน้าก้มตาแกะปลายเส้นผมที่ขมวดยุ่ง สายตาก็เหลือบเห็นเงาวูบไหวในกระจก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับเห็นว่าทุกอย่างปกติดี
 
แต่นั่นไม่ใช่หลังจากที่ซอนอินก้มหน้าลง เพราะเงาสะท้อนในบานกระจกยังคงปรากฏดวงหน้าสะสวยที่เหมือนกับคนร่างบางไม่ผิดเพี้ยนจ้องตอบกลับมาอยู่เช่นเดิม รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเงานั้นบ่งบอกถึงความพึ่งพอใจ ก่อนที่จะจางหายไปในชั่วพริบตา
 
 
“องค์วังชอนซาทรงทำเช่นนี้ไม่ดีนะเพคะ เกิดองค์รัชทายาททรงรู้เข้า พวกหม่อมฉันได้โดนลงโทษเป็นแน่” ยอนอาครางเสียงน่าสงสาร ทั้งที่ตัวเองเป็นสาวใช้แท้ๆ แต่กลับตื่นหลังผู้เป็นนายเสียได้ เตรียมตัวมาปรนนิบัติเสียดิบดี ปรากฏว่าเจ้านายคนสวยแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียนี่ น่าละอายนัก น่าละอายจริงๆ!
 
“ไม่หรอกน่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีใครเขาว่าเจ้าหรอก ข้าเองก็ตื่นเร็วด้วย เจ้าไม่ผิดอะไรทั้งนั้นแหละ” ซอนอินบอกปัดไปอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนักเพื่อเพิ่มความเบาใจให้กับสองสาวใช้
 
“กึมซอง เจ้านั่นแหละที่ผิด ตัวยืนเฝ้ายามอยู่แท้ๆ กลับไม่ได้ยินว่าองค์วังชอนซาตื่นได้อย่างไร” ไม่วายหันไปหาผู้ร่วมกระทำผิดที่ยืนทำหน้าเหรอหราเพราะถูกใส่ความเอาดื้อๆ
 
“ชิชะ คิดว่าข้าจะเหมือนเจ้าหรือ ข้าน่ะเอ่ยถามองค์วังชอนซาแล้วหรอกว่าให้ช่วยสิ่งใดหรือไม่ แต่องค์วังชอนซาทรงปฏิเสธต่างหากเล่า” องครักษ์หนุ่มแยกเขี้ยวใส่ยอนอาด้วยท่าทางเหนือกว่า
 
“พอๆ หยุดเลยทั้งสองคน ทะเลาะกันได้ทุกวันสิน่า” เจ้านายคนสวยส่ายศีรษะระอา ใจจริงเขาก็รู้หรอกว่าที่กึมซองและยอนอาโวยวายใส่กันได้ทุกวันแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ตำหนักเงียบเหงาเกินไป ไม่อยากให้เขาเอาเวลาไปนั่งซึมอยู่คนเดียว แต่นี่ก็มากเกินไปหน่อย ทุกวันเป็นต้องได้ยินเสียงแหลมๆ สูงๆ โต้คารมกันไม่หยุดหย่อน
 
“กึมซอง เจ้าได้ข่าวอะไรคืบหน้าบ้างไหม?” ซอนอินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเดินไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้องเพื่อทานขนมต้มหลากสีอย่างเสียไม่ได้
 
เห็นเจ้านายยอมทานขนมที่โซยอนตั้งใจทำถวายแต่โดยดีแล้ว นางกำนัลแบยอนอาก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยขัดอะไรอีก อย่างน้อยถ้าไม่ทานข้าว ทานขนมก็ยังดี!
 
“กระหม่อมได้รับสาส์นล่าสุดก็เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ”
 
สาส์นเมื่อสามวันที่แล้วบอกว่ากองกำลังฮานึลและคันเซยังเท่าเทียมกันอยู่ แล้วเพลานี้ผู้ใดกันที่เสียเปรียบ ผู้ใดกันที่ได้เปรียบ ซอนอินอยากจะรู้ให้แน่แก่ใจเหลือเกิน
 
ถึงจะรู้ว่าชองจีรยงเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจก็เถอะ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ ไม่มีสักวินาทีใดที่เขาจะเบาใจได้เลย
 
ซอนอินใช้เวลาในตอนบ่ายของวันหมดไปกับการนั่งเล่นในศาลา ฟังสองสาวใช้และกึมซองเล่าเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย มีบ้างในบางช่วงที่จะถูกถามความเห็น ทำให้ซอนอินต้องหยุดพักเรื่องกังวลใจเพื่อตอบคำถามต่างๆ นาๆ ที่สรรหาจะมาเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ตลอด เรียกได้ว่าไม่ยอมปล่อยให้เขาได้คิดฟุ้งซ่านได้นานเกินอึดใจ
 
“อา...จริงสิ อีกสองวันก็จะถึง วันพยอลดัลนิม แล้ว น่าเสียดายที่ปีนี้องค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ร่วมงานด้วย”
 
“วันอะไรนะ?” ซอนอินเลิกคิ้วสนใจ โซยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบเอ่ยตอบรวดเร็วด้วยสีหน้าตื่นเต้น
 
“วันพยอลดัลนิม เป็นวันขอบคุณเทพแห่งท้องฟ้าเพคะ เป็นประเพณีของฮานึลที่ทุกคนจะต้องร่วมกันจัดงานขอบคุณต่อเทพแห่งท้องฟ้าผู้ปกปักษ์รักษาแคว้นฮานึลให้สงบร่มเย็นมาโดยตลอด แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะเรียกงานนี้ว่าวันชมจันทร์ชมดาวเพคะ เพราะว่าพิธีจัดเลี้ยงจะดำเนินในตอนค่ำ”
 
“และที่สำคัญ ขนมจองเจที่พระสนมฮีวอนทรงลงมือทำด้วยพระองค์เองยังอร่อยมากๆ ด้วย!” กึมซองรีบออกความเห็นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น สีหน้าของเด็กหนุ่มเริงรื่นเสียจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา
 
“พูดอย่างนี้หมายความว่าขนมจองเจที่น้องสาวข้าทำไม่อร่อยสินะ? ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาขอกินขนมที่ตำหนักโยกันเลยนะกึมซอง!”
 
“ข้าเปล่าพูดว่าขนมที่โซยอนทำไม่อร่อยเสียหน่อย!” เจ้าตัวพูดพร้อมกันส่ายหัวหนักๆ เพื่อยืนยัน คราวนี้สีหน้าที่แสดงออกกลายเป็นตื่นตูมขึ้นมาฉับพลัน ด้วยกลัวว่าจะอดกินขนมอร่อยๆ จากพวกนางอีก “ขนมที่โซยอนทำน่ะอร่อยที่สุดอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าก็รู้นี่ ว่าขนมจองเจที่พระสนมทำแม้แต่องค์กษัตริย์ก็ยังชื่นชอบ ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าพระนางทำอร่อยที่สุด ...เจ้าก็อย่าได้กลัวว่าจะด้อยฝีมือไปเลย พระสนมทรงทำขนมด้วยองค์เองก็เพื่อวันพยอลดัลนิมเพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากวันนั้นแล้ว เจ้าก็ยังเป็นคนทำขนมที่ข้าชอบมากที่สุดอย่างแน่นอน!” คนพูดยิ้มหน้าบานฉีกปากจนเห็นซี่ฟันขาว
 
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าชอบทานเลยเถอะ!” โซยอนงึมงำคล้ายกำลังงอน เด็กสาวสะบัดชายแขนเสื้อใส่อีกฝ่าย
 
ซอนอินมองเด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนโต้คารมกันไปมาอยู่สักพักก็มีคนจากตำหนักของพระสนมฮีวอนมาหา คนที่มานี้เป็นสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงาม การแต่งกายแตกต่างจากยอนอาและโซยอน บ่งบอกถึงระดับตำแหน่งที่สูงกว่า นางมาพร้อมกับทหารติดตามสองคนเพื่อมารายงานว่าในวันพรุ่งนี้จะมีคนมารับองค์วังชอนซาไปที่ตำหนักของพระสนมฮีวอน เป็นประสงค์ของพระนางที่อยากจะให้แขกคนสำคัญได้ร่วมทำขนมในวันพยอลดัลนิมด้วยกัน
 
“แต่ข้าไม่เคยทำความรู้จักกับพระสนมเลยนะ? ข้าคิดว่า...”
 
ซอนอินยังไม่ทันได้พูดต่อ นางกำนัลตรงหน้าก็เอ่ยต่อประโยคเสียเอง
 
“เรื่องนี้องค์วังชอนซาไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะ พระสนมฮีวอนเพียงต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์วังชอนซาให้มากขึ้น ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ พระสนมจึงประสงค์จะเป็นเพื่อนคุยกับองค์วังชอนซาเพคะ”
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เท่าที่ซอนอินจำได้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่ฮานึล เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดคุยกับพระสนมฮีวอนเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่คุย เคยพบหน้ากันยังแทบจะนับครั้งได้ จีมุนเองก็ไม่ได้พูดถึงผู้เป็นแม่ให้เขาฟังเลยสักนิดเดียว แล้วอยู่ดีๆ นางคิดอย่างไรถึงได้อยากคุยกับเขากัน?
 
แล้วเขาควรจะตอบรับหรือเปล่านี่สิยังเป็นปัญหา ก็ในเมื่อคนที่จะสั่งเขาให้ทำสิ่งใดได้ก็มีแต่ชองจีรยงเท่านั้น หากเขาตอบรับ แล้วเกิดจีรยงมารู้ทีหลังแล้วไม่พอใจที่เขาไปยุ่งวุ่นวายกับพระญาติขึ้นมา เขามิต้องโดนต่อว่าเละหรอกหรือ?
 
เป็นแค่คนอาศัยนี่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยจริงๆ!
 
“องค์วังชอนซาเตรียมตัวให้พร้อมนะเพคะ วันพรุ่งจะมีคนมารับที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่”
 
“เอ๋? เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายัง...”
 
ข้ายังไม่ได้ตอบตกลง ซอนอินกลืนคำที่เหลือลงคอเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าพากันลากลับโดยไม่คิดจะฟังความเห็นของตนแม้แต่น้อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่คิดจะรอฟังคำปฏิเสธใดๆ เลยต่างหาก
 

(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


 
ซอนอินยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ เช้าวันต่อมาก็มีขบวนสาวใช้มาตั้งแถวรอรับอยู่ที่หน้าตำหนักโยกันเรียบร้อยแล้ว
 
“ให้ยอนอากับโซยอนไปกับข้าด้วยได้ไหม?” คนสวยวอนขอด้วยสีหน้าน่าสงสาร ถึงอย่างไรก็อยากให้มีคนรู้จักไปด้วยกัน อยู่ๆ จะให้เขาเพียงคนเดียวไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้ามันก็น่ากลัวเกินไป
 
“ไม่ได้เพคะ การจะเข้าออกตำหนักของพระสนมเป็นเรื่องที่เข้มงวดยิ่งนัก จะให้ใครเข้าๆ ออกๆ ตามอำเภอใจไม่ได้ อย่าได้เสียเวลาไปมากกว่านี้อีกเลย เชิญองค์วังชอนซาทางนี้เพคะ”
 
สวยซะเปล่า ทำไมถึงได้ใจร้ายอย่างนี้นะ! ไม่เพียงแต่ซอนอินที่คิดเช่นนี้ แต่ยอนอาและโซยอนก็อดจะคิดต่อว่าไปด้วยไม่ได้ นางกำนัลส่วนพระองค์ของพระสนมนี่เล่นด้วยไม่ได้เลยจริงๆ
 
เสียงหัวใจค่อยๆ ได้ยินชัดมากขึ้นตามย่างก้าวที่เดิน จนกระทั่งมายืนนิ่งอยู่ที่หน้าตำหนักที่มีขนาดใหญ่และสวยงามกว่าตำหนักโยกันหลายเท่าตัว
 
“ยินดีต้อนรับองค์วังชอนซา ข้าคือสนมเอกนามว่าฮีวอน เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ต้อนรับท่าน” น้ำเสียงอ่อนหวานเอื้อนเอ่ยราวกับท่วงทำนองของบทเพลง ดวงหน้างดงามเสียจนคนมองรู้สึกแสบตาอย่างไรชอบกล เมื่อได้มามองใกล้ๆ เช่นนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่แปลกใจเลยที่คนคนนี้ได้เป็นถึงพระสนมเอก
 
แต่ก็อีกนั่นแหละ ซอนอินก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ สายตาคมกริบของนางที่จ้องเขานิ่งเช่นนี้มันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบแปลกๆ
 
“เป็นเกียรติแกหม่อมฉันเช่นกันที่ได้มาที่ตำหนักของพระสนมฮีวอน” ซอนอินโค้งกายเล็กน้อยอย่างสุภาพ ร่างบอบบางที่ไม่ได้แตกต่างจากอิสตรีอีกคนสักเท่าใดนักถูกพาเข้าไปยังด้านในตำหนักพร้อมกับสาวใช้อีกกว่าสิบคน
 
ขนมจองเจแท้ที่จริงแล้วก็ทำมาจากแป้งที่มีส่วนผสมหลักคือน้ำผึ้งนั่นเอง ซอนอินดูจะสนใจกับขนมของต่างแคว้นจนลืมความประหม่าที่ต้องอยู่กับพระสนมไปเสียสนิท กลิ่นหอมหวานของวัตถุดิบที่จะใช้ทำขนมอบอวลไปทั่วทั้งห้องครัวขนาดใหญ่ ซอนอินสังเกตว่าการทำแม่พิมพ์และนวดแป้งเป็นหน้าที่ของนางกำนัล ส่วนการผสมจะเป็นหน้าที่ของพระสนมเสียส่วนใหญ่
 
ซอนอินสนุกกับการทำแม่พิมพ์หลังจากที่มีพระสนมเป็นคนสอนด้วยตัวเองอยู่นานกว่าจะทำได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ รูปทรงของขนมจองเจคล้ายกับดอกบ๊วย มีขนาดเล็กเท่าตราหยกทั่วไป สีสันที่แตกต่างกันบ่งบอกถึงรสชาติของชิ้นขนม อย่างสีดำก็จะเป็นรสงาดำ บางสีก็จะเป็นรสของผลไม้ชนิดต่างๆ
 
เพลิดเพลินกับการทำขนมที่คนร่างบางบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นครั้งแรกที่เคยเข้าครัวอยู่นานโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว จนจีมุนที่เพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมไข้องค์กษัตริย์เดินเข้ามาทักทายคนสวยที่เกือบจะทั่วใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยผงแป้ง
 
“เสด็จแม่บอกว่าเจ้าไม่ยอมทานข้าว เอาแต่จะช่วยนางกำนัลทำขนมไม่หยุด” ก่อนหน้าที่จะมายังห้องครัว จีมุนแวะไปหาเสด็จแม่ในห้องรับรองมาก่อน คิดว่าจะต้องเจอซอนอินอยู่ที่นั่นด้วย เพราะในส่วนของการผสมวัตถุดิบเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่การทำพิมพ์และจัดวางเท่านั้น ซึ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางกำนัลได้
 
“ก็มันสนุกนี่นา ถ้าข้ารู้ว่ามีอะไรที่ทำแล้วสนุกอย่างนี้นะ ข้าไม่เอาแต่นั่งเอ๋ออยู่ทุกวันหรอก” คนสวยหันไปฉีกยิ้มกว้าง พลางเอียงใบหน้าไปตามแรงมือใหญ่ที่จับปลายคางของเขาให้เงยขึ้นเพื่อใช้ชายเสื้อเช็ดผงแป้งให้พ้นผิวแก้มเนียน
 
“ดูท่าเจ้าจะเป็นเจ้าสาวที่ดีได้นะ” พูดแล้วก็หัวเราะลั่น ทำเอาคนสวยหน้าแดงวาบเพราะถูกสายตาของเหล่านางกำนัลแอบมองกันเป็นตาเดียว
 
คนสวยเชิดจมูกขึ้นเล็กน้อยแล้วปั้นหน้าขึงขัง “เจ้าอย่ามั่วนะ ข้าเป็นผู้ชาย จะไปเป็นเจ้าสาวได้ยังไง พอเลย ข้าไม่ทำแล้วก็ได้ขนมเนี่ย” สะบัดหน้าใส่เสียจนคนตัวสูงกว่าต้องรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ จับไหล่เล็กให้หันหน้าเข้าหากันแล้วช่วยเช็ดดวงหน้าขาวจนสะอาด
 
“เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าที่ตำหนัก แล้ววันพรุ่งตอนหัวค่ำข้าจะไปรับเจ้ามาที่งานเลี้ยง”
 
“ข้าไม่ไปไม่ได้เหรอ?”
 
“ไม่ได้หรอก งานนี้เสด็จพ่อของข้าก็เข้าร่วมพิธีจัดเลี้ยงด้วย ยังไงเจ้าก็ต้องให้เกียรติไปที่งานนะ”
 
“แต่ข้าไม่อยากเจอคนคนนั้นเลย เจ้าก็รู้นี่จีมุน ว่านางไม่ชอบข้า แล้วยังรู้ด้วยว่าแท้จริงแล้วข้าอยู่ในฐานะอะไร”
 
“ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าได้หรอก อย่ากังวลไปเลย ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า”
 
ถึงจีมุนจะรับปากอย่างนั้นแล้วก็ตาม แต่เอาเข้าจริง ในวันงานจัดเลี้ยงอันยิ่งใหญ่นั้นกลับพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เหล่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่มาร่วมงานเลี้ยงวันพยอลดัลนิมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา นับดูจากสายตาคร่าวๆ แล้วก็ร่วมหลายร้อยคน ยังไม่รวมเหล่าบ่าวไพร่ข้ารับใช้และทหารภายในวัง ทั้งยังจะมีคนที่มาทำการแสดงถวายอีกหลายคณะ ความวุ่นวายและความเอิกเกริกครึกครื้นเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่โอรสองค์รองอย่างชองจีมุนจะอยู่นิ่งกับที่ได้
 
“องค์ชายรอง ท่านหญิงคิมต้องการพูดคุยกับองค์ชายเกี่ยวกับเรื่องของคุณชายคิมฮีอู นางรออยู่ตรงปีกซ้ายทางด้านนั้นพะย่ะค่ะ” จีมุนเพิ่งจะกลับมานั่งข้างซอนอินได้ไม่นานก็มีข้ารับใช้หนุ่มมาเรียกตัว
 
“เจ้าไปเถอะ” ซอนอินพูดขึ้นทันทีที่เห็นว่าจีมุนหันมามองเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ เกือบจะตลอดเวลาที่เริ่มงานมาที่จีมุนต้องผละจากไปหาคนอื่นด้วยฐานะองค์ชายรองแห่งฮานึล ซ้ำในตอนนี้องค์รัชทายาทไม่อยู่ หน้าที่หลักในการดูแลคนสำคัญในงานจึงเป็นของจีมุนเต็มๆ
 
“เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
 
ซอนอินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องกังวล เขาไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับใครอยู่แล้วเพราะถือเป็นแขกคนสำคัญ ซ้ำยังมีตำแหน่งวังชอนซาเป็นเกราะช่วยไว้จากการทักทายอย่างผิวเผินกับคนอื่นๆ เพราะยังไงซะ ตำแหน่งที่เป็นถึงตัวแทนเทพเจ้าก็ย่อมมีหลายคนที่ยำเกรงการเข้าหา อีกทั้งคนในวังต่างก็รู้ว่าองค์รัชทายาททรงให้ความสำคัญต่อวังชอนซามากเป็นพิเศษ เกิดผู้ใดถือวิสาสะตอนที่องค์ชายใหญ่ไม่อยู่เข้าหาแขกผู้นี้ อาจจะโดนลงทัณฑ์เอาง่ายๆ ตำแหน่งที่ซอนอินนั่งอยู่ก็ใกล้กับพระสนมและองค์กษัตริย์อยู่มากจึงไม่ค่อยมีผู้ใดกล้าเดินเข้าหา
 
แต่นั่นก็ยังเท่ากับว่า ซอนอินได้นั่งใกล้กับแขกคนสำคัญอีกคนหนึ่งเช่นกัน
 
“ไม่รู้ว่าที่ท่านยังอยู่ที่นี่ เป็นเพราะรักองค์ชายจีรยงจนยอมเป็นนางบำเรอได้ หรือเพราะไม่มีที่ไปกันแน่ แต่เอ๊ะ คงเป็นทั้งสองอย่างสินะ”
 
ซอนอินไม่ได้หันไปมองคนที่พูดอยู่ทางขวา เพราะเขาก็รู้ดีว่าอีกคนนั้นพูดทั้งๆ ที่ยังหันหน้าไปทางเวที และแย้มยิ้มกับการแสดงได้อย่างแนบเนียน นางก็เพียงต้องการพูดยั่วยุเขาเท่านั้น
 
หุบปากไปสักทีจะได้ไหม!
 
“แต่ข้าว่าท่านควรจะเริ่มเก็บข้าวของได้แล้วนะ ไม่สิ ท่านมาตัวเปล่า ก็ต้องกลับไปตัวเปล่าถึงจะถูก คงไม่ต้องเสียเวลานานนัก”
 
“ท่านพูดเรื่องอะไร” คราวนี้ซอนอินหันไปเขม่นมองเด็กสาวอย่างไม่เกรงว่าใครจะจ้องมองมาหรือเปล่า เขาอดทนมานานแล้วที่จะนั่งนิ่งไม่ต่อคำ แต่สิ่งที่เพิ่งได้ยินมันทำให้เขาเหลืออดแล้วจริงๆ เหตุใดเขาต้องไปไหนด้วย!
 
“บอกท่านไปก็ไม่สนุกน่ะสิ คิกๆ” เสแสร้ง! เสแสร้งชัดๆ เลย! ซอนอินอยากจะกรีดร้องเสียเดี๋ยวนั้น ท่าทางน่ารักขององค์หญิงห้าที่หัวเราะคิกคักไปกับการแสดงละครใบ้ทำเอาร่างบางควันออกหู ปากต่อว่าเขาไม่หยุด แต่กลับแสดงท่าทางหลอกตาได้แนบเนียนเสียยิ่งกว่านักแสดงละครเวทีเสียอีก!
 
คิดจะปล่อยให้เขาของขึ้นอยู่คนเดียวหรือไงกัน!
 
“หึ! ท่านจะคิดยังไงข้าก็ไม่สนหรอกนะ ตราบใดที่องค์ชายจีรยงไม่ไล่ข้า ท่านก็ทำอะไรข้าไม่ได้” ดวงหน้าสวยหันกลับไปมองการแสดงตรงหน้าบ้าง พลางเอื้อนเอ่ยตอบโต้ “อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง ข้าได้ข่าวว่าท่านถูกปฏิเสธข้อเสนอนี่? เช่นนั้น แม้แต่ตำแหน่งพระสนมขององค์ชายจีรยง เจ้าก็คงไม่ได้ครอบครองสินะ”
 
“ปากดี! แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะโดนไล่ตะเพิดออกไป!!”
 
“ข้าไม่ว่างมานั่งแย่งผู้ใดกับท่านหรอกนะองค์หญิง ต่อให้องค์ชายจีรยงเลือกท่าน ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เอาไว้รอให้ข้าถูกไล่เสียก่อนเถิด ค่อยมาถมน้ำลายใส่ข้า อย่ามัวแต่ตีตนไปก่อนไข้ ข้ารำคาญ!”
 
จบคำของร่างบาง เสียงดนตรีของการแสดงก็สิ้นสุดลง ความเงียบที่มีเพียงเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบถึงการแสดงเมื่อครู่ดังระงมคล้ายเสียงหึ่งๆ ของแมลงมีปีก ทว่า คนสองคนที่เพิ่งโต้คารมกันเมื่อครู่กลับรู้สึกแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง รอบกายเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
 
ไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรอีกหลังจากที่การแสดงชุดต่อไปได้เริ่มขึ้น อาหารคาวถูกเปลี่ยนเป็นของหวาน ขนมมากหน้าหลายตาถูกจัดวางลงตรงหน้า ซอนอินก้มลงมองขนมจองเจที่ตนเพิ่งได้ช่วยพระสนมลงมือทำเมื่อวานแล้วก็ให้นึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เขาหันไปยิ้มให้กับพระสนมฮีวอนที่หันมาทางเขาพอดี อดคิดในใจไม่ได้ว่าพระสนมฮีวอนก็เป็นคนที่ใจดีเหมือนกัน ...แต่ก็อีกนั่นแหละ จะด้วยเพราะคิดไปเองหรืออะไรก็ตาม สายตาที่พระสนมจ้องมองเขาก็ดูน่ากลัวอยู่ดี
 
“เฮ้อ หวังว่าข้าคงหมดหน้าที่แล้วนะ” เสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งทางด้านซ้ายของซอนอิน ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบขนมจองเจตรงหน้าคนสวยขึ้นทานแทบจะทันที
 
“แล้วเป็นเช่นไรบ้าง? เรื่องของคุณชายคิมฮีอูน่ะ ข้าเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย” คนตัวเล็กสอบปากคำชายหนุ่มทันทีอย่างไม่รีรอ สิ่งที่รู้มาคือการแลกตัวกันระหว่างเขากับคิมฮีอู แต่หลังจากที่เขาถูกลอบฆ่าและถูกพากลับมาที่ฮานึล คิมฮีอูก็ไม่อยู่ที่วังแล้ว ครั้งจะถามความจากชองจีรยง ฝ่ายนั้นก็พูดปัดไปเหมือนไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ จึงไม่กล้าถามอีก
 
พอนึกถึงใครอีกคนที่ชองจีรยงให้ความสำคัญขึ้นมา ซอนอินก็รู้สึกปวดหนึบที่ก้อนเนื้อในอก มีคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่อาจเอาชนะได้ ก็คือคิมฮีอูผู้นี้ คิมฮีอูคนที่ชองจีรยงโอบกอดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คิมฮีอูที่ชองจีรยงหวงนักหวงหนาจนต้องเก็บไว้ใกล้ตัวมาตั้งแต่เด็ก คิมฮีอูผู้กำหัวใจของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลมาโดยตลอด
 
หากจะคิดถึงสถานะปัจจุบันของตัวเอง ซอนอินก็รู้ดีว่าที่เป็นอย่างทุกวันนี้ ที่จีรยงเข้าหาเขาบ่อยขึ้น ใจดีกับเขามากขึ้น อ่อนโยนกับเขาอย่างที่เขาไม่คิดฝัน ก็คงเป็นเพราะในตอนนี้ไม่มีคิมฮีอูอยู่ข้างกายฝ่ายนั้น
 
ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว ตัวแทนที่ว่านอนสอนง่าย...
 
...ความเป็นจริงที่รู้อยู่แก่ใจ ทำได้ดีที่สุดก็เพียงเท่านี้
 
ซอนอินรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว ถึงได้เลิกคิดใส่ใจกับคำพูดขององค์หญิงแฮซู ก็เป็นอย่างที่จีมุนเคยบอก เขาไม่สามารถหยุดรักชองจีรยงได้ แล้วจะสนใจใครอีกทำไม ใครจะว่าอย่างไรเขาก็ไม่สน ตราบใดที่ใจของเขายังเป็นของชองจีรยง เขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้นนอกจากผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้
 
“ยังไม่มีข่าวอะไรเลย ทหารยังหาตัวคุณชายฮีอูไม่พบ ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก เรื่องของคิมฮีอูคงมีแต่เสด็จพี่ที่รู้ดีที่สุด”
 
“อืม” ซอนอินตอบรับในคอ พยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกโกรธตัวเองที่จู่ๆ ก็ถามเรื่องของคิมฮีอูออกไป ...ทำร้ายตัวเองชัดๆ!
 
ยิ่งดึกการแสดงก็ยิ่งคึกคัก ซอนอินเพลิดเพลินไปกับขนมหวานและการแสดงตรงหน้า สลับกับการพูดคุยกับจีมุนอย่างออกรส จนใกล้ๆ เวลาสำคัญของพิธีที่ต้องจุดพลุขึ้นฟ้า ซอนอินก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันผิดปกติไป ร่างกายรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เรี่ยวแรงเหมือนจะหายไปเสียดื้อๆ ดวงหน้าขาวพลันซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก
 
“เป็นอะไรซอนอิน!” จีมุนที่เห็นว่าคนร่างบางมีอาการแปลกๆ รีบเอ่ยถามพลางยื่นมือออกไปโอบไหล่บางไว้
 
“กลับ...จีมุน อยากกลับ....” มือเล็กจับยึดท่อนแขนใหญ่แน่น ร่างทั้งร่างสั่นกึกกัก สีหน้าแสดงออกถึงความทรมานบางอย่าง จีมุนไม่รีรออะไรอีก รีบโอบประคองคนตัวเล็กออกไปจากงานทันที
 
“เป็นอะไรไปซอนอิน เกิดอะไรขึ้น?” จีมุนถามอย่างเป็นห่วงขณะที่ก้าวย่างไประหว่างทางเดินที่เชื่อมกันของตำหนักแต่ละตำหนัก
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา ร่างกายเริ่มสั่นรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่เข้าใจ จู่ๆ ก็เหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายในร่างกาย ร้อนจนต้องหอบหายใจหนักหน่วง
 
“จีมุน ร้อน...” ซอนอินไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อร่างกายสั่งให้เกาะยึดคนตัวสูงไว้แน่น ดวงหน้าสวยเชื่อมแสงหยาดเยิ้มเชิญชวนอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจหยุดความต้องการที่พุ่งพล่านขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจได้
 
จีมุนหยุดชะงักด้วยความตกใจ เขาก้มลงมองร่างบางที่พยายามเบียดร่างกายเข้าหาเขา ทั้งสีหน้าและท่าทางที่ซอนอินแสดงออกสร้างความมึนงงให้แก่จีมุนอย่างที่สุด จีมุนจับประคองสองข้างแก้มของซอนอินให้เงยขึ้นสบตา “อย่าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำนะซอนอิน ข้าจะรีบพาเจ้ากลับตำหนัก!” โดยไม่ต้องคิดให้มากความ มือใหญ่โอบเอวเล็กและท่อนขาเรียวยกขึ้นอุ้ม พร้อมกับก้าวเดินอย่างรวดเร็ว
 
ทันทีที่ถึงตำหนักโยกัน จีมุนตะโกนสั่งให้นางกำนัลรีบเตรียมน้ำเย็นเพื่อให้ซอนอินได้แช่ตัว ยอนอาและโซยอนไม่ได้ถามอะไรให้เสียเวลา พอเห็นสภาพของคนเป็นนายแล้วก็รีบช่วยเหลือตามคำสั่งขององค์ชายรองทันที
 
“พยายามใช้น้ำเย็นราดหัวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวข้าจะกลับมา” จีมุนเอ่ยบอกนางกำนัลที่ช่วยกันปลดชุดทรงออกจากร่างขาวผ่องที่แดงจัด ก่อนจะพลุนพลันวิ่งออกไป
 
สภาพของซอนอินที่แปลกไปเช่นนี้ เป็นผลมาจากยาปลุกอารมณ์ไม่ผิดแน่ จีมุนไตร่ตรองขณะก้าวย่างออกไปอย่างโกรธจัด คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนที่ใกล้ตัว คนที่นั่งข้างซอนอินนอกจากเขาแล้วก็มีแต่องค์หญิงห้า!!
 
“ท่านมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า? อย่ามาใส่ความข้านะ!!” เป็นอย่างที่จีมุนคาดไว้ว่านางไม่มีทางยอมรับแน่
 
“องค์หญิงแฮซู ท่านก็รู้ว่าเสด็จพี่ทรงให้ความสำคัญกับวังชอนซามากเพียงไร หากเสด็จพี่รู้เข้า ข้าไม่คิดว่าท่านจะได้อยู่เป็นสุขแน่ ข้าคิดว่าท่านส่งยาถอนมาให้ข้าจะดีกว่า”
 
“ยาถอน? หลักฐานก็ยังไม่มี อย่ามาทำขู่ข้าหน่อยเลย ...จริงสิ ไหนๆ ท่านก็ชอบคิมซอนอินอยู่แล้ว ไยไม่ช่วยเสียเองล่ะ?” เด็กสาวยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ปลายนิ้วของหล่อนลากไล่ไปที่แผ่นอกของคนตัวสูงคล้ายต้องการยั่วเย้า “ถือเป็นโอกาสของท่านนะองค์ชายรอง พี่ชายท่านไม่อยู่เช่นนี้ ใครกันจะช่วยปลอบโยนหัวใจของคิมซอนอินล่ะ?”
 
“ข้าไม่คิดอะไรต่ำๆ หรอกนะ!” จีมุนปัดมือเด็กสาวอย่างไม่เกรงใจ
 
“งั้นก็เชิญท่านทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต่อไปเถอะ!” แฮซูตะคอกเสียงแข่งกับเสียงวงดนตรีของคณะนางรำ แล้วสะบัดตัวเดินตึงตังกลับไปนั่งที่เดิมอย่างไม่สนใจอะไรคนตัวสูงอีกเลย
 
จีมุนกำมือแน่นเมื่อไม่อาจทำอะไรได้อีก ถ้าไม่ได้ยาถอนมา ซอนอินจะต้องทรมานเป็นอย่างมาก จนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เลวร้ายที่สุดก็คงเป็นตอนฟ้าสาง แล้วระหว่างนั้นซอนอินจะทนได้อย่างไรกัน!
 
 
“ทำอย่างไรดีเพคะองค์ชายรอง องค์วังชอนซาทรงทรมานถึงเพียงนี้ ยอนอาสุดปัญญาจะคิดแล้วจริงๆ ฮึก!” ยอนอาร้องไห้น้ำตาท่วม แม้ว่าจะจับร่างบางลงแช่ในอ่างน้ำเย็นแล้วก็ตาม เปลี่ยนน้ำอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้อุณหภูมิต่ำอยู่เสมอแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ผู้เป็นนายยังคงทรมานต่อความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
 
“พวกเจ้าออกไปให้หมด แล้วไปตามกึมซองออกมาจากงานจัดเลี้ยง บอกว่าข้าเรียกตัวให้มาโดยเร็ว”
 
จีมุนหันกลับไปมองร่างเปลือยเปล่าที่กอดเข่าตัวสั่นอยู่ในอ่างไม้ เขาเดินเข้าไปใกล้ ทันทีที่แตะมือลงกับช่วงเนินไหล่เนียน ร่างบางก็โผเข้ากอดเขาจนน้ำในอ่างกระเซ็นเปียกไปหมด
 
“ซอนอิน อดทนอีกหน่อยได้ไหม อีกไม่ถึงสองชั่วยามยาก็น่าจะหมดฤทธิ์แล้ว” จีมุนโอบวงแขนตอบอย่างอ่อนโยน เขาลูบลงกับเส้นผมสีดำเปียกชื้น ใบหน้าสวยซบแนบอยู่กับซอกคอของเขา
 
“จีมุน...ได้โปรด ทรมาน ไม่ไหวแล้ว... ข้าทนไม่ไหว.....” แม้ดวงหน้าที่เงยขึ้นสบสายตาจะเต็มไปด้วยความต้องการ แต่จีมุนรู้ดีว่าในตอนนี้ซอนอินไม่อาจบังคับตัวเองได้ ทั้งคำพูดและร่างกายเป็นไปตามอารมณ์ที่เจ้าตัวคงไม่ได้สติแล้วในเวลานี้ สัญชาตญาณแห่งความต้องการในราคะครอบงำสติสัมปชัญญะไปจนหมดแล้ว
 
ริมฝีปากบางกัดแน่นจนน่ากลัวว่าจะแตก จีมุนใช้นิ้วของตนพยายามแยกริมฝีปากนั้นออกจากกันก่อนที่คนร่างบางจะได้เลือด แต่กลับเป็นการกระทำที่ผิดพลาด คนที่หลงมัวเมาในไฟตัณหาใช้ปลายลิ้นไล้เลียเรียวนิ้วของชายหนุ่มราวกับโหยหามานานแสนนาน ซอนอินไม่ยอมให้จีมุนชักปลายนิ้วกลับ มือเล็กทั้งสองยึดข้อมือหนาไว้แล้วระดมดูดดึงโลมเลียมากกว่าเดิม
 
“ซอนอิน อย่าทำแบบนี้....” จีมุนกัดฟันพูด แค่เห็นว่าคนที่หลงรักเปลือยกายอยู่ต่อหน้าก็เกินจะทนแล้ว นับประสาอะไรกับทวงท่าเชิญชวนจากฤทธิ์ปลุกกำหนัดเช่นนี้!
 
ได้โปรดซอนอิน หากมากกว่านี้ข้าจะหยุดตัวเองไม่ได้
 
จีมุนตัดสินใจบีบข้างแก้มของซอนอินให้อ้าปาก ถึงจะกลัวว่าซอนอินจะเจ็บ แต่ถ้าไม่หยุด เขาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
 
“อ่า...” เสียงหวานครางขัดใจเมื่อโดนดันให้จมลงกับอ่างน้ำอีกครั้ง ดวงหน้าสวยเชื่อมแสงช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวสูงที่ตกลงมาอยู่ในอ่างด้วยกันเพื่อที่จะกดร่างบางไม่ให้ลุกขึ้นจากน้ำได้อีก
 
ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาทำให้จีมุนเกิดความหวั่นไหว ยากที่จะต่อต้าน เหมือนเวลาหยุดเดิน และโลกใบนี้มีเพียงแค่เขาและคนตรงหน้าเท่านั้น
 
วงแขนบอบบางขาวนวลยกขึ้นคล้องลำคอคนที่คร่อมตนอยู่ให้ก้มหน้าลงมาใกล้ เหมือนสมองหยุดทำงานชั่วคราว จีมุนไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งริมฝีปากของพวกเขาแนบสัมผัสกัน ลิ้นเล็กไร้เดียงสาที่พยายามล่วงล้ำเข้ามาฉุดอารมณ์ของชายหนุ่มให้ดิ่งวูบ สติที่ใกล้จะกลับมาถูกพัดปลิวออกไปไกลมากกว่าเดิม
 
“อือ....อืม.......” เสียงหวานครางเครือพอใจกับรสจูบที่อีกฝ่ายตอบสนองกลับมา ริมฝีปากของคนทั้งคู่บดเบียดแนบสนิทครั้งแล้วครั้งเล่า จูบดูดดื่มที่ทั้งชีวิตของจีมุนยังไม่เคยได้ลิ้มรสรุนแรงและหอมหวานมากเช่นนี้มาก่อน
 
เคลิบเคลิ้มจนยากจะหยุดยั้ง มัวเมาลุ่มหลงจนร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง
 
 
“...จีมุนอ่า......”
 
 
ชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้สบตากับคนร่างบาง อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าให้ทิ้งทุกอย่างไป ช่างเรื่องของพี่ชาย ช่างเรื่องของความถูกต้อง ช่างคนทั้งแผ่นดิน จะเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรก็ตามแต่ ช่างปะไรหากซอนอินต้องการเขาถึงเพียงนี้
 
 
แค่ครั้งเดียวที่อยากให้คนคนนี้ต้องการเขาบ้าง
 
 
แค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน

 

ออฟไลน์ MmBb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อย่าให้ซอนอินต้องตกเป็นของจีมุนเลยนะขอล่ะ เราติดเรื่องนี้มากถ้าซอนอินต้องตกเป็นของจีมุนเราคงต้องหยุดอ่านแน่ๆทำใจไม่ได้จริงๆ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
นิยายบางเรื่อง ชอบมากแค่ไหน บางทีก็หยุดอ่าน ถ้าเรารู้สึกเนื้อเรื่อง มันชอบกล แต่เคารพคนเขียนนะ อย่างมากก็แค่ ไม่ได้ติดตามแล้ว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สำหรับเรา ถ้าซอนอินจะมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับจีมุน (ตอนต่อจากนี้) เราก็ไม่คิดว่าจะแปลกนะ
แต่มีข้อสะกิดใจอยู่บ้าง
1. ซอนอินเรียกหา จีมุน ไม่ใช่ จีรยง แสดงว่าน่าจะมีสติอยู่บ้าง (แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้) ถ้าคิดตามพล็อตนิยายทั่วไป (ซึ่งมีอยู่สองทาง) อาจจะสรุป (ไปเอง) ได้ว่า ซอนอินไม่ได้รักจีรยงแบบลึกซึ้งมากนัก แต่เท่าที่อ่านมามันไม่ใช่อ่ะ
2. ถ้าซอนอินกับจีมุนมีอะไรเกินเลยกันจริงจากเหตุการณ์นี้ แล้วจีรยงรู้เข้า จะรับได้ไหม จะยังยอมให้ซอนอินอยู่ข้างกายอยู่ไหม (ณ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจีรยงคิดยังไงกับซอนอินแน่) ถ้ารับไม่ได้ (ในสายตาเราจะมองว่า) ความรักของจีรยงที่มีต่อซอนอินยังน้อยกว่าความรักของจีรยงที่มีต่อตนเอง (ต่อศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม) ซึ่งอาจจะนำไปสู่การกระทำที่กระทบกระเทือนจิตใจของซอนอินมาก ๆ
3. จากความฝันของซอนอิน ในตอนนี้ (น่าจะ) มีจิตฝ่ายดำซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของซอนอิน รอคอยและค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของซอนอิน ทำให้กลายเป็นฝ่ายทำลาย (แบบที่แสดงออกในรูปปีกสีดำ ณ ตอนก่อนโน้น) การได้รับผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรงอาจจะส่งผลเร่งให้ด้านมืดกลืนกินได้เร็วขึ้น
4. ถ้าเหตุการณ์ต่อจากนี้มีการล่วงละเมิดทางเพศกันจริง ๆ เราจะไม่ชอบจีมุนมาก ๆ เลย เพราะถือว่าเป็นคนที่มีสติมากกว่าซอนอิน ควรจะใช้เหตุผลถูกผิดยับยั้งความต้องการของตัวเองได้ การทำตามความต้องการส่วนลึกโดยไม่นึกถึงจิตใจของซอนอินเมื่อมีสติรู้ตัว เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด (ไม่ได้บอกว่าจีรยงดีหรอกนะ นั่นก็เลวไม่ต่างกัน)
5. การที่จีมุนไปเอาเรื่ององค์หญิงห้าได้เร็วแสดงว่าสถานที่จัดงานกับตำหนักโยกันอยู่ไม่ไกลกันใช่ไหม ดังนั้นนางกำนัลที่ไปตามกึมซองก็น่าจะกลับมาทันท่วงทีหรือเปล่า (กึมซองเป็นหมอหรือเปล่า ที่จริงน่าจะตามหมอนะ แต่จริง ๆ แค่ทำให้ซอนอินสลบไปก็น่าจะได้นี่นา อารมณ์คล้าย ๆ ให้กินยานอนหลับ)
รอตอนต่อไปค่ะ
ยังคงเชื่อว่านิยายกลิ่นอายเกาหลีนี่เป็นเจ้าแห่งความดราม่าหรือไร

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 20

 
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าบรรดาข้ารับใช้ภายในตำหนักโยกันต่างใจคอไม่ดี หลังจากที่ผู้เป็นนายถูกแช่น้ำอยู่หลายชั่วยามทำให้ในตอนนี้มีอาการไข้ขึ้นสูงอย่างน่ากลัว
 
วังชอนซาป่วยเพราะพิษไข้มาหลายครั้งแล้ว และแต่ละครั้งก็ร้ายแรงน่ากลัวทั้งนั้น โชคยังดีที่คราวนี้องค์ชายรองเป็นผู้จัดการด้วยตนเองทั้งหมด หมอหลวงถูกเชิญตัวมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ผลสรุปที่ได้ในเช้านี้คือยาปลุกที่องค์วังชอนซาได้ทานเข้าไปนั้นสลายหมดแล้ว เหลือเพียงแต่พิษไข้เท่านั้น
 
แม้ว่าหมอหลวงจะบอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็ตาม แต่จีมุนก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ซอนอินตัวร้อนผิดวิสัยคนทั่วไปถ้าจะเป็นเพียงแค่ไข้หวัด เรียกได้ว่าแค่แตะปลายนิ้วสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นผ่านเข้ามา
 
“เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยหรือ?”  จีมุนหันไปถามกึมซองที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน ไม่ใช่แค่เพียงความร้อนในตัวของซอนอินที่ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่เขาหมายรวมถึงแผ่นหลังบางที่ปรากฏร่องรอยเลื่อมแสงแปลกประหลาด
 
“พะย่ะค่ะ แต่ครั้งนี้...ดูจะเด่นชัดกว่าทุกครั้ง” แม้แต่กึมซองเองยังขมวดคิ้วยุ่ง เขารู้มากกว่าใครในห้องนี้ว่าแท้ที่จริงแล้วองค์วังชอนซามีความลับอะไรซ่อนอยู่ ปีกสีดำขนาดใหญ่ที่เขาเคยเห็นมากับตาย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ตั้งแต่ที่พาคนผู้นี้กลับมายังฮานึลก็ไม่รู้ว่าปีกได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นที่เขาได้เฝ้าติดตามรับใช้อยู่ที่โยกันมาตลอดก็ไม่เห็นทีท่าว่าปีกสีดำจะปรากฏออกมาให้เห็นอีกเลย
 
ในช่วงที่องค์รัชทายาทไม่อยู่ หากปีกคู่นั้นงอกออกมาแล้วละก็ จะทำอย่างไรกัน!
 
ความกังวลขององครักษ์หนุ่มดำเนินไปได้ถึงแค่ช่วงพลบค่ำ ม้าเร็วก็ได้ส่งสาส์นมาถึงวังหลวงว่ากองทัพของฮานึลเป็นฝ่ายชนะสงครามแล้ว และในตอนนี้ฝ่าบาทก็ได้ควบม้ากลับมาล่วงหน้าก่อนโดยไม่หยุดพัก อีกไม่เกินสองวันก็น่าจะถึงวังหลวง คนส่งสาส์นไม่ได้บอกรายละเอียดของเหตุผล แต่ดูเหมือนว่าจะได้ข่าวเรื่องของคุณชายคิมฮีอู จึงได้ตัดสินใจรีบกลับก่อนที่ทัพจะได้รับชัยชนะเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้น ทหารของฮานึลก็ได้ตีค่ายของคันเซแตกย่อยยับไปเยอะแล้ว โดยที่มีฝ่าบาทเป็นผู้วางแผนด้วยพระองค์เอง ตอนที่ฝ่าบาทเสด็จกลับมาก่อนนั้นก็เดาผลแพ้ชนะออกกันแล้ว
 
กึมซองจ้องมองดวงหน้าซีดขาวของคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบพอดีกับคนร่างสูงที่หันมา ความหมายบางอย่างในสายตาของผู้เป็นนายที่ส่งมาทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้ารับนิ่งๆ โดยไม่ต้องพูดอะไรต่อกัน
 
“องค์ชายรองจะอยู่ต่อหรือไม่เพคะ?” โซยอนยกอ่างแก้วบรรจุน้ำเย็นเข้ามาในห้องเอ่ยถาม พลางคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเพื่อเช็ดตามตัวคนเป็นไข้
 
“ไม่ล่ะ” หากนางกำนัลน้อยได้หันมามอง จะรู้ได้เลยว่าสีหน้าของคนพูดนั้นดูเจ็บปวดมากเพียงไร จีมุนไม่อาจมาเจอหน้าซอนอินได้อีกแล้ว เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่ซอนอินฟื้น ฝ่ายนั้นคงไม่ต้องการพบเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ...ไม่ใช่หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อคืนนี้
 
“พวกเจ้าดูแลซอนอินให้ดีล่ะ ข้าจะให้แพทย์หลวงคอยอยู่ที่นี่จนกว่าพิษไข้จะทุเลาลงมากกว่านี้” องค์ชายรองหันไปรับสั่งกับเฒ่าชราสองสามคำ แล้วเดินออกไปจากตำหนัก
 
 
 
สองวันให้หลัง องค์รัชทายาทแห่งฮานึลก็ได้เสด็จกลับถึงวังหลวง
 
พิธีต้อนรับไม่ได้ถูกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริก เพราะเป็นการเดินทางที่เร่งรีบ มีเพียงองค์รัชทายาท องครักษ์ยูโทซองและนายพลซูวอนเท่านั้นที่ร่วมเดินทางอย่างกะทันหันกลับมาพร้อมกัน
 
โถงว่าราชการถูกเปิดใช้เป็นที่ประชุมทันทีที่องค์รัชทายาทเสด็จกลับมาถึง ขุนนางน้อยใหญ่ต่างวิ่งวุ่นกับการรับราชบัญชาคำสั่งใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าเสร็จจากศึกทางคันเซแล้ว ฝ่าบาทจะทรงประกาศสงครามกับเชินอันรวดเร็วเช่นนี้!
 
เสียงพูดคุยกันในโถงราชการดังระงมไปทั่วทุกทิศเมื่อสิ้นสุดการประชุม
 
“เดือนหน้านี้มันอีกแค่อาทิตย์เดียวไม่ใช่หรือ!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งออกอาการตกตื่นกับรับสั่งที่ได้ฟังมาเมื่อครู่
 
“เรื่องนั้นน่ะช่างก่อนเถิด เรื่องขององค์วังชอนซาต่างหากที่น่าตกใจ!” เหล่าขุนนางเริ่มตีวงจับกลุ่ม
 
“ข้าเอะใจอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้ใช้ทหารมากมายนัก เพื่อให้คุมตัวเชลยนี่เอง!”
 
“เป็นข่าวใหญ่แน่ถ้าชาวบ้านได้รู้ว่าองค์วังชอนซาอยู่ที่แคว้นเราด้วยฐานะของเชลยศึก!!”
 
เสียงเอะอะดังสลับกันไปไม่หยุดถูกปิดกั้นด้วยบานประตูหนาหนักขนาดใหญ่ ร่างสูงในชุดว่าราชการอย่างเรียบง่ายเนื่องจากมีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวยาวลวดลายวิจิตรที่สวมทับชุดรบสีดำตัวในไว้ ก้าวเดินออกมาด้วยสีหน้าที่ใครก็เดาไม่ได้ว่าเจ้าตัวคิดสิ่งใดอยู่ภายในใจ
 
“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่วู่วามเกินไปหน่อยหรือ?” นายพลซูวอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงแววกังวล สีหน้าของนักรบวัยกลางคนดูอิดโรยเล็กน้อยจากการเดินทางและการรบที่ผ่านมา
 
“ข้าไม่เห็นว่ามีตรงไหนที่เรียกว่า ‘วู่วาม’ อย่างไรข้าเองก็ตัดสินใจได้นานแล้วที่จะทำศึกกับเชินอัน ครั้งนี้ถือเป็นฤกษ์ดีที่ฝ่ายนั้นเร่งเวลาให้เร็วมากขึ้น ถ้าคิดจะใช้อุบายแลกตัวเชลยแล้วจบกันก็คิดผิดมหันต์” สีหน้าคมเข้มไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงเรียบนิ่ง ทว่าดวงตาคมลุ่มลึกคู่นั้นกลับทอประกายแวววาวคล้ายดวงตาของมังกรใหญ่ยักษ์ที่พร้อมจะตะปบบดขยี้ผืนแผ่นดินให้ย่อยยับ
 
“คิมฮีอู แลกกับคิมซอนอินงั้นรึ? จะได้ใจเกินไปหน่อยแล้ว!!” ฝ่ามือใหญ่กำแน่น ก่อนจะรีบก้าวเดินให้เร็วมากขึ้นตรงไปยังห้องทรงอักษร ปลายพู่กันบนโต๊ะถูกหยิบขึ้นใช้ทันที หมึกสีดำที่ถูกฝนรอไว้ล่วงหน้าถูกวาดลงบนผืนกระดาษขาวอย่างรวดเร็ว
 
ใจความบนเนื้อกระดาษอ่านได้เพียงแค่ปรายตามองเท่านั้น
 
 
‘แลกเปลี่ยน และ เปิดศึก’
 
 
ม้วนกระดาษถูกสอดไว้ในกระบอกสีทองลวดลายมังกรสีมรกต ก่อนจะถูกยื่นส่งให้ทหารส่งสาส์นหนุ่มที่น้อมกายรอรับอย่างรู้หน้าที่
 
“จัดการส่งให้ถึงมือคิมอุนเซ และบอกคนผู้นั้นไปด้วยว่าข้าจะคืนบุตรชายให้ แต่หากมีครั้งที่สอง แม้แต่หน้าตาของคิมซอนอินข้าก็จะไม่มีวันให้ได้เห็น”
 
“น้อมรับพระบัญชาพะย่ะค่ะ”
 
คล้อยหลังคนนำสาส์นออกไปจากห้อง จีรยงก็เรียกให้ทหารหลวงคนหนึ่งเข้ามาด้านใน เอ่ยถามถึงกระท่อมไม้บนเนินเขาตันซานว่ามีสิ่งใดหลงเหลืออยู่บ้าง นายทหารหนุ่มรีบทรุดกายคุกเข่าถวายรายงานอย่างขยันขันแข็ง
 
“ทูลฝ่าบาท ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงตัวบ้านถูกเผาไหม้จนเกรียม แทบไม่เหลือซากอันใดเลยพะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มสุนัขจิ้งจอกของคุณชายคิมฮีอูวิ่งลงเนินเขาอยู่ไม่ไกลจึงตามไปพะย่ะค่ะ”
 
“ชาวบ้านแถวนั้นหรือ?”
 
“เป็นลูกของชาวบ้านแถบนั้นพะย่ะค่ะ กระหม่อมได้พูดคุยแล้ว ได้ความว่า คุณชายฮีอูอาศัยอยู่กับจอมยุทธท่านหนึ่งซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ดูแลกันเรื่อยมาตั้งแต่ที่ย้ายมาที่เนินเขาแห่งนี้ แต่เมื่อหลายวันก่อน จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งบุกขึ้นไปทำร้ายคนทั้งสอง ประจวบเหมาะกับที่ทางทหารหน่วยพิเศษได้เบาะแสของคุณชายฮีอูพอดีว่าอยู่ที่ไหน พอไปถึงก็พบแต่เพียงซากปรักหักพังแล้วพะย่ะค่ะ”
 
ตามรายงานที่บอกมานั้น ดูเหมือนฮีอูจะขายปิ่นปักผมและของมีค่าให้กับโรงรับจำนำในตัวเมืองแถบภูเขาตันซาน แต่เพราะสินค้าเป็นที่สะดุดตาต่อพ่อค้าหากำไรมากนักจึงได้สืบสาวเอาได้ง่ายว่าเป็นเครื่องประดับของคุณชายคิมฮีอู และสืบย้อนขึ้นมาจนได้ความว่าเจ้าของเครื่องประดับนี้มุ่งหน้าเดินทางไปทางไหน
 
แต่ก็ยังช้าไปที่จะพาตัวกลับมา
 
“เจ้าบอกว่ามีกลุ่มคนบุกเข้าไปทำร้ายสองคนนั้น?”
 
“พะย่ะค่ะ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์บอกตรงกันหมดว่าจอมยุทธที่ได้รับบาดเจ็บพยายามต่อสู้กับกลุ่มคนที่บุกเข้ามาจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง หากไม่เพราะคุณชายฮีอูวิ่งเข้าไปห้ามแล้วยอมจำนนแต่โดยดี จอมยุทธท่านนั้นคงสิ้นชีพไปแล้วพะย่ะค่ะ”
 
เรียวคิ้วของคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษรกดลึกยามที่ต้องใช้ความคิด หากว่าราชครูปาร์คยองจูต่อต้านคนของเชินอันเพื่อปกป้องคิมฮีอูไว้ก็น่าแปลก คนผู้นั้นน่าจะเป็นคนที่อยากใช้ฮีอูต่อรองเพื่อให้ได้คิมซอนอินกลับไปมากที่สุดไม่ใช่หรืออย่างไร? อ่า...ไม่สินะ ตอนนี้พวกคนเผ่าชินซองต้องการปลิดชีพวังชอนซาคนปัจจุบัน ทางเชินอันเองก็ร่วมมือกับชินซองในการตัดสินใจที่จะปลิดชีพองค์ชายคนโตแห่งเชินอันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคงเป็นเหตุผลที่ราชครูผู้นั้นไม่ยอมให้จับฮีอูไปเพื่อทำข้อแลกเปลี่ยน
 
ปาร์คยองจูไม่ต้องการเห็นคิมซอนอินตาย
 
และเขาเอง ก็ไม่ต้องการให้คิมฮีอูตกอยู่ในมือของศัตรู
 
จีรยงโบกมือให้ทหารหนุ่มออกไปจากห้อง พลางครุ่นคิดถึงแผนการ หลังจากการเปลี่ยนตัวเป็นผลสำเร็จ เขาจะประกาศทำศึกในสามวันให้หลังทันที ในเมื่อเชินอันเสนอข้อตกลงมาแล้วเขาก็จะไม่รอช้า แคว้นใหญ่เชินอันมีข้อได้เปรียบที่มีพวกนักบวชเผ่าชินซองเป็นกำลังเสริม นี่คงเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการที่เชินอันช่วยพาคิมซอนอินกลับไป เพราะโดยปกติแล้วเหล่านักบวชชินซองไม่ใคร่ต้องการยุ่งเรื่องบ้านเมืองเท่าใดนัก
 
“โทซอง เจ้าเคยบอกข้าใช่ไหมว่าวังชอนซาที่ถูกเลือกจากสวรรค์หรืออะไรก็ตามแต่ ในวัยที่มีอายุย่างเข้า 17 ปีเต็ม เมื่อถึงวันที่ 7 เดือน 7 จะเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น?”
 
องครักษ์หนุ่มก้าวออกมาจากมุมห้องแล้วเอ่ยตอบรับคำ “เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”
 
“ในกรณีของคิมซอนอิน อย่างที่เจ้าบอกมาว่าปีกสีดำคือความหายนะสำหรับพวกชินซอง เจ้าคิดว่านักบวชพวกนั้นจะทำอย่างไร? อีกสองอาทิตย์คือเดือน 7 วันที่เราเคลื่อนทัพไปถึงก็น่าจะไม่พ้นวันที่ 7 พอดิบพอดี เจ้าคิดว่าก่อนหน้านั้นสามวัน คิมซอนอินที่ตกไปอยู่บ้านเมืองเกิดแล้วจะถูกปลิดชีพทันทีเลยหรือเปล่า?”
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่อาจตอบได้ ชินซองกลัวเกรงการมีชีวิตอยู่ของวังชอนซาองค์ปัจจุบันมากนัก อาจจะปลิดชีพทันทีที่ได้ตัวไปเลยก็เป็นได้ แต่ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง...” โทซองหันไปเรียกแฝดผู้น้องให้เข้ามา ในมือของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นมีนกน้อยสีขาวเกาะอยู่ที่ปลายนิ้ว จีรยงจำได้ทันทีว่าเป็นนกเลี้ยงของผู้ใด
 
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ยูกึมซองโค้งกายต่ำ ก่อนเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นสัญญาณจากผู้เป็นพี่ว่าให้ถวายรายงานได้เลย
 
“นกน้อยตัวนี้สื่อถึงความคิดของมนุษย์ได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยเรียนวิชาประเภทนี้มาจากท่านแม่...” ไม่ต้องขยายความมากนักจีรยงก็รู้ดีว่าเป็นเช่นไร ยูโทซองและยูกึมซองแท้ที่จริงก็มีเชื้อสายของชินซอง ผู้เป็นมารดาหนีออกจากชนเผ่าเพื่อมาแต่งงานกับนายทหารเอกของฮานึล “...ทันทีที่กระหม่อมรู้ว่านกน้อยตัวนี้มีความสามารถพิเศษก็ได้สื่อเจตจำนงให้เข้าไปสอดแนมในวังหลวง กระหม่อมปล่อยนกให้บินออกจากกรงตอนฟ้ามืด จนถึงเมื่อคืนนี้ที่มันได้บินกลับมา ทำให้กระหม่อมได้รู้ว่าราชินีซองอึนผู้เป็นมาดาขององค์ชายซอนอินเสียพระทัยมากกับการตัดสินให้ชินซองปลิดชีพบุตรชายตนเอง ตอนที่พระนางรู้ว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ต่อรองให้ชินซองกักขังบุตรชายของนางไว้ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แทนที่จะสังหารพะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่านกตัวนี้ถูกฝึกมาอย่างดีว่าให้จงรักภักดีต่อองค์วังชอนซา และถ้าให้กระหม่อมเดา นกน้อยตัวนี้เป็นนกเลี้ยงของราชครูปาร์คพะย่ะค่ะ”
 
“ใช้วิธีกักขังสินะ” รัชทายาทหนุ่มเปรยเสียงเบา
 
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทแน่พระทัยเรื่องของวังชอนซาผู้นี้ให้ดี การที่ฝ่าบาทประกาศออกไปว่าแท้จริงแล้วองค์วังชอนซาคือเชลยศึก กระหม่อมเข้าใจดีว่าฝ่าบาทหมายความเช่นไร” โทซองเอ่ยท้วงขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง เขารู้ว่าเหตุใดนายเหนือหัวของตนถึงได้ยอมเผยความจริงทั้งที่จะทำให้ชาวบ้านแตกตื่นโกลาหล เพราะหากทรงประกาศทำศึกออกไปก็เท่ากับว่าฝ่าบาททรงเห็นองค์วังชอนซาเป็นเพียงคิมซอนอิน บอกอย่างชัดเจนให้ทางเชินอันได้รู้ว่าพระองค์ไม่สนใจว่าฐานะของคิมซอนอินคืออะไร พร้อมกันนั้น ยังเป็นการเปิดเผยความต้องการของฝ่าบาทที่มีในตัวของคิมซอนอินอีกด้วย
 
“เหตุใดข้าต้องเสียเวลาไตร่ตรองอีกครั้ง?” นัยน์ตาคมตวัดขึ้นมององครักษ์คนสนิท
 
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีว่าสิ่งใดที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่กับวังชอนซาผู้นี้ ฝ่าบาทก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วว่าคิมซอนอินไม่ใช่คนที่รับตำแหน่งวังชอนซาแค่เพียงนาม แต่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าอย่างแท้จริง และยังเป็นผู้ที่ถูกเลือกในทางตรงกันข้ามกับแสงสว่าง... ฝ่าบาทอาจไม่ทรงเชื่อ แต่ตามตำนานที่กล่าวสืบทอดกันมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เมื่อพ้นผ่านคืนวันที่ 7 เดือน 7 ปรากฏการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายแรงเพียงใดก็ตามแต่ กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาทเสี่ยงที่จะรับคนคนนี้กลับมายังฮานึล”
 
“เจ้ากลัวว่าข้าจะตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะคิมซอนอินกลายเป็นเทพด้านมืดหรือ?”
 
“ฝ่าบาท...” เสียงของโทซองฟังคล้ายเสียงครางอย่างอ่อนใจ เพราะท่าทางของคนที่พูดด้วยนั้นไม่ใคร่จริงจังสักเท่าใด “เห็นแก่ตำแหน่งองค์รัชทายาทบ้างเถิดพะย่ะค่ะ หากทรงได้รับอันตรายจริง...”
 
“เอาเถิด ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าเป็นห่วงข้าแค่ไหน แต่ก็อย่างที่เจ้าเข้าใจ สิ่งใดที่ข้าตัดสินใจแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคิมซอนอินจะเป็นอะไร ข้าก็ยังต้องการให้คนผู้นั้นอยู่เคียงข้างข้า”
 
“กระหม่อมคิดแล้วว่าฝ่าบาทจะต้องทรงหลงรักองค์วังชอนซาเป็นแน่!!” อยู่ๆ เสียงของกึมซองก็โผลงขึ้นหลังจากที่ยืนเงียบลอบฟังอยู่เป็นนาน เห็นสายตาของแฝดผู้พี่ตวัดดุเข้าให้ก็สะดุ้งโหยงสุดตัว ยิ้มแห้งๆ ยามที่เงยหน้าขึ้นขออภัยโทษต่อนายเหนือหัว
 
จีรยงโบกมือเป็นเชิงให้กึมซองหยุดก้มหัวขออภัยโทษ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดุจสายน้ำที่เย็นเฉียบ แต่เด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังคงเห็นริ้วรอยแห่งความอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเคร่งขรึมอยู่เสมอ “รักงั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่ามันจะมากถึงเพียงนั้นได้”
 
“อ้าว! แต่ฝ่าบาททรงต้องการให้องค์วังชอนซาอยู่เคียงข้างพระวรกายนี่พะย่ะค่ะ? ...โอ้ย!” ไม่วายกึมซองก็เสียมารยาทอีกจนได้ แต่คราวนี้มีสันมือของพี่ชายโบกศีรษะเป็นการลงโทษแทนนายเหนือหัวเสียเอง
 
“พวกกระหม่อมอยู่รบกวนมานานแล้ว ฝ่าบาททรงเดินทางมาเหนื่อยๆ ทรงกลับตำหนักเพื่อพักผ่อนเถิดพะย่ะค่ะ กระหม่อมสองคนขอทูลลา” จบคำและการโค้งกายถวายคำนับ โดยที่ใช้มือหนึ่งบังคับกดศีรษะคนที่ตัวเล็กกว่าให้ก้มตาม โทซองก็กึ่งลากกึ่งอุ้มแฝดผู้น้องพาออกไปจากห้องทรงอักษรอย่างรวดเร็ว
 
เมื่อในห้องเหลือเพียงคนเดียว รัชทายาทหนุ่มก็ได้เท้าคางวางศอกลงกับพนักแขน เปลือกตาหนาเริ่มรู้สึกหนักอึ้งเพราะความอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจนไม่รู้สึกว่าอยากจะลุกเดินไปไหน ทว่า สีหน้าของชายหนุ่มกลับดูคลายเครียดลงจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เปลือกตาปิดลงอย่างช้าๆ ความคิดค่อยๆ ไหลเวียนบางเบา ภาพของใครคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดในม่านหมอกความมืดมิด ก่อนที่รอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากหยักหนา
 
ยอมรับว่าหลงใหลคิมซอนอิน ถึงขนาดไม่อยากปล่อยให้หลุดจากมือคู่นี้ไป
 
แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้จะมากถึงเพียงไหน รัชทายาทหนุ่มทรงประสงค์ทราบให้แน่พระทัยนัก
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)

 

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

 
ใจหนึ่งก็อยากเจอ อีกใจก็อยากหนีไปให้ไกลๆ
 
ภายในใจของหงส์งามว้าวุ่นไปหมด ตั้งแต่ที่ฟื้นลืมตามาก็ได้ข่าวว่าชองจีรยงกลับจากศึกแล้วเมื่อวานนี้ และเมื่อตอนเช้าฝ่ายนั้นก็ได้มาเยี่ยมเขาที่ยังสลบไสลไม่ค่อยได้สติเพราะพิษไข้แล้วหนหนึ่ง และจะกลับมาอีกครั้งในตอนเย็นตามที่นางกำนัลบอกกับเขา
 
โธ่สวรรค์ ข้าอยากเจอชองจีรยงมากพอๆ กับไม่อยากเจอเลย!
 
คนสวยที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงพลิกกายไปด้านข้างแล้วซุกใบหน้าจมลงกับผืนผ้าผวยที่ยกขึ้นมากอดรัด เสื้อผ้าสีขาวตัวบางยับย่นยามที่เจ้าตัวพยายามมุดตัวเองลงกับเตียง เส้นผมสีดำแผ่สยายเป็นระลอกคลื่น
 
ความทรงจำแรกที่ผุดขึ้นมาตอนที่ลืมตายังผลให้ร่างเล็กหยุดการเคลื่อนไหวแล้วนิ่งคิดทบทวน สัมผัสบางอย่างที่ร้อนรุ่มตามร่างกายเหมือนว่ายังรู้สึกได้แม้ในตอนนี้ ภาพของชองจีมุนที่คร่อมอยู่บนตัวของเขาไม่ค่อยเด่นชัดมากนัก แต่ก็ยังจำได้ว่าเขาทำอะไรลงไป
 
เขาจูบจีมุน!
 
ซอนอินแน่ใจและมั่นใจว่าตนเองทำเช่นนั้น เขายังมีสติแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตามตอนที่รู้สึกว่าร่างกายแปลกไป แต่หลังจากนั้นความร้อนในกายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความต้องการอันน่ารังเกียจปลุกเร้าอารมณ์ร้อนเร่าจนสมองเริ่มตัดขาดจากสิ่งอื่นใด แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็เหมือนว่ามันขาดหายไปเสียเฉยๆ เขาจำอะไรไม่ได้อีกจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนนี้เอง
 
มือเรียวยกขึ้นกดศีรษะ ก้มหน้าบังคับตัวเองให้นึกให้ออก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มองเห็นแต่ความว่างเปล่า ร่างกายของเขาทำเรื่องสกปรกไปมากแค่ไหน เขาจำไม่ได้เลยจริงๆ สิ่งที่รู้ในตอนนี้คือร่างกายที่รู้สึกได้ว่าถูกใครอื่นสัมผัสมา
 
ไม่ใช่แค่สัมผัส แต่ซอนอินรู้ดีว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น
 
“ไม่ร้อง...” เสียงหวานสั่งแหบพร่า ทั้งที่ร่างกายสั่นไม่หยุด ริมฝีปากบางถูกขบกัดจนแน่น มือเล็กยกขึ้นทาบใบหน้า ในตอนนี้เองที่ถูกวงแขนปริศนารวบตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ...บนตัก
 
“ชองจีรยง! ฮึก!!” ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของอ้อมกอดเป็นใคร ตกใจเสียจนหลุดเสียงสะอื้น
 
“ร้องไห้?” เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดผิวแก้มเนียน ปลายนิ้วหยาบช่วยเกลี่ยน้ำตาที่ทำท่าจะไหลลงมาราวกับสายน้ำตอนที่ถูกเขาทัก
 
“เห็นหน้าข้าแล้วอยากร้องไห้เลยหรือ? ดีใจหรือเสียใจกันล่ะ หืม?” ถึงจะถามอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ก้มลงจูบกลีบปากเล็กๆ ที่ทำท่าจะเอื้อนเอ่ยตอบเสียก่อน ริมฝีปากบางที่เผยอค้างถูกเรียวลิ้นหนารุกเข้าหาได้อย่างง่ายดาย จีรยงกวาดต้อนความหวานจนทั่วโพรงปากอุ่น บดเบียดริมฝีปากสีหวานราวกับจะกลืนกิน
 
“อืม....” ซอนอินบีบไหล่หนาแน่นตอนที่ถูกมือใหญ่กดท้ายทอยให้เงยขึ้นรับรสจูบรุนแรงเรียกร้อง เปลือกตาบางที่ยังฉ่ำน้ำปรือปรอยเชื่อมแสงน่ามอง ผิวแก้มขาวระเรื่อสีแดงคล้ายผลไม้สุกปลั่งน่ากัดกิน แน่นอนว่ามังกรหนุ่มนั้นชื่นชอบของหวานชั้นเลิศเช่นนี้นัก เมื่อผละจากกลีบปากบวมช้ำ ปลายลิ้นร้อนก็ไล้เลียจากมุมปากไปยังพวงแก้มนิ่ม ใช้ซี่ฟันหยอกเย้าเบาๆ จนถึงใบหูเล็ก ก่อนจะงับลงไปเบาๆ
 
“คิดถึงข้าหรือเปล่า?”
 
เสียงทุ้มที่ดังชิดริมหูทำให้หัวใจของคนฟังสะท้านวาบ
 
“เจ้าก็น่าจะรู้” คนสวยก้มหน้าหลบซ่อนความอาย ขมุบขมิบปากตอบเสียงเบา
 
“เจ้าไม่บอก ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
 
คนถูกคาดคั้นเอาคำตอบเบี่ยงหน้าหลบไปด้านข้างเมื่อปลายจมูกโด่งเริ่มซุกไซ้เรื่อยลงถึงช่วงลำคอ
 
“ตอบข้าคิมซอนอิน”
 
“อึ! อือออ....” ซอนอินกัดฟันแน่น ความเจ็บแปลบที่มาจากการถูกกัดซ้ำรอยสีแดงจางๆ บริเวณลำคอทำให้ซอนอินดูจะตัวเล็กลงภายในวงแขนกว้างใหญ่ขององค์รัชทายาทหนุ่ม หลังจากถูกคนเอาแต่ใจจูบดูดดึงและขบกัดซ้ำรอยแสดงความเป็นเจ้าของจนพอใจแล้ว ซอนอินก็หอบหายใจแรงเอนซบร่างหนาทั้งตัว วงแขนเล็กเกาะเกี่ยวท่อนแขนใหญ่ที่โอบอยู่รอบเอว
 
“...ข้าคิดถึงเจ้า”
 
เสียงหวานไม่ได้ดังมากมายนัก ซ้ำยังปะปนกับเสียงหอบหายใจของเจ้าตัว แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ยังได้ยินเสียงของหงส์งามในวงแขนอย่างชัดเจน
 
 
 
เนื้อตัวเปลือยเปล่า สัมผัสรุ่มร้อนวนเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
 
ซอนอินนอนหอบหายใจหนักหน่วงอยู่ภายใต้ฝ่ามือหยาบใหญ่ ไม่ว่ามือคู่นั้นจะเลื่อนสัมผัสไปที่ใด ก็ล้วนแต่สร้างความรู้สึกโหยหาไปเสียทุกที่ ต้องการสัมผัสจนน่ากลัว อยากให้จูบ อยากให้กอด มากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
 
ถ้าเป็นชองจีรยง เขาก็ยิ่งต้องการ
 
“อือ...พะ...พอ...หยุดก่อน อื้อออ!!” เสียงห้ามถูกปัดผ่านไปในอาการ ซอนอินบิดกายเร้าอย่างน่าสงสารเมื่อถูกควบคุมไว้ด้วยปากคู่นั้นที่ไม่ยอมให้เขาได้ปลดปล่อย เรียวนิ้วแทรกลึกลงกับเส้นผมสีน้ำตาลหนา กดขยุ้มอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป
 
“ฮ๊ะ อ้าาาาา!!!!” เรือนกายบอบบางกระตุกเกร็ง ก่อนที่ทุกหยาดหยดจะถูกกลืนลงคอขององค์รัชทายาทหนุ่ม จีรยงไล้เลียริมฝีปากตนเองก่อนจะหยัดกายขึ้นมอบรสจูบดูดดื่มให้คนที่ยังหอบหายใจแรง
 
ซอนอินเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างชื้นเหงื่ออย่างสะเปะสะปะ ผละจูบได้ไม่นานก็เป็นคนสวยเองที่ยื่นใบหน้าเข้าหาริมฝีปากอุ่นตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง จีรยงเพียงยกยิ้มพึงใจกับความต้องการของอีกฝ่าย เขาสอดวงแขนรองรับแผ่นหลังบางยกขึ้นสูงแล้วก้มลงจูบให้อย่างที่เจ้าตัวต้องการ
 
ปลายลิ้นถูกแลกเปลี่ยนสลับกันจนในหูอื้ออึงไปหมด เสียงเปียกชื้นแฉะของน้ำลายฟังดูน่าอาย แต่ซอนอินกลับปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปอย่างง่ายดาย แล้วคล้องแขนกระชับลำคอคนด้านบนไว้แน่น พร้อมกับตอบสนองจูบของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน
 
ผิวกายเปลือยเปล่าแนบสนิทกันและกัน สัดส่วนช่วงล่างของรัชทายาทหนุ่มแสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาคู่สวยเสหลบไม่กล้าสบคนที่ขึ้นคร่อมอยู่บนตัว
 
ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเห็นคนสวยหน้าบางเสียเหลือเกิน เขาก้มลงจูบผิวแก้มนุ่ม แล้วกระซิบเสียงเบา
 
“ช่วยข้าหน่อยสิ”
 
คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะต้องการการกระทำมากกว่าทำเอาวิหคเพลิงแสนงามหน้าแดงจัดราวกับถูกแดดแผดเผา มือเล็กที่ยังสั่นไม่หยุดถูกจับรวบให้กอบกุมอะไรบางอย่างที่ร้อนรุ่มและขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
 
“ข้าคิดถึงเจ้านะซอนอิน”
 
คำพูดง่ายๆ ที่ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากมายนักในการเอื้อนเอ่ยออกมา แต่มันมากพอที่จะทำให้คนฟังเป็นสุขจนคิดไปว่าอาจจะหูฝาดด้วยซ้ำตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยย้ำอีกครั้ง
 
“ข้าคิดถึงเจ้า”
 
ไม่รู้ว่าทำไปแบบไหน ไม่รู้ว่าข้ามความอายไปได้อย่างไรตอนที่เปลี่ยนจากมือเป็นริมฝีปากขยับเข้าออกตรงส่วนนั้นไม่หยุด ความชื้นแฉะตรงส่วนปลายที่เริ่มเอ่อออกมาตั้งแต่ที่ใช้มือกอบกุม เวลานี้กลับผสมปนเปไปกับน้ำลายของเขาจนมั่วไปหมด
 
เสียงเหนอะหนะขยับเข้าออกดังสะท้อนเข้าโสตประสาท ทว่าเสียงครางในลำคอทุ้มลึกก็แทรกทุกอย่างเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งใกล้ถึงจุดมากเท่าไหร่ เสียงครางราวเสียงหายใจของมังกรตัวใหญ่ก็กระชั้นมากขึ้น
 
“ฮ่ะ อ่า...ซอนอินอ่า.....”
 
จีรยงหยัดกายเข้าหาริมฝีปากเล็กบางจนสุด จับให้คนที่ยังนั่งกลืนกินน้ำสีขุ่นไม่หมดให้เอนตัวลงกับเตียงแล้วตามลงไปประกบปากแนบสนิท มอบรางวัลเป็นรสจูบหวานๆ ที่ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยนให้อย่างเนิ่นนานจนแทบจะหมดลมกันไปทั้งคู่
 
“ข้าอยากกอดเจ้าจนแทบบ้า” เสียงทุ้มสั่นพร่าบ่งบอกถึงขีดจำกัดของความอดทนที่ใกล้จะหมดลง มือหยาบใหญ่วนเวียนแถวสะโพกมนกลมกลึง ก่อนจะลูบคลำต้นขาขาวอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์ในเพศรส
 
ซอนอินสะดุ้งเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ ในตอนนี้นอกจากความหวาดกลัวจากการถูกทารุณครั้งก่อน ยังมีเรื่องของจีมุนปะปนเข้ามาด้วย และก่อนที่จะห้ามตัวเองได้ทัน มือเล็กก็ดันไหล่กว้างให้ออกห่าง
 
“ยังกลัวอยู่หรือ?”
 
“อืม...ขอโทษ” ซอนอินพยักหน้ารับ ทั้งที่ความจริงแล้วในเวลานี้ต่อให้ถูกคนตรงหน้าทำรุนแรงเขาก็ไม่สนใจเลยสักนิด ขอเพียงเป็นชองจีรยงเท่านั้น แต่ที่เขากลัวจากใจจริงตอนนี้ คือร่างกายที่เพิ่งผ่านใครอื่นมา แม้จะไม่มั่นใจว่าร่างกายตนเองได้ทำเรื่องน่าอายอะไรกับจีมุนไปบ้าง แต่เขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะเสี่ยงให้จีรยงรู้
 
กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ถ้าได้สัมผัสในส่วนนั้น ...กลัวว่าจะถูกรังเกียจ
 
“กลัวมากขนาดนี้เลยหรือ?” จีรยงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าใดนัก ในตอนนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วเสียงสดใสของเด็กสาวก็ดังลอดเข้ามา
 
 
“องค์รัชทายาท ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน!”
 
 
ซอนอินได้ยินเสียงยอนอาและโซยอนร้องห้ามไม่ดังนัก อาจเพราะกลัวจะเป็นการรบกวนพวกเขา แต่กับองค์หญิงอันแฮซู คิดว่าคงไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนสองคนภายในห้องนี้จะทำสิ่งใดกันอยู่ ถึงได้เคาะประตูและตะโกนเสียงดังเช่นนี้
 
 
ร่างสูงขมวดคิ้วยุ่ง เขากอดร่างบางไว้แนบอก ถอนหายใจยาว “เอาเถิด เจ้าเองก็ยังไม่หายไข้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน” จีรยงหันไปคว้าเสื้อที่กองอยู่ข้างตัว แต่ยังไม่ทันได้สวมใส่ มือเล็กก็ดึงรั้งไว้เสียก่อน
 
“ไม่ออกไปหานางได้ไหม?!” ซอนอินรัวคำพูดออกไปจนลิ้นแทบพันกัน องค์หญิงแฮซูเกลียดเขา และเขาก็รู้ว่านางสลับแก้วน้ำของเขาให้ดื่ม ตอนนั้นเขาไม่ได้เอะใจ แต่เมื่อครู่ จู่ๆ ภาพวันงานพยอลดัลนิมก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด แก้วน้ำของเขาควรจะวางอยู่ทางขวา และของนางก็เช่นกัน แต่ตอนที่มีนางกำนัลมาเติมน้ำ แก้วน้ำของนางกลับวางอยู่ทางซ้ายข้างกับแก้วของเขา!
 
นางมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะพูดเรื่องคืนนั้นให้จีรยงฟังไม่ผิดแน่!
 
“ทำไม?”
 
“ข้า...ข้าคิดถึงเจ้า อยากให้เจ้าอยู่กับข้าเพียงคนเดียว ...ข้า ...ข้า ฮึก...” ลนลานจนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่าผิดแปลกไป สายตาของจีรยงที่จ้องมองมาอย่างจับผิดอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะคาดไม่ถึงเลย เขาโกหกไม่เก่ง ปิดบังความรู้สึกไม่ได้ แต่ได้โปรดเถอะ อย่าหยุดรักข้าแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนของเจ้าเพียงคนเดียวอีกแล้วก็ตาม...
 
“แต่งตัวซะ ข้าจะออกไปหาองค์หญิงอันแฮซู” จีรยงไม่เอ่ยถามถึงน้ำตา ไม่เอ่ยถามถึงอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชายหนุ่มไม่เอ่ยถามสิ่งใดจนกระทั่งแต่งชุดทรงเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกไปจากห้อง
 
 
ทิ้งให้ร่างบอบบางที่มีเพียงผืนผ้าห่มคลุมกายซุกหน้าร้องไห้อยู่บนเตียงเช่นนั้น
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 21


ทันทีที่ร่างสูงก้าวออกมาจากห้อง ร่างอรชรขององค์หญิงอันแฮซูก็รีบตรงเข้าไปคล้องแขนชายหนุ่มอย่างถือสิทธิ์

“เจ้ามีสิ่งใดก็ว่ามา” เจ้าของเสียงทุ้มหนักไม่ได้แกะวงแขนเล็กๆ นั้นออก แต่ก็ไม่ได้ตอบสนองการกระทำใดกลับไป

ความเฉยชาเสมอต้นเสมอปลายจากคนตัวสูงทำให้เด็กสาวรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก นางปรายตามองนางกำนัลสองสาวที่ไม่แสดงความเคารพยำเกรงต่อนางด้วยอาการฉุนเฉียว แล้วตวัดเสียงขึ้นสูง

“พวกเจ้าสองคนอย่างเพิ่งไปไหน ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า” ยอนอาที่เตรียมจะเข้าไปหาผู้เป็นนายภายในห้องหยุดยืนอยู่กับที่พร้อมน้องสาว ดวงหน้าขาวเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดันอีกฝ่าย “คืนวันงานพยอลดัลนิม นายของพวกเจ้ากระทำสิ่งใดกับองค์ชายรอง?”

สีหน้าของนางกำนัลน้อยทั้งสองซีดลงอย่างฉับพลัน อึกอักพูดไม่ออก ไม่กล้าเงยหน้าสบสายตาชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“ว่าอย่างไรเล่า? อย่าคิดจะช่วยนายเจ้าปกปิดความสำส่อนเชียวนะ!!”

“องค์วังชอนซาไม่ใช่คนสำส่อน!!” ยอนอาเงยหน้าขึ้นสวนคำพูดของเด็กสาวตรงหน้าทันทีอย่างไม่ทันคิด ผลที่ได้กลับมาคือแรงมือที่ตบลงกลางข้างแก้มของนางเต็มแรง

“อย่ามาขึ้นเสียงกับข้า!” แฮซูตวาดลั่น มือที่ง้างขึ้นเตรียมจะฟาดลงอีกครั้งถูกมือใหญ่คว้าไว้ให้หยุด เด็กสาวหันไปมองคนด้านหลังแล้วก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาคมที่วาวโรจน์อย่างดุดันน่ากลัว

“อย่าทำให้ข้าต้องโกรธ องค์หญิงอันแฮซู คนที่วางยาคนของข้าถึงในวังคือเจ้า” จีรยงกำข้อมือเล็กของแฮซูแน่นขึ้น “แค่ข้อนี้ข้อเดียวข้าสามารถสั่งประหารเจ้าได้แล้ว ถ้าคิดจะมาพูดเรื่องนี้เพื่อให้ข้าขับไล่คิมซอนอินออกไปก็เสียเวลาเปล่า ต่อให้ข้าไม่ได้สนใจคิมซอนอิน ข้าก็ไม่ตอบรับข้อเสนอของเจ้า ตามสัญญาที่อันชิลฮยอนระบุมาเพื่อเจรจา มีแค่เพียงการส่งเสบียงและยอมจ่ายค่าผ่านทางน่านน้ำที่สูงกว่าสามเท่าจากที่ข้าเสนอไปเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กสาวก็เบิกตากว้างคล้ายเด็กที่ถูกจับได้ไล่ทัน เป็นความจริงที่นางมาที่นี่เพื่อเจรจาทำสัญญา แต่นางไม่ใช่ผู้กำหนดข้อสัญญา หากแต่เป็นเสด็จพี่ของนาง แต่นางก็ไม่ได้เปิดเผยความจริงออกไปเสียหน่อย แล้วชองจีรยงรู้ได้อย่างไรกัน!

สีหน้าของแฮซูที่แสดงออกทำให้จีรยงรู้ทันว่านางคิดสิ่งใดอยู่

“พี่ชายเจ้าเร่งให้ข้าตอบข้อสัญญาตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะออกรบ ดูเหมือนบ้านเมืองเจ้าตอนนี้จะขาดแคลนเสบียงอาหารอยู่มากโข หากข้าสามารถบริจาคเสบียงหนึ่งพันเกวียนให้กองทหารของพี่ชายเจ้าได้ในทันที ข้อสัญญาการเปิดน่านน้ำก็จะเป็นผลโดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องลงลายลักษณ์อักษรยินยอม เพราะข้าได้สัญญาฉบับนั้นจากพี่ชายเจ้าแล้ว” จีรยงปล่อยข้อมือของเด็กสาว แล้วเปลี่ยนเป็นจับไหล่เล็กด้วยมือเพียงข้างเดียว ใช้สายตาบังคับไม่ให้อีกฝ่ายหลบเลี่ยง

“ข้าจะถือว่าการที่เจ้าวางยาคนของข้าเป็นเรื่องไร้สาระ หากเจ้ารับปากว่าจะยอมช่วยงานข้าหนึ่งอย่าง”

มือที่วางอยู่บ่นไหล่เล็กกดน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น

จะยอมตาย หรือยอมช่วย แฮซูแทบไม่ต้องชั่งน้ำหนักคิดให้เสียเวลา แม้จะรู้สึกเสียหน้าและอับอาย แต่นางก็เป็นนางพญาร้ายกาจมากพอที่จะเชิดหน้าขึ้นสู้สายตาคมกริบของมังกรหนุ่มแล้วเอ่ยตอบรับข้อเสนอด้วยรอยยิ้มที่ไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไป

“ครั้งนี้ถือว่าท่านชนะ องค์รัชทายาทชองจีรยง” แฮซูไม่เสียเวลายืนอยู่ในตำหนักโยกันอีกแม้แต่วินาทีเดียว นางสะบัดหน้ากระแทกเท้าเดินออกไปพร้อมกับข้ารับใช้ติดตามกว่าสิบคน

จีรยงถอนสายตาจากแผ่นหลังขององค์หญิงวายร้าย แล้วเลื่อนสายตาลงมองสาวใช้ที่คุกเข่าก้มหน้าตัวสั่นไม่หยุด

“กึมซองสารภาพให้ข้าฟังหมดแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ให้มากนัก” โดยปกติร่างสูงไม่ใคร่สนใจบ่าวไพร่ในเรือนมากเท่าใดนัก ยิ่งกับความรู้สึกชายหนุ่มยิ่งไม่เก็บมาคิดให้เสียเวลา แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่มาเยือนตำหนักแห่งนี้ เขาอดจะรู้สึกถึงความอบอุ่นแบบครอบครัวไม่ได้ อาจเพราะซอนอินไม่ใช่คนที่จะมาแบ่งชนชั้นนายบ่าวทำให้พวกนางรักซอนอินได้มากถึงเพียงนี้ และเขาก็พอใจที่มันเป็นอย่างนั้น

“พวกเจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นรอไว้ ข้าจะพาซอนอินไปอาบน้ำ” นางกำนัลสองสาวรีบก้มหน้ารับคำสั่งอย่างกระตือรือร้น แล้วพากันหลบออกไป ปล่อยให้รัชทายาทหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องนอนของผู้เป็นนาย
 

ซอนอินได้ยินหมดแล้ว ทั้งเรื่องที่ชองจีรยงจะไม่แต่งงานกับองค์หญิงอันแฮซู และเรื่องที่ชองจีรยงรู้แล้วเกี่ยวกับคืนวันพยอลดัลนิม

จะให้ดีใจ หรือจะให้เสียใจ เขาสับสนไปหมดแล้ว

“ข้าบอกให้แต่งตัวไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงไม่สนใจสีหน้าหวาดผวายามที่เขายื่นมือเข้าไปจับคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นมายืนที่พื้น

เมื่อถูกจับลงมายืนซอนอินก็ได้แต่หลับตาแน่นเพราะกลัวอะไรก็ตามที่คนตรงหน้าจะทำร้ายตนได้ ร่างกายผอมบางที่มีเพียงผ้าห่มแพรไหมคลุมกายหมิ่นเหม่สั่นกึกกัก จะให้ดูน่าสงสารก็ได้อยู่ แต่จากสายตาคมกริบ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดไม่น้อย

จะกลัวอะไรกันนักหนา

ชายหนุ่มอาจไม่สนใจว่าเคยทำอะไรให้คนตัวเล็กต้องหวาดกลัวไปบ้าง แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะเกิดความรู้สึกอยากถนอมคนคนนี้ ไม่อยากให้ต้องเจ็บ และไม่อยากเห็นคนตรงหน้าถูกใครอื่นแตะต้อง

แน่นอนเขาโกรธ โกรธมากตอนที่จีมุนมาสารภาพกับเขาเมื่อคืนก่อนวันที่เพิ่งกลับมาจากศึก หากว่ากึมซองไม่เป็นพยานรู้เห็น เขาอาจตีความหมายของน้องชายไปว่าการช่วยด้วยมือและปลายนิ้วที่ล่วงล้ำร่างกายของซอนอินนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะสภาพของซอนอินที่เป็นเช่นนั้นไม่ง่ายเลยที่บุรุษหนุ่มและยังเป็นคนที่หลงรักอย่างชองจีมุนจะอดทนไหว คำสารภาพที่บอกว่าล่วงล้ำแค่ปลายนิ้วและช่วยให้ซอนอินปลดปล่อยเท่านั้นจึงทำให้เขาปักใจเชื่อโดยไม่สงสัยอะไรอีก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต่อยจีมุนเสียเต็มแรง นั่นเองที่ทำให้ระดับความโกรธของเขาลดลง และไม่มาระบายใส่ซอนอิน อันที่จริง ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่สั่งประหารองค์หญิงอันแฮซูทันทีที่รู้ความจริงจากพระสนมฮีวอน พระนางบอกกับเขาและจีมุนเรื่องยาปลุกกำหนัดว่าเป็นขององค์หญิงอันแฮซู คนของพระนางเก็บห่อยาได้ที่ตำหนักของแฮซูตอนไปทำความสะอาดจึงได้รู้ความจริง

หากอันแฮซูโดนประหาร ไม่พ้นคนตรงหน้าได้โทษตัวเองไม่หยุดแน่

ขณะที่คิดเรื่องราวเหล่านั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นลูบผิวแก้มชื้นน้ำตาของคนที่ยังก้มหน้าตัวสั่น

เบื่อที่จะต้องเห็นน้ำตาของคนคนนี้นัก

เลิกทำสีหน้าเหมือนว่าคนทั้งโลกกำลังดาหน้าทับถมเสียทีเถอะ

คิมซอนอิน ข้าชอบเห็นเวลาที่เจ้ายิ้ม...

ปลายนิ้วหนาหยุดลงที่กลีบปากบาง จีรยงกดปลายนิ้วให้ริมฝีปากเล็กเผยอขึ้น ก่อนจะสอดผ่านแนวฟันขาวเข้าแตะลิ้นเล็กที่ตื่นตระหนก และเมื่อดวงหน้าสวยยอมเงยขึ้นสบสายตา จีรยงก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มใส กระซิบเสียงนุ่มหวานหู “หากไม่คิดจะสวมเสื้อผ้า ก็อย่าได้หวังว่าจะได้ใส่อะไรจนถึงวันพรุ่ง”

สิ้นคำพูดนั้น ร่างเล็กบางที่มีเพียงผ้าห่มแพรไหมคลุมกายก็ถูกอุ้มลอยขึ้นจากพื้นในท่าเจ้าสาว ดวงหน้าสวยระเรื่อสีแดงจางชวนมอง ดวงตากลมโตยังมีร่องรอยของน้ำตาเอ่อคลอ ริมฝีปากอุ่นแนบจูบลงที่หางตาทั้งสองข้างนั้นเอง

“เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าเจ้าจะร้องไห้ได้ก็ต่อเมื่อถูกข้ารังแกบนเตียง”
 
 
(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


น้ำในอ่างไม้อุ่นกำลังพอดี สองสาวใช้คอยวักน้ำให้นายทั้งสองที่ลงแช่พร้อมกันอย่างเบามือ และด้วยเพราะตำหนักโยกันเป็นเพียงตำหนักเล็ก จึงไม่มีห้องอาบน้ำโอ่อ่าหรูหราเทียบเท่าตำหนักรัชทายาทได้ อ่างไม้ยาวเพียง 4 ศอกจึงกลายเป็นที่รองรับคนทั้งสองโดยที่คนตัวเล็กกว่านั่งซ้อนทับร่างของคนตัวสูง แผ่นหลังบอบบางแนบสนิทแผงอกกว้างใหญ่

จีรยงโบกมือปัดให้สองสาวใช้หยุดปรนนิบัติ “ออกไปได้แล้ว” รับสั่งไม่ดังนัก แต่นางกำนัลน้อยกลับตอบรับเสียงดังฟังชัดรีบโค้งกายต่ำทูลลารวดเร็ว

หากไม่มีไอควันอุ่นอบอวล ชายหนุ่มคงได้เห็นว่าผิวแก้มของสาวใช้นั้นแดงจัดเสียจนน่ากลัวว่าเป็นไข้

เป็นใครจะไม่รู้สึกขัดเขินบ้าง คนหนึ่งก็เทพบุตรส่งมาจุติ อีกคนก็งดงามราวฟ้าประทาน เป็นไปได้ก็ไม่อยากอยู่ขัดบรรยากาศอวลกลิ่นหอมหวานนี้นานนักหรอก!

จีรยงรวบเอวคนบนตักให้เอนลงมาแนบสนิทกันมากขึ้น สันจมูกโด่งคลอเคลียต้นคอขาว สูดดมกลิ่นกายหอมระเรื่อยไล้ลงจนถึงลาดไหล่เล็ก ก่อนจะจับให้คนที่เอาแต่เงียบอยู่นานหันหน้านั่งเข้าหากัน

เสียงน้ำแตกคลื่นกระเซ็นลงข้างขอบอ่างไม้

ปลายคางเล็กถูกจับเงยขึ้น “อยากจะบอกอะไรข้าหรือเปล่าซอนอิน?”

ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ดวงตาคู่สวยไหววูบสะท้อนแววตาคมที่สอดประสานสายตากัน มือเล็กทั้งสองข้างจับยึดไหล่กว้างไว้หลวมๆ ซอนอินปล่อยให้มือใหญ่วนเวียนไล้สัมผัสแผ่นหลังของเขาขณะที่กลั้นใจขยับริมฝีปากเอ่ยคำพูดอย่างเชื่องช้า

“ข้า ...ข้าขอโทษ”

“ข้าไม่ได้ต้องการฟังคำขอโทษจากเจ้า”

“แต่ข้าทำผิด ข้า...ข้าทรยศเจ้าที่เป็นเจ้าของร่างกายข้า” เสียงที่เอ่ยตอบเบาเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับอากาศ

จีรยงรู้สึกได้ว่ามือของซอนอินเริ่มมีอาการสั่นเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้ซอนอินกำลังรู้สึกกลัว ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอก

“เจ้าทรยศข้าเช่นไร?”

“ข้า... ข้าจูบกับจีมุน...อ่ะ! อือออ” ยังไม่สิ้นประโยคดี เรียวปากอุ่นก็นาบลงมาแนบสนิท บดเบียดริมฝีปากเล็กให้เผยอขึ้นรองรับการสอดแทรกปลายลิ้นช่ำชองที่กวาดต้อนโพรงปากฉ่ำหวานในคราวเดียวอย่างลึกล้ำและร้อนแรง

หยาดน้ำใสที่เอ่อล้นยังเชื่อมถึงกันไม่ขาดดี ริมฝีปากทั้งสองก็ประกบเข้าหากันอีกครั้ง

ซอนอินถูกรุกต้อนหนักหน่วงขึ้นจนต้องบีบมือลงกับไหล่กว้าง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยังคงทาบอยู่กลางแผ่นหลัง แต่อีกข้างกลับสอดลึกเข้าใต้ไรผม กดศีรษะเล็กให้เงยรับองศาการจูบรุ่มร้อน

จูบยาวนานกว่าจะสิ้นสุดลง

“เจ้าทรยศข้าอย่างไรอีก?” จีรยงลูบริมฝีปากบวมเจ่อแผ่วเบายามเอ่ยถาม

ศีรษะเล็กส่ายเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบผ่านปลายนิ้วหนา “จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าโดนสัมผัส ร่างกายร้อนไปหมด ไม่ว่าจะถูกจับตรงไหนก็ร้อน แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาว แล้วข้าก็จำอะไรไม่ได้อีก...”

เรียวคิ้วคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย มือที่วนเวียนแผ่นหลังเรียบลื่นเคลื่อนขึ้นแตะที่ท้ายทอยขาวสว่างตา ก่อนจะไล้เรื่อยลงมาตามแนวสันหลังอย่างเชื่องช้า

ซอนอินสะดุ้งเฮือกยามที่ถูกแตะลงมาถึงช่วงเนินสะโพก เขากดไหล่เจ้าของตักแน่นขึ้นด้วยความรู้สึกเสียวซ่านอย่างประหลาด ความร้อนบางอย่างแล่นวูบจากก้นบึ้งภายในร่างกายกระจายไปทั่วร่าง

“รู้สึกร้อนอย่างนี้หรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่ยังส่งปลายนิ้วลากไล้ลงด้านล่างอย่างช้าๆ ก่อนจะวนผ่านต้นขาขาวเข้ากอบกุมส่วนไวสัมผัสที่ตื่นตัว

“ไม่... ไม่ร้อนอย่างนี้ อ่ะ...อ่า...” ซอนอินเบียดกายเข้าหาร่างสูงมากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นน้ำในอ่างแตกกระจายเป็นวงกว้าง มือเล็กปัดป่ายไหล่กว้างเรื่อยลงมายังแผงอกหนั่นแน่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของนักรบ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสร่างกายของคนที่รัก และแรงพายุโหมกระหน่ำจากการถูกปลุกเร้าความกระหายอยากในเพศรส นำพาให้ร่างบางแอ่นกายเหยียดแผ่นหลังขึ้นสูงยามที่ถูกฉุดอารมณ์จนใกล้จะถึงขีดสุด

“จี...จีรยง จะ...ออก....” เสียงหวานครวญครางร้องขอสั่นพร่าอย่างน่าสงสาร แต่คนเจ้าอำนาจไม่ยอมให้ปลดปล่อยง่ายๆ

รัชทายาทหนุ่มยิ้มพึงใจกับดวงหน้างดงามเชื่อมแสง เขากดปลายนิ้ววนเวียนที่ส่วนปลายเพื่อเพิ่มความต้องการที่จะไปถึงจุดให้คนบนตักแทบทนไม่ไหว ง่ามนิ้วกลางและนิ้วชี้ขยับขึ้นลงจากส่วนโคนจนเกือบจะถึงปลายที่มีนิ้วโป้งปิดกั้นไม่ให้หยาดน้ำขาวข้นซึมออกมาได้ง่ายๆ

“ฮ๊ะ อ๊ะ  จี...จีรยง...ปล่อย ฮึก จะถึง....”

ดูเหมือนมังกรหนุ่มจะเริ่มสนุกกับสีหน้าหวานฉ่ำด้วยอารมณ์เพศของหงส์งามไม่น้อย เพราะเขายังไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้ง่ายๆ  ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเม็ดสีชมพูสดตรงหน้าที่สั่นระริกล่อสายตา  มือข้างซ้ายที่ไล้วนเวียนเนินสะโพกกลมกลึงอยู่เมื่อครู่เลื่อนขึ้นนาบแผ่นหลังขาวลื่นมือให้อกแบบบางขยับเข้าหามากขึ้น

“อ๊ะ! อ๊าาาาา...” ซอนอินครางเสียงสูงด้วยอาการสะดุ้ง ปลายลิ้นร้อนที่แลบเลีย และริมฝีปากที่ดูดดึงรุนแรงทำให้สติของซอนอินแทบจะหลุดลอย ยิ่งบวกกับส่วนหน้าที่ยังถูกปลุกเร้าไม่หยุดด้วยแล้ว เสียงหวานแทบจะหยุดร้องครวญครางไม่ได้

จีรยงจัดการขบกัดยอดอกเล็กทั้งสองข้างจนมันตั้งชูชันอย่างพอใจ ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้าหากลีบปากสีหวานเพียงผิวเผิน แล้วเอ่ยเสียงทุ้มทั้งที่ยังแตะจูบกันไม่ห่าง

“เจ้าปลดปล่อยบนมือของชายอื่น รู้ไหมว่าทำให้ข้าโกรธมาก”

“ฮึก! อื้อออ” ซอนอินพยายามเม้มปากปิดกั้นเสียงร้องเมื่อจีรยงกดปลายนิ้วที่ส่วนปลายของเขาหนักขึ้น

“ตรงนี้ของเจ้า...” จีรยงเลื่อนมือจากแผ่นหลังบางลงหาเนินสะโพกเล็ก ก่อนจะใช้ปลายนิ้วแตะส่วนลับด้านหลังของคนบนตัก “...ถูกน้องชายของข้าใช้นิ้วล่วงล้ำ เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษเจ้าอย่างไรดีที่ทรยศข้า?”

แม้อยากจะเอ่ยตอบว่าทำอย่างไรก็ได้ถ้าจะทำให้เจ้าหายโกรธ แต่ซอนอินก็สุดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อร่างกายยังถูกปลุกกระตุ้นไม่หยุดอยู่เช่นนี้

“ทรมานหรือ?” จีรยงเอ่ยถามเสียงเรียบไม่ต่างจากสีหน้า

คนถูกถามเพียงพยักหน้ารับเบาๆ ใช้สายตาเว้าวอนอย่างสุดความสามารถ

...อยากจะไป ทนไม่ไหวแล้ว

“ได้ ข้าจะปล่อย แต่เจ้าต้องไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง”

ซอนอินพยักหน้ารัวแทนคำตอบ

“อย่าจูบใครอื่นนอกจากข้า”

คนตัวเล็กส่ายหน้าทันที ก่อนจะโน้มใบหน้าแตะจูบบนเรียวปากหยักหนาหนึ่งครั้ง

“อย่าให้ชายหรือหญิงอื่นใดเล้าโลมร่างกายของเจ้านอกจากข้า”

“แค่...จีรยง” ซอนอินเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า ดวงหน้าสวยแดงก่ำด้วยแรงปรารถนาจะไปให้ถึงที่สุด

“หากเจ้าทรยศอีกครั้ง ข้าจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด เข้าใจไหม”

เมื่อส่วนปลายถูกปล่อยเป็นอิสระ เสียงร้องแว่วหวานก็ดังขึ้นทันที พร้อมอาการกระตุกเกร็งอย่างต้องการปลดปล่อยให้หมดทุกอยาดหยด

ซอนอินเอนซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แข็งแรงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะถูกอุ้มลอยขึ้นจากน้ำ และถูกพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กข้างขอบอ่าง

น้ำเย็นเฉียบจากถังไม้ที่วางเรียงรายกันอยู่ริมผนังห้องถูกหยิบขึ้นราดลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของชายหนุ่มร่างสูง ก่อนจะทำเช่นเดียวกันให้กับร่างบาง ซอนอินสะดุ้งเฮือกด้วยความหนาวเย็น แต่ในวินาทีต่อมา ผ้าเนื้อนุ่มผืนหนาก็ถูกคนตัวสูงคลุมกายให้เสียมิดชิด เมื่อหยิบเสื้อคลุมสวมใส่แล้วจีรยงก็อุ้มพาคนที่นั่งตัวสั่นกลับเข้าไปยังห้องนอน

จีรยงจับให้คนตัวเล็กนั่งลงบนเตียง ส่วนเขาก็เดินไปหยิบผ้าที่นางกำนัลเตรียมไว้ให้บนโต๊ะมานั่งลงที่ด้านข้าง เขาค่อยๆ เช็ดเส้นผมสีดำยาวดุจแพรไหมเนื้อดีอย่างเบามือ

เสียงหัวใจเต้นดังกระหน่ำอยู่ภายในอก ซอนอินไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน เขานั่งตัวแข็งทื่อปล่อยให้รัชทายาทหนุ่มเช็ดผมให้จนหมาด ถึงได้ยอมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตารัตติกาลลุ่มลึก

“หายโกรธข้าหรือยัง? เจ้ารังเกียจข้าไหม? จะทิ้งข้าหรือเปล่า?”

เอ่ยถามด้วยริมฝีปากแห้งผาก และหัวใจที่เต้นผิดจังหวะจนน่ากลัว

ผ้าเช็ดผมถูกโยนพาดไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง ก่อนจะหันมาจ้องมองดวงตาคู่สวย ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยชั่วครู่ขณะคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะส่งมือเข้าลูบไล้ผิวหน้างดงามของเชลยศึกแสนสวย

“เหตุใดองค์วังชอนซาผู้งดงามถึงยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับคนร้ายกาจอย่างข้ากัน?” ชายหนุ่มใช้คำแทนตนเองที่คนร่างบางเคยต่อว่าเขาหลายต่อหลายครั้ง และมันก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เขาทำร้ายคนตรงหน้ามากมายนักที่ผ่านมา ไม่มีเหตุผลใดที่คนอย่างคิมซอนอินจะหลงรักเขาได้

ทว่าในทางกลับกัน สำหรับซอนอินแล้ว ทุกอย่างที่ชองจีรยงกระทำ มันทำให้คนที่ไม่เคยได้รู้จักความรักได้ตระหนักถึงความรู้สึกนั้นเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะถูกรังแก แต่เพราะอะไรบางอย่างที่ซอนอินเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไร อาจจะเพราะแค่เพียงสบสายตา แค่ถูกมือคู่นั้นโอบกอด อะไรก็ตามแต่ ทุกการสัมผัสที่ส่งผ่านมาจากชองจีรยงทำให้ซอนอินรู้สึกแตกต่างออกไปเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น

มากกว่าความอบอุ่น มากกว่าความต้องการ

ชองจีรยงทำให้เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่มากกว่านั้น

ซอนอินยกมือขึ้นทาบหลังมือหนาที่ยังลูบข้างแก้มของเขาอยู่ นัยน์ตาคู่สวยไม่แสดงออกถึงความลังเลเลยแม้แต่น้อยยามที่เอื้อนเอ่ยคำตอบผ่านริมฝีปากที่เจือรอยยิ้มบางๆ

“ไม่มีเหตุผล ...ความรัก ข้าไม่เข้าใจหรอกว่าสุดท้ายแล้วมันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าเจ้าอยากจะรู้เหตุผลนักล่ะก็ ข้าจะบอกให้ก็ได้...ข้าน่ะ หากไม่มีเจ้าอยู่ใกล้ๆ ข้าคิดว่าข้าอาจจะตายได้”

มือเล็กบีบกระชับมือหนาที่ตนกอบกุมอยู่แน่นขึ้น

“ชองจีรยง เจ้าทำให้ข้าได้รู้จักถึงความปรารถนา เจ้าทำให้ข้าได้รู้จักถึงความเสียใจและความสุขใจยามที่คิดถึงคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไร ตัวข้าที่มีแต่เรื่องของเจ้าวนเวียนอยู่ในหัวเช่นนี้ไม่อาจหยุดหรือลืมมันไปได้อีกตลอดกาล หากข้าไม่เดินหน้าไขว่คว้าตัวเจ้าไว้ แล้วข้าจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างที่เป็นข้าถูกเจ้าเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วเช่นนี้”

คำสารภาพตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมปิดบัง ทว่าชวนฟังยิ่งกว่าคำประพันธ์บทกลอนร้อยแก้วบทไหนๆ ที่เคยได้ยินมา ในชีวิตของชองจีรยง จะมีสักกี่คนกันที่ทำให้หัวใจด้านชาของชายหนุ่มนักรบมังกรคนนี้ได้เกิดความหวั่นไหวเช่นนี้ได้ จะมีใครอีกไหมที่เขาอยากจะได้ครอบครองไว้แต่เพียงคนเดียวเช่นคนตรงหน้านี้

“คิมซอนอิน ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายของเจ้า หัวใจของเจ้า แม้แต่วิญญาณของเจ้า เจ้ายินดีมอบให้ข้าแต่เพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ?”

“ทุกอย่างของข้าเป็นของเจ้า เป็นของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว”

มือเล็กจับให้มือใหญ่แทรกผ่านผ้าคลุมกายเข้าทาบหน้าอกเปลือยเปล่าตรงกลางตำแหน่งของหัวใจ

“ขอเพียงเจ้าไม่ทิ้งข้าเท่านั้น...”

จีรยงค่อยๆ ดันร่างบอบบางลงกับที่นอน แล้วตามขึ้นคร่อมทับ ฝังปลายจมูกโด่งซุกไซ้พวงแก้มนิ่มหอม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง พร้อมกับมือที่เคลื่อนเข้าบีบรอบลำคอระหงไม่แรงนัก

“ในเมื่อเจ้าเป็นของข้า ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าอย่าผิดคำพูดที่ให้ไว้กับข้า ไม่เช่นนั้น รับรองว่าข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง ...เป็นอย่างนี้แล้ว เจ้ายังจะยอมเป็นของข้าอีกไหม?”

ซอนอินไม่ใช้มือต่อต้านมือที่กอบกุมรอบลำคอราวกับจะพรากลมหายใจของเขาออก เขาเพียงแต่ยกวงแขนขึ้นคล้องลำคอคนด้านบน แล้วระบายรอยยิ้มงดงามสมคำล่ำลือว่าเป็นรอยยิ้มของบุปผาแรกแย้ม
 

“ข้ายอมตายด้วยมือของเจ้า”
 

สิ้นสุดคำถามและคำตอบอื่นใด ร่างสูงโน้มกายลงบดเบียดเรือนร่างบอบบาง พร้อมๆ กับริมฝีปากที่ประกบเข้าหาอย่างดูดดื่ม ขณะที่การจูบยังดำเนินไป ร่างกายของคนทั้งสองก็ไร้สิ่งปกปิดอื่นใด มีเพียงเนื้อแนบเนื้อเท่านั้นที่โอบกอดกันและกัน

สัมผัสเล้าโลมรุ่มร้อนลามเรื่อยไปทั่วผิวกายขาวผุดผ่อง แตะสัมผัสที่ใดก็ขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมอง กลิ่นกายหอมหวานเหมือนจะแผ่กำจายรุนแรงขึ้นจากหงส์งาม ราวกับเป็นยาพิษแสนหวานที่ชวนให้มังกรหนุ่มลุ่มหลงมัวเมาจนยากจะถอนตัว

ต้นขานวลถูกยกขึ้นจนหัวเข่าแตะหน้าอกบาง จีรยงแทรกกายเข้าหว่างกลาง จับให้ข้อพับขาของซอนอินพาดผ่านลาดไหล่ของเขา ท่วงท่าที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถเห็นช่องทางด้านหลังได้ถนัดตาทำให้ซอนอินรู้สึกอายจนต้องเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง

เพียงแค่แตะตรงปากทางเข้า ซอนอินก็สะดุ้งเฮือกทั้งที่พยายามสั่งตัวเองแล้วว่าไม่ต้องกลัว

“ถึงบอกให้หยุด ข้าก็ไม่ฟังหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยดักทาง ซึ่งอีกคนก็รีบหันหน้ากลับมาสบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย

“ไม่ได้อยากให้หยุด ...แต่ ทำช้าๆ ได้ไหม...อือออ” จูบเร็วๆ ถูกประกบลงมา

“ข้ารู้แล้ว”

ขวดน้ำมันหอม ซอนอินเห็นจากหางตาว่าคนตัวสูงหยิบมันออกมาจากใต้ฟูกนอน อดสงสัยไม่ได้ว่าของแบบนั้นมาอยู่ในที่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกความเย็นของน้ำมันหอมชโลมทั่วส่วนที่ลับตา ก่อนตามติดด้วยปลายนิ้วที่ล่วงล้ำ

“อ๊ะ เจ็บ!!”

“อย่าเกร็งสิ” เสียงทุ้มฟังลำบากเมื่อในตอนนี้เขาเองต้องพยายามอดกลั้นไม่ให้วู่วามทำอะไรรุนแรง

ซอนอินยอมผ่อนลมหายใจตามคำแนะนำ แล้วเขาก็รู้สึกว่าตรงส่วนที่ถูกขยับขยายนั้นไม่ถูกฝืนเท่าครั้งแรก จนกระทั่งนิ้วที่สองและสามตามเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วซอนอินก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี

“ซอนอิน ลืมตา เร็ว” จู่ๆ เสียงทุ้มก็เรียกให้คนที่ตั้งสติทุ่มเททุกประสาทสัมผัสไปยังส่วนล่างให้ตื่นขึ้นมาดูความเป็นจริงตรงหน้า “ทำให้ข้าเร็วเข้า ก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหวแล้วขืนใจเจ้า”

ปุบปับมือเล็กก็ถูกจับให้กอบกุมความปรารถนาที่ขยายใหญ่จนน่ากลัว รุ่มร้อนราวกับจะแผดเผามือของเขาให้ไหม้เกรียม ยังไม่หายตื่นตะลึงดี น้ำมันหอมขวดเดียวกันก็ถูกเทพรวดลงมาให้มือเล็กได้ขยับชักขึ้นลงอย่างสะดวกสบาย

เสร็จก่อนครั้งหนึ่งท่าจะดีกว่ายอมให้ดึงดันเข้ามา เมื่อสมองคิดผลลัพธ์อันน่าอันตรายได้แล้ว มือเล็กก็ไม่รอช้ารีบรูดขึ้นลงตามคำสั่งทันที

แรกๆ ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก เพราะทุกครั้งที่ช่วยให้ชายหนุ่มเสร็จเขาก็ทำไปอย่างไม่ประสีประสา แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป จีรยงไม่ปล่อยให้ช่องทางคับแคบได้หยุดพัก ยังคงขยับนิ้วเข้าออกจนชื้นแฉะเหนอะหนะ ในขณะที่เขาเองก็รูดรั้งของคนตรงหน้าไม่หยุด แทบจะทำไปเป็นจังหวะเดียวกันกับของอีกคนด้วยอารมณ์ที่ยากจะควบคุม

“อ่ะ! อ่าาาาา....” เสียงทุ้มครางต่ำ หยัดเกร็งในมือเล็กจนถึงหยดสุดท้าย ก่อนจะโน้มกายส่งจูบดูดดื่มลึกล้ำกวาดต้อนทั่วทั้งโพรงปากหวานให้เป็นรางวัล

ซอนอินยังเอี้ยวหน้าไล่ตามหาจูบนุ่มๆ ที่ผละจากได้ไม่เท่าไหร่ ความตื่นตัวที่คิดว่าคงใช้เวลาอีกสักพักถึงจะใช้งานได้อีกครั้งก็เข้าประชิดจ่อส่งความร้อนเข้าหาบริเวณช่องทางด้านหลัง เผลอกลั้นหายใจไปนิดนึงตอนที่ถูกความร้อนนั้นแทรกผ่านเนินเนื้อเข้ามา

“เจ็บ! จีรยง เจ็บ!!” มือเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างสะเปะสะปะ ก่อนจะหาที่เหมาะๆ บนแผ่นหลังกว้างได้ก็จิกปลายเล็บลงไปอย่างไม่ลังเล และซอนอินก็พบว่าการทำแบบนี้ช่วยให้เขาระบายความเจ็บออกไปได้เยอะทีเดียว

“ทนอีกนิด เข้าไปจะหมดแล้ว” จีรยงจับสะโพกเล็กให้ยกขึ้นสูง แล้วยัดเยียดความต้องการเข้าไปให้ลึกที่สุด เมื่อทั้งหมดของเขาอยู่ภายในกายของคนตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มก็หยุดให้คนสวยได้พักหอบหายใจ

ริมฝีปากอุ่นโน้มลงจูบที่ขมับชื้นเหงื่ออย่างต้องการปลอบประโลม นึกทึ่งตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้อดทนได้มากถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะกับใครเขาไม่เคยต้องทรมานเพียงเพื่อจะให้คนที่รองรับอารมณ์ของเขาได้เตรียมความพร้อมได้มากขนาดนี้ แม้แต่กับฮีอูเองก็ตาม หากเขาต้องการ ฝ่ายนั้นก็จะตอบสนองเขาอย่างไม่มีขัดขืน อาจเป็นเพราะฮีอูเข้าใจเรื่องบนเตียงง่ายกว่าซอนอินก็เป็นได้ ชายหนุ่มพยายามให้เหตุผลกับตัวเอง

คลื่นพายุลูกใหม่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นยามที่คนตัวสูงขยับสะโพกช้าๆ เป็นการเบิกทาง ก่อนที่จะเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนเริ่มจะคุ้นชิน จนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่นอกเหนือจากความเจ็บปวด

“ฮ๊ะ ฮั่ก ฮัก อ๊าาาาาาา!!!!!!” ซอนอินบิดกายเร้าอยู่ภายใต้เรือนร่างกำยำสมส่วนของนักรบหนุ่ม ปลายเล็บกดจิกลากยาวไปทั่วแผ่นหลังกว้าง ความสุขสมอย่างแปลกประหลาดทวีเพิ่มมากขึ้นจนสติแทบจะหลุดลอย
 

ร่างของคนทั้งสองขยับขึ้นลงพร้อมๆ กัน กลิ่นเหงื่อและกลิ่นของคราบกามารมณ์ปะปนผสมปนเปรวมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของซอนอินจนมั่วไปหมด มวลอากาศแห่งเพศรสหล่อหลอมคนทั้งสองให้หลงลืมว่าอยู่ที่ใด สิ่งที่รู้สึกและเห็นได้มีแต่เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น

ม่านหมอกบดบังในตายามที่ไปถึงจุดพร้อมกัน และไม่รีรอที่จะโอบกอดไขว่คว้าโหยหาสัมผัสเมื่อครู่อีกครั้ง ความเจ็บในตอนนี้ไม่หลงเหลือให้ร่างบางได้รู้สึกอีกแล้ว จะมีก็แต่ตัวตนของร่างสูงที่หลอมรวมอยู่ภายในกายของเขาจนรู้สึกได้ และคงไม่มีวันลืมเลือนความรู้สึกนี้

เช่นเดียวกับอีกคนที่เกิดความรู้สึกมากเกินกว่าจะเรียกว่าร่วมสัมพันธ์กัน กับคนอื่นอาจใช่ที่เพียงแค่อยากนอนด้วย แต่กับคิมซอนอิน ความรู้สึกมันมากกว่านั้น
 

จะกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ หากเป็นไปได้ก็อยากจะกกกอดไว้ชั่วกัลปาวสาน

ในช่วงเวลานั้น ชองจีรยงอยากให้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
 
 

เกือบรุ่งสางที่ร่างสองร่างหยุดกิจกรรมแล้วนอนกอดกันภายใต้ผ้าผวยผืนหนา ดวงหน้าเล็กนอนซบอกกว้างด้วยสีหน้าที่ยังรู้สึกเหนื่อย มือของเขาที่วางอยู่บนตัวของจีรยงถูกอีกฝ่ายจับเล่นลูบคลำไปมา

ซอนอินผินหน้ามองใบหน้าคมเข้มที่หันมองไปยังนอกบานหน้าต่าง ดวงตารัตติกาลคู่นั้นที่ทอดมองออกไปไกลนั้นเองเป็นสิ่งแรกที่ซอนอินใช้จดจำคนตรงหน้าตั้งแต่วันที่ถูกลักพาตัวมายังฮานึล

เป็นดวงตาของมังกรตัวใหญ่ที่ตรึงร่างกายของเขาไว้ได้ทุกสัดส่วนแม้แต่ความคิดและหัวใจ

อ่า... นี่เขาเพิ่งจะถูกมังกรเขมือบกินไปกี่รอบเมื่อคืนนี้กันนะ?

คิดแล้วพวงแก้มใสก็ขึ้นสีจัด หลับตาสั่งตัวเองให้หยุดคิดเพ้อเจ้อเป็นการใหญ่

“ซอนอิน” เสียงทุ้มเรียกให้ดวงหน้าสวยเงยขึ้นมอง เขาก้มลงจูบกลางหน้าผากขาวนั้นหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาที่ทำให้หัวใจคนฟังดิ่งวูบราวกับถูกผลักลงสู่หุบเหวลึกที่ดูจะไร้การสิ้นสุด
 

“ข้าจะส่งเจ้ากลับเชินอันเพื่อแลกตัวกับฮีอู หลังจากนั้นข้าจะเปิดศึกกับแคว้นของเจ้าทันที”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
จบตอน


ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ช้อค ตาตั้ง คือคำจำกัดความ ของตอนจบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
จีรยงทำไมต้องบอกหลังเสร็จกิจด้วยล่ะ จะมีบอกว่าจะรับกลับด้วยไหมเนี่ย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เข้าใจว่าจีรยงจะทำสงครามเพื่อชิงตัวซอนอินกลับ (และเพื่อขุดรากถอนโคนพวกที่ต้องการสังหารซอนอิน) แต่ซอนอินจะเข้าใจด้วยหรือเปล่า ทำไมพวกพระเอกในนิยายไม่ชอบอธิบายเรื่องจำเป็นกับนายเอกนะ ก็ไม่รู้จะอมพะนำไปทำไม

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สงสารซอนอิน แต่คิดว่าจีรยงคงจะมีแผนอะไรอยู่ แต่ตราบใดที่ซอนอินไม่รู้ถึงแผนการ ก็คงทุกข์ทรมานที่สุด แถมยังเป็นการแลกเปลี่ยนกับฮีอูอีกต่างหาก เครียดแทนเลย ไม่ใช่ว่าแค่พอจะเข้าใจกันก็จะมีเรื่องต่อใช่มั้ย แอบกลัวว่าจะจบไม่แฮปปี้น่ะสิ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 22

 
สามวันต่อมา ขบวนรถม้าส่งเชลยได้ถูกจัดเตรียมขึ้นตั้งแต่รุ่งสางที่ด้านหน้าตำหนักโยกัน การเดินทางครั้งนี้มียูกึมซองเป็นผู้ควบคุมขบวนรถม้าทั้งหมด และยังเป็นตัวแทนทำการแลกเปลี่ยนเชลยที่ทางเชินอันจับคิมฮีอูไว้ด้วย
 
นางกำนัลสองพี่น้องร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดมาตั้งแต่ที่รู้เรื่องการส่งตัวกลับของวังชอนซา
 
“ฮึกๆ ทรงกลับไปแล้ว เดี๋ยวก็เกิดสงครามที่นั่นอีก พวกหม่อมฉันอดเป็นห่วงไม่ได้เลยจริงๆ ฮือ~” โซยอนสะอึกสะอื้นยกแพรพกเช็ดน้ำตาเป็นการใหญ่ ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องศึกบ้านเมืองนัก แต่นางก็พอจะรู้ว่าการทำสงครามแย่งชิงแคว้นเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โตเพียงใด
 
“นั่นสิเพคะ เหตุใดฝ่าบาทถึงยอมแลกเปลี่ยนตัวเชลยง่ายๆ ถึงคุณชายคิมฮีอูจะถูกจับไปเป็นข้อต่อรองให้ฝ่าบาทคืนองค์วังชอนซาก็เถอะ แต่น่าจะมีทางอื่นนี่นา! แล้วยัง...ทรงจะทำสงครามกับเชินอันอีก องค์วังชอนซาของหม่อมฉันไม่แย่แล้วหรือเพคะ! โฮ~~~” ยอนอากอดคอน้องสาวนั่งก้มหน้าร้องไห้ฟูมฟายหนัก พาเอาร่างบางที่นั่งรอเวลาออกเดินทางต้องถอนหายใจยาว
 
“พวกเจ้าไม่ต้องร้องไห้ถึงขนาดนี้ข้าก็ซึ้งใจจะแย่แล้ว แต่เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คนของฮานึล ซ้ำยังเป็นโอรสแคว้นศัตรูของพวกเจ้าอีก ไยต้องเสียใจให้คนอย่างข้าถึงขนาดนี้ด้วยเล่า?”
 
หากไม่ใช่เพราะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเป็นระยะเวลานานพอสมควร นางกำนัลน้อยคงดูไม่ออกว่าสีหน้าเรียบนิ่งและรอยยิ้มบนดวงหน้างดงามนั้นเป็นเพราะเจ้าตัวฝืนแสร้งทำ ดังนั้นยิ่งเห็นว่าคนร่างบางทำตัวเข้มแข็งมากเพียงไร ใจของพวกนางก็รู้สึกปวดแปลบตามไปด้วยมากเท่านั้น
 
ถัดจากตำแหน่งสาวใช้ในวังหลังที่ทำงานแต่ในส่วนไม่สำคัญ การได้รับเลือกให้เป็นนางกำนัลในตำหนักโยกันก็คืองานแรกที่สองพี่น้องได้รับใช้ใกล้ชิดกับคนเป็นนายเป็นเจ้า และเจ้านายคนแรกที่พวกนางได้ปรนนิบัติรับใช้ก็คือองค์วังชอนซาผู้นี้
 
เช่นนี้แล้ว จะไม่ให้พวกนางรู้สึกผูกพันกับซอนอินได้อย่างไร?
 
“แต่ว่ายอนอากับน้องสาวเป็นห่วงองค์วังชอนซาจริงๆ นะเพคะ”
 
เห็นสีหน้าท่าทางของสาวใช้แล้ว ซอนอินก็ทนปั้นหน้านิ่งต่อไปไม่ไหวอีก หากให้เปรียบเทียบความรู้สึกของยอนอาและโซยอน ซอนอินเองก็รู้สึกผูกพันกับพวกนางไม่ต่างกัน ครั้งที่อยู่เชินอัน ซอนอินถูกตีกรอบให้อยู่เพียงในวังหลัง คนที่จะคุยด้วยเกินสองสามประโยคต่อวันก็มีแต่เพียงราชครูยองจูเท่านั้น นางกำนัลในตำหนักที่คอยปรนนิบัติซอนอินเป็นราวกับตุ๊กตาผ้าไร้ชีวิต ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจากับองค์ชายซอนอินผู้มีตำแหน่งเป็นวังชอนซา กฎเกณฑ์มากมายที่เหล่านักบวชชินซองกำหนดไว้ทำให้คิมซอนอินเป็นราวกับเทพเจ้าที่อยู่สูงเกินกว่าใครจะกล้าเอื้อม
 
ซอนอินเอื้อมมือลงจับไหล่ของนางกำนัลน้อยทั้งสองซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเขาไม่กี่ปี ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มบาง
 
“อย่าร้องไห้เลยนะ ข้าอยากให้พวกเจ้าส่งข้าด้วยรอยยิ้ม ยิ้มแบบที่ข้าจะมั่นใจได้ว่าข้ามีความทรงจำดีๆ กับพวกเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา”
 
“ฮึกฮืออออ” แทนที่นางกำนัลน้อยจะยิ้ม กลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
 
ซอนอินสุดจะหาวิธีมาปลอบจึงปล่อยให้เด็กสาวร่ำไห้อย่างทำอะไรไม่ได้ ไม่นานนักกึมซองก็เดินเข้ามาตามตัวเขาให้ออกเดินทาง ภาพของยอนอาและโซยอนที่เดินออกมาส่งทั้งน้ำตาถูกม่านหน้าประตูรถม้าค่อยๆ บดบัง ตามด้วยบานไม้ปิดทับอีกชั้นหนึ่ง
 
รู้สึกใจหายเหมือนกันขณะที่รถม้าเคลื่อนที่ออกจากประตูวังหลวงของฮานึล ซอนอินไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตนมาอาศัยอยู่ที่ฮานึลถึงสี่เดือนหรือไม่ แต่แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ นี้ซอนอินกลับพบช่วงชีวิตที่น่าจดจำมากกว่าครั้งไหน เหตุการณ์มากมายที่แตกต่างจากที่เคยเป็นมาเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับดวงตาคมของมังกรลึกลับผู้นั้น
 
บุรุษชุดดำที่จับตัวของเขาไว้ในคืนวันก่อนจะได้ทำพิธีดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าล่วงเลยมาจนตอนนี้ ชายผู้นั้นจะกลายเป็นผู้กำหัวใจของเขาไว้ด้วย
 
 
ไม่เพียงแค่ลักพาตัว แต่ชองจีรยงยังลักพาหัวใจของเขาไปด้วยตลอดกาล
 
 
ดวงหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางยามที่นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับชองจีรยง แม้ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องที่น่าเจ็บปวดเสียใจก็ตาม แต่ทั้งหมดนั่นก็มีค่ามากพอที่จะจดจำทุกรายละเอียด ไม่ว่าชองจีรยงจะกระทำต่อเขาเช่นไร ล้วนมีค่าสำหรับคนอย่างเขาที่ได้แต่ใช้ชีวิตตามความต้องการของผู้อื่น
 
ยกเว้นแต่เพียงครั้งนี้ เขาไม่ฟังใครอื่นอีกแล้วนอกจากจีรยง หากจีรยงต้องการแลกตัวเขากับคิมฮีอู เขาก็เต็มใจยอมทำตาม
 
ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้น แต่เพื่อชองจีรยงเพียงคนเดียว
 
 
 
“ข้าจะส่งเจ้ากลับเชินอันเพื่อแลกตัวกับฮีอู หลังจากนั้นข้าจะเปิดศึกกับแคว้นของเจ้าทันที”
 
 
 
คำพูดของร่างสูงในคืนนั้นยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำแจ่มชัด เพียงแค่ประโยคเดียวของจีรยงสามารถทำให้หัวใจของซอนอินแทบจะหยุดเต้นได้อย่างน่ากลัว
 
...แม้แต่ในตอนนี้
 
มือบางยกขึ้นกดหน้าอกด้วยสีหน้าทรมานราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดก้อนเนื้อของชีวิตให้แหลกละเอียด จีรยงจะรู้บ้างไหมว่าเขาเสียใจมากเพียงไรกับการที่ต้องถูกส่งตัวกลับไปเช่นนี้ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อจีรยงก็จริง แต่มันก็แลกมาด้วยหัวใจที่แหลกสลายดวงนี้
 
การรักใครสักคน เหตุใดถึงได้ทรมานนัก
 
หรือมีเพียงเขา ที่เจ็บปวดมากขนาดนี้...
 
ไม่ทันไร แก้วตาใสที่ไม่ทันได้หล่อเลี้ยงธารแห่งความเสียใจ หยดน้ำตาเม็ดใสก็ไหลรื้นลงสองข้างแก้มอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
 
ร้องไห้ไม่รู้ตัว เขากลายเป็นคนอ่อนแอได้มากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
 
ซอนอินได้แต่ยิ้มหยันกับตัวเอง ยังจะต้องตั้งคำถามใดอีกว่าเหตุใดตนเองถึงอ่อนแอเช่นนี้ เขามันคนขี้ขลาดและขี้กลัว ดูเหมือนว่าความกล้าหนึ่งเดียวที่มีคือการรักชองจีรยง
 
มือที่หมายจะยกขึ้นเช็ดหมดแรงเอาเสียดื้อๆ จำยอมต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
 
นึกแล้วก็น่าสมเพชตัวเองไม่น้อย จีรยงคงไม่เห็นค่าในตัวของเขาเลยด้วยซ้ำ เอ่ยบอกว่าจะส่งเขากลับเชินอัน หลังจากนั้นก็ผละจากกลับไปที่ตำหนักรัชทายาทตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนถึงวันที่เขาออกเดินทางออกจากวังหลวงฮานึลในวันนี้ เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ยลาจีรยงเลยสักคำ
 
ไม่แม้แต่จะได้เห็นหน้าคนผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
 
“ชองจีรยง เจ้าใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” เสียงหวานแหบต่ำเอ่ยย้ำความน้อยใจกับตัวเอง กี่ครั้งแล้วที่ต้องเสียใจเพราะชายที่ชื่อชองจีรยง และกี่ครั้งกันที่เขาพยายามจะตัดใจแต่ก็ไร้ผล
 
รัก... ความรู้สึกนี้ ไม่อาจลบเลือนได้เลย
 
 
 
รถม้าเคลื่อนที่ออกจากเมืองหลวงของฮานึลในตอนบ่าย ก่อนจะเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางของป่าไม้โปร่งตามพื้นที่ชนบท ข้ามลำธารสายสำคัญของฮานึล ผ่านบริเวณที่ซอนอินเคยถูกลอบสังหารครั้งก่อน จนฟ้ามืด รถม้าที่วิ่งอยู่ราวสองวันก็ได้หยุดลงตรงบริเวณกลางป่าไม้ทึบที่เป็นเส้นทางสุดท้ายก่อนจะพาออกจากเขตแดนของฮานึล และเข้าสู่แคว้นเชินอัน
 
ซอนอินนั่งนิ่งอยู่ภายในรถม้า เขาหลับมาได้สักพักเมื่อช่วงบ่ายจึงไม่เกิดอาการง่วงนอน ร่างบางนั่งจับปลายผมเล่นอย่างเหม่อลอยด้วยไม่มีอะไรทำ บานหน้าต่างไม้ไม่สามารถเปิดได้ เป็นเพียงบานหน้าต่างที่ทำจากไม้สานมีช่องว่างเล็กๆ ไว้ให้แสงและอากาศเล็ดลอดเข้ามาเพียงเท่านั้น ข้าวของเครื่องใช้ติดตัวก็ไม่มีสักอย่าง
 
สิ่งเดียวที่ซอนอินได้กลับมาจากฮานึล ก็คือความทรงจำเพียงเท่านั้น
 
เสียงกึกกักที่ด้านหน้าประตูดังลอดเข้ามาให้คนสวยได้หลุดจากห้วงภวังค์ เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าบานประตูถูกเปิดออก เงาทะมึนร่างหนึ่งไหววูบผ่านผืนผ้าม่านเข้ามา ก่อนที่ม่านตรงหน้าจะถูกเลิกขึ้น และภาพของคนที่อยู่ในห้วงความคิดทุกวินาทีก็ปรากฏแก่สายตา
 
“ชองจีรยง?!”
 
คิดว่าฝันไปด้วยซ้ำตอนที่ถูกร่างสูงดึงเข้าไปรับจูบเร็วๆ ก่อนจะถูกคนที่มุดลอดเข้ามานั่งในเกวียนจับกอดเสียจนแทบหายใจไม่ออก
 
ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ ริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นลงคล้ายหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ทำเอาร่างสูงทนไม่ไหวต้องก้มลงกดจูบแบบหนักหน่วงให้อีกครั้งหนึ่ง
 
“อึ อือออ” ดูเหมือนคนสวยจะเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้แล้ว มือเล็กบีบไหล่หนาเป็นเชิงบอกว่าหายใจไม่ออก แต่ก็โดนยื้อเรียกร้องให้ตอบรับเรียวลิ้นอีกพักใหญ่กว่าจะได้เป็นอิสระ
 
ดวงหน้าเนียนแดงระเรื่อภายใต้แสงไฟสลัวที่ส่องลอดเข้ามา
 
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” จับจังหวะหัวใจตัวเองให้เต้นเป็นปกติได้แล้ว ซอนอินก็เอ่ยถามด้วยความมึนงง
 
รัชทายาทหนุ่มในชุดสีดำแบบที่ซอนอินเคยเห็นครั้งแรกจับคนตัวเล็กให้ลงมานั่งตรงกลางหว่างขาของตนแล้วโอบเอวบางไว้หลวมๆ ปลายจมูกซุกไซ้ซอกคอขาว สูดดมกลิ่นกายหอมหวานที่แสนคิดถึงจนพอใจ ก่อนเอ่ยตอบ
 
“ข้ามาเตรียมเรื่องกองทหารที่จะใช้ออกรบกับเชินอัน”
 
คำตอบของร่างสูงนำพาให้คนฟังรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง
 
“เตรียมกองทหารหรือ?...” ซอนอินพึมพำทวนคำของร่างสูง ดวงหน้าเศร้าหมองก้มลงอย่างเซื่องซึม มือเล็กที่กุมกันอยู่บิดไปมาอยู่บนตัก พยายามสั่งไม่ให้ร่างกายสั่นไหวอย่างยากลำบาก ทว่า ก็ไม่อาจสะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่ไหลรินไว้ได้
 
จีรยงเห็นแล้วว่าคนในวงแขนร้องไห้ เขาถอนหายใจยาวครั้งหนึ่ง ก่อนจับให้คนตัวเล็กขยับขึ้นมานั่งบนขาข้างหนึ่งของเขา แล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา
 
“บอกไม่รู้กี่ครั้งว่าอย่าร้องไห้ ทำไมไม่รู้จักจำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองเป็นเช่นไร นี่คงจะร้องมาตลอดทางเลยสิใช่ไหม?”
 
คนที่นั่งปล่อยให้มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าไม่เอ่ยตอบ เอาแต่เม้มริมฝีปากสะอึกสะอื้นในลำคอ
 
ถูกคนที่รักสั่งให้ออกจากแคว้น เป็นใครจะไม่ร้องไห้กัน? ซอนอินอยากจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออก
 
แต่ถึงอย่างนั้น จีรยงก็เข้าใจดีว่าซอนอินกำลังคิดสิ่งใด เขาใช้ชายแขนเสื้อเช็ดผิวแก้มที่ชื้นน้ำตาจนผิวเนียนกลายเป็นสีแดงเถือก วงแขนข้างหนึ่งที่คล้องเอวคอดไว้กระชับให้แน่นขึ้นเพื่อบังคับให้คนที่นั่งบนขาของเขาได้หันมาสบตา
 
ปลายนิ้วหยาบเกี่ยวเส้นผมที่ปรกข้างแก้มใสให้ทัดหลังใบหูเล็กขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟัง
 
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าฮีอูถูกคนของแคว้นเจ้าจับตัวไป?”
 
ซอนอินพยักหน้าหนึ่งที เม้มริมฝีปากแน่นกว่าเดิม
 
...เจ้าก็เลยต้องใช้ข้าแลกตัวคิมฮีอูคืนมา
 
“เพราะอย่างนั้น เพื่อความปลอดภัยของฮีอู ข้าถึงไม่มีทางเลือก ต้องส่งเจ้ากลับไปตามที่เชินอันเรียกร้อง เจ้าเข้าใจเหตุผลของข้าใช่ไหม?”
 
ดวงหน้าสวยพยักขึ้นลงเป็นการตอบรับ มือเล็กที่จับยึดอาภรณ์ไว้เริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
 
…ไม่ต้องบอกย้ำ ข้าก็เข้าใจสถานะตัวเองดี
 
“ที่ข้าประกาศทำศึกกับแคว้นเจ้าหลังจากที่แลกตัวเชลย ก็เพราะเมื่อข้าได้ตัวฮีอูกลับคืนมา ข้าก็จะไม่มีห่วงใดๆ ให้ต้องกังวลยามที่ส่งทหารเข้าบุกตีเชินอัน...”
 
“ฮึก...” พยายามกลั้นแล้วจริงๆ แต่ก็หลุดสะอื้นออกมาจนได้
 
“อย่าเพิ่งร้องไห้ได้ไหม” เสียงทุ้มฟังเหนื่อยหน่ายไม่น้อย ยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกอยากร้องไห้มากขึ้น
 
จีรยงลูบประคองดวงหน้าสวย ใช้ปลายนิ้วลูบเนินแก้มเบาๆ อย่างอ่อนโยนคล้ายต้องการปลอบประโลม บอกให้หยุดร้องไห้ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์
 
“เจ้าจะร้องไห้ก็ได้ข้าไม่ห้ามแล้ว แต่ช่วยฟังข้าพูดให้จบก่อนจะได้ไหม ...แล้วนี่ทำไมข้าต้องมานั่งอธิบายให้เด็กขี้แยอย่างเจ้าฟังด้วยนะ” อดจะบ่นออกมาไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังระงับความขัดข้องใจไว้แล้วเอ่ยต่อ โดยที่มือก็ยังลูบใบหน้าของคนฟังไว้อย่างอ่อนโยน
 
“ฐานะวังชอนซาของเจ้าถือเป็นสิทธิ์ขาดของเผ่าชินซองที่มีในตัวเจ้าใช่ไหม? ตอบข้าซอนอิน” จีรยงพยายามให้คนร่างบางได้มีส่วนร่วมในการสนทนา เพื่อที่เจ้าตัวจะได้หยุดสะอื้นไห้แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี
 
“ฮึก...ใช่”
 
“แล้วเมื่อข้าส่งเจ้าคืนให้เชินอัน เจ้าก็คงหนีไม่พ้นถูกจับไปที่หุบเขาของเผ่าชินซอง ข้าพูดถูกหรือไม่?”
 
ก็คงจะอย่างนั้น ไม่แน่ว่า ทันทีที่เขาถูกส่งคืนให้เชินอัน พวกนักบวชอาจจะพากันจับเขาไปสังหารก็เป็นได้ แล้วต่อจากนี้ไป เขาก็คงไม่ได้พบเจอชองจีรยงอีกตลอดกาล
 
“ตอบข้าซอนอิน อย่าหลบตาข้า”
 
“เจ้าพูดถูก” ถึงจะตอบแบบขอไปที แต่จีรยงก็พึงพอใจแล้ว
 
“แล้วเจ้าคิดว่า ข้าควรจะทำอย่างไรเพื่อช่วยคนของข้าให้พ้นอันตรายจากพวกชนเผ่าชินซอง หากไม่ให้ทำสงครามแย่งชิงแคว้นมาเป็นของข้าเอง แล้วเจ้าคิดว่ายังจะมีวิธีใดที่จะล้มล้างอำนาจงมงายของคนพวกนี้ได้อีก ยังจะมีวิธีใดที่ข้าจะได้เป็นเพียงคนเดียวในแผ่นดินนี้ที่มีสิทธิ์ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเจ้า ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิซอนอิน ว่าข้าควรจะทำอย่างไร?”
 
ประโยคยาวตั้งมากมาย แต่ซอนอินกลับเก็บใจความได้เพียงสามคำ ‘คนของข้า’ ฟังไม่ผิดใช่ไหม เข้าใจถูกต้องทุกอย่างใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเขาหูฝาดคิดไปเองหรอกนะ!
 
ความคิดแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน ทำให้เรียวคิ้วเข้มกดลึกอย่างจำยอมต่อกระบวนความคิดของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เคยคิดอะไรในแง่ดีให้กับตัวเองเลยสักครั้ง
 
 
“ต้องให้ข้าพูดซ้ำอีกครั้งไหมว่า ‘คนของข้า’ ที่ข้าพูดถึงนั้นหมายถึงเจ้า คิมซอนอิน”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
 
เพล้ง!!
 
 
เสียงกระเบื้องแตกดังสะท้อนอยู่ภายในถ้ำที่มืดสลัว ร่างร่างหนึ่งถูกโซ่ตรวนไว้ทั้งข้อมือและข้อเท้า ห่วงโซ่ระโยงระยางจากเพดานถ้ำลงมาถึงข้อมือที่บวมช้ำสีเลือดนั้นสั่นไหวเล็กน้อยเกิดเป็นเสียงของโลหะกระทบกันเบาๆ เปลือกตาหนักอึ้งข้างหนึ่งที่อยู่นอกเหนือผ้าสีขาวที่ชุ่มด้วยเลือดขยับเชื่องช้า ก่อนจะเผยให้เห็นแก้วตาสีแดงฉานไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง
 
 
เพล้ง!!
 
 
เสียงกระเบื้องแตกดังขึ้นอีกครั้งสะท้อนไปตามแนวกำแพงหิน ปาร์คยองจูหลับตาลงเพียงครู่ก่อนจะลืมขึ้นเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดสลัว เสียงเอะอะโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากห้องขังภายในถ้ำที่อยู่ห่างไกลจากส่วนลึกที่เขาถูกคุมขังอยู่
 
ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าตนเองอยู่ที่ใด ยองจูก็รู้ดีว่าที่แห่งนี้คือถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของหุบเขาชินซอง
 
ใบหน้าคมเข้มของราชครูหนุ่มเงยขึ้นมองสำรวจโซ่ตรวนและสถานที่รอบกาย ทุกอย่างล้วนถูกลงคาถาสลายพลังวรยุทธทั้งสิ้น เรื่องคิดจะหนีคงเป็นไปไม่ได้เลย
 
 
แกร็ง!
 
 
ประตูเหล็กเปิดผ่างออกพร้อมกับกลุ่มนักบวชกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา ดวงเนตรเพลิงจ้องมองร่างเล็กๆ ที่ถูกคุมตัวอยู่กลางกลุ่มนักบวชตรงหน้า มือที่ถูกพันธนาการกระตุกรุนแรงทันทีที่พบว่าร่างมอมแมมนั้นคือคิมฮีอู
 
“ไม่เลวเลยนี่ท่านราชครูปาร์ค ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะมีคนรักแล้ว”
 
นักบวชวัยหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนนำอยู่หน้ากลุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน มือสากหยาบใหญ่บีบปลายคางเล็กของฮีอูให้เงยหน้าขึ้นด้วยน้ำหนักมือรุนแรง
 
ยองจูเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าบริเวณลำคอของฮีอูมีรอยโดนบาดพาดผ่านทำให้เลือดไหลซึมออกมา ซ้ำดวงหน้ายังมีรอยฟกช้ำประปราย
 
เพียงแค่เห็น ใจของราชครูหนุ่มก็เจ็บปวดแสนสาหัส
 
“อีซังโฮ เจ้าจะทำอะไรกับข้าก็ได้ แต่อย่าแตะต้องคิมฮีอู” เสียงทุ้มต่ำของยองจูปะปนไปด้วยเสียงหอบหายใจหนักหน่วง
 
“ท่านว่าอย่างไรนะท่านราชครู? ท่านได้ดูสภาพตัวเองหรือเปล่า ร่างกายของท่านตอนนี้แค่ข้ากระดิกนิ้วเดียวท่านก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” นักบวชหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะพอใจ นานมากแล้วที่อีซังโฮคิดอิจฉาริษยาปาร์คยองจู มีอายุมากกว่าตนเพียงสองปี กลับได้รับยกย่องแต่งตั้งสูงส่งเกือบจะเทียบเท่าผู้นำเผ่าต่อหน้าต่อตา!
 
“รู้สถานะตัวท่านไว้เถิดท่านราชครูปาร์ค หากว่าคิมฮีอูไม่หาเรื่องคิดฆ่าตัวตายหากพวกเราสังหารท่าน ป่านนี้ท่านได้ลงไปอยู่ในหลุมแล้ว! ...เจ้านี่ก็ฤทธิ์มากนัก!” ซังโฮหันไปกระชากปลายคางเล็กแล้วบีบแน่น “...คิดจะใช้ชามกระเบื้องกรีดคอเพื่อให้ได้มาอยู่ห้องขังเดียวกับท่าน หึ! รักกันเหลือเกินนะ เมื่อไหร่ที่คิมฮีอูถูกแลกตัวกับวังชอนซาเรียบร้อยแล้วล่ะก็ ข้านี่ล่ะจะเป็นคนจบประวัติศาสตร์ของท่านเอง ราชครูปาร์คยองจู!!”
 
ร่างเล็กบอบช้ำถูกผลักเข้าหาร่างที่ถูกโซ่ตรวนริมผนังอย่างรุนแรง ก่อนที่กลุ่มนักบวชจะพากันออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูซี่เหล็กด้วยโซ่ขนาดใหญ่ถึงสามชั้น
 
ฮีอูผละจากร่างสูงที่ยืนโงนเงนเพราะแรงกระแทก ก่อนจะทรุดตัวลงไอเอาก้อนเลือดออกมาจนน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บจุกที่ท้องน้อยเพราะถูกต่อยก่อนจะมาที่ห้องขังของร่างสูง
 
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ยองจูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน อยากจะเข้าไปโอบประคองดูแล แต่ก็ทำไม่ได้
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา แล้วสะอื้นไห้อย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพของคนที่รักสุดหัวใจว่าสะบักสะบอมมากเพียงไร เลือดสีแดงที่ซึมผ่านผ้าพันรอบตัวมีปริมาณมากจนน่ากลัว ตามเนื้อตัวที่ก่อนหน้านี้ทำท่าว่าจะหายดีแล้วบัดนี้กลับมีร่องรอยของผิวช้ำเลือดอีกครั้ง
 
“ยองจู ฮึกฮือออ ท่านเจ็บมากหรือเปล่า ฮือๆ เป็นเพราะเราทำให้ท่านต้องเจ็บตัวแบบนี้ ฮึกฮือ...” มือเล็กสั่นสะท้านยามที่แตะสัมผัสร่างสูงตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่าหากจับแรงไปจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายเจ็บ
 
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต่างหาก แผลที่คอ หาอะไรมาพันเสียก่อนเถิด”
 
“แผลแค่นี้เราไม่สนใจหรอก ฮึก แต่ท่าน...ยองจู เราจะทำอย่างไรดี เราจะช่วยท่านยังไงดี ฮือ...”
 
เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าตัวเองงี่เง่ามานานแค่ไหนแล้ว ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้เข้าไปปลอบโยนคนตรงหน้าตั้งไม่รู้กี่ครั้งเขากลับไม่ทำอะไรเลย ในเวลานี้ แม้อยากจะเช็ดหยาดน้ำตาให้มากแค่ไหน อยากจะโอบกอดปลอบโยนให้แนบแน่นมากเท่าไหร่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
 
“ฮีอู ขอร้องล่ะ จัดการกับเลือดของเจ้าเสียก่อนได้ไหม”
 
น้ำเสียงทุ้มวอนขอทั้งสีหน้า ปิดโอกาสให้คนตัวเล็กเลิกทำเป็นไม่สนใจ ฮีอูฉีกชายเสื้อรุ่ยร่ายของตัวเองออกมาส่วนหนึ่งแล้วกดแนบบริเวณบาดแผล เขากดค้างไว้ไม่นานนักก็เช็ดคราบเลือดออกจากช่วงลำคอ แม้เลือดยังไม่หยุดซึมผ่านรอยแยก แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรก ฮีอูไม่ได้ออกแรงมากนักตอนที่ใช้เศษกระเบื้องทำร้ายตัวเอง
 
คนตัวเล็กมุ่งมั่นกับการดึงชายผ้าส่วนปลายของเสื้อออกเป็นผืนยาวได้ทบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมแขนขึ้นเช็ดใบหน้าเปื้อนเลือดให้ยองจูอย่างเบามือ
 
ขณะที่เช็ดเลือดให้อยู่เงียบๆ นัยน์ตาคมก็จ้องมองดวงหน้าหวานฉ่ำน้ำตาอย่างเพ่งพิศ
 
บางที นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็เป็นได้ ที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดคิมฮีอูอย่างนี้
 
 
“ข้ารักเจ้า”
 
 
มือที่ประคองเช็ดอยู่หยุดค้างกะทันหัน แก้วตาคู่สวยไหววูบกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหันสบสายตาคมเข้มตรงหน้าอย่างต้องการความมั่นใจ
 
 
“ข้ารักเจ้า คิมฮีอู”
 
 
ทำนบน้ำตาพังทลายลงในวินาทีนั้นเอง
 
“ฮึกฮือ! กว่าท่านจะยอมบอกเราได้ ฮึก แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรล่ะ ฮึกฮือออ...คนรักของเรากำลังจะตาย แล้วเราจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ยองจู ฮือๆๆๆ”
 
กำปั้นเล็กๆ ทุบลงบนอกแกร่งแสนบอบช้ำไม่แรงนัก เลือดสีสดเปรอะเปื้อนมือทั้งสองข้างของฮีอู แต่ร่างเล็กก็ไม่สนใจเมื่อใช้หลังมือนั้นปาดไปทั่วใบหน้าของตนเองเพื่อเช็ดม่านน้ำแห่งความเสียใจให้พ้นดวงตา
 
ยองจูจ้องมองดวงหน้าขาวที่มีคราบเลือดของเขาเปรอะไปทั่วด้วยหัวใจที่เจ็บร้าวไม่แพ้กัน เขามันงี่เง่า ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างเดียว ดูแลปกป้องใครไม่ได้สักคน ทั้งซอนอิน ทั้งฮีอู มือคู่นี้ไม่สามารถช่วยเหลือคนสำคัญของเขาทั้งสองคนไว้ได้เลย
 
“ฮึก...เราจะไม่กลับฮานึล เราจะไม่แลกตัวอะไรทั้งนั้น ถ้ายองจูต้องตาย เราก็จะตายด้วย!!”
 
“ไม่ได้นะฮีอู เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”
 
“ทำไมล่ะ ถ้าคิมซอนอินมาที่นี่ก็จะถูกทำร้ายเหมือนท่านไม่ใช่หรือ? ฮึก ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องให้คิมซอนอินมา ถ้าเราชิงฆ่าตัวตายก่อน เชินอันก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีเชลยให้แลก ฮานึลก็ไม่ต้องส่งคิมซอนอินคืนกลับมา ฮึก แบบนั้น ไม่ดีหรือไง”
 
มือเล็กเกาะชายเสื้อด้านข้างของชายหนุ่มไว้ด้วยอาการสั่นเทา น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
 
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายเสียเปล่าหรอกนะฮีอู คิดหรือว่าถ้าเจ้าตายแล้วพวกนักบวชจะบอกความจริงออกไป ถึงอย่างไรพวกผู้เฒ่าก็ต้องหาทางให้ได้วังชอนซาคืนมาอยู่ดี”
 
ยองจูไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงดุดันเช่นประโยคก่อนหน้า เขาเอ่ยด้วยระดับเสียงที่นุ่มนวลลง
 
“แต่เราทนทิ้งให้ยองจูตายไม่ได้ เราเสียท่านไปไม่ได้อีกแล้ว ฮึกฮือ...”
 
“ฮีอู เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองตาข้า”
 
“ฮึก ไม่เอา เราไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...”
 
“คิมฮีอู มองตาข้า ได้โปรด เจ้าเป็นดวงใจของข้านะฮีอู ช่วยฟังคำขอร้องจากคนที่รักเจ้าด้วยเถอะ”
 
ศีรษะเล็กๆ ยังไม่ยอมเงยขึ้น จนกระทั่งสายตาเหลือบเห็นหยดน้ำที่ร่วงเผาะลงมาบนหลังมือที่เกาะยึดเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่น
 
ฮีอูเงยหน้าขึ้น เพื่อพบว่าดวงตาสีแดงฉานที่มักดุดันฉายประกายกร้าวน่ายำเกรง เวลานี้เอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตาจนท่วมท้น
 
“ยองจู...”
 
“สัญญากับข้า ว่าเจ้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่อข้า ให้ข้าได้จากเจ้าไปพร้อมกับความรู้สึกที่น่าจดจำ อย่าให้ข้ารู้สึกผิดที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ที่ทำให้เจ้าต้องมารักคนอย่างข้า ได้โปรดฮีอู ฟังคำขอร้องจากข้าสักครั้งเถิด อย่าทิ้งชีวิตเพื่อคนอย่างข้าแบบนี้เลย แค่เจ้ารักข้า เพียงแค่นี้ชีวิตของข้าที่ได้เกิดมาก็คุ้มเหลือเกินแล้ว”
 
“ฮึก ท่านพูดอะไร ฮือๆ เราไม่เคยเสียใจที่ได้รักท่านเลยนะยองจู ไม่เคยเลย...”
 
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มบางกับท่าทางปฏิเสธของร่างเล็ก
 
“เช่นนั้น เจ้าก็ต้องรักข้าให้มากๆ มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนที่เจ้ารัก เพื่อความต้องการของคนที่รักเจ้า”
 
“ฮึก ฮืออออออ” คราวนี้ฮีอูไม่เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น มือที่เกาะชายหนุ่มไว้อยู่ยิ่งมีอาการสั่นเทามากขึ้น ยองจูปล่อยให้ฮีอูซึมซับความเสียใจเพียงครู่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
 
“ข้าอยากฟังคำรักจากเจ้าเหลือเกินฮีอู บอกให้ข้าฟังเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม”
 
ดวงตาฉ่ำน้ำเงยขึ้นมองคนเอ่ยขอ ริมฝีปากบางกัดเม้มแน่น
 
“ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ฮึก นี่ต้องไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้ฟังคำว่า เรารักท่าน ปาร์คยองจู”
 
ยองจูระบายยิ้มกับถ้อยคำของคนรักที่แสนบริสุทธิ์ใสซื่อ เขาไม่สนใจประโยคอื่นใดนอกไปจากคำบอกรักที่คนตรงหน้ามอบให้เท่านั้น
 
 
“ข้าก็รักเจ้า คิมฮีอู”
 
“ข้ารักเจ้ามากเหลือเกิน”
 
“ปาร์คยองจูรักคิมฮีอู”
 
“รัก รัก...”
 
 
“ฮึก พอแล้ว!! ฮือๆๆๆ” คนตัวเล็กตะโกนแทรกคำรักหวานหูที่ตลอดมาเฝ้าฝันว่าอยากได้ยินจากคนตรงหน้าแม้เพียงสักครั้งก็ยังดี แต่ในตอนนี้ ยิ่งอีกฝ่ายบอกรักเขามากเท่าไหร่ ฮีอูก็ยิ่งไม่อยากฟังมากเท่านั้น
 
เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่า ต่อจากนี้ไป เขาจะไม่ได้ฟังคำคำนี้จากยองจูอีกแล้วตลอดกาล
 
“บอกรักตอบรับข้าหน่อยสิฮีอู”
 
สีหน้าของยองจูยังคงเจือด้วยรอยยิ้มบาง ดวงตาคมไม่แสดงอาการเศร้าหมองแต่อย่างใด มีแต่ความรักและความอบอุ่นส่งมอบให้คนที่สบสายตาอยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น แล้วไยเล่าที่อีกฝ่ายจะไม่ยินยอมตอบรับความรู้สึกนั้นแต่โดยดี
 
“ฮือๆ เรารักท่าน ยองจู รัก รัก รัก รักมากที่สุด”
 
เพียงเท่านั้น รอยยิ้มกว้างก็ฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหลาของราชครูหนุ่ม
 
“ข้าอยากดึงเจ้าเข้ามากอดจูบเหลือเกิน”
 
ฮีอูหลุดสะอื้นฮักสองครั้ง ก่อนจะเป็นฝ่ายคล้องวงแขนรอบลำคอร่างสูงที่ถูกโซ่ตรวนข้อมือทั้งสองข้าง แล้วเขย่งปลายเท้ายื่นใบหน้าเข้าหา ส่งมอบจูบนุ่มนวลให้คนเรียกร้องอย่างเต็มใจ
 
ริมฝีปากบางนุ่มแตะจูบเนิ่นนานกับกลีบปากหยักหนา ไม่อยากผละออกเลยสักนิด เพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าคมก็ขยับยื่นแนบลงมาประกบปากของฮีอูมากขึ้น ลิ้นสากไล้ต้อนให้อีกฝ่ายเปิดทางผ่านให้ จนเรียวลิ้นทั้งสองได้แตะสัมผัสกันในที่สุด
 
จูบลุ่มลึกหนักหน่วง แต่ทว่าหอมหวานเบาบางราวปุยนุ่นที่ล่องลอยในอากาศ
 
ฮีอูโอบวงแขนกดลำคอของคนตัวสูงอย่างลืมตัว เพียงเพื่ออยากจะให้อีกฝ่ายได้ตักตวงความหวานจากโพรงปากของเขาได้มากขึ้น จูบรุ่มร้อนเริ่มเนิบนาบและเชื่องช้า หยาดน้ำใสที่เชื่อมเข้าหากันจนมั่วไปหมดไหลล้นออกทางมุมปากทั้งสองข้าง เสียงโซ่ตรวนกระทบกันดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องขัง ผสมปนเปไปกับเสียงเปียกลื่นของการแลกเปลี่ยนน้ำลายของคนสองคนไม่รู้จบ
 
 
และไม่รู้ว่า พวกเขาจะยังมอบจูบให้กันอีกกี่ครั้ง จนกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้อีก
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
การเดินทางของขบวนรถม้าส่งเชลยล่วงเลยจนเข้าวันที่หนึ่งของเดือนเจ็ด
 
คืนนี้ก็เป็นอีกคืน ที่รัชทายาทหนุ่มแห่งฮานึลใช้เวลายามค่ำคืนในการพักแรมตามค่ายทหารของพระองค์เองกับคนร่างบางแสนสำคัญ
 
ภายในกระโจมผ้าตรงกลางของค่ายกองทหารฮานึลกลางป่าใหญ่ เขตแคว้นเชินอัน
 
ร่างบางในชุดสีขาวบิดกายน้อยๆ อย่างน่ารักอยู่บนตักของร่างสูงที่เอาแต่กลั่นแกล้งด้วยการซุกไซ้ปลายจมูกไปทั่วลำคอขาวที่มีแต่จุดสีแดงแต่งแต้มอยู่ประปราย
 
“ข้าไม่อยากส่งตัวเจ้าให้พวกนักบวชเลย” เสียงทุ้มพึมพำผ่านผิวเนื้อนุ่มลื่นที่กำลังโลมไล้อยู่อย่างเพลิดเพลิน
 
ซอนอินหยุดดิ้นทันทีแล้วก้มมองศีรษะที่ซุกอยู่กับเนินไหล่เปลือยเปล่าเพราะถูกคนตรงหน้าถลกอาภรณ์ลงไปถึงข้อศอกเรียบร้อยแล้ว
 
รอยช้ำสีแดงเหนือจุดเล็กๆ บนเนินอกขาวถูกคมเขี้ยวของมังกรหนุ่มขบกัดจนขึ้นสีชัดถนัดตา
 
“อื้ออออ” เสียงหวานครางด้วยความเจ็บแปลบ
 
“จำได้หรือเปล่าว่าข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่างไรซอนอิน”
 
ดวงหน้าหวานยังแดงจัด สีผิวบนพวงแก้มยังมีร่องรอยแห่งความลุ่มหลงด้วยถูกปลุกอารมณ์มาแทบจะตลอดทางขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน เห็นจะมากที่สุดก็คงไม่พ้นการประกบปากจูบนั่นแหละ ทำให้ริมฝีปากของหงส์งามในตอนนี้ทั้งฉ่ำสีสดและบวมเจ่อน้อยๆ น่าประทับจูบอีกสักหลายๆ ครั้ง
 
“ตอบข้าสิซอนอิน เร็วเข้า”
 
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดเล้าโลมผิวกายสั่นสะท้านตรงหน้า ริมฝีปากอุ่นยังคงแตะผะแผ่วทั่วทั้งผิวกายบอบบางอย่างถือสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของ
 
“จำได้  อ่ะ อ่า...เจ้า เจ้าบอกว่า อย่าให้ใครได้แตะต้องข้าอย่างเกินเลย จนกว่า อ่ะ...จนกว่าเจ้าจะพาข้าออกมาจากคนพวกนั้น อื้ม...!”
 
จูบเร็วๆ ถูกส่งให้คนตัวเล็กต้องตอบรับอย่างกะทันหัน
 
“เข้าใจก็ดีแล้ว อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าเจ้าถูกใครอื่นแตะต้อง แค่สามวันเท่านั้น ข้าจะต้องได้เจ้ากลับมาอยู่กับข้าเหมือนเดิม”
 
มือหยาบใหญ่สอดลึกผ่านผ้าคาดเอวของร่างบางลงสู่เบื้องล่าง แล้วกอบกุมส่วนไวสัมผัสที่เพิ่งเกิดอารมณ์มาได้ไม่นาน แล้วจัดการพาคนสวยส่งให้ถึงสรวงสวรรค์แห่งเพศรสได้อย่างไม่ยากเย็น
 
ซอนอินหอบหายใจจนตัวโยนอยู่บนตักของจีรยง ริมฝีปากบางหอบกระเส่ายามที่หยาดหยดสุดท้ายถูกรีดออกจนเต็มฝ่ามือใหญ่
 
“เจ้าไปรอข้าที่ธารน้ำตก กึมซองจะเป็นคนพาไป อาบน้ำรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าคุยเรื่องแผนรบกับนายพลซูวอนเสร็จแล้วจะตามไป” ริมฝีปากอุ่นนาบจูบลงที่ขมับชื้นเหงื่อ
 
ได้ฟังว่าให้อาบน้ำที่ธารน้ำตก คนสวยก็ตาเป็นประกาย ตั้งแต่ออกเดินทางมา ยังไม่ได้ลงแช่น้ำแบบเต็มๆ ตัวเลยสักครั้ง เหนียวตัวจะแย่แล้ว อดคิดไม่ได้ว่าจีรยงหาเศษหาเลยกับร่างกายของเขาทุกวันแบบนี้ได้อย่างไรกัน
 
ตัวเขาน่าจะเหม็นได้ตั้งแต่สองวันแรกที่ไม่ได้อาบน้ำแล้วนะ?
 
 
 
“กระหม่อมรอตรงนี้นะพะย่ะค่ะ” ยูกึมซองโค้งกายให้ร่างบางที่เดินอีกเพียงสิบก้าวก็ถึงธารน้ำตกกลางป่าแล้ว
 
ซอนอินขมวดคิ้วมุ่นมองเด็กหนุ่มที่เลือกยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
 
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องจับตาดูข้าไม่ให้คลาดสายตาอยู่แล้วนี่ ไยต้องไปยืนหลบๆ ซ่อนๆ ตรงนั้นด้วยเล่า?!”
 
กึมซองยิ้มกว้างขณะเอ่ยตอบฉะฉานเต็มปากเต็มคำ “กระหม่อมไม่อยากถูกตัดหัวทิ้งไว้กลางป่าต่างแคว้นพะย่ะค่ะ!”
 
“ใครจะตัดหัวเจ้ากัน? ก็เจ้าต้องคุ้มครองข้าไม่ใช่หรือ?...อ่ะ” เหมือนสมองเพิ่งจะไตร่ตรองเรียบเรียงความคิดได้ เกิดกึมซองมายืนดูเขาอาบน้ำเสียชิดริมลำธาร เจ้าคนบ้าพลังอำนาจนั่นคงควันออกหูออกจมูกเป็นมังกรตกมันเป็นแน่ ขนาดเมื่อคืนก่อนตอนที่เขาจะลงรถม้าแล้วเสียหลัก นายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ก็หวังดีรีบเข้ามาประคอง แต่ดันโดนจีรยงสั่งให้เดินเท้าเปล่าตามขบวนรถม้าตั้งครึ่งชั่วยามข้อหามาแตะตัวของเขาเสียอย่างนั้น
 
เหอๆ นี่เขาก็เกือบจะชวนกึมซองลงมาแช่น้ำด้วยกันแล้วนะเนี่ย!
 
ซอนอินพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจให้เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันหลังกลับเดินต่อไปยังริมลำธาร
 
ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องกระทบผิวเนื้อละเอียดขาวผุดผ่องของร่างบางจนเกิดประกายระยิบสะท้อนกับผิวแม่น้ำใสสะอาด ร่างเปลือยเปล่าของหงส์แสนงามแหวกว่ายอยู่ในลำธารด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
 
ตั้งแต่ออกเดินทางมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ ซอนอินได้รับความสุขมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว จีรยงแสดงความต้องการกับเขาอยู่ตลอด ซ้ำยังอ่อนโยนอย่างที่สุด ถึงจะมีขึ้นเสียงดุเขาบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องไร้สาระน้อยนิดเท่านั้น
 
มีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ที่รบกวนจิตใจอันเป็นสุขของเขา เรื่องของคิมฮีอู
 
ซอนอินไม่กล้าเอ่ยถามว่าหลังจากที่ได้ตัวคิมฮีอูคืนมาแล้ว อีกฝ่ายจะสานสัมพันธ์กับคนผู้นั้นต่อหรือไม่ แล้วหากพาเขาหนีออกมาได้สำเร็จ จีรยงจะให้เขาอยู่ที่ฮานึลในฐานะอะไร
 
คนรัก หรือแค่คนรองรับอารมณ์เพียงเท่านั้น
 
อ่า...คนรักงั้นหรือ นี่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่คิมซอนอิน เจ้าเคยได้ยินชองจีรยงบอกคำรักกับเจ้าแล้วหรืออย่างไร เพ้อฝันไปเองแท้ๆ
 
เรื่องแบบนั้น ฝันเอาคงง่ายกว่ามั้ง!
 
ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำเงายาวแผ่สยายลอยอยู่เหนือผิวน้ำยามที่เจ้าตัวสั่นหัวปฏิเสธความคิดฟุ่งซ่านที่เกินกว่าจะหาความเป็นจริงได้ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
 
กำลังควบคุมสติอย่างตั้งอกตั้งใจ จู่ๆ แก้วตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อเห็นเงาตนเองสะท้อนผิวน้ำกระทบแก้วตาขึ้นมา
 
ทันความคิด คนตัวเล็กก็รีบหันไปมองกึมซองที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักอย่างตกใจ แล้วก็พบว่าเด็กหนุ่มเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่ต่างจากตนเองมากนัก
 
ซอนอินได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่กลางลำธารอย่างทำอะไรไม่ถูก ต่อให้ไม่มีแสงจันทร์ช่วยส่องแสงสว่างลงมา ซอนอินก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี ว่าที่แผ่นหลังของเขามีปีกสีขาวขนาดใหญ่แผ่กางออกไม่ต่างจากวิหคเหิรแม้เพียงนิด
 
แล้วที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือเงาของเขาเองที่จ้องตอบกลับมาจากผิวน้ำ โดยที่เงากระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นที่เห็นอยู่นี้ กลับมีปีกสำดำสนิทเฉกเช่นตัวเขาเมื่อครั้งก่อน ซ้ำรอยยิ้มที่ต่างจากของเขาที่ส่งกลับมาให้นี่มัน...หมายความว่าอย่างไรกัน!!
 
 
สวรรค์ ท่านเล่นตลกอันใดกับข้าอีกแล้ว!!
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
งานเข้า!! ลึกลับได้อีก ทำไมถึงดูเหมือนจะมีสองคนล่ะ เพียงแต่อีกคนยังอยู่ในเงาไม่ปรากฏรูปร่างที่จับต้องได้เท่านั้นเอง

ออฟไลน์ MmBb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ที่เห็นแบบนี้เพราะว่าซอนอินยังไม่ได้เป็นทั้งทางแสงสว่างและความมืดใช่หรือเปล่าเพราะมีปีกสีขาวให้ได้เห็นหลังจากที่มีสีดำออกมาเมื่อคราวก่อนเหมือนกับว่าอยู่ที่ใจของซอนอินเองว่าจะเลือกเป็นฝ่ายไหนใช่มั้ยนะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ในที่สุดจีรยงก็บอกแผนให้ซอนอินรู้ แต่แบบเรื่องปีกกับเรื่องอีกตัวตนนึงนี่คือยังไง จำได้ว่าเคยมีโผล่มาตอนที่แล้วด้วย เรื่องต่างๆ คงไม่ง่ายอย่างที่จีรยงวางแผนไว้หรอก สงสารทางยองจูกับฮีอูด้วย

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สงสารท่านราชครูเป็นที่สุด

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

บทที่ 23
 
วังชอนซาจมน้ำ
 
ยังตื่นตะลึงกับความงดงามราวกับได้พบเห็นทวยเทพวิหคเหิรจากสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน ภาพของหงส์งามที่ผลุบหายลงไปในชลาสินธุ์ก็ทำให้ดวงเนตรคมเกิดประกายวาววาบเบิกกว้าง ก่อนที่แม่ทัพแห่งฮานึลประจำกองพลที่เจ็ดจะรีบวิ่งลงไปในลำธารตรงหน้าด้วยความว่องไว
 
ร่างปวกเปียกของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งเทพเจ้าทงซกถูกแม่ทัพหนุ่มนามว่าชองจีรยงอุ้มลอยขึ้นเหนือธารา ปีกสีขาวขนาดใหญ่ไม่ได้แผ่กางออกดังเช่นในคราแรก บัดนี้มันหุบแนบสนิทอยู่บนแผ่นหลังเปลือยเปล่า และแม้ว่าร่างทั้งร่างของวังชอนซาจะจมหายลงไปในแม่น้ำจนมิด แต่ปีกสีขาวสว่างตานี้กลับไม่มีหยดน้ำแม้แต่เพียงหยดเดียว ปุยขนสีอ่อนยังแห้งสนิทและพลิ้วไหวน้อยๆ ยามที่ต้องสายลมเย็น
 
แพทย์หลวงจากึนซึ่งอยู่ประจำในกองทัพถูกตามตัวในเวลาไม่นาน ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ของแม่ทัพที่เจ็ดมีคนเพียงห้าคนเท่านั้น คือตัวแม่ทัพเอง วังชอนซา ยูกึมซอง ยูโทซอง และหมอหลวงจากึน ความเป็นส่วนตัวนี้เองทำให้คนภายในกระโจมพักทำอะไรได้สะดวกขึ้น เพราะการที่วังชอนซามีปีกโผล่ออกมาจากแผ่นหลังเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสักนิด
 
หลังจากที่ท่านหมอได้จับชีพจรของร่างบางซึ่งนอนซบไหล่กว้างอยู่บนตักของนายเหนือหัวแล้ว ชายชราก็ได้สรุปผลอาการของวังชอนซาว่าเป็นเพราะความตกใจอย่างกะทันหันทำให้หมดสติไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ให้นอนพักสักครู่ก็จะดีขึ้นและจะทรงฟื้นขึ้นมาเอง
 
ส่วนเรื่องที่มาของปีกนั้น จากึนไม่สามารถอธิบายได้
 
“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเพลานี้เข้าเดือนเจ็ดแล้วหรือเปล่าขอรับ ถึงทำให้สิ่งแปลกประหลาดเริ่มปรากฏกับองค์วังชอนซาเช่นนี้” โทซองเอ่ยความคิดเห็นออกมาด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลใจไม่น้อย จริงอยู่ว่าเรื่องเกี่ยวกับวังชอนซาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่อาจยอมรับได้อย่างเต็มที่ ในเมื่อนายเหนือหัวของตนยังคงยืนกรานว่าต้องการองค์วังชอนซาอยู่เช่นนี้ หากเกิดสิ่งใดร้ายแรงขึ้นมาโทซองก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองจะรับมือได้หรือไม่
 
“แต่นี่แค่เข้าวันที่หนึ่งเองนะ ข้าไม่อยากคิดเลยว่าเมื่อถึงวันที่เจ็ดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?!” สีหน้าของกึมซองไม่ได้ดูวิตกกังวลเหมือนแฝดผู้พี่ แต่เป็นสีหน้าตกตื่นระคนตื่นเต้นกับเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างไม่ปิดบัง
 
“จะเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวก็รู้เอง” เสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบ ทว่ากลับทำให้คนอีกสามคนภายในกระโจมเงียบเสียงทันที ดวงหน้าคมเข้มไม่ได้ละไปจากใบหน้าของหงส์งามยามที่เอื้อนเอ่ยต่อกับหมอหลวง “เจ้ากลับไปที่พักได้แล้ว หากซอนอินมีอาการนอกเหนือจากนี้ข้าจะเรียกอีกที”
 
“ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายชราน้อมรับคำสั่งนายเหนือหัวด้วยสรรพนามที่ใช้สำหรับบุคคลซึ่งเป็นแม่ทัพกองพลทหาร เมื่อพ้นจากการกำแพงวังหลวง ชองจีรยงในชุดนักรบก็เปรียบดั่งนายทหารยศสูงผู้หนึ่งเท่านั้น
 
หลังแพทย์หลวงเดินกลับออกไป ร่างสูงก็ได้เงยหน้าขึ้นสั่งความกับองครักษ์ฝาแฝด
 
“กองพลธนูอีกห้าพันนายน่าจะเดินทางมาถึงค่ายนี้ตอนฟ้าสาง โทซอง เจ้าจัดการชี้แจงรายละเอียดการวางแผนรบที่ข้าได้สรุปไปให้พวกทหารที่เพิ่งเดินทางมาถึงให้ครบถ้วน อย่าได้ขาดตกแม้แต่คำเดียว”
 
“รับทราบขอรับท่านแม่ทัพ”
 
“ส่วนเจ้ากึมซอง จัดเตรียมขบวนรถม้าที่จะใช้แลกเปลี่ยนเชลยให้พร้อม วันพรุ่งข้าจะขึ้นรถม้าไปด้วยจนถึงยามหนึ่ง หลังจากนั้นเจ้าต้องดูแลขบวนรถม้าให้ดีจนเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนตัวเชลย แล้วกลับมาพบข้าที่ค่ายทหารบนเนินเขาซางซา”
 
เมื่อเอ่ยถึงภูเขาซางซา กึมซองก็รีบเอ่ยตอบรับคำร่างสูงอย่างกระตือรือร้น ด้วยรู้ดีว่าใกล้ถึงเวลาที่จะต้องทำศึกสงครามอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว
 
ภูเขาซางซานั้นเดินทางจากค่ายพักแรม ณ ปัจจุบันนี้เพียงครึ่งวันก็ถึงแล้ว นั่นหมายความว่าหากพ้นเทือกเขาซางซาซึ่งเป็นคล้ายกับกำแพงหน้าด่านของแคว้นเชินอันได้ ก็จะทำให้ศัตรูรับรู้ถึงการเปิดศึกได้ในทันที
 
ตามกำหนดการณ์ของท่านแม่ทัพที่วางไว้คือ เดินทางพาเชลยไปแลกเปลี่ยนที่ประตูหลักเมืองของเชินอันและกลับมายังค่ายทหารที่รวมตัวกันอย่างลับๆ ตรงเนินเขาซางซาภายในเวลาสามวัน เมื่อถึงวันที่ห้าของเดือนเจ็ด ทหารที่แบ่งกระจายซุ่มซ่อนอยู่ตามเนินเขาซางซาจะเริ่มเคลื่อนทัพข้ามภูเขาเพื่อยกธงประกาศสงครามกับเชินอันอย่างเป็นทางการ
 
ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เพียงศึกเล็กๆ ไม่อาจเทียบเท่าการทำศึกกับแคว้นคันเซได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เหล่าบรรดาชาวบ้านทั่วทุกสารทิศต่างตกตื่นกับใบติดประกาศท้ารบระหว่างฮานึลและเชินอันได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดีก็ต้องรีบอพยพย้ายหลักแหล่งเมื่อพบว่าอยู่ในเส้นทางการรบของทหารทั้งสองแคว้น ถึงแม้ว่าการรบครั้งนี้จะรบกันในหุบเขาซางซาเฉกเช่นศึกสงครามเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนของทั้งสองแคว้นก็ตาม แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจคาดเดาจนปล่อยปละละเลยได้ เพราะเพียงแค่แถวขบวนกองทัพวิ่งผ่าน พื้นที่ตรงนั้นก็อาจเกิดความเสียหายได้ไม่มากก็น้อย
 
จำนวนทหารเมื่อรวมกันทั้งสองแคว้นแล้ว ไม่อาจคาดคะเนนับได้เลย
 
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กึมซองก็อดรู้สึกขนลุกวูบขึ้นมาไม่ได้ ศึกครั้งนี้ถือเป็นศึกใหญ่ชิงแคว้นเรืองอำนาจครั้งแรกสำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีอย่างเขา ราวกับเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน เด็กหนุ่มน้อมรับคำสั่งอย่างแข็งขึงอีกครั้งก่อนโค้งกายลาท่านแม่ทัพพร้อมกับพี่ชาย
 
ม่านกระโจมถูกปิดลงซ้อนถึงสามชั้น บ่งบอกให้รู้ว่าสิ้นสุดการเจรจากับท่านแม่ทัพชองในราตรีนี้แล้ว
 
กว่าครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ที่แผงขนตาดำยาวขยับเล็กน้อย ก่อนจะเผยให้เห็นแก้วตาสีดำสุกใสล่อแสงเทียนเป็นประกายระยับ
 
เส้นผมสีนิลถูกข้อนิ้วหนาเกี่ยวทัดหลังใบหูเล็กแผ่วเบา ขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยถามคนบนตักที่มีเพียงอาภรณ์ตัวเดียวปกปิดร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ เนื่องจากปีกคู่ใหญ่ที่ปรากฏอยู่นี้ทำให้ไม่อาจดึงคอเสื้อขึ้นมาได้ ชุดแพรไหมเนื้อดีจึงถูกสวมได้ถึงแค่ข้อศอกขาวเท่านั้น
 
“เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวหรือไม่?”
 
วินาทีแรกซอนอินยังไม่อาจเข้าใจคำถามของอีกฝ่ายได้ ด้วยหัวสมองยังมึนงงอยู่เล็กน้อย เมื่อนิ่งคิดจ้องสบสายตารัตติกาลตรงหน้าได้สักพักถึงเพิ่งจำเรื่องราวขึ้นมาได้
 
มีปีกงอกออกมาจากหลังของเขา...
 
ดวงหน้าสวยพลันซีดเซียว แววตาใสจ้องมองชายหนุ่มเจ้าของตักด้วยความกังวล
 
“ข้า...” ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาที่จ้องสบเมื่อครู่หรุบลงต่ำ นำพาให้มือใหญ่ต้องเชยปลายคางเล็กให้เงยหน้าสบสายตากันอีกครั้ง
 
ขืนรอให้เจ้าตัวพูด มีหวังชายหนุ่มคงได้รอเก้อ
 
“เจ้ามีปีกแล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรตัวเจ้าก็เป็นของข้า เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ หรือคิดจะกลับคำกัน?”
 
“ข้าเป็นของเจ้า! ไม่กลับคำเป็นแน่!!” ดวงหน้าเรียวรีบส่ายปฏิเสธทันควัน เส้นผมที่แห้งหมาดแผ่สยายยุ่งคลอเคลียผิวเนื้ออ่อนนุ่มและขนปีกสีขาวสว่างตา
 
ดวงตาคมกริบของมังกรหนุ่มจ้องมองความสวยงามของคนตรงหน้าราวกับต้องมนต์สะกด แน่ล่ะว่าชายหนุ่มไม่เคยเห็นคนที่เป็นตัวแทนเทพเจ้าเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่เพียงตัวแทน แต่เป็น ‘เทพเจ้า’ จริงๆ เลยต่างหาก คงไม่แปลกนักหากเขาจะยิ่งเกิดความหลงใหลในตัวของคนตรงหน้านี้มากยิ่งขึ้น
 
“เข้าใจแล้วก็ดี ตัวของเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง รู้ไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าไม่มีทางปล่อยมือจากเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” พูดไป มือใหญ่ก็ลูบไล้พวงแก้มนุ่มไปด้วยอย่างแผ่วเบา
 
ซอนอินรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งใบหน้าของตนกำลังร้อนผ่าวด้วยวาจาของคนที่รัก ความรู้สึกสุขล้นมันเต็มตื้นขึ้นมามากมายจนน่ากลัว ยิ่งได้รับความอ่อนโยนจากชองจีรยงมากเท่าไหร่ ซอนอินก็ยิ่งคาดหวังมากเท่านั้น หากมีวันใดที่ความหวังต้องพังทลายลง ซอนอินไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนเองจะทนรับได้อย่างไร
 
ยิ่งรักก็ยิ่งต้องการ ...ไม่อาจหยุดได้
 
หากคิดจะไขว่คว้าบุรุษผู้นี้ เขาต้องแลกด้วยอะไรถึงจะได้มาครอบครอง ซอนอินคิดถึงคำถามนี้อยู่เสมอ ชองจีรยงอยู่สูงเกินกว่าคนอย่างเขาจะเอื้อมถึง แม้ตอนนี้ตัวเขาได้ใกล้ชิดชองจีรยงด้วยร่างกาย ทว่าหัวใจกลับห่างไกลนัก ซอนอินไม่เพียงต้องการแค่สัมผัสจับต้อง แต่ยังต้องการสัมผัสถึงความรู้สึกของหัวใจดวงนั้นด้วย
 
อยากให้สายตาคู่นั้นมองแต่เขา มือคู่นั้นโอบกอดเพียงเขา หัวใจดวงนั้น...มีไว้เพื่อเขาเพียงคนเดียว
 
นับวัน ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นนี้ก็ยิ่งละโมบโลภมากอย่างน่ารังเกียจ
 
...แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความรู้สึกได้เลย
 
ซอนอินหลับตาลงเชื่องช้าตอบรับจูบนุ่มนวลที่อีกฝ่ายมอบให้ ริมฝีปากเล็กถูกดูดเม้มไม่แรงนัก ก่อนเผยอออกเล็กน้อยอย่างยินยอมให้อีกฝ่ายได้สอดเรียวลิ้นรุกไล่ควานหาความหวานภายในโพรงปาก หยาดน้ำใสเริ่มทานทนต่อการเกี่ยวกระหวัดลิ้นของคนทั้งสองไม่ไหวจนไหลเยิ้มผ่านทางมุมปากของทั้งคู่ สายน้ำใสเชื่อมต่อพวกเขายามที่ผละออกเนิบนาบ ก่อนจะเริ่มประกบริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้ง
 
จูบครั้งที่สองไม่ได้อ่อนหวานนุ่มนวลเช่นในคราแรก ทว่าก็ไม่ได้รุนแรงหยาบโลน ความรุ่มร้อนจากการจูบเมื่อครู่ปลุกกระตุ้นความต้องการที่มากกว่านั้นให้กับพวกเขา มือใหญ่แทรกผ่านเส้นผมสีดำยาวเพื่อรองรับศีรษะเล็กให้เงยรับองศาของการจูบเร่าร้อนดูดดื่มได้มากยิ่งขึ้น เสียงสัมผัสปากของกันและกันฟังคล้ายคลื่นพายุลูกใหญ่ที่โถมเข้าพัดพาอารมณ์ให้หลุดลอยไปไกลกว่าที่เป็น
 
จีรยงจับเอวเล็กด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อยกร่างของคนบนตักให้นั่งคร่อมบนตัวของเขา ซอนอินไม่อิดเอือนต่อการถูกจับเปลี่ยนท่านั่ง และไม่ขัดขวางมือที่ปัดป่ายอาภรณ์เพียงตัวเดียวบนร่างของเขาจนหลุดร่วงกองอยู่กับพื้น
 
“อื้อ...!!”
 
เสียงหวานครางเครืออยู่ในลำคอเมื่อถูกปลายนิ้วแกร่งลากไล้แนวสันหลังพร้อมกับกดจูบอย่างหนักหน่วง ปีกสีขาวที่เจ้าตัวไม่อาจควบคุมได้แผ่ออกเล็กน้อยตามอารมณ์วาบหวามของวิหคคนงาม
 
ดวงตาสุกใสดุจอัญมณีใต้ท้องทะเลดูเชื่อมแสงและเป็นประกายมากกว่าที่เคยด้วยหยาดน้ำตาและความปรารถนาที่ฉายชัดบ่งบอกความต้องการ มือเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างของคนที่สวมชุดรบหนังสีดำ ริมฝีปากบางบวมช้ำและขึ้นสีจัดยั่วเย้าสายตาคมจนต้องก้มลงกัดเบาๆ เสียทีหนึ่ง
 
จีรยงเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อให้พ้นดวงหน้าขาวระเรื่อสีแดงจัด ก่อนส่งริมฝีปากนาบจูบเบาๆ บนหน้าผากมนระเรื่อยลงมาตามโครงหน้าได้รูปผะแผ่ว จากปลายคางลงสู่ลำคอเพรียวระหง ปลายลิ้นรุ่มร้อนตระโบมจูบประทับรอยกลีบกุหลาบจนถึงตุ่มไตสีชมพูสดตัดกับสีผิวขาวผุดผ่อง หยอกเย้าด้วยซี่ฟันและปลายลิ้นจนกระทั่งยอดอกเล็กๆ นั้นตั้งชูชันสั่นระริกสู้ริมฝีปากหยักหนา
 
เหมือนร่างกายคล้ายล่องลอยในอากาศ ซอนอินรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์กาย ฝ่ามือใหญ่ที่วนเวียนลูบคลำช่วงเอวและเนินสะโพกยิ่งตอกย้ำถึงแรงปรารถนาราวกับไฟราคะที่ใกล้ปะทุ
 
ซอนอินช้อนสายตาเชื่อมแสงขึ้นสบสายตาคมอย่างวอนขอ
 
“ทนไม่ไหวแล้วหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยผ่านรอยยิ้มเล็กๆ อย่างต้องการหยอกเย้าคนบนตัก ซ้ำยังลากปลายนิ้ววนเวียนหน้าท้องแบนราบนุ่มลื่นปัดผ่านความปรารถนาที่เริ่มสั่นระริกโหยหาสัมผัสอย่างจงใจ
 
“อยากให้ข้าทำอย่างไร หืม? บอกข้าสิซอนอิน”
 
ร่างเล็กบางสั่นเทิ้มกับสัมผัสเล้าโลม พวงแก้มใสแดงจัดลามไปถึงใบหู เก็บความกระดากอายไว้ลึกสุดใจแล้วยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย กระซิบเสียงหวานสั่นพร่า แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนไม่แพ้หญิงสาวในหอนางโลมแม้แต่น้อย
 
“ช่วยให้ข้าถึง ...ได้ไหมจีรยง”
 
 
เพลิงปรารถนาก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างช่วยกันจนเสร็จไปแล้วครั้งหนึ่ง มือเล็กที่เพิ่งละจากความร้อนรุ่มขนาดใหญ่ที่ได้ปลดปล่อยในฝ่ามือของเขาจนล้นทะลักทุกหยาดหยดถูกเจ้าของตักบังคับจับให้กอบกุมสัดส่วนที่ยังตื่นตัวทั้งของตนเองและของอีกฝ่ายรวบไว้ด้วยกัน แล้วขยับขึ้นลงด้วยมือของพวกเขาที่ซ้อนทับกันอยู่ไปพร้อมกัน
 
“อ่ะ! อะ..อา...”
 
จังหวะของมือที่เร่งเร็วมากขึ้นทำให้ร่างบางไม่อาจทนเก็บเสียงไว้ได้ เสียงเปียกลื่นเหนอะหนะของหยาดหยดครั้งแรกสร้างความอับอายให้แก่คนสวยเท่าทบทวีในทุกการขยับเคลื่อนไหว เพียงไม่นานนักหยาดน้ำสีขาวขุ่นก็ถูกรีดเค้นออกมาอีกครั้ง ทั้งของคนตัวเล็กและของร่างสูงผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
 
ซอนอินหอบหายใจหนัก ซบใบหน้าลงกับช่วงไหล่กว้างอย่างหมดแรง ทว่า นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ร่างเล็กถูกจับให้ขยับนั่งชิดหน้าท้องอีกฝ่ายมากขึ้น เสียงทุ้มเอ่ยสั่งใกล้ใบหูเล็ก
 
“ยกสะโพกขึ้น”
 
แม้ว่าเท้าแทบจะไม่มีแรงยืน แต่ซอนอินก็ยังทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ช่วงขาเรียวเล็กสั่นน้อยๆ ยามที่ยืนพยุงตัวให้อีกฝ่ายได้ใช้ปลายนิ้วล้วงล้ำช่องทางเบื้องล่างเพื่อขยับขยายเตรียมพร้อมต่อการรองรับสิ่งที่ใหญ่กว่า
 
มือเล็กจิกขยำเสื้อหนังสีดำของอีกฝ่ายด้วยมือที่สั่นเทาเมื่อรับรู้ถึงจำนวนนิ้วที่เพิ่มขึ้น หยาดน้ำตาใสไหลรินลงข้างพวงแก้มขาว ริมฝีปากบางเม้มแน่นกัดฟันทนต่อความเจ็บแปลบที่ถูกฝืนความเป็นธรรมชาติต่อการสอดแทรก
 
“ฮ๊ะ! อ๊ะ!! อื้อออ!!!!!”
 
ม่านตาเบิกกว้างเมื่อจู่ๆ ก็ถูกความร้อนและใหญ่กว่าเรียวนิ้วพยายามแทรกผ่านร่างกายเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ปีกสีขาวขนาดใหญ่แผ่ออกกว้างจนสุดส่งผลให้ขนนกสีขาวเบาบางลอยละล่องหลุดร่วงออกมาเป็นจำนวนมาก เกือบจะพร้อมๆ กับที่ส่วนปลายได้ผลุบผ่านความคับแคบหายลับเข้าไปในกายของวิหคเพลิงแสนงาม
 
ซอนอินหอบหายใจลำบากด้วยความอึดอัดที่ค้างคา ทั้งยังรู้สึกถึงผิวเนื้อที่ถูกขยายได้อย่างชัดเจน
 
“จ...เจ็บ จี…รยง”
 
เหงื่อกาฬซึมทั่วดวงหน้าสวย สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมานทำให้ชายหนุ่มต้องจูบปลอบ พร้อมกับใช้สองมือช่วยประคองสะโพกเล็ก
 
“ขยับช้าๆ กดสะโพกเจ้าลงมาบนตัวข้า”
 
“ฮึ! อื้อ มันเจ็บ...เจ็บ ฮึก.....จีรยง ข้าเจ็บ...”
 
เจ็บจนต้องร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ศีรษะเล็กเริ่มส่ายปฏิเสธทั้งน้ำตา
 
“ไม่เอาแล้ว ฮึก ข้าเจ็บ จีรยง ฮึก...”
 
อาจจะเร็วไปสักหน่อยกับการทำด้วยท่านั่งสำหรับซอนอิน หากจีรยงยังฝืนมีหวังซอนอินคงได้เลือดเป็นแน่ ...แต่ถ้าจะให้หยุด ก็ยากจะยั้งใจนัก
 
จีรยงสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาของซอนอินแล้วยกขึ้น มือเล็กรีบคว้าไหล่หนาคล้องแขนรอบลำคอคนตัวสูงเมื่อร่างกายเสียสมดุล
 
“เกาะข้าไว้นะ ผ่อนลมหายใจช้าๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
 
พูดง่ายแต่ทำยากนักสำหรับคนฟัง ซอนอินหลับตาลงแล้วผ่อนลมหายใจตามที่อีกฝ่ายบอก เขาทิ้งน้ำหนักลงบนท่อนแขนของจีรยงแล้วปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นคนจัดการ ‘ส่วนที่เหลือ’ ตามความต้องการ
 
ในคราแรก ซอนอินรู้สึกเหมือนร่างกายจะฉีกออกเป็นสองซีก แต่ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ความรู้สึกบางอย่างก็ได้กลบทับความเจ็บไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยความเสียวซ่านและเพลิงความปรารถนาในกามารมณ์ที่ลุกโชติ
 
“ฮ่ะ! อ่ะ อื้อ!!.....”
 
สะโพกเล็กถูกจับขยับขึ้นลงรองรับสัดส่วนของร่างสูงครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหวานหอบครวญครางปะปนไปกับเสียงของความเปียกแฉะของการกระทบผิวเนื้อในส่วนที่เชื่อมถึงกัน ไอร้อนตลบอบอวลไปกับกลิ่นของเพศรสที่แพร่ฟุ้งไปทั่วกระโจมพักแรมของแม่ทัพหนุ่ม
 
“เรียกชื่อข้า คิมซอนอิน” เสียงทุ้มต่ำฟังแหบพร่ากว่าทุกที
 
วงแขนเล็กกอดกระชับลำคอคนตรงหน้า ก่อนหอบหายใจติดขัด
 
“จีรยง...อื้อ...จีรยง จีรยง ...ฮ่ะ ...ชองจีรยง.....”
 
“จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดีคิมซอนอิน ไม่ว่าเมื่อไหร่ เจ้าก็เป็นของข้า” จีรยงกดสะโพกเล็กลงมาจนสุด เรียกเสียงหวานหวีดครางแหลมสูง “...ตรงนี้ของเจ้าจะต้องจดจำเพียงข้าเท่านั้น”
 
“อ๊าาาาาาาาาา!....”
 
จีรยงกระแทกกระทั้นกายเข้าหาช่องทางอุ่นร้อนหนั่นแน่นซ้ำๆ เอวเล็กคอดขยับไหวตามจังหวะการชักนำ เรียวขาขาวทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดรัดรอบเอวนักรบหนุ่มไว้แนบแน่น ดวงหน้าสวยแหงนเงยหอบกระเส่า ร่างกายกระตุกเหยียดเกร็งเมื่อจุดสูงสุดแห่งอารมณ์มาถึง
 
จีรยงจับเอวเล็กคอดยกขึ้นช่วยอีกฝ่าย ก่อนจับให้นั่งพิงเอนซบหอบหายใจอยู่กับอกของเขา
 
ผิวกายขาวนวลไม่ต่างจากน้ำนมระเรื่อสีแดงเป็นจ้ำด้วยเพราะการสูบฉีดของเลือดภายในร่างกายทำงานหนักต่อกิจกรรมเมื่อครู่ จีรยงไล้จูบเบาๆ ตามไรผมชื้นเหงื่อของคนอ่อนแรง
 
“ปีกของเจ้า...”
 
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมเรียวคิ้วเข้มที่กดลึก ทำเอาคนสวยใจคอไม่ดี ยิ่งกังวลอยู่ว่าจะถูกรังเกียจที่ตัวเขาไม่ปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ทันความคิดของเจ้าตัว ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ได้ทันจากสีหน้าไร้เดียงสาอย่างไม่อาจปิดบังความนึกคิดของตนเองไว้ได้
 
หน้าผากมนพลันถูกดีดเบาๆ
 
“คิดว่าข้ากอดเจ้าทั้งที่ก็รู้ว่าเจ้ามีปีกลงได้อย่างไร หากข้ารังเกียจเจ้า?”
 
ซอนอินยู่หน้าด้วยความเจ็บตรงตำแหน่งที่ถูกนิ้วแกร่งดีดใส่ ยกมือคลำป้อยๆ ด้วยท่าทางน่าสงสารราวกับสัตว์ตัวเล็กถูกราชสีห์ตัวใหญ่กลั่นแกล้ง อดช้อนสายตาเคืองนิดๆ ใส่อีกฝ่ายไม่ได้ จีรยงเห็นอย่างนั้นก็ต้องถอนหายใจยาว ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าผากเล็กนั้นเบาๆ
 
“ฟังที่ข้าพูดให้จบเสียก่อนสิ อย่าได้เอาแต่คิดไปเอง ข้าเพียงจะบอกว่าปีกของเจ้าน่ะ มันหายไปแล้ว”
 
หายไปต่อหน้าต่อตาของจีรยงเลยด้วยซ้ำ เหมือนมีม่านหมอกที่ทำให้ปีกค่อยๆ เลือนหายไป
 
“อ๊ะ?! จริงด้วย! ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวเลย” คนตัวเล็กหันซ้ายทีขวาทีเพื่อจะมองหาปีกสีขาวของตนเอง และเพราะเจ้าตัวเอาแต่ขยับยุกยิกไม่หยุด จีรยงเลยต้องอุ้มเอาร่างทั้งร่างของซอนอินลอยหวือขึ้น ก่อนจะวางปุลงบนฟูกต่างเตียงที่ด้านหนึ่งของกระโจมพัก แล้วตามขึ้นคร่อมทาบทับในทันที
 
“จี...จีรยง...?”
 
“เจ้าเริ่มก่อนเองนะซอนอิน” น้ำเสียงทุ้มลึกกดต่ำคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ป่าอย่างไรอย่างนั้น ซอนอินขยับปากพะงาบแต่ก็หาเสียงตัวเองที่จะใช้ร้องห้ามไม่เจอ ดวงตาสุกใสได้แต่จ้องมองคนตัวสูงถอดอาภรณ์ออกจากกายทีละชิ้น จนเหลือเพียงมัดกล้ามของชายหนุ่มนักรบ ที่ค่อยๆ แนบทับผิวกายเปลือยเปล่าขาวเนียนละเอียดของเขาอย่างเชื่องช้า
 
เล้าโลมเพียงไม่นานนัก อารมณ์ที่ยังไม่จางหายก็ได้พัดพาโหมกระหน่ำคลื่นพายุแห่งความปรารถนาให้ปะทุขึ้นอีกครั้งได้ไม่ยากนัก
 
 
ภายใต้ราตรีที่ปกคลุมมืดมิดทั่วทั้งผืนฟ้า แสงไฟสลัวจากคบเพลิงรอบค่ายกองกำลังทหารแห่งฮานึล สองร่างกอดก่ายแนบชิดหลอมรวมกันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับอรุณรุ่งจะไม่ส่องแสงอีกตลอดกาล
 
นักรบหนุ่มจากแดนมังกรฟ้า และบุรุษรูปงามจากแดนวิหคเพลิง ความสัมพันธ์ของพวกเขานับจากนี้มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้ ว่าด้ายสีแดงที่ผูกปลายนิ้วของพวกเขา จะสิ้นสุดลง ณ ที่แห่งใด
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
“ปล่อยนะ! ฮึก...ปล่อยเรา!!!” ร่างเล็กพยายามสะบัดตัวออกจากมือของนักบวชร่างสูงทั้งสองคน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจต้านแรงอีกฝ่ายได้เลย ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนแรงจะยิ่งหดหาย ขาและแขนเริ่มรู้สึกชา
 
ยองจูรู้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด
 
...นักบวชพวกนี้กำลังใช้ศาสตร์พลังลับของชนเผ่ากับฮีอู
 
ร่างสูงฝืนออกแรงขยับมือให้โซ่ตรวนดังกระทบกันเพื่อเรียกสายตาของฮีอูให้หันมามอง
 
“อย่าต่อต้านพวกเขาอีกเลยฮีอู เจ้าไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้หรอก ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าขอโทษฮีอู.....ข้ารักเจ้า และจะรักตลอดไป ไม่มีวันสุดท้ายสำหรับคำรักที่ข้ามอบให้เจ้า....ข้าสัญญา...”
 
เสียงที่กำลังจะเปล่งออกไปพลันกลืนหายลงไปในลำคอ ฮีอูจ้องสบนัยน์ตาของยองจูนิ่งค้างอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหลุดสะอื้นไห้พลางบอกรักกลับไปทั้งน้ำตา ทว่าก็ไม่ได้ขืนแรงนักบวชอีก ฮีอูถูกคุมตัวออกมาจากคุกภายในถ้ำ
 
นานเป็นอาทิตย์ที่ไม่ได้ต้องแสงแดดอย่างนี้
 
“รักกันดีเหลือเกินนะ หึ หลังจากแลกตัวเจ้าเสร็จแล้ว มีสิ่งใดอยากจะฝากบอกราชครูปาร์คก่อนที่ข้าจะกลับมาจัดการลมหายใจของคนผู้นั้นไหมล่ะคิมฮีอู?” อีซังโฮยิ้มเยาะขณะดันร่างเล็กเข้าไปนั่งในรถม้า
 
ฮีอูตวัดสายตามองคนน่ารังเกียจอย่างเคืองแค้น ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นอย่างต้องการควบคุมอารมณ์ เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำอันใดแล้วขยับเดินเข้าไปนั่งในรถม้า ตลอดการเดินทาง มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของฮีอู
 
คำพูดของยองจูที่ว่า ‘ไม่มีวันสุดท้ายสำหรับคำรักที่ข้ามอบให้เจ้า’ ความหมายในประโยคนั้น ฮีอูไม่ได้เข้าใจผิดแน่ๆ ยองจูต้องการบอกกับเขาให้เชื่อว่ายองจูจะไม่ตาย จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยองจูได้สัญญากับเขาแล้ว
 
หากคิดจะผิดคำพูดกันล่ะก็ เขาก็จะตายตามยองจูไปอย่างไม่ลังเล!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
(ต่อ)


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

 
เมื่อล้อเกวียนหยุดลงตอนฟ้ามืด ร่างสูงที่โอบกอดคนตัวเล็กอยู่ในวงแขนมาตลอดทางก็ได้ก้มลงจูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ
 
“ข้าส่งเจ้าได้เท่านี้ ที่เหลือจากนี้กึมซองจะเป็นคนดูแลจนกว่าเจ้าจะไปถึงที่หมาย...” จีรยงเอ่ยบอกคนในวงแขน อีกเพียงสองวันก็จะไปถึงประตูหลักเมืองเพื่อแลกเปลี่ยนตัวกับฮีอู เขามีเวลาไม่มากนักเพื่อจัดเตรียมกองทัพ หากคิดจะทำศึกให้ทันวันที่เจ็ดก่อนที่นักบวชชินซองจะทำร้ายซอนอิน เขาก็ต้องเร่งมือจัดการเสียตั้งแต่ตอนนี้
 
ซอนอินก้มหน้านิ่งจับแขนเสื้อของจีรยงแน่น ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง เรียวคิ้วได้รูปกดลึกอย่างวิตกกังวล เขาไม่ปิดบังว่ากำลังหวาดกลัว กลัวที่จะต้องกลับไปหาคนที่หมายจะฆ่าตนเอง กลัวที่จีรยงจะต้องทำศึกกับพ่อของเขา
 
กลัวว่าเมื่อพ้นจากวันนี้แล้ว เขาอาจไม่ได้พบเจอกับชองจีรยงอีกชั่วนิรันดร์
 
“ซอนอิน เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่?”
 
“ข้าฟังอยู่...” เสียงเล็กตอบแผ่วเบา
 
“กลัวหรือ?” จีรยงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเป็นอย่างมาก แค่เห็นท่าทางของซอนอินว่ากลัวเพียงไร ใจของเขาก็พลอยเป็นห่วงกังวลไปด้วย จีรยงกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกนิด
 
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือซอนอิน?”
 
“ข้าย่อมต้องเชื่อใจเจ้าแน่อยู่แล้ว เพียงแต่...”
 
“เพียงแต่อันใด?”
 
ซอนอินขยับตัวออกห่างจากร่างสูงเล็กน้อยเพื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตารัตติกาล ริมฝีปากบางเม้มแน่นยามที่จ้องมองแววตาคมกริบอย่างต้องการจะมองให้เห็นถึงเบื้องหลังสายตาที่แสนเย็นชา
 
 
...เพียงแต่ข้าอยากได้ยินสักครั้ง หากว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา
 
 
ชองจีรยง ...เจ้ารักข้าบ้างหรือไม่
 
ภายในใจเจ้า มีข้าอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า...
 
 
ความรักของข้าที่มีให้เจ้า มีค่ามากพอที่เจ้าจะตอบรับบ้างไหม...
 
 
 
 
“ท่านแม่ทัพ ได้เวลาออกเดินทางต่อแล้วขอรับ” ยังไม่ทันที่ซอนอินจะได้เอ่ยความในใจ กึมซองก็เปิดม่านหน้าประตูร้องเรียกขึ้นเสียก่อน จีรยงพยักหน้ารับรู้ให้เด็กหนุ่ม ก่อนก้มลงมองคนร่างบางข้างกาย
 
“ซอนอิน เจ้า...”
 
“ข้าจะรอเจ้า” ซอนอินรีบพูดแทรกเสียงทุ้ม ดวงหน้าสวยฝืนระบายยิ้มให้ชายหนุ่ม “ข้าจะรอเจ้าไม่ว่าจะนานแค่ไหน แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว แต่ข้าก็ยังจะรอเจ้า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ข้าจะรอเพียงเจ้า ชองจีรยง ข้าจะรอ..........”
 
ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของอีกฝ่าย จึงเป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มทั้งน้ำตา เป็นความงดงามของดอกไม้ท่ามกลางสายฝน ...ทั้งสวย และทั้งเศร้าโศก
 
ความเจ็บแปลบบางอย่างเล่นงานนักรบหนุ่มให้รู้สึกปวดหัวใจยามที่เห็นน้ำตาของคิมซอนอิน
 
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ความเสียใจของเจ้า เหตุใดถึงได้มีมากมายนัก
 
 
ข้าพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไปรับเจ้า
 
ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต้องการเจ้า
 
ข้าย้ำให้เจ้าฟังตั้งกี่ครั้งว่าข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าไปให้ใครอื่น
 
 
คิมซอนอิน ข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อใจข้า?
 
 
จีรยงใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ซอนอินแผ่วเบา ก้มลงจูบแนบซับที่เปลือกตา ก่อนนาบประกบริมฝีปากกันและกัน จูบนุ่มนวลยาวนานราวกับต้องการจะยื้อเวลาไว้ให้มากที่สุด
 
“ข้าต้องไปแล้ว”
 
“อืม”
 
จีรยงกดจูบเร็วๆ ที่หน้าผากของซอนอิน ก่อนจะพาตัวเองลงจากรถม้า สั่งความกำชับกับกึมซองไม่นานนัก ม่านหน้าประตูก็ถูกปิดลง ตามด้วยบานไม้ปิดทับอีกชั้นหนึ่ง
 
รถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมกับหัวใจของร่างบางที่ติดตามใครอีกคนห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
 
.
.
 
กลางดึกก่อนถึงวันที่ต้องแลกเปลี่ยนตัวเชลย ภายในรถม้าที่จอดพักแรม ซอนอินสะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความฝัน หยดเหงื่อซึมทั่วทั้งใบหน้า แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วง
 
เกือบลืมไปแล้วถึงเงาในน้ำนั่น เงาที่มีใบหน้าเหมือนกันกับเขาและมีปีกสีดำ เงาที่เขาเห็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะฝัน เขาคงลืมไปแล้ว
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งเมื่อนึกถึงความฝันซ้ำซาก ที่ไม่ว่าจะเห็นคนที่เหมือนกับเขาในฝันเมื่อไหร่ ก็จะเป็นเหตุการณ์เดิมทุกครั้ง มือเย็นเฉียบคู่นั้นคอยแต่จะบีบรัดคอของเขา แววตาวาวโรจน์ที่จ้องลึกลงมาราวกับจะเผาร่างของเขาให้กลายเป็นจุล
 
ทั้งปีก ทั้งเงา ทั้งความฝัน ทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องกันกับตัวของเขาทั้งสิ้น แต่ซอนอินไม่เข้าใจเลยสักอย่างเดียว ไม่รู้ว่าปีกของเขามันงอกออกมาได้อย่างไร ทำไมครั้งแรกถึงเป็นสีดำ แล้วตอนนี้ถึงเป็นสีขาว แล้วยังความฝันรวมถึงเงานั่นอีก เพราะอย่างนี้ใช่ไหมที่ทำให้คนในชนเผ่าชินซองต้องการฆ่าเขา เพราะเขาเป็นตัวประหลาดใช่ไหม!
 
“ฮึก ถ้าอย่างนั้น ข้ายังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกทำไม ...ข้าไม่เคยทำร้ายใคร ไม่คิดจะทำด้วย แต่ข้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกตัดสินให้มีชีวิตอยู่ แม้แต่ท่านแม่ก็ยัง.....”
 
ซอนอินสะอื้นไห้ออกมาอีกทำนบใหญ่ ยิ่งอยู่คนเดียว และอารมณ์ปรวนแปรเช่นนี้ ยากนักที่ซอนอินจะหยุดคิดฟุ้งซ่านได้ ด้วยนิสัยเดิมที่ชอบคิดแต่ในแง่ลบให้กับตัวเองก็ยิ่งพาให้อารมณ์ของเจ้าตัวเตลิดไปกันใหญ่
 
แต่ไม่นานนักความอ่อนล้าก็ได้รุมเร้าให้ร่างบางผล็อยหลับในที่สุด
 
ทว่า ในวินาทีนั้น ซอนอินมั่นใจว่าเขายังไม่หลับสนิทดี ตอนที่ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังอยู่ใกล้ๆ
 
 
 
“เป็นร่างกายที่น่ากลืนกินนัก คิมซอนอิน ...วังชอนซาของข้า...”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
“องค์ชายจีรยง!” ทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า ฮีอูก็รีบวิ่งเข้าหาร่างสูงในชุดนักรบ ร่างเล็กทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเจ้าของชื่อทั้งน้ำตา
 
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย ฮึก คิมฮีอูทรยศฝ่าบาท....”
 
จีรยงเลื่อนสายตาลงมองร่างเล็กในชุดชาวบ้านซอมซ่อ นานทีเดียวที่เขาไม่ได้เจอคิมฮีอู ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผ่ายผอมได้ขนาดนี้ เนื้อตัวก็เปรอะเปื้อนไม่เหลือเค้าของความเป็นคุณชายให้เห็นแม้แต่น้อย
 
จะมีก็แต่แววตาคู่สวยนั้นที่ส่องสว่างเป็นประกายมีชีวิตชีวาแตกต่างจากเมื่อก่อน
 
“ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่เคยคิดโทษเจ้า” จีรยงเอ่ยเสียงราบเรียบ ขณะช่วยประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน
 
อาจเพราะเกือบอาทิตย์เต็มที่ฮีอูไม่ได้ทานอาหาร เมื่อลุกขึ้นในฉับพลัน ร่างกายถึงได้หมดสติเอาเสียดื้อๆ เช่นนี้ จีรยงช้อนวงแขนรองรับร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะลมลงกับพื้น
 
“ไปตามจากึนมาที่กระโจมของข้า!!”
 
ความร้อนใจของแม่ทัพหนุ่มดำเนินไปนานอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม เปลือกตาบางก็กระพริบถี่ก่อนจะเผยแก้วตาสีอ่อนคู่สวยให้เห็น
 
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ข้อนิ้วหนาเกี่ยวปอยผมชื้นเหงื่อด้วยพิษไข้อย่างอ่อนโยนไม่แพ้น้ำเสียง
 
“หม่อมฉันดีขึ้นแล้วพะย่ะค่ะ”
 
“ไม่ต้องใช่วาจาสุภาพนักหรอก ตอนนี้ข้าเป็นแม่ทัพ”
 
ฮีอูนิ่งเงียบไป เขาปล่อยให้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ขณะที่สายตาก็จ้องมองดวงหน้าคมเข้มที่ค่อยๆ โน้มลงมาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของพวกเขาแตะสัมผัสกัน
 
องค์ชายจีรยงมีใจให้กับเขา ฮีอูรับรู้ได้จากทุกการกระทำและคำพูดของฝ่ายนั้น ...เพื่อให้ทุกอย่างถูกต้อง เขาก็ควรจะบอกกับองค์ชายเสียตั้งแต่ตอนนี้
 
มือเล็กออกแรงดันอกกว้างให้ออกห่างไม่แรงนัก
 
“องค์ชายจีรยง หม่อมฉันมีเรื่องต้องทูลบอก” แม้ว่าร่างสูงจะให้ใช้คำพูดเป็นกันเอง แต่ฮีอูก็ยังคงเรียกด้วยสรรพนามเช่นเดิมตามความเคยชิน
 
“ในใจเจ้าต่อต้านข้าใช่หรือไม่ ร่างกายของเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อข้าอีกแล้วอย่างนั้นใช่ไหม?” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากพูด จีรยงก็เอ่ยขึ้นก่อน “ตอบข้ามาตามตรง คิมฮีอู”
 
“หม่อมฉัน...” ร่างเล็กอึกอักที่จะเอ่ยตอบ แต่ก็ตัดสินใจว่าถึงอย่างไรเรื่องมันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว “...ใจของหม่อมฉันเป็นของชายผู้นั้นแล้ว ร่างกายของหม่อมฉันก็เป็นของคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน ...ได้โปรด องค์รัชทายาท ทรงลงโทษหม่อมฉันเถิด คิมฮีอูไม่อาจทรยศใจตัวเองได้ ไม่อาจร่วมเตียงกับพระองค์ได้อีกแล้ว....”
 
มีเพียงความเงียบที่ก่อตัวขึ้นหลังคำสารภาพของฮีอู
 
จีรยงขยับตัวนั่งแผ่นหลังตรง เขายกฝ่ามือขึ้นกดศีรษะ
 
“ข้าได้เจ้ากลับมาไว้ในกำมือเช่นเดิม แต่ทำไม ใจของข้าถึงไม่ยินดีอย่างที่คิด”
 
“ฝ่าบาท...”
 
“แทนที่ข้าจะโกรธเคืองราชครูปาร์คที่แย่งเจ้าไปจากข้า แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเพียงว่าเจ้าสนใจเพื่อนใหม่มากกว่าข้าก็เท่านั้น ...นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเหมือนเพื่อนคนสำคัญสำหรับข้าใช่หรือเปล่า?” จีรยงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นรอยยิ้มหรือไม่ ชายหนุ่มไม่สันทัดเรื่องความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนี้นัก หากจะให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง คงยากเกินไปสำหรับบุรุษหนุ่มผู้กรำศึกอย่างชองจีรยง
 
“ฝ่าบาท ...ที่พระองค์ตรัส เป็นความรู้สึกจากใจจริงของพระองค์ใช่ไหมพะย่ะค่ะ?”
 
“เจ้าคิดเช่นไรล่ะฮีอู?”
 
ฮีอูตื่นตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของร่างสูง เขาพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง โดยที่มีมือใหญ่ช่วยประคองไว้ไม่ให้เซล้มลงไป
 
“หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าใครอีกคนที่หม่อมฉันรักสุดหัวใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้แตกต่างในความรู้สึกเหล่านี้ คือหัวใจของหม่อมฉัน ...ฝ่าบาทเป็นทั้งเพื่อนและครอบครัว เป็นคนรักแบบที่พี่น้องมีให้กัน แต่กับปาร์คยองจู ความรู้สึกของคำว่ารักมันแตกต่างออกไป หม่อมฉันเองก็อธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่าหัวใจของหม่อมฉันเรียกร้องแต่ปาร์คยองจูเท่านั้น ไม่เจอหน้าก็คิดถึง อยู่ห่างกันก็ห่วงหา ...ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
“สรุปก็คือ ข้าเข้าใจถูกใช่ไหม?”
 
“หม่อมฉันไม่อาจตอบพระทัยของฝ่าบาทได้หรอกพะย่ะค่ะ ทรงคิดเช่นไร ไยหม่อมฉันจะกล้าบอกว่าถูกหรือผิด”
 
“ช่างเถิด เอาเป็นว่า เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นห่วงเจ้า”
 
ฮีอูชั่งใจเพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนโผลงคำถามออกไป
 
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงรักองค์วังชอนซาใช่ไหมพะย่ะค่ะ?”
 
คำถามตรงๆ ทำให้ชายหนุ่มนิ่งค้าง นัยน์คมเลื่อนสบคนถาม เขาไม่ได้เอ่ยตอบรับ และไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ นั่นทำให้ฮีอูเข้าใจได้ในทันที
 
“เช่นนี้เอง...ฝ่าบาทเพียงต้องการลองใจยามที่ได้เจอหม่อมฉัน เพื่อที่พระองค์จะได้ค้นหาคำตอบให้กับความรู้สึกของพระองค์ว่าคิดเช่นไรกันแน่ ...หม่อมฉันพูดถูกหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
จีรยงถอนหายใจเสียทีหนึ่ง ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ดวงหน้าหวานแล้วจูบเบาๆ ที่กลีบปากเล็กอย่างผิวเผิน พลางเอ่ยว่า “เจ้าช่างรู้ใจข้าเหลือเกิน เสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของข้าอีกต่อไปแล้ว”
 
“เอ๋?”
 
“ข้าไม่คิดยื้อเจ้าไว้กับตัวเองอีกแล้ว”
 
“ฝ่าบาท...ฮึก...ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ!!” ฮีอูรู้สึกเต็มตื้นในอก เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเพื่อนเล่นกับองค์ชายชองจีรยงคือการเชื่อฟังอีกฝ่ายอย่างไม่คิดปฏิเสธ ต่อให้ถูกทำร้ายก็ไม่อาจต่อต้านได้ เมื่อถูกมอบให้แล้ว ก็ย่อมเป็นสมบัติขององค์ชายชองจีรยงตลอดไป แล้วการที่ตัวของเขาถูกปล่อยเป็นอิสระเช่นนี้ ...ต่อให้ภายภาคหน้าต้องลงนรกเพื่อชดใช้ คิมฮีอูก็ยินยอมแต่โดยดี
 
มือใหญ่ล้วงหยิบเศษกระดาษจากอกเสื้อ แล้วยกให้ฮีอูดู “...ข้าลักลอบติดต่อกับผู้เฒ่าลีซาง อาจารย์ของราชครูปาร์ค ศึกครั้งนี้ข้าเองต้องยอมรับว่าหนักหนามาก คนของเผ่าชินซองต่อกรได้ยากนัก ต่อให้มีคนของผู้เฒ่าลีซางมาช่วยก็ยังน่าหวั่นใจไม่น้อย แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คนรักของเจ้าจะต้องปลอดภัยแน่ ข้าไม่คิดขัดขวางความรักของเจ้าหรอกฮีอู ...แต่ตอนนี้เจ้ายังต้องฟังข้า นอนพักเสีย ข้ามีภารกิจต้องออกไปจัดการเรื่องทหารอีก”
 
เขาพอจะได้ยินมาบ้างแล้วระหว่างทางจากการบอกเล่าของกึมซองถึงแผนรบที่ฝ่าบาทได้วางไว้ ที่ทำให้เขาได้มั่นใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายชองจีรยงกับองค์วังชอนซา ส่วนหนึ่งก็เพราะแผนที่ได้ฟังมานี้เอง
 
หากฝ่าบาทไม่คิดมีใจให้องค์วังชอนซา ไยต้องทรงหาทางรับคนผู้นั้นกลับมาด้วยเล่า?
 
เมื่อคิดถึงการรบ ก็อดคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาไม่ได้ ฮีอูขืนแรงมือที่บังคับให้เขาล้มตัวลงนอน แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
 
“ฝ่าบาทแน่พระทัยนะพะย่ะค่ะ ว่ายองจูจะไม่เป็นอะไร”
 
“ข้าไม่รับปากว่าราชครูปาร์คจะไม่เป็นอะไร แต่หากเจ้าเชื่อใจคนผู้นั้น คำถามนี้ข้าคิดว่ามันไม่สำคัญอันใดเลย”
 
คำพูดขององค์ชายจีรยงทำให้ฮีอูรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คิดมาตลอดว่าองค์วังชอนซาจะต้องเป็นผู้ที่ทำให้องค์ชายจีรยงเปลี่ยนไปได้แน่ๆ ...ถึงตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่าตนเองคิดถูกมาตั้งแต่ต้น
 
 
หัวใจที่เคยเย็นชาของมังกรหนุ่ม เริ่มละลายลงแล้วอย่างช้าๆ
 
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด
 
ม่านฟ้าในรุ่งอรุณปลอดโปร่ง แสงสีทองอร่ามส่องพาดผ่านผืนนภาลงสู่ทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดิน
 
ในที่หนึ่ง หุบเขาแอ่งกระทะอันกว้างใหญ่ไพศาลของเทือกเขาซางซา กองกำลังทหารรบกว่าสองแสนนายแห่งแคว้นฮานึลได้โบกสะบัดธงสัญลักษณ์ขึ้นชูพร้อมกับเสียงเป่าแตรดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งแนวเขา
 
ที่หน้าสุดของเหล่าทหารมังกร ชายในชุดดำเด่นสง่าอยู่บนหลังอาชาสีขาวเพียงตัวเดียวของม้าศึกทั้งหมด แววเนตรคมกริบดุกร้าวจ้องเขม็งไปยังภาพเบื้องหน้าอีกฝั่งของภูเขา ในที่ที่มีกองกำลังทหารไม่น้อยไปกว่ากันของแคว้นเชินอันที่โห่ร้องดังกึกก้องตอบรับคำท้ากลับมา
 
ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกระชับกระบี่เงินในมือแน่น ขณะตะโกนออกคำสั่งฮึกเหิม
 
“บุก!!!”
 
.
.
 
 
...เป็นครั้งแรกที่จีรยงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองกำลังจะทำศึกเพื่อแย่งชิงแคว้น เพราะครั้งนี้คือการชิงหัวใจของวิหคเพลิงลงมาสู่กำมือของเขาต่างหาก
 
 
หากคิมซอนอินจะโบยบิน ก็จักต้องกางปีกอยู่ภายใต้ร่างกายของเขาคนนี้แต่เพียงผู้เดียว!
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เกาะขอบสนามรบค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ จะมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกไหมนะ

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตื่นเต้นนนนนนนนนน
 :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 24

 
ราชครูปาร์คยองจูหายไปแล้ว
 
สีหน้าโกรธเกรี้ยวของนักบวชอีซังโฮฉายชัดขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าภายในคุกนั้นว่างเปล่า ร่างที่ควรจะถูกโซ่ตรวนจนหนีไปไหนไม่ได้กลับหายไปอย่างง่ายดาย
 
“แยกย้ายกันออกตามหาให้ทั่ว ราชครูปาร์คต้องวางแผนอะไรอยู่เป็นแน่!”
 
และแผนนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของวังชอนซา! อีซังโฮไม่รอช้ารีบไปแจ้งให้นักบวชชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเรื่อง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปดังใจคิด สายฟ้าก็ได้ฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างรุนแรงจนแผ่นดินสะเทือน พายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นฉับพลัน ความโกลาหลก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่วินาทีนั้นทันที
 
 
 
...สิ่งที่ถูกจารึกไว้มานมนาน ถ้อยอักษรที่บรรจงอยู่ในคัมภีร์ลึกลับ บัดนี้ ความเร้นลับอันทรงพลังอำนาจได้ปรากฏแก่สายตาของทุกผู้แล้ว
 
 
วังชอนซาถูกพิพากษาจากสวรรค์ในที่สุด...
 
.
.
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 

 
เสียงกัมปนาทของแตรทัพดังกระหึ่มก้องสะท้อนทั่วทุกสารทิศ กระบี่เงินฟาดฟันต้องวัตถุโลหะสลับกับเสียงของของมีคมทะลุผ่านผิวเนื้อคนแล้วคนเล่า ทหารศึกกว่าสี่แสนนายปะทะกันอย่างไม่มีใครคิดถอย ที่ด้านบนเหนือเหล่ากองพลทหารศึก ศรเงินนับหมื่นพุ่งทะยานจากกองกำลังพลธนูจนพรายตา เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถูกกลืนหายไปด้วยเสียงของอาวุธรบ
 
ท่ามกลางความวุ่นวายอลหม่านที่ดำเนินไปได้เพียงแค่สองชั่วยาม พลันผืนอัมพรที่เปิดกว้างกลับถูกเมฆพยับหมอกทะมึนเคลื่อนเข้าปกคลุมน่านฟ้า ความมืดมิดโรยตัวลงทอดเงาอาบไล่เหล่าทหารศึกที่ต่างหยุดมือแล้วแหงนเงยมองปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติอย่างพร้อมเพรียง
 
เสียงอึกทึกพลันเงียบสงบ ได้ยินแต่เพียงเสียงหอบหายใจ เสียงอ่อนระโรยรินของช่วงชีวิตสุดท้าย และเสียงลมอ่อนๆ ที่พัดต้องพฤกษานานาพรรณ
 
จวบจนความมืดมิดครอบคลุมทั่วทั้งหมดของพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาซางซา ชายชราในชุดขาวก็ได้ปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างของแม่ทัพกองพลที่เจ็ดแห่งฮานึลอย่างไม่ทันได้มีใครสังเกตเห็น
 
“สั่งทหารของเจ้ากลับค่ายเสีย!”
 
พร้อมกับที่ผู้เฒ่าลีซางเอ่ยนั้น ความโกลาหลก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง จีรยงสังเกตเห็นว่าทหารฝ่ายศัตรูในชุดสีน้ำเงินสดได้พากันก้าวถอยหลัง แล้วรีบวิ่งกรูกันกลับไปยังทิศทางเดิมก่อนที่จะเคลื่อนพลลงมายังจุดล่างสุดของหุบเขา เสียงสวดบทหนึ่งที่ฟังไม่เข้าใจดังมาจากกลุ่มทหารของเชินอันที่ต่างก็วิ่งไปและพึมพำบทสวดไป
 
ยูโทซองวิ่งฝ่ากลุ่มคนเข้ามาใกล้นายของตน เขากระหวัดกระบี่หนึ่งครั้งเพื่อกำจัดศัตรูที่หมายจะลอบแทงข้างหลัง ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูง สภาพของเด็กหนุ่มนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสดเกือบจะทั่วทั้งตัว ทว่าไม่ใช่เลือดของตนเองแม้แต่หยดเดียว
 
“ท่านแม่ทัพ! แย่แล้วขอรับ ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับวังชอนซาเป็นแน่! อ่ะ ท่านผู้เฒ่าลีซาง...”
 
“เรื่องนั้นค่อยพูดเถิด ชองจีรยง เจ้ารีบออกคำสั่งให้คนของเจ้ากลับไปยังค่ายพักเร็วเข้า!!” ลีซางตัดบทสนทนาของทุกคน “พวกเจ้ากลับไปยังค่ายพักกันก่อน เดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อพูดจบ เพียงพริบตาเดียว ชายชราผู้มีเส้นผมสีขาวก็ได้หายตัวไป
 
จีรยงกำกระบี่ในมือแน่น เขาละสายตาจากเมฆดำแล้วตะโกนออกคำสั่งให้เหล่าทหารศึกสลายตัวกลับไปยังค่ายพักที่ซ่อนอยู่ในแนวเทือกเขาซางซา
 
โทซองและกึมซองพบกันอีกครั้งหลังจากที่ส่งข่าวให้ทหารถอยทัพจนเกือบครบหมดแล้ว ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกพาไปปฐมพยาบาลอย่างทุลักทุเล เวลานี้ลมที่พัดเอื่อยอยู่เมื่อครู่เริ่มเพิ่มกำลังแรงมากขึ้นจนต้นไม้พากันสั่นไหวน่ากลัว
 
เหล่าบรรดานายพลนายกองยศสูงต่างมายืนรอผู้เป็นนายอยู่ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ที่สุดของแม่ทัพที่เจ็ด แม้ว่าตามร่างกายจะยังคงมีคราบเลือด และความเหนื่อยล้ายังไม่จางหายไปจากสีหน้า คนทั้งหมดก็ไม่เสียเวลาที่จะรีบเข้ามารอฟังสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
 
ทันทีที่ม่านกระโจมเปิดออก ร่างสูงสง่าในชุดรบสีดำก็ได้ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ยูโทซองและยูกึมซอง ตามด้วยนักบวชชราลีซางแห่งชนเผ่าชินซอง
 
“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย!” นายพลซูวอนก้าวออกมายืนด้านหน้า คำถามประโยคนี้ตรงกับใจทุกคนที่เฝ้ารอคำตอบ ภายในกระโจมจึงเงียบกริบ
 
ฮีอูที่ยืนกระวนกระวายใจอยู่ที่มุมหนึ่งของกระโจมก็รอคำตอบข้อนี้อยู่เช่นกัน ด้วยเพราะใจนั้นนึกประหวั่นห่วงร่างสูงของคนที่รักอย่างสุดแสน
 
“ข้าเองก็อยากจะรู้ ...ผู้เฒ่าลีซาง ท่านจะบอกข้าได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” ผ้าคลุมตัวนอกถูกดึงกระชากออกเขวี้ยงลงกับพื้นเต็มแรง เห็นได้ชัดว่าร่างสูงนั้นอดทนรอฟังคำตอบมานานไม่ต่างจากคนอื่นแม้แต่น้อย และอาจจะอยากได้คำตอบมากกว่าใครด้วยซ้ำ
 
ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันเกี่ยวข้องกับคนสำคัญของเขา
 
สีหน้าลำบากใจที่จะเอ่ยตอบของลีซางทำเอาเลือดในกายของมังกรหนุ่มแล่นพล่าน เขาเกือบจะก้าวเข้าไปกระชากชายแก่ตรงหน้าอยู่รอมร่อหากไม่ถูกเสียงของใครมาขัดจังหวะเสียก่อน
 
“ท่านผู้เฒ่าลีซาง พวกข้าร่ายมนต์รอบค่ายพักนี้เรียบร้อยแล้วขอรับ”
 
เด็กหนุ่มในชุดนักบวชชินซองคนหนึ่งตะโกนอยู่หน้ากระโจม เมื่อเห็นสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายเป็นการพยักหน้าแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ก้าวออกจากกระโจมไป
 
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบเคราเงินที่ยาวเกือบถึงเอวขณะหลับตาลงเชื่องช้า เสียงสวดเบาๆ ที่ลอดออกมาจากริมฝีปากหยาบกร้านนั้นทำให้ทุกคนไม่พูดอะไรออกมา รอจนดวงตาสีเทาอ่อนเผยขึ้นอีกครั้ง
 
“นักบวชพวกนั้นไม่อาจต้านพลังของวังชอนซาได้ บัดนี้ทั่วทั้งเชินอันคงเกิดภัยพิบัติขึ้นแล้ว”
 
“ไม่อาจต้านได้หรือ ท่านหมายความเช่นไร อะไรคือต้านไม่ได้!!” เสียงทุ้มคำรามตวาดก้อง “ไหนท่านบอกว่าซอนอินถูกกักบริเวณอยู่ในข่ายอาคมไม่ใช่หรืออย่างไร!”
 
“ข่ายอาคมถูกร่ายไว้โดยผู้มีพลังเวทย์สูงก็จริง แต่ก็อย่างที่ข้าเคยเปรยไว้แต่แรก วังชอนซาผู้นี้ไม่ใช่เพียงผู้ที่รับตำแหน่งตัวแทนเทพเจ้าทงซกแค่นาม แต่เป็นผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกแล้ว ข้าเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าการจำกัดพื้นที่ให้ข้ามพ้นวันที่เจ็ดนี้ไปไม่มีทางสำเร็จได้ การจะต่อต้านพลังของสายเลือดแห่งเทพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ตัวข้าเองผู้ซึ่งเป็นทวดของคิมซอนอินยังไม่อาจฝืนลิขิตได้...”
 
ลีซางถลกชายแขนเสื้อข้างซ้ายของตนขึ้น เมื่อทุกสายตาได้เห็นความน่ากลัวบนท่อนแขนของชายชราบางคนก็ถึงกับอุทานออกมาเบาๆ
 
บริเวณท่อนแขนก่อนถึงข้อศอกหนึ่งคืบ ผิวเนื้อที่ควรจะเป็นปกตินั้น กลับกลายเป็นสีดำสนิท ซ้ำร่องรอยของแผลยังดูคล้ายฝ่ามือที่กุมแขนของลีซางไว้
 
ราวกับเป็นมือของปีศาจก็ไม่ปาน
 
“สิบกว่าปีก่อน คำทำนายบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ทำให้ข้ามั่นใจว่าองค์ชายคิมซอนอินคือผู้ที่ถูกสวรรค์เลือก ข้าจึงพาองค์ชายมาที่สระน้ำภายในถ้ำของเผ่าชินซองเพื่อทำพิธีเปิดตาสวรรค์ ตอนนั้นเองที่นักบวชทุกคนในที่นั้นได้เห็นกับตาว่าองค์ชายซอนอินเป็นตัวแทนของเทพทั้งสองภพ นักบวชกว่าครึ่งลงความเห็นให้สังหารองค์ชายซอนอินเสียตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เทพด้านมืดได้ฟื้นชีพขึ้นในร่างของเจ้าตัว แม้ว่าความเป็นไปได้ที่เทพด้านสว่างจะเป็นฝ่ายฟื้นคืนชีพจะมีเท่ากันก็ตามที แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วจึงจำเป็นต้องสังหาร ...แต่ก็อย่างที่พวกเจ้าเห็น แผลบนแขนของข้า มาจากมือของเด็กวัยสี่ขวบเศษที่พยายามปกป้องตัวเองอย่างสุดความสามารถ และหากจะให้ข้าบอกตามตรง เด็กที่อยู่ต่อหน้าข้าในตอนนั้น ...ไม่ใช่คิมซอนอิน”
 
“ไม่ใช่คิมซอนอิน?” ฮีอูทวนคำออกมาอย่างลืมตัว ผู้เฒ่าลีซางจึงหันไปมองเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้ารับ
 
“เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ที่ข้าได้เห็นร่างเร้นลับอีกร่างหนึ่งภายในตัวขององค์ชายซอนอิน”
 
นั่นหมายความว่า ตั้งแต่แรกเริ่มถือกำเนิด ส่วนหนึ่งของคิมซอนอินยังมีจิตวิญญาณอีกหนึ่งดวงที่ซ่อนเร้นหลับใหลอยู่เช่นนั้นหรือ? คำถามนี้ประกฎชัดในสีหน้าของแม่ทัพที่เจ็ด
 
“ชองจีรยง ข้าขอบอกตามตรง ถึงแม้ว่าข้าเคยคิดทำร้ายวังชอนซาเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว ความผิดชอบชั่วดีก็ทำให้ข้าไม่อาจปลิดลมหายใจของวังชอนซาได้ จริงอยู่ว่าร่างปีศาจอาจครอบครองกายของวังชอนซาไว้ได้ แต่กับตัวของวังชอนซาเองเล่าจะเป็นเช่นไร คิมซอนอินก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากใครอื่น สำหรับข้าแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการกำจัดด้านมืดให้พ้นไปต่างหาก”
 
เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว กึมซองก็รีบเอ่ยเสริมขึ้นมาทันทีอย่างไม่เข้าใจ
 
“แต่ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่า ‘ไม่อาจต้านได้’ ขนาดตัวท่านเองยังรับมือไม่ไหว แล้วจะมีหนทางใดอีกเล่า?”
 
“แน่นอนว่าลำพังเพียงข้า หรือต่อให้นักบวชนับสิบก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เพราะถึงอย่างไรปีศาจก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว หากแต่เดิมทีคิมซอนอินนั้นเป็นเทพแห่งสวรรค์โดยกำเนิด สายโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายไม่มีทางถูกสลายได้โดยง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะขจัดเงาปีศาจให้พ้นไปจึงมีมากทีเดียว เพียงแต่ว่า วิธีการนั้นข้าเองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจะสำเร็จหรือไม่”
 
“ท่านรีบบอกมาเสียทีว่าต้องทำอย่างไร เรื่องอื่นจะเป็นเช่นไรข้าไม่สนทั้งนั้น ศึกก็หยุดชะงักเพราะเกิดวาตภัย และข้าเองก็รู้ว่าเชินอันไม่ได้คิดจะสู้กับฮานึลอย่างเต็มกำลัง ดูแค่จากกษัตริย์อุนเซไม่ได้ร่วมทัพด้วยก็เพียงพอแล้ว หึ! เห็นกองกำลังทัพของข้าเป็นเรื่องล้อเล่นถึงเพียงนี้ ข้าเองก็จะไม่เกรงใจที่จะบุกเข้าเมืองหลวงเชินอันเช่นกัน!!” น้ำเสียงของจีรยงนั้นเฉียบขาดแสดงออกถึงความมุ่งมั่นแน่วแน่ต่อสิ่งที่ตั้งใจจะทำ
 
“เจ้าจะทำอะไรวู่วามไม่ได้ ชาวบ้านไม่รู้เรื่องราว หากยกกองกำลังไปจริง ไม่เพียงจะวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ แต่เกรงว่าเรื่องของวังชอนซาจะยืดเยื้อเกินแก้ไข” ลีซางท้วงขึ้นเตือนสติชายหนุ่ม ท้ายประโยคที่เอ่ยนั้นทำให้ชายหนุ่มระงับอารมณ์ไว้ได้
 
...ศึกชิงแคว้นไม่สำคัญเท่าวังชอนซา
 
แม้จะเป็นเสียงที่ก้องบอกอยู่ในใจของตนเอง แต่ชายหนุ่มก็ยังอดทึ่งในความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมานี้ไม่ได้ แต่ไรมาปณิธานสูงสุดของเขาคือการรวมแคว้นใหญ่ทั้งตะวันออกนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อกรกับรัฐแคว้นอื่น ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าบ้านเมืองและการสู้รบ
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คิมซอนอินมีอิทธิพลต่อเขาถึงเพียงนี้...
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่... ที่หัวใจของเขาถูกคนผู้นั้นควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น
 
...ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจนัก
 
“เช่นนั้นท่านก็บอกมาว่าข้าต้องทำอย่างไรเพื่อช่วยซอนอิน เรื่องศึกข้าจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ก่อน” ถึงอย่างไรแล้วตอนนี้ก็ออกทำสงครามไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อท้องฟ้ายังแปรปรวนอยู่เช่นนี้
 
แม้ว่าภายในกระโจมและบริเวณโดยรอบของค่ายพักทหารฮานึลนี้จะอยู่ในความสงบ ทว่ารอบนอกของข่ายเขตอาคมกลับยังมีพายุโหมกระหน่ำไม่หยุด เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องทั่วน่านฟ้า
 
“เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษากับราชครูปาร์คมาก่อนแล้ว แม้ว่าจะหาผลสำเร็จที่แน่นอนไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะช่วยกำจัดเงาร้ายออกจากร่างของวังชอนซาได้...” นักบวชชราหยุดคำพูดไว้เล็กน้อย “มีประโยคหนึ่งที่บรรพบุรุษชินซองเคยกล่าวไว้ในคัมภีร์  ‘ร่างหนึ่งหากแบ่งเป็นสองจักต้องสละวิญญาณเสียก่อนจะถูกยึดครอง’ ประโยคนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยยี่สิบปีที่แล้วในครั้งที่วังชอนซาในเวลานั้นตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับองค์ชายซอนอิน”
 
“ท่านหมายความเช่นไร” เรียวคิ้วเข้มกดลึก ดวงตาคมจ้องคนตรงหน้านิ่ง
 
“แทงกระบี่เพียงครั้งเดียวให้ทะลุถึงขั้วหัวใจ นั่นคือหนทางเดียวที่ข้าคิดออก”
 
ราวกับคนทั้งกระโจมพากันหยุดหายใจพร้อมกัน ...ทำอย่างนั้นไม่เท่ากับฆ่าองค์วังชอนซาหรอกหรือ?!
 
“เหลวไหล! เพียงแค่อักษรไม่กี่ตัวใช่ว่าจะเชื่อถือได้ ข้าไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้องซอนอินเป็นแน่!!”
 
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับท่านแม่ทัพ” โทซองก้าวขาออกมาครึ่งก้าว สีหน้าขององครักษ์หนุ่มนั้นครุ่นคิดหนัก ก่อนเอ่ยออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ข้าจำได้! เมื่อตอนเด็กท่านแม่เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องของวังชอนซาที่ถูกเลือกจากสวรรค์องค์ก่อนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะแทงกระบี่เข้ากลางอกของวังชอนซา แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีดวงจิตสื่อถึงกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะการจะเรียกให้ดวงวิญญาณเดิมกลับมานั้นต้องอาศัยภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนจะสิ้นลม ...ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้นะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้ากับกึมซองคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่!!”
 
ที่แท้แล้ว ต้นสายของตระกูลยูนั้นก็มาจากวังชอนซาองค์นั้นนั่นเอง
 
เมื่อเห็นถึงความกระจ่างนี้ จีรยงจึงจำยอมต่อแผนการ ใช้เวลาในการเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไม่นาน กลุ่มนักบวชจำนวนห้าคนก็ได้นำทางข้าศึกต่างแคว้นผู้ซึ่งเป็นคนรักของวังชอนซาเดินทางไปยังหุบเชาชินซองด้วยเส้นทางลับของอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งทำให้สามารถหลบเลี่ยงสายฟ้าและแรงพายุจากภายนอกได้
 
เทือกเขาซางซาอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงเชินอันถึงสองวัน แต่เมื่อใช้เส้นทางลับนี้ก็สามารถร่นระยะเวลาได้ถึงเท่าตัว เมื่อร่างสูงได้ก้าวออกมายืนอยู่กลางแสงแดดอีกครั้งก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว
 
ลมพัดวูบหนึ่งพัดต้องกลุ่มคนทั้งหมด แม้น่านฟ้าจะมืดมัว แต่ราวกับมีเกราะที่มองไม่เห็นครอบคลุมหุบเขาชินซองไว้ไม่ให้ลมพายุร้ายกาจทำลายล้างได้
 
“พี่ใหญ่ นั่นมันอะไร?!” กึมซองที่เดินทางติดตามมาพร้อมแฝดผู้พี่นั้นตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เด็กหนุ่มก้าวออกมาจากหลังพุ่มไม้เล็กน้อยเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น
 
ตรงสุดสายตานั้น ปากถ้ำด้านหนึ่งของหุบเขาซางซาถูกปิดสนิทด้วยหินนับหมื่นก้อนจนมิด โดยที่บริเวณด้านนอกกลางลานกว้างด้านหน้านั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ถูกสาดลงบนผืนหญ้าแห้งเป็นวงกว้าง ซากนกนางแอ่นกว่าร้อยตัวกระจัดกระจายทั่วพื้น ถัดมาไม่ไกลนัก นักบวชราวห้าสิบคนกำลังคุกเข่าสวดทำพิธี
 
“พวกนั้น...ถึงกับต้องใช้ศาสตร์ต้องห้ามกันเลยหรือ!!” ลีซางเอ่ยอย่างเคืองแค้น พิธีที่นักบวชพวกนั้นกำลังทำกันอยู่นี้นั้นเป็นศาสตร์ต้องห้ามของชนเผ่า นี่คงเห็นว่าไม่สามารถหยุดยั้งพลังของวังชอนซาได้ถึงได้ทำการบวงสรวงปีศาจเพื่อกักกันให้อยู่แต่เพียงในถ้ำ
 
ผ่านมาหนึ่งวันกว่าแล้ว หากไม่ทำเช่นนี้ก็คงขังวังชอนซาไว้ไม่ได้ ชายชรารู้ดีว่าพลังอำนาจของวังชอนซาเวลานี้นั้นร้ายกาจเพียงไร แต่การปล่อยทิ้งให้อยู่ในถ้ำเพียงลำพัง ซ้ำยังถูกตรวนโซ่อยู่กลางสระน้ำภายในถ้ำอย่างนี้ก็เท่ากับทรมานร่างกายของคิมซอนอินไปด้วย แม้จะไม่ได้สติ แต่ร่างกายก็บอบช้ำเป็นอย่างมาก ผลที่ตามมาย่อมตกอยู่กับคิมซอนอินเท่านั้น
 
สิ่งที่ได้เห็นและได้รับรู้นั้นยังผลให้จีรยงแทบอดรนทนไม่ไหว อยากจะพุ่งตัวออกไปฆ่าทุกคนที่ขังคนสำคัญของเขาไว้ในถ้ำมาทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังมีสติพอที่จะไม่ทำให้เสียเรื่อง นักบวชชินซองต่อกรด้วยยาก เพราะนอกจากวรยุทธแล้วยังมีวิชาลับอีกมากมาย กำลังคนเพียงเท่านี้ไม่อาจปะทะกันได้
 
กลุ่มคนหลังพุ่มไม้ซุ่มเงียบอยู่ราวครึ่งชั่วยาม นกน้อยตัวหนึ่งก็บินลงมาเกาะบนท่อนแขนของลีซาง
 
“ได้เวลาแล้ว!” ทันคำของลีซาง กลุ่มคนในชุดดำจำนวนกว่าร้อยคนก็พุ่งตัวออกจากที่หลบซ่อนหลังพุ่มไม้มาโอบล้อมนักบวชที่พากันลุกขึ้นตั้งรับตอบโต้
 
จีรยงเห็นว่าผู้นำกลุ่มคนชุดดำนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือราชครูปาร์คยองจูนั่นเอง เขาพยักหน้าให้ฝ่ายนั้นทีหนึ่ง ก่อนที่กลุ่มของตนเองจะวิ่งไปยังปากถ้ำที่ถูกปิดด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ ปล่อยให้ราชครูปาร์คและพวกพ้องนั้นทำหน้าที่ปะทะกับนักบวชทั้งหมด
 
การทำลายหินเปิดทางเข้านั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้เฒ่าลีซางและนักบวชอีกสี่คน ฝุ่นผงฟุ้งกระจายเป็นหมอกควันขาว จีรยงเป็นคนแรกที่มุดตัวเข้าไปในถ้ำก่อน ตามด้วยผู้เฒ่าลีซาง ยูกึมซองและยูโทซอง คนที่เหลือรอดูต้นทางที่ปากถ้ำ
 
ภายในถ้ำนั้นมืดสนิท ยกเว้นแต่เพียงสระน้ำสีฟ้าใสที่ส่องประกายระยิบระยับสะท้อนผนังหินอยู่ที่สุดของปลายถ้ำ ความสวยงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นสะกดสายตาได้ไม่ยากเย็น หากแต่สิ่งที่เรียกสายตาของทุกคนได้ดีกว่าผืนน้ำศักดิ์สิทธิ์ คือร่างบอบบางร่างหนึ่งที่ถูกตรึงร่างกายเกือบจะทุกส่วนอยู่ที่กลางสระ
 
ปลายของโซ่เส้นหนานั้นถูกขึงอยู่บนเพดานถ้ำอย่างแน่นหนา เหล็กเย็นเฉียบรัดแนบผิวเนื้อเนียนละเอียดซึ่งถูกปกปิดด้วยอาภรณ์ขาวบางขาดลุ่ย ปีกสีดำขนาดใหญ่แผ่กว้างอย่างที่โซ่เส้นหนาก็ไม่อาจยึดรั้งไว้ได้ ศีรษะเล็กตกจนปลายคางชิดอก เส้นผมสีดำยาวลู่ลงแผ่สยายยุ่ง ตั้งแต่ช่วงเอวเล็กคอดลงมาจมอยู่ใต้ผืนน้ำที่เย็นยะเยือก ดูแล้วก็ราวกับเจ้าของเรือนร่างสวยสง่านี้ไม่มีพิษภัยอันใด เว้นแต่ไอสีดำเบาบางที่หมุนวนอยู่รอบร่างนั้นที่ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงภัยอันตราย
 
“ถือว่าเป็นเรื่องดี การสวดบวงสรวงปีศาจทำให้เจ้าตัวหมดสติไปชั่วขณะ ชองจีรยง ลงมือตอนนี้ล่ะ!!”
 
แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่การจะใช้กระบี่ปักอกคนแสนสำคัญคนนี้ช่างเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากนัก แต่หากมัวยื้อเวลามากกว่านี้ก็เห็นจะเสียโอกาส ดูจากสภาพโดยรอบที่ถูกเผาไหม้จนผนังหินกลายเป็นสีดำแล้วควรจะรีบลงมือเสียดีกว่า
 
ช่วงขายาวก้าวออกไปด้านหน้า กระชับกระบี่ในมือแน่น พร้อมกับที่กึมซองและโทซองกลั้นหายใจลุ้นอย่างระทึกนั้น ร่างสูงก็ได้ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตรงเข้าหาร่างบางกลางสระอย่างรวดเร็ว
 
อีกแค่เพียงคืบเดียวเท่านั้นที่ปลายกระบี่จะแตะโดนเรือนร่างของวังชอนซา จู่ๆ ร่างที่ควรจะอยู่ตรงหน้ากลับสลายหายไปเหลือเพียงอากาศที่ว่างเปล่า ร่างทั้งร่างของจีรยงตกลงสู่สระน้ำสีมรกตโดยฉับพลัน
 
ยังไม่ทันจะได้เรียบเรียงความคิด เสียงกระแทกรุนแรงก็ดังขึ้น
 
“อ๊าคคคคคคคคค!!” เสียงร้องโหยหวนของลีซางดังก้องสะท้อนภายในถ้ำ ร่างของชายแก่ชราถูกอะไรบางอย่างซัดกระเด็นไปกระแทกกับผนังหินเต็มแรง
 
“ท่านผู้เฒ่าลีซาง!!” สองแฝดรีบวิ่งไปหมายจะช่วยพยุงร่างที่ทรุดฮวบ แต่เพียงแค่ขยับเท้า แรงมหาศาลวูบหนึ่งก็พัดเด็กทั้งสองไปอีกทาง เสียงกระแทกดังไม่แพ้ครั้งแรก ดีที่มือของโทซองรองศีรษะของกึมซองคนน้องไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นแทนที่หลังมือจะแตก จะต้องเป็นหลังศีรษะของกึมซองต่างหากที่แตก
 
 จีรยงรีบพาตัวเองขึ้นมาจากสระน้ำ มองไปยังคนทั้งสามที่ไม่อาจขยับตัวหรือพูดอะไรได้ ทั้งที่ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมาพันธนาการไว้
 
“ใจร้ายเสียจริง คิดจะใช้กระบี่ในมือนั่นทำร้ายวังชอนซาได้ลงคอเชียวหรือ ชองจีรยง?” น้ำเสียงหวานชวนฟังไม่ต่างจากคนที่เป็นห่วงสุดหัวใจดังขึ้นจากมุมมืดด้านหนึ่ง ร่างสูงหมุนตัวกลับไปมองทันที แล้วก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
 
ซอนอินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
 
“ซอนอิน!!” ความรู้สึกแรกคืออุ่นใจอย่างที่สุดที่เห็นว่าร่างบางนั้นปลอดภัยดีไม่มีบุบสลาย ผิวนวลเนียนภายใต้เสื้อผ้าสีขาวบางนั้นไม่มีร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย สีหน้าก็ผ่องใสสวยงามไม่เปลี่ยนแปลง ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาสีดำสุกสกาว...
 
ไม่ใช่...
 
จีรยงที่กำลังจะเดินเข้าไปประชิดตัวร่างบางหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน สายเนตรรัตติกาลจ้องลึกลงไปในแววตาของซอนอินอย่างไม่เข้าใจ
 
แววตาของซอนอินที่เขารู้จักไม่ใช่แบบนี้...
 
คนคนนี้ ไม่ใช่คิมซอนอิน!!!
 
รู้ตัวก็ช้าไปแล้ว ร่างทั้งร่างเหมือนถูกโซ่ที่มองไม่เห็นตรึงไว้จนขยับไม่ได้ มือเรียวเล็กได้รูปไม่ผิดแผกจากคิมซอนอินที่ร่างสูงคุ้นเคยนั้นนาบลงที่ข้างแก้มของชายหนุ่ม ริมฝีปากสีสดขยับเข้าใกล้ใบหู ก่อนเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงแฝงความพึงพอใจอย่างไม่ปิดบัง
 
“ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสเจ้าเสียที ชองจีรยง” ร่างบางหยอกเย้าด้วยการใช้ปลายลิ้นแตะลงที่ใบหูเบาๆ
 
“เจ้าเป็นใคร!!”
 
“อย่าขึ้นเสียงใส่ข้าสิ” เรียวนิ้วขาวแตะลงบนริมฝีปากหนา รอยยิ้มเล็กที่ระบายกว้างยิ่งยั่วยุอารมณ์โกรธให้ร่างสูงมากขึ้นอีกเท่าตัว “ซอนอินอยู่ที่ไหน! เจ้าทำอะไรกับซอนอิน!!!”
 
“ซอนอินก็อยู่ตรงหน้าเจ้านี่อย่างไรเล่า”
 
“ไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่ซอนอิน!!”
 
“ตรงไหนกันที่บอกว่าข้าไม่ใช่ซอนอิน? ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ”
 
จีรยงจ้องสายตาตอบร่างบาง นอกจากแววตาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่บอกว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คิมซอนอิน
 
“เจ้าเอาซอนอินไปไว้ที่ไหน บอกข้ามา! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้า........”
 
“เจ้าจะทำไม? ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้อีกหรือ เอาเถอะๆ ข้าเองก็ยังไม่ชิน แต่อีกสักพักก็คงเข้ากันได้ดี” คนตัวเล็กกว่าโบกมือไปมาในอากาศ ก่อนจะคลายจุดให้ชายหนุ่มได้ขยับเป็นปกติ
 
แน่นอนว่าจีรยงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปง่ายๆ เขารวบต้นคอเล็กไว้ทันที มือที่ถือกระบี่เตรียมง้างขึ้นจ่อลำคอขาว
 
“คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง ว่าซอนอินอยู่ที่ไหน!!!”
 
ร่างบางไม่ได้ขืนแรง ไม่ขยับถอย ซ้ำยังระบายยิ้มท้าสายตาคม
 
“ชองจีรยง สิ่งแรกที่เจ้าควรเรียนรู้ในตัวข้า คือข้าไม่ชอบถูกบังคับ หากข้าไม่อยากตอบ ก็อย่าได้คาดคั้นซักถาม”
 
“เจ้าเป็นใครถึงมาต่อรองกับข้า? คิดว่าข้าจะสนงั้นหรือ!!”
 
“สนหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า รู้ไว้ก็แล้วกัน ว่าคิมซอนอินจะเป็นหรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับข้า”
 
ปลายกระบี่ที่จ่อชิดติดลำคอเพรียวระหงสั่นกึกเมื่อได้ฟัง
 
“อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะเก่งกาจสักเพียงใด...” ร่างบางที่สมอ้างเป็นซอนอินใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ปลายกระบี่ “...ก็ไม่มีทางเอาชนะพลังของข้าได้!!”
 
เคร้ง!!!
 
เร็วกว่าชั่วพริบตา รุนแรงเกินกว่าจะตั้งรับได้ทัน กระบี่เงินคู่ใจกลิ้งขลุกลงกับพื้นภายในเสี้ยววินาที
 
จีรยงจ้องตอบดวงหน้างดงามด้วยสายตาที่ราวกับจะเผาคนตรงหน้าให้มอดไหม้
 
...ปีศาจตนนี้ ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะได้เลย!
 
สายตาที่จ้องมองมานั้นแฝงความหมายไว้ชัดเจน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่คนร่างบางจะทำความเข้าใจ
 
ฝ่ามือนุ่มที่จีรยงมักกอบกุมเล่นด้วยความเพลิดเพลินยกขึ้นลูบข้างแก้มของเขาราวกับจะหยอกล้อ
 
“สัมผัสด้วยตัวเองดีกว่าจริงๆ เจ้ารู้ไหม ทุกครั้งที่ข้ามองผ่านสายตาของคิมซอนอินไปยังเจ้า ข้ารู้สึกอิจฉามากเพียงไร หึ...เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว แต่คนที่ปลุกให้ข้าตื่นขึ้นมาในร่างนี้ ก็คือเจ้า ชองจีรยง”
 
“ข้า....”
 
“หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ทำให้ข้าได้เป็นเจ้าของร่างนี้แทนคิมซอนอินคนของเจ้า” มือเล็กวนไล้ผิวแก้มสากอย่างถือสิทธิ์ “จำได้หรือไม่ ครั้งแรกที่เจ้าขืนใจคิมซอนอิน เจ้ารุนแรงกับเขามากเพียงไร ภายในใจที่แสนเปราะบางจนน่าสมเพชนั้นเกิดช่องว่างที่แสนเจ็บร้าว ความอ่อนแอที่ข้าแสนรังเกียจ จิตใจที่หวั่นไหวจนน่ารำคาญ เมื่อทุกอย่างถูกสั่นคลอน การมีตัวตนของข้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุด ข้าก็ได้ร่างนี้มาเป็นของตัวเอง ...คิมซอนอินที่เสียความบริสุทธิ์ก่อนถึงวันตัดสินชะตา ทำให้ข้าครอบครองร่างกายนี้ได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะเจ้า”
 
ริมฝีปากเล็กขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย จีรยงก้าวถอยอย่างไม่ลังเล ทว่าสายตาของปีศาจตนนี้ก็ฉายแววบ่งบอกว่าอย่าได้ขัดขืน ริมฝีปากของทั้งคู่จึงประกบเข้าหากันในที่สุด
 
และเพราะมันเป็นริมฝีปากของซอนอินที่แสนคุ้นเคย ชายหนุ่มจึงเผลอไผลล้วงล้ำลึกซึ้งตามการนำแสนยวนใจจากอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
 
จวบจนกระทั้งผละออกจากกัน และประโยคต่อมาของคนตรงหน้านั้นเองที่ทำให้มังกรหนุ่มได้เห็นความเป็นจริงที่ยากจะรับมือปรากฏอยู่ตรงหน้า
 
 
 
“ชีวิตของคิมซอนอินขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของข้า อย่าทำให้ข้าหมดสนุกเสียก่อนล่ะ ชองจีรยง”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนนี้ อ่านแล้ว ต้องกำพระแน่นๆๆๆไปด้วย

ออฟไลน์ MmBb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หายไปหลายวันจังเลยวันนี้จะมาไหมคะ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 25
 

 
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด! ขอร้องล่ะ ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!!!”
 
“องค์วังชอนซาโปรดอภัยด้วย พวกเราผิดไปแล้ว ทรงไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิด!!!”
 
เสียงวอนขอชีวิตกว่าร้อยคนไม่อาจทำให้ร่างบางที่ยืนค้ำอยู่เหนือทุกคนภายในท้องพระโรงแห่งนี้ใจอ่อนลงได้เลย ถัดจากปลิดชีพนักบวชชินซองที่บังอาจกักขังเจ้าตัวไว้จนหมดสิ้นแล้ว สิ่งต่อมาที่องค์วังชอนซาแสนงามได้กระทำต่อ คือการจับเหล่าบรรดาขุนนางและข้าหลวงเชินอันมาในที่แห่งนี้
 
ไม่เว้นแม้แต่องค์กษัตริย์คิมอุนเซ...
 
รอยยิ้มสวยราวบุปผาแรกแย้มระบายอย่างงดงามอยู่บนใบหน้าสะคราญตา ดวงตากลมโตสุกใสกวาดมองคนที่เอ่ยร้องขอชีวิตไล่ไปทีละคน กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้เป็นบิดาของคิมซอนอิน ซึ่งยังไม่เอ่ยวาจาใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
 
ร่างบอบบางก้าวเดินไปใกล้กษัตริย์วัยกลางคน ใช้ปลายกระบี่แตะเชยใบหน้านั้นให้เงยขึ้น
 
“ข้าจะถามเจ้าเพียงครั้งเดียว ราชินีซองอึนอยู่ที่ไหน!”
 
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาและน้ำเสียงจะเหมือนกับผู้เป็นบุตรชายราวต้องกระจกเงา แต่คิมอุนเซก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนตรงหน้านี้หาใช่โอรสของพระองค์ไม่ สายเนตรคมเข้มจ้องตอบปีศาจจำแลงอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนเอ่ยวาจาตอบเรียบเรื่อย ทว่าเด็ดเดี่ยวสมคำร่ำลือ
 
“ข้าจะตอบเจ้าเพียงครั้งเดียวเช่นกัน ว่าเจ้าจะไม่มีวันได้รู้คำตอบจากข้า”
 
ปลายกระบี่เงินบางเบาเลื่อนลงที่ลำคอของอุนเซโดยฉับพลัน เสียงกลั้นหายใจของเหล่าข้าหลวงแทบจะเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง
 
“หึ! เจ้าคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะช่วยชีวิตคิมซอนอินได้งั้นหรือ? อย่าดูถูกกันให้มากนักนะ!! เจ้าไม่ตอบข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เจ้าหวังมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!!!”
 
เปลือกตาของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเชินอันได้ปิดลงแนบสนิทเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว ก่อนที่ปลายกระบี่ในมือของบุตรชายนั้นจะกระทำการสังหารพระบิดาอย่างรวดเร็ว
 
เลือดสีแดงฉานพุ่งกระจายไปทั่ว เปรอะเปื้อนทั้งคนรอบข้างและมือที่กำกระบี่ ภาพของศีรษะที่ยังคงสวมมงกุฎกษัตริย์ตกหล่นอยู่แทบเท้านั้นเรียกสายตาของคนทั้งท้องพระโรง ยกเว้นก็แต่เพียงคิมซอนอินที่ยืนอยู่ตรงนั้น
 
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!! ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!!!!”
 
ความตกตื่นที่ได้เห็นผู้เป็นกษัตริย์ของตนเองถูกตัดศีรษะนั้นอย่างง่ายดาย ยังผลให้เหล่าขุนนางรีบก้มหัววอนขอชีวิตกับองค์วังชอนซาแทบไม่เป็นคำ
 
“ผักปลาอย่างพวกเจ้า กล้าดียังไงมาร้องขอชีวิตกับข้ากัน!”
 
ลมแรงวูบหนึ่งหมุนวนรอบกลุ่มคนนับร้อยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่หมอกควันสีดำจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าครอบคลุมเหล่าขุนนางจนมิด ไม่นานนักเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น แต่เพียงแค่มือขาวบางของวังชอนซาได้โบกในอากาศสองครั้ง เสียงโหยหวนก็เงียบลง เมื่อหมอกสลายตัว ก็เหลือเพียงซากไร้ชีวิตของคนนับร้อยเท่านั้น
 
ดวงหน้างดงามหันมองร่างของอุนเซอย่างเคืองแค้นที่ตนไม่ได้คำตอบจากสิ่งที่เอ่ยถาม ข้อมือเล็กหักลงเล็กน้อยแล้วใช้กระบี่แทงกลางลำตัวไร้ลมหายใจนั้นจนล้มลงไปกับพื้น ก่อนจะดึงกระบีออกแล้วหมุนตัวเดินออกจากท้องพระโรงไป
.
.
.
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
หลังจากที่หาจังหวะหลบหนีออกมาได้ตอนที่วังชอนซาให้ความสนใจชองจีรยงนั้น ผู้เฒ่าลีซาง โทซอง และกึมซองก็ได้รีบบอกข่าวให้ราชครูปาร์คได้รับรู้ ก่อนจะพากันไปหลบซ่อนตัวได้ทันตอนที่วังชอนซานั้นออกมาตามฆ่าพวกนักบวชฝ่ายตรงข้ามจนหมดสิ้น
 
เพราะลีซางมีอาคมวิเศษที่พร่ำเรียนมาค่อนชีวิต ทำให้ข่ายอาคมที่ปกปิดอุโมงค์ซ่อนตัวสามารถพรางตาของวังชอนซาในคราบของปีศาจได้
 
สมาชิกนักบวชในกลุ่มต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยบรรยากาศตึงเครียด ผ่านไปไม่ถึงสองวันที่จิตด้านมืดตื่นขึ้น แคว้นเชินอันก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว พายุลูกแรกไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้าน แต่ยังพรากชีวิตของคนนับหมื่นแสนอย่างง่ายดาย ป่าเขาที่เคยเขียวขจีกลับกลายเป็นสีเหลืองใกล้เฉา เพลิงกัลป์บังเกิดขึ้นนับร้อยที่ เกรงว่าไม่พ้นเจ็ดวัน แคว้นเชินอันคงเหลือแต่เศษผงธุลีเป็นแน่!
 
ถัดจากนักบวชมาที่หน้าถ้ำ ร่างสูงซึ่งอยู่ในสภาพสะบักสะบอมทั่วทั้งตัวพยายามขืนแรงออกจากมือของกึมซองที่รั้งตัวไว้เพื่อทำแผลจนสำเร็จ แล้วหันไปคาดคั้นเด็กหนุ่ม
 
“ไม่ต้องสนใจแผลของข้า บอกมาว่าค่ายพักทหารของเจ้าอยู่ที่ใด!”
 
“ใจเย็นๆ ก่อนยองจู” ลีซางจับไหล่ของเด็กหนุ่มไว้ “ที่ค่ายพักทหารของฮานึลข้าได้ลงอาคมไว้แล้ว ยังมีคนของเราคอยดูแลอยู่อีก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป”
 
“ถึงอย่างไรข้าก็จะไปดูให้เห็นกับตา!” แค่คำบอกเล่าไม่อาจเพียงพอสำหรับยองจู คิมฮีอูสำคัญกับเขามาก หากไม่ไปดูให้เห็นด้วยตนเองว่าฝ่ายนั้นปลอดภัยหรือไม่ เขาก็ไม่มีวันสงบใจได้
 
ห่างกันด้วยสภาพเช่นนั้น ไม่เพียงยองจูที่กังวลใจ แต่กับฮีอูเองก็คงว้าวุ่นไม่ต่างกัน ยิ่งตอนนี้เภทภัยจากพลังอำนาจของวังชอนซากำลังอาละวาด มีหรือที่ชายหนุ่มจะวางใจได้
 
แต่ยังไม่ทันได้ถกเถียงว่าจะไปหรือไม่ไป นกพิราบตัวใหญ่สีเทาเข้มก็กลิ้งหลุนๆ ผ่านลมพายุเข้ามาในถ้ำ กระดาษข้อความม้วนหนึ่งที่ผูกติดข้อเท้าเล็กนั้นทำให้ผู้เฒ่าลีซางรีบอุ้มนกพิราบขึ้นมา
 
แผ่นกระดาษมีขนาดไม่ใหญ่นัก บนเนื้อกระดาษมีข้อความอัดแน่น ลีซางกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ค้นพบแผนการบางอย่างจากผู้ที่ส่งมา ชายแก่เงยหน้าขึ้นจ้องสบสายตาของยองจู
 
“จากผู้ใดกัน?”
 
“องค์ราชินีคิมซองอึน...”
 
เนื้อความในกระดาษถูกลีซางบอกเล่าออกมาท่ามกลางนักบวชคนอื่นๆ ภายในถ้ำ
 
เดิมทีองค์กษัตริย์คิมอุนเซรับรู้เรื่องการเรียกร้องของนักบวชที่เชื่อเรื่องภัยร้ายของวังชอนซา ในตอนนั้นพระองค์ได้ปรึกษากับราชินีซองอึนว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของชนเผ่าชินซองหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร บุตรชายคนนี้ก็ถือเป็นคนของชินซองโดยสมบูรณ์ตั้งแต่รับหน้าที่เป็นวังชอนซาแล้ว หากคิดจะต่อต้านเกรงว่าชินซองจะเกิดความเคลือบแคลงใจในกฎข้อตกลง และก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างเชินอันและเผ่าชินซองได้ ครั้นเมื่อพระองค์ได้รับคิมซองอึนเป็นพระชายาก็นับว่าเกินกว่าที่ชินซองจะยอมรับได้ง่ายๆ ความต้องการที่จะสังหารบุตรชายของพระองค์จึงยกให้ชินซองตัดสินใจ
 
แต่เมื่อแผนการสังหารล้มเหลว และราชินีซองอึนได้ทราบข่าวก็เกิดความเสียใจอย่างสุดแสนที่นางคิดจะปล่อยให้โอรสของนางตายไปทั้งๆ อย่างนั้นโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว และนางก็ได้คิดไปว่าหากชองจีรยงรับซอนอินไว้ด้วยความต้องการจากใจจริง นางก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่คิดหาความเจ็บปวดมาสู่ซอนอินอีก จนเมื่อนักบวชชินซองได้จับคนของชองจีรยงมาใช้แลกเปลี่ยนตัวของวังชอนซานั่นเอง ราชินีซองอึนถึงทนไม่ไหวที่จะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อัปยศซ้ำสอง ทว่าการเจรจาให้กักขังซอนอินไว้ในถ้ำแทนการสังหารนั้นไม่อาจเป็นผล ...กว่าจะรู้ว่าบุตรชายคนโตของนางไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์สามัญที่มีร่างทรงของทวยเทพแฝงกายรอวันที่จะถูกตัดสินว่าจะเป็นแสงสว่างหรือความมืดมิด แต่กลับกลายเป็นว่าตัวของซอนอินเองคือเทพแห่งสวรรค์ และจิตอีกหนึ่งดวงคือเทพแห่งปีศาจ พลังอำนาจมากล้นไม่สำแดงผลเข้าสักวันคงเป็นไปไม่ได้
 
‘หนึ่งคือสวรรค์ อีกหนึ่งคือปีศาจ’ ...ชะตาลิขิตที่ไม่อาจหลีกพ้น
 
ใจความที่ราชินีซองอึนกล่าวเริ่มต้นด้วยประโยคนี้ ก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญทันที หลายวันก่อนกษัตริย์อุนเซได้ตัดสินใจพาพระนางและบุตรชายคนเล็กไปหลบซ่อนเพื่อทำพิธีบางอย่าง ที่แม้แต่ผู้เฒ่าลีซางเองก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ การทำพิธีนี้ต้องใช้เลือดของผู้ให้กำเนิดซอนอินเท่านั้นจึงจะสำเร็จ เข็มเงินเล่มเล็กที่แนบมาในซองกระดาษมีอยู่หนึ่งเล่ม เข็มนี้ถูกลงอาคมมาอย่างดีเพื่อปลดปล่อยจิตด้านมืดออกจากร่างของซอนอิน และเพื่อให้การนี้เป็นผลก็จำต้องใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจตามหลังจากนั้นด้วย ดังเช่นที่บรรพบุรุษเคยกล่าวไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
 
สิ่งที่พระนางต้องการให้ลีซางดำเนินตามแผน คือหาทางเข้าประชิดวังชอนซา และบอกให้ชองจีรยงได้จัดการปลิดชีพวังชอนซาเสียเมื่อได้ฝังเข็มนี้ลงไปแล้ว
 
แม้ว่าลีซางไม่สามารถทำพิธีกรรมนี้ได้ด้วยตนเองเพราะบารมีไม่ถึง แต่ชายชราก็รู้ดีว่าขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นอย่างไร ผู้ที่มอบเลือดให้กับการทำส่วนผสมของเข็มเล่มนี้จะต้องใช้เลือดกว่าครึ่งในร่างกาย หากไม่มีความสามารถจริง คนที่มอบเลือดอาจจะตายได้ในทันที แต่จากจดหมายที่ส่งมานี้บ่งบอกว่าราชินีซองอึนกำลังพักฟื้นอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผู้ที่ทำพิธีนี้ให้องค์ราชินีซองอึนก็คือนักพรตกูเจ ผู้ที่ไม่ฝักใฝ่สิ่งใด บำเพ็ญเพียรอยู่บนยอดเขาสูงตามลำพัง ...ผู้ที่เป็นบิดาของลีซางนั่นเอง
 
 “กษัตริย์คิมอุนเซไม่ได้ทรงออกรบก็เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือ!” ยูโทซองเอ่ยขึ้นเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว แล้วนักบวชคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นต่อ
 
“พระองค์ย้อนกลับไปที่วังหลังจากพาองค์ราชินีซองอึนไปหลบซ่อนแล้ว เช่นนั้น...ตอนนี้พระองค์อาจจะ......” ถ้อยคำต่อจากนั้นเงียบหายไป หลายคนไม่อาจหายใจได้เป็นปกติเมื่อคิดว่าผู้นำแห่งเชินอันอาจจากไปแล้ว
 
แม้แต่กึมซองเองถึงเป็นศัตรูแคว้นก็ยังอดใจหายไม่ได้ เด็กหนุ่มขยับตัวเข้ายืนชิดแฝดผู้พี่ มือหนึ่งเกาะยึดแขนพี่ชายไว้แน่น สำหรับเด็กหนุ่มแล้วความตายไม่ได้น่ากลัวหากเผชิญมันอย่างปกติ ออกรบฆ่าฟันไม่เคยหวั่น แต่กับเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ใจของกึมซองก็อดกลัวไม่ได้
 
ลีซางแกะปลายของแผ่นกระดาษออกก็พบเข็มเงินเล่มหนึ่ง
 
“องค์ราชินีซองอึนต้องการดำเนินแผนภายในสองชั่วยาม ข้าคิดว่านี่ก็ผ่านมาชั่วยามกว่าแล้วน่าจะรีบลงมือก่อนจะคลาดกับเวลาที่เหมาะสม” ใบหน้าชราภาพหันมองเหล่านักบวชที่เตรียมตัวลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
 
“ชเวอันยัง ท่านอยู่รอกับคนอื่นๆ ที่นี่ การลักลอบเข้าวังยิ่งจำนวนคนน้อยก็ยิ่งสะดวกรวดเร็ว ข้าจะไปกับนันอีแค่สองคนเท่านั้น...”
 
“ไม่ได้! ข้าจะไปกับท่านเอง” ยองจูสวนขึ้นทันที
 
“สภาพเจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้อย่าฝืนนักเลย ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงวังชอนซายิ่งกว่าใคร แต่...”
 
“ท่านอย่าห้ามข้าให้เสียเวลา ท่านก็รู้ว่าข้าห่วงวังชอนซายิ่งกว่าใคร แล้วท่านคิดว่าข้าจะไม่แอบตามพวกท่านไปทีหลังหรืออย่างไร” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดงฉานกล่าวเสียงเข้ม เขารู้ดีว่านันอีเป็นนักบวชที่เก่งกาจ คนคนนี้เป็นคนช่วยเขาออกจากคุกในถ้ำ แต่การจะให้รอข่าวอยู่ที่นี่เขาทำไม่ได้
 
ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!!
 
ความมุ่งมั่นของยองจูทำให้ลีซางยอมแพ้แต่โดยดี สรุปคือไปกันทั้งหมดสามคน ลีซาง นันอี และยองจู…
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
วังหลวงเชินอันโอ่อ่าใหญ่โต สถาปัตยกรรมเน้นไปทางศิลปะการวาด ผนังไม้เกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยภาพวาดเรื่องราวของเทพสวรรค์เสียส่วนใหญ่ แสดงออกถึงความศรัทธาเคารพนับถือเทพเจ้าทงซกที่มีมาแต่ดั้งเดิม การประดับประดาภายในห้องหับใช้ผ้าม่านผืนบางหลากสีคล้ายสายรุ้ง แตกต่างจากฮานึลที่เน้นเพียงสีแดงและสีขาว การตกแต่งก็เรียบง่ายกว่าเชินอัน หากจะเปรียบเทียบแล้วก็พูดได้ว่าเชินอันเป็นแคว้นเพ้อฝันกาพย์กลอนและศิลปะจิตรกรรม ส่วนฮานึลเป็นแคว้นที่มองแต่ความเป็นจริง ให้ความสนใจกับการเป็นอยู่มากกว่าความสวยงาม
 
ภายในห้องบรรทมอันสูงศักดิ์ขององค์กษัตริย์เชินอันนั้นงดงามไม่แพ้ยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้อยู่อาศัย หากแต่ในเวลานี้ผู้ที่กำลังยึดครองห้องบรรทมกลับเป็นบุตรชาย วังชอนซาองค์ปัจจุบัน
 
ร่างสูงของจีรยงถูกจับมัดข้อมือนอนอยู่บนแท่นบรรทมกลางห้อง สายตาคมกวาดมองรอบตัวอย่างหาหนทางหลบหนี แต่ก็พบแต่ทางตันทั้งสิ้น ปีศาจจำแลงตนนั้นใช้พลังสะกดใจให้ทหารวังคุมแน่นหนาทุกประตูทุกบานหน้าต่าง ซ้ำเชือกที่มัดเขาขึงกับเตียงอยู่นี้ก็แน่นหนาราวกับเป็นเหล็กเส้นก็ไม่ปาน
 
จีรยงถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวในห้องนี้มาร่วมสองชั่วยามแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ปีศาจตนนั้นทำสิ่งใดอยู่ แม้จิตใจจะเป็นปีศาจ แต่ร่างกายนั้นเป็นของซอนอิน ไม่ว่าทางใดจีรยงก็เป็นห่วงทุกการกระทำของวังชอนซาในเวลานี้
 
ความกระวนกระวายใจของชายหนุ่มดำเนินต่อไปไม่นานนัก บานประตูก็เปิดผ่างออก ร่างบอบบางของวังชอนซาเดินเข้ามา เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด กระบี่เงินในมือที่เคยเป็นของจีรยงก็มีคราบเลือดมากมายไม่ต่างกัน
 
“เจ้าไปทำอะไรมา!!” ทันทีที่เห็นเลือดจำนวนมากจีรยงก็แทบควบคุมสติไม่อยู่
 
แก้วตากลมโตจ้องสบคนถาม เขาโยนกระบี่ในมือลงบนพื้นหน้าแท่นบรรทม ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งลงข้างกายร่างสูง ใช้ปลายนิ้วลากไล้ใบหน้าของจีรยงเบาๆ
 
พลันสายตาของจีรยงที่มองร่างบางอยู่นั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่างไหววูบอยู่ที่หลังบานประตู เขารีบชักสายตากลับมาจ้องปีศาจจำแลงอีกครั้งด้วยความว่องไว
 
“ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าอยากให้เจ้าช่วย”
 
“ช่วย...”
 
“อย่าทำเป็นอ่อนโลกนักเลยชองจีรยง เจ้ารู้ดีว่าข้าหมายถึงอะไร” ปลายนิ้วเล็กลากลงที่กระดุมเม็ดแรกของคนที่นอนหมดทางหนีอย่างเชื่องช้า จากเม็ดที่หนึ่งลงสู่เม็ดที่สองและเม็ดถัดไป ชุดสีดำถูกปลดออกจนหมดแถว กล้ามเนื้อท้องเป็นมัดกล้ามเรียกสายตาเป็นประกายของร่างบางได้ดีนัก
 
มือนุ่มสัมผัสลงบนร่างแกร่งของจีรยงด้วยสีหน้าไร้ความขัดเขิน
 
จีรยงมองสีหน้านั้นพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาด หากเป็นซอนอินคนของเขา ไม่มีทางที่จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้แน่ ดวงหน้าที่เห็นอยู่นี้จะต้องแดงระเรื่อขึ้นสีจัด ริมฝีปากบางที่เห็นอยู่ตอนนี้จะต้องเม้มแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความสะกดกลั้นของเจ้าตัว แววตาคู่สวยที่ฉายประกายจ้องมองเขาจะต้องเต็มไปด้วยความใสซื่อ ...และความรู้สึกที่มีต่อเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ
 
คิมซอนอิน ข้าอยากได้เจ้ากลับมาเหลือเกิน...
 
 
ความรู้สึกที่สื่อออกมาทางสายตาของจีรยงอย่างไม่ปิดบังสร้างความรำคาญใจให้กับคนร่างบางยิ่งนัก ริมฝีปากบางสวยยกยิ้ม ลากไล้ปลายนิ้ววนเวียนบนแผงอกหนา
 
“เจ้าเองก็พึงพอใจในร่างกายนี้ ไยต้องคิดให้มากความ จะเป็นข้าก็ดี เป็นคิมซอนอินก็ช่าง ถึงอย่างไรเจ้าก็ได้เสพสุขอยู่ดีนั่นแหละ”
 
จีรยงจ้องมองรอยยิ้มยั่วเย้า ก่อนไล่สายตาไปตามมือขาวที่เริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากกาย กระทั่งผิวสีขาวกระจ่างตาปรากฏให้เห็น ไม่มีตรงไหนบ่งบอกว่าไม่ใช่ร่างกายของซอนอินเลยสักนิดเดียว เรือนร่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นร่างกายที่เขารู้จักดีที่สุด
 
สัมผัสตรงไหนเจ้าตัวถึงจะรู้สึกดี จับตรงไหนเจ้าตัวถึงจะเกิดอารมณ์ ...ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
 
“ว่าอย่างไรเล่าชองจีรยง จะกอดข้าได้หรือยัง?” เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า วังชอนซาแสนงามก็ได้ขยับตัวเบียดสะโพกเข้าหาร่างกายของจีรยงด้วยท่วงท่าเชิญชวน มือเล็กลูบคลำกล้ามเนื้อหนาแกร่งอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์อีกฝ่าย สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มเคลื่อนลงสู่ผ้าคาดเอวของร่างสูง ก่อนที่มือข้างนั้นจะลับหายเข้ากอบกุมสัดส่วนที่ตื่นตัวของคนด้านล่าง
 
“ความปรารถนาของข้ากำลังรอคอยให้เจ้าช่วยปลดปล่อยอยู่นะชองจีรยง”
 
“อยากจะทำอะไร อึก... ก็เชิญ....ข้าไม่มีทางร่วมมือกับเจ้า” จีรยงกัดฟันแน่นพยายามอดทนต่อความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ซอนอินคนนี้ชำนาญเรื่องบนเตียงจนน่าเหลือเชื่อ พลิกพลิ้วปลายนิ้วไม่เท่าไหร่ก็สร้างความเกษมศานต์ให้กับเขาจนแทบทนไม่ไหว
 
“ทนได้ก็ลองดู!” เสียงหวานตวาดก้องขัดใจ ก่อนจะก้มลงบังคับจูบอีกฝ่ายอย่างกระหายอยาก ลิ้นเล็กพลิกพลิ้วทำอย่างที่ใจต้องการ เพราะรู้ดีว่าร่างสูงไม่กล้าขัดขืนมากนักด้วยกลัวจะกัดโดนลิ้นของซอนอิน
 
จูบดูดดื่มแทบลืมหายใจดำเนินไปพร้อมกับมือเล็กที่ขยับขึ้นลงจนส่วนนั้นเริ่มชื้นแฉะ ทว่าคนที่มีความอดทนสูงอย่างจีรยงก็สะกดกลั้นไม่ยอมหลั่งออกมาจนแล้วจนรอด
 
กลับกลายเป็นว่าในเวลานี้คนที่ต้องการจนทนไม่ไหวคือร่างบางเอง มือเล็กที่เฉอะแฉะไปด้วยคราบขาวข้นเพียงเล็กน้อยละจากสัดส่วนของอีกฝ่ายแล้วหันมาสนใจกับความต้องการของตนเองแทน
 
จีรยงหอบหายใจหนัก และแทบสำลักอากาศเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนตัวของเขากำลังช่วยตัวเองด้วยสภาพเร่าร้อนมากแค่ไหน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิริยาของพวกนางโลมที่ร่านจนสุดจะทนได้ด้วยซ้ำไป
 
ริมฝีปากสีสดหอบหายใจหนักหน่วง มือเล็กขยับขึ้นลงเร็วขึ้นอย่างทรมาน ไม่นานนักคนร่างบางก็ไปถึงจุดสูงสุด สายน้ำขาวเหนียวข้นพุ่งลงสู่หน้าท้องแกร่ง เกือบจะทำให้จีรยงปลดปล่อยตามไปอยู่รอมร่อ
 
คิดว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ แต่กลับไม่ใช่ ปีศาจแสนสวยเกิดความต้องการมากยิ่งขึ้น จนแม้แต่เจ้าตัวเองแทบระงับสติอารมณ์ไว้ไม่ไหว ปลายเล็บของซอนอินยาวขึ้นเป็นเท่าตัว นัยน์ตาสีดำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหมอก และยังไม่ทันที่จีรยงจะได้ตั้งตัว ปีกสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏ ขนนกรัตติกาลลอยละล่องหลุดร่วงยามที่ปีกคู่นั้นแผ่ออกจนสุดความกว้าง
 
รูปร่างของซอนอินทั้งเล็กและบอบบาง แต่กลับมีแรงมหาศาลที่จะกระฉากเสื้อผ้าอาภรณ์ของร่างสูงจนฉีกขาดภายในครั้งเดียว มองจากสายตาของชายหนุ่มร่างสูงแล้ว ร่างบางในเวลานี้คงถูกแรงอารมณ์บดบังความนึกคิดไปจนหมดสิ้น
 
“มีสติหน่อยสิ!!” ขณะที่ตะโกนบอกนั้น จีรยงก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกปลายเล็บแหลมคมจิกลากตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงหน้าท้อง เลือดสีแดงขึ้นเป็นริ้วตามรอย เจ็บแสบราวถูกของมีคมบาดไม่ต่างกัน
 
มือที่ถูกมัดแน่นหนาสร้างความลำบากให้กับจีรยง ขนาดจะเบี่ยงหน้าหลบยังทำไม่ได้ จำต้องตอบรับจูบรุนแรงรุกเร้าอย่างเสียไม่ได้ ปลายลิ้นยังพัวพันไม่รู้เหนือใต้ จีรยงก็รู้สึกถึงมือเล็กที่เลื่อนลงกอบกุมสัดส่วนของเขาอีกครั้ง
 
ใบหน้าเรียวคมพลิกหลบไปด้านข้าง “ไม่ได้นะ! อย่าทำอย่างนั้น!!”
 
“หุบปาก!! ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า อ่ะ...! ....อ๊าาาาาา” เสียงหวาดหวีดลั่นพร้อมกับเนินเนื้อสีอ่อนที่ค่อยๆ ปรีแยกออกจากกันอย่างฉับพลัน
 
ร่างกายของซอนอินบอบบาง จีรยงรู้ดีจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยฝีมือของเขาเอง แล้วการที่จะให้ผิวเนื้ออ่อนในส่วนนั้นรองรับของเขาอย่างรวดเร็วกะทันหันเช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่ร่างกายของซอนอินรับได้ไหว บวกกับจิตใต้สำนึกที่หวาดกลัวของซอนอินด้วยแล้ว จีรยงไม่รู้เลยจริงๆ ว่าถ้าออกมาในรูปแบบนี้แล้ว ซอนอินจะเป็นอะไรหรือไม่
 
“อึก! ฮ่ะ ฮ่ะ อื้อออ” ริมฝีปากสีสดถูกเจ้าตัวกัดจนเลือดไหล ส่วนล่างที่ถูกฝืนซ้ำๆ โดยไม่มีการเตรียมพร้อมค่อยๆ ฉีกขาดออกจากกัน แล้วเลือดสีแดงก็ไหลซึมออกมาตามร่องหลืบโคนขาขาวเนียนในที่สุด
 
“ขยับ! ขยับเดี๋ยวนี้!!” ร่างบางสั่งเสียงหอบครางปนตวาดลั่น สำหรับปีศาจตนนี้ ถึงจะมีความเจ็บเนื่องด้วยเนื้อกายได้รับบาดแผล แต่ทว่าความสุขสมและความต้องการทางร่างกายนั้นมีมากกว่าหลายเท่านัก และดูท่าว่า ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนุกมากเท่านั้น
 
แน่นอนว่าจีรยงไม่อยากให้ร่างกายของซอนอินเป็นอะไรไป ดังนั้นคราวนี้เขาจึงยอมทำตามอีกฝ่ายแต่โดยดี เขาขยับสะโพกขึ้นลงช้าๆ แต่ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจของอีกฝ่าย
 
“ขยับให้เร็วกว่านี้ ฮ๊ะ อ่า... เร็ว.... ชองจีรยง เร็วกว่านี้ ทำให้ข้ารู้สึกมากกว่านี้!! ...อ่าา อ่าาาา…!”
 
“ปลดมือข้าออกสิ อึก... แล้วข้าจะทำให้อย่างที่เจ้าต้องการ”
 
ภายในร่างกายที่อุ่นร้อนของซอนอินทำให้จีรยงเหมือนจะควบคุมสติได้ยากนัก หากปล่อยไปอย่างนี้น่ากลัวว่าเขาจะเดินตามหมากของปีศาจจำแลงไปจนเสียเรื่อง จีรยงหลับตาลงสูดหายใจลึก ต่อรองอีกฝ่ายด้วยแววตาสัตย์ซื่อ
 
“ข้าเป็นห่วงร่างกายของซอนอินถึงทำไม่ได้อย่างใจ จะขยับก็กลัวจะได้แผลมากขึ้น เพราะงั้น ปลดมือให้ข้า แล้วข้าจะตอบสนองความต้องการของเจ้า”
 
ปีศาจที่กำลังถูกความหฤหรรษ์ของเพศรสกามารมณ์ควบคุมสติไว้หยุดฟังเสียงทุ้มที่เอ่ยบอก คงต้องขอบคุณสวรรค์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เรื่องราวมาถึงตรงจุดนี้ได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้วังชอนซาหงุดหงิดอารมณ์เสียจนต้องมาปลดปล่อยอารมณ์กับร่างกายของเขาก็ล้วนต้องขอบคุณทั้งสิ้น เพราะดูเหมือนว่าเวลานี้ ปีศาจผู้มีพลังมากมายร้ายกาจกำลังตกอยู่ในห้วงราคะจนมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว
 
ทันทีที่มือถูกปลดออก จีรยงก็จับร่างบอบบางให้ขึ้นมานั่งบนตัก จับแยกขาขาวให้ออกกว้างแล้วกระแทกกระทั้นกายเข้าหาจนเสียงหวานกรีดร้องไม่เป็นคำ เล็บแหลมคมปัดป่ายทั่วแผ่นหลังกว้างสร้างความเจ็บแสบให้ร่างสูงไม่น้อย ปีกสีดำขยับพัดแรงลมจนข้าวของรอบๆ ตกแตกเกลื่อนพื้น กระทั่งจุดสูงสุดครั้งที่สองของร่างบางใกล้มาถึง ดวงหน้างดงามก็แหงนเงยเกร็งร่างหยัดขึ้นตามแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ
 
ในจังหวะที่สติของคนบนตักกำลังหลุดลอยนั้นเอง เข็มเงินที่ผู้เฒ่าลีซางหาจังหวะใช้วิชาเงามาวางไว้ให้ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็ถูกหยิบขึ้นมาปักลงที่ช่วงเอวคอดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเงาของคนสามคนที่ปรากฏขึ้นในความมืดของมุมมืดด้านหนึ่งภายในห้อง
 
กระบี่เงินถูกโยนส่งให้จีรยงรับอย่างแม่นยำ พร้อมกับที่ร่างบางรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดกับร่างกาย
 
“เจ้า!!! อ๊ากกก เจ้า!!”
 
วังชอนซาผู้เลอโฉมบิดสีหน้าเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ผิวกายที่ขาวผ่องค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยริ้วรอยสีม่วงที่แผ่กระจายออกมาจากส่วนที่ถูกเข็มทิ่มแทง ท่อนขาอ่อนแรงขยับออกห่างจากร่างสูงจนติดปลายเตียง สองแขนบอบบางจับต้องกอดร่างกายตนเองด้วยสีหน้าหวาดกลัวตื่นตระหนก
 
“พวกเจ้า!...เลือดของคิมซองอึน! ชองจีรยง เจ้าหลอกข้า!!!!”
 
สายตาสีหมอกกวาดมองกลุ่มคนที่ยืนล้อม ก่อนตวัดตามองร่างสูงที่ยังนั่งอยู่ตรงหน้า โดยที่ในมือนั้นถือกระบี่จ่อมาที่ตน
 
“หึ... เอาสิ แทงเลย ถ้าเจ้าคิดว่าแทงข้าแล้วจะได้คิมซอนอินคืนมาละก็ แทงเลย!!!”
 
เสียงหวานที่ตะโกนก้องด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัวทำให้จีรยงชะงักมือ
 
“ชองจีรยงอย่าไปฟัง รีบจัดการเร็วเข้า!” เสียงของลีซางตะโกนแทรก แม้จะหวั่นใจในคำพูดของปีศาจแสนสวย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้ลองเสี่ยงอีกแล้ว
 
“เป็นอะไร? ไม่กล้าแทงข้าหรือ?” แม้ว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรง แต่ร่างบางก็ยังตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน “ใจเสาะเสียจริงนะ เป็นถึงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับพ่ายแพ้ให้บุรุษที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างอย่างคิมซอนอิน!”
 
มือที่กำกระบี่อยู่กระตุกขึ้นมาหนึ่งครั้ง ก่อนที่นัยน์ตาคมเข้มจะฉายแววเป็นประกายวูบหนึ่ง แล้วมือที่ถือดาบก็พุ่งเข้าหาแผ่นอกบางเปลือยเปล่าเบื้องหน้าตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี
 
 
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!”
 
 
จีรยงกดแรงกระแทกปลายกระบี่ในมือให้ลึกขึ้นจนมันทะลุออกแผ่นหลังขาวนวล เลือดสีแดงสดพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลและริมฝีปากบาง ปีกสีดำค่อยๆ กลายเป็นผงธุลีจากปลายสู่โคน
 
แก้วตากลมโตสีหมอกค่อยๆ เปลี่ยนคืนเป็นสีดำสนิท
 
ในตอนที่ร่างบางนั้นเอนซบลงมาบนตัวของชายหนุ่ม น้ำตาหยดแรกในชีวิตของชองจีรยงก็ได้ไหลรื้นลงผ่านสองข้างแก้ม มือสั่นเทาของเขาโอบกอดแผ่นหลังเย็นชืดของคนสำคัญไว้อย่างทะนุถนอม
 
 
“คิมซอนอิน เจ้ามีดีทุกอย่างเพียงพอสำหรับข้า เพราะฉะนั้น ได้โปรดกลับมา...”
 
 
ความเจ็บปวดต่อจากนี้ ข้าจะรับไว้เอง
 
ความเสียใจต่อจากนี้ ให้เกิดแต่กับข้า
 
 
ได้โปรด กลับมาหาข้าอีกครั้ง กลับมารับสิ่งที่เจ้าต้องการ
 
 
...กลับมารับหัวใจของข้า
 
 
แค่เจ้าเท่านั้นที่หัวใจข้าต้องการ คิมซอนอิน...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
จบตอน



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หวังว่าซอนอินจะกลับมา

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เริ่มสงสารร่างปีศาจขึ้นมานิดๆ  :katai4: :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด