*หมายเหตุ แก้คำผิดจะลงซ้ำ ผมจ้องมองข้าวโพดสองฝักในมือที่อุตส่าห์เดินไปซื้อมาและกระสอบใส่ข้าวโพดดิบนับไม่ถ้วนฝักที่วางขวางอยู่หน้าห้อง...
...เหี้ยนี่มันอะไรวะ
พระเจ้าข้าวโพดเสกมาให้หรอ?
คือพระเจ้าครับ ถึงผมจะชอบกินข้าวโพดมากแต่กองพะเนินขนาดนี้ก็ไม่เอาโว๊ย!!
สุดท้ายก็ลากเข้าบ้านมานั่งพิจารณามัน
ตกลงแม่งมาได้ไงวะ
ตัดเรื่องพระเจ้าข้าวโพดไปก่อน แม่งเพ้อเจ้อ
แต่ถ้าเป็นคนให้...ใครล่ะ?
หรือเป็นขยะฝากทิ้ง?
หรือผสมยาพิษไว้ลอบฆ่า?
แม่งเอ๊ยยย อยากย้อนเวลาไปนั่งดูเว้ย จะได้ด่าแม่งถูกคน ข้าวโพดดิบงี้จะกินยังไงวะ
เดี๋ยวนะ ย้อนเวลาหรอ..
เออใช่ กล้องวงจรปิด!
ว่าแล้วก็ยกยิ้มให้กับสมองอันชาญฉลาดของตัวเองหนึ่งทีก่อนจะเดินไปหาพี่ยาม
"พี่ยามคร้าบบ ผมเอาข้าวโพดมาฝาก แลกกับขอดูกล้องหน้าห้องผมหน่อยดิ"..พร้อมข้าวโพดผู้เสียสละหนึ่งฝัก เป็นของถวาย...ฮืออ..
"ติดสินบนพี่หรอน้อง ฮ่า..เอาตอนกี่โมงล่ะ" พี่เขาก็แหย่ไปงั้น สุดท้ายก็เปิดให้อยู่ดี (แม้ว่าจริงๆก็เป็นสิทธิของ ลูกบ้านที่จะขอดูกล้องหน้าห้องตัวเองอยู่แล้ว)
..นั่นดิ..กี่โมงดีวะ? ตอนออกไปซื้อข้าวโพดก็ยังไม่เห็น นั่นมันซักประมาณ 5 โมง...แล้วก็กลับมาตอน 5ครึ่ง ก็ต้อง เป็นระยะเวลาระหว่างนั้น..นึกแล้วก็ลองสุ่มๆเวลาไปดู
"ขอซัก 5 โมง15 ละกันพี่"
"หือ..ไอ้หน้าห้องน้องนั่นกระสอบอะไรอ่ะ ศพหรอ?" พี่ยามดูท่าทางตื่นเต้น
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีกระสอบเจ้าปัญหานั่นอยู่แล้ว แปลว่ามาก่อนหน้านั้นอีกหรอ?
"แค่ข้าวโพดน่ะพี่ ดูหนังมากไปป่าว..ขอซัก 5 โมง 10 ดิครับ" เลื่อนเวลาขึ้นไปอีกนิด แต่นั่นก็ไร้วี่แววของกระสอบ
"แปลว่าคนร้ายมาในช่วง 5 นาทีนี้หรอ.." ท่าทางพี่ยามจะอินจัดไปแล้ว ไม่ต้องรอให้เขาบอกเจ้าตัวก็กดเลื่อนเวลาเอาเองเลย
5 โมง 13 นาที
"อะวะเฮ่ย นี่ไงคนร้าย อ้าว ไอ้หล่อนี่กลับมาแล้วหรอวะ.."
นั่นแหล่ะครับ เจอตัวแล้ว แม่งเป็นใครวะ หิ้วกระสอบใบเบ้อเร้อมาวางหน้าห้องกูแล้วก็หายไปเฉยเลย...ว่าแต่ "พี่ยามรู้จักเขาด้วยหรอครับ?"
"เออ ก็ไอ้เนี่ยแม่งมีสาวสวยมาที่ห้องทุกอาทิตย์เลยเว้ย.." คือพี่ครับ..ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวเขา
"ไม่ใช่..ผมหมายถึงเขาอยู่ห้องไหน จะได้เอากระสอบนั่นไปคืนถูก.."
พี่ยามดูเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เมาท์ต่อ "ห้อง..ชั้นบนๆนู่น อธิบายยากว่ะเดี๋ยวพาไปละกัน" อาสาแบบนี้เพราะอยากไปตามจับคนร้ายสิท่า..
เอาเถอะ แต่ก็ถือว่ามีคนช่วยถือกระสอบ ไม่งั้นคงเมื่อยแย่ พูดก็พูดเถอะ มันเอาแรงจากไหนมาหิ้วไอ้นี่ไปวางไว้หน้าห้องผมคนเดียววะ
แวะเอาข้าวโพดที่ห้องเรียบร้อยก็ต้องตกใจอีกรอบตอนพี่ยามกดชั้นเป้าหมาย นอกจากแรงควายแล้วแม่งยังรวยอีก อยู่ชั้นซะเกือบบนสุดนู่นที่เป็นห้องหลายห้องนอน ไม่เหมือนห้องสตูดิโอแบบเขา
ที่ว่าคนรวยชอบทำอะไรประหลาดนี่น่าจะจริง เอาเป็นว่ารีบคืนข้าวโพดไปแล้วจบๆ กันดีกว่า
...กิ๊งก่อง...
กดกริ่งไปไม่ถึงนาที หน้าหล่อสมกับที่่พี่ยามเรียกก็เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจซะจนหน้าหงุดหงิด
"อ้าว...มีอะไรกันหรอครับ?"
ไม่ต้องรอให้พี่ยามผู้กระตือรือร้นอธิบายที่พาลูกบ้านมาผิดชั้นอาศัย ก็ชิงตอบไปก่อนเลย "ผมเอาข้าวโพดมาคืนน่ะครับ เหมือนว่าคุณจะวางไว้ผิดที่ผิดทาง"
"อ๋อ ไม่ผิดหรอกครับ ผมแวะไปศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างที่โคราชมาพอดี เลยซื้อมาฝากคุณ"
คำตอบอีกฝ่ายเล่นเอางงไปชั่วขณะ...ไอ้นี่แม่งเอ๋อใช่ป๊ะวะ ซื้อของมาฝากคนไม่รู้จักเนี่ย ยังไม่ทันจะถามว่าเพื่ออะไร อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ทันถึงได้เสริมด้วยประโยคที่ทำเอาไปไม่ถูก
"ก็ผมเห็นคุณออกไปซื้อข้าวโพดกลับมาทุกเย็น คิดว่าน่าจะชอบก็เลยซื้อข้าวโพดมาให้ต้มเองเลยไงครับ"
"ไม่เอ-..."ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ก็ถูกแทรกด้วยประโยคปิดท้ายพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว
"หรือถ้าต้มไม่เป็น...มาห้องผมก็ได้นะ เดี๋ยวสอนให้"
เดี๋ยว...มันใช่หรอวะ ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก พี่ยามเองก็มึนๆ มองหน้าผมสลับกับไอ้หล่อที่ยังยิ้มแย้มไม่เสื่อมคลาย ก่อนจะจ้องผมเขม็งแนวว่าจะเอายังไงต่อ คือ...ข้าวโพดกระสอบหนึ่งมันน้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ แม้ผมกับพี่ยามช่วยกันถือสองคนจะสบายๆ ก็เถอะ
เอาไงดีวะ เขาซื้อมาให้คืนไปเดี๋ยวเสียน้ำใจ ผมไม่ได้งก หรืออยากกินข้าวโพดฟรีนะ! แต่แบบ ห้องผมมันก็เล็กอยู่แล้ว แค่หนังสือ อุปกรณ์การเรียน กับพวกหนังสือนิยายอีกหลายตั้งไม่มีที่ไว้ข้าวโพดแน่นอน ที่สำคัญที่สุด ผมไม่มีหม้อต้ม...
เจ็บใจ!!
“ว่าไงคุณ”
“เอาไงไอ้หนุ่ม”
กำลังคิด อย่ากดดันได้มะ เอาวะ บอกไปตรงๆ เลยแล้วกัน
“ผมขอบคุณที่อุตส่าห์(กัดฟัน)เอามาฝาก(เป็นกระสอบหาพี่)นะครับ แต่ห้องผมไม่มีที่ไว้ หม้อต้มก็ไม่มี ผมคงต้องขอคืน” ว่าพลางดันถุงไปหาชายหนุ่ม หรือไอ้หล่อควงสาวสวยของพี่ยาม
“งั้นเอางี้มั้ย ก็เอาไว้ที่ห้องผมก่อน ถ้าอยากกินก็มาทำ ห้องผมมีหม้อเดี๋ยวจะสอนวิธีทำให้ แต่ข้าวโพดย่างคงลำบากหน่อย” เขามองกระสอบข้าวโพดด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองรอผมตัดสินใจ อ่าฮะ...ในเมื่อเจ้าบ้านเขาว่างี้ งั้นผม...
“ฝากด้วยครับ เดี๋ยวผมจ่ายค่ายืมกับค่าวัตถุดิบให้” ถึงบ้านผมจะไม่รวยแต่ก็ไม่ได้จนขนาดนั้น เขามีใจซื้อมาฝาก ยังมายืมใช้ของเขาเป็นที่เก็บอีก แต่คือมันเยอะจริงๆ นะผมคงกินคนเดียวหมดไม่ทันแน่ สุดท้ายเลยตัดสินใจยกให้พี่ยามเอาไปกินส่วนหนึ่ง แล้วช่วยขนเข้าไปกับในห้องพี่เขา
ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเพิ่งเข้าห้องคนอื่นเป็นครั้งแรก บอกตามตรงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคิดสุดๆ เห็นว่ามีสาวสวยนึกว่าจะมีเสื้อในผู้หญิงพาดบนโซฟาอะไรงี้ ไม่ก็มีพวกรูปเกี่ยวกับสาวๆ ชวนให้เลือดลมเดินแปะตามผนัง เปล่าเลย ไม่มีสิ่งของพวกนั้น ห้องออกจะสะอาดเรียบร้อยด้วยซ้ำ ถ้าไม่มี...
เขาคงเห็นผมจ้องเขม็ง เลยมองตามแล้วยกมือลูบท้ายทอยแบบอายๆ
“โทษที พอดีเป็นหนุ่มโสดอยู่คนเดียวเลยปล่อยตัวไปหน่อย ไว้วันหลังมาทำข้าวโพดกินก็บอกนะ ผมจะได้เก็บห้องรอ”
กางเกงในชายที่ถอดขดเป็นเลขแปด บ็อกเซอร์อยู่อีกทิศ อย่างอื่นอย่าได้ถามถึง บอกว่าส่วนไหนของห้องไม่มีเสื้อผ้าใส่แล้วยึดพื้นที่มั่งดีกว่า คือผมนึกภาพไม่ออกเลย เขาถอดยังไงของเขาวะถึงได้มีศิลปะขนาดนี้ เหอะๆ
“ไม่เป็นไรพี่ ห้องผมก็รกพอกัน เผลอๆ จะมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ” แม้เสื้อผ้าผมจะใส่ตะกล้าก็ตาม... แล้วอะไรคือเก็บห้องรอ พูดอย่างกับสาวน้อยเก็บห้องรอแฟนหนุ่มมาหา ผมส่ายหัว
“เอาเป็นว่าผมขอบคุณที่ซื้อข้าวโพดมาฝากนะครับ”
“ไม่เป็นไรๆ คนกันเอง” ตูไปสนิทกับเอ็งตอนไหนฟะ... เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรดีๆ ออก หยิบข้าวโพดออกมาสองฝักแล้วตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือดก่อนใส่ข้าวโพดลงไป ส่วนอีกหม้อใส่น้ำกินเทเกลือหมดกระปุก
“ฉลองกันด้วยข้าวโพดแล้วกัน” พูดจบเขาก็ฮัมเพลงจัดการข้าวโพดต้ม รอไม่กี่นาทีข้าวโพดร้อนๆ ชุบน้ำเกลือถูกยื่นให้ผมทั้งฝัก เพราะเขาไม่ได้ตัดก้านมันออกเลยพอมีที่จับอยู่ ผมไม่รับมาในทันที แต่มองหากระดาษทิชชู่แล้วจัดการห่อก้านกันร้อนแถมห่อให้เขาด้วย เขามองอึ้งๆ เหมือนเพิ่งนึกออก หัวเราะฮาๆ ช่างเป็นคนที่อารมณ์ดีเหลือเกิน
เรากินข้าวโพดไปคุยกันไป ส่วนใหญ่ก็มีแต่เรื่องข้าวโพด ตั้งแต่ร้านไหนอร่อย ราคาเท่าไหร่ วิธีทำให้อร่อย สายพันธุ์ไหนทำออกมาแล้วรสชาติยังไง คือ ไม่ใช่ไม่อยากคุยเรื่องอื่นนะ ผมชอบหนังสือพอคุยเรื่องนี้เขาก็ไม่รู้เรื่อง ฝั่งเขาเองก็มีความชอบแบบผู้ชายจ๋าอย่างเรื่องรถซึ่งผมไม่เคยใส่ใจ สรุปเลยมีเพียงหัวข้อข้าวโพดที่ทำให้เราต่อบทสนทนากันต่อไปได้
พอกินเสร็จผมช่วยเขาเก็บล้างแล้วอาสาจะซื้อเกลือมาคืน รวมถึงเผื่อใช้ในอนาคต เขาเองก็ไม่ปฏิเสธ ฝากผมซื้อน้ำตาลกับเนยมาเพิ่ม เห็นว่ารอบหน้าจะทำข้าวโพดคลุกเนยให้กิน
นับจากวันนั้นความสัมพันธ์แปลกๆ โดยมีข้าวโพดเป็นสื่อกลางก็เริ่มต้นขึ้น เผลอๆ บางวันยังหอบข้าวโพดไปปิ้งกินใต้หอกับพี่ยามด้วย เกิดเป็นปาร์ตี้ข้าวโพดขนาดเล็ก
มีเรื่องน่าขำอยู่อย่าง ทั้งที่พวกเราคุยกันมาเกือบอาทิตย์ แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เขาเลยด้วยซ้ำ พี่เขาเองก็ไม่ได้ถามชื่อผมเรียกแต่คุณๆ ผมก็เรียกพี่ๆ วันนี้แหละผมจะลองถามชื่อเขาดู
ระหว่างผมรอพี่เขาทำสลัดข้าวโพดโดยมีผมเป็นลูกมือและผู้ชมกิติมาศักดิ์ ผมมองข้าวโพดต้มสีเหลืองนวลคลุกเคล้ากับผักกาดแก้ว กะกล่ำม่วง แครอทหลากสีสัน น้ำสลัดครีมที่หยิบส่งๆ มาจากในห้างตอนผมแวะซื้อก่อนกลับห้อง พอคลุกเสร็จเทใส่ถ้วยโรยด้วยขนมปังกรอบเป็นอันเสร็จ ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันแต่งให้สวย แค่มันกินได้อร่อยก็พอ มีส่วนนี้แหละที่พวกเราเหมือนกัน…
เวร มัวแต่จ้องสลัดมากไปลืมเรื่องที่จะถามสนิท
“จ้องตาไม่กระพริบ อยากกินขนาดนั้นเลยหรอ” เขายื่นถ้วยส่วนของผมมาให้ ถามแซวๆ
“พี่ผมถามไรอย่าง”
“ว่าไงครับ?” ใบหน้าหล่อเหลาเอียงคอนิดๆ ถ้าเป็นผู้หญิงทำจะน่ารักมาก แต่ถ้าผู้ชายโคตรพ่อโคตรแม่หล่อทำ มันยังดูดี รู้สึกฟ้าไม่ยุติธรรม
“ผมถามไรอย่าง ห้ามโกรธนะ”
คิดว่าเจอผมพูดด้วยสีหน้าจริงจังแบบนี้ เขาจะยืนนิ่งรอฟังผมอย่างตั้งใจ? เปล่าเลย! ส่งเสียงอืมรับในคอ ก้มไปหยิบส้อมในลิ้นชักออกมา แขนข้างหนึ่งกอดถ้วยสลัดที่ดูยังไงก็ขนาดใหญ่กว่าถ้วยผมแล้วจิ้มผักสีเขียวสดเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ มีการกลืนโชว์จนลูกกระเดือกกระดก
คุณตำรวจ...ถ้าผมใช้ส้อมแทงคนตายติดคุกกี่ปีครับ...
“ถามมาสิ ผมรอฟังอยู่”
นี่ก็อีกอย่าง เขาดูสุภาพมาก(ถ้าไม่ติดเรื่องกางเกงในที่วันนี้พาดบนทีวี) พูดเพราะกับผมเสมอแม้ผมจะอายุน้อยกว่า แถมชอบแทนตัวเองด้วยคำว่าผม ต่างจากคนทั่วไปที่แทนว่าพี่ ผมไม่ทักท้วงนะ ฟังไปนานๆ เริ่มชินกลายเป็นเอกลักษณ์อีกฝ่ายไปแล้ว
“พี่ชื่ออะไร”
“ฮะ?” ทำหน้าสงสัยไปจิ้มสลัดเข้าปากไป เฮ้ย ไวไปละ จะหมดถ้วยอยู่แล้ว นั่นผักกาดแก้วเกือบหัวหนึ่งเลยนะ ยังมีพวกเครื่องเคียงอีก ข้าวโพดเป็นฝัก แม่เจ้า
“ผมถามว่าพี่ชื่ออะไร” ในเมื่ออีกฝ่ายมีมารยาทงามขนาดนี้ ผมเองก็สนองตอบด้วยการหยิบส้อมมาโกยสลัดเข้าปากบ้าง เพราะกลัวอีกฝ่ายกินหมดแล้วจะมาแย่งผมกินเหมือนคราวก่อน
“อ่อ ข้าวโพด”
“ฮะ?” เป็นผมที่เงิบแทน นี่เขาพูดจริงหรือจงใจกวน?
“ข้าวโพด ผมชื่อข้าวโพดจริงๆ”
“จะบังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็ชื่อข้าวโพดเหมือนกัน” ที่มาที่ไปของชื่อผมธรรมดามาก เหมือนคนอื่นๆ แหละ เพราะชอบกินตั้งแต่เด็ก เลยได้ชื่อนี้มาแบบงงๆ
“พรหมลิขิตมั้ง”
“เมื่อกี้พี่พูดว่าไงนะ” พอดีมัวแต่รำลึกความหลังไม่ทันฟังอีกฝ่ายชัดๆ ว่าพูดอะไร คนตรงหน้ายิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรๆ ว้า...! แบบนี้เราชื่อซ้ำกันสิ จะเรียกแทนยังไงดี จะเอาแบบที่เขาชอบเรียกกันมั้ย ข้าวโพดใหญ่ ข้าวโพดน้อย” ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่านะ แต่ความรู้สึกในส่วนลึกผมมันบอกว่าไอ้ชื่อพิลึกด้วยนี้แลดูมีอะไรแอบแฝง ผมหรี่ตามองไม่ไว้ใจ พอเห็นอีกฝ่ายตาพราวระยับเลื่อนสายตาลงล่าง...
“ไอ้พี่ข้าวโพด ต่อยกันมั้ย”
“ไม่ครับ ฮ่าๆ” เขากอดถ้วยที่สลัดเกลี้ยงไปแล้วพลางคิด ก่อนเสนอชื่อใหม่
“ใช้ชื่อพันธุ์ข้าวโพดแทนดีมั้ย อืมม... ผมคงเป็นข้าวโพดหวาน คุณเป็นข้าวโพดข้าวเหนียว” เขาพยักหน้าขึ้นลงอย่างพึงพอใจ
“เหตุผลล่ะ” ผมอยากรู้เฉยๆ ว่าเอาอะไรมาวัดว่าตัวเองเป็นพันธุ์ไหน
“ก็...ข้าวโพดหวานมีขนาดหนา ใหญ่ ยาว ส่วนข้าวโพดข้าวเหนียวจะเล็ก ป้อมไง”
ปึด! เสียงเส้นเลือดปูดบนขมับผมเอง ผมคว้าเอาฝักข้าวโพดมาไล่ฟาดเป็นดาบเอกซ์แคลิเบอร์ อีกฝ่ายหัวเราะเสียงสดใสหยิบอีกฝักมาฟันด้วยอย่างนึกสนุก ผมจะบ้าตาย บอกทีเขาคนนี้เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กสามขวบ! (ไม่ได้ดูตัวเองที่เริ่มก่อนเล้ย)
เล่นจนเหนื่อยถึงเวลาเก็บกวาด ผมพยายามเลี่ยงๆ พวกเสื้อผ้าที่กองเกลื่อนของพี่เขา จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา
“คิดออกแล้ว ผมชื่อคอร์น คุณชื่อข้าวโพดแล้วกัน”
ผมขมวดคิ้ว “ทำไมชื่อพี่ฟังแลดูไฮโซ ต่างกับผมทั้งที่ชื่อเดียวกัน”
“ผมเสียสละไง ให้คุณชื่อนี้ไป ผมใช้ชื่ออื่นแทนเอง”
เหรอ...ทำไมผมไม่คิดงั้นเลยนะ ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นข้าวโพดผี! ว๊าย คนผีทะเล...ไปไกลละ กลับมาก่อนสติ…
“เอางั้นก็ได้” ผมขี้เกียจเถียง ยังไงก็ใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่จำความได้ ตามนั้นละกัน
การถามชื่อถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง พอรู้ชื่อกันแล้วพวกเราก็สนิทใจกันมากขึ้น...นิดนึง
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนข้าวโพดเป็นกระสอบก็ถูกพวกเราจัดการจนเหลือแค่สองฝัก ผมนั่งมองพวกมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย จะว่าไงดี มันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งแล้วที่ผมจะมาห้องพี่คอร์นเพื่อกินข้าวโพด แม้จะไม่ได้มาทุกวันแต่ไม่เคยเว้นเกินสองวันเลย
รู้สึกใจหาย...มั้ง
“เบื่อข้าวโพดแล้วเหรอ” เสียงถามจากเหนือหัว วันนี้เราจะทำข้าวโพดชุดแป้งทอดกัน
“เปล่า แค่เสียดายที่มันหมดแล้ว” จริงๆ นะ ไม่ใช่เสียดายที่จะไม่ได้เจอพี่อคอร์นอีก
“งั้นมาทำกินกัน”
ผมพยักหน้ารับเป็นลูกมือเช่นเคย คราวนี้ต่างจากทุกที ต่างคนต่างนั่งกินเงียบๆ จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แปลก...ปกติพี่คอร์นจะกินเร็วปานสูบ ครั้งนี้ละเลียอดอย่างกับมันเป็นไข่ปลาคาเวียร์
“ถามผม ผมว่าพี่เบื่อเองมากกว่ามั้ง” ผมพูดขำๆ เขาเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย แต่แววตาเปลี่ยนไป มันมีอะไรบางอย่างที่สื่อออกมา ผมบอกไม่ถูก
“ไม่เบื่อ ผมไม่มีทางเบื่อข้าวโพดแน่นอน”
หน้าร้อน...ผมคงกินของร้อน ใช่ๆ ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน
“ข้าวโพด ผมอาจจะไม่อยู่สักสองสามวันนะครับ” แม้จะแปลกใจแต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวผมเลยไม่ถาม อีกอย่างหลังจากวันนี้ก็ไม่มีเหตุที่ต้องมาห้องพี่คอร์นอีกแล้ว อย่างมากเจอกันคงทักทายตามประสาเพื่อนบ้าน
แล้วพี่คอร์นก็หายไปตามที่บอกจริงๆ ผมแอบเมี่ยงๆ มองๆ โดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ห้องตัวเองอยู่ชั้นล่างผมกลับขึ้นเลยมาชั้นบน ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ คงจะเป็นความเคยชิน…
เอ๊ะ...หน้าห้องพี่คอร์นนั่นใช่สาวสวยที่พี่ยามเคยพูดถึงรึเปล่า ตั้งแต่เชื่อมสัมพันธ์ด้วยข้าวโพดผมไม่เคยเห็นเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนลืมไปซะสนิทว่าพี่คอร์นชอบพาสาวสวยเข้าห้อง
เอาเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมกดลิฟท์ลงมาชั้นล่าง เดินกลับห้องตัวเองก่อนจะพบบางอย่างวางอยู่หน้าห้องอีกแล้ว!?
“กระสอบอะไรอีกวะ คงไม่ใช่ข้าวโพดนะ” ผมคิดขำๆ ตัดสินใจไขประตูห้อง คราวนี้ผมจะเก็บเจ้ากระสอบนี้เองแต่ลากเท่าไหร่มันก็ไม่ขยับ มันจะหนักเกินไปรึเปล่า
เฮ้ย! คงไม่ใช่ว่าใครแอบฆ่าหั่นศพคนยัดใส่กระสอบแล้วมาวางหน้าห้องผมเพื่อป้ายความผิดหรอกนะ แย่ล่ะ งานนี้ขอพี่ยามดูกล้องไม่ได้ด้วย เดี๋ยวพี่ยามจะจับผมเข้าซังเต จะกำจัดยังไงดีให้หมดจด หมกส้วม? ไม่ๆ ผมอยู่ชั้นห้า กว่าเศษชิ้นส่วนจะลงไปถึงท่อใหญ่ใต้ดินต้องผ่านห้องอื่น มันต้องไปติดคาจนคนสงสัยตรวจเช็คดูจนเจอศพ หลังจากนั้นก็จะสาวมาถึงห้องผม
เผานั่งยางดีมั้ย? จะเผายังไงวะ แถวนี้มีตึก เด่นตายห่า อย่าว่าแต่ขนไปเผาเลย ผมจะลากเข้าห้องไปคิดหาทางออกยังไม่ได้
โว้ย สองหัวดีกว่าหัวเดียว ลองโทรเรียกพี่คอร์นมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดดีกว่า เรียกให้มาหา หลอกให้จับกระสอบจนลายมือติด ทีนี้พี่คอร์นก็จะหนีไม่ได้ต้องร่วมมือกับผม แผนการดี ผมนี่ฉลาดจริงๆ มือหยิบโทรศัพท์โทรหาปลายสาย รอแป๊บเดียวก็มีสัญญาณ
ว่าแต่ใครมาเปิดเพลงลูกทุ่งแถวนี้วะ...
เป็นแฟนคนจนต้องทนหน่อยน้องงง~ พี่นี่ไม่มีเงินทอง มารองรับความลำบากกก~~
หันซ้ายหันขวาหาต้นเสียง หรี่ตามองมายังกระสอบปริศนา ผมแสยะยิ้มยกขาถีบไปที
“โอ๊ย!”
ผมกระชากเปิดถุงมีชายคนหนึ่งลุกพรวดออกมายืนเต็มความสูงจนเกิดเงาดำทาบทับ
“ไม่เห็นต้องเตะกันเลยนี่”
“พี่เล่นอะไรหา!?”
“เอาข้าวโพดมาส่ง...”
ทำไมผมต้องมือสั่น ใจสั่น หน้าร้อนด้วย มันคืออาการลงแดงอยากกินข้าวโพดสินะ เพราะผมซื้อข้าวโพดมามันไม่อร่อยเหมือนที่กินในห้องพี่คอร์นเลย ทั้งที่เป็นเจ้าประจำผมแท้ๆ
“เชฐ!! มาอยู่นี่เอง ฉันไปยืนที่หน้าห้องจนเมื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เหมือนสติกลับเข้าร่าง ผมมองสาวสวยที่ก้าวฉับๆ มาทางนี้ ด้านหลังมีพี่ยามโบกมือให้ก่อนที่ลิฟท์จะปิดอีกต่างหาก
“ชัธ มาทำไม บอกแล้วไงว่าห้ามมาที่ห้องแล้ว” ผมอึ้ง น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดแบบที่ผมไม่เคยได้ยินจากพี่คอร์น
“ไอ้เหี้ยเชฐ ใครให้เรียกพี่มึงว่าชัธวะ กูชื่อเชอรี่ ดูปากนะ เชอ-รี่!!”
“มโนสัตว์! หนีผัวมาแอบที่ห้องกูอีกแล้วสิ ห้องกูไม่ใช่หลุมหลบภัยนะ”
เสียงทั้งคู่เริ่มดังจนคนเปิดประตูมาดู ต่อให้ยังไม่รู้เรื่องแต่คงปล่อยให้ทะเลาะกันต่อไปไม่ได้ ตรงนี้มันหน้าห้องผม เดี๋ยวคนอื่นมาล้างแค้นข้อหารบกวนพอดี ผมเลยเปิดประตูลากทั้งคู่เข้าไปพร้อมกระสอบทรายบ้าๆ ด้วย
หนุ่มหล่อสาวสวยเหมือนเพิ่งได้สติหันมามองผมตาโตแบบเดียวกับเปี๊ยบ ยังยกมือปิดปากท่าเดียวกันอีกต่างหาก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย นั่นใช่พี่คอร์นของตูรึเปล่า หรือระหว่างหายตัวไปจะโดนมนุษย์ต่างดาวดูดขึ้นยานไปทดลองจนนิสัยกลับ
“ตายแล้ว ขอโทษนะคะ พอดีเชอรี่เมนส์มาเลยอารมณ์แปรปรวน”
“คุณไม่มีมดลูกครับชัธ”
“ชัธพ่อง บอกว่าเชอรี่ไงวะ” เสียงโครตเหี้ยม เข้มจนผมสะพรึง
“หยุด! เลิกทะเลาะกันแล้วบอกผมทีนี่มันเรื่องอะไร” แอบยืดอกนิดๆ ประโยคนี้ผมจำมาจากในหนัง เห็นระดับหัวหน้าพูดกับลูกน้องแล้วดูเท่ดี
ทั้งคู่มองหน้ากันตาปริบๆ ยอมนั่งลงและเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างว่าง่าย สรุปคือสองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน พี่ชัธ เอ๊ย พี่เชอรี่เกิดก่อนแล้วเป็นเอ่อ...นะ พี่คอร์นหรือไอ้พี่เชฐมันรำคาญพี่ชัธกลัวว่าจะมาก่อกวนเลยเลยหลบไปอยู่ที่อื่นเพิ่งกลับมาวันนี้ พี่เชอรี่ดันมาวันนี้พอดีเลยแจ็คพ็อตอย่างที่เห็น
“น้องคงเป็นข้าวโพดที่ไอ้เชฐพูดถึงบ่อยๆ น่ารักนะเนี่ย ถ้าไม่ติดว่ามีแฟนแล้วจะเอามาเป็นสามีน้อยๆ” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นมือมาหยิกแก้มผม นี่มือหรือส้นตีน แรงเยอะเว่อ
“อย่าแตะข้าวโพดสิครับพี่ เดี๋ยวสเนียดติด” คือพี่มึงจะสุภาพหรือหยาบเอาสักอย่าง ผมเริ่มสับสน
“เอะอีนี้ น้องข้าวโพดอย่าไปเชื่อมันนะ หนังหน้าแบบนี้หลอกชะนีตายมานักต่อนัก มันตอแหลยิ่งกว่าสาวสวยแบบพวกพี่ซะอีก” คงหมายถึงเหล่าคนที่มีความชอบเหมือนกัน
“มาจากหลุมไหนกลับไปหลุมนั้นครับพี่ชัธ” พี่เชฐตัดรำคาญโยนกุญแจห้องตัวเองให้ พี่ชัธคว้าหมับแล้วกรีดกรายออกไปอย่างไว ยังไม่วายหันมาขยิบตาให้ผมทิ้งท้าย พร้อมปิดประตูล็อกให้เสร็จสรรพ บริการดีไปไหม กลับมาแป๊บ เดี๋ยวให้ทิป
พี่เชฐกลับมาเป็นคนเดิมแสนสุภาพที่ผมเคยเห็น เขามองผมด้วยสายตาอ้อนวอน
“ผมขอโทษที่โกหกเรื่องชื่อ แต่ผมจริงใจกับข้าวโพดจริงๆ นะ”
“ขอที เลิกใส่หน้ากาก ถ้าไม่สุภาพจริงอย่ามา”
“ไม่นะครับ ผมจะเป็นแบบนั้นเฉพาะเวลาอยู่กับพี่ชัธเท่านั้น”
“อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ผมรอฟัง” ณ จุดๆ นี้คงไม่มีอะไรให้ผมตกใจได้อีกแล้ว
“ผมชอบข้าวโพด แต่งงานกับผมนะ”
ร่างสูงคุกเข่าจับมือผมแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง รัศมีความหล่อแบบเจ้าชายในเทพนิยายทำให้ผมตาพร่าชั่วขณะ
“พี่ผมไม่ขำ” ผมดึงมือออกกอดอกจ้องเขม็ง
“โอเค ไม่ขำ ผมจะบอกความจริงก็ได้ แต่พูดแล้วอย่าโกรธผมนะ รับปากก่อนสิ” ผมพยักหน้ารับ อีกฝ่ายถึงยอมเปิดปากเล่า
“ความจริงคือผมเห็นข้าวโพดมานานแล้ว เห็นข้าวโพดชอบไปซื้อข้าวโพด…” ผมยกมือนวดหัวคิ้ว
“เรียกผมว่าข้าวแล้วกัน แบบนี้สับสน”
อีกฝ่ายยิ้มสว่างไสว ผมหรี่ตาอีกรอบไม่ใช่จ้องจับผิด แต่กลัวตาบอดเพราะความหล่อทิ่มแทง
“ครับ...ข้าว ผมเจอข้าวบ่อยๆ เลยสนใจ พอเห็นข้าวโพดเลยเผลอซื้อมาฝาก สารภาพว่าตอนแรกไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆ แต่พออยู่ด้วยกันนานเข้า เวลาผมอยู่กับข้าวผมรู้สึกสบายใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและความรู้สึกนั่นยิ่งชัดเจนตอนที่เราหมดสัญญาต่อกัน ผมเลยหลบไปทบทวนตัวเองจนได้คำตอบวันนี้...ผมดันชอบข้าวโพดแบบกู่ไม่กลับซะแล้ว รับผิดชอบผมด้วยนะ”
นี่มัน...สารภาพรักใช่ไหม?
“คือ...” พูดไม่ออก ก็ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคิดยังไงกับพี่เขาเหมือนกัน เราเพิ่งรู้จักกันแค่เดือนเดียวเอง
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบผมก็ได้ แค่เราอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ห้องข้าวไม่มีห้องครัวหนิใช่มั้ย งั้นมากินข้าวที่ห้องผม หารค่าวัตถุดิบกันเหมือนเดิม นะ...”
ผมเคยบอกว่าผู้ชายคนนี้เอียงคอแบบสาวน้อยทำแล้วดูดี การลากเสียงส่งสายตาอ้อนแบบนี้ก็เหมือนกัน
“ก็ได้ พี่เชฐปล่อยมือผมก่อน”
“พี่คอร์นต่างหาก ผมเป็นพี่คอร์นของข้าว”
“อืม...พี่คอร์น”
จู่ๆ ร่างผมก็ถูกคว้าเข้าไปกอดหมับ
“ข้าวโพดข้าวเหนียวของผมน่ารักที่สุด”
“ไอ้พี่เชฐ!!!” ของผมไม่ได้ป้อมสั้นนะเว้ย! ประท้วงสุดใจขาดดิ้น หลังจากนั้นผ่านไปสองเดือน ในที่สุดผมก็ตกลงคบกับพี่เชฐแล้วผมก็ได้รู้ว่าข้าวโพดหวานมันเป็นยังไง...
ใหญ่ ยาว หวานจริงนะ แอบติดใจ...
END