ยกภูเขาออกจากอก“แม่ครับ” ผมผลักเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเพียงตามลำพัง ทุกคนเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กับแม่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของแม่
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมทุกคนต้องปิดผม กลัวผมคิดมาก กลัวผมกังวล ทำไมต้องคิดแทนผมด้วย ถ้าเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น... ผมก็คงได้รู้เป็นคนสุดท้ายใช่มั้ย
“เป็นไงคะลูก เดินทางมาเหนื่อยมั้ย” แม่ยังห่วงใยผมเหมือนเดิม ทั้งน้ำเสียงและแววตานั้นแสดงออกให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าแม่รักและเป็นห่วงผมมากแค่ไหน
“เจ็บมั้ยครับแม่”
“ก็มีบ้างจ้ะ แต่แม่ทนได้” ผมอยากเข้มแข็งต่อหน้าแม่ แต่ความเข้มแข็งที่แม่แสดงออกมามันทำให้ผมกลั้นน้ำตาต่อไปไว้ไม่ไหว
“อยู่กับคีนานๆ นะครับแม่ อย่าทิ้งคีนะครับ” ผมโผเข้ากอดแม่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขาว แม่ลูบศีรษะผมอย่างเบามือ เปี่ยมไปด้วยความรักและความทะนุถนอมเหมือนผมยังเป็นเด็กอยู่เสมอ
“แม่จะอยู่กับคีไปนานๆ นะคะ คีไม่ต้องกังวลหรอกนะ” แม่มอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ผม ถ้าต้องขาดรอยยิ้มนี้ไป ผมจะอยู่ยังไง ผมไม่ปรารถนาที่จะขาดใครไปในชีวิตของผมอีก
แค่คน...เคยรัก คนหนึ่งมันก็มากพอแล้ว
ผมยังอ่อนแอ ไม่เคยเข้มแข็งเลย
“แม่ไม่สบาย ทำไมถึงไม่บอกคีครับ”
“ทุกอย่างที่แม่กับพ่อตัดสินใจเพื่อคีนะลูก”
“แต่คีเป็นลูกแม่ คีควรจะอยู่ดูแลแม่ ตอนที่แม่ไม่สบาย ตอนที่แม่ต้องการกำลังใจนะครับ” ผมระบายความในใจให้แม่ฟัง ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่มันก็อดไม่ได้ ระบายออกไปทั้งน้ำเสียงและน้ำตา
“ไม่ร้องค่ะ ไม่ร้อง โอ๋ๆ เด็กดีของแม่ ไม่ร้องนะลูก” คำพูดคุ้นหูที่แม่คอยปลอบผมทุกครั้งเวลาร้องไห้
คำนี้ไม่ได้ยินมานานเท่าไหร่แล้วนะ
“คีเสียใจ คีรักแม่นะครับ”
“แม่ก็รักคีค่ะ รักที่สุดเลย” แม่พูดพลางเช็ดน้ำตาให้ผม น่าอายจริงๆ ผมควรจะปลอบและให้กำลังใจแม่ แต่กลับเป็นผมที่ร้องไห้ปี่แตกอยู่แบบนี้
“ที่แม่ไม่บอกคี เพราะแม่รู้ว่าแม่จะต้องหายกลับมาเป็นปกติแล้วอยู่กับคีอีกนานยังไงล่ะคะ”
“แม่...” ผมตั้งใจจะหอบกำลังใจมาให้แม่ แต่ทำไมแม่ถึงมีกำลังใจและแรงฮึดสู้มากขนาดนี้
“เลิกร้องนะคะ เด็กดี”
“ครับ”
“เห็นพ่อบอกว่าคีพาเคลลี แล้วก็เมฆมาด้วยใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ แต่พ่อพาเคลลี่ไปหาอะไรทาน เดี๋ยวก็คงกลับมาครับ”
“เหรอจ้ะ แล้วคีล่ะไม่หิวเหรอคะ ไปทานกับน้องก่อนสิคะ”
“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวรอให้พ่อกลับมาก่อน คีค่อยไปทานครับ”
“คี..”
“ครับ”
“คีไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะคะ แม่รับปากกับคีแล้วไงคะ ว่าแม่จะไม่เป็นไร ก็ต้องไม่เป็นไรค่ะ”
“คีทราบครับ แต่แม่ไม่เคยป่วย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ป่วยทั่วไปด้วย”
“โถ ลูกรัก แม่เพิ่งเริ่มเป็นเอง แล้วโชคดีที่เจอแต่ระยะแรกเลย รักษาแปปเดียวเดี๋ยวก็หายค่ะ”
“ตอนที่หมอให้คีโม แม่ต้องเจ็บมากแน่ๆ” ผมลูบแขนที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่เบาๆ
“แม่ของคีเก่งนะ คีก็รู้ใช่มั้ยคะ”
“คีรู้ว่าแม่ของคีเก่งที่สุดในโลกครับ”
“ใกล้เปิดเทอมแล้ว คีกับน้องต้องกลับไปเรียนนะคะ”
“แต่คีห่วงแม่...” ผมลำบากใจอยู่มากทีเดียว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผมยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อแม่เลยจริงๆ
“คีต้องทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีนะคะลูก ถ้าคีคอยแต่เฝ้าแม่ จนไม่ได้กลับไปเรียน แม่เองก็ต้องเป็นห่วงคี และก็ไม่สบายใจอีกด้วย ก็จะไม่เป็นผลดีกับเราทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคีกลับไปเรียน แม่ก็สบายใจ แล้ววันหยุดคีค่อยบินมาให้แม่ แบบนี้วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ดีกว่ามั้ยคะ”
“แม่พูดเสียจนคีหาเหตุผลไม่ทันเลย”
“เชื่อแม่นะคะ กลับไปเรียน ดูแลเคลลี่ให้ดี ทำให้แม่หายห่วงนะคะ”
“ก็ได้ครับ คีจะมาหาแม่บ่อยๆ นะครับ”
“ค่ะ แม่รักคีนะคะ”
“คีก็รักแม่ครับ” ผมโผเข้ากอดแม่อีกครั้ง ไม่เคยรู้สึกรักแม่จนแทบใจจะขาดเท่าเวลานี้มาก่อนเลย
“เฮ้ยๆ ให้มันน้อยๆ หน่อย นี่เมียพ่อนะเว้ย จะมากอดตามอำเภอใจไม่ได้” พ่อเข้ามาในห้องก็ขัดจังหวะช่วงเวลาแห่งความสุขของผมกับแม่ทันที แถมยังเข้ามาแยกความรักของผมออกจากแม่อีก
“พ่อ นี่มันตัวขวางความสุขชัดๆ”
“บ๊ะ ไอ้นี่”
“สวัสดีครับคุณน้า” เฮียเมฆ เข้ามายืนข้างๆ เตียงของแม่ผมเหมือนกัน พอสบโอกาสเหมาะก็ค่อยพูดขึ้นมา
“สวัสดีค่ะ เมฆเดินทางมาเหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ขึ้นเครื่องก็หลับมาเกือบตลอดทาง”
“ขอบใจมากนะคะ ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมและคอยเป็นธุระให้น้าตลอดเลย”
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ผมยินดี”
“Mom……” เสียงเคลลี่แสดงตัวตนบ้างครับ แต่เพราะพ่อของผมยังอุ้มเอาไว้แน่น เคลลี่เลยดิ้นลงจากอ้อมกอดไม่ได้ พ่อของผมก็ใช่ย่อยเพราะรู้ล่วงหน้าว่าเคลลี่อาจจะเข้าไปหาแม่ทันทีจนทำให้เจ็บได้ ก็เลยยึดไว้เสียแน่นเลย
แม่คือที่หนึ่งสำหรับพ่อเสมอและตลอดมา
“ไม่ได้ครับ เคลลี่ ตอนนี้แม่ไม่สบาย”
“What?” เด็กน้อยทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเข้าไปหาแม่ไม่ได้
“แม่เจ็บแขนค่ะ ดูสิคะเคลลี่ เป่าให้แม่หน่อยสิคะ” พ่อค่อยๆ โน้มเจ้าตัวยุ่งลงไป เคลลี่รู้งาน คงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เคลลี่ค่อยๆ เป่าตรงข้อมือของแม่ที่เสียบสาบน้ำเกลืออยู่
“เพี้ยง!” เคลลี่พูดเสร็จก็ยิ้มแป้นใส่แม่เต็มที่ ผมเห็นท่าทีที่เจ้าตัวดื้อทำแล้วมันน่าฟัดจริงๆ
“คีไปทานข้าวสิคะ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา”
“จริงด้วย ไอ้ตี๋ยังไม่ได้กินอยู่คนเดียว งั้นน้าวานเมฆพาไอ้ตี๋ไปหน่อยนะ ส่วนเคลลี่อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องพาไป”
“ครับ คุณน้า”
“เดี๋ยวคีมานะครับแม่”
“ค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”
อาหารมื้อนั้นไม่มีอะไรมาก ผมไม่ได้พูดคุยกับเฮียเมฆมากนักเพราะมัวแต่กังวลเรื่องของแม่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้คนที่นั่งมองดูผมทานข้าวอยู่เงียบๆ นั้นจะส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ผมก็ตาม ผมทานไม่นานก็รีบกลับเข้าไปหาแม่ แต่ไม่ได้อยู่พูดคุยกับแม่มากมายนักเพราะถึงช่วงเวลาพักผ่อนของแม่พอดี
พ่อรีบไล่ผมกลับไปที่บ้าน จริงๆ ก็เพื่ออยากให้ผมพักผ่อน ไม่อยากให้เหนื่อย ผมรู้ว่าพ่อเองก็เป็นห่วงจิตใจผมไม่น้อย เขาเองก็รักผมไม่น้อยกว่าที่เขารักแม่หรอก เรื่องนี้ผมรู้ดี ในคราวแรกผมต่อรองว่าเดี๋ยวจะเอากระเป๋าไปเก็บที่บ้าน เสร็จแล้วจะมานอนเฝ้าแม่ แต่พ่อก็พูดให้ผมได้คิด
“ถ้ามึงมาแล้วใครจะดูแลเคลลี่ ไหนจะเมฆอีก” พ่อบอกผมเสียงเบา ในตอนที่เราทั้งหมดยืนอยู่ด้านนอกหน้าประตูห้องพักของแม่
“แต่...”
“ทำตามที่คุณน้าบอกเถอะคี พี่รู้ว่าคีเป็นห่วงคุณน้าผู้หญิง แต่เคลลี่ก็สำคัญเหมือนกัน”
“เมฆพูดถูก ... ตกลงตามนี้นะไอ้ตี๋ อย่าดื้อ อย่าซ่าให้มากเรื่อง”
“ก็ได้ครับ” ผมรับคำเสียงอ่อย เลยเดินคอตกกลับบ้านด้วยความผิดหวัง
“เออแล้วก็นอนที่ห้องกูข้างล่างนั่นแหละ” พ่อบอกผมก่อนที่ผมจะเดินห่างไปไกล
“ทำไมล่ะ?”
“ห้องมึงยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเก็บกวาด เข้าใจ?”
“ครับ คุณพ่อ” ผมประชดคนเจ้ากี้เจ้าการ แล้วก็อุ้มเคลลี่ที่ดูกำลังง่วงงุนจนได้ที่แล้วกลับบ้าน
ผมทำตามที่พ่อบอกเลือกห้องนอนของพ่อและแม่เป็นที่นอนสำหรับพวกเราสามคนในคืนนี้และคืนต่อๆ ไป ดูจากท่าทีของพ่อแล้ว ผมคงไม่มีโอกาสได้เฝ้าแม่แน่ๆ พ่อห่วงแม่มาก ถึงผมจะเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาแล้ว ยังไงพ่อก็ไม่มีทางยอมให้ผมเฝ้าแม่แล้วพ่อกลับมานอนที่บ้านหรอก
ในคืนนั้นพวกเราเข้านอนกันเร็ว เคลลี่หลับไปแล้วข้างๆ กายผม ผมนอนตะแคงข้างกอดเคลลี่ไว้เบาๆ มีเฮียเมฆที่นอนซ้อนหลังผมแล้วกอดผมไว้เช่นกัน ผมไม่ได้พูดคุยอะไรกับเฮียเมฆมากเหมือนเดิม นอกจากคำพูดขอบคุณที่ออกมาจากใจ เขาเป็นกำลังใจสำคัญของผม ในยามที่ผมทุกข์หรือเศร้า
เฮียเมฆทำให้ผมยิ้ม หัวเราะได้ หรือทำให้ผมเศร้า เสียใจก็ได้ เขาเป็นคนเดียวที่มีอิทธิพลกับจิตใจของผม
“นอนพักซะนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณน้า ทุกอย่างจะผ่านไปได้ดี”
“ขอบคุณครับ พี่เมฆ” เฮียเมฆตอบรับคำพูดของผมด้วยการกระชับแรงกอดจากแขนของเฮียให้แรงขึ้น นั่นทำให้ผมอุ่นใจขึ้นกว่าเดิม จิตใจของผมเริ่มผ่อนคลาย แล้วเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมได้หลับไป
“เสร็จแล้วใช่มั้ย? ไปกันเลยนะ” เฮียเมฆทักขึ้นในยามเช้า
ผมพยักหน้ารับคำ เรากำลังจะเตรียมตัวไปโรงพยาบาลกันครับ ผมป้อนข้าวเคลลี่รวมไปถึงสัมภาระต่างๆ ของเด็กน้อยนี่ครบเรียบร้อย มองซ้ายมองขวา คิดว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็อุ้มเด็กน้อยใส่เป้อุ้มแล้วเดินนำไปเปิดประตู ปล่อยให้เฮียเมฆสะพายกระเป๋าเป้ของใช้ของเคลลี่ตามมา
“ไง” มีแขกไม่ได้รับเชิญยืนอยู่หน้าประตู ผมตกใจที่เห็นเธอ จนเผลอถอยหลังมาหนึ่งก้าว ทำให้หลังชนกับเฮียเมฆที่ยืนรออยู่
“เอ่อ.. แอนนา”
“สวัสดี...” เธอทักผมแล้วมองเลยไปยังเฮียเมฆพร้อมมอบรอยยิ้มขอลุแก่โทษที่เธอมาเหมือนขัดจังหวะ
“สวัสดี มาได้ไง”
“คือ...ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านน่ะ คิดถึงเธอก็เลยแวะมา”
“มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า พอดีฉันมีธุระ กำลังรีบน่ะ”
“ก็ไม่เชิง...” เธอทำสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น
“ตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่มาก คุณน้าคงกำลังทานมื้อเช้า ยังไงคีคุยเพื่อนก่อนแล้วกัน พี่จะอุ้มเคลลี่ไปเดินเล่นแถวๆ นั้น โอเคมั้ย” เฮียเมฆชี้มือไปที่แม่น้ำใกล้ๆ ผมเลยพยักหน้าเบาๆ แล้วปลดสายเป้ จัดแจงใส่ให้อีกฝ่าย ไม่นานเฮียเมฆก็อุ้มเด็กน้อยแก้มแดงเดินออกไป”
“เราจะคุยกันตรงนี้เหรอ” แอนนาเอ่ยถามตอนที่ผมกำลังมองเฮียเมฆที่กำลังเดินออกไปเรื่อยๆ ทำให้ผมได้สติ
“เข้ามาก่อนสิ” ผมถอยออกมาจากประตูอีกเพื่อให้เธอเดินเข้ามาได้
“อืม”
“นั่งตรงนี้ก่อน เอาน้ำอะไรมั้ย”
“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”
“ก็ดี เธอก็คงเหมือนกันใช่มั้ย”
“ใช่ แล้วเด็กตะกี้คือลูกของเราใช่มั้ย”
“ใช่ เคลลี่”
“น่ารักมากจริงๆ”
“อย่างที่บอกแต่แรกว่าฉันมีธุระ เธออยากคุยอะไรกับฉันก็พูดมาตรงๆ เลยเถอะ แอนนา”
“ฉันมาขอโทษเธอ”
“ขอโทษ? ขอโทษฉันทำไม”
“เรื่องที่ฉันหนีไปจากเธอ มันคงทำให้เธอโกรธฉันมาก”
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วก็ไม่ได้โกรธเธอ ตอนนั้น ฉันยอมรับว่าเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทั้งที่เรารักกัน”
“แต่ฉันเขียนโน้ตบอกเธอไว้แล้ว”
“ใช่ ฉันรู้ ฉันอ่านมันแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ฉันขอโทษ ในตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไป จนคิดอะไรไม่ดี ไม่รอบคอบ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฉันอยากกลับมาหาเธอ ถ้าเธอยังไม่มีใครฉันอยากจะขอโอกาสจากเธออีกครั้งได้มั้ย” แอนนาขอร้องผมด้วยน้ำตา เธอกำลังร้องไห้ออกมา ผมรู้ว่าเธอไม่ได้แกล้งทำให้ผมใจอ่อน ผมคิดว่าผมรู้จักเธอดีนะ
“....”
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่น่าได้รับการยกโทษจากเธอ แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวจริงๆ แล้ว ขอร้องล่ะคีย์ ให้โอกาสฉันอีกครั้งได้มั้ย” เธอเอื้อมมือมาดึงผมขึ้นไปแนบที่แก้มของเธอ เมื่อก่อนนี้ผมชอบมากถ้าเธอจะทำแบบนี้กับผม
แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
“ฉันขอโทษนะแอนนา ฉันคงตอบรับความรู้สึกที่เธอให้ฉันไม่ได้”
“ทำไมล่ะ หรือเพราะเธอยังโกรธฉันอยู่ ไม่เอาน่า ฉันเสียใจจริงๆ เรื่องนั้น”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้โกรธเธอแล้ว แต่เพราะฉันไม่ได้รักเธอแล้วต่างหาก”
“ไม่เป็นไร คีย์ ฉันรู้สิ่งที่ฉันทำมันหนักหนามาก แต่ให้โอกาสฉันได้มั้ย ฉันจะพยายามทำให้เธอรักฉันเหมือนเดิม เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน สามคน พ่อ แม่ ลูก ยังไงล่ะ เคลลี่จะได้มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา”
“ขอบใจนะที่เธอยังคิดถึงเคลลี่อยู่ แต่เคลลี่มีครอบครัวพร้อมแล้ว ถ้าเธอคิดถึงอยากจะแวะเวียนมาหาเคลลี่เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจเธอเลย แต่เรื่องที่จะกลับไปอยู่ด้วยกันคงเป็นไปไม่ได้” ผมดึงมือออกจากใบหน้าของเธอแผ่วเบา และมองออกไปที่ทางช่องของประตู
“ทำไมล่ะ เธอมีคนรักใหม่แล้วงั้นหรือ”
“ใช่...” ผมเว้นจังหวะนิดนึงก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อสักครู่นี้เธอคงเห็นผู้ชายที่อุ้มเคลลี่ออกไปใช่มั้ย”
“เธออย่าบอกนะว่า” แอนนาดูมีสีหน้าตกใจอย่างคาดไม่ถึง เมื่อพอจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ
“ถูกต้อง อย่างที่เธอคิด ตอนนี้ฉันกำลังคบกับเขาอยู่”
“คีย์ ไม่ใช่ เธอล้อเล่นฉันใช่มั้ย ถ้าเธอยังโกรธฉันอยู่ก็บอกมาตรงๆ เลย ฉันไม่ว่าอะไรเธอเลยเพราะฉันเป็นคนผิดเอง แต่เธอไม่จำเป็นต้องประชดหรือโกหกฉันด้วยวิธีนี้”
“ฉันไม่ได้ประชดหรือโกหกเธอ แอนนา ที่ฉันพูดไปทั้งหมดมันคือความจริง”
“เป็นไปไม่ได้”
“เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ใช่คีย์ของเธออีกต่อไปแล้ว”
“ตะ..แต่.. ไม่จริงใช่มั้ย”
“ยอมรับเสียเถอะ” ผมบอกเธอพร้อมตบไหล่เธอเบาๆ แอนนายกมือปิดหน้ากลั้นเสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“เรื่องของเรา ยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้วใช่มั้ย”
“เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“...”
“แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะยังเป็นเหมือนเดิมก็คือความเป็นพ่อและแม่ให้กับเคลลี่ ในวันหนึ่งถ้าเขาโตขึ้นแล้วเขาอยากไปหาเธอ ฉันก็ยินดี และเธอเองถ้าอยากมาหาเคลลี่ ฉันก็ยินดีเช่นกัน”
“ฉันขอโทษนะ คีย์”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปเสียเวลากับมันเลย” ผมบอกแอนนาไปก็จริงแต่รู้ดีว่าคำพูดนั้นมันบอกเตือนตัวเองเสียมากกว่า ผมเสียเวลาไปตั้งหลายปีกับเรื่องราวในอดีต จมปลักอยู่กับมันจนเกือบจะเสียทุกอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตไป
“อืม งั้นฉันไปก่อนนะ” แอนนายกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะยิ้มให้ผม
“โชคดีนะ” ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้เธอ แต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านผมไป เธอก็พูดขึ้นมาว่า
“ฉันยังรักเธอนะคีย์ ขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”
“ฉันก็รักเธอ... แอนนา” และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของผมที่บอกแอนนา
ถูกต้องผมยังรักเธออยู่ เธอเป็นรักแรกของผม เธอเป็นคนที่ผมจริงจัง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รักและคลั่งเธอเท่ากับเมื่อก่อนอีกแล้ว ผมรักเธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น
แอนนากลับไปแล้ว ผมยืนสงบจิตใจ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งเพื่อตั้งสติ เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน ไม่คิดว่าจะได้เจอแอนนาอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ แล้วยังต้องมาคุยเรื่องเก่าที่ผ่านมาหลายปีอีก มันทำให้ผมใจเต้นแรงอยู่ไม่น้อย
ผมจัดแจงปิดประตูล็อคบ้านให้เรียบร้อย ใจคอยแต่พลันนึกถึงอีกคน ป่านนี้คนที่พาเด็กออกไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกจะคิดยังไงบ้าง เขาจะกังวลใจมั้ย ผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ผมรีบสาวเท้าก้าวยาวเดินตามออกไป เดินไปสักพักไม่นาน ก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้อยู่ข้างริมแม่น้ำ เขาก้มลงไปกระซิบพูดอะไรบางอย่างกับเคลลี่ ผมไม่สามารถอ่านปากของเขาออกได้ แต่เด็กน้อยก็ยิ้มร่าเป็นอย่างดี พร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มสากนั้นอย่างรวดเร็ว
“ทั้ง 2 คนคุยอะไรกันอยู่ครับ” ผมถามขึ้นเมื่อไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัว
“เสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ”
“เป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ”
“อืม งั้นก็ดี” เฮียเมฆพูดจบก็เงียบไปทันที ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย นี่ใช่อาการคนที่กำลังน้อยใจอยู่หรือเปล่า
“น้อยใจผมเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ”
“พี่ไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา ในเมื่อคีบอกว่าคุยกับแอนนาเรียบร้อยดี พี่ก็รับฟังตามนั้น”
“คล้ายๆ อาการน้อยใจนะเนี่ย อย่าน้อยใจคีเลยครับ ที่คุยกับแอนนาไปไม่มีอะไรหรอกครับ”
“จริง?”
“จริงสิครับ เธอมาขอโทษคีเกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้น คีเองก็ตกลงกับเธอได้ด้วยดี ไม่มีการคืนดีอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าคีมีแฟนอยู่แล้วทั้งคนนี่ครับ”
“แฟน? ใคร?”
“อ้าว นี่คีเข้าใจผิดไปคนเดียวหรือครับว่ามีแฟนแก่ๆ อยู่คนหนึ่ง วันๆ ทำแต่งาน ภายนอกดูเหมือนอารมณ์มั่นคง แต่จริงๆ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ต้องคอยเอาดอกไม้ไปให้อยู่เรื่อย ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่คิดเข้าข้างไปเองคนเดียว” ผมพูดพลางก้มลงไปปลดเป้อุ้มบนตัวเฮียเมฆออก แล้วก็มาใส่ให้กับตัวเองก่อนจะยกเคลลี่ขึ้นใส่เป้อุ้มเหมือนเดิม ไม่วายแกล้งเคลลี่โดยการไล่งับนิ้วเด็กน้อยไปด้วย ทำให้เคลลี่ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้
“....”
“ป่ะ เคลลี่ เราไปหาแม่กันเถอะ ปล่อยให้คนขี้น้อยใจนั่งงอนไปคนเดียวก็แล้วกัน” ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ปล่อยให้เฮียเมฆนั่งอยู่ที่เดิมเพราะยังงงกับคำพูดของผมอยู่
ผมเดินออกมาอีกสองสามก้าว ยังไม่เห็นเฮียเมฆตามมา เลยตะโกนบอกกลับไปว่า “ถ้ายังไม่ตามแฟนเด็กคนนี้มาล่ะก็ คีหาแฟนใหม่ไม่รู้ด้วยนะครับ”
ผมหันกลับไปเดินต่อโดยไม่สนใจเฮียเมฆอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าตามมา
“แฟนประสาอะไร มีอย่างที่ไหนทิ้งแฟนให้นั่งอยู่คนเดียวแบบนั้น เลิกซะเลยดีมั้ย” เฮียเมฆเดินมาถึงก็กอดคอผมไว้
“อ๊ะๆ อย่าท้านะครับ น่ากลัวว่าคนที่จะร้องไห้ขี้มูกโป่งจะเป็นคนที่บอกเลิก”
“แน่ใจนะ?” ผมปล่อยให้เฮียเมฆทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เพราะเคลลี่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ผมกับเฮียเมฆต้องหัวเราะตามไปด้วย
“โอ๊ะ โอ หน้าตาสดใสเชียวนะไอ้ตี๋ เมื่อคืนทำอะไรกันป่ะ” พ่อผมทักเสียงดังตอนที่ผมผลักประตูเข้ามา
“จะทำอะไร ไม่มีอะ ง่วงนอนจะตายชัก” ผมรีบใช้เสียงข่ม ถึงจะไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พ่อกล่าวหา แต่เรื่องแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาแซวกันเล่นๆ ได้นะครับ ผมก็ต้องเขินต้องอายเป็นบ้าง
“คุยอะไรกันคะ พูดจาไม่เพราะกันเลย ทั้งสองคน” ชะอุ้ย แม่จะเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ผมไม่อยากให้แม่เป็นกังวลเรื่องของผมกับเฮียเมฆ ในเวลานี้
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ พ่อก็แค่แซวลูกไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นเอง”
“อ่อค่ะ” แม่เชื่อพ่อเสมอเหมือนเดิม
“นอนหลับสบายมั้ยคะ” แม่หันมาถามเฮียเมฆกับผม
“สบายดีครับคุณน้า”
“สบายดีครับแม่ คืนนี้คีมานอนเฝ้าแม่ได้มั้ยอะครับ” ผมก้าวเข้าไปนั่งข้างเตียง ปล่อยให้เคลลี่ได้ลงเดิน แล้วก็ทำเสียงออดอ้อนแม่
“อย่าเลยค่ะ คีนอนที่บ้านกับเคลลี่ดีอยู่แล้ว อย่าลืมว่าคีต้องดูแลเคลลี่แล้วก็เมฆด้วยนะคะ”
“ก็คีอยากนอนเฝ้าแม่บ้างนี่ครับ”
“แม่รู้ว่าคีอยากดูแลแม่ แต่พ่อเองก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี คีไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”
ผมได้ยินคำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง มากมายนับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ที่ผมรู้เรื่องที่แม่ไม่สบาย ทุกคนกลัวผมกระทบกระเทือนจิตใจราวกับเป็นผู้ป่วยเสียเองใช่มั้ยล่ะเนี่ย
“ไม่ต้องห่วงคี ขนาดนั้นหรอกครับแม่ ทุกคนทำอย่างกับคีป่วยเลยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แม่ว่าคีรู้อยู่แล้วว่าทำไมทุกคนถึงปฏิบัติกับคีแบบนั้น ใช่มั้ยคะ”
“...”
ผมไม่ได้ตอบแม่ แต่ลึกๆ ก็ต้องยอมรับว่ารู้ล่ะครับ
ทุกคนรักผม
ร้องไห้ดีมั้ยเนี่ย...
ตลอดทั้งวันผมอยู่เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล จะออกมาจากห้องก็ตอนที่แม่หลับ ใจหนึ่งก็เกรงใจเฮียเมฆต้องมาติดแหง่กอยู่ที่โรงพยาบาลกับผม พอออกปากให้เฮียเมฆไปเดินเล่นหรือไปข้างนอก เฮียแกก็ปฏิเสธไม่ไปซะงั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ไม่เป็นไร พี่อยากอยู่กับแฟน” พูดน้อยต่อยหนักเหมือนเดิม หน้าผมนี่ร้อนกันไปเลย เลิกถามเฮียเมฆอีก
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่ผมรู้อาการป่วยของแม่ ชีวิตของผมก็วนเวียนอยู่ระหว่างสองประเทศนี้ ผมบินมาพร้อมเคลลี่ เพื่อมาหาแม่ บ่อยเท่าที่ผมจะทำได้ เฮียเมฆเองไม่ได้มากับผมทุกครั้ง อย่างที่ทราบดีว่าเฮียเมฆงานเยอะครับ ผมเองก็เกรงใจเฮียเมฆเหมือนกัน ใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินก็นาน พอมาถึงก็ต้องมาขลุกอยู่แต่ที่โรงพยาบาล ถึงเฮียจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดีนั่นแหละครับ
ทุกครั้งที่แม่เข้ารับการรักษา ผมรู้สึกเป็นกังวลทุกครั้ง จนกระทั่งแม่รักษาจนครบตามจำนวนที่คุณหมอกำหนด ผลทุกอย่างออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม่ของผมเริ่มเลี้ยงผมยาวใหม่อีกครั้ง พ่อของผมคอยสรรหาวิกผมทรงใหม่ๆ มาให้แม่ได้ใส่อยู่เสมอ พ่อบอกผมว่า
“เหมือนได้เมียใหม่”
ผมได้ฟังก็ได้แต่ระอากับคำพูดของพ่อ อยากจะหวานอะไร ก็เอาเถอะครับ หมั่นไส้สุดๆ
ผมเองก็ทำตามหน้าที่ของตัวเองจนสำเร็จแล้วเหมือนกัน พ่อกับแม่เตรียมบินมาที่ไทยเพื่อมางานรับปริญญาของผม แต่ผมได้ห้ามเอาไว้ บอกพวกท่านว่า เดี๋ยวจะเอาชุดไปถ่ายกับพวกเขาที่นั่น ไม่ต้องบินมา ผมไม่อยากให้แม่เหนื่อย ไม่อยากให้แม่ต้องเดินทาง ผมยังเป็นห่วงแม่...
“เฮ้ย ไอ้คี มึงมานี่ๆ มาถ่ายรูปกับกูหน่อย”
“เออๆ เอาดิ”
“พร้อมนะครับ 1 2 ยิ้ม” ช่างภาพที่ไอ้ธรจ้างมาร้องบอกให้สัญญาณ พวกเราฉีกยิ้มให้กับความสำเร็จในขั้นแรกของชีวิต
“ยินดีด้วยนะมึง” ผมบอกไอ้ธรมัน รู้สึกตื้นตันจริงๆ ฟันฝ่ามาด้วยกัน ลอกงาน ทำงาน กินเที่ยวด้วยกัน จากนี้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเมื่อคนเราเติบโตขึ้นก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น
พวกเรากำลังเปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษา เข้าสู่วัยทำงาน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกก้าวหนึ่งของชีวิต
“มึงก็เหมือนกัน ยินดีด้วยนะเว้ย” เรา 2 คนกอดคอกัน ถ่ายรูปด้วยกันอีก 2-3 รูป แล้วค่อยแยกจากกัน
ผมแวะเวียนไปถ่ายกับเพื่อนคนอื่นจนครบทั้งสาขา กระทั่งได้ยินเสียงแหลมเสียงหนึ่งดังขึ้น เด็กฝรั่งที่เริ่มพูดไทยชัดขึ้นแล้ว
“Key!!” ผมหันไปตามเสียงเรียกพร้อมกับรอยยิ้ม
“ยินดีด้วยนะ คนเก่ง” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยอวยพรให้ผม เขายื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ ผมรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณครับ”
จบTalk
จบแล้ววววววววววว ขอบคุณทุกคนที่อยู่กันมาถึงตรงนี้นะคะ เรื่องนี้ จริงๆ ตั้งใจว่าจะจบให้เร็วกว่านี้
แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เลยช้าแบบนี้ ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ
มีอะไรอยากติ ชม ตรงไหนก็บอกมาได้เลยค่ะ ^^
ใครที่เล่นทวิต อยากถามอะไรเรา ก็ตามไปที่นี่ได้เลยค่ะ https://twitter.com/khemmakan
คุยได้ตลอดเลย
ส่วนเรื่องชื่อของคี จริงๆ คี เนี่ยก็ชื่อคี นะคะ แต่ต่างประเทศจะเรียกเป็น คีย์ ที่เป็น key แทนค่ะ
อาจจะทำให้มีใคร งง ชื่อนี้บ้าง เลยขออธิบายไว้แบบนี้นะคะ
ขอบคุณผู้อ่านและคำติชม ทุกอย่างเลยค่ะ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
ตัวอย่างเรื่องใหม่ค่ะ ^^ ถ้าสนใจอยากอ่านก็บอกกันเข้ามาได้เลยน้าา จะได้มีแรงแต่งเยอะๆ แล้วมาลงค่ะ
แอบกระซิบว่าแต่งไปได้ยี่สิบตอนแล้วว
“คุณเล่นอะไรเนี่ย เห็นไหมตัวผมเปียกหมดเลย” จาณีนโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำได้ก็ไอโขลกสองสามครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานอีกฝ่ายที่นั่งพิงขอบอ่างอย่างสบายใจ
“ไม่ได้เล่น ฉันแค่ชวนเธออาบน้ำด้วยกัน”
“คุณก็รู้ว่าผมอาบน้ำแล้วนี่ครับ”
“รู้ แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจ”
“คุณนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ สักวันเถอะผมจะไม่อยู่กับคุณ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะไปจากฉันได้ทุกเมื่อ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูนิ่งเฉยทำเอาจาณีนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาไม่น่าพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้นเลย
“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากประชดคุณเฉยๆ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ”
“ผมรู้ว่าคุณไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ?”
“รู้ดีนะเรา” ศมนดีดหน้าผากจาณีนไม่แรงนัก อีกฝ่ายรู้จักเขามากพอระดับที่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร