No Sugar : 13
คนที่เสียใจตื่นมาก็เอาแต่นั่งเหม่อ โทรศัพท์ดังตลอดแต่ไม่คิดจะรับ ผมชะเง้อคอดูเบอร์ที่โทรเข้ามามีพี่เกนแล้วก็ตอนนี้คือพี่ฟีน ผมสะกิดให้คนที่เหม่อรับแต่พี่ฟลอยด์กลับเบือนหน้าหนีแล้วลุกเข้าห้องไป
อาจดูเสียมารยาท แต่ผมก็กดรับแทน
“สวัสดีครับ” กรอกเสียงลงไป
(ต้อมเหรอจ๊ะ) เสียงถามคล้ายกับไม่แน่ใจ
“อ่า ครับ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ “พี่มีธุระด่วนหรือเปล่า ผมจะได้ไปบอกพี่...”
(ไม่เป็นไรจ้ะ แค่รู้ว่าต้อมอยู่ด้วยพี่ก็เบาใจ)
“ขอโทษนะครับ เกิดเรื่องอะไรเหรอครับ”
(ก็เรื่องที่ฟลอยด์ไปอาละวาดพ่อที่ห้างนั่นแหละ) ว่าแล้วต้องเป็นเรื่องใหญ่โต (พ่อโมโหจนแทบจะตัดออกจากลูก แต่พี่กับพี่เฟิร์นช่วยกันพูดเลยยอมอ่อนลง) คนปลายสายถอนหายใจออกมาอีกรอบ
“ผมพยายามห้ามแล้ว”
(พี่รู้จ้ะ แต่ฟลอยด์น่ะ ห้ามยากจะตาย ยังไงพี่ก็ฝากฟลอยด์ด้วยนะ เพราะถ้าให้กลับบ้านเขาคงไม่ยอม)
“ครับ” กำลังจะกดวางแต่ก็รีบขัดขึ้นก่อน “เอ่อพี่ฟีนครับ”
(จ๊ะ?)
“พี่ฟลอยด์ชอบกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แบบกินแล้วจะอารมณ์ดี” ได้ยินพี่ฟีนหัวเราะร่วน
(ขานั้นกินได้หมดแหละ แต่ที่ชอบที่สุดก็บัวลอย เพราะฟลอยด์ชอบของหวานมาก กินแล้วอารมณ์ดีทุกที)
“อ่า ขอบคุณครับ”
วางสายไปผมก็เริ่มคิดชื่อร้านที่ขายบัวลอยอร่อยๆ ไอ้ผมก็ไม่เคยเดินหาร้านตามขนมอร่อยๆ ซะด้วย พอคิดไม่ออกก็หยิบมือถือส่งข้อความถามเพื่อนๆ ไอ้ดอยบอกไม่รู้เพราะไม่ชอบกิน ไอ้ป่านบอกชื่อร้านที่โคตรจะห่างไกลจากที่ผมอยู่ ไปกลับคงใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมง
‘ไอ้กลอย มึงรู้จักร้านขายบัวลอยอร่อยๆ หรือเปล่าวะ’ พิมพ์ไปหาคนที่น่าจะรู้มากที่สุด เดินไปเดินมากว่ามันจะขึ้นอ่านแล้วตอบ แม่งทำอะไรอยู่วะ ตอบช้าโคตร
‘มึงจะกินเหรอ’ ผมถามมัน ไม่ใช่ให้มันถามผมกลับหรือเปล่าวะ
‘กูจะซื้อให้พี่ฟลอยด์’ บอกไปเถอะ ไอ้กลอยมันช่างจับผิด ถ้าไม่รู้มันไม่ยอมบอกแน่
‘แค่มีมึงยังไม่หวานอีกเหรอวะ’ ส่งสติ๊กเกอร์หมีโมโหไป ไอ้กลอยมันก็ส่งหัวหอมหัวเราะมาให้ ‘ทำเองเลยสิวะ ไม่ยุ่งยาก ร้านขายที่ไหนจะอร่อยสู้ทำเองวะ พี่โชชอบทุกอย่างที่กูทำ บางอย่างไม่อร่อยยังชอบเลย’ เหมือนมันอวดตัวเองกลายๆ แต่ทำเองเหรอ ผมทำไม่เป็นว่ะ
‘กูทำไม่เป็น’
‘จะยากอะไร มึงก็เปิดดูในยูทูปสิ แล้วเดี๋ยวกูจะบอกอีกที แนะนำบัวลอยเผือก ไม่อยากบอกว่ากูทำโคตรอร่อย’ อวดตัวเองเห็นๆ แต่ผมเคยกินกับข้าวฝีมือมันครั้งหนึ่ง ก็อร่อยจริงนั่นแหละ
เดินไปเปิดแลปท็อปหาวิธีทำบัวลอยเผือกตามที่ไอ้กลอยแนะนำ แม่งดูแล้วทำโคตรยาก เกินที่ผมจะมั่วทำได้ ยิ่งดูยิ่งงง และเหมือนเสียงที่ผมเปิดจะดังไปหน่อยเพราะคนในห้องเดินออกมา คนหน้ามุ่ยอ้อมมานั่งซ้อนหลังผม
“ทำอะไร” เสียงกระซิบข้างหู “บัวลอย? จะทำเหรอ” น้ำเสียงดูปกติขึ้น
“ดูเฉยๆ ทำไม่เป็นว่ะ” บอกพี่ฟลอยด์ที่วางคางเกยบนไหล่ผม
“แค่คิดจะทำก็ดีใจแล้ว” ได้เห็นรอยยิ้มแรกหลังจากเกิดเรื่อง “ถามพี่ฟีนมาใช่มั้ย บัวลอยเนี่ย”
“อืม” ตอบไป แขนที่รัดเอวเริ่มแน่นจนอึดอัด “อะไร”
“ตอนนี้ไม่ได้เหรอ” ผมเอียงคอไปมอง คนที่ซ้อนหลังเริ่มซุกซนแถวซอกคอ มือลูบหน้าท้องผมไปมา อีกข้างลูบสูงแถวหน้าอก ผมรีบตะครุบมือสองข้างแล้วดันหน้าคนที่งับคอผมจนเจ็บจี๊ด
“อย่าทำแบบนี้ ไม่งั้นผมจะกลับ” บอกเสียงนิ่งจนคนข้างหลังหยุดการกระทำทุกอย่าง ผมหันหน้าไปมอง นัยน์ตาเศร้ากำลังจ้องมองผมอยู่ “พี่อ่อนแอแต่ไม่ควรเอาผมเป็นที่ระบาย”
“ต้อมไม่ใช่ที่ระบาย” รีบปฏิเสธ แต่ผมก็ส่ายหน้าช้าๆ
“พี่ใช้ผมเป็นที่ระบายความอ่อนแอของตัวเอง เมื่อพี่เป็นฝ่ายควบคุมผม พี่จะรู้สึกไม่อ่อนแอ ผมพูดถูกมั้ย” คำพูดคราวนั้นยังดังก้องหูในตอนที่เรื่องบนเตียงใกล้จะจบ ‘กูกำลังคุมเกมส์นี้อยู่ กูไม่ได้อ่อนแอ’
พี่ฟลอยด์เม้มริมฝีปากแล้วก้มหน้า ผมยื่นมือจับหน้าเนียนขึ้นมาจ้อง
“พี่ขอโทษ”
“เอ่อ รับคำขอโทษ” บอกพร้อมรอยยิ้ม คนที่ขอโทษก็ยิ้มตาม
“โคตรรักเลยว่ะ” ถูกดึงเข้าไปกอดแน่น
“รู้แล้วๆ รัดเป็นงูเหลือมไปได้” ตีหลังคนรัดจนแรงลดลง “อยากกินมั้ยบัวลอยเนี่ย”
“อืมๆ” พี่ฟลอยด์รีบพยักหน้า รอยยิ้มกว้างที่เห็นผมต้องยิ้มตาม “ต้อมทำเองนะ พี่อยากกิน”
“แต่ผมทำไม่เป็น”
“ช่วยกันทำไง”
เพราะแววตาที่มองมาทำให้ใจอ่อน ผมเลยถูกพาไปซื้อของที่ห้างซุปเปอร์สโตร์ ทั้งอุปกรณ์ ทั้งวัสดุทุกอย่างที่จดมาจากเว็บแล้วก็จากไอ้กลอย ผมเดินดูของนั่นนี่ ด้านหลังมีคนเข็นรถเดินตาม
“แป้งพวกนี้ต่างกันยังไง” พี่ฟลอยด์หยิบถุงแป้งขึ้นมาดู ผมไม่รู้ได้แต่ส่ายหน้า แต่ถ้าซื้อตามที่ไอ้กลอยบอก ต้องซื้อแป้งข้าวเหนียว แป้งมัน เผือก น้ำตาล แล้วก็กะทิ
ซื้อของเพิ่มอีกหลายอย่างก่อนจะกลับ คนอยากกินจ่ายเงินไปหลายพันจนผมเกรงใจ เพราะในส่วนนั้นยังมีของใช้ส่วนตัวของผมด้วย จะแยกจ่ายก็ไม่ยอม เถียงกันจนพนักงานมองหน้า ผมเลยจำใจยอมให้ลูกคนรวยจ่ายด้วยบัตรเครดิต
พี่ฟลอยด์หิ้วถุงพะรุงพะรังไปใส่ไว้ท้ายรถ ผมยืนเกร็งเพราะไม่รู้จะต้องทำอะไร ปกติไม่เคยมีคนถือของให้ ต้องถือเองทุกครั้ง มองนั่นมองนี่ก่อนสายตาหันไปเห็นเพื่อนตัวเองกำลังกินไอศกรีมร้านสีน้ำเงินเดินออกจากประตูห้าง ไอ้ป่านเดินกัดไอศกรีมออกมาขึ้นรถ มีคนเดินตามทำหน้ามุ่ยรีบเดินนำแล้วกัดไอศกรีมในมือไอ้ป่านไปคำหนึ่ง รอยยิ้มกว้างเกิดขึ้นทันทีจนผมอ้าปากค้าง
“มองอะไร” พี่ฟลอยด์มายืนข้างๆ “ไอ้เกน? ป่านด้วย” ผมหันไปมองคนข้างตัวเองแบบหางตามีดาวแบบในการ์ตูนญี่ปุ่น
“เพื่อนพี่ชอบเพื่อนผมเหรอ” คนถูกถามส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่ะ”
ลองโทรหาไอ้ป่าน มันรับสายแต่เหมือนจะโวยวายไม่ยอมตอบผมสักทีจนต้องเรียกอีกหลายรอบ
(ตะโกนพ่อง) มันด่าผมครับ
“กูเรียกมึงแล้วมึงไม่สนกูไอ้สัด” ผมยังยืนดูรถพี่เกนที่ติดเครื่องแล้วแต่ยังจอดอยู่ “มึงอยู่ไหนวะ”
(กูอยู่ห้าง...มึงเอาไปกินเลยไอ้ห่า เลียซะกูกินต่อไม่ได้) เหมือนมันจะด่าคนอื่นหลังจากตอบผม
“มึงอยู่กับใครวะ”
(อยู่กับเพื่อนพี่ฟลอยด์...กูชื่อเกน...เสือก) สองเสียงดังลอดออกมา
“ไปอยู่กับพี่เขาได้ยังไงวะ” มองตามรถที่ออกตัวจากลานจอด ผมดึงพี่ฟลอยด์ให้แอบข้างๆ เสา
(ไม่ได้อยากอยู่ แต่มันแม่งบังคับกู) ได้ยินเสียงหัวเราะแล้วสายก็ตัดพร้อมๆ กับไอ้ป่านโวยวายร้องหาโทรศัพท์ตัวเอง
ผมหันมองหน้าคนข้างตัวอย่างช้าๆ อย่าบอกว่าไอ้ป่านกับพี่เกน? “เพื่อนพี่ชอบบังคับคนอื่นสินะ”
“ก็บอกแล้วว่ามันนิสัยเหมือนพี่” พี่ฟลอยด์ขำก่อนดึงผมไปขึ้นรถ
เพื่อนผมมันคงเอาตัวรอดได้...ใช่มั้ย
“พี่กดหยุดก่อน” ผมรีบชี้นิ้วสั่งเพราะนึ่งเผือกสุกแล้วกำลังบด แต่ในคลิปมันไปถึงต้มแล้ว พี่ฟลอยด์ไม่ยอมช่วยอะไรได้แต่ดูเฉยๆ
“จะกินได้หรือเปล่าเนี่ย” คนอยู่เฉยๆ ขำร่วน
“งั้นก็ไม่ทำละ”
“เฮ้ย ไม่สิ ทำเลยๆ เดี๋ยวพี่ช่วย”
ผมหน้างอยกชามที่ผสมแป้งสองอย่างเข้าด้วยกัน พี่ฟลอยด์มองอย่างงงๆ แต่ก็หยิบไปวางตรงหน้า ผมใส่เผือกที่บดละเอียดแล้วก็เริ่มนวด ในคลิปบอกต้องทำให้มันเข้ากัน คนอยากกินเติมน้ำทีละน้อย
“พอยัง”
“แป้งมันยังไม่เหนียว ใส่อีก”
นวดๆ จนแป้งเริ่มเหนียว
“พี่กดเปิดคลิปต่อเลย”
มองไปด้วย ยกบัวลอยลงไปต้มด้วย ทำอาหารนี่มันโคตรเหนื่อยจริงๆ อยากจะไปกราบแม่สักหมื่นรอบที่ทำข้าวให้กิน เพิ่งรู้ว่ากว่าจะได้สักอย่างมันทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก คนกินบางคนยังบ่น
กว่าจะทำเสร็จ ครัวก็เหมือนเจอระเบิดลูกใหญ่ๆ เพราะเละมาก แป้งเลอะเทอะตามโต๊ะ ไหนจะน้ำที่เปียกพื้น หม้อ ทัพพี จานชามเต็มอ่างไปหมด
“นี่ครัวห้องพี่เหรอวะ” เจ้าของห้องมองสภาพอย่างอึ้ง
“เดี๋ยวค่อยเก็บกวาดก็ได้ พี่ลองกินสิ” ยกบัวลอยถ้วยเล็กๆ ไปตรงหน้า พี่ฟลอยด์ดูลังเล เงยหน้ามองผมหลายครั้ง “ไม่กล้าก็ไม่ต้องกิน” ดึงออกแต่พี่ฟลอยด์ดึงกลับ
“กินๆ” คำแรกเข้าปากอย่างลุ้นระทึก ใบหน้าขาวดูบิดเบี้ยวคล้ายกับจะอ้วกออกมาจนผมต้องรีบคว้าถังขยะมารอง
“คายๆ” พยายามลูบหลังให้อีกคนคายแต่ก็ยังไม่ยอม
“อร่อย” แทบเขวี้ยงถังขยะทิ้ง อยู่ๆ คนกินก็กลืนแล้วยิ้มกว้าง
“หลอกผมเหรอวะ”
“โอ๋ๆ อย่าหน้าบึ้งสิ” โดนตวัดมานั่งตัก “อะ เดี๋ยวพี่ป้อน อ้า” กินไปคำนึง รสชาติไม่ได้อร่อยเหมือนกับที่ขายตามร้าน แต่ก็พอกินได้
“หวานน้อยไปหน่อย” ผมว่า
“พี่ชอบแบบนี้” พูดแล้วก็ตักบัวลอยเข้าปาก ตาคมช้อนขึ้นมอง “ทั้งคนทั้งบัวลอย”
“พอๆ” รีบหนีก่อนจะหน้าร้อนมากกว่านี้ ผละออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ได้แต่หันไปคาดโทษแล้วก็เดินมาล้างอุปกรณ์ที่ถูกวางทิ้งไว้
“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อพี่” ระหว่างกำลังเช็ดชาม แขนแกร่งยื่นมากอดผมจากด้านหลัง คางแหลมวางเกยไหล่พร้อมกระซิบข้างหู
“เพราะพี่ฟีนขอหรอก” โกหกไปแต่คนข้างหลังกลับขำ
“โกหก” โดนจูบที่ซอกคอจนต้องย่นคอหนี
“เออโกหก ถอยเลย แล้วมือนี่ด้วย อย่ามาเนียน” ตีมือที่เริ่มเลื่อนขึ้นมาลูบหน้าอก
“รู้ทันตลอดว่ะ” เสียงหัวเราะเบาๆ กับคนด้านหลังผละออก ผมหันไปมองก็เจอสายตาประกายมองอยู่ “ถ้าไม่มีต้อม พี่คงไปเมาที่ไหนสักที่”
“กินเหล้ามันช่วยให้ลืมแค่แปบเดียวเท่านั้นแหละ” กอดอกมอง
“แต่ก็ยังได้ลืมบ้าง”
“พี่ฟีนเป็นห่วงพี่มากเลยนะ โทรไปหาหน่อยสิ พี่เขาจะได้ไม่เป็นห่วง” ผมว่า พี่ฟลอยด์ยื่นหน้ามาหอมแก้มแล้วเดินไปโทรศัพท์
ไอ้ต้อมกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมองมือตัวเองที่เคยจับแต่จอบกับเสียม ตอนนี้มาจับตะหลิว จับทัพพี โคตรไม่เข้ากับผมเลยให้ตาย
เช็ดมือเสร็จก็เดินกลับไปนั่งที่หน้าทีวี เห็นข้อความไอ้กลอยที่ส่งมารัวๆ พอกดอ่านมันก็บ่นว่าผมไม่ยอมตอบ พี่ฟลอยด์คงชอบกินทั้งบัวลอยทั้งคนทำ เลยด่ามันกลับ ไอ้กลอยมันส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับมาพร้อมกับพี่ฟลอยด์ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“เป็นไง”
“ก็ไม่เป็นไง” ตีรวนว่ะ
“พี่ฟลอยด์”
“ครับๆ ...พี่ก็บอกว่าดีขึ้นแล้ว ได้กินบัวลอยแล้วด้วย”
“ดีมาก”
“มีรางวัลป่ะ” นิ้วชี้แก้มที่ป่องมาทางผม
“ไม่มี” เอามือดันหน้าออกห่างจนคนขอรางวัลหน้าบูด “ไปกินเหล้ากัน”
“ที่ไหน”
“ร้านยาดองเพิงหมาแหงนแถวมออะ” เมื่อกี้ผมลองชวนไอ้ดอยแล้วไอ้ป่าน พวกมันตอบตกลงทันที ถ้าเป็นเรื่องของมึนเมามันชอบตลอด แต่ถ้าเรื่องอื่นมันไม่สนใจหรอกครับไอ้สองคนนี้
“ทำไมไม่ไปไนต์คลับแทนล่ะ” รีบส่ายหัวส่ายหน้าทันที คราวที่แล้วก็มีเรื่องที่นั่นยังจะให้ไปอีกก็ไม่ไหว
“ร้านยาดองนี่แหละ เจ๋งสุด ถ้าได้ลองพี่จะชอบจนลืมที่หรูๆ ไปเลย แล้วผมก็นัดเพื่อนไว้แล้ว”
“มัดมือชกนี่หว่า”
ถึงจะว่าแบบนั้น แต่พี่ฟลอยด์ก็ยอมมากับผม ที่ร้าน ไอ้ดอยนั่งรออยู่แล้ว วันนี้มันพาแฟนมันมาด้วย เป็นรุ่นน้องต่างมหาลัย แต่รู้จักกันมานาน ตั้งแต่มัธยมต้น รักมาราธอนสุดๆ
“ไอ้ป่านล่ะ” ผมยิ้มให้แฟนเพื่อนก่อนจะนั่งข้าง พี่ฟลอยด์นั่งข้างไอ้ดอยที่ยกมือไหว้แบบงงๆ
“เห็นบอกใกล้ถึงละ แต่แม่งโวยวายเหี้ยอะไรไม่รู้” ผมรีบหันไปมองหน้าพี่ฟลอยด์ หรือว่า...
รถของไอ้ป่านเลี้ยวไปจอด มีคนนั่งมาด้วยลงมาก่อน ผมพยายามเพ่งดูเห็นเพื่อนตัวเองถูกคนที่มาด้วยกอดคอทั้งๆ ที่สะบัดไม่หลุด
“ไอ้เกน” พี่ฟลอยด์ทักเพื่อนตัวเองที่ยังกอดคอเพื่อนผม
“ชิบหาย” ไอ้ดอยสบถครับ ผมเห็นด้วย ชิบกำลังหาย
“ปล่อยกูสิวะแม่ง” ไอ้ป่านยกแขนที่พาดคอออกแล้วมานั่งข้างผม ส่วนพี่เกนก็ไปนั่งแทรกไอ้ดอยกับพี่ฟลอยด์
ยาดองสองโหลบนโต๊ะเริ่มแจกจ่ายหลังจากคนมาครบ ผมเริ่มจับผิดเพื่อนตัวเองนิดๆ จนทนไม่ไหวต้องสะกิดถาม
“มาด้วยกันได้ไงวะ” แอบกระซิบเมื่อคนบนโต๊ะกำลังเฮฮา ขนาดพี่ฟลอยด์กับพี่เกนยังยกดื่มแบบติดใจ ไอ้ป่านยื่นหน้ามากระซิบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“มันไปหากูที่ห้อง พอดีกูจะออกมามันเลยมาด้วย”
“มึงกับพี่เขาสนิทกันขนาดนั้นเหรอวะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ แม่ง อยู่ๆ ก็เข้าหากูเฉย” ไอ้ป่านว่า “แต่มันชอบโดนตัวกูตลอด ขนลุกสุดๆ” อยากจะขำเพื่อนตัวเองแต่ไม่กล้า ผมตบบ่าไอ้ป่านเพื่อปลอบใจ “กูรู้แล้วว่ามึงรู้สึกยังไงตอนพี่ฟลอยด์เข้าหา”
“กรรมตามทันมึงสินะ เล่นกูไว้เยอะ”
ชนแก้วไปมาจนยาดองหมด สภาพแต่ละคนก็หนักเอาการ ยกเว้นผม ไอ้ป่าน แล้วก็แฟนไอ้ดอย เพราะต้องมีคนขับรถกลับ พี่ฟลอยด์ฟุบหน้ากับโต๊ะเพราะดื่มเยอะ คงจะอยากลืมเรื่องแย่ๆ ที่เกิด น้องพิมพ์พาไอ้ดอยที่อ้อแอ้กลับด้วยความลำบาก พวกผมต้องช่วยประคองไปยัดในรถ
“พี่ฟลอยด์เป็นไงมั่งวะ” ไอ้ป่านถาม ผมยังมองไฟท้ายรถเพื่อนตัวเองที่ห่างไปไกล
“คงจะทรมานน่าดู” ตอบออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง
“พาเมียน้อยเที่ยวไม่มีท่าทีเสียใจที่เมียตาย เป็นกูคงทำอะไรไม่ถูกว่ะ ไม่รู้จะพูดยังไง จะทำยังไง” ไอ้ป่านตบบ่าผมพร้อมรอยยิ้ม “โชคดีที่มีมึงอยู่ข้างๆ”
“ชมกูสินะ”
“เออ ชม”
พวกเราสองคนพากันหัวเราะ ชีวิตมีเรื่องในเครียดมากพออยู่แล้ว ถ้าเอามาคิดทุกเรื่องสมองคงระเบิดพอดี ปล่อยวางไปซะบ้าง สมองจะได้มีพื้นที่เพื่อเก็บความสุขบ้าง
“กูกลับก่อน มึงก็กลับดีๆ ล่ะ ระวังถูกพี่เกนปล้ำนะมึง เมาขนาดนั้น” แซวไอ้ป่าน มันเงื้อจะตบหัวแต่ผมหลบทัน
“เมาเหมือนหมาแบบนี้กดกูได้กูยอมเลยสัด” ไอ้ป่านปากดีจนผมอยากจะแช่ง “ลุกๆ ตัวหนักเหี้ย กินควายมาหรือเปล่าวะ” มองตามเพื่อนตัวเองที่แบกคนเมาไปขึ้นรถ จากสภาพคงไม่สามารถปล้ำเพื่อนผมได้จริงๆ นั่นแหละ
เคลียร์บิลเสร็จผมก็กลับมาพยุงคนเมาของตัวเองกลับบ้าน คนเมาเอนตัวพิงประตูรถ บ่นเรื่องไร้สาระก่อนจะเพ้อถึงแม่จนน้ำตาไหล ผมยื่นมือไปเช็ดขณะติดไฟแดง
“รีบๆ เข้มแข็งนะ พี่ยังมีคนรักอีกเยอะ”
.....TBC