พิมพ์หน้านี้ - เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เขมกันต์ ที่ 27-07-2016 21:49:40

หัวข้อ: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-07-2016 21:49:40
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



-------------------------------------------------------------------------------------------------

เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣


สวัสดีค่ะ

ขอนำเสนอเรื่องใหม่ค่ะ ^^ หวังว่าเรื่องนี้จะถูกใจคนอ่านทุกท่านนะคะ ^__________^ 

ฝากผลงานที่เคยแต่งค่ะ  :o8: กว่าจะเข้ากันได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51505.0)

ฝากทวิตเตอร์เพื่อพูดคุยหรือติดตาม ได้ที่นี่ค่ะ จิ้มตามไปเลย twitter (https://twitter.com/khemmakan)

:mew1: :mew1: :mew1:


สารบัญ บันเทิง

ภูเขาลูกที่หนึ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54963.msg3434471#msg3434471)
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-07-2016 22:01:25
ภูเขาลูกที่หนึ่ง


   "ไอ้คี วันนี้พ่อมึงไม่มารับเหรอวะ" เสียงไอ้ธร หรือ นิติธร ตะโกนถามผม เสียงดังแข่งกับเพลงที่เปิดอยู่ในร้านเหล้าประจำหลังมอ


   "เวรละ กูลืมโทรบอกเฮีย ทำไมมึงไม่ทักกูให้เร็วกว่านี้วะ" ผมรีบล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบออกมา เสียงไอ้ธรก็ตะโกนมาขัดจังหวะเสียก่อน


   "กูว่าไม่ทันแล้วว่ะ นู่น พ่อมึงยืนรอเตรียมสวดมึงอยู่หน้าร้านแล้ว" ไอ้ธรพยักเพยิดหน้าไปหน้าร้าน ผมเลยมองตามท่าทีของมัน


   "เชี่ยยย งานเข้ากูแล้วมั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อน ส่วนค่าเหล้า มึงจ่ายไปก่อน พรุ่งนี้กูมาจ่ายให้ ไปละ" พูดเสร็จผมก็คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วรีบเดินออกไปหน้าร้าน


   "เออ ขอให้ครบสามสิบสองมาเรียนนะเว้ย" ไอ้เพื่อนตัวดีอวยพรผมอย่างรักใคร่เชียวล่ะ ผมเลยชูนิ้วกลางแถมให้มันไปทีนึง



   พ่อมึงที่ไอ้ธรมันเรียกนั้น ไม่ใช่พ่อของผมจริงๆ หรอกครับ แต่คือเฮียเมฆ ไอ้พี่เมฆ หรือนายเมฆา ตอนนี้เฮียยืนรอผมอยู่หน้าร้าน เมื่อเห็นว่าผมเดินมาหา พี่แกมองหน้าผมนิ่งๆ ไม่พูดอะไรแล้วก็เดินตรงไปที่รถ แล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับแล้วติดเครื่องรออยู่เงียบๆ  ผมได้แต่เปิดประตูขึ้นไปนั่งอีกฝั่งอย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายออกคำสั่ง



   "เฮียมารอนานแล้วเหรอ" ผมเอ่ยถามกล้าๆ กลัวๆ ออกไป เฮียเมฆนี่จัดอยู่ในประเภทบุคคลอันตรายครับ ในทีนี้ไม่ได้หมายความว่าพร้อมจะลงมือใช้กำลังหรือฆ่าหั่นศพอย่างที่ไอ้ธรมันเอ่ยแซว แต่หมายถึงความเงียบครับ เฮียแกเป็นพวกที่แบบสร้างบรรยากาศรอบๆ ให้ดูกดดันได้อย่างไม่น่าเชื่อ


   "อืม" เสียงตอบเบาๆ ในลำคอ แต่ผมได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนใกล้จะขาดอากาศหายใจ ก็เลยกดปุ่มข้างตัวรถเพื่อลดกระจกรถ หวังว่าลมร้อนๆ นอกตัวรถจะช่วยต่อชีวิตผมให้อยู่รอดต่อไปได้ แต่ยังไม่ทันจะได้สูดอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษจากด้านนอก หน้าต่างฝั่งผมก็ถูกเลื่อนปิดเสียแล้ว ผมนี่เก็บหัวเข้ามาในรถแทบไม่ทัน


   "เหม็นควัน" เฮียเมฆพูดแค่นั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไป ส่วนผมเหรอ นั่งนิ่งเงียบเป็นเด็กเรียบร้อย(ชั่วคราว) สิครับ



   รถยนต์คันหรูสีดำเลี้ยวเข้ามาจอดในรั้วบ้านอย่างนุ่มนวล ก่อนที่เจ้าของรถจะดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงไปโดยไม่ได้หันมาสนใจคนในรถเลยสักนิด ผมนี่ต้องรีบลงจากรถแล้ววิ่งตามเฮียเข้าบ้านไป


   "คุณลุงกับคุณป้าเข้านอนแล้วเหรอครับ เฮีย" ผมรีบสาวเท้าก้าวตามติดคนเดินนำหน้า คนอะไรเดินโคตรไว ขนาดผมที่มีความสูงเกือบจะหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร บวกลบไม่เกิน สองหรือสามเซน ยังเกือบก้าวตามไม่ทัน เพราะคนที่เดินนำหน้าดันตัวสูงใหญ่กว่าผม เกือบๆ สิบเซน เลยทีเดียว คน............  บ้าอะไรวะ ตัวอย่างกับยักษ์วัดแจ้ง (ขอละ คำในช่องว่างเอาไว้นะครับ จริงๆ ก็อยากจะใช้คำอื่นแทน แต่เห็นว่าเป็นพี่เป็นเชื้อเลยให้เกียรติสักหน่อย)


   "ใช่"


   "เฮีย โกรธที่ผมไม่โทรบอกเหรอ" ในที่สุดผมก็ถามออกไปจนได้ มันโคตรโล่ง แต่แล้วก็ลุ้นคำตอบในคราวเดียวกัน จังหวะนั้นขายาวๆ ของเฮียก็หยุดลงพอดี ผมดีใจที่เฮียเมฆคงจะยอมพูดด้วยแล้ว แต่ไม่ใช่เลย เพราะตอนนี้ถึงหน้าห้องเฮียแล้วต่างหาก เฮียไม่ตอบอะไร มองหน้าผมนิ่งเหมือนเดิม ถอนใจออกมาเบาๆ แล้วก็เข้าห้องไป ผมอยากจะตามเข้าไปในห้องเฮียด้วยเหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเจ้าของห้องนั้นปิดประตูอย่างรวดเร็ว เพิ่มเติมคือลอคห้องด้วย


   ไว้ขอโทษพรุ่งนี้ก็ได้วะ



   ผมเดินคอตกกลับเข้าห้องนอนของผมเองบ้าง เริ่มลงมือถอดเสื้อผ้าออกแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป เมื่ออาบน้ำสระผมเสร็จ สมองผมก็เริ่มโปร่ง เริ่มคิดอะไรออกมากขึ้น ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ  รื้อตู้เสื้อผ้าเลือกกางเกงขาสั้นมาใส่ลวกๆ โดยไม่ได้สนใจ เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนกว้างสบายหลังนี้ คืนนี้คงหลับสบาย แต่ว่าดวงตากลมโตของผมยังเบิกโพลงค้างอยู่ในความมืด บางทีก็นึกอยากจะเป็นลูกคนจีนเผื่อว่าหน้าตาตี๋ๆ ตาชั้นเดียวเล็กๆ น่าจะนอนหลับได้ง่ายกว่านี้ เอ เกี่ยวกันมั้ยนะ



   ชักไปกันใหญ่ละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า หลังจากที่ผมได้ลองทบทวนความผิดเล็กน้อย สุดแสนจะขี้ประติ๋วนี้แล้วก็ค้นพบว่า เฮียน่าจะเป็นห่วงผม เพราะไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เฮียคงไปหาผมมาหลายที่ จนในที่สุด คาดว่าคงจะนึกขึ้นได้ว่าผมชอบมาร้านเหล้าหลังมอ ก็เลยตามมาจนเจอว่าผมอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วก็คงรอผมอยู่เป็นนาน แต่ทำไมเฮียไม่โทรหาผมวะ โง่หรือเปล่า ผมหยิบโทรศัพท์ที่น่าจะตกอยู่ใกล้ๆ พื้นข้างเตียง ควานๆ หาดูจนพบ แล้วกดปุ่มเพื่อจะเลื่อนหน้าจอ แต่ทว่า อ้าว แบตหมด! นั่นไง แบตหมด อ่า เฮียขอโทษนะที่ตะกี้ด่าว่าโง่น่ะ



   เอาล่ะ เพราะแบตหมด ผมก็เลยไม่ได้โทรบอกเฮียว่าจะกลับบ้านเอง ทำให้เฮียเป็นห่วง มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย เพราะแบตนั่นหากล่ะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยขอโทษละกัน หวังว่าพรุ่งนี้เฮียคงอารมณ์ดีกว่านี้ แล้วผมก็อาจจะรอดจากสายตาแช่เย็น เย็นเจี๊ยบจนถึงขั้วโลกของเฮียได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก



   แต่ก่อนที่ผมจะหลับตาลง ผมขอแนะนำตัวให้ทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่นี้ได้รู้จักตัวผมก่อนนะครับ อันตัวผมมีนามว่า นายคีรินทร์ รินทร์วิธา อายุสิบเก้าปี กำลังเรียนอยู่ในชั้นอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัย ปีสาม นั่นแหละครับ ผมเรียนเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่หนึ่งปี เพราะงั้นไอ้ธรที่ผมจิกเรียกมัน จริงๆ แล้วมันแก่กว่าผมนะ แต่ก็ช่างเถอะ วัยวุฒิสำคัญไฉน พอเป็นเพื่อนกันก็เรียกไอ้ได้แล้ว


       คณะที่ผมเลือกเรียนเป็นคณะบริหาร ไม่ใช่ว่าชอบหรืออะไร จำได้ว่าดูทีวีอยู่กับคุณป้า แล้วอยู่ๆ คุณป้าก็เปรยขึ้นมาว่าเสียดายที่เฮียเมฆไม่ยอมเรียนบริหารมาเรียนอะไรก็ไม่รู้ขีดๆ เขียนๆ แต่ไอ้ที่ว่าอะไรที่ไม่รู้ของคุณป้าน่ะมันบริษัทของคุณลุงที่รับออกแบบบ้านให้ใครต่อใครไม่รู้มากมายเลยนะครับคุณป้า จริงๆ แล้วจะว่าไปเฮียเมฆก็เรียนมาได้ถูกทางระดับนึงนะ เพราะภายหลังเจ้าตัวก็มาเรียนต่อโท บริหารอยู่ดี ดังนั้นผมก็เลยทำตัวเป็นหลานที่ดีตอบแทนพระคุณคุณป้าโดยการเรียนคณะบริหารให้คุณป้านั้นภูมิใจ


       แล้วก็เป็นดังคาดครับ คุณป้าภูมิใจในตัวผมมากกว่าเฮียเมฆ หากผมไม่ห้ามคุณป้าเอาไว้ตอนที่สอบติดเข้ามหาวิทยาลัยได้ล่ะก็  ป่านนี้คุณป้าคงจัดงานเลี้ยงฉลองสอบติดของผมไปอีกสามวันเจ็ดวันแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนก็ตาม



   แล้วเฮียเมฆล่ะ ปีนี้เฮียก็แก่จวนจะใกล้ลงโลงแล้วล่ะครับ เอ๊ยยยย ไม่ใช่อย่างนั้น ผมล้อเล่น ปีนี้เฮียอายุยี่สิบแปดปี แล้ว วัยกำลังขบเผาะเลย (ว่ามั้ย?) เฮียชื่อเมฆ หรือเมฆา วิวัฒน์จรรยา เป็นบุตรชายคนเดียวของคุณลุงวิกรณ์ และคุณป้าจันทรา วิวัฒน์จรรยา ครับ เฮียเมฆ เป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ครับ วัดได้จากความสูงที่เกินกว่ามาตรฐานชายไทยไปมากโข


       ส่วนใบหน้าของเฮียนี่ ผมโคตรอิจฉาเลย คือเฮียมีใบหน้าแบบคิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่ง ปากบาง คือพูดกันบ้านๆ คือโคตรหล่อครับ แล้วผมล่ะที่อิจฉาเพราะผมนั้นขี้เหร่ ปากเบี้ยว ตาเหล่ใช่หรือไม่ ผิดครับ ผมต้องขอออกตัว ยอมรับอย่างไม่อายปากเลยว่า หล่อไม่แพ้เฮียครับ แต่ที่ต่างกันคือทำไมคนถึงชอบทักว่าผมเป็นทอมอยู่เรื่อยไป ทอมที่ไหนจะตัวสูงขนาดนี้ ผมนี่โคตรเซ็ง ผู้หญิงหลายคนที่เคยคบ มีหลายคนที่ขอเลิกกับผมเพียงเพราะผมมีใบหน้าที่ดูสวยกว่าผู้หญิง ผมต้องเครียดมั้ย จริงๆ ก็เครียดนะ ผมนี่ผู้ชายทั้งแท่งเลยนะเว้ย



   "คุณป้าครับ แล้วคุณลุงกับพี่เมฆล่ะครับ" ผมเอ่ยถามสมาชิกคนอื่นในบ้าน ระหว่างที่กำลังนั่งทานมื้อเช้าตามลำพังกับคุณป้า อยู่ต่อหน้าท่านต้องเรียกลูกชายท่านเพราะๆ ครับ ท่านจะได้รักและเอ็นดูผมนานๆ


.
.
.
.
.
.

   เมื่อคืนผมเล่าค้างอะไรไปหรือเปล่า ผมเผลอหลับไปน่ะครับ คงไม่ว่ากันใช่มั้ย



   "คุณลุงกับตาเมฆออกไปบริษัทตั้งแต่เช้าจ้ะ เห็นบอกว่าวันนี้มีประชุมผู้ถือหุ้น"


   "อ้อครับ ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีแล้วนี่นา"


   "แล้วเมื่อคืนเราล่ะกลับกี่โมง ตาเมฆไปรับใช่หรือเปล่า"


   "ครับ พี่เมฆไปรับ" ตอบสั้นๆ ดูกำลังดี ผมละ คำตอบที่ว่ากลับกี่โมงเอาไว้ก่อน ภาพพจน์ต้องมาก่อนเสมอครับ


   "ดีแล้วล่ะจ้ะ กลางค่ำกลางคืนให้ตาเมฆไปรับก็ดีแล้ว ถ้าเราเป็นอะไรไป แม่เรามาแหวกอกป้าแน่"


   "คีโตแล้วนะครับ อีกอย่างพี่เมฆก็งานเยอะ ยังต้องไปรับคีอีก เหนื่อยแย่ ยังไงให้คีขับรถไปเรียนเองดีกว่ามั้ยครับ นะครับคุณป้า" ผมรีบลุกขึ้นเข้าไปคลอเคลียคุณป้า ออดอ้อนเผื่อท่านจะใจอ่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมขอ ถึงจะโดนบอกปัดหลายครั้งแล้ว แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้


   "อ้อนแม้กระทั่งคนแก่ รอให้อายุยี่สิบก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกทีก็แล้วกันนะ ตาคี"


   "จริงๆ นะครับ คุณป้า คีรักคุณป้าที่สุดเลย" ผมรีบหอมแก้มคุณป้าดังฟอดเรื่องเอาอกเอาใจขอให้บอก ผมจัดการได้


   "ปากหวานจริงๆ ลูกคนนี้ รีบไปเรียนได้แล้วตาคี เดี๋ยวป้าให้ลุงแช่มไปส่ง" คุณป้าลูบศีรษะผมอย่างเอ็นดู ผมชอบนะเวลาที่ใครมาลูบหัวผมแบบนี้ เหมือนได้รับความรักอย่างมหาศาล


   "ไงมึงยังไม่ตายเหรอ" ผมเดินเข้ามาในตึกบริหาร ก็ได้รับคำทักทายจากเพื่อน ดีจริงๆ ครับ


   "เออ ตายแล้ว ที่มึงเห็นน่ะ ผี พอใจยัง"


   "โอ๋ๆ พ่อหน้าหวานประจำคณะบริหาร งอนหน้าเป็นตูดแล้วครับ"


   "ไหงทักที่หน้าแล้วจบลงที่ตูดวะ"


   "เหมาะกับมึงมั้ง หึหึ" ไอ้ธรพูดจบก็หัวเราะผมก็เลยเอาสันหนังสือเคาะหัวมันไปทีนึงเป็นค่าตอบแทนความตลกของมัน


   "ไอ้เชี่ย เล่นไรเจ็บๆ วะ แล้วสรุปเมื่อคืนเป็นไง" ไอ้ธรยกมือลูบหัวตรงที่ผมเคาะหัวมัน ปากก็พล่ามถามผมต่อไม่หยุด


   "บรรยากาศหนาวเย็นอย่างกับขั้วโลกว่ะ เฮียแม่งไม่พูดอะไรเลย กูถามไปยาวยืด กลับตอบ 'อืม' สั้นๆ"


   "ช่วยไม่ได้ ใครให้มึงลืมโทรบอกพ่อมึงล่ะ"


   "โทรศัพท์กูแบตหมด หมดตอนไหนก็ไม่รู้ ซวยชิบ"


   "สมควร แล้วมึงจะทำไงต่อ"


   "เดี๋ยวเลิกเรียน กูจะเข้าไปหาเฮียที่บริษัท จะแวะซื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ เอาไปเซ่นไหว้ด้วย หวังว่าเฮียจะพอใจแล้วเลิกโกรธกู"


   "ขอให้สำเร็จนะมึง คิดอะไรแต่ละอย่าง"


   "ขอบใจมึงมากนะ ที่คอยช่วยเหลือกูตลอด ไปเรียนกันเถอะว่ะ อาจารย์ใกล้จะมาแล้ว" ผมแดกดันประชดมันเป็นพิธีแล้วก็ลุกเข้าห้องเรียน


.
.
.
.
.
   หลังเลิกเรียน ผมขอตัวแยกจากไอ้ธรมา มันงอแงโวยวายตามประสานิดหน่อยเพราะวันนี้ผมกับมันมีนัดกินเหล้าแถวผับแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะไปหลีหญิง แล้วคว้าเอากลับโรงแรมสักคน แต่ภารกิจเป็นอันยกเลิกเพราะวันนี้ ผมไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากเฮียเลย ทีแรกเกรงว่าโทรศัพท์ผมคงเสีย ลองให้ไอ้ธรโทรเข้ามาก็ติดปกติ เฮียคงจะโกรธผมอยู่แน่ๆ ผู้ชายอะไรวะ งอนได้งอนดี ถ้าไม่เห็นว่าเป็นลูกของคุณป้านะ ปล่อยแม่งทิ้งไว้แบบนั้นแหละ ไม่ดูดำดูดีหรอก




   ทำได้แค่คิดครับ กับเฮียเมฆแล้วผมมันเป็นพวกดีแต่ปาก อะไรก็ไม่กลัวเลยสักอย่าง แต่ยกเว้นเฮียโกรธ ประวัติของผมนี่ใช่ย่อยสารพัดจะทำให้เรื่องให้เฮียปวดหัว แต่เฮียไม่เคยจะเอาเรื่องเละเทะ เลวทราม หยาบคาย ของผมไปบอกคุณลุงกับคุณป้าให้เป็นห่วงเลย ดังนั้นในสายตาของคุณลุงกับคุณป้าแล้ว ผมเป็นหลานที่อยู่ในกรอบคุณงามความดีมาโดยตลอด ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ก็เลยทำให้ผมเกรงใจเฮียเมฆอยู่มาก หลายครั้งที่เฮียต้องไปประกันตัวผมที่โรงพักเพราะข้อหาเมาแล้วทะเลาะวิวาทบ้าง หรืออายุไม่ถึงเกณฑ์แต่ดันอยู่ในผับ หรือแม้กระทั่งเข้าข่ายเรื่องยาเสพย์ติด ทั้งที่จริงแล้วผมเนี่ยไม่สนใจเรื่องพวกยานั้นเลย ยกเว้นบุหรี่ที่มันห้ามยาก คนอื่นสูบ ผมก็เลยสูบตาม รวมหัวกันสูบบ้าง ทีนี้ก็เลยติดล่ะครับ



   ไอ้เรื่องที่บอกว่าเลิกเรียนแล้วจะไปหาเฮียที่บริษัทแล้วซื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ ไปเซ่นไหว้นี่ก็ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะตอนนี้ผมก้าวเท้าเข้าสู่อาคารสูงกว่ายี่สิบชั้น มือถือของพะรุงพะรังเชียว ในที่สุดผมก็หยุดที่หน้าโต๊ะทำงานเลขาของเฮีย ที่ตั้งอยู่หน้าห้องแล้ว



   "สวัสดีค่ะ คุณคี วันนี้ลมอะไรพัดมาถึงที่นี่คะ" คุณเลขาแสนสวยเอ่ยทักผมอย่างคุ้นเคย ผมเคยเจอเธอหลายครั้งแล้ว เธอเป็นคนที่พูดคุยเก่ง เป็นกันเอง ก็ต้องอย่างนั้นแหละครับ ทำงานด้านนี้มนุษยสัมพันธ์ต้องดีเป็นเลิศ


   "อ้อ พี่ยาคิดว่าน่าจะพอรู้แล้วล่ะค่ะ คุณคีเผลอไปทำอะไรให้คุณเมฆ เธอโกรธอีกล่ะคะ แหม  รอบนี้ช่อใหญ่กว่าปกติเลยนะคะ" เธอก็หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าของในมือที่ผมลงทุนถือมาแทนพวกของเซ่นไหว้นั่นคือดอกไม้ช่อใหญ่




   ผู้ชายคนนี้ชอบดอกไม้ครับ ผมก็ไม่รู้ทำไม เฮียเมฆชอบดอกไม้แทบทุกชนิด เคยถามเฮีย เฮียก็บอกแค่ว่ามันสวยดี ดูแล้วสบายตา แถมจรรโลงใจ ผมนี่งงสุดๆ ไปเลย ดูสาวๆ ก็จรรโลงใจแถมสบายตัวด้วยนะ เพราะฉะนั้นเลยเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติถ้าจะขอโทษเฮีย ก็ซื้อดอกไม้มาให้ เฮียก็จะอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย แล้วพอชวนคุยเล่นด้วยสักพักเฮียก็จะหายโกรธไปเอง ครั้งแรกก็ไม่รู้หรอกครับว่าต้องเป็นดอกไม้ รบเร้าถามจนเฮียรำคาญ เฮียเลยบอกว่าถ้าจะขอโทษให้ไปซื้อดอกไม้มา หลังจากนั้นก็เลยซื้อมาเรื่อยๆ ซึ่งก็ได้ผลดีทุกครั้ง และครั้งนี้ก็หวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม




   "เมื่อวานผมลืมโทรบอกว่าไม่ต้องมารับ  เฮียก็เลยต้องยืนรอผมเสียนาน กว่าจะรู้ตัวก็ดึกมากแล้ว" ผมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้พี่ยา รอยยิ้มไม้ตายคู่กายเพื่อเรียกร้องคะแนนความสงสาร ที่ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง


   "อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าวันนี้คุณเมฆดูอารมณ์ไม่ค่อยดีตลอดเลย คุณคีจะเข้าไปเลยมั้ยคะ หรือจะให้พี่เรียนให้คุณเมฆทราบก่อนว่าคุณคีมาหา ตอนนี้คุณเมฆไม่มีแขกค่ะ"


   "ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเข้าไปเลย ขอบคุณครับ" น้อมศีรษะแสดงมารยาทงดงามไปอีก 1 รอบแล้วก็รวมรวบความกล้า หน้าเชิด หลังตรง ยกมือเคาะประตูเบาๆ สองหรือสามครั้ง พอได้ยินเสียงอนุญาตจากภายในห้องก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป


   "มีอะไรด่วนหรือครับ คุณอารยา" คนในห้องทำงานถามผู้มาใหม่เพราะคิดว่าเป็นเลขาของเฮียโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร


   "ผมเองครับพี่เมฆ ไม่ใช่พี่ยาหรอก" เงียบ ไม่มีเสียงตอบจากเฮีย ใจแป้วเลยครับ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือต่อ ขยับเข้าไปตรงด้านหน้าโต๊ะทำงานให้มากที่สุด


   "พี่เมฆยังไม่หายโกรธอีกเหรอ เมื่อวานโทรศัพท์ผมแบตหมด แล้วผมเองก็ยุ่งๆ เลยไม่ได้โทรบอกเฮีย ผมขอโทษนะครับ" งัดวิชาออกมาใช้ก่อน ปกติแล้วผมจะเรียกเฮียเมฆ ว่าเฮีย เพราะจริงๆ แล้วเฮียก็มีเชื้อสายจีนเป็นลูกเสี้ยวทางฝั่งคุณลุง แรกๆ เฮียก็ไม่ค่อยชอบใจนักที่ผมเรียก แต่หลังๆ เหมือนจะชินชาไปเอง ประมาณว่าพูดไปผมก็คงเรียกเหมือนเดิม เฮียเลยเลิกสนใจจะเรียกอะไรก็ช่าง แต่ถ้าเวลาผมทำผิดเนี่ย ต้องทำตัวดี เรียกเฮียว่าพี่ครับ ก็หวังว่าจะใจอ่อนให้กันบ้าง



   "เมื่อวานพี่เป็นห่วงเราแค่ไหนรู้มั้ย โทรไปก็ไม่ติด ถามใครก็ไม่มีใครรู้สักคน" ได้ผลครับ เฮียถอนหายใจ ยอมเงยหน้ามาสบตาผมแล้วก็พูดเป็นประโยคที่คิดว่าน่าจะยาวที่สุดในชีวิตเฮียแล้ว



   เวอร์ไปใช่มั้ย แต่มันไม่เวอร์ไปหรอกครับ เฮียเมฆไม่ใช่คนที่ชอบอธิบายความรู้สึกยาวๆ แบบนี้อยู่แล้ว



   "ผมขอโทษนะ พี่เมฆ นี่ครับ ผมซื้อมาขอโทษพี่เลยนะ ตั้งใจเลือกดอกสวยๆ ให้เลยนะพี่ ดูสิๆ" ผมยื่นช่อดอกไม้ลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ให้กับคนตรงหน้า ตอนนี้เมื่อยมือมากครับ ถือมาก็ไกล แดดก็ร้อน ยังไม่ได้พักแขนเลยเนี่ย ณ จุดๆ นี้จะมีใครเข้าใจผมบ้าง



   แต่เฮียก็ไม่รับ ผมถือค้างไว้แบบนั้น ตอนนี้ตะคริวแทบจะกินไปทั้งแขน นี่เฮียอยากจะวัดความอดทนหรือไง



   "พี่เมฆ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ รับดอกไม้ไปเถอะนะครับ" พูดไปครับ พูดเยอะๆ ชีวิตผมจะได้เป็นสุข



   ผมสบตากับเฮียเมฆอยู่นาน ก่อนที่เฮียจะยอมรับช่อดอกไม้ของผมไป เฮียมองดอกไม้ในมือด้วยสายตาอ่อนโยน จับดอกไม้นั่น อย่างเบามือก่อนจะวางลงบนโต๊ะทำงาน โอยแขนล้าไปหมด ทำไมมันยากเย็นอย่างกับขอผู้หญิงแต่งงานเลยวะ แต่มันก็คุ้ม อย่างน้อยเฮียก็จะได้เลิกโกรธผมเสียที



   "วันหลังอย่าทำแบบนี้อีก" เฮียพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความ ผมพยักหน้าเร็วๆ ให้เฮียรู้ว่าผมจะเป็นนายคีรินทร์เด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน


   "คราวหน้าผมจะดูแบตโทรศัพท์เอาไว้ตลอดเลย ไม่ลืมโทรบอกพี่เมฆแน่นอน ว่าแต่ไม่โกรธแล้วนะ"


   "อืม" ผมบอกแล้ว ว่าประโยคข้างบนน่ะ ยาวที่สุดในชีวิตเฮียแล้ว


   "เฮีย ไปกินข้าวข้างนอกกันมั้ย เดี๋ยวผมโทรบอกป้าจันทราเอง" เฮียเงยหน้ามามองผมด้วยสายตาเอือมระอา


   "ตามใจ"


   "งั้นเลือกร้านเลยนะเฮีย"


   "พี่เหลืองานอีกนิดหน่อย"


   "ครับ รอได้ เฮียไม่รีบ"



   งานอีกนิดหน่อยของเฮีย....



   อีกนิดหน่อย...



   ตอนนี้มันใกล้จะสามทุ่มแล้วเว้ยยยย ตั้งใจจะแกล้งกันหรือเปล่าวะเนี่ย ถึงจะบอกว่าไม่รีบ แต่มันใช่เรื่องมั้ย ผมที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ต้องมาหิ้วท้องรอ กินข้าวไม่ตรงเวลา โรคกระเพาะถามหาใครจะรับผิดชอบ 



   ฉันต้องรออีกนานมั้ย ต้องรอเธออีกนานมั้ย อยากจะร้องเพลงนี้ให้เฮียได้ฟังเสียจริง ผมก็ยังเหมือนเดิม ทำได้แค่บ่นในใจ ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมที่จะรอได้ตลอดเวลา



   ในที่สุด เวลาของผมก็มาถึงแล้ว เฮียปิดหน้าจอโน้ตบุคตรงหน้าลง เก็บปากกาให้เข้าที่ และเสียงสวรรค์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อเฮียโทรศัพท์ภายในออกไปหาพี่ยา เลขาส่วนตัว พี่ยาน่าจะได้รับรางวัลพนักงานดีเด่นเสียจริง เจ้านายอยู่ดึกก็ยังต้องรอไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง



   "คุณอารยา" เสียงทุ้มกรอกเสียงลงไปยังปลายสาย


   "ค่ะ คุณเมฆ"


   "มีงานเร่งอะไรอีกมั้ยครับ ถ้าไม่มีแล้ว วันนี้ผมขอตัวก่อน"


   "ไม่มีแล้วค่ะ คุณเมฆ ส่วนพรุ่งนี้มีประชุมตอนช่วงเช้าเวลาสิบโมงค่ะ"


   "ครับ ขอบคุณมาก" เฮียวางหูโทรศัพท์ลงอย่างเบามือ สมเป็นผู้ดีจริงๆ ผมก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งที่ชีวิตกำลังจะได้ออกสู่โลกกว้างอีกครั้ง


   "หิวหรือยัง" ถามอะไรออกมา! รู้ตัวมั้ยครับ เฮีย นี่มันกี่โมงกี่ยาม มาถามว่าหิวมั้ย มันใช่เรื่องมั้ย เพื่อนเล่นเหรอ


   "ก็เริ่มหิวแล้วครับ เฮียหิวยัง" ผมยิ้มตอบหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า บรรจงตอบเฮียไปด้วยท่าทียิ้มแย้ม


   "งั้นไปกันเถอะ เลือกร้านได้แล้วใช่มั้ย"


   "ครับ"


   "ร้านไหน บอกทางพี่ด้วยล่ะ" เฮียพูดจบก็หยิบเสื้อสูทพาดแขน หยิบช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอมเบามือ เสร็จแล้วหันมาพยักหน้าบอกให้รู้ว่าพร้อมที่จะไปแล้ว ผมเดินตามเฮียออกไปจนถึงหน้าตึก ก็เจอรถคันงามของเฮียจอดไว้แล้ว วันนี้เฮียขับรถกลับบ้านเอง คาดว่าทีแรกคงจะกลับบ้านดึกกว่านี้ เลยบอกให้ลุงหมายกลับไปพักผ่อนแล้ว ไม่ต้องรอ




   เฮียพยักหน้าบอกพนักงานหน้าตึกให้เปิดประตูด้านหลังคนขับแล้วบรรจงวางดอกไม้ของเฮียเบาๆ ผมล่ะหมั่นไส้จริง ส่วนผมน่ะเหรอ ก็ก้าวขึ้นไปนั่งที่ประจำด้านข้างคนขับอย่างรู้งาน  บอกเส้นทางกับชื่อร้านให้คนขับได้รับรู้ แล้วรถคันหรูของเฮียก็ออกตัวอย่างนุ่มนวล




   เฮียเมฆขับรถเบนซ์ CLS Coupe เรียบหรู มีราคา เฮียเคยบอกว่าไม่ชอบ จะรถยนต์แบบไหนมันก็เป็นรถยนต์ที่สามารถพาเราไปถึงที่หมายด้วยกันทั้งนั้น แต่ด้วยหน้าที่การงานของเฮียทำให้ รถประจำตำแหน่งจึงต้องเชิดหน้าชูตาเพื่อแสดงถึงความมั่นคงของบริษัทออกมาได้เป็นอย่างดี เฮียจำต้องใช้รถคันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่าหาว่าผมติดหรู หัวสูงอะไรแบบนั้นเลย รถคันอื่นผมก็นั่งได้ ไม่ได้คันคะเยอ มีผื่นขึ้นอะไรแบบนั้น แต่รถเฮียน่ะนั่งสบาย ผมชอบ แล้วยิ่งเวลาเฮียเป็นคนขับ ผมยิ่งชอบ เฮียเป็นคนที่ขับรถดี นั่งอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัย แล้วก็เป็นขาเหยียบ สายความเร็วด้วยคราวเดียวกัน เฮียรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงควรจะขับให้ดี ปลอดภัย หรือเมื่อไหร่ควรจะใช้ความเร็วตามความแรงของรถที่มี  อย่าหาว่าผมนินทาเฮียเลย ถ้าออกต่างจังหวัดนะ เฮียขับแปปเดียวถึงปลายทาง แปปเดียวจริงๆ




   ในที่สุดผมก็มาถึงที่หมาย  ร้านนี้ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่ผมเลือก ร้านนั้นเป็นร้านอาหารที่คนส่วนใหญ่เลือกไปกันนี่แหละครับ แต่เพราะเวลานี้มันใกล้จะสามทุ่มแล้ว ถ้าไปครัวก็ใกล้จะปิดแล้วใช่มั้ย ก็เลยต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย จากร้านอาหารธรรมดาก็เลยเป็นร้านกึ่งผับนิดหน่อย มีเหล้าดื่ม มีเพลงฟัง มีสาวเต้นเยอะ มีอาหารอร่อย มันดีจะตายไป เฮียปรายตามามองผมแวบนึง แต่ก็ไม่พูดอะไร ดับเครื่องแล้วเปิดประตูลงจากรถ


---------------
ต่อด้านล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-07-2016 22:02:13
ต่อค่ะ

-------------------------


   
'Chill Bar & Resturant'



   ร้านนี้เปิดเพลงดี เพลงเพราะ ผมเคยมากับไอ้ธร 2-3 ครั้ง มาแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายดี ที่นี่ไม่ได้เปิดเฉพาะเพลงที่กำลังฮิตอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังมีแทรกเพลงเก่าๆ พอให้คนวัยทำงานรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงบ้าง ร้านนี้มีไม่กี่โต๊ะที่ไว้สำหรับรับประทานอาหารจริงจัง ส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะเล็กๆ ไม่มีเก้าอี้นั่งมากกว่าไว้สำหรับสายเต้น วันนี้วันธรรมดาคนไม่เยอะเท่าวันศุกร์หรือเสาร์ ผมเลยได้โต๊ะนั่งบริเวณแถวกระจก มองออกไปเจอม่านน้ำตกขนาดกำลังดี มีปลาคาร์ฟตัวใหญ่แหวกว่ายหลายตัว มองแล้วก็เพลินตา พนักงานยื่นเมนูอาหารมาให้ เฮียกับผมต่างคนต่างสั่งอาหารให้ตนเองเสร็จแล้วก็คืนเมนูให้กับพนักงาน




   "เฮีย ผมดื่มเหล้าได้มั้ย" รอคำสั่งอนุมัติครับ มากับผู้ปกครองมันก็ลำบากแบบนี้แหละ


   "พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่เหรอ" เฮียไม่ได้ปฏิเสธแต่คำพูดก็สื่อออกมาชัดเจน


   "นะ เฮีย พรุ่งนี้เรียนบ่าย แล้วผมก็มากับเฮีย คุณป้าไม่ว่าหรอก"


   "คี" เฮียพูดเสียงต่ำอย่างระอา


   "เอาน่าเฮีย นิดๆ หน่อยๆ เอง"


   "อย่าดื่มเยอะล่ะ" ไชโยโห่ฮิ้ว กรีดร้องเสียดังภายในใจ ผมไม่รอช้า ยกมือเรียกพนักงานในร้านสั่งเครื่องดื่มให้ตนเองพร้อมสรรพ


   "เฮียดื่มด้วยมั้ย"


   "ไม่ล่ะ ต้องขับรถ" ถูกของเฮีย แต่ดื่มคนเดียวมันก็เซ็งๆ เนาะว่ามั้ย



   อาหารที่สั่งไปเริ่มทยอยมา เฮียกับผมนั่งทานกันเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร โดยปกติก็เป็นแบบนี้แหละ เฮียเป็นคนพูดน้อย ผมเคยถามคุณลุงว่าเฮียพูดน้อยแบบนี้จะคุยงานยังไง เพราะต้องอธิบายเรื่องแบบที่เขียน เรื่องข้อตกลงต่างๆ คุณลุงหัวเราะดีดหน้าผากผมเบาๆ แล้วบอกว่า



   "เด็กโง่ เรานี่ไม่รู้อะไร พี่เขาน่ะ ตอนทำงานพูดเยอะเสียจนลูกค้าปฏิเสธไม่ทันเลยเชียวล่ะ" ผมไม่ได้โง่นะ แต่คุณลุงชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อย


   ผมน่ะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าในช่วงเวลานั้น เฮียพูดได้จริงอย่างที่คุณลุงบอกหรือไม่ บางทีผมก็คิดนะว่าเฮียพูดภาษาไทยได้จริงหรือเปล่า หรือพูดได้เท่านี้ หรือว่าเฮียอมอะไรไว้ในปาก ผมล่ะ งงจริงๆ


   "คิดอะไรพิเรนทร์อยู่" เฮียทักผมระหว่างที่กำลังคิดเรื่องเฮียอยู่พอดี


   "เปล่าครับ " ใครจะกล้าตอบว่ากำลังนินทาเฮียอยู่ในใจกันล่ะ


   "โกหก"


   "เปล่าจริงๆ เฮีย"



   อิ่มจากมื้ออาหารแล้ว ผมเริ่มดื่มน้ำสีอำพันในมือไปเรื่อยๆ  สักพักก็เริ่มมึน  เพลงกำลังเพราะ บรรยากาศก็ดี ผมโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลงเบาๆ เฮียดื่มน้ำเปล่า มองผมที่ดูจะมีความสุขอยู่ตามลำพัง  แล้วเฮียก็ยิ้มให้ผม เฮียยิ้มไม่บ่อย ผมรู้สึกว่าเฮียไม่ค่อยยิ้มเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นคนที่ยิ้มแล้วออกจะน่ามอง ผมเจอเฮียทีไร ใบหน้ามักเรียบเฉยอยู่ตลอด จะเห็นเฮียยิ้มมากหน่อยเวลาคุยกับคุณป้าจันทรา ผมอยากให้เฮียยิ้มบ่อยๆ นะ



   "คุณครับ" พนักงานเดินมาหยุดที่ตรงหน้าผม ยื่นกระดาษสีขาวขนาดเล็กมาให้ ผมมองตามนิ้วของพนักงานที่ชี้ไปยังโต๊ะอีกฝั่งใกล้ประตูทางออก สบตากับคนส่งที่มา ผมยิ้มให้เขาแล้วค่อยรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน


   
'ชื่ออะไร ผมขอเบอร์ได้มั้ยครับ คนสวย'


   อารมณ์ที่กำลังดีของผมสะดุดกึก อะไรวะ คนสวย ไอ้นี่ มึงวอนหาเรื่องตายมากใช่มั้ย จะจีบใครทั้งที เสือกมีตาหามีแววไม่ ผมขอยืมปากกาของเฮียที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้วมาขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างลงไปก่อนจะยื่นกลับไปให้พนักงานคนเดิม


   'คนสวยอะไรวะ กูเป็นผู้ชาย และถ้ายังไม่รู้กูจะบอกให้เอาบุญ กูมากับผัวกู มึงแหกตาดูบ้างมั้ย' เขียนลงไปแบบซอฟท์ๆ นะครับ ไม่อยากหาตีนให้เฮีย ถ้ามา สองคนกับไอ้ธรล่ะก็ ผมไม่ทำแค่เขียนครับ เดินไปกระทืบหน้าแม่ง ข้อหาตาไม่ดี พูดจากวนโมโห



   "เฮียเมฆ กลับกันเถอะ" บรรยากาศกำลังดี แต่เจอแบบนี้อารมณ์เสียครับ


   "คิดเงินเลยละกัน" เฮียไม่ถามให้มากความ พูดจบก็เรียกพนักงานมาเก็บเงิน



   ผมรอจนเฮียจ่ายเงินเรียบร้อย รอจนเฮียลุกขึ้นยืนผมก็รีบปรี่เข้าไปคล้องแขนเฮียเอาไว้ ผมเซไปเล็กน้อย คงเป็นเพราะดื่มไปหลายแก้วทีเดียว ศีรษะพิงไหล่เฮีย ประหนึ่งง่อยเปลี้ยเสียขาไปแล้ว เงยหน้ายิ้มให้เฮีย เฮียมองผมด้วยสายตาประหลาดใจแต่ก็ไม่เอ่ยอะไร เฮียเลยจำต้องประคองผมนิดหน่อยเพราะผมใกล้จะเป็นอัมพาตแล้ว เราสองคนเดินผ่านโต๊ะนั้น ผมเห็นสายตาของมันมองผมอย่างไม่เชื่อในสายตาของมันเอง ชูนิ้วกลางให้มันไปทีนึง ช่วยไม่ได้ ผมหน้าสวยแต่ไม่ได้เป็นผู้หญิง แถมยังปากหมา สันดานเสียด้วย 




   "เป็นอะไร" เฮียเอ่ยถามผมหลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว


   "ไอ้เ-ยนั่น มันจะจีบผม ขอเบอร์ผม แต่เสือกลงท้ายว่าคนสวย โคตรโมโหเลย" เฮียฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องที่มีคนคิดว่าผมเป็นผู้หญิง แต่มันก็ยังทำใจไม่ได้สักที ยิ่งเจอบ่อยเข้าจากไม่ชอบเลยกลายเป็นเกลียดไปโดยปริยาย


   "ยังไม่ชินอีกหรือไง"


   "ใครจะไปชิน ถ้าผมหน้าเหมือนเฮียนะ โอ้ย พูดแล้วโมโหว่ะ"


   "หน้าเหมือนพี่? หน้าเหมือนพี่แล้วทำไม"


   "ถ้าผมหน้าเหมือนเฮียนะ ผมจะ... จะ" เออว่ะ ถ้าหน้าเหมือนเฮียเมฆ แล้วผมจะทำอะไรวะ


   "ทำไม"


   "ช่างเถอะ ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี" ผมตัดบทไป เฮียก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก


   "แล้วคีเขียนอะไรลงไป"


   "ผมเขียนว่า กูเป็นผู้ชาย มีผัวแล้ว" เฮียหัวเราะเสียงดังกับความเวอร์วังของผม เฮียเมฆไม่ได้โกรธเพราะรู้เรื่องความใจร้อนของผม มือใหญ่ของเฮียเอื้อมมายีหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ไม่บ่อยนักที่เฮียจะทำ เฮียเคยบอกว่า ผมโตแล้วคงไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัวสักเท่าไหร่ แต่ผมไม่เคยรู้สึกนะ ถึงแม้บางทีจะเคยโมโหบ้างเพราะผมที่อุตส่าห์เซทมาเพื่อตั้งใจจะไปจีบสาวแล้วก็ดันเสียทรงเอาซะได้


   "หน้าตาแบบนี้แหละดีแล้ว"


   "มันจะดีได้ยังไง เฮีย"


   "บางทีก็รู้สึกเหมือนมีน้องสาว" อย่าได้ดูถูกเรื่องปากของเฮียนะครับ ทุกท่าน ถ้าอารมณ์ดีๆ ไม่เครียด เฮียเมฆปากหมาไม่แพ้ใครเลย อ้อ ตีนหนักด้วยนะครับ ผมเองไม่เคยโดนหรอก แต่เคยเห็นคนมีเรื่องกับเฮียก็เข้าโรงพยาบาลไปหลายรายอยู่ เฮียเป็นพวกพูดน้อยต่อยหนัก ประมาณนั้นแหละครับ


   "เฮียพูดแบบนี้ คือจะเอาใช่ป่ะ" ผมหรี่ตามองเฮีย เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่ชอบ ยังมากวนอารมณ์อีก


   "ล้อเล่นน่า"


   "เฮียรู้ป่ะ หลายครั้งที่มีเรื่องชกต่อย เพราะไอ้พวกนั้น เรียกผมว่าไอ้หน้าตุ๊ด หลายครั้งที่โดนจับตูดเพราะมันคิดว่าผมเป็นผู้หญิง"


   "รู้สิ คีบอกพี่เป็นร้อยรอบแล้ว" เฮียหัวเราะเบาๆ สงสัยผมคงจะเมาครับ เพราะเมาทีไรจะพูดซ้ำๆ เหมือนเดิม เรื่องเดิมๆ แต่เฮียก็ไม่เคยรำคาญเลย



รถหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เมฆาเรียกเด็กในบ้านมารับดอกไม้เพื่อไปจัดใส่แจกันตรงห้องทานข้าว พรุ่งนี้กลิ่นดอกไม้คงจะหอมทั่วไปห้อง สายตาคมดุมองคนที่หลับอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าระอากับสิ่งมีชีวิตนี้ ร่างสูงโน้มตัวลงไปอุ้มคีรินทร์ ค่อยๆ สอดแขนข้างหนึ่งไปช้อนใต้คอ ส่วนอีกข้างสอดเข้าไปใต้ขาระหว่างข้อพับบริเวณหัวเข่า คนที่หลับอยู่ถึงจะไม่ใช่คนที่มีรูปร่างใหญ่หนาอะไรนัก แต่ก็สูงไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งหลับสนิทแบบนี้ น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงเป็นทวีคูณ เมฆารีบสาวเท้ายาวๆ ตรงขึ้นไปห้องของน้องชาย ที่อยู่ชั้นสอง ติดกับห้องนอนของตน



   "นอนห้องเฮียนะ" คนที่หลับมาตลอดทาง สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพูด


   "ไม่ได้"


   "ผมไม่อยากนอนคนเดียว นะครับ พี่เมฆ" พี่ชายตัวโตถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินเลยต่อไปห้องติดกัน ชายหนุ่มเปิดประตูอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่ตรงไปที่เตียงก่อนจะวางในอ้อมแขนลงอย่างเบามือ



   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมฆาเดินไปเปิดดูก็พบว่าเป็นป้าสายใจ แม่บ้านที่พ่วงตำแหน่งแม่ครัวของที่นี่ ป้าสายใจยกอ่างเล็กๆ ในนั้นบรรจุน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง พร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวแช่อยู่  ส่วนมืออีกข้างก็ถือชุดนอนของคนที่ยังหลับอยู่



   "ป้าเอามาให้ค่ะ เห็นน้อยบอกว่าคุณคีกลับมาทั้งที่ยังหลับอยู่ ป้าเลยคิดว่าคุณเขาอาจจะนอนไม่สบายตัว"


   "เมาน่ะป้า ขอบคุณครับ" เมฆารับอ่างเล็กนั้นมาไว้


   "ให้ป้าเช็ดตัวคุณคีเองมั้ยคะ" ป้าสายใจอาสาด้วยความหวังดี


   "ไม่เป็นไรครับ นี่ก็ดึกแล้ว ป้าไม่พักเถอะ ผมไม่กวนแล้ว"


   "ป้ายินดีค่ะ ว่าแต่คุณคีไม่ยอมกลับไปนอนห้องตัวเองอีกแล้วเหรอคะ"


   "ครับ โตแล้วแต่ก็ยังทำตัวเหมือนเด็ก"


   "คุณเมฆเองก็เอ็นดูเธอไม่ใช่หรือคะ"


   "ก็เพราะแบบนี้แหละครับ เลยไม่ยอมโตสักที" เมฆาหันไปมองคนก่อปัญหาในห้อง แล้วส่ายหน้าเบาๆ


   "คุณคี เธอเป็นคนน่ารัก ใครจะกล้าขัดใจล่ะคะ งั้นถ้าคุณเมฆจะเช็ดตัวให้เอง ป้าขอตัวไปนอนก่อนนะคะ มีอะไรก็เรียกป้าหรือยัยน้อยได้เลยนะคะ"


   "ขอบคุณอีกครั้งครับป้าสายใจ น้อยด้วย" ชายหนุ่มปิดประตูลง หลังจากป้าสายใจกลับไปแล้ว



   เมฆาวางอ่างเล็กพร้อมชุดนอนไว้ที่พื้นข้างเตียง จับคีรินทร์พลิกร่างไปมาจนกระทั่งถอดเสื้อผ้าของคนตรงหน้าได้หมด ก้มลงไปบิดผ้าชุบน้ำให้หมาด แล้วเริ่มเช็ดตัวคนที่หลับอยู่ คีรินทร์ส่งเสียงประท้วงฮึดฮัดเพราะความหนาวเย็นของน้ำ ผนวกกับอากาศที่ถูกเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ คีรินทร์จึงขดตัวเล็กน้อย เพราะรู้สึกหนาวขึ้นมา



   "อยู่เฉยๆ จะเสร็จแล้ว" เมฆาเอ่ยเสียงเรียบเพราะตอนนี้เจ้าตัวเริ่มไม่ให้ความร่วมมือง่ายๆ เสียแล้ว


   "หนาว พี่เมฆ"


   "รู้แล้ว ถึงให้อยู่เฉยๆ ไง ขยับไปมาแบบนี้ เมื่อไหร่จะเช็ดตัวเสร็จ"


   "ผมหนาว" เช็ดตัวไปได้รอบเดียว เมฆาจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะเช็ดตัวรอบที่สอง ชายหนุ่มวางผ้าขนหนูผืนเล็กลงในอ่าง แล้วหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้คนประท้วง กว่าจะเสร็จก็ทำเอาเหนื่อยล้า




   เช้าวันนี้เขาต้องตื่นเร็วกว่าปกติเพราะมีงานด่วนที่รอไม่ได้ กว่าจะเลิกก็ค่อนข้างดึก สงสารเด็กดื้อคนนี้ที่อดทนรอเขาตั้งหลายชั่วโมง เลยยอมตามใจเด็กมีปัญหา เมฆาลุกขึ้นเอาอ่างไปเก็บ แล้วชายหนุ่มก็เริ่มอาบน้ำชำระร่างกายของตนเองบ้าง เมฆาอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม ร่างสูงเดินเข้ามานอนบนเตียงที่ยังพอมีพื้นที่ว่างให้เจ้าของได้นอน ในใจอยากจะดีดหน้าผากคนหลับนี่เสียจริง ห้องก็ไม่ใช่ห้องตนเองแต่มายึดครองไปเสียเกือบหมด




   เมฆาล้มตัวนอนก็หันไปมองร่างข้างๆ ที่กำลังหลับ ชายหนุ่มเอื้อมไปลูบผมสีดำตรง เส้นเล็กที่ค่อนข้างยาวนั้นเบาๆ


   "ฝันดีนะ คี" พูดจบเมฆาก็หลับตาเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ยังไม่ทันจะหลับ ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงแรงกอดที่มาจากคนข้างๆ คีรินทร์เขยิบตัวเข้ามากอดเขาไปไว้เต็มตัว ศีรษะได้รูปยกขึ้นมาวางที่หน้าอกแข็งแรง ขายาวของเจ้าตัวก่ายเกยขึ้นมา เมฆาถอนหายใจเบาๆ นี่เขาไม่ใช่หมอนข้าง เจ้าเด็กนี่ขนาดหลับยังก่อความวุ่นวายไม่เลิก



   เมฆาปรายตาลงไปมองศรีษะที่นอนทับบนหน้าอกของเขาแทนต่างหมอนแล้วก็อยากจะเขกกะโหลกเด็กนี่สักที แต่ความคิดก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นว่าคนที่น่าจะยังหลับอยู่ บัดนี้กลับจ้องมองมาที่เขาเช่นกัน


   "ตื่นแล้วเหรอ พี่ไม่ใช่หมอนข้างนะคี ลุกออกไปได้แล้ว"


   "ผมก็ไม่เคยคิดว่าพี่เป็นสักหน่อย แค่อยากกอดพี่เมฆแบบนี้ต่างหาก"


   "โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ"


   "ก็เพราะว่าโตแล้วไง มันถึงเป็นแบบนี้ พี่เมฆลูบหัวบ่อยๆ สิ ผมชอบ"


   "นี่ยังไม่หายเมาใช่มั้ย" ถึงจะถามไปแบบนั้นแต่เมฆาก็ตามใจน้อง มือหนาลูบศีรษะคีรินทร์เบาๆ


   "มึนๆ อยู่เลย" มือขาวเอื้อมมือมานวดเบาๆ บริเวณขมับ


   "ดื่มไปซะหลายแก้ว เป็นเด็กเป็นเล็ก นิสัยเสียจริงๆ"


   "พี่เมฆนี่เมาแทนผมใช่ป่ะ ตะกี้เพิ่งบอกว่าผมโตแล้ว ตอนนี้บอกว่าเด็ก จะเอายังไงกันแน่" เสียงทุ้มบ่นอู้อี้อยู่บนหน้าอกของเมฆา


   "มันไม่เหมือนกัน"


   "แล้วอะไรที่เหมือนกันล่ะ"


   "เมาแล้วอย่าเรื้อน อย่าพาลได้มั้ย"


   "ผมเปล่า พี่เมฆนั่นแหละพูดจาไม่รู้เรื่อง"


   "นอนเถอะคี วันนี้พี่เหนื่อย" เมฆาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเมา ตัดบทเพื่อให้คีรินทร์ได้นอนต่อ


   "พี่เมฆ จูบก่อน"


   "ไม่"


   "ถ้าไม่จูบ ผมไม่นอนจริงๆ ด้วย"


   "คี" เมฆาพูดด้วยความอ่อนใจ


   "เร็วๆ พี่เมฆ"


   "ถ้าพี่จูบแล้ว คีต้องนอนนะ"


   "ตกลง"



   แต่เมฆาก็ไม่ได้จูบคีรีนทร์อย่างที่บอกออกไป กลับเป็นคีรินทร์ที่กระเถิบตัวขึ้นมาแทน ริมฝีปากบางจูบลงเน้นหนักบนปากอิ่มของพี่ชาย คีรินทร์แทะเล็มอีกฝ่ายอยู่นาน แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากคนข้างใต้ คนที่เริ่มก่อนส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอด้วยความขัดใจ ส่งผลให้เมฆาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในลำคอกับท่าทางของคนเก่งด้านบน



   "พี่เมฆ" เสียงทุ้มของคีรินทร์เริ่มไม่พอใจกับท่าทางของพี่ชายที่เอาแต่นิ่งเฉย เขาเองรู้ดีว่าตนเองไม่ได้ด้อยประสบการณ์เรื่องบนเตียง แต่การที่ถูกอีกฝ่ายเฉยใส่แบบนี้แสดงว่าเจ้าตัวกำลังโดนแกล้งอยู่แน่นอน


   "อืม" เมฆาตอบรับเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกไล้ริมฝีปากของอีกฝ่ายแทน



   ร่างสูงใหญ่กว่าพลิกตัวคนข้างบนให้เป็นฝ่ายนอนอยู่ภายใต้ร่างของเขาแทน เมฆากวาดลิ้นหนาเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย รสเหล้ายังอวลอยู่ในปากของคีรีนทร์ แต่มันกลับทำให้รู้สึกแปลกออกไปอีกแบบ อุณหภูมิเย็นฉ่ำภายในห้อง แต่สองร่างกลับมีแต่ความร้อนรุ่มอยู่ภายใน รสจูบนั้นดูทีท่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ หากคีรีนทร์ไม่ได้ประท้วงขอหยุดเอาไว้เสียก่อนเพราะตัวเขาเองใกล้จะขาดอากาศหายใจเสียแล้ว เสียงหอบหายใจยังได้ยินชัดในความรู้สึก



   "ทีนี้ก็นอนได้แล้วนะ" เมฆารอจนปรับลมหายใจได้เป็นปกติจึงพูดขึ้น


   "อือ" เมฆากระชับผ้าห่มให้น้องชาย ดูจนแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวจะไม่หนาวกลางดึก จึงหลับตาลงหมายจะนอนเสียที แต่มือหนายังโอบคนข้างๆ ไว้แนบชิดกับตัวเอง ส่วนอีกฝ่ายก็พลิกกอดพี่ชายเสมือนเป็นหมอนข้าง ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปด้วยกัน




-----------------------------------------------------------
เป็นยังไงกันบ้างคะ ติชมได้เล้ยยยย
เจอคำผิดตรงไหน แจ้งมาได้เลยค่ะ ไม่ต้องเขินนนน แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ

รักคนอ่านทุกคนค่า  :mew1:

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: monoii ที่ 28-07-2016 09:51:34
เจิมมมม
เรื่องใหม่  ท่าทาง คี จะแสบน่าดู
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 28-07-2016 14:59:00
เขาคบกันอย่างไรนี่
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-07-2016 18:41:46
ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 'คนสวยอะไรวะ กูเป็นผู้ชาย และถ้ายังไม่รู้กูจะบอกให้เอาบุญ กูมากับผัวกู มึงแหกตาดูบ้างมั้ย'
คี จองเฮียเมฆ เป็นผัว แล้วใช่มั้ย :katai3:
 "พี่เมฆ จูบก่อน"
"ไม่"
"ถ้าไม่จูบ ผมไม่นอนจริงๆ ด้วย"
 "ถ้าพี่จูบแล้ว คีต้องนอนนะ"
"ตกลง"
มันเป็นแบบนี้มาแต่เมื่อใด  :katai1: :katai1: :katai1:
คี  อ้อน พี่เมฆ น่าร้ากกก  :-[ :-[ :-[
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-08-2016 19:47:29
+1 ให้ทุกคนแล้วน้า จุ๊บๆ




ภูเขาลูกที่สอง



   "เมื่อคืนเมากลับมาอีกแล้วเหรอ พ่อตัวดี" คุณป้าจันทราเอ่ยถามผม ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้น2 ของตัวบ้าน


   "เปล่าสักหน่อยครับ ป้าจัน" ผมรีบพุ่งเข้าหาคุณป้า กอดเอวอวบหนานั้นแน่นๆ


   "ไม่ต้องมาอ้อนป้าเลย"


   "โธ่ เมื่อวานผมไปกับพี่เมฆนะครับ ไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนเลย"


   "จ้ะๆ เรื่องเฉไฉล่ะเป็นที่หนึ่ง แล้วนี่หิวหรือยังล่ะ"


   "ก็หิวนิดหน่อยอยู่เหมือนกันครับคุณป้า แต่เดี๋ยวคีไปทานที่มหาลัยก็ได้ครับ"


   "ทานที่นี่แหละ ข้างนอกน่ะอาหารทำเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ยังไงอาหารที่บ้านก็สะอาดกว่า" คุณป้าจัดแจงเรียกน้อยมาจัดโต๊ะเตรียมมื้ออาหารให้ผม ไม่นานนักอาหารที่อุ่นร้อนๆ ก็ถูกนำมาวางอยู่ตรงหน้า รสมือป้าสายไม่เคยตก อร่อยเหมือนเดิม ผมทานไม่นานก็จัดการอาหารตรงหน้าจนเรียบ ป้าจันกับป้าสาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด


   "อิ่มแล้วครับ ขอบคุณครับ"


   "เดี๋ยวป้าให้ลุงหมายขับไปส่งที่มหาลัยนะ"


   "อ้าว ลุงแช่มไปไหนเหรอครับ" คือปกติแล้วเนี่ย ลุงหมายจะรับหน้าที่ขับรถให้คุณลุงกับพี่เมฆ โดยตอนเช้าเนี่ย ทั้ง สองคนจะไปทำงานพร้อมกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพี่เมฆเสียคนเดียวมากกว่า เพราะตอนนี้คุณลุงเริ่มวางมือจากบริษัทมากขึ้นแล้ว ส่วนลุงแช่มจะคอยขับรถไปส่งคุณป้า หรือส่งผมไปเรียนมากกว่า


   "เมื่อเช้าป้าให้ลุงแช่มออกไปทำธุระ ส่วนตาเมฆก็กำลังจะไปทำงานพอดี ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ป้าเลยให้ลุงแช่มไปส่งเสียทีเดียวเลย จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ไม่เปลืองน้ำมันด้วย เดี๋ยวลุงหมายไปส่งเราที่มหาลัยเสร็จก็รับลุงแช่มกลับมาพร้อมกันเลย วันนี้พี่เราน่ะบอกจะขับรถกลับเอง เลิกเรียนกี่โมงก็อย่าลืมโทรบอกพี่เขาเสียด้วย ป้าล่ะกลัวดอกไม้จะล้นเต็มบ้าน เมื่อวานก็ดูจะง้อเสียช่อใหญ่เลยเชียว" ป้าจันทราพูดพลางหัวเราะในพฤติกรรมลูกชายพร้อมๆ กับการไถ่โทษของผม เข้าใจตรงกันครับ โกรธทีไรดอกไม้เต็มบ้าน


   "ครับ คุณป้า งั้นคีไปเรียนก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย" ก้มลงหอมแก้มขาวเบาๆ ทั้ง สองข้างของป้าจันทรา


   "จ้ะ ตั้งใจเรียน ไปดีมาดีนะลูก" คุณป้าลูบศรีษะผมเบาๆ เมื่อให้พร


   "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ผู้สูงวัยก่อนจะออกจากบ้านไป




   ระหว่างทางที่กำลังนั่งรถไปมหาวิทยาลัย ผมก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าไปนอนในห้องเฮียเมฆ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกับเฮียจูบกัน ผมรู้ปัญหาระหว่างผมกับเฮียเมฆได้ดี เฮียเองก็เช่นกัน เราสองคนพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องความรู้สึกของกันและกัน เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมยังไม่พร้อม



   ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ที่จะเปิดรับใครตอนนี้



   ผมรู้ ผมเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่ทั้งเฮียและผม เราต่างก็รู้ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาและความอดทน หากเมื่อใดที่ความอดทนของใครถึงขีดจำกัด ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็คงต้องจากไป ผมอยากให้เราสองคนเป็นน้องคีกับเฮียเมฆแบบนี้ แค่แบบนี้ต่อไปได้หรือเปล่า



   ผมขอมากเกินไปมั้ย



   แต่เดี๋ยวนะ เรื่องที่ผมกับเฮียจูบกันนี่ พวกคุณรู้กันได้อย่างไร เพราะผมไม่ได้เล่าอะไรสักหน่อย เมื่อคืนผมมึนๆ เพราะเหล้าที่ดื่มไปหลายแก้ว นอกจากผมกับเฮียเมฆแล้ว ใครเล่าให้พวกคุณกันล่ะ



   "ไงมึง เมื่อคืนเปรมปรีดีมั้ย" ผมเอ่ยทักไอ้ธรที่กำลังซดน้ำก๋วยเตี๋ยวอยู่ในโรงอาหารใต้ตึกของคณะ


   "ไม่ว่ะ มึงไม่ไป กูเลยเปลี่ยนใจไม่ไป"


   "อ้าว ไมงั้นวะ ถึงกูไม่ไปแต่คนอื่นก็ยังไปอยู่นี่หว่า" ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มัน


   "เรื่องของกู" ไอ้ธรมันว่าแบบนั้น


   "ติดกูเหรอ พอกูไม่ไปเลยหงอยเป็นหมาสินะ"


   "พูดมาก ว่าแต่มึงเถอะ ปฏิบัติการณ์ง้อพ่อเป็นไงบ้าง" ไอ้ธรเปลี่ยนเรื่องมาถามเรื่องเฮียเมฆ


   "มือชั้นนี้แล้ว มันต้องสำเร็จดิวะ"


   "พ่อมึงก็โกรธเก่งชิบหาย"


   "ถึงเฮียจะเป็นแบบนี้ แต่ก็รู้แหละว่าจริงๆ แล้วเป็นห่วงกู"


   "เหอะ ไอ้พ่อลูก ท้องชนกัน"


   "ไอ้ธร พูดให้มันดีๆ นะเว้ย เดี๋ยวกูถีบไม่ยั้ง"


   "ล้อเล่นแค่นี้ ทำเป็นโมโหไปได้"


   "กูไม่ชอบ" ผมมองหน้ามันด้วยสีหน้าแสดงออกไม่พอใจกับคำพูดของมัน


   "เฮ้ย กูขอโทษ" ไอ้ธรรู้ตัวว่าเล่นมากเกินไป


   "เออๆ ช่างแม่งเหอะ กูไม่อยากถือคนบ้าอย่างมึง ไปเรียนกันได้แล้วเว้ย" ผมรับคำขอโทษของมันแล้วชวนมันไปเรียน




   ใกล้จะสอบปลายภาคของเทอมสองแล้ว เทอมหน้าผมก็จะกลายเป็นนักศึกษาปีที่สี่ และอีกไม่กี่เดือน ผมก็จะมีอายุครบ ยี่สิบปี ผมเกิดในช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปี ผมไม่ค่อยชอบวันเกิดของตัวเองสักเท่าไหร่เพราะมันเป็นช่วงปิดเทอม วันเกิดของผมมักเงียบเหงาอยู่เสมอ ปราศจากเพื่อนๆ แต่ก็เต็มพร้อมไปด้วยครอบครัว ถึงอย่างนั้น นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาจริงๆ ของผมหรอกครับ ปัญหาจริงๆ ก็คือเมื่อถึงหน้าร้อนปิดเทอม ผมต้องกลับบ้านไปหาครอบครัวที่แท้จริงของผม ผมไม่อยากอยู่ห่างเฮียเมฆ แล้วผมก็ไม่อยากกลับไปบ้านเพื่อไปเจอใครบางคน ในสภาพแวดล้อมเก่าๆ




   "โคตรยากเลย นี่แค่ควิซนะ ถ้าตอนสอบจะทำได้มั้ยเนี่ย" ไอ้ธรบ่นอุบหลังเดินออกมาจากห้องเรียน


   "แล้วตอนอาจารย์สอน มึงดันหลับทำไมล่ะ" ผมด่ามันพร้อมกับผลักหัวโง่ๆ ของมันไปทีหนึ่ง


   "ก็กูง่วงนี่นา เสียงอาจารย์มันเหมือนเสียงของแม่เวลากล่อมกูเข้านอน"


   "กูจะอ้วกว่ะ ข้ออ้างชัดๆ ถ้าสอบตกมึงก็ไปขอคะแนนจากอาจารย์เอาละกัน ว่าอาจารย์นั้นเหมือนแม่ของมึงอีกคน"


   "แล้วคืนนี้เอาไง"


   "ค้างห้องมึง โอเคมั้ย"   


   "เออ จะได้ทำอะไรสบายๆ หน่อย"


   "งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกเฮียก่อน" ตรงนี้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ผมเลยเลี่ยงมากดโทรศัพท์อีกทาง ได้มุมพอเหมาะที่ค่อนข้างเงียบแล้วผมจึงต่อสายไปหาพ่อ อย่างที่ไอ้ธรมันชอบเรียก


   "ฮัลโหล เฮีย" ผมรอเสียงสัญญาณปลายสายดังอยู่สักพัก เฮียก็กดรับ


   "ว่า?"


   "วันนี้ไปนอนค้างที่ห้องไอ้ธรนะ เฮียไม่ต้องมารับนะครับ"


   "ไปนอนทำไม?"


   "ผมนัดกับไอ้ธรว่าจะไปเที่ยวกัน น่าจะดึกเลยไม่อยากกวนให้เฮียต้องมารับ"


   "ตามใจ หวังว่าพี่คงจะไม่ได้รับโทรศัพท์กลางดึกเพื่อไปประกันตัวเราที่โรงพักนะ พี่อยากนอนพักยาวๆ" เฮียอนุญาตเชิงจิกกัดผม แต่ผมก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร คำพูดนี้ได้ยินบ่อยจากปากเฮีย มันเลยไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก


   "ครับ ผมจะทำตัวดีๆ เรียบร้อยให้มากที่สุดเลย" และผมก็จะตอบเฮียแบบนี้ทุกครั้ง เฮียรู้ทันเพราะผมได้ยินเสียงหัวเราะของคนปลายสาย


   "อย่าลืมโทรบอกคุณป้าด้วย"


   "ได้ครับ"


   "แล้วพรุ่งนี้ถ้าจะให้พี่ไปรับกี่โมงก็โทรมาบอกละกัน แต่อย่าเช้าเกินไปล่ะ พี่ง่วง" เฮียไม่ใช่คนที่ชอบนอนตื่นสาย แต่ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว มีการประชุมเยอะแยะไปหมด ไหนจะเรื่องตัวเลขที่ต้องปิดงบอีกมากมาย ทำให้เฮียเมฆต้องทำงานหนักและกลับบ้านดึกอยู่บ่อยๆ แถมยังมีผมที่เป็นภาระให้เฮียมาคอยรับอยู่เนืองๆ อีก วันหยุดทั้งที เฮียคงอยากพักผ่อนให้มากกว่าปกติ


   "ครับ คงสักเที่ยงๆ บ่ายๆ นั่นแหละ เดี๋ยวผมโทรบอกอีกที"


   "โทรหาคุณป้าด้วย อย่าลืม" เฮียสั่งย้ำอีกรอบ เพราะถ้าป้าจันทราถามหาล่ะจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต


   "เดี๋ยวโทรหาคุณป้าเดี๋ยวนี้เลย" ผมกำลังจะกดตัดสาย แต่ได้ยินเสียงจากอีกฝั่งดังออกจากโทรศัพท์ผม


   "คี"


   "ครับ?"


   "อย่าทำให้พี่เป็นห่วง"


   "ครับ"


   "ดูแลตัวเองดีๆ แล้วที่สำคัญ ป้องกันด้วย"


   "ไม่ใช่อย่างที่เฮียคิดหรอกน่า"


   "แน่ใจ?" เฮียพูดแค่นั้นก็วางสายไป เฮียรู้ทันและดูออกเสมอ ผมรีบกดโทรศัพท์บอกป้าจันทราก่อนจะลืม


   "เรียบร้อยมั้ย" ไอ้ธรทักเมื่อเห็นผมเดินกลับเข้ามา


   "ระดับนี้แล้ว"


   "งั้นเดี๋ยวกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ที่ห้องกูก่อน  ดึกๆ ค่อยออกไปหาสาวกัน" ผมพยักหน้ารับคำมันก่อนจะเดินไปรถของไอ้ธร




   ผับที่ผมไปกับไอ้ธรวันนี้ค่อนข้างจะเป็นผับของคนที่มีอายุหน่อย อายุช่วงเฮียเมฆน่ะครับ ไม่ใช่ผับวัยรุ่นมหาวิทยาลัย อะไรเทือกนั้น เพลงที่เปิดในร้านนั้นนอกจากจะไม่ใช่เพลงใหม่ตามสมัยแล้ว ยังค่อนข้างจะย้อนวัยไปหลายปีทีเดียว เพลงบางเพลง ผมกับไอ้ธรก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังไปมันก็เพราะดี ทำนองและดนตรีดูแตกต่างจากปัจจุบัน บทเพลงก็มีเสน่ห์ของมันนั่นแหละครับ เปลี่ยนบรรยากาศก็ทำให้ได้อะไรเพลินๆ ไปอีกแบบ




   ผมชนแก้วกับไอ้ธรไม่ยั้ง สายตาสอดส่ายไปรอบๆ บริเวณไม่มีหยุด ผมกับมันต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อโต๊ะนั้น โต๊ะนี้อย่างออกรส จะเรียกว่านินทาก็ไม่เชิงสักทีเดียว เพราะโต๊ะไหนหน้าตาดี หุ่นดี รูปร่างดี ผมก็ว่าดี โต๊ะไหนไม่ถูกสไตล์ผมก็บอกออกไป ของแบบนี้ต้องคุยกันครับ เกิดจับพลัดจับผลูมาสนใจคนเดียวกัน เดี๋ยวจะเสียเพื่อนได้ แล้วสายตาผมก็พลันไปสะดุดที่โต๊ะหนึ่ง ผมคุ้นๆ ว่าทีแรกผมไม่เห็นคนนี้ที่โต๊ะนี้แน่ๆ คาดว่าเจ้าตัวคงจะเพิ่งมา สายตาของผมสบตากับคนโต๊ะนั้นอย่างจัง ผมยกแก้วเหล้าชูทักทายเขาเป็นพิธี ฝ่ายนั้นชูแก้วขึ้นตอบกลับให้ผมเหมือนกัน  แล้วจุดเริ่มต้นของเราก็คงจะเริ่มกันไม่ยาก  ผมพยักเพยิดกระซิบบอกไอ้ธร สองสามคำพอเป็นพิธี แล้วก็เดินจากโต๊ะไปบันไดหนีไฟ หากเราใจตรงกัน เขาคงจะตามผมมา




   และมันก็เป็นอย่างที่คิด เขาเปิดประตูหนีไฟตามผมเข้ามา




   เราสองคนไม่ยอมเสียเวลามาทักทายกัน ผมดึงผู้มาใหม่เข้ามาใกล้ตัว ประกบปากลงบนปากนุ่มนั้นทันที รสเหล้าที่อบอวลอยู่ในปากของเขากับผมผสมปนเปกัน มันสร้างความร้อนรุ่มให้เราทั้งคู่ มือของผมเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาใส่มา ก่อนจะลูบลงหน้าอกเนียนขาวนั้น ผมไล่ริมฝีปากผ่านลำคอจนถึงกลางอก ก่อนจะก้มลงเลียเบาๆ บนหน้าอกที่กำลังเริ่มแข็งขึ้นเพราะอากาศเย็นที่มากระทบกาย ร่างที่พิงกำแพงอยู่สั่นสะท้าน เสียงครางไม่เบานักแต่ก็ถูกเสียงเพลงจากภายนอกกลบเสียงไม่ให้เล็ดรอดออกไปได้ ผมปลดกระดุมและรูดซิบกางเกงของเขาและรูดชั้นในของเขาลงมากองที่พื้น แล้วใช้มือที่ยังว่างจับแกนกายของเขาเอาไว้ แล้วสาวมือเข้าออกไม่ช้าไม่เร็วเกินไป จนร่างนั้นดูใกล้จะทรงตัวไม่ไหว มือคนที่ยืนอยู่ขยี้หัวผมเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ ผมเร่งมือให้เร็วขึ้น และในที่สุดเมื่ออีกฝ่ายใกล้จะถึงที่หมาย ผมใช้มือจับสิ่งนั้นไว้ไม่ให้ปล่อยให้น้ำสีขาวเลอะเปรอะเปื้อนพื้น แต่ให้มันเลอะเปรอะเปื้อนในมือของผมแทน




   ผมพลิกร่างคนที่ถึงปลายทางไปแล้วหันหลังให้ผม เจ้าตัวแนบหน้าพิงกำแพงนั่นอย่างหมดแรง ขาเรียวคู่นั้นกำลังสั่นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก แกนกายในตัวผมกำลังบีบอัดแทบจะระเบิดจนทนไม่ไหว น้ำคาวขาวขุ่นของเขาที่อยู่ในอุ้งมือผมถูกนำมาใช้ประโยชน์เมื่อผมใช้ สองนิ้ว ค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปในช่องทางของเจ้าตัว ฝ่ายนั้นเอ่ยเสียงออกมาเหมือนจะอึดอัด แต่ผมยังเพิ่มนิ้วเข้าไปอีกแล้วค่อยๆ หมุนวน จนคิดว่าน่าจะยืนหยุ่นได้ดีแล้ว จึงหยิบถุงยางออกมา ใช้ปากกัดฉีดแล้วค่อยรูดซิบกางเกงลง ก่อนจะสวมถุงยางลงให้กับตัวเอง เหตุการณ์นี้ผมค่อนข้างทุลักทุเลเล็กน้อย เพราะนิ้วมือข้างนึงยังคาอยู่ในช่องทางสีแดงนั้น แต่อีกมือต้องเตรียมความปลอดภัยให้ทั้งผมและเขา ในที่สุดก็สำเร็จ ผมชักนิ้วมือออกมาแล้วแทนที่ด้วยของของผมที่เตรียมพร้อมแล้ว ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปในช่องทางนั้น ในใจนั้นอยากจะเร่งรีบ แต่ผมรู้ตัวดีว่าคู่นอนของผมคงจะไม่ประทับใจ ถึงเราจะไม่รู้จักกัน ผมก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาให้ดี ผมควรมอบความสุขให้อีกฝ่าย ไม่ใช่ความเจ็บปวด




   ผมคิดว่าผมดูออกนะ ผมไม่ใช่คนแรก และคงไม่ใช่คนแรกๆ ของเขาเสียด้วย ร่างกายคนตรงหน้าไม่ใช่มือใหม่ และดูเหมือนจะผ่านมาอย่างโชกโชน ผมไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรกลับรู้สึกดีเพราะคิดว่าเขาคงจะไม่ตามตื้อหรือเรียกร้องความยุติธรรมใดๆ จากผม ผมดันกายเข้าไปในร่างกายนั้นอย่างรวดเร็ว ขยับเข้าออกเป็นจังหวะ  จนในที่สุดผมเดินหน้าอย่างรวดเร็วและเราทั้งคู่ต่างก็ถึงฝั่งปลายทางด้วยกัน ผมค่อยๆ ถอนกายออกจากตัวเขา ดึงถุงยางออกมามัดไว้ แล้วจับหน้าของเขาหันมาจูบเป็นการปลอบประโลมหลังเสร็จกิจ ไล่ลงมาที่ซอกคอหอมกรุ่น เจ้าตัวครางเบาๆ ในคอ ผมยิ้มให้เขา จูบเบาๆ ที่มุมปากเขาอีกครั้ง ผมรอจนเราปรับระดับการหายใจ ดึงกางเกงของเขาขึ้นมาใส่ให้เสร็จแล้วก็เตรียมจะผละจากไป




   "ตอนแรกผมคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงเสียอีก" คนที่ยังยืนหอบอยู่เล็กน้อยเอ่ยทักผม


   "ผิดหวังหรือเปล่า"


   "ดีใจมากกว่า เพราะถ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ ผมคงผิดหวัง" เขายิ้มให้ผม ใบหน้าของเขายังเข้มขึ้นจากรสพิศวาสเมื่อสักครู่


   "ขอบคุณครับ" เพราะถ้าเขาตอบผิดหวัง ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี


   "แล้วคืนนี้ล่ะครับ" เขาคว้าข้อมือผมเอาไว้ทันก่อนที่จะเปิดประตูออกไป


   "วันนี้คงไม่สะดวก ผมมากับเพื่อน ขอโทษด้วยนะครับ"


   "เพื่อน?" คนถามดูเหมือนจะไม่เชื่อว่าเป็นเพื่อนอย่างที่ผมบอกไป


   "เพื่อนจริงๆ ครับ" ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งแล้วก็ออกไป


   "สบายตัวเลยมั้ย" ไอ้ธรเอ่ยทักผมอย่างรู้ทันว่าผมหายไปไหนมา


   "ก็ดี เขาชวนกูไปต่ออีกคืนนี้"


   "มึงจะไป?"


   "ไม่ว่ะ กูบอกเขาว่าไม่สะดวก" ผมพูดพลางหยิบแก้วน้ำสีอำพันยกขึ้นมาดื่มแก้กระหาย


   "เขาก็เชื่อ?"


   "กูมีอะไรให้เขาไม่เชื่อวะ" ผมมองหน้าไอ้ธรด้วยความท้าทาย


   "เออ ไอ้หน้าตัวเมีย พอได้เขาแล้วก็เตรียมจะเผ่นเงียบ" ผมเหล่ตามองมัน ไม่รู้สิถ้าคนอื่นได้ยินคงลมขึ้น แต่ผมดันกลับรู้สึกเฉยๆ ถ้าลองมันบอกผมหน้าสวย หรือหน้าเหมือนผู้หญิงสิ ผมคงด่ามันเปิง


   "ขอบใจ"




   วันนี้ผมตั้งใจมาหาสาวกลับไปค้างที่โรงแรมแต่ดันเจอชายหนุ่มเสียแทน ผมไม่มีปัญหากับเพศไหน แต่ถ้าถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่า ผมเองก็ยังตอบไม่ได้ ไม่ว่าจะเพศไหนก็ย่อมมีข้อดีด้วยกันทั้งนั้น และผมก็โลภพอที่จะเลือกทั้งคู่ในตอนนี้ ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ผมไม่ค่อยสูบมันบ่อยนัก เฮียเมฆไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ และผมก็ไม่อยากให้ป้าจันต้องพลอยไม่สบายใจด้วย ดังนั้นหากต้องกลับไปนอนที่บ้าน ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เพื่อไม่ให้กลิ่นติดตัว แต่คืนนี้เป็นอิสระผมเลยปล่อยตัวปล่อยใจให้เต็มที่



   "ไอ้คี" ไอ้ธรก้มลงมาพูดใกล้ๆ หูผมครับ เสียงเพลงยิ่งดึกยิ่งดัง


   "อะไรวะ" ผมถามมันกลับไป กำลังเต้นอยู่เพลินมาขัดจังหวะซะได้ ไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว


   "มึงค่อยๆ หันไป ที่สองนาฬิกา ช้าๆ นะเว้ย" ไอ้ธรพูดอย่างมีเลศนัย


   "อะไรของมึงวะ ไอ้ธร มีอะไรก็พูดมาเลย กูไม่ชอบ" ผมไม่ชอบเล่นปริศนาครับ มันน่ารำคาญเกินไป


   "เถอะน่า หันกลับไป" ไอ้เพื่อนตัวดีของผม มันไม่ได้สนใจน้ำเสียงหงุดหงิดใดๆ ของผมเลยแม้แต่น้อย มันเอื้อมมือมาผลักให้ผมหันกลับไปจนได้ ผมถอนหายใจก่อนจะเชื่อตามคำพูดมัน



   
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 01-08-2016 19:48:05
 


      ที่ 2 นาฬิกา



   แล้วผมก็ได้เจอกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงโต๊ะอีกฝั่ง



   'เฮียเมฆ?'



   ผมสะดุดตาเฮียเมฆก่อนใครในโต๊ะตรงนั้น วันนี้เฮียสลัดคราบนักธุรกิจหนุ่มมาเป็นหนุ่มนักท่องราตรี เฮียใส่เสื้อยืดสีขาวเรียบๆ ไร้ลวดลาย สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสีดำอีกชั้น ไล่ลงมาด้านล่าง เฮียเลือกกางเกงยีนส์สีเข้ม รองเท้าผ้าใบสีขาวแถบดำ เข้ากันกับเสื้อที่เฮียสวมอยู่ มันช่วยให้ผิวของเฮียดูโดดเด่นขึ้นไปอีก



   "พ่อมึง มาที่นี่ได้ไง" เพื่อนตัวแสบของผมขัดจังหวะผมอีกครั้ง ผมอยากจะซัดหน้ามันจริงๆ


   "กูใช่เจ้าตัวมั้ยล่ะ ถึงจะได้รู้"


   "อ้าว กูถามดีๆ ไหงมึงตอบแบบนี้"


   "โทษที กูคงหงุดหงิดไปหน่อย กูเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเฮียมาอยู่ที่นี่ได้ไงว่ะ"


   "คือมึงก็ไม่รู้?"


   "เออ สิวะ ตอนที่กูโทรคุยกับเฮีย แม่งก็บอกกูว่าจะเข้านอนยิงยาวเลย"


   "หึ ไอ้ยิงยาวทีว่า มันนอนหรือจัดกันวะ" เสียงไอ้ธรมันหัวเราะ ผมขยับปากตอบไอ้ธรไร้เสียง ด้วยคำสั้นๆ พยางค์เดียว ที่หมายถึงอวัยวะเพศของฝ่ายชาย


   "แล้วมึงจะเอาไง"


   "ดูท่าทีไปก่อนแล้วกัน เฮียคงมาเที่ยวกับเพื่อนนั่นแหละ โต๊ะนั้นกูรู้จักเกือบหมด มีคนเดียวที่กูไม่คุ้นหน้าที่ยืนข้างๆ เฮีย มึงเห็นมั้ยวะ" ผมหันกลับไปมองโต๊ะของเฮียอีกครั้ง พร้อมกับไอ้ธรที่มองตามผมไป


   "คนไหนวะ" ไอ้ธรชะเง้อมองไปแต่ไม่แน่ใจเลยถามผมต่อ


   "ข้างๆ เฮีย คนที่ใส่แว่น ตัวเล็กๆ คนนั้นไง"


   "อ่อ คนที่กำลังหัวเราะกับพ่อมึงใช่ป่ะ"


   "เออ คนนั้นแหละ กูไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน" ผมตอบเพื่อนไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนจะอะไรเกิดขึ้นบางอย่าง ทั้งที่ไม่ควรจะเกิด


   "หึงหวงพ่อมึงเหรอไง" ไอ้ธรนี่มันชอบแหย่และกวนประสาทผมอยู่เรื่อย อยากจะตัดความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกับมันจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นคนเดียวที่เข้าใจผม แม้ในยามที่ผมไม่เคยเอ่ยอะไรเลยก็ตาม


   "ไม่เชิงว่ะ จะว่าไปมึงกับกูยังไม่เคยเจอเฮียเวลาที่พวกเรามาเที่ยวกันเลยสักครั้ง มันเลยแปลกๆ ล่ะมั้ง"


   "คงไม่มีอะไรหรอก พ่อมึงก็คงมาเที่ยวเหมือนกูกับมึงนี่แหละ แล้วมึงแหกตาดูดิ มากันตั้งหลายคน คงโดนลากมาด้วย มึงไม่ต้องคิดมาก" ไอ้ธรมันตบบ่าปลอบใจผมเบาๆ


   "กูรู้ แต่ยังไงก็ขอบใจมึงนะ" ดวงตาของผมฉายแววอ่อนโยน มองหน้าไอ้ธรด้วยความรู้สึกขอบคุณจริงๆ


   "ไม่ต้องมองกูแบบนั้น เดี๋ยวกูจะเคลิ้มกับหน้าสวยๆ ของมึงเสียก่อน"




   จากนั้นผมกับไอ้ธรก็ดื่มไป เต้นไป เหล่โต๊ะนั้น โต๊ะนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้เวลาผับปิด ผมกับเพื่อนคนนี้มักจะออกก่อนผับปิดสักครึ่งชั่วโมงเพราะไม่อยากติดขัดปัญหาช่วงเวลาที่ผู้คนกลับพร้อมๆ กัน ไอ้ธรเจอสาวที่จะพากลับไปนอนแล้วครับ ส่วนผมไร้อารมณ์ไปเรียบร้อย ตลอดเวลาผมเหลือบมองโต๊ะตรงนั้นเป็นระยะ แต่ก็ยังไม่เจออะไรแปลกๆ ทำให้ผมพอจะโล่งใจได้บ้าง เฮียถือแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำสีเข้ม เฮียไม่ได้ดื่มเหล้า แสดงว่าเฮียคงขับรถมา เฮียไม่ค่อยได้ดื่มเหล้าบ่อยนัก  แต่อย่าริอ่านไปดวลกับเฮียเชียว สมัยวัยรุ่น เฮียไม่ธรรมดาจริงๆ เชื่อผมเถอะ เฮียมักจะขับรถเองเพราะไม่อยากให้ลุงหมายมาอดหลับอดนอนรอรับ ยิ่งวันธรรมดาไปรับผมกลับบ้าน ยิ่งทำให้เฮียไม่ได้แตะของมึนเมาเลย แทบตลอดทั้งคืนมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาคอยมาวนเวียนกับเฮียไม่ขาด แต่เฮียก็ไม่ได้มีทีท่าให้ความสนใจนัก เฮียเมฆก็ยังเป็นเฮียเมฆคนเดิม




   ผมละสายตาจากโต๊ะนั้น หันไปมองไอ้ธรที่กำลังเกี้ยวสาวข้างๆ ตัวมัน ผมขัดจังหวะโดยการเรียกชื่อมันออกไป สายตามันบ่งบอกว่ามันไม่พอใจที่ผมขัดเวลาจีบสาวของมัน แต่ช่วยไม่ได้มีโอกาสก็ต้องรีบเอาคืน ไม่อยากติดค้างกันไปจนถึงชาติหน้า



   "อะไรวะ"


   "กูจะกลับแล้ว มึงเอาไง" มันไม่ตอบผม แต่มองไปที่สาวข้างๆ ตกลงเป็นอันรู้กันระหว่างผมกับมัน


   "กูจะกลับไปนอนบ้านนะ"


   "อ่าว แล้วมึงจะกลับยังไง"


   "กับพ่อกูไง"


   "เออ กูก็ลืมไป แต่มึงแน่ใจใช่มั้ยว่าอยากกลับไปนอนบ้าน ไม่ใช่ว่าจะไปสร้างเรื่องให้พ่อมึงนะ" ไอ้ธรดักทางอย่างรู้ทันความคิดในหัวของผม


   "เสือก รู้มาก ไปละมึง" ผมด่ามันไปเบาๆ สั้นๆ


   "เออ แล้วเจอกัน" ไอ้ธรมันตอบผมส่งๆ แต่มือไม้ สายตาของมันหันกลับไปสาวข้างตัวเสียแล้ว แล้วมันก็พาสาวคนนั้นออกจากร้านไปก่อนที่ผมจะเดินไปหาเฮียเมฆที่โต๊ะเสียอีก


   "รีบจริงๆ นะมึง" ผมพึมพำด่าเพื่อนตัวดีอีกรอบแล้วหยิบแก้วน้ำที่ยังมีเหล้าเหลืออยู่ครึ่งแก้ว กระดกเข้าปากรวดเดียวหมดแล้วก็เดินตรงไปที่โต๊ะของเฮียทันที



   ขอโทษด้วยนะทุกคน ผมมาทวงพ่อของผมคืนแล้ว



   "เฮีย" ผมเดินไปหยุดข้างเฮีย เอื้อมมือไปจับแขนเฮียก่อนจะส่งเสียทักไป


   "คี" เฮียเอ่ยเสียงเบา ผมมองหน้าเฮีย แววตาของเฮียแสดงออกว่าตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเพราะไม่คิดว่าจะอยู่ร้านเดียวกัน แค่แวบเดียวดวงตาคู่นั้นก็ปรับให้เป็นปกติดังเดิม แต่แววตาที่แปลกใจมากกว่าเฮียนั้น ก็คือคนข้างๆ ตัว เขามองหน้าผม ใบหน้าหวานแสดงออกมาให้รับรู้ได้ค่อนข้างชัดเจนว่าเขาสงสัยว่าผมเป็นใคร ริมฝีปากชมพูนั้นเม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจ



   "ครับ ผมเอง สวัสดีครับพี่ๆ" ผมยิ้มให้เพื่อนของเฮียที่เป็นเพื่อนจากมหาวิทยาลัยทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่กำลังไม่พอใจตอนนี้ เขาจำใจต้องฝืนยิ้มตอบให้ผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สายตาของเขาไม่ได้มองผมนานนัก สายตาของเขาหลุบต่ำลง ทำให้ผมต้องมองตามไปจนพบว่าเขามองมือของผมที่วางอยู่บนแขนของเฮีย


   "ว่าไงน้องคี มาได้ไงเนี่ย" เพื่อนเฮียเมฆ ชื่อจิรกฤต หรือพี่กฤต ทักผมเป็นคนแรก


   "พอดีเพื่อนผมชวนมาร้านนี้ครับ"


   "แล้วเพื่อนไปไหนแล้วล่ะ" เสียงมาจากอีกคนที่ชื่อตรีวิทย์


   "มันหนีผมกลับไปตะกี้เองพี่วิทย์"


   "แล้วนี่จะกลับยังไงล่ะ" เสียงที่สาม ส่งมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พี่นิกม์นั่นเองที่ถามผมด้วยความห่วงใย


   "โชคดีของผมไงพี่นิกม์ ที่เฮียเมฆดันมาร้านนี้ด้วยพอดี"


   "เออ จริงด้วย พี่ก็ลืมว่าน้องคีอยู่บ้านเดียวกับไอ้เมฆ" พี่นิกม์ก็หัวเราะออกมาแก้เขิน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจพี่เขาหรอกครับ


   "แล้วพี่คนนี้คือ.." ผมทิ้งคำถามเอาไว้แบบนั้นก่อนจะมองหน้าคนใส่แว่น ตัวเล็ก ใช่ครับ เขาน่าจะอายุมากกว่าผม แต่หน้าตายังดูอ่อนเยาว์อยู่เลยครับ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซ้ำหน้าตายังน่ารักด้วยครับ


   "นี่พี่พีช กันตพิชญ์" คนแนะนำไม่ใช่เจ้าของชื่อ แต่เป็นเฮียที่พูดแทน บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมแปลกใจ


   "สวัสดีครับ พี่พีช ผมชื่อคีนะครับ เป็นน้องพี่เมฆ" ผมยิ้มให้พี่เขา แต่ไม่ได้ยกมือไหว้ เฮียมองผมดุๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ


   "สวัสดีครับ น้องคี ขอโทษนะ ตอนแรกพี่คิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงเสียอีก พอได้ยินคำลงท้ายว่าครับเลยอดจะแปลกใจไม่ได้" พี่เขาโกหกครับ ผมรู้ว่าพี่เขาไม่ได้สนใจหน้าตาของผมหรอก สีหน้าของพี่พีชดูสดใสขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ว่า ผมเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไงกับเฮียเมฆ


   "ผมไม่เคยเห็นพี่พีชมาก่อนเลย พี่ก็เป็นเพื่อนมหาลัยเฮียเมฆเหมือนกันเหรอครับ"


   "เปล่าหรอกน้องคี คุณพีชน่ะเป็นลูกค้าบริษัทไอ้เมฆมันน่ะ รู้จักกันมาสักพักแล้ว ยังไม่เคยเจอกันเลยเหรอ" พี่กฤตตอบคำถามของผม เอ ทำไมกันนะ ผมถามพี่พีช แต่ทุกคนดูเหมือนจะพร้อมใจช่วยเหลืออยากตอบแทนกันเสียเหลือเกิน


   "พี่เมฆไม่เคยพาพี่พีชมาเลยหรือพามาแล้วผมไม่อยู่บ้านก็ไม่รู้สิครับ" ผมพยายามพูดติดตลกแต่มันไม่ตลกเอาเสียเลย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงประกาศในร้านว่าจวนใกล้จะปิดแล้ว พวกเราเลยจำใจต้องพากันเดินออกมานอกร้านเพื่อแยกย้ายกันกลับ



   พี่กฤต พี่วิทย์และพี่นิกม์ ขอตัวกลับไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงผม เฮียเมฆ และพี่พีช ที่ยังตกลงชะตาชีวิตกันไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนทำให้เขาทั้งสองคนผิดแผนยังไงไม่รู้ พี่พีชไม่ได้ขับรถมาเองและที่ผมเพิ่งจะรู้เพิ่มก็คือเฮียเมฆเป็นฝ่ายไปรับพี่พีชมาจากที่บ้านและพามาที่ร้านด้วยกัน ผมว่าไอ้ความรู้สึกแปลกๆ นั่น มันเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะ




   ผมเลยเลือกที่จะนั่งข้างหลังแทนพี่พีชเสียเอง เพราะผมเห็นสีหน้าลำบากใจของเฮีย และสีหน้ากระอักกระอ่วนของพี่พีช ที่ไม่รู้ว่าจะต้องนั่งข้างหน้าหรือข้างหลังดี ดังนั้นผมจึงเลือกให้เขาทั้งคู่เอง ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่ใช่ที่ของผมคนเดียวเสียแล้ว ผมรู้สึกเจ็บอยู่ข้างใน หัวใจของผมดูท่าทางจะอ่อนแรง เตรียมพร้อมที่จะหยุดเต้นอย่างเต็มที่ ผมไม่ชอบใจ ผมเจ็บปวด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวผมเอง 




   บรรยากาศภายในรถไม่มีเสียงพูดคุย หรือแม้แต่เสียงเพลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ผมหลับตาลงด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน เลยดูเหมือนว่าผมได้หลับไปจริงๆ ผมเลือกที่นั่งด้านซ้ายของรถ และแทบจะเลื้อยตัวลงไปบนเบาะนุ่มเพราะไม่อยากจะเผชิญกับสายตาเฮียเมฆที่มองผ่านจากกระจกหลัง ถนนโล่งเพราะเป็นเวลาของวันใหม่แล้ว รถทำความเร็วได้ดี แต่ไม่เร็วจนเกินไปนัก ผมลอบมองจากด้านหลัง มือของพี่พีชเอื้อมมาจับมือของเฮียที่ยังวางอยู่ตรงพวงมาลัย พี่พีชบีบมือเฮียเบาๆ แต่สิ่งที่ผมนั้นแทบจะขาดใจเลยก็คือภาพที่เฮียหงายมือแล้วพี่พีชวางมือซ้อนทับลงไป ทั้งสองคนจับมือกัน ผสานมือกันไว้อย่างแนบแน่น ก่อนที่ศีรษะได้รูปสวยของพี่พีช จะเอนลงซบลงที่ไหล่ของเฮีย




   ผมหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นภาพตรงหน้า




   ถึงตอนนี้ผมคงไม่ต้องเสียเวลามาเดาเรื่องของเฮียกับพี่พีชให้เหนื่อย




   เฮียขับรถมาถึงบ้านของพี่พีช ผมรอจนเฮียลงจากรถไปร่ำลากับพี่พีชเรียบร้อย มองตามสองคนนั้นไป
ผมเห็นเฮียก้มลงหอมแก้มพี่พีช เพียงเท่านั้นผมก็เลือกที่จะหลับตาลงเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันแย่จนเกินไป มันเร็วเกินไปจนผมตั้งตัวไม่ติด เฮียเปิดประตูรถอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ที่ประจำของเฮีย กลับเป็นประตูรถฝั่งผม เฮียไม่ได้เรียกหรือปลุกผมให้ตื่นแต่อย่างใด หากแต่ก้มลงอุ้มผม ย้ายมาที่นั่งด้านหน้า เฮียปรับเบาะที่นั่งจนเอนราบแล้วลูบศีรษะที่ผมเคยบอกให้เฮียทำอยู่บ่อยๆ ก่อนจะหันกลับไปขับรถเคลื่อนที่ออกไปอย่างนุ่มนวล




   ไม่นานนักเฮียก็ขับรถมาถึงบ้าน เฮียเดินมาเปิดประตูฝั่งผมเหมือนเดิม คงตั้งใจจะอุ้มผมขึ้นไปนอน แต่หมดเวลาแกล้งหลับของผมแล้ว



   "ตื่นแล้วเหรอ ถึงบ้านแล้วล่ะ" เฮียทักผม เมื่อเห็นผมลืมตาขึ้นมาพอดี


   "ครับ" ผมก้าวลงออกจากรถ เบี่ยงตัวหลบจากคนที่ยืนขวางอยู่


   "คี" เฮียคว้าแขนของผมไว้ ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง


   "ครับ?"


   "คืนนี้ไปนอนที่ห้องพี่" ผมไม่รู้ว่าเฮียพูดแบบนี้ทำไม เฮียต้องการอะไรจากผม


   "ไม่ดีกว่า ฝันดีนะเฮีย" ผมตอบปฏิเสธเฮียเมฆออกไป แล้วรีบเดินขึ้นไปห้องนอนของตนเองทันที



   ผมยืนนิ่งอยู่หลังประตูห้องนอน แทบจะกลั้นหายใจรอฟังเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินตามหลังขึ้นมา รอจนได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ ปิดประตูลงแล้ว เรี่ยวแรงและความอดทนของผมมันก็หมดลงทันที ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักหัวให้ไหลออกมา คงจะดูเหมือนพระเอกที่แสดงมิวสิควิดีโอใช่มั้ยครับ ผมก็ไม่อยากทำหรอกนะ แต่ผมแค่หวังว่าเสียงน้ำจากฝักบัวมันจะดังพอที่จะช่วยกลบเสียงร้องไห้ของผมที่กำลังไหลรินออกมาตอนนี้ได้เป็นอย่างดี



   ไม่รู้ว่าผมร้องไห้อยู่ในห้องน้ำไปนานเท่าไหร่ เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำอีกที มันใกล้เวลาเกือบรุ่งสางแล้ว ผมหยิบกระเป๋าเป้ออกมา ค่อยๆ เปิดตู้เสื้อผ้าอย่างเบามือ ผมเลือกชุดนักศึกษาและชุดอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ไปอีกสองสามชุด หยิบหนังสือที่จะใช้เรียนในสัปดาห์หน้ามาใส่ลงในเป้ กวาดตามองสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อีก เจออะไรก็หยิบใส่จนใกล้เต็ม แล้วยกมันขึ้นมาสะพาย รีบก้าวเดินออกจากห้องและตรงไปยังรั้วใหญ่ของบ้าน ผมเจอคุณลุงยามที่ประจำอยู่หน้ารั้ว ลุงแปลกใจที่เห็นผมในเวลาเช้าขนาดนี้ ผมบอกลุงยามไปว่าผมมีทัศนศึกษาต่างจังหวัดต้องรีบออกแต่เช้าเลยไม่อยากกวนลุงแช่ม เกรงใจคนแก่ ลุงยามทำท่าว่าเข้าใจแล้วรีบเรียกแท็กซี่ให้ ผมขอบคุณลุงยามและก้าวขึ้นรถแท็กซี่นั้นไป




   ผมตั้งใจจะไปห้องของไอ้ธร แต่นึกขึ้นได้ว่ามันคงพาสาวเมื่อคืนไปค้างที่ห้อง การที่ผมไปในช่วงเวลานี้ ถึงแม้ว่ามันจะเข้าใจผม แต่ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่เข้าใจก็เป็นได้ ผมเลยเลือกไปโรงแรมใกล้ๆ หอพักมัน และเปิดห้องเข้าไปนอนพักเสียก่อน เพราะผมยังไม่ได้นอนมาเกือบทั้งคืน  ผมเลือกที่จะหนี ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ แต่ผมก็แค่อยากทำอย่างที่ผมเคยทำอยู่เสมอ หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า เพราะหวังจะหลอกตัวเองไปตลอด หวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น ผมเข้าใจว่าคงหนีมันไปไม่ได้ตลอดมันรอดฝั่งหรอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากจะยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้




   ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จวนเที่ยงแล้ว ป้าจันน่าจะยังเข้าใจว่าผมนอนค้างอยู่ที่ห้องเพื่อน แต่อีกคนนี่สิ ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้จะรู้หรือยังว่าผมไม่ได้อยู่ที่บ้าน ผมไม่ได้เปิดโทรศัพท์ไว้เพราะผมยังไม่อยากรับรู้อะไร แต่ผมจะถ่วงเวลาให้นานกว่านี้ไม่ได้เพราะผมต้องเชคเอาท์ออกจากโรงแรม ผมเลยจำเป็นต้องกดเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทรไปบอกให้ไอ้ธรมารับผมไปอาศัยอยู่ชั่วคราว แต่ยังไม่ทันที่จะกดโทรออกหาไอ้ธร โทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน



   'เฮียเมฆ'


       ชื่อสั้นๆ ที่ผมบันทึกไว้ในโทรศัพท์ปรากฎขึ้น ผมชั่งใจอยู่นานว่าจะกดรับดีหรือไม่ แต่คงคิดนานเกินไป สัญญาณเลยตัดไปแล้ว ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ไม่ทันไร คนๆ เดิมก็โทรกลับเข้ามาอีกครั้งแล้ว ผมจึงตัดสินใจกดรับ



   "ครับ"


   "คี ตอนนี้อยู่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้ พี่จะไปรับ"


   "ขอโทษครับ พอดีผมลืมบอกเฮียเมฆไปเลยว่ามีทัศนศึกษา"


   "คี อยู่ที่ไหน บอกพี่" เฮียเมฆไม่เชื่อผมหรอก มันแน่นอนอยู่แล้ว ปกติไม่ว่าจะมีกิจกรรมหรือไปไหนผมบอกเฮียทุกครั้ง ยิ่งกิจกรรมใหญ่ๆ เข้าค่าย ผมยิ่งไม่มีทางลืม มันก็ไม่แปลกหรอกหากเฮียจะไม่เชื่อ


   "ผมไปทัศนศึกษาจริงๆ ครับ เสร็จแล้วจะรีบกลับ"


   "แล้วคีจะไปกี่วัน" ผมได้ยินเฮียถอนหายใจเบาๆ


   "ผมยังไม่รู้"


   "คี ฟังพี่นะ"


   "อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยครับ" ผมห้ามเฮียเมฆก่อน เพราะผมยังไม่พร้อมจริงๆ


   "คี พี่บอกให้ฟังก่อน" เสียงเฮียเมฆดูร้อนรน แต่ผมก็ยังไม่ไหวจริงๆ


   "ขอร้องล่ะครับ พี่เมฆ ขออยู่แบบนี้สักพัก"


   "กลับบ้านเถอะ พี่ขอโทษ"


   "ทำอะไรผิดเหรอครับถึงต้องขอโทษผม เฮียเมฆไม่ต้องขอโทษผมหรอก อ้อ ฝากบอกคุณป้าจันด้วยนะครับ เรื่องทัศนศึกษา แล้วที่ที่ไปมันไม่ค่อยมีสัญญาณคงติดต่อกลับมาลำบาก รบกวนพี่เมฆทีนะ ขอบคุณครับ"


   "คี คี" ผมได้ยินเสียงเฮียเมฆเรียกชื่อผมหลายๆ ครั้งติดกัน แต่ผมก็เลือกกดวางสาย และบล็อคเบอร์ของเฮียเอาไว้ก่อน




   ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็ไม่ต่างกันเลย




   ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง




-------------------------------

นังคี นังลำไย ตัวละครคี เป็นตัวละครที่คนเขียนแต่งทีไร ก็บ่นนางทุกครั้ง
อย่าเพิ่งลำไยคีเลยน้าเพราะคีก็มีเหตุผลของเค้านะคะ คนเราต้องมีบ้าง อะไรบ้างเนาะ
แต่จะมีอะไร ต้องติดตามกันนะคะ

เรื่องนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะพยายามลงทุกวันจันทร์นะคะ

รักคนอ่าน คนเมนท์ ให้กำลังใจทุกคนค่ะ


ขอบคุณค่ะ
   :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-08-2016 20:41:59
ดำเนินเรื่อง ดูใสๆ อ้าว.....ดราม่า ซะแล้วววว
เฮียเมฆ คี  รักกัน เกินกว่าพี่น้อง
แต่คี ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับความรู้สืก ที่ชัดเจนระหว่างกัน
คี อิสระที่ไปมีใครๆ ที่ไม่ผูกมัดกัน
แต่คี มารู้ว่า เฮียเมฆ มีใจกับพี่พีชด้วย
เศร้า หน่วง ไปกับคี  :mew6:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 01-08-2016 22:29:40
คือ อะไร มันดูงงๆ นะ คีเหมือนยังเที่ยวกับใครก็ได้ เฮียเมฆก็ดูหวงๆ แต่เฮียเมฆก็มีคนที่เหมือนจะคบๆกันอยู่ แต่พอคีมาเจอ แล้วหนี เฮียก็รีบมาตาม ตกลงแล้วเค้าคบกันแบบไหน??
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 01-08-2016 23:21:12
คียังเอากับคนอื่นได้เลย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-08-2016 00:16:00
รออ่านตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-08-2016 13:19:26
รีบมานะ รอตอนต่อไปอยู่
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 02-08-2016 16:48:38
มันหน่วง คีดูมีปมในใจ
อยากอ่านต่อจัง จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: lllittled ที่ 02-08-2016 17:30:15
แนว incest ?
เราว่าคีไม่ได้ดูน่ารำคาญหรืองี่เง่านะ
เหมือนความสัมพันธ์สองคนนี้เป็นมากกว่าพี่น้องแต่ยังไม่พร้อมเริ่มสถานะคนรักรึเปล่า? เข้าใจถูกไหม
ความจริงการที่คีดูเสียใจเพราะตัวเองก็รู้สึกอยู่แต่แค่ยังไม่พร้อมเราว่าไม่แปลกไม่ได้ดูงี่เง่านะ
การที่ต่างฝ่ายต่างให้อิสระกันและกัน ส่วนตัวเราคิดว่าการที่คียังล่อหญิงอยู่แต่นั่นมันแค่วันไนท์สแตนไหมอ่ะ?
แต่พอมาเจอเมฆทำกับพีชมันดูเป็นพฤติกรรมของแฟนที่ทำกันมากกว่าคู่นอน ซึ่งเราว่ามันไม่แฟร์ ถ้ามีแฟนแล้วก็ควรตัดความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้กับคีดีกว่า จะรั้งไว้ทำไม ดูคีไม่ได้มีความรู้สึกให้ใครเป็นตัวเป็นตนแต่ต่างกับเมฆไง(ในกรณีที่เมฆกับพีชสานสัมพันธ์ในด้านคนรักน่ะนะ ต้องรอดูอีกทีว่าเมฆกับพีชเป็นอะไรกัน)
ถ้ามาอิหรอบแฟนกันคีก็เตรียมตัวหาคนใหม่เถอะลูกอย่ามาจมปลักกับคนที่คิดจะจับปลาสองมือหรือจริงๆแล้วเมฆไม่ได้คิดอะไรกับคีรักแบบน้องไรงี้เหรอคีนางมโนความสัมพันธ์คนเดียวรึเปล่าถ้าเป็นงั้นนี่เจ็บหนักแน่ๆ เป็นงี้จะเชียร์ให้ไปรักคนอื่นขอพระรองแซ่บๆ *ส่วนตัวเกลียดคนไม่ชัดเจน* พอเจอพฤติกรรมแบบนี้ของเมฆเลยไม่โอเคกับพระเอกคนนี้เท่าไหร่
สู้ๆค่ะจะรอดูคำแก้ตัวของเฮียเมฆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-08-2016 09:45:52


ภูเขาลูกที่สาม



   ผมกดโทรศัพท์ไปหาไอ้ธรให้มันมารับที่โรงแรม มันตั้งท่าจะด่าผมตอนที่รับสาย แต่พอได้ยินน้ำเสียงของผม มันเลยไม่คิดจะด่าอะไรออกมา ผมยืนรอมันอยู่หน้าโรงแรมได้ไม่นาน ก็เห็นรถของมันแล่นเข้ามา มันดูรีบร้อนมากถึงขนาดเลี้ยวรถเข้ามายังไม่แตะเบรคเลย ทำเอาพนักงานที่ยืนอยู่บริเวณนั้นหลบกันแทบไม่ทัน


   "ไง หน้าเป็นตูดเลยนะมึง" เพื่อนสุดแค้นแสนรักเอ่ยทัก เมื่อผมก้าวขึ้นมานั่งรถคู่กับมัน


   "มาลองเป็นกูมั้ยล่ะ เผื่อว่าสมองโง่ๆ ของมึงจะได้เข้าใจบ้าง"


   "ทักนิดเดียว ด่ามาซะยาวเลยนะ เออๆ ไม่กวนตาตุ่มมึงแล้ว แล้วนี่มึงไหวมั้ย" ถึงจะจิกด่ากันเป็นประจำแต่จริงๆ ไอ้ธรมันห่วงผม พอๆ กับที่ผมก็เป็นห่วงมัน


   "ไม่ว่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด กูตั้งตัวไม่ทัน"


   "มึงกินอะไรหรือยัง"


   "ยัง"


   "งั้นไปกินข้าวกับกูก่อน แล้วมึงช่วยเปิดปากเล่าเรื่องรักเหี้ยๆ ของมึงให้กูฟังด้วย" ไอ้ธรออกรถ มุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับหอพักของมัน



   ผมเดินตามไอ้ธรไปเรื่อยๆ ให้มันเลือกร้านเอง ตัดสินใจเองเลย เพราะตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะมาคิดเรื่องพวกนี้ ในท้องของผมมันยังปั่นป่วนไปหมด หัวสมองก็ยังตื้อคิดอะไรไม่ออก และในที่สุดไอ้ธรก็หยุดหน้าร้านแห่งหนึ่ง มันคว้าแขนผมให้ก้าวตามเข้าไปข้างในทันที


   "มึงจะกินอะไร" ไอ้ธรมันถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่อยากกิน ผมเลยส่ายหน้าตอบมัน แต่มันก็ไม่ได้สนใจคำตอบของผม ไอ้ธรเรียกพนักงานมาสั่งรายการอาหารโดยไม่ถามความเห็นของผมอีก



   อาหารหลากหลายเมนูถูกนำมาเสิร์ฟวางตรงหน้าของผมกับไอ้ธร ผมไม่รู้ว่ามันไปตายอดตายอยากมาจากไหนถึงสั่งมาเยอะขนาดนี้  แต่ลึกๆ ผมก็รู้ดี มันสั่งมาให้ผม มันรู้ว่าผมทานไม่ค่อยลงหรอก แต่มันก็ยังหวังว่าผมจะทานได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย



   'เพื่อน กูรักมึงว่ะ'



   ถึงผมจะทุกข์ใจอยู่ แต่ก็อยากจะบอกมันด้วยประโยคนั้นจริงๆ แต่กลัวว่ามันจะขนลุกและถีบผมกระเด็นออกมาเสียก่อน



   "เหม่ออะไรอีก รีบกินดิวะ เดี๋ยวเย็นหมด" ไอ้ธรเรียกผมให้เริ่มกินได้แล้ว ผมไม่ค่อยหิวจริงๆ มันยังมึนๆ ตื้อๆ กินอะไรไม่ค่อยลง แต่สายตาของมันยังจับจ้องอยู่ที่ผม ทำให้ผมจำต้องเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าได้ให้มันสบายใจ



   หลังจากอิ่มมื้อเช้าควบเที่ยงไปแล้ว ไอ้ธรก็พาผมกลับไปที่ห้องของมัน เข้าห้องมาได้ ไอ้ธร มันก็ไปหยิบยานอนหลับ ยื่นมาให้ผมที่ตรงหน้า


   "กินซะ จะได้พัก" ผมมองหน้ามันด้วยความไม่เข้าใจ


   "กูไม่อยากกิน"


   "กินซะ ตอนนี้มึงต้องนอนและนอนให้มากที่สุด ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ กูจะพาไปแดกเหล้า โอเค๊?" มันยื่นข้อเสนอให้ผม ไอ้ธรรู้ใจผมดียิ่งกว่าตัวผมเองเสียอีก


   "เออ ก็ได้" ผมอยากเมา ดังนั้นผมจึงไม่ปฏิเสธยาในมือมัน ผมหยิบขึ้นมาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามทันที



   ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าสีครามก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิท ดวงอาทิตย์ที่เคยเด่นจ้าบนนภา ในเวลานี้ถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์สีเหลืองนวล ผมลืมตาขึ้นมาในความมืด



   'ไอ้ธรอยู่ไหน ทำไมไม่เปิดไฟ'



   นั่นคือคำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวผม แต่เพียงไม่นานผมก็ได้พบกับคำตอบ ไอ้ธรมันเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วเดินด้วยความระมัดระวัง คงกลัวว่าผมจะตื่น มันค่อยๆ วางถุงพลาสติกที่มันหิ้วติดมือมาด้วย วางบนหลังตู้เย็น


   "ไอ้ธร มึงไปไหนมา" ผมทักมันก่อน เพื่อบอกเป็นนัยว่าผมตื่นแล้ว


   "อ้าว ตื่นแล้วเหรอมึง นี่กูออกไปซื้อข้าวมากิน หิวว่ะ"


   "งั้นเหรอ"


   "กินเลยละกัน" ไอ้ธรมันตัดสินใจให้


   "กูไม่..." ผมพูดค้างได้เพียงแค่นั้น


   "หยุด กูไม่ได้ถามมึงว่าจะกินหรือไม่กิน"


   "ไอ้ธร" ผมยังไม่อยากกินจริงๆ


   "ลุกขึ้นมาไปล้างหน้าล้างตา ถ้ามึงไม่กินข้าว เหล้าก็ไม่ต้องไปดงไปแดก" คราวนี้ไอ้ธรยื่นคำขาดมาให้ผมตัดสินเอง



   ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าตามที่ไอ้ธรมันสั่ง พอออกมาจากห้องน้ำ ไอ้ธรก็เตรียมข้าวน้ำให้ผมเรียบร้อย ผมกับมันก็ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร ไอ้ธรกินจนหมดแล้วแต่ผมกินไปแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไอ้ธรมันเห็นแต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะอย่างน้อยผมก็กินตามที่มันบอก


   "อิ่มแล้วใช่มั้ย"


   "อืม" ไอ้ธรลุกขึ้น เก็บจานชามไปล้างให้เรียบร้อยแล้ว เดินกลับมานั่งตรงหน้าผมอีกครั้ง


   "กูให้เวลามึงเสียใจเป็นหมาถูกทิ้งแค่วันนี้วันเดียว ถ้าพรุ่งนี้มึงยังเป็นแบบนี้อีก กูจะจับมึงโยนออกไปให้เหมือนหมาจริงๆ" ไอ้ธรคาดโทษผม แต่ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรอก มันก็แค่เป็นห่วงผมเท่านั้น


   "กูจะพยายาม" ผมตอบรับไอ้ธรไป


   "มึงต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พยายาม เข้าใจมั้ย"


   "กูจะพยายาม" ผมยังบอกมันด้วยคำเดิม


   "ไอ้เชี่ยนี่ เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้" ไอ้ธรมันกวนประสาทผม หวังให้ผมลืมความเครียดนี่ไปสักพัก แล้วก็ได้ผล ผมยิ้มให้มันก่อนจะเป็นฝ่ายถีบมันเอง


   "ไปแดกเหล้าได้ยัง" ผมถามเจ้าของห้อง


   "เอาดิ อาบน้ำเสร็จก็ไปได้เลย"





   วันนี้ไอ้ธรเลือกร้านแถวแม่น้ำเจ้าพระยา ร้านนี้บรรยากาศดี ลมเย็นๆ หน้าหนาวยามค่ำคืนพัดมาเรื่อยๆ ๆ ทำให้อากาศด้านนอกกำลังสบายเลยทีเดียว ไอ้ธรเลือกมุมที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาได้ชัดและยังได้ยินเสียงน้ำกระทบฝั่งเบาๆ ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ แต่วันนี้มันกลับดูเศร้า เสียงคลื่นที่กระทบฝั่งมันเหมือนความรู้สึกแห้งแล้งของผมที่กำลังกระทบใจ กัดกร่อนจิตใจให้อ่อนล้ามากกว่าเดิม




   ผมสั่งเบียร์จัดมาก่อนเลย 1 ทาวเวอร์ ไอ้ธรอ้าปากจะยั้งผมไว้ แต่ก็ไม่ทัน ผมบอกแล้วว่าอยากเมา เพราะงั้นผมเลยต้องรีบตัดหน้าชิงสั่งให้เร็วที่สุด ดนตรีสดเพิ่งเริ่ม เพลงที่ร้องช่างประจวบเหมาะเสียจริง รู้ใช่มั้ยว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ เพลงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของผม มันถึงมีแต่เพลงอกหัก



   'กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง  เหมือนมีอะไรที่ดึง ไม่ให้เราเลือกทางใด
   รักคนมีเจ้าของ ต้องทนเก็บมันในใจ  ไม่รู้จะทำอย่างไร   และชีวิตจะเดินต่อไปทางไหนดี'



   คือบับว่า เอ่อ สงสัยลิ้นไก่ผมจะสั้น เอาใหม่ๆ คือแบบว่า ผมมาก่อนหรือเปล่า พี่เมฆไปมีเจ้าของตอนไหน ผมจะไม่ทน ไม่ทนจริงๆ



   'มันผิดที่ฉันยอมให้เธอเก็บไว้  มันผิดที่ฉันมอง
   เห็นเธอด้วยหัวใจ  ผิดตรงที่ไว้ใจ  ฉันมองตัวเธอ ผิดไป'



   และเพลงต่อมา



   'นี่แหละคือความเสียใจ  ความเสียใจมันเป็นอย่างนี้ จำซะใหม่
   ต้องเจ็บจนร้องไห้โดยไม่อาย  ต้องช้ำทุรนทุรายขนาดนี้'




   "ไอ้คี ไอ้คี มึงร้องไห้ทำไม"


   "อะไรวะ ใครร้องไห้" ผม งง ว่าไอ้ธรมันพูดถึงอะไร


   "ก็มึงไง ร้องไห้อยู่เนี่ย เอ้า ทิชชู่ เช็ดซะ" ผมยกมือแตะหน้า จึงเข้าใจว่าตอนนี้ผมร้องไห้อยู่จริงๆ   "ขอบใจ" ผมรับทิชชู่จากไอ้ธรมาเช็ดลวกๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ


   "เล่าเรื่องของมึงให้กูฟังได้แล้วไอ้คี" ผมนิ่งไปสักพัก



   ในที่สุดผมก็เล่าเรื่องราวของผมกับเฮียเมฆเมื่อคืนนี้ให้ไอ้ธรได้รับรู้



   "แล้วมึงก็เลยทำตัวเป็นนางเอก เก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านมา?" คำแรกหลังจากที่ไอ้ธรมันฟังผมจนจบ


   "ก็ไม่รู้จะทำยังไง กูไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเฮียตอนนี้"


   "มึงแน่ใจได้ยังไง ว่าพ่อมึงกับคนเมื่อคืนนั้นเขามีซัมติงกัน"


   "กูเห็นเขาจับมือกัน กอดกัน จูบกันเลยนะเว้ย" ผมเสียงดังขึ้นเพื่อแข่งกับเสียงเพลง


   "แค่นี้?" ไอ้ธรมันดันถามผมกลับมาสั้นๆ มันน่ากระโดดถีบขาคู่จริงๆ


   "เออสิ หรือกูต้องเห็นว่าเขาได้กันด้วยมั้ย มึงจะได้ไม่ถามว่า แค่นี้" ผมประชดมันกลับไป


   "แหงสิ ถ้ามึงเห็นเขาเอากันเมื่อไหร่ มึงค่อยมโนให้หนัก แต่นี่มันไม่ใช่สักหน่อย"


   "มึงเป็นเพื่อนกูจริงเปล่าวะ ไอ้ธร" ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่ไว้ใจ


   "เอางี้ กูจะสาธยายให้มึงได้ฉลาดขึ้นมาบ้างนะ"


   "พูดมาให้ไว" ผมบอกมันและยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่


   "ไอ้คี ในฐานะที่เป็นเพื่อนกับมึง แล้วพอจะรู้จักนิสัยเหี้ยๆ ของมึงมาบ้าง กูขอพูดตรงๆ เลยละกัน เรื่องมึงกับพ่อมึงที่เคยได้กันเนี่ย พวกมึงทั้งคู่ยังไม่เป็นแฟนกันเลยไม่ใช่เหรอ คอยหวงก้างกันไปมาอยู่นั่นแหละ แล้วมึงนะ ไอ้คี เที่ยวไปทั่ว นอนกับผู้ชายคนนั้นที ผู้หญิงคนนี้ที ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ถามจริงๆ พ่อมึงยังใจกว้างไม่พอเหรอ แล้วกะอีแค่มึงเห็นเขากอดจูบกัน ยังไม่เคยเห็นว่าเขาได้กันเลย มึงยังคิดไปไกล มานั่งฟูมฟายร้องไห้หาสวรรค์วิมานซะเยอะ" ไอ้ธรพูดร่ายมาเสียยืดยาว ซึ่งก็จริงของมันทุกคำ จนผมแก้ตัวอะไรไม่ได้เลย


   "แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"


   "กูไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิดนะ และกูก็ไม่ได้เข้าข้างมึงหรือพ่อมึงด้วย กูเองก็พอเข้าใจความรู้สึกของมึงอยู่บ้างว่ามึงคงช็อคตกใจเสียมากกว่าเพราะว่าพ่อในโอวาทของมึง เป็นเด็กดี ทำแต่งาน เหล้าไม่ค่อยแดก นารีก็ไม่ยุ่ง แล้วจู่ๆ ก็กลับมีตัวละครตัวใหม่เสนอหน้าเข้ามา แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นกูว่ามึงควรจะฟังพ่อมึงพูดก่อนดีกว่าว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ ไม่ใช่ไม่ฟังอะไรเลย"


   "แต่ตอนนี้ กูยังไม่พร้อม" ผมบอกมันเสียงเบา มันไม่ได้ยินหรอกครับ แต่มันดันอ่านปากผมออก


   "ไม่ต้องมาทำเป็นพูดให้กูไม่ได้ยิน กูไม่ได้บอกให้มึงไปฟังพ่อมึงตอนนี้สักหน่อย รอมึงโอเคก่อนแล้วค่อยไปก็ได้"


   "ขอบใจมึงมาก"


   "มึงไม่ต้องมาขอบอกขอบใจกูหรอก กูรู้ตัวดีว่ากูเป็นเพื่อนที่ประเสริฐ เพราะงั้นคืนนี้เลี้ยงเหล้ากูด้วย ค่าปรึกษา" ผมยิ้มให้มันพร้อมจ่ายค่าปรึกษาของมันเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทหนึ่งโดยไม่ออกเสียง


   "ช่วงนี้กูขอพักอยู่กับมึงสักพักได้มั้ยวะ"


   "ตามสบาย มึงจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ แต่ก็ไม่ควรนานนักเพราะมึงควรเกรงใจกูบ้าง" มันหัวเราะและเหย้าแหย่ผมให้ยิ้มออกมาจนได้ มันเป็นเพื่อนที่ดีอย่างที่มันพูดแหละครับ


   "เดี๋ยวกูช่วยจ่ายค่าไฟ"


   "ค่าน้ำด้วยมึง อย่าลืม"


   "เออ มึงนี่เค็มจริง"


   "กูจะได้มีเงินมากินเหล้ากับมึงไง๊ ว่าแต่มึงเถอะอย่าลืมบอกที่บ้านล่ะ กูไม่อยากให้เขาไปแจ้งความ
ประกาศว่าควายหาย"


   "รู้แล้วน่า" ผมปาน้ำแข็งก้อนไม่ใหญ่นักที่หัวมันพอเป็นพิธีด้วยความเอ็นดูเล็กๆ


   "กูเจ็บนะ ปามาได้ มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กูด้วย หัวโนแล้วเนี่ย" มันลูบคลำหัวป้อยๆ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะปาน้ำแข็งไปที่หัวมันอีกรอบ




   คืนนั้นจบลงที่ผมเมาหัวราน้ำ จำหน้าใครไม่ได้ จำทางกลับบ้านก็ไม่ได้ จำไม่ได้แม้กระทั่งว่ากลับมานอนห้องไอ้ธรได้ไง หากใครฉุดลากไปฆ่าหมกป่า ผมคงตายไปอย่างสงบโดยไม่มีใครรู้ แต่โชคดีที่ไอ้ธรมันไม่ได้ดื่มมากเพราะมันรู้ว่าวันนี้ผมคงอาการหนัก มันเลยจิบเบียร์เบาๆ เหล่สาวไปพลางๆ ฟังดนตรีไปเพลินๆ แล้วลากผมกลับห้องอย่างอย่างหมาๆ


   "ไงตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวมั้ย" ไอ้ธรเอ่ยทักผมตอนที่เห็นว่าผมลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือกุมศีรษะ


   "เออว่ะ หนักหัวชิบหาย"


   "สมควร ก็เล่นแดกไปซะเยอะ ไม่ปวดหัวก็บ้าแล้ว"


   "แล้วทำไมมึงไม่ห้ามกู" ผมคาดโทษมันกลับไป


   "ใช่เรื่องของกูมั้ย โตเป็นควายแล้วคิดไม่ได้ อยากเมาก็เมาซะให้พอ" เจ็บจนจุกครับ เพื่อนด่า เพื่อนที่กินเหล้าเป็นเพื่อนผม แต่วันนี้มันเอาตัวรอดชิงด่าผมก่อน


   "เอาเลยไอ้ธร ด่ากูซะให้พอ ถึงทีกูเมื่อไหร่กูจะด่าไม่เลี้ยงเลย" ผมด่ามันไปแต่มือก็รับยาแก้ปวดหัวจากไอ้ธรมา ก็แบบนี้แหละครับ ด่ากัน รักกัน ชีวิตจะได้ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว




   วันเวลาผ่านไปเกือบสัปดาห์ วันนี้เป็นการเรียนคาบสุดท้ายของสัปดาห์นี้แล้ว กว่าจะเลิกเรียนก็จวนค่ำ ผมนั่งรอไอ้ธรอยู่ใต้คณะ มันไปเข้าห้องน้ำแต่อาการรีบเร่งของมันคาดว่าท่าทางคงจะยาว ผมกังวลใจว่าจะเจอผู้ชายขายาว ตัวสูง ใส่สูท หน้าหล่อ มายืนรอใต้ตึกของคณะแต่ก็ผิดคาด หนทางปลอดโปร่งโล่งเตียนเลยครับ ใจหนึ่งก็โล่ง แต่อีกใจหนึ่งก็กลับรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ มันเหมือนกับว่าจริงๆ แล้วผมไม่ได้มีความหมายกับเฮียสักเท่าไหร่


   "ครับ ป้าจัน" โทรศัพท์ในมือของผมสั่นขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันได้สร้างดราม่าต่อ


   "เด็กคนนี้ ยังไงกัน เงียบหายไปเลยนะเรา บ้านช่องก็ไม่กลับ โทรศัพท์ก็ไม่โทร เห็นป้าแก่ๆ คนนี้ไม่มีความหมายต่อลูกแล้วใช่มั้ย ตาคี" เสียงป้าจัน บ่นยาวมาจากปลายสาย ถึงคำพูดจะประชดประชันก็ตามแต่น้ำเสียงของป้าจันก็เป็นห่วงผม



   ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมาคืนนั้น ผมฝากเฮียเมฆบอกป้าจันเอาไว้ แต่ไม่ได้โทรกลับไปหาป้าจันเลย ไม่แปลกหรอกครับ ที่ป้าจันจะเป็นห่วงแล้วอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดหลานรักอย่างผม


   "คีขอโทษครับ ป้าจันอย่างอนเลยน้า คีคิดถึงป้าจันมากๆ เลย อยากกลับบ้านใจจะขาดแล้ว อยากกอดป้าจันมากๆ อยากหอมแก้มนุ่มๆ ด้วย"


   "ไม่ต้องมาทำเอาใจคนแก่หรอก อยากกลับบ้านบ้างล่ะ คิดถึงป้าบ้างล่ะ แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะจ้ะ" ผมจับน้ำเสียงของป้าจันได้ว่าตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นแล้ว


   "ก็หลังจากกลับจากค่าย มันก็ใกล้สอบกลางภาคแล้วน่ะครับ คีกลัวเกรดไม่ดี เลยอยู่ติวกับเพื่อนดีกว่า ถ้าสอบเสร็จแล้วคีจะรีบกลับบ้านนะ"


   "แล้วเราจะสอบเสร็จเมื่อไหร่"


   "คียังไม่รู้เลย ถ้าตารางสอบออกแล้ว คีจะรีบบอกให้คุณป้าทราบเป็นคนแรกเลยนะครับ"


   "ย่ะ พ่อคุณ วันไหนว่างก็แวะมาหาป้าบ้างนะลูก ป้าเองก็อยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหน โทรมาบอกก็ได้เดี๋ยวป้าให้ลุงแช่มขับรถไปรับเราที่มหาลัยนะลูก"


   "ขอบคุณครับป้าจัน"


   "แล้วเป็นยังไงบ้าง เราน่ะ"


   "คีสบายดี ป้าจันไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับ"


   "กินข้าวครบทุกมื้อหรือเปล่า"


   "ครบทุกมื้อเลยคร้าบ"


   "คี" เสียงป้าจันถอนหายใจหนักๆ ด้วยความลำบากใจ


   "ครับ?" ผมเองก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง


   "ทะเลาะกับพี่เขาใช่มั้ยลูก"


   "เปล่าครับ"


   "อย่าหลอกคนแก่อย่างป้าเลย คนเล็กก็ไม่ยอมกลับบ้าน คนโตกลับบ้านดึกทุกวัน นอนก็แทบไม่นอน หน้าตาเหมือนคนอมทุกข์เอาไว้ตลอดเวลา ป้ากลัวจะล้มหมอนนอนเสื่อสักวัน"


   "โธ่ ป้าจันครับ คีบอกแล้วว่าช่วงนี้ติวกับเพื่อนไงครับ ถ้าสอบเสร็จแล้วคีจะรีบกลับไปบ้านนะ ส่วนพี่เมฆคงเครียดเรื่องงานหรือเปล่าครับ" ผมพยายามเบี่ยงประเด็นแก้ตัวไปเรื่อย ลึกๆ พอได้ฟังว่าเฮียเมฆกลับบ้านดึก หน้าตาดูไม่สบาย ผมเองก็อดเป็นห่วงเสียไม่ได้


   "ไม่รู้ล่ะ เรื่องของเด็กๆ ป้าก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอกแต่จะโกรธหรือทะเลาะอะไรกับพี่เขา ป้าก็อยากให้หันหน้ามาคุย รับฟังกันก่อนนะลูก อย่าเพิ่งคิดหรือตัดสินใจอะไรเอง ทุกอย่างมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คีคิดหรืออย่างที่พี่เขาทำก็ได้ ป้าเห็นแบบนี้แล้ว ป้าไม่สบายใจเลย คีเข้าใจป้าใช่มั้ยลูก"


   "ครับ คีเข้าใจ"


   "ลองคิดดูดีๆ นะลูก ป้ารักคีเสมอนะ"


   "คีก็รักป้าจันมากๆ เหมือนกัน คิดถึงนะครับ"


   "จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะลูกนะ ป้าเป็นห่วง"


   "ป้าจันก็เหมือนกัน แล้วคีจะรีบกลับไปนะครับ" ผมบอกลาป้าจันผ่านสายโทรศัพท์แล้วก็กดวางไป ประจวบเหมาะไอ้ธรก็เดินผิวปากกลับมาพอดี


   "ไงมึง คุยกับใคร พ่อมึงเหรอ"


   "พ่อมึงสิ ไอ้ธร กูคุยกับป้าจันต่างหาก"


   "อ้อ หลานรัก เงียบหายสินะ"


   "อืม กูลืมโทรบอกป้าจันไปเลย"


   "แล้วป้ามึงว่าไงบ้าง" ไอ้ธรถามพลางนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม


   "ก็เหมือนเดิมแหละ อยากให้กูกลับบ้าน" ผมตอบมันเนือยๆ


   "เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับหมาหงอย พ่อมึงใช่มั้ย"


   "ป้าจันบอกว่าเฮียเมฆดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่"


   "เป็นห่วงก็กลับไปสิ" ไอ้ธรพูดตรงประเด็นตรงใจผมเป๊ะ


   "อยากกลับว่ะ แต่กูยังไม่พร้อม"


   "ไม่พร้อมอะไรนักหนา ไอ้คี ถ้ามัวแต่ปอดแหกแล้วเมื่อไหร่ปัญหามันจะเคลียร์วะ"


   "เรื่องของกูน่า" ผมพูดพลางลุกขึ้นเดินนำมันออกมาจากใต้ตึกแล้วผมก็ต้องชะงักอยู่แบบนั้น


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-08-2016 09:46:26


   'เฮียเมฆ'



   เฮียเมฆยืนอยู่ตรงหน้า ผมยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ไอ้ธรเห็นว่ามีใครอีกคนเข้ามา มันลุกขึ้นและตบบ่าผมเบาๆ ยกมือไหว้เฮียเมฆแล้วขอตัวกลับหอก่อน



   "คี" เสียงเฮียเมฆเรียกผม มันเป็นเสียงที่เบาเหลือเกิน แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ผมรู้สึกมันนานเหลือเกินที่ผมไม่ได้ยินเสียงของเฮีย


   "ครับ"


   "พี่มารับคีกลับบ้าน"


   "ผมยังไม่อยากกลับ"


   "พี่มาหาคี โกรธอะไร โมโหอะไร พี่อยากให้ฟังก่อน" เฮียเมฆเอื้อมมือมาจับมือผม แต่ผมชักมือกลับ ซ่อนมันไว้ข้างหลัง เฮียเลยได้แต่ยื่นมือค้างเอาไว้แบบนั้น


   "ผมยังไม่อยากฟังตอนนี้"


   "งั้นไปกินข้าวกับพี่นะ"


   "ผมต้องไปกินข้าวกับไอ้ธร"


   "ไปกินข้าวกับพี่นะ" แววตาของเฮียยังเหมือนเดิม มองมาที่ผมเหมือนเดิม ดวงตาคู่เดิมที่เคยเคร่งขรึมดุดันอยู่ในที บัดนี้มันกลับดูเศร้า อ้างว้างเหลือเกิน


   "ก็ได้ เดี๋ยวผมโทรบอกไอ้ธรก่อน" ผมถอนหายใจรับปากเฮียเมฆแล้วกดโทรศัพท์โทรบอกไอ้ธรว่าไม่ต้องรอกินข้าว มันเข้าใจดีโดยไม่ต่อว่าผมสักคำ



   ผมเดินตามเฮียเมฆไปจนถึงรถ เฮียเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้กับผม มันไม่ใช่เรื่องปกติที่เฮียทำ ผมคิดว่าเฮียคงจะกลัวว่าผมจะไม่ยอมขึ้นรถง่ายๆ ละมั้ง ก็เลยเปิดประตูรอไว้เลยดีกว่า ผมก้าวขึ้นไปนั่งแล้วคาดเข็มขัดอย่างเรียบร้อย เฮียเมฆปิดประตูอย่างเบามือก่อนจะก้าวขึ้นมานั่งที่ฝั่งคนขับบ้างและรถคันสวยก็แล่นออกจากมหาวิทยาลัย


   "อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย"


   "ไม่ครับ ผมไม่ค่อยหิว อะไรก็ได้"



   เฮียเมฆขับรถต่อไปเงียบๆ ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างเราอีกจนกระทั่งถึงร้านที่เฮียเป็นฝ่ายเลือก ร้านนี้เป็นร้านประจำของเรา ทั้งผมและเฮียเมฆ หลายต่อหลายครั้งที่เรามาทานอาหารที่นี่ ช่วงเวลาดีๆ ความทรงจำต่างๆ เหล่านั้นมันกำลังแล่นเข้ามาในสมอง ภาพที่ผมพูดคุยหัวเราะกับเฮียอย่างมีความสุข ภาพที่ผมคอยเหย้าแหย่ให้เฮียหลุดขำ หรือจังหวะที่ผมจับมือเฮียและเฮียก็จับมือผมกลับ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเฮียถึงต้องเลือกร้านนี้ด้วย



   "ทำไม" ผมถามเฮียเมื่อรถจอดนิ่งสนิท


   "หืม?"


   "ทำไมต้องเป็นร้านนี้ด้วย"


   "คีไม่ชอบร้านนี้เหมือนกับพี่เหรอ"


   "เพราะว่าชอบไง ผมถึงถามเฮียว่าทำไมต้องพาผมมาร้านนี้ด้วย" ผมเสียงดังขึ้นภายในรถที่เงียบสงัด


   "ใจเย็นๆ ก่อน" เฮียเมฆเอื้อมมือมาจับไหล่ผม


   "ทำไมต้องเป็นร้านนี้ด้วย ทำไม" ผมเริ่มฟูมฟายจนเฮียตกใจ


   "คี อย่าร้องไห้ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ" เฮียเมฆคว้าตัวผมเข้าไปกอด มือหนากดศรีษะของผมให้ซบบนไหล่กว้าง เฮียเมฆยังเหมือนเดิม ความอบอุ่นที่เฮียมีให้ผมก็ยังเหมือนเดิม



   ผมสะอื้นฮักร้องไห้เหมือนเด็กๆ อยู่ในอ้อมกอดเฮีย จนสูทราคาแพงของเฮียเลอะเปรอะเปื้อนไปหมดแต่เฮียก็ไม่ได้สนใจ มือหนายังลูบผมอย่างเบามืออยู่ตลอดเวลา รอจนกระทั่งผมหยุดร้องไห้และนิ่งเงียบในที่สุด เฮียหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผมอย่างอ่อนโยนเสียจนผมอยากจะปี่แตกอีกรอบ


   "เฮียเคยพาเขามาที่นี่มั้ย" ผมเอ่ยถามเสียงเครือหลังจากหยุดร้องไห้


   "เขา?"


   "พี่พีช" สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ต้องเอ่ยชื่อของคนนั้นอยู่ดี


   "ไม่เคยหรอก จะพามาได้ยังไงกัน พี่รู้ว่าคีหวงของจะตายไป"


   "ถ้ารู้ว่าผมหวงของแล้วทำไมพี่ยังทำ..."


   "ทำ? พี่ทำอะไร"


   "ช่างเถอะครับ"


   "ไม่พูดให้หมดล่ะ"


   "ไม่มีอะไรครับ" ผมก้มหน้าตอบ ไม่อยากสบตากับเฮียเมฆ


   "ไหนดูหน้าสิ มอมแมมเลอะไปหมดแล้ว เข้าไปกินข้าวทั้งแบบนี้ สงสัยคนคงมองทั้งร้านแน่เลย"


   "ไม่เป็นไรหรอกครับ"


   "พี่ไม่อยากให้ใครมองคีแบบนั้น"


   "เฮียเมฆ"


   "กลับบ้านกันเถอะ ค้างสักคืนแล้วพรุ่งนี้ถ้ายังไม่อยากอยู่ที่บ้าน พี่จะพาไปส่งที่หอธรให้"


   "ผมอยากกลับไปห้องไอ้ธร"


   "กลับไปที่บ้านกับพี่ก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้จะได้กินข้าวกับแม่พี่ด้วย ไม่คิดถึงเหรอ"


   "ผม.." ใจหนึ่งผมก็คิดถึงป้าจัน อีกใจหนึ่งมันก็โหยหาคนตรงหน้า สุดท้ายผมเลยต้องพยักหน้าตอบรับเพราะไม่อยากจะหักห้ามความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ ถึงแม้ความรู้สึกเสียใจมันยังไม่จางหายไปเลยก็ตาม


   "กลับบ้านกันนะ เด็กดีของพี่" เฮียเมฆลูบศรีษะผมเบามือแล้วก็เข้าเกียร์ออกรถทันที




   รถยนต์คันหรูจอดเทียบประตูเข้าบ้าน บัดนี้เวลาก็ใกล้สี่ทุ่มเข้าไปทุกที คุณลุงกับคุณป้าคงเข้านอนไปแล้ว ท่านทั้งสอง นอนเร็วและตื่นเช้าเสมอ หากผมเข้าไปหาป้าจันในตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่ดูไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัก



   เฮียเมฆดับเครื่องยนต์และเปิดประตูลงไป ผมก้าวเท้าตามลงไปโดยอัตโนมัติ เฮียเมฆเดินนำเข้าบ้านไปก่อน ได้ยินเสียงเฮียแว่วๆ ให้เตรียมอาหารมื้อค่ำให้ผมและตัวเอง



   "ตะกี้พี่เจอป้าสายใจ พอบอกว่าคีกลับมาด้วย ป้าแกรีบไปทำของอร่อยๆ ให้คีเลยนะ" เฮียพูดติดตลกแล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ผมนั่งลงที่เก้าอี้ประจำของผมเหมือนเช่นทุกครั้ง


   "เกรงใจป้าสายใจ นี่ก็ดึกมากแล้ว"


   "โถ ไม่ต้องเกรงใจป้าหรอกค่ะ คุณคี" ป้าสายใจเดินเข้ามาพร้อมอาหารควันลอยเด่นอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมของอาหารอวลอยู่ภายในห้อง ส่งผลให้ท้องของผมเริ่มทำงานทันที


   "ขอบคุณครับป้าสายใจ คิดถึงอาหารฝีมือป้าจังเลย" ผมตอบจากความรู้สึกที่แท้จริง


   "ถ้าคิดถึงทำไมไม่กลับบ้านมาทานที่นี่ล่ะคะ ไปทานข้างนอกไม่รู้จะทานได้หรือเปล่า สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้"


   "ทานได้สิครับ คีซะอย่าง แต่ฝีมืออาหารของป้าสายใจเยี่ยมยอดที่สุด"


   "ปากหวานเอาใจคนแก่เก่งจริงๆ แล้วได้ทานอาหารจริงแน่หรือเปล่าคะเนี่ย ไม่เจอแปปเดียว คุณคีดูผอมไปนะคะ"


   "ก็ต้องทานสิครับ แต่ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วที่คณะก็มีงานเยอะเลยครับ"


   "แสดงว่าไม่ค่อยได้ทานใช่มั้ยคะ ไม่รู้ล่ะค่ะ ทานให้หมดเลยค่ะ อ้อ คุณเมฆด้วย ต้องทานให้หมดด้วย รายนี้ก็ทานน้อยลงมากเหมือนกัน ป้าล่ะเป็นห่วงเลยทั้งคู่"


   "โธ่ ป้าสายใจ ผมก็ทานของผมเหมือนเดิมนะ" เฮียเมฆปฏิเสธป้าสายใจกลับไป แต่ผมก็รู้ว่าเรื่องที่ป้าสายใจพูดนั้นเป็นความจริง เพราะเฮียเมฆดูผอมลงไปจริงๆ


   "ป้าไม่รบกวนคุณทั้งสองแล้วนะคะ ทานเสร็จก็วางจานชามไว้ตรงนี้ได้เลย เดี๋ยวป้าให้น้อยมายกไปเก็บเองค่ะ"


   "ครับ" ผมกับเฮียเมฆพร้อมใจกันตอบรับสั้นๆ


   "ต้องทานให้หมดนะคะ อย่าลืม ถ้าทานไม่หมด ป้างอนจริงๆ ด้วย" ป้าสายใจขู่ทิ้งท้ายก่อนจะพาร่างอวบท้วมเดินออกจากห้องไป




   ผมกับเฮียเมฆทานอาหารของป้าสายใจไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็หมด โดยไม่ต้องฝืน ไม่ได้กลัวว่าป้าสายใจจะงอนจริงๆ อย่างที่ป้านั้นได้บอกไว้ เพียงแต่รสมือของป้าสายใจนั้นยังกลมกล่อมเหมือนเดิมในความรู้สึกและประกอบกับผมทานอาหารไม่ค่อยลงมาหลายวัน พอมาถึงวันนี้ร่างกายคงอยากจะเรียกร้องเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ผมจึงจัดการเสียเรียบ



   เสร็จจากมื้อค่ำที่จวนจะเกือบเป็นมื้อดึกของเราทั้งสองคน ผมกับเฮียเมฆก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร ทิ้งจานชามเอาไว้แบบนั้นตามคำสั่งของป้าสายใจ เกรงว่าหากดึงดันจะเอาไปเก็บเอง มีหวังพรุ่งนี้ป้าสายใจต้องบ่นและงอนผมกับเฮียเมฆไม่จบแน่ เชื่อป้าและทำตามที่ป้าบอก คือการเรียนรู้อย่างหนึ่งของผมว่าอย่าแย่งหน้าที่ของป้าสายใจเป็นอันขาด เพราะเรื่องนี้ป้าสายใจจะไม่ทน



   ผมเดินนำขึ้นชั้นสองของตัวบ้าน ห้องของผมถึงก่อนห้องของเฮียเมฆ จังหวะที่ผมบิดลูกบิดประตูเพื่อที่จะเข้าห้องตัวเองนั้น แขนของผมก็ถูกคว้าไว้เสียก่อน


   "ไปนอนห้องพี่" เฮียเมฆบอกผมแบบนั้น


   "ผมไม่อยากไป.." และผมก็ตอบกลับไปแบบนั้น   


   "ถ้าคีไม่ไป งั้นคืนนี้พี่จะมานอนห้องคีแทน"


   "เฮีย.." ผมพูดด้วยความอ่อนใจ บทเฮียเมฆจะดื้อดึงนั้นก็มากจนน่าใจหายเลยทีเดียว


   "ว่าไง จะนอนห้องไหนครับ"


   "ห้องเฮียก็ได้" ผมพูดแค่นั้น เฮียเมฆก็หัวเราะเบาๆ แล้วพาผมก้าวเข้าไปในห้องของเฮีย โดยไม่ปล่อยมือที่ยังจับแขนของผมไว้ ไม่รู้ว่ากลัวผมจะหายไปต่อหน้าหรืออย่างไร



   ผมเดินเข้าห้องของเฮียเมฆแล้วก็ตรงไปหยิบเสื้อผ้าที่ตู้ของเฮียทันที ด้วยความที่หลายต่อหลายครั้งเวลาที่ผมเมาแล้วชอบมานอนห้องของเฮีย ทำให้เฮียลำบากที่จะเดินกลับไปที่ห้องผมเพื่อนำเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน เฮียเลยบอกให้ผมแบ่งเสื้อผ้ามาไว้ที่ตู้ของเฮียบ้าง เพื่อความสะดวกของเฮียเอง เพราะเฮียต้องลำบากด้วยสาเหตุจากผมมาหลายอย่างแล้ว



   ผมเปิดตู้เสื้อผ้าออก คว้าเสื้อผ้าชุดนอนมาได้อย่างลวกๆ ก็เข้าไปอาบน้ำทันที ผมยืนอยู่ใต้ฝักบัวขนาดใหญ่ เปิดน้ำให้ไหลลงมาอย่างแรง ผมอยากให้จิตใจของผมนั้นได้สงบลงบ้าง ไม่อยากให้คิดฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ รู้ว่าทำได้ยากลำบากเหลือเกิน แต่ก็อยากขอลองอีกครั้ง หากผมไม่รู้สึกอะไรกับเฮียเลย



   มันคงจะดีกว่านี้ ...



   มันคงจะดีกว่านี้ ...



   ผมหลับตาลงช้าๆ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมยังคงต้องต่อสู้จิตใจตัวเองต่อไป และอดทนให้มากที่สุดเพื่อตัวของผมเอง เพราะหากเฮียต้องแต่งงานไป ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ หรือกับใครคนอื่นก็ตาม ผมก็ต้องยอมรับมันให้ได้ และอยู่ต่อไปให้ได้ด้วยเช่นกัน


   ก๊อก ก๊อก



   เสียงเคาะประตูห้องน้ำจากภายนอก ปลุกให้ผมตื่นจากห้วงความคิด ผมรีบอาบน้ำสบู่อย่างรวดเร็ว
และรีบแต่งตัวเพียงไม่นานก็แต่งตัวเสร็จ เมื่อออกมาก็พบว่าเฮียเมฆกำลังนั่งอยู่บนโซฟาขาวตรงอีกมุมหนึ่งของห้อง เฮียเปิดทีวีไว้ แต่กลับมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมไม่เห็นใบหน้าของเฮียในเวลานั้น เพราะเฮียนั่งหันหลังให้ ผมจึงไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เฮียกำลังคิดอะไรอยู่ เฮียกำลังเสียใจเรื่องของเราหรือเปล่า หรือเฮียกำลังคิดว่าอยากให้เราทั้งสองคนนั้นลงเอยในตอนท้ายอย่างไร



   ผม นายคีรินทร์ รินทร์วิธา คนที่เคยมั่นใจว่าตนเองนั้นรู้จัก นายเมฆา วิวัฒน์จรรยา นั้นดีที่สุดแล้ว แต่ครั้งนี้ผมกลับชักไม่แน่ใจแล้วว่า ผมรู้จักเขาดีจริงหรือไม่



   ผมไม่รู้เลยจริงๆ



   เสียงดังสวบสาบของเสื้อผ้าในจังหวะที่ผมก้าวไปที่เตียงนอนหลังใหญ่ แล้วล้มตัวลงนอนในฝั่งประจำของผม มันทำให้เฮียเมฆรู้สึกตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง เฮียลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ


ผมหลับตาลงหวังว่าคืนนี้คงจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะลึกๆ แล้ว ผมกลัวใจอ่อนกับคำพูดของเฮียเมฆ ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวว่าผมจะกลายเป็นคนที่อดทนรอเฮียเมฆอยู่ด้านหลังตลอดไป หากวันข้างหน้าเฮียไม่ได้เลือกผมเป็นที่หนึ่ง ผมคงจะต้องกลับไปยังที่ของผมเสียที



   "หลับหรือยัง" เสียงทุ้มของเฮียเมฆเอ่ยดังขึ้นข้างหูของผม เมื่อเฮียตามเข้ามานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ผมได้กลิ่นหอมของสบู่ที่ผมกับเฮียใช้เหมือนๆ กัน แต่ผมกลับไม่ได้กลิ่นนั้นออกจากร่างกายของผมเลย


   "..." ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะอยากจะให้เข้าใจว่าผมหลับไปแล้ว เฮียเมฆดึงร่างของผมเข้าไปกอดจากด้านหลัง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่บ่อยนักที่เฮียจะทำเช่นกัน เฮียไม่ชอบกอดจากด้านหลัง และมักจะไม่ค่อยเป็นฝ่ายกอดผมด้วย มีแต่ผมที่พยายามหาทางกอดเฮียแทน


   "เมื่อไหร่จะยอมฟังพี่สักที"


   "..."


   "พี่ไม่ได้..."


   "อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยได้มั้ย" ผมยอมรับว่าผมกลัว ถ้าเฮียจะบอกว่า เฮียไม่รู้สึกอะไรกับผม หรือเฮียไม่ได้รักผม



   ผมยังไม่พร้อม และผมขอยืดเวลาตรงนี้ออกไปอีกหน่อยได้หรือเปล่า ยอมรับเลยว่าถ้าพี่พีชคนนั้นเป็นผู้หญิง ผมคงจะไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้ เพราะพอจะเข้าใจว่าเฮียก็ควรแต่งงานกับคนดีๆ มีลูกให้คุณลุงคุณป้าได้อุ้ม มันคงทำให้ผมยอมรับอะไรได้ง่ายกว่านี้


   "หันมาคุยกับพี่ดีๆ หน่อยได้มั้ย"


   "ผมง่วง"


   "ไม่เอาน่า หันมาคุยกับพี่เถอะ" ผมหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเพื่อพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเฮีย


   "เฮ้ย!!..." ผมตกใจอุทานออกมา เพราะเฮียเมฆออกแรงพลิกตัวผมขึ้นไปนอนอยู่หน้าอกเฮีย


   "เล่นอะไรของเฮียเนี่ย" ผมบ่นหลังจากจัดที่จัดทางให้ตัวเองได้นอนสบายแล้ว


   "พี่ไม่รู้ว่าคีโกรธอะไร แต่ถ้าเกี่ยวกับคุณพีชล่ะก็ พี่อธิบายได้"


   "พี่เมฆอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย รอหลังสอบเสร็จเทอมนี้ก่อนได้มั้ยครับ" เหมือนเคยครับ เฮียชอบคนพูดเพราะ พูดจาดี ถ้าผมอยากจะได้อะไร หรือขออะไรจากเฮีย คำพูดคำจาต้องดีครับ


   "กลางภาค?" เฮียหมายถึงการสอบที่จะมีขึ้นในไม่ช้านี้


   "ปลายภาคครับ"


   "อีกตั้งหลายเดือน นานไปหรือเปล่า"


   "ขอเวลาหน่อยนะครับ"


   "คี...." เฮียเมฆเรียกชื่อผมเสียงเบา แต่ผมก็รู้ว่าเฮียไม่ได้อยากทำตามคำขอผมหรอก


   "นะครับ"


   "มันไม่ใช่อย่างที่คีคิดนะ พี่อธิบายได้"


   "ถ้าพี่เมฆไม่หยุดพูด ผมจะไปห้องไอ้ธรตอนนี้เลย" จะบอกว่าผมดื้อแพ่งก็ยอม



   คุณเคยเจอหรือรู้สึกในปัญหาอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า อย่างเช่น เวลาที่เราเคยมั่นใจอะไรสักอย่าง แล้วเราเชื่อว่าสิ่งนั้นจะไม่มีวันทำให้เราต้องสั่นคลอนในความเชื่อมั่นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันกลับไม่ใช่ มันเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ประมาณนั้น เพราะสิ่งที่เราเคยมั่นใจมาโดยตลอดและเชื่อมั่นว่าเขาคงรักเรา แต่บัดนี้มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว



   มันก็เลยเหมือนคุณเสียสมดุลหรือขาดความมั่นใจจนไม่กล้าจะปักใจเชื่อหรือรักอะไรใครได้อีก



   ในตอนนี้ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นแหละ



   แล้วเหตุการณ์แบบนี้มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเจอ




================================================
สวัสดีผู้อ่านทุกคนค่ะ ขออนุญาตมาลงเร็วก่อนหนึ่งวันค่ะ เพราะวันจันทร์ติดธุระอาจทำให้มาลงไม่ได้
ไม่ว่ากันเนาะ  :hao6:

มาถึงตอนนี้กันบ้างค่ะ อ่านแล้วอย่าเพิ่งเหนื่อยใจกับนายคีคนนี้นะคะ ทุกคนนนน คีมีเหตุผลของตัวเอง
ส่วนเฮียเมฆก็ยังเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องว่าทำอะไรคีถึงโกรธ
แต่จะเป็นยังไงต้องติดตามกันต่อไปค่ะ คนเขียน เขียนไปอีกสิบตอนได้แล้วค่ะ เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องได้ถูกวางเอาไว้อยู่แล้ว
ไม่ต้องห่วงว่าอาจจะมีพลิกโผหรือเปลี่ยนเนื้อเรื่องกลางทางแน่นอนค่ะ

ตอบคำถามๆๆๆ หายข้อสงสัยกันจ้า

คุณ ทฟเืนสรฟ : เรื่องนี้คนเขียนอยากบอกว่ามันไม่ดราม่านะคะ จริงๆ น้า เพราะทุกครั้งที่จะเข้าหน่วง คีจะมีมุมให้ไม่เครียดของตัวเองแน่นอนค่ะ อีกอย่างคนเขียนแต่งหน่วงไม่เป็นนนนนน ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ ^^ มาม่าไม่อืดแน่น๊อนน *เสียงสูง*

คุณ Yara : อ่านติดตามต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ เรื่องจะค่อยๆ คลายออกมาเองค่ะ

คุณ mukmaoY : คีเป็นเด็กนิสัยไม่ดีค่ะ จับตีๆๆๆ  :z13:

คุณ warin : มาอ่านกันเลยค่า

คุณ Jibbubu : มาแล้วววววว

คุณ Chise : มาแล้วค่าา เดี๋ยวจะได้รู้ว่าคีมีปมในใจหรือเปล่า แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะคะ ^^

คุณ lllittled : ไม่ใช่แนว incest ค่ะ วางใจได้เลย สองคนนี้ไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้อง หรือเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยค่ะ แต่ทำไมคีถึงมาอยู่ที่บ้านเฮียได้ ต้องติดตามนะคะ ส่วนสถานะความรู้สึกคี ใช่ค่ะ ตามที่คีเคยบอกว่าคียังไม่พร้อมเลยนั่นแหละค่ะ
คำแก้ตัวของเฮียเมฆ คีจะฟังหรือเปล่า เนี่ย ต้องลุ้นกันต่อค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามนะคะ
อัพเดทข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์เลยนะคะ ตรงลายเซนต์เล้ยย
  :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 07-08-2016 10:52:55
ฟังแล้วเฮียเมฆอาจไม่ได้มีอะไรกับพี่พีชก็ได้นะ แต่พี่พีชน่าจะชอบเฮียล่ะนะ คีก็ฟังเฮียหน่อยละกัน
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-08-2016 18:17:22
ชักรำคาญคีแล้วจะกลัวทำไมอย่าป๊อดได้มั้ยฟังเฮียก่อนอย่าเพิ่งคิดไปเอง มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ ธรก็บอกอยู่
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-08-2016 19:51:47
อ่านไป ซับน้ำตาไป  :mew6:  (อะไรของฉันเนี่ย บ่อน้ำตาตื้นเกินไปละ)
เฮียเมฆ ก็พยายามจะอธิบาย คี ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับฟัง :katai1:
ทุกข์ ทั้งคู่ กินไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยได้ จนผอมทั้งคู่
แสดงว่า มันไม่ใช่อย่างที่คีคิดละ
เพราะถ้าเฮียเมฆ ชอบพี่พีชจริง ไม่รักคีแบบนั้น
เฮียเมฆ ก็ต้องสุขสบาย กินได้ นอนหลับ คงไม่โทรมเหมือนกับคี
คี เป็นพวกกลัวไปล่วงหน้า คิดเกินไปเอง
อือ...เรียกว่าปอด หรือเป็นวิธีปกป้องตัวเองของคี
ปัญหาอะไรที่คีเคยมั่นใจอะไรสักอย่าง
แล้วคีเชื่อว่าสิ่งนั้นจะไม่มีวันทำให้คีต้องสั่นคลอนในความเชื่อมั่นได้
แต่ท้ายที่สุดแล้วมันกลับไม่ใช่ มันเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
คี เคยเจอมาแล้วสินะ คงไม่ใช่เรื่องพ่อแม่ของคี ?(เดาว่า เสียไปเพราะอุบัติเหตุ)
รอ อย่างใจจดใจจ่อ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 08-08-2016 16:22:40
จะว่าคีดื้อก็ใช่ แต่ถ้าเจอภาพพี่จับมือกับอีกคนแบบนั้น เจ็บกว่าเห็นเขานอนด้วยกันอีก มันดูผูกพันยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-08-2016 18:40:06
สงสารป้าตจันทรา



ลูกหลาน อึมครึม คงทุกข์ใจและสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน



สงสารเฮียเมฆ ถ้าคีมันงี่เง่ามาก ก็ปล่อยมันไปเถอะ



สงสารธร มีเพื่อนเอาแต่ใจ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 09-08-2016 10:13:33
ชอบมากกกค่ะ :katai5:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 15-08-2016 09:56:53

ภูเขาลูกที่สี่


   ผมอยากนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ของอีกวันเลย แต่ก็ทำไม่ได้ครับ เพราะร่างกายของผมที่มันผอมบางกว่าเฮียนั้น ถูกอีกฝ่ายกอดแน่นเอาไว้ ราวกับกลัวว่าถ้าหากปล่อยแขนจากผมไปแล้วผมจะหายไปเสียอย่างไรอย่างนั้น  ผมคงจะหายไปไหนไม่ได้ นอกจากขาดอากาศหายใจตายเสียมากกว่า


   "เฮีย" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ใบหน้ายังซุกกับหน้าอกของเฮียอยู่


   "หืมม" เฮียกดจมูกลงที่เส้นผมของผมเบาๆ เอ๊ะ วันนี้ผมได้สระผมไปหรือยัง แล้วครั้งสุดท้ายมันเมื่อไหร่หว่า จำไม่ได้แฮะ ว่าแต่เหม็นหรือเปล่าครับเฮียเมฆ


   "เฮียกอดแน่นไป จะหายใจไม่ออกแล้ว" ผมพยายามขยับไปมาให้เฮียได้รู้ว่าผมเริ่มอึดอัด


   "ไม่"


   "ผมยังไม่อยากตายครับ พี่เมฆ"


   "ก็ได้" เฮียคลายอ้อมแขนออกนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ครับ ผมยังขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่ก็หายใจได้โล่งสะดวกกว่าก่อนหน้านี้


   "นอนแล้วนะ" ผมพูดเบาๆ พร้อมกับหลับตาลง


   "วันนี้ไม่อ้อนพี่เหรอ" น้ำเสียงของเฮียดูราบเรียบ แต่ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่ปกติของเฮีย เพราะเฮียไม่เคยพูดอะไรแบบนี้


   "ผมไม่ได้เมาสักหน่อย"


   "ไม่เมาก็จะไม่อ้อน?"


   "คงงั้นแหละครับ"


   "ถ้าอย่างนั้น..." เฮียพูดทิ้งท้ายไม่ต่อให้จบประโยค


   "ครับ?"



   ผมสงสัยได้เพียงเท่านั้น เฮียก็จับตัวผมออกจากตัวแล้วดันให้ลงนอน ใบหน้าของเฮียก้มต่ำลงมา ผมรู้ว่าเฮียต้องการทำอะไร ผมหลับตาลงแล้วหันหน้าหนี ผมไม่อยากจูบกับเฮียเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ ริมฝีปากของเฮียที่จูบกับพี่พีชมา ผมไม่อยากจะสัมผัสมัน ผมไม่ชอบ ไม่ชอบให้เฮียไปสนิทกับใครเลยด้วยซ้ำ



   "คี" เฮียเรียกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมลืมตาแล้วหันมาประสานสายตากับเฮีย


   "หันหน้าหนีพี่ทำไม" ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเฮียเมฆมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนผมรู้สึกเจ็บตามไปด้วย


   "ผม..." ผมไม่รู้จะแก้ตัวกับเฮียยังไง ครั้นจะให้ผมนั้นบอกเฮียไปตรงๆ ผมก็ยังขลาดเกินกว่าที่จะพูด


   "รังเกียจพี่ใช่มั้ย"


   "ผม..." ผมจะพูดได้ยังไง ใช่ ผมรังเกียจที่เฮียไปจูบคนอื่น ที่ไม่ใช่ผม แต่ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไร แล้วผมจะพูดออกไปได้ยังไง


   "ถ้าคีไม่ชอบ พี่จะไม่ทำก็แล้วกัน ฝันดีนะ เด็กดีของพี่" เฮียลูบศีรษะผมอย่างเบาแล้วผละออกไปนอนตะแคงหันหลังให้ผมในฝั่งของตัวเอง



   'มึงนะ ไอ้คี เที่ยวไปทั่ว นอนกับผู้ชายคนนั้นที ผู้หญิงคนนี้ที ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ถามจริงๆ พ่อมึงยังใจกว้างไม่พอเหรอ'



   คำพูดของไอ้ธรที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม มันทำให้ผมได้คิดอีกครั้ง ไอ้ธรมันพูดถูกทุกอย่าง เฮียไม่เคยโกรธหรือแสดงออกว่าหึงเลยที่ผมไปเที่ยวกลางคืน ควงผู้หญิงหรือผู้ชายไม่ซ้ำหน้าไปนอนตามโรงแรมที่ใกล้ๆ สถานบันเทิงเหล่านั้น เฮียจะพูดทุกครั้งบอกให้ผมป้องกัน บอกให้โทรหาเฮีย ถ้าหากผมตื่นแล้วจะให้เฮียไปรับ


   ผมยังคงเห็นแก่ตัวใช่มั้ย


   สายตาของเฮียเมฆที่แสดงชัดว่าเจ็บปวดนั้นมันทำให้ผมรับรู้และสัมผัสความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม เฮียเมฆนะ เฮียเมฆ รู้มั้ยว่าสายตาของเฮียน่ะ นอกจากจะดุโดยไม่ต้องพูดแล้ว มันยังทำให้ผมโคตรจะเจ็บเลยเว้ย เจ็บใจตัวเองทั้งที่ความเป็นจริงแล้วผมควรจะต้องเป็นฝ่ายที่โกรธไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องรู้สึกผิดที่เห็นสายตาของเฮียแบบนี้ด้วยวะ


   "พี่เมฆ" ผมอยากจะตะโกนและกระชากเฮียให้หันกลับมา แต่ในความเป็นจริงผมแค่ลองเรียกชื่อเฮียดูเบาๆ เผื่อว่าเฮียจะยังไม่หลับ


   "..." ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก


   "พี่เมฆ" ผมพลิกตัวไปสะกิดแขนของเฮียเบาๆ เผื่อว่าเฮียจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็แสดงออกว่ายังไม่หลับไป


   "..." และยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกอีกเช่นเดิม


   "พี่เมฆ โกรธเหรอครับ" ผมพูดเพราะหวังให้อีกคนตอบรับ เอาจริงๆ แล้วผมรู้ว่าเฮียยังไม่หลับหรอกแต่เฮียไม่พอใจผม เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมปฏิเสธเฮีย ปกติแล้วมีแต่จะขอจูบจากเฮียมากกว่า ในทางกลับกันหากเป็นผมที่โดนปฏิเสธแบบนี้บ้าง ผมคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อยและอาจจะไม่ใช่แค่นอนหันหลังให้ ผมอาจจะลุกออกไปจากห้องนี้และออกจากบ้านนี้ไปเลยก็ได้


   "เปล่า" ได้ผล การลงทุนกับคำพูดเพราะๆ ของผม มักจะใช้งานได้ดีเสมอ


   "ถ้าไม่โกรธแล้วทำไมไม่ตอบล่ะครับ" ผมซุกหน้ากับแผ่นหลังของเฮีย วาดแขนไปกอดเอวเฮียเอาไว้อย่างเอาใจ


   "คีบอกพี่ว่าจะนอนแล้ว" ผมอมยิ้มอยู่ลำพังในความมืด เฮียไม่พอใจที่ผมปฏิเสธ แต่เฮียเลือกไม่บอกเหตุผลผมตรงๆ กลับเฉไฉไปเรื่องอื่น บางทีเฮียก็มีมุมที่ไปต่อไม่เป็นเหมือนกันนะ ผมดีใจนะที่เฮียยเป็นแบบนั้นก็เพราะผม


   "หันหน้ามาหาหน่อยสิครับ" ผมกลั้นใจรอเฮียหันกลับมา รอจนเกือบจะหมดหวังแล้ว ในที่สุดเฮียก็หันกลับมาจนได้


   "ผมขอโทษนะครับ" ผมยื่นหน้าไปจูบปลายคางที่บัดนี้หนวดเริ่มจะครึ้มหนาขึ้นมาแล้ว ผมไม่ได้อธิบายว่าขอโทษอะไร และขอโทษทำไม แต่เฮียเมฆก็เข้าใจโดยไม่ต้องถามผม


   "อย่าทำแบบนี้อีกได้มั้ย" น้ำเสียงเศร้าๆ ของเฮีย ทำเอาผมยิ่งรู้สึกผิด


   "ขอโทษครับ แต่ผมรับปากไม่ได้หรอก"


   "คีทำแบบนี้เพราะอยากให้พี่เจ็บใช่มั้ย"


   "ผมไม่ได้อยากให้พี่เมฆต้องเจ็บ แค่ไม่อยากจะซ้ำกับรอยใคร"


   "รอยอะไร ของใคร คี .. มันไม่ใช่นะ"


   "พอเถอะครับ ผมบอกพี่แล้วไงว่ายังไม่พร้อมที่จะฟังตอนนี้"


   "คี..." เฮียเมฆเรียกชื่อผมแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ เฮียรู้นิสัยของผมดี เพราะมันจะไม่มีความหมายถ้าเฮียยังไม่ยอมหยุด


   "กอดผมแน่นๆ แล้วนอนกันเถอะครับ" ผมกอดเอวของเฮียเมฆ ศีรษะก็หนุนแขนเฮียต่างหมอน ส่วนเฮียเมฆก็กอดผมแน่นอย่างที่ผมบอกไป แล้วเราทั้งสองก็ผ่อนคลายลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในเวลาไล่เลี่ยกัน




   เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าที่ข้างๆ ตัวผมนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว ผมคว้านาฬิกาข้างเตียงมาดูก็พบว่าเกือบจะเก้าโมง เฮียเมฆตื่นเช้าเป็นประจำ ไม่แปลกถ้าจะตื่นมาแล้วไม่พบกับเจ้าของห้อง ผมค่อยๆ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แปรงฟันล้างหน้า แล้วค่อยๆ เดินลงบันไดมาชั้นล่าง



   "เอ้า พ่อตัวดี ตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยังลูก"  เสียงป้าจันทราทักผมทันทีเมื่อเห็นผมเดินมาที่โต๊ะอาหาร



   ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงวิกรณ์ คุณป้าจันทรา และเฮียเมฆ แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะอิ่มมื้อเช้าเสียแล้ว บ้านนี้เขาตื่นกันเร็วและทานมื้อเช้ากันเร็วครับ ถ้าวันหยุดแบบนี้ผมมักจะตื่นสายและทานเป็นคนสุดท้ายเสมอ


   "ยังไม่ค่อยหิวเลยครับป้าจัน" ผมก้าวเข้าไปหอมแก้มป้าจันเสร็จแล้วก็ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ป้าจันนั่นแหละ


   "หิวหรือไม่หิวก็ต้องกิน ข้าวเช้ามันสำคัญ รู้มั้ย" ป้าจันบ่นผมนิดหน่อย ก็หันไปสั่งเด็กน้อยที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ ให้ไปยกอาหารมาให้ผม


   "หายไปเลยนะไอ้ตัวแสบ งานเยอะหรือเที่ยวเยอะล่ะ" คราวนี้เป็นเสียงลุงกรณ์ครับ ลุงพับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะข้างๆ ตัวแล้วก็เงยหน้ามามองผม


   "ช่วงนี้ใกล้สอบ คีเลยอยู่ติวกับเพื่อนครับ ลุงกรณ์"


   "งั้นรึ นึกว่าหลบหน้าใครบางคนแถวนี้" ยังไม่ทันไรลุงกรณ์เริ่มเปิดเรื่องคนแรกแล้วล่ะครับ


   "โธ่ จะให้คีหนีหน้าใครได้ละครับ แค่นี้ก็คิดถึงลุงกรณ์กับป้าจัน จะแย่อยู่แล้ว" ผมโผกอดป้าจันอีกครั้งด้วยหวังจะออดอ้อน


   "ไอ้นี่ กับคนแก่ก็ยังไม่เว้น เพราะปากมันดีแบบนี้ไงล่ะ เมฆ สาวๆ ถึงไล่ตามมันให้เกรียว ดูเอาเถอะแม่จัน หลานแม่จันนี่ร้ายจริงๆ" ลุงกรณ์หัวเราะเบาๆ  ป้าจันหันมาหยิกแขนผมเบาๆ ลงโทษพอเป็นพิธี


   ส่วนอีกคนน่ะเหรอ มองผมนิ่งๆ ตาดุเหมือนเคย ผิดกับเมื่อคืนลิบลับ


   "เมื่อวานนี้ตาเมฆไปรับกลับมาใช่มั้ย ป้าล่ะเหนื่อยจะพูด บอกให้ไปรับเราตั้งหลายวัน เพิ่งจะไปรับมาเอาป่านนี้ จนป้าทนไม่ไหวต้องโทรหา แล้วจะกลับมานอนบ้านได้หรือยังล่ะ" ป้าจันบ่นลูกชายยืดยาวแถมพ่วงมาถึงผมด้วย


   "ยังหรอกครับ ถ้าสอบเสร็จเมื่อไหร่ จะกลับมานอนแทรกกลางลุงกับป้าทันทีเลย"


   "หลอกคนแก่ให้ดีใจ มันบาปนะ"


   "ป้าจันไม่เชื่อคีแล้วเหรอเนี่ย ร้องไห้ดีกว่า"


   "พอเถอะ ตัวโตขนาดนี้ มันไม่น่ารักเหมือนเด็กทำหรอก เลิกแกล้งร้องได้แล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ พ่อคนนี้ ข้าวต้มมาพอดี กินเถอะจ้ะ"


   "ครับ ป้าจัน" ผมรับคำพร้อมกับยกช้อนค่อยๆ ตักข้าวต้มเข้าปากอย่างไม่เร่งรีบด้วยเพราะความร้อนจัดของมัน




   บ้านนี้เขาก็มีอะไรให้อบอุ่นอยู่เสมอครับ ถึงแม้ว่าผมจะตื่นสายลงมาทานทีหลัง แต่ทุกคนจะนั่งรอพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องงานบ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง ถามสารทุกข์สุกดิบของแต่ละคนบ้าง จนกว่าผมจะลงมา แล้วรอจนทานเสร็จนั่นแหละครับ พวกเขาถึงจะย้ายไปนั่งที่อื่นกัน อาจจะไปนั่งดูทีวีกันต่อที่ห้องรับแขก หรือหากใครมีงานอดิเรกอะไรทำก็แยกย้ายไป อย่างคุณลุงชอบอ่านหนังสือ ลุงจะนั่งอยู่ข้างๆ ป้าจัน ในขณะที่ป้าจันนั้นก็เปิดดูรายการทีวีไปเรื่อยๆ เพลินๆ ไม่ก็หาอะไรมาทำฆ่าเวลาบ้าง เช่น ปะชุนเสื้อผ้า ปักชื่อบนผ้าเช็ดหน้าให้เฮียเมฆ หรือถักเสื้อไหมพรมแบบต่างๆ เห็นแบบนี้ป้าจันทำได้ออกมาสวยงามมากเลยนะครับ ส่วนเฮียเมฆชอบปลูกดอกไม้ครับ ถ้าเฮียหายไปนี่ล่ะก็ ไปดูข้างบ้านได้เลย เฮียต้องอยู่จมกองดินแถวนั้นแน่นอน และงานอดิเรกของผม ถ้าแฮงค์จากเหล้าในคืนวันศุกร์มาล่ะก็จะกลับขึ้นไปนอนตายต่อที่ห้องครับ แต่ถ้าไม่ ผมก็จะนั่งเล่นที่ศาลาริมสวนดอกไม้ของเฮียเมฆนั่นแหละ




   วันนี้ผมไม่ได้เมาค้างอะไร ผมเลยหยิบหนังสือติดมือไปนั่งอ่านเล่นตรงศาลาริมสวนดอกไม้ นั่งเล่นไม่นาน น้อยก็ยกผลไม้ ขนม ชา กาแฟ น้ำเปล่ามาให้เลือกทานไม่ถูกกันเลยทีเดียว สายตาผมเหลือบไปเห็นลูกชายของคุณลุงใส่เสื้อกล้ามสีขาว เดินเข้ามาตรงกระถางดอกไม้ที่ยังว่างเปล่า มือหนาที่เคยจับแต่ปากกา บัดนี้หยิบเสียมขึ้นมาตักดินใส่กระถาง ผมแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลงคอ จะว่าไปผมไม่เห็นเฮียเมฆที่แต่งตัวเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว




   คุณว่าเฮียตั้งใจแต่งตัวแบบนี้มาให้ผมเห็นหรือเปล่า



   แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่ อากาศเมืองไทยร้อนจะตาย แต่งแบบนี้ก็เหมาะแล้ว ว่ามั้ยครับ? นี่ผมพยายามคิดเองเออเองเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายกันเลยทีเดียว



   ผมยังยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มค้างเอาไว้ มองมือเฮียที่ค่อยๆ ปลูกต้นไม้เล็กๆ นั้นลงกระถามด้วยความเบามือ ใส่ปุ๋ยให้เรียบร้อย ไม่นานก็เสร็จไปหลายต้น เฮียลุกขึ้นเดินมาศาลาที่ผมนั่งอยู่ ผมตกใจที่ตอนนี้ผมรู้สึกใจที่เต้นแรงแทบจะกระเด็นออกมาให้โลกรับรู้ ผมเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดแพรวพรายเกาะเต็มหน้าผากสวยได้รูปของเฮียและเสื้อกล้ามสีขาวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมลอบกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่



   นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ไอ้คี เฮ้ย ไอ้คีเว้ย สติ ดึงสติกลับมา



   "มีอะไรติดหน้าพี่หรือเปล่า" เฮียเมฆถามผมหลังจากยกน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหาย


   "ปละ เปล่าครับ" ผมติดอ่างตอบเฮียเกือบจะสำลักน้ำลายไปแล้ว


   "เห็นเรามองแต่หน้าพี่ ก็เลยคิดว่ามีอะไรที่หน้าพี่หรือเปล่า"


   "ผมก็แค่คิดว่าเฮียเมฆหล่อดี" ผมพูดชมเฮียด้วยความสัตย์จริงเลยนะครับ


   "แปลกๆ นะเราน่ะ"


   "เฮียร้อนหรือเปล่า ขึ้นไปอาบน้ำก่อนมั้ย"


   "ดีเหมือนกัน เดี๋ยวพี่มา" เฮียเมฆพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป



   เฮียเมฆกลับมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นเช่นเคย คนตรงหน้ายังดูดีเหมือนเดิม อย่างน้อยชุดนี้ก็ช่วยให้ผมหายใจได้คล่องกว่าชุดก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก


   "เฮีย"


   "หืม" เฮียเมฆเงยหน้าจากหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจอยู่


   "ไปส่งผมที่ห้องไอ้ธรกี่โมงอ่ะ"


   "พรุ่งนี้"


   "ก็ไหนเฮียบอกว่าวันนี้ไง" ผมเสียงดังขึ้นเล็กน้อยที่ถูกขัดใจ


   "ก็ตั้งใจอย่างที่บอกคีไปทีแรก แต่ป้าจันของคีคิดถึงหลานคนนี้มากเลยบอกให้นอนค้างที่นี่อีกคืน" เฮียถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะอธิบายมาเสียยาวเหยียด


   "แต่ว่า ผม..."


   "ถ้าไม่อยากค้าง ก็ไปบอกแม่พี่เอง"


   "เฮีย!!"


   "อย่าเสียงดังสิ อยู่ใกล้แค่นี้เอง" เฮียปรายตามามองผมพร้อมคำพูดเชือดเฉือนเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ


   "..." แล้วผมจะทำอะไรได้ หยิบหนังสือเรียนมาขึ้นมาอ่านแก้โมโหน่ะสิ


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สาม 07-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 15-08-2016 09:57:10
   เข้าสู่สัปดาห์ใหม่ของการเรียนการทำงาน เฮียมาส่งผมตอนเย็นของวันอาทิตย์ อย่างเสียไม่ได้ ทำท่าทางจะไม่มาส่ง  จนผมต้องบอกว่าเฮียไม่ต้องไปส่งแล้ว แต่จะให้ลุงแช่มไปส่งแทน เท่านั้นแหละเฮียก็รีบมาทำหน้าที่สารถีที่ดีดังเดิม



   "อาจารย์สั่งงานเยอะเป็นบ้า นี่ใกล้สอบแล้วจริงป่าววะ" เสียงไอ้ธรบ่นแว่วตามหลังผม ผมเดินนำมันออกมาจากห้องเรียน วิชานี้เป็นคาบสุดท้ายแล้วแถมอาจารย์ก็ยังปล่อยเกินเวลาไปมากโข ตอนนี้ผมหิวมากๆ เลยล่ะ


   "หยุดพล่ามได้แล้ว กูยิ่งหิวข้าวอยู่"


   "ไอ้นี่ พอหิวแล้วก็หงุดหงิดเป็นหมาบ้า"


   "มึงไม่หิวหรือไงวะ" ผมพูดใส่ไอ้ธรด้วยความหงุดหงิดเพราะความหิว


   "รีบๆ เดินเลยไปร้านเลย กูขี้เกียจฟังมึงบ่น"


   "ตามมาเร็วๆ ถ้าช้า เดี๋ยวกูด่า" ผมพูดเสร็จก็จ้ำอ้าวเข้าไปร้านประจำข้างมหาวิทยาลัย



   ร้านเล็กๆ ข้างทาง แต่ปริมาณล้นเหลือ แถมอร่อย ที่สำคัญราคาไม่แพงมาก ทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนี้มาสมัครเป็นลูกค้าประจำกันเป็นแถว


   "ว่าไง พ่อหนุ่ม 2 คนนั่น วันนี้กินอะไรดีล่ะ เร็วๆ ป้ากำลังคิวว่าง" ป้าเจ้าของร้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นผมกับไอ้ธรเดินเข้าร้านมา


   "ผมขอข้าวผัดหมู ไข่ดาวไม่สุกครับป้า" ผมตะโกนสั่งป้าออกไป


   "ส่วนผมขอไก่ผัดพริกอ่อน ขอข้าวเยอะๆ นะป้า" ไอ้ธรตะโกนสั่งอาหารกับป้าเสียงดังไล่เลี่ยกับผม


   "ได้ๆ เดี๋ยวป้าจัดให้"



   รอสักพักไม่นาน อาหารกลิ่นหอม ก็ถูกนำมาวางตรงหน้า ผมกับไอ้ธรไม่พูดพล่ามอะไรกันต่อ ลงมือจัดการข้าวตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความหิวที่เพิ่มทวีคูณ เพียงไม่นานข้าวตรงหน้าของเราทั้งคู่ก็หมดลง ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มเป็นการปิดท้ายของมื้อนี้


   "อิ่มว่ะ ป้าครับ กี่บาท" ไอ้ธรตะโกนเรียกป้าคิดเงิน


   "2 จาน ใช่มั้ย มีไข่ดาว 40 ไม่มี 35 บาทจ้า" ป้าก็ยอมเราเสียที่ไหน ตะโกนตอบกลับมาเช่นกัน ผมยื่นเงินให้ไอ้ธรเป็นอันรู้กันว่ามันจะเป็นคนเดินไปจ่ายเงินให้ถึงมือป้า


   "เออ แล้วงานกลุ่มของอาจารย์รวิวรรณล่ะวะ" ไอ้ธรพูดถึงวิชาวิธีการวิจัยด้านธุรกิจที่ต้องส่งรายงานก่อนปลายภาคเทอม 2


   "วันพุธ เลิกเรียนตอนบ่าย ค่อยนัดประชุมกัน ว่าจะเอาหัวข้ออะไร แบ่งงานยังไง" ผมสรุปให้ไอ้เพื่อนตัวดีฟังระหว่างที่เดินกลับหอของมัน


   "เออ ตามนั้น" ไอ้ธรสะกิดผมเพื่อแวะเข้าร้านสะดวกซื้อหาของทานรองท้องยามดึก ช่วงนี้เราอ่านหนังสือกันค่อนข้างดึกเพราะใกล้สอบเข้าไปทุกที ถ้าหากไม่อ่านกันเองตัวใครตัวมันก็ต้องไปจับกลุ่มติวกับกลุ่มเพื่อนใต้หอครับ


   "กูขออาบน้ำก่อนนะ" ผมบอกเจ้าของห้องพลางถอดเสื้อนักศึกษาออก ไอ้ธรมันพยักหน้าเออ ออก่อนจะเปิดทีวีดูรายการข่าวเพื่อฆ่าเวลา


   "ไอ้คี พ่อมึงโทรมา" ผมเข้าไปอาบน้ำได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงไอ้ธรตะโกนดังเข้ามาในห้องน้ำ


   "เออ ปล่อยให้ดังไป" ผมตะโกนตอบมันแข่งเสียงน้ำที่กำลังไหลผ่านร่างกายของผม


   "เฮ้ย ไอ้นี่ กูรำคาญ ดังไม่หยุดเลยเนี่ย"


   "แต่กูไม่ ถ้ามึงรำคาญนักก็รับเองเลยสิ"


   "กูรับให้ละนะ" เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไอ้ธรก็หันหน้ามาบอกผมแล้วมันก็หันกลับไปดูทีวีของมันต่อ


   "เฮียเมฆว่ายังไงบ้าง" ผมพูดไปเช็ดผมให้แห้งไปด้วย แล้วก้าวเข้ามานั่งที่โซฟาข้างๆ มัน


   "พ่อมึง เขาถามถึงมึง พอกูบอกว่าอาบน้ำอยู่ ก็วางสายไป"


   "อ้อ"


   "น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยดี"


   "แย่ยังไงวะ" ผมชะงักมือที่เช็ดผมอยู่หันไปมองหน้ามัน


   "ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ถูก แต่กูสัมผัสได้ว่าพ่อมึงดูไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่" ไม่น่าแปลกใจที่ไอ้ธรจะรู้สึกในอาการของเฮีย เพราะหากช่วงปกติ ขนาดผมผิดสังเกตนิดเดียวมันยังรับรู้ได้เลย ไอ้นี่มันมีประสาทสัมผัสไวเรื่องความรู้สึกครับ


   "ช่างเถอะ"


   "มึงจะไม่ฟังพ่อมึงสักหน่อยเหรอวะ กูนี่ลุ้นจนจะลุ้นไม่ขึ้นอยู่แล้วเนี่ย"


   "เรื่องของกู"


   "ไอ้คี"


   "มึงจะอะไรกับกูนักหนาวะ" ผมมองหน้ามันอย่างหาเรื่อง ไอ้ธรเห็นว่าผมไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ก็เลยเงียบไป มันเดินคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าไปอาบน้ำต่อโดยไม่พูดอะไร


   "ไอ้ธร" ผมทักมันอีกครั้งเมื่อมันอาบน้ำเสร็จแล้ว


   "อะไร" เสียงไอ้ธรเข้มเลยครับ เพื่อนผม เสียงแบบนี้คืองอนครับ มันไม่ค่อยพอใจที่ผมไปว่ามันแบบนั้น ผมรู้ตัวก็เลยต้องหาวิธีให้มันอารมณ์ดีเสียก่อน ไม่อยากจะโกรธกันให้ค้างคาใจ เดี๋ยวมันจะทำให้เสียเพื่อนกันได้


   "ขอบใจที่เป็นห่วงทั้งกูและเฮียเมฆ แต่มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก กูสัญญาถ้าสอบเทอมนี้เสร็จเมื่อไหร่ กูจะไปฟังคำอธิบายจากปากเฮียเอง"


   "มันนานไปเปล่าวะ" ไอ้ธรเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็วครับ พอผมเริ่มอธิบายอะไรนิดหน่อยมันก็เข้ามานั่งข้างๆ ผม ดวงตาของมันใสแจ๋วรอฟังผมพูดเหมือนลูกหมารอกินขนมอย่างไงอย่างงั้นเลยล่ะครับ ตลกจริงๆ นะไอ้เนี่ย


   "ก็เพราะว่านานน่ะสิ กูกับเฮียจะได้มีเวลาคิดอะไรได้มากขึ้น เข้าใจอะไรได้มากขึ้นด้วยไงเว้ย"


   "แล้วช่วงระหว่างนี้ล่ะ เอาไง"


   "ก็ไม่ไง สอบกลางภาคเสร็จ กูก็คงต้องกลับไปนอนที่บ้าน ทำตัวเหมือนเดิม ถ้าไปเที่ยวก็มานอนค้างห้องมึงเหมือนเดิม"


   "ทั้งมึงกับพ่อมึง จะโอเคเหรอวะ "


   "โอเค หรือไม่ กูไม่รู้หรอก แต่กูบอกเฮียไปแบบนี้เหมือนที่บอกมึงเนี่ยแหละ"


   "โคตรจะไม่เข้าใจความคิดของมึงจริงๆ ว่ะไอ้คี"


   "ที่มึงไม่เข้าใจ เพราะมึงมันโง่ไง" ผมเอาหมอนอิงฟาดหัวเบาๆ มันทีนึง


   "เออ กูมันโง่ ใครล่ะจะเก่งแบบมึง คนเชี่ยไร เที่ยวก็เที่ยวกับกู เหล้าก็กินกับกู พอตอนสอบดันเสือกท็อปของคลาส ไอ้เลวเอ๊ย" ไอ้ธรพูดจบก็เอาหมอนมาฟาดผมคืน


   "อ้าว ไอ้นี่ โง่เองแล้วมาโทษกู"


   "งั้นมึงช่วยติววิชานี้ให้กูหน่อยดิ" ไอ้ธรลุกขึ้นไปหยิบหนังสือที่จะสอบเป็นตัวแรกของเทอมนี้


   "เอาดิ กูจะได้ทวนไปด้วย" แล้วผมกับไอ้ธรก็นั่งติวหนังสือจนกระทั่งง่วงนั่นแหละถึงจะแยกย้ายไปเข้านอน


   "สรุป พวกเราจะเลือกหัวข้อ 'ปัจจัยในการเลือกใช้รถขนส่งสาธารณะ' นะ" ผมเป็นคนสรุปหัวข้อให้กับเพื่อนในกลุ่ม



   สำหรับการทำรายงานของวิชานี้ แบ่งออกเป็นกลุ่มละ 5 คนครับ ซึ่งก็มี ผม ไอ้ธร นุช กานต์ และ ไอ้เต้ ครบองค์ จริงๆ แล้ว พวกเราทั้ง 5 คนค่อนข้างสนิทกัน อยู่กลุ่มเดียวกันตั้งแต่ปี 1 แต่ผมสนิทกับไอ้ธรมากที่สุดเพราะเราไปเที่ยวด้วยกัน กินเหล้าด้วยกัน ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน แต่อีก 3 คนที่เหลือ พ่อแม่ค่อนข้างหวงและห่วงครับ เลิกเรียนก็มีรถมารอรับกลับบ้านกันตรงเวลามากถึงมากที่สุด ทำให้โอกาสที่พวกเราจะได้ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย



   "ถ้างั้นทุกคนแยกย้ายไปหาข้อมูลเองมาก่อน แล้วหลังจากสอบกลางภาคเสร็จค่อยมารวบรวมรายละเอียดกันอีกทีว่าแต่ละคนได้อะไรกันมาบ้าง ตกลงมั้ย" นุช หรือ นีรนุช หญิงสาวหน้าหวาน กิริยายังเรียบร้อยเป็นคนพูด


   "เราเห็นด้วยเพราะเดี๋ยวก็จะสอบแล้ว เราอยากอ่านหนังสือก่อน" กานต์ หรือ มณีกานต์ หญิงสาวนัยน์ตาคม ลูกครึ่งสเปน - ไทย พูดโอดครวญ เพราะเทอมที่ผ่านมา คะแนนของเธอไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก เทอมนี้กานต์เลยต้องตั้งใจให้มากกว่าเดิม


   "กูโอเค ยังไงก็ได้ พวกมึงว่าไงก็ว่าตามกัน" คนสุดท้ายที่พูดออกมาแบบไม่ยินดียินร้ายคือ ไอ้เต้ หรือ เตชินทร์ มันค่อนข้างจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ลักษณะเป็นพวกคุณหนูที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งชุด ดูสำอางค์ที่สุดในกลุ่ม แต่จริงๆ แล้วใครจะรู้ว่าธุรกิจที่ครอบครัวมันทำอยู่นั้น มันลงสมองไปไม่น้อยเลยทีเดียว ไอ้เต้เนี่ยอยากเที่ยวกับผมและไอ้ธรมาก แต่มันแทบจะไม่มีเวลาเลย เลิกเรียน คนขับรถก็รีบมารอ เพื่อจะกลับไปทำงานต่อ แค่มันมีเวลามาเรียนได้ทุกวันนี้ผมก็ซาบซึ้งเสียจนน้ำตาแทบไหล


   "กูไม่มีปัญหา อ่านหนังสือก่อนก็ดี จะได้จบเป็นเรื่องๆ ไป" ไอ้ธรพูดเป็นคนสุดท้าย


   "ตกลงตามนี้ หลังสอบเสร็จพุธต่อมา ก็มาเจอกันตรงนี้เหมือนเดิมแล้วกัน เดี๋ยวให้ไอ้ธรหิ้วโน้ตบุ้คมาด้วยจากที่หอมัน วันนี้แยกย้าย" ผมพูดเสมือนเป็นเจ้าภาพกล่าวปิดงาน เตรียมจะชวนเพื่อนๆ ไปกินอะไรก่อนกลับ แต่เมื่อหันไปหน้าตึกก็พบว่า เพื่อน 3 คนของผมที่ไม่ใช่ไอ้ธรนั้น คงต้องเตรียมตัวกลับบ้าน เพราะคนขับรถมารอเสียแล้ว


   "เราไปก่อนนะ / กูไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้" ทุกคนบอกลาผมกับไอ้ธร ทำให้ผมกับมันต้องไปหาอะไรกินแค่ 2 คนเหมือนเดิม


   "กินไรดีวะ" ไอ้ธรพูดขึ้นมา


   "อยากกินอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะกินอะไรดีว่ะ มันเบื่อๆ"


   "งั้นไปนอน คิดออกเมื่อไหร่ค่อยไปกิน" ไอ้ธรพูดพลางลุกขึ้นเดินนำผมไปที่หอมัน




   ช่วงระหว่างที่สอบนั้น ทุกคนตั้งใจอ่านหนังสือกันอย่างมากเลยครับ ผมไม่ค่อยได้เคร่งเครียดอ่านหนังสือสักเท่าไหร่นักหรอก ผมเป็นพวกเรียนในห้องก็ตั้งใจจริง พยายามทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ถามอาจารย์ให้เคลียร์ไม่ปล่อยเอาไว้ครับ ส่วนพวกกรณีศึกษาอื่นๆ ก็ถามเอาจากเฮียเมฆบ้าง ลุงกรณ์บ้าง ก็ได้ความรู้แตกต่างกันออกไปจากห้องเรียน แต่ถึงจะบอกว่าผมไม่ค่อยได้เคร่งเครียดอ่านหนังสือ ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไม่อ่านนะครับ ผมยังต้องรับหน้าที่เป็นติวเตอร์จำเป็นให้กับเพื่อนๆ ในคณะ ก็เลยได้ทวนหลายรอบยังไงล่ะ




   เฮียเมฆโทรหาผมทุกวันครับ แต่ผมก็ทำเหมือนเดิมปล่อยให้เสียงโทรศัพท์มันดังไปเองจนกระทั่งมันเงียบไป เฮียข้อความมาหาผม ถ้าผมว่างก็จะตอบ ถ้าไม่ว่าง แน่นอน ย่อมไม่ตอบ แต่อ่านทุกข้อความนะครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยได้ตอบหรอกครับ เฮียไม่ได้เซ้าซี้อะไร ไม่ตอบคือไม่ตอบ




   "โอ้ย สอบเสร็จสักที" ไอ้ธรก้าวออกมาจากห้องสอบก็ส่งเสียงร้องออกมาเสียงดัง เพราะวันนี้เป็นวันสิ้นสุดของการสอบมหาโหดแล้วล่ะครับ


   "เสียงดังจริงๆ นะมึง" ผมพูดไปมือก็ทำท่าแคะหูไปด้วย


   "ไปเมากันคืนนี้" ไอ้ธรเข้ามาชวนผมไปเที่ยวด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ผมยกมือจิ้มตามันด้วยความหมั่นไส้


   "โอ้ย ไอ้เชี่ยคี กูเจ็บนะเว้ย จิ้มมาได้ ถ้าตากูบอดนะ มึง !"


   "ถ้าตามึงบอดแล้วจะทำไม ฮะ ไอ้ธร"


   "กูจะควักตามึงมาใส่แทน" ไอ้ธรทำท่าจะควักลูกตาของผมไป ผมเลยเตะขามันไปทีนึง มันร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เดินนำมันไปที่หอพักของมัน


   "อะไรวะ ไอ้คี หยุดเดินทำไมเนี่ย" ไอ้ธรที่เดินตามหลังผมมา กระแทกหลังผมอย่างจัง เพราะอยู่ๆ ผมก็หยุดเดินกระทันหัน


   "...."


   "อ้าว พ่อมึง" ไอ้ธรไม่เห็นผมตอบอะไร มองตามสายตาของผมไปก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนรอที่หน้าห้องไอ้ธรอยู่แล้ว


   "สวัสดีครับ เฮียเมฆ" ไอ้ธรยกมือไหว้เมื่อเห็นว่าเป็นเฮียเมฆของผม


   "สวัสดี ธร สอบเสร็จแล้วใช่มั้ย" 


   "ครับ" เพื่อนตัวดีของผมเองครับที่เป็นคนตอบเฮีย


   "พี่มารับกลับบ้าน" เฮียเมฆหันมามองผม


   "วันนี้ผมนัดไอ้ธรไว้ว่าจะไปฉลองสอบเสร็จ" ในที่สุดผมก็หาเสียงของตัวเองเจอจนได้


   "อย่างนั้นเหรอ ธร"


   "ครับ นัดกันไว้ แต่ไว้วันหลังก็ได้ครับ ใช่มั้ยวะ ไอ้คี"


   "แต่ผมอ่านหนังสือเครียดหลายวันแล้ว อยากไปผ่อนคลายบ้าง" ถึงไอ้ธรจะล้มเลิกแผนการณ์ แต่ผมไม่ครับ


   "ไม่เป็นไรนะมึง กลับไปพักผ่อนที่บ้านก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปกันวันหลังก็ได้" ไอ้ธรพูดออกมาด้วยความเกรงใจเฮียเมฆที่ยังยืนหน้านิ่งไม่แสดงสีหน้าทางอารมณ์


   "แต่กูอยากไปเที่ยว" ผมพูดเสียงเบาด้วยความไม่พอใจ


   "ไม่ต้องเถียงกัน ถ้าจะไปเที่ยวก็ไป เดี๋ยวพี่ไปด้วย" เมื่อเห็นว่าปัญหาจะไม่จบลงเฮียเมฆก็ตัดสินใจพูดฝ่าวงสนทนาขึ้นมา


   "หา?" ไม่ใช่เสียงของผมครับ เพราะผมยั้งปากได้ทัน


   "ไอ้คี" ไอ้ธรใช้ศอกกระทุ้งแขนผม หวังให้ผมพูดอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้


   "เฮียจะไปทำไมกันครับ มีแค่ผมกับไอ้ธร 2 คน มันไม่สนุกหรอก"


   "จะสนุกหรือไม่ มันก็เป็นปัญหาแค่ตัวพี่  แล้วพี่ไปด้วยไม่ได้เหรอ"


   "เฮียเมฆกลับบ้านไปเถอะน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกลับบ้านเอง" ผมพยายามไล่เฮียเมฆกลับบ้าน


   "ผมว่า ไว้ไปวันหลังดีกว่าครับ" ส่วนไอ้ธรก็พยายามล้มเลิกการเที่ยวคืนนี้


   "ไม่ได้หรอก ถ้าพี่กลับบ้านไปแล้วไม่พาคีกลับไปด้วย คุณแม่ต้องโกรธพี่มาก เพราะงั้นหากคีกลับกี่โมง พี่ก็จะรอกลับพร้อมคีตอนนั้น" ส่วนเฮียไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย เฮียเล่นหงายการ์ดใบสำคัญมา แล้วผมจะไปไหนได้ครับ ก็ต้องกลับบ้านเพราะคุณป้ารออยู่


   "เข้าใจแล้ว งั้นผมขอไปเก็บของก่อนนะครับ"


   "เดี๋ยวพี่ไปรอที่รถละกัน" เฮียพูดเสร็จก็เดินผ่านเรา 2 คนไป


   "โทษทีนะ ไอ้ธร" ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่เราทั้งคู่เข้าห้องมาแล้ว


   "ไม่เป็นไร กูเข้าใจ"


   "ขอบใจมึงมาก"


   "ตะกี้ มึงรู้ป่ะ กูนี่ขนลุกสัดๆ อ่ะ เหมือนกูหลุดเข้าไปในอาณาเขตที่มึงกับพ่อมึงกำลังปล่อยพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใส่กัน กูนึกว่าจะตายอยู่ตรงนั้นซะแล้ว" ไอ้ธรพูดพลางลูบขนแขนที่ลุกตั้ง


   "มึงก็เวอร์ไป กูก็คุยกับเฮียธรรมดา"


   "ธรรมดากับพ่อมึงน่ะสิ ปกติแทบจะขี่คอกัน วันนี้ทำเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันซะอย่างนั้น"


   "แล้วแต่มึงจะคิด" ผมไหวไหล่ไม่สนใจมัน แล้วก็เดินไปเก็บเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้อีกนิดหน่อยใส่กระเป๋าเป้


   "กูไปก่อนนะ" ผมบอกลาไอ้ธร เจ้าของห้องก่อนจะเปิดประตูออกไป


   "เออ แล้วเจอกัน"



   ผมลงมาข้างล่างหอ ก็เจอรถยนต์ประจำตัวของเฮียเมฆติดเครื่องรออยู่แล้ว ผมไม่รอให้เจ้าของรถออกมาเชื้อเชิญแต่ประการใด เปิดประตูขึ้นไปนั่ง รัดเข็มขัดเรียบร้อย แล้วเฮียเมฆก็เคลื่อนรถออกไปจากบริเวณนั้นด้วยความนุ่มนวลเหมือนเคย


   "ทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่" เฮียพูดขึ้นมาหลังจากที่เราออกมาได้สักพักหนึ่งแล้ว


   "ผมอ่านหนังสือสอบ เฮียก็รู้"


   "ส่งข้อความมาหาก็ไม่ค่อยตอบ"


   "เฮียก็เห็นนี่ครับ ถ้าว่างผมก็ตอบ"


   "อย่างนั้นเหรอ"


   "ครับ"


   "ก็ได้ พี่เชื่อ"



   แล้วเราทั้ง 2 คนก็นั่งเงียบ ผมก็กดอะไรเล่นในมือถือเฮีย ส่วนเฮียก็ขับรถ จนถึงบ้านนั่นแหละ ผมก็รีบลงจากรถ เข้ามาในบ้านเห็นป้าจัน นั่งรออยู่แล้ว ผมก็รีบโผเข้าไปกอดป้าจันและนั่งคุยกับป้าจันทันทีเพราะไม่อยากให้คนที่เดินตามหลังมาพูดคุยอะไรอีก


------------------------------------------------------------------------------

+1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ จุ๊บๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: qilarsy39 ที่ 15-08-2016 10:31:33
งืออออออ น้องคีพี่เมฆ :hao5:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 15-08-2016 11:46:48
ติดตามอยู่นะค๊ะ เขียนดีค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 15-08-2016 12:46:08
น้องคีถึงเวลาเปิดใจรับฟังพี่เมฆแล้ว อย่ายื้ออีกเลย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สอง 01-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 15-08-2016 15:49:46
แนว incest ?
เราว่าคีไม่ได้ดูน่ารำคาญหรืองี่เง่านะ
เหมือนความสัมพันธ์สองคนนี้เป็นมากกว่าพี่น้องแต่ยังไม่พร้อมเริ่มสถานะคนรักรึเปล่า? เข้าใจถูกไหม
ความจริงการที่คีดูเสียใจเพราะตัวเองก็รู้สึกอยู่แต่แค่ยังไม่พร้อมเราว่าไม่แปลกไม่ได้ดูงี่เง่านะ
การที่ต่างฝ่ายต่างให้อิสระกันและกัน ส่วนตัวเราคิดว่าการที่คียังล่อหญิงอยู่แต่นั่นมันแค่วันไนท์สแตนไหมอ่ะ?
แต่พอมาเจอเมฆทำกับพีชมันดูเป็นพฤติกรรมของแฟนที่ทำกันมากกว่าคู่นอน ซึ่งเราว่ามันไม่แฟร์ ถ้ามีแฟนแล้วก็ควรตัดความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้กับคีดีกว่า จะรั้งไว้ทำไม ดูคีไม่ได้มีความรู้สึกให้ใครเป็นตัวเป็นตนแต่ต่างกับเมฆไง(ในกรณีที่เมฆกับพีชสานสัมพันธ์ในด้านคนรักน่ะนะ ต้องรอดูอีกทีว่าเมฆกับพีชเป็นอะไรกัน)
ถ้ามาอิหรอบแฟนกันคีก็เตรียมตัวหาคนใหม่เถอะลูกอย่ามาจมปลักกับคนที่คิดจะจับปลาสองมือหรือจริงๆแล้วเมฆไม่ได้คิดอะไรกับคีรักแบบน้องไรงี้เหรอคีนางมโนความสัมพันธ์คนเดียวรึเปล่าถ้าเป็นงั้นนี่เจ็บหนักแน่ๆ เป็นงี้จะเชียร์ให้ไปรักคนอื่นขอพระรองแซ่บๆ *ส่วนตัวเกลียดคนไม่ชัดเจน* พอเจอพฤติกรรมแบบนี้ของเมฆเลยไม่โอเคกับพระเอกคนนี้เท่าไหร่
สู้ๆค่ะจะรอดูคำแก้ตัวของเฮียเมฆ

ชอบเม้นท์นี้ ตรงใจเราเลย คีแบบวันไนท์แสตนท์งัย แต่เฮียเมฆน่าจะเป็นแฟนกับพีทแล้วนะ จับมือ หอมแก้ม ไรงี้

อีกอย่างที่คิดตรงกันคือ เกลียดคนไม่ชัดเจน

ขอพระรองแซ่บ ๆ ให้คีตัดใจเถอะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-08-2016 17:03:08
เป็นเพราะน้องคี กลัวว่า เฮียเมฆจะไปรักคนอื่น รึว่า ถ่วงเวลาให้เฮียเมฆตัดสินใจว่า จะเลือกใครกันแน่ รึป่าว เราคิดว่า คี คิดดีแล้วและคิดแล้วว่า ไม่ว่าเฮียเมฆให้คำตอบแบบไหนมา คีก็จะปรับตัวปรับใจได้ และที่เฮียเมฆบอกว่า มันไม่ใช่อย่างที่คิด แต่การกระทำที่แสดงออกมันไม่ใช่นะ
ปล.เฮียเมฆคงยิ่งวิตกจริต ตอนที่โทรหาคีแล้วธรรับแทน และบอกว่า คี อาบน้ำ แน่ๆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-08-2016 17:32:30
ตอนหน้าเราว่าคีคงต้องรับฟังเหตุผลของพี่เมฆแล้วล่ะ บอกตรงๆ รู้สึกอึดอัดมากกกกกกกก
กับความคลุมเครือของคู่นี้ หวังว่าเหตุผลของพี่เมฆจะกระจ่างนะว่าจะเลือกใครระหว่างพีทกับคีเนี่ย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-08-2016 19:45:48
คี เอาแต่ใจตัวเองมาก โกรธนาน งอนนาน
เฮีย จะอธิบายก็ไม่ยอมฟัง เลื่อนเวลาออกไป
จริงๆการไม่เข้าใจกัน ขัดเคืองกัน
ต้องรีบทำให้มันเคลียร์เร็วที่สุด
เพราะอารมณ์โกรธ ขัดเคืองมันจะค้างยาวไป
นี่ถ้าเฮีย เอาแต่ใจบ้าง ไปเที่ยวมี one nightstand บ้าง
คี จะยินดี กับการถ่วงเวลาอีกไหม
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 15-08-2016 20:17:49
จะผ่าเหล่ามั้ยเนี่ย -...- เหมือนจะเข้าใจคีอยู่นิดหน่อยนะ คีเลือกที่จะ one night stand ไม่ผูกมัดกับใคร แต่เท่าที่คีเห็นและสัมผัสได้ทั้งที่คลับและตอนไปส่งพีชจากพี่เมฆมันคล้ายจะมากกว่านั้นอ่ะ ยังไม่นับที่ไปเจอเพื่อนฝูงที่สนิทกับพี่เมฆอีกนะ การที่ไปเจอเพื่อนสนิทเนี่ยถือว่ามากกว่าธรรมดาแล้วอ่ะ ถึงเฮียเมฆแกจะบอกว่าอธิบายได้ก็เหอะ แต่การที่บรรดาเพื่อนพี่เมฆช่วยกันตอบแทนเจ้าตัวหรือภาพที่หงายมือกระชับฝ่ามือกันและกันก็ยังติดอยู่ในหัวเลยอยากขอทำใจนิดนึงก่อน บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมไม่คุยให้รู้เรื่องจะได้จบๆไป มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ คิดมากไปเอง บลา บลา บลา~ แต่พื้นฐานแต่ละครอบครัวมันไม่เหมือนกันนะ ทำไมคีถึงมาอยู่ที่บ้านนี้ ที่คีเคยบอกว่าเคยเจ็บมาแล้วใครที่ทำให้เจ็บ เพราะงั้นคีมีสิทธิ์ที่จะขี้ขลาดจนกว่าจะเข้มแข็งพอที่จะเดินต่อไป แต่คีก็มีส่วนผิดในเรื่องความเห็นแก่ตัวและหวงของจนเกินไปอย่างที่ธรด่าเช่นกัน 5555+

มาด้านเฮียเมฆ ในมโนคีปัจจุบันภาพลักษณ์เฮียคือคนดีสีสังคม พูดน้อย ทำงานหนัก เวลาว่างก็ปลูกต้นไม้ใบหญ้า แม้จะแว่วๆว่ามือหนัก พูดเยอะ(พ่อเฮียบอก) แต่ก็ไม่เคยเห็นจังๆนอกจากตาดุๆที่มองมานิ่งๆ แต่เดาว่าเฮียแกคงแรงใช่ย่อย เค้าอยากเห็น oops sorry. 


ปล.ตอนล่าสุดที่คีกดอะไรเล่นในมือถือเฮีย จะได้เจอหรือไม่เจออะไรเพิ่มหรือเปล่า


รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 16-08-2016 23:37:18
จะผ่าเหล่ามั้ยเนี่ย -...- เหมือนจะเข้าใจคีอยู่นิดหน่อยนะ คีเลือกที่จะ one night stand ไม่ผูกมัดกับใคร แต่เท่าที่คีเห็นและสัมผัสได้ทั้งที่คลับและตอนไปส่งพีชจากพี่เมฆมันคล้ายจะมากกว่านั้นอ่ะ ยังไม่นับที่ไปเจอเพื่อนฝูงที่สนิทกับพี่เมฆอีกนะ การที่ไปเจอเพื่อนสนิทเนี่ยถือว่ามากกว่าธรรมดาแล้วอ่ะ ถึงเฮียเมฆแกจะบอกว่าอธิบายได้ก็เหอะ แต่การที่บรรดาเพื่อนพี่เมฆช่วยกันตอบแทนเจ้าตัวหรือภาพที่หงายมือกระชับฝ่ามือกันและกันก็ยังติดอยู่ในหัวเลยอยากขอทำใจนิดนึงก่อน บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมไม่คุยให้รู้เรื่องจะได้จบๆไป มันอาจไม่มีอะไรก็ได้ คิดมากไปเอง บลา บลา บลา~ แต่พื้นฐานแต่ละครอบครัวมันไม่เหมือนกันนะ ทำไมคีถึงมาอยู่ที่บ้านนี้ ที่คีเคยบอกว่าเคยเจ็บมาแล้วใครที่ทำให้เจ็บ เพราะงั้นคีมีสิทธิ์ที่จะขี้ขลาดจนกว่าจะเข้มแข็งพอที่จะเดินต่อไป แต่คีก็มีส่วนผิดในเรื่องความเห็นแก่ตัวและหวงของจนเกินไปอย่างที่ธรด่าเช่นกัน 5555+

มาด้านเฮียเมฆ ในมโนคีปัจจุบันภาพลักษณ์เฮียคือคนดีสีสังคม พูดน้อย ทำงานหนัก เวลาว่างก็ปลูกต้นไม้ใบหญ้า แม้จะแว่วๆว่ามือหนัก พูดเยอะ(พ่อเฮียบอก) แต่ก็ไม่เคยเห็นจังๆนอกจากตาดุๆที่มองมานิ่งๆ แต่เดาว่าเฮียแกคงแรงใช่ย่อย เค้าอยากเห็น oops sorry. 


ปล.ตอนล่าสุดที่คีกดอะไรเล่นในมือถือเฮีย จะได้เจอหรือไม่เจออะไรเพิ่มหรือเปล่า


รอตอนต่อไปนะคะ :L2:

คิดเหมือนกันเลยค่ะ รอลุ้นต่อด้วยอีกคน
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่ห้า 22-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-08-2016 10:38:34
+ 1 ให้ทุกคนแล้วค่า อ่านตอนต่อไปกันเล้ย



ภูเขาลูกที่ห้า



   "สวัสดีครับ ป้าจัน คิดถึงจังเลย" ผมกอดป้าจันที่กำลังนั่งเย็บกางเกงที่รอยตะเข็บหลุดลุ่ยออกมา ผมไม่ได้สนใจกางเกงในมือของป้าจันตัวนั้นว่าเป็นของใคร ผมแค่กำลังหนีสายตาของใครบางคนที่เดินตามหลังมา


   "ไหว้พระเถอะจ้ะ สอบเสร็จแล้วล่ะสิ ถึงยอมกลับบ้านได้" ป้าจันวางมือจากงานตรงหน้าแล้วหันมาลูบศีรษะผมเบาๆ


   "ครับ สอบเสร็จแล้ว"


   "เอ้า ไปๆ เอาของไปเก็บ แล้วล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย เดี๋ยวมาทานข้าวกัน ตาเมฆบอกป้าว่าคีสอบเสร็จวันนี้ ป้าเลยให้สายใจทำของชอบรอเราไว้เยอะแยะเลย"


   "ครับป้าจัน งั้นเดี๋ยวคีมานะครับ" ผมยื่นจมูกจรดลงบนแก้มขาวๆ ที่เหี่ยวย่นตามวัยของป้าจันโดยไม่ได้นึกรังเกียจ แล้วก็ขอตัว




   ผมรีบสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องของตัวเองโดยเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีใครตามขึ้นมาอีก แต่ผิดคาดครับ เฮียเมฆไม่ได้ตามขึ้นมา น่าแปลกแต่ก็อดที่จะโล่งใจไม่ได้ ทีแรกผมตั้งใจว่าจะเอาของมาเก็บแล้วล้างหน้าตามที่ป้าจันบอก แต่รู้สึกเหนียวตัวครับ เลยอาบน้ำเสียเลย ลงมาอีกทีทุกคนก็นั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมแล้ว


   "ขอโทษที่ลงมาช้าครับ คีร้อนก็เลยอาบน้ำเสียเลย"


   "ไม่เป็นไรจ้ะ ป้ากับลุงก็เพิ่งจะนั่งเมื่อสักครู่นี้เอง" ป้าจันใจดีกับผมเสมอเลยครับ


   "แล้วพี่เมฆล่ะครับ” บนโต๊ะอาหารมีเพียงผม ป้าจันและลุงกรณ์ครับ ไม่มีเงาของลูกชายบ้านนี้


   “อ้อ ตาเมฆไม่ค่อยสบาย ป้าเลยไล่ให้ขึ้นไปพักได้แล้ว ป่วยแท้ๆ ยังฝืนไปทำงานอีก แล้วนี่ยัยน้อยเอามื้อเย็นไปให้คุณเมฆแล้วใช่มั้ย” ป้าจันบ่นลูกชายสุดโปรดเบาๆ แล้วก็หันไปถามน้อย หลานป้าสายใจครับ


   “ค่ะ คุณจัน”


   “ขอบใจมาก อีกสักพักค่อยให้ทานยา ต้องคอยเฝ้าเลยล่ะ รายนี้ชอบโยนยาทิ้ง ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”


   “ค่ะ”


   “ตาเมฆก็เหลือเกินโหมงานหนักเสียเกินตัว คุณก็เหมือนกันค่ะ รู้ว่าแกไม่สบายยังให้ไปทำงานอีก น่าตีทั้งพ่อทั้งลูกจริงเชียว”


   “อ้าว ทำไมมาลงที่ผมล่ะคุณจัน คิดว่าผมห้ามแล้วมันจะฟังผมเหรอ” ลุงกรณ์รีบออกตัวเสียงดังที่จู่ๆ ก็ถูกเหมารวมเข้าไปด้วย ผมชินแล้วล่ะครับ บ้านนี้เค้าไม่ทะเลาะกันจริงหรอกครับ ป้าจันก็บ่นไปตามประสาส่วนลุงกรณ์ก็ทำเป็นรับคำไปเรื่อยเหมือนกัน


   “แต่คุณเป็นพ่อแกนะ ถ้าตาเมฆยังไม่ฟังคุณแล้วจะฟังใครล่ะคะ”


   “นั่นไง นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ไง” หวยออก งานงอกลงที่หัวผมครับ ตอนนี้คราวเคราะห์มาลงที่ผมเสียแล้ว ลุงกรณ์ฉลาดมากครับ โยนความผิดมาให้ผมเรียบร้อย


   “จริงด้วย ป้าก็ลืมไป เพราะเราไม่อยู่บ้าน เลยไม่ช่วยป้าห้ามพี่เมฆเลย”


   “โห ลุงกรณ์อย่าโยนความผิดมาให้คีสิ โธ่ป้าจันครับ คีไม่รู้ว่าพี่เมฆป่วยนี่นา ถ้ารู้นะครับ คีช่วยป้าจันเต็มที่เลย” ผมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดก่อนครับ เดี๋ยวจะอดมื้อเย็นที่แสนอร่อย


   “ไม่รู้ล่ะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้ว เอายาไปให้พี่เค้าทานด้วย ถ้าคีพูดคงยอมกินยาแน่ๆ อย่าทำให้ป้าต้องผิดหวังล่ะ” น้ำเสียงงอนๆ ของป้าจัน แต่ผมรู้ว่าเอาจริงไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด ผมต้องทำตามที่ป้าบอกและเฮียจะต้องกินยาให้หมด ไม่งั้นชะตาชีวิตของผมจบเห่แน่


   “ได้เลยคร้าบบ คีจะจัดการให้เรียบร้อย รับรองได้เลย”


   “งั้นก็เริ่มทานเถอะจ้ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” เมื่อประธานอนุญาตแล้ว มีหรือที่ผมกับลุงกรณ์จะรีรอ ไม่รอช้าแน่นอนครับ ลงมือทันที


   “เฮีย หลับอยู่หรือเปล่า ผมเข้าไปนะ” ผมเคาะประตูเป็นมารยาทสองสามครั้งแล้วก็เปิดประตูเข้าไปโดยไม่รอเจ้าของห้องอนุญาต



   เฮียเมฆกำลังนอนหลับอยู่บนที่นอนหลังใหญ่ ผมก้าวเข้าไปใกล้ๆ แล้วก็วางยาแก้ไขกับน้ำเปล่าที่ถือมาตามคำสั่งของคุณป้า ผมค่อยๆ ยื่นมือไปแตะหน้าผากของเฮียเบาๆ



   ร้อน....



   เฮียตัวร้อนราวกับไฟแน่ะ ตามสำนวนเขาว่าแบบนั้น ความร้อนจากพิษไข้ของเฮียไม่ถึงกับร้อนเป็นไฟหรอก แต่ก็ร้อนมากเลยล่ะครับ ผมไม่รู้เลยเฮียป่วย ตอนที่นั่งรถกลับมาด้วยกัน เฮียก็เร่งแอร์เสียเย็นจนถึงเย็นมาก แต่เพราะทิฐิผมเลยไม่ได้ท้วงเฮียออกไป ที่แท้คงเป็นเพราะไม่สบายนั่นแหละ ว่าไปก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยแฮะ เฮียก็ทำอะไรเกินตัวเกินไปหน่อยหรือเปล่า รู้ตัวว่าไม่สบาย ก็ยังฝืนไปทำงานและไปรับผม ทำแบบนี้ทำไมกัน คนที่จะรู้สึกผิดน่ะมันจะกลายเป็นผมน่ะสิครับ




   “เฮียเมฆๆ ลุกขึ้นมากินยาหน่อย” ผมเขย่าคนที่นอนหลับอยู่แต่ไม่ได้แรงอะไรนักหรอกครับ กลัวโดนสวน แต่ว่านิ่งสนิทไร้การตอบรับใดๆ ดูท่าทางแล้วพาไปหาหมอดีกว่ามั้ย หรือว่าเฮียเมฆอาจจะตายไปแล้ว



   ไม่นะ ผมยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเฮียเลย เฮียไม่น่าด่วนจากผมไปเลย ฮืออ



   เดี๋ยวก่อน ผมนี่ชักจะไปกันใหญ่ กลับเข้ามาสู่ความเป็นจริงกันต่อดีกว่า



   “เฮียเมฆ ลุกขึ้นมากินยาหน่อย” ผมปลุกเฮียเมฆอีกรอบครับ


   “ไม่” เสียงเฮียเมฆแผ่วเบามาก แต่ปฏิเสธได้หนักแน่นเลยทีเดียว


   “ไม่ได้ครับ อย่าดื้อได้มั้ย กินยานะครับ”


   “พี่ไม่กิน”


   “ต้องกินครับ จะได้หายไวๆ”


   “พี่โตแล้ว ไม่ต้องกินยาเหมือนเด็กๆ”


   “จะผู้ใหญ่หรือเด็ก ถ้าไม่สบายก็ต้องกินยาทั้งนั้นแหละครับ” ผมระอากับความดื้อของเฮียจริงๆ อะไรก็ดีครับ แต่เรื่องนี้ก็เล่นใหญ่ไม่ยอมกินยาจริง ดีหน่อยว่าเฮียไม่ใช่คนที่ป่วยบ่อย นานๆ จะป่วยที ก็ถือว่าโชคดีที่ต้องมาคอยมือคนป่วยแบบนี้บ่อยๆ


   “ไม่” ไม่พูดเปล่า เฮียยังหันหลังให้ผมอีกด้วย แหม่ ตาเมฆของป้าจัน ผมอยากจะดีดหน้าผากของเฮียเบาๆ สักทีให้สาสมกับความดื้อดึงของเจ้าตัว


   “ไม่เอาน่า ลุกมากินยาเถอะครับ ผมขอร้องนะ” ใช้ลูกอ้อนลงไปสักหน่อย


   “......”


   “กินหน่อยนะครับ จะได้หายไวๆ”


   “......”


   “ถ้ากินยา เดี๋ยวคืนนี้ผมนอนเป็นเพื่อนเฮียเลยนะครับ” ลดแลกแจกแถม ต่อรองเข้าไป


“......”


“แถมกอดให้อีกทีด้วย เอ้า ”เปลืองตัวสุดๆ แต่กลัวป้าจันจะผิดหวัง อะไรที่พอจะมีหนทางก็ต้องทำแหละครับ


“......”


   “ถ้าเฮียกินยา ผมจะตามใจเฮียทุกอย่าง ตกลงมั้ยครับ” นี่มันแทบจะเป็นไม้ตายที่ฆ่าตัวเองตายชัดๆ ครับ แต่ก็ต้องยอมทำ ภาพพจน์ของผมในสายตาป้าจัน ต้องดีอยู่เสมอ นี่ผมจริงจังไปหรือเปล่า ทำไมเฮียต้องกินยายากเย็นแบบนี้ด้วยวะ


   “เอายามาสิ” แน่ะ พอผลตอบแทนคุ้มค่าล่ะว่าง่าย ผมหยิบยาและน้ำให้เฮียเมฆครับ ตัวปัญหากินยาแล้วตามด้วยน้ำเกือบหมดแก้วก็ยื่นคืนกลับมาให้  ผมลุกขึ้นยืนเพราะจะเอาแก้วลงไปเก็บ แต่ก็ถูกเฮียดึงมือไว้เสียก่อน


   “จะไปไหน”


   “เอาแก้วไปเก็บครับ”


   “วางไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยให้ป้าสายใจมาเก็บ”


   “นิดหน่อยเอง เฮีย”


   “ไหนว่าจะตามใจพี่” ไม่ทันไร คนป่วยก็ทวงของรางวัลเสียแล้วครับ ผมวางแก้วน้ำลงตามเดิม


   “อาบน้ำหรือยังครับ” เฮียส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ


   “ถ้างั้นเช็ดตัวละกัน เฮียตัวร้อนจี๋เลย”



   ผมลุกไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำที่วางอยู่ในห้องน้ำ คาดว่าป้าสายใจหรือไม่ก็น้อยน่าจะนำมาวางไว้ให้ก่อนหน้านี้ เสื้อนอนของเฮียเป็นกระดุม จึงไม่ยากเย็นนักที่จะเช็ดตัว ผมปลดกระดุมเสื้อนอนของเฮียออก แหวกสาบเสื้อจนหลุดออกจากกัน แล้วเริ่มลงมือเช็ดตัวให้เฮีย ป้าจันเคยบอกผมว่าเวลาเช็ดตัวคนมีไข้ ให้เช็ดตัวแรงๆ จะได้สร่างไข้เร็วๆ ผมเช็ดตามข้อพับต่างๆ เฮียนิ่วหน้าเหมือนว่าเจ็บ แต่ผมก็อยากให้เฮียหายไข้เร็วๆ นี่นาก็เลยไม่ได้เบามือนัก เอ นี่ผมกำลังเอาคืนเฮียอยู่หรือเปล่ากัน เปล่าเลยนะครับ สาบานได้




   เสร็จจากด้านบน ก็เหลือด้านล่าง ผมลังเลว่าจะเช็ดให้ดีมั้ย ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำนะครับ แต่ครั้งนี้มันต่างไปจากทุกที เพราะสถานการณ์ระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม ผมรู้สึกลำบากใจเกินกว่าจะทำต่อ ผมเหลือบมองเฮียที่สะลึมสะลือเพราะผลของยาที่กำลังออกฤทธิ์หลังจากกินเข้าไป




   ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ มือของผมค่อยๆ ถอดกางเกงนอนของเฮียลงมา เฮียไม่ได้สวมชั้นในเวลานอนอยู่แล้วครับ ผมรีบบิดผ้าขนหนูให้หมาดแล้วเริ่มลงมือเช็ดต่อ ยิ่งปล่อยไว้นาน สายตาอยากรู้อยากเห็นของผมก็ยิ่งอยากจะมองร่างกายของเฮียมากขึ้น ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นของของเฮียมาก่อนนะครับ แต่เพราะว่าเคยเห็นและเคยสัมผัสมาก่อนน่ะสิ มันถึงห้ามใจได้ยากขนาดนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยแรกรุ่นที่กำลังจะเสียตัวครั้งแรกให้กับผู้ชาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว




   ผมรีบหลับหูหลับตาเช็ดแล้วก็สวมกางเกงนอนคืนให้เฮียโดยเร็ว กว่าจะเสร็จก็ทำเอาผมเกือบจะขาดอากาศหายใจเพราะกลั้นหายใจไว้โดยไม่รู้ตัว



   “โอย เกือบตาย” ผมปาดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากแล้วเอาผ้าขนหนูไปเก็บก่อน



จัดแจงเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงแล้วล้มตัวนอนลงอีกข้างนึง หันเข้าหาเฮียเมฆแล้วกอดแขนเฮียไว้ไม่แน่นเกินไปนัก ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ สัญญาต้องเป็นสัญญาครับ เฮียเมฆหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาและคงสบายตัวที่ได้เช็ดตัวไป ลมหายใจของเฮียฟังดูไม่ค่อยติดขัดเหมือนก่อนหน้านี้ ซ้ำความร้อนก็ดูเหมือนจะลดลงไปแล้วบ้าง นั่นทำให้ผมค่อยสบายใจ คืนนี้ผมคงจะนอนหลับสนิทเสียที



“คี...” ใครกล้าบังอาจมาเรียกผมในเวลานี้วะ


“ขี้เซาจริง” โมโหว่ะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวหน้าแหก คนกำลังหลับสบาย


“ตื่น พี่หิวน้ำ” โอ้ย ตื่นก็ได้วะ


“อะไรเฮีย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”


“พี่หิวน้ำ”


“หิวน้ำก็ไปลุกไปเองสิ มาปลุกผมทำไม ผมง่วง”


“ได้” พยางค์เดียวสั้นๆ ทำให้ผมรับรู้มีสติทันที ชิบหาย เฮียป่วยอยู่นี่หว่า ผมรีบรั้งแขนของเฮียเมฆไว้ได้ทันก่อนที่เฮียจะลุกออกไปจากเตียง ผมดีดร่างของตัวเองออกจากเตียงนอนแสนนุ่มแล้วรีบลงไปชั้นล่างทันที



ผมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำในมือและเหยือกน้ำที่บรรจุน้ำสะอาดอยู่ในนั้นเกือบเต็มอีกหนึ่งเหยือก เอาเลยครับ ดื่มให้หายอยาก หายไข้ไปเลยนะครับ เพื่อเฮียแล้วผมยินดีทำให้ทุกอย่าง ผมประชดอยู่ในใจ พลางยื่นแก้วน้ำไปให้เฮียพร้อมกับรอยยิ้มที่คิดว่าสดใสท่ามกลางเวลาดึกสงัดแบบนี้ เฮียเมฆไม่ได้สนใจรอยยิ้มผมหรอกครับ มองแต่แก้วน้ำแล้วดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ผมเทน้ำให้ใหม่เฮียก็ดื่มไปอีกค่อนแก้ว แล้วจึงส่งแก้วคืนมาให้ผมไปวางยังที่ของมัน


“ขอบใจนะ”


“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้เฮียรู้สึกเป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย” ผมไม่ได้รอคำตอบ ถือวิสาสะยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเฮีย ความร้อนบนร่างกายที่เต็มไปด้วยพิษไข้ ตอนนี้คลายความร้อนลงไปมากแล้ว ผมรู้สึกพอใจในผลงานของตัวเองไม่น้อย


“ดูเหมือนไข้จะลดแล้วนะ” ผมพึมพำพูดกับตัวเอง


“สงสัยได้คนดูแลดี”


“ทำพูดไปครับ ขอบ่นหน่อยเถอะ ถ้ารู้ว่าไม่ค่อยสบายแล้วฝืนไปทำงานทำไมครับ พอเลิกงานยังไปรับผมที่มหาลัยอีก แล้วยังจะดื้อไปเที่ยวด้วย ถ้าเป็นอะไรไป จะทำยังไงกัน” ผมว่าจะบ่นนิดเดียวเองนะ แต่ทำไมรู้สึกมันยาวยืดยังไงไม่รู้ อย่างกับผู้หญิงขี้บ่นเลย ไม่ค่อยชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยครับ


“ยังห่วงพี่อยู่เหรอ”


“เฮีย...” ผมถอนใจออกมา แทบจะกรอกตามองบนกับคำพูดของเฮียด้วยซ้ำ คนอะไร คิดได้ยังไง


“ทำไมเฮียถึงคิดว่าผมไม่ห่วงเฮียแล้ว”


“ถามตัวเองดีกว่ามั้ย” ผมถอนหายใจออกมาอย่างหนักเมื่อได้ยินคำตอบที่เป็นคำถามของเฮีย


“การที่ผมไม่ค่อยได้รับโทรศัพท์ หรือไม่ค่อยตอบข้อความเฮีย แต่มันไม่ได้แปลว่าผมไม่ห่วง”


“ขึ้นมานอนข้างๆ พี่เถอะ” ผมยังพูดไม่จบแต่เฮียก็ขัดจังหวะขึ้น เฮียเมฆใช้มือที่ว่างตบที่นอนข้างๆ ตัว


“ไม่กลัวว่าจะแพร่เชื้อหวัดมาให้ผมเหรอไง” ผมมองเฮียที่นอนสบายอยู่บนเตียง นั่งนานๆ ชักปวดหลังแล้วแฮะ


“หัวแข็งจะตาย ไม่ป่วยง่ายๆ หรอก” เฮียหัวเราะ แล้วมือข้างเดิมก็ตบที่นอนอีกครั้งหนึ่ง


“ก็ได้ครับ เมื่อยหลังแล้วเหมือนกัน” ผมอ้อมไปอีกเตียงแล้วก็ก้าวขึ้นไปนอนข้างๆ เฮียเหมือนเดิม


“พูดต่อสิ” เฮียเมฆพูดพลางดึงร่างของผมเข้ามาในอ้อมกอดของเฮีย ช่วงเวลาที่เราไม่ได้เจอกันผมรับรู้ได้จริงๆ แหละว่า เราทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาแต่ผมก็เข้าใจ



ผมคิดถึงพี่เมฆจริงๆ ว่ะ



ถ้าวันข้างหน้า ข้างกายของผมไม่มีเฮียอีกต่อไปแล้ว ผมจะใช้ชีวิตอยู่ต่อยังไงวะ มันก็คงไม่ตายหรอก อยู่ต่อได้แหละ แต่คงไม่มีความสุขได้เต็มที่ล่ะมั้ง ไม่รู้สิ ไม่อยากจะคิดไว้รอให้ถึงตอนนั้นก่อน ค่อยมาเครียด คิดตอนนี้ พาลให้เซ็งเปล่าๆ



“ผมไม่เคยไม่ห่วงเฮีย และไม่เคยไม่ห่วงเรื่องของเรา” ผมทิ้งระเบิดเอาไว้ พอให้รู้สึกคันๆ ในหัวใจพอประมาณ


“ไม่ว่ายังไงพี่ก็ยังเป็นพี่เมฆคนเดิมของคีเสมอ” ไม่พูดเปล่าอ้อมแขนของคนป่วยยังรัดผมแน่นเหมือนเดิม เหมือนอยากจะให้ผมรับรู้ไปถึงในใจของเฮีย


“ผมแค่ไม่ค่อยแน่ใจอะไรบางอย่าง แต่มันคงอีกไม่นานหรอกครับ ถ้าพี่ยังรอผมไหวและไม่เปลี่ยนใจจากผมเสียก่อน”


“ถ้าคียังไม่แน่ใจในตัวพี่” ผมไม่รอให้เฮียพูดจบ รีบแทรกขึ้นมาทันที


“ดึกแล้ว พี่ไม่เพลียเหรอ นอนเถอะจะได้พักเยอะๆ พรุ่งนี้จะได้หายไงครับ” ผมจงใจเปลี่ยนเรื่องครับ เฮียเมฆก็รู้นะแต่ไม่อยากขัด


“นอนไปเยอะแล้ว ตอนนี้ตาสว่างเลย”


“แต่ผมง่วง”


“อย่าเพิ่งนอน คุยกับพี่ก่อนสิ”


“โหย เฮียรู้ป่ะ ว่าเป็นคนป่วยที่น่าตื้บที่สุด”


“จะทำร้ายพี่เหรอ”


“แล้วทำได้มั้ยล่ะ” ผมท้าทายคนป่วย


“คีทำร้ายพี่ไม่ลงหรอก” รู้ทันผมไปซะทุกเรื่อง ใช่ครับผมไม่กล้าทำร้ายร่างกายเฮียหรอก แค่ได้ยินน้ำเสียงของเฮียว่าเศร้า หรือดวงตาของเฮียหม่นหมอง ผมก็แทบจะใจอ่อนแล้ว เรื่องอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความรักคงทำให้คนตาบอด ถ้าผมเจ็บแทนได้ก็ยอมล่ะครับ น้ำเน่าใช่มั้ยล่ะ แต่ผมพูดจริงนะ


“รู้มาก”


“หึหึ” เสียงหัวเราะที่ถูกใจของเจ้าตัว ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วย


“ยังไม่ตอบคำถามผมเลย ไม่สบายทำไมไม่พัก ฝืนไปทำงานแล้วไปรับผมทำไม”


“พี่อยากไปรับคีกลับบ้าน”


“ให้ลุงแช่มหรือลุงหมายไปรับก็ได้ ถ้าครั้งหน้ายังทำอีกล่ะก็ ผมจะโกรธเฮีย”


“พี่คิดถึง อยากเห็นหน้าคีไวๆ” เอิ่มม เอ่ออ ไปต่อไม่เป็นเลยครับ ไม่คิดว่าเฮียจะงัดไม้เด็ดออกมาใช้ในเวลานี้ ขนาดอยู่ท่ามกลางความมืดและอุณหภูมิภายในห้องที่เย็นฉ่ำ ผมยังรู้สึกได้ว่าหน้าคงแดง ใจเต้นรัว ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ เขินครับ เขินหนักมาก


“ไม่ต้องมาพูดเอาใจผมหรอกน่า” อยากจะบิดผ้าห่ม หรือเขินจนถีบเฮีย แต่ก็ทำไม่ได้ ขืนทำลงไปเฮียคงโกรธแย่


“พี่พูดจริง”


“เฮ้อ นี่อยากให้ผมเขินใช่มั้ยเนี่ย แต่ผมไม่อยากให้พี่เมฆต้องทำแบบนี้ ผมเป็นห่วงนะครับ” เอาล่ะถึงคราวของผมยิงไม้เด็ดออกไปบ้าง ดวงตาของเฮียดูสดใสขึ้นมาเป็นกอง แสดงว่าสำเร็จ


“เอาคืนพี่สินะ แต่ได้ยินแบบนี้ก็ถือว่าคุ้ม”


“เปล่าสักหน่อย” เสแสร้งแกล้งทำ เฉไฉไปเรื่อย ผู้ชายก็มีลูกล่อลูกชนเหมือนกันนะครับ ถึงจะไม่แพรวพราวเท่าผู้หญิงแต่ของแบบนี้ไม่ยากเกินกว่าจะทำ เพราะถ้าเป็นตัวผมเองก็ยังรู้เลยว่าผู้ชายมีจุดอ่อนอะไรตรงไหนบ้าง ของแบบนี้เรียนรู้กันได้


   “เรื่องสอบเป็นไงบ้าง ทำได้มั้ย”


   “ก็ได้นะเฮีย ไม่น่าจะมีปัญหาหรอกครับ แล้วเฮียล่ะงานเป็นไงบ้าง” อย่างที่ผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้ครับว่าใกล้สิ้นปีแล้ว พวกประชุมต่างๆ ปิดงบการเงินนั่นนี่ ตัวเลขที่ชวนปวดหัวจะประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นงานจะเยอะยิ่งกว่าช่วงไหนๆ




   ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เฮียจะไม่ยอมขาดงานถึงแม้ว่าจะไม่สบาย เพราะว่าถ้าเฮียเมฆหยุด งานทุกอย่างที่ต้องรอประชุม ที่ต้องเซ็นอนุมัติทั้งหลายแหล่นั้นจะหยุดชะงักตามเฮียไปด้วย ไม่มีทางที่เฮียเมฆจะยอมให้งานมาค้างที่ตนเองแน่นอนครับ ส่วนเรื่องที่ไปรับผมนี่ไม่ใช่ว่าเป็นผลพลอยได้หรอกครับ ก็อยู่ในส่วนสำคัญของเฮียเช่นกัน เหมือนที่เฮียบอกว่าคิดถึงผมนั่นแหละ



   “เหมือนเดิม” คำตอบของเฮียสั้นๆ แต่โคตรจะไม่กระจ่าง เหมือนเดิม อะไรคือเหมือนเดิม อะไรที่เหมือนเดิมวะ แต่จะให้ทำไงเพราะเจ้าตัวอยากอธิบายเท่านี้ก็ต้องรับรู้ไปเท่านี้ครับ แล้วตอนนี้สมองของผมก็แทบจะเป็นอัมพาต แทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว เพราะความง่วงมันกำลังคืบคลานเข้ามา ผมเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง รู้สึกเหมือนจะพูดไปคำหนึ่งแล้วก็สติสัมปัญญะก็ดับวูบไป



   “ฝันดีครับ” น่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายของผมแล้วล่ะครับ เหมือนเฮียจะจูบเบาๆ ที่หน้าผากของผมนะ คิดว่าใช่นะ ไม่รู้เข้าข้างตัวเองหรือเปล่า แต่ใช่แหละ น่าจะเรียกว่าจูบให้ฝันดีก็ได้แหละ เพราะคืนนั้นผมฝันดีจริงๆ


   “หิวจังเลยครับป้าจัน มีอะไรให้คีกินบ้าง” ผมตื่นลงมาก็เกือบสิบโมงแล้วครับ คนข้างกายตื่นแล้วไม่รู้ว่าหายจากไข้หวัดหรือยัง ผมอาบน้ำเสร็จก็ค่อยเสด็จลงมาจากห้อง


   “เมื่อคืนนอนดึกหรือยังไงกัน ตื่นจนป่านนี้ ข้าวหมดแล้วล่ะ”


   “โห ป้าจัน คงอยากให้คีปวดท้องหิวข้าวแน่ๆ เลย เมื่อคืนลูกชายป้าจัน ตื่นมากลางดึก คีต้องลุกขึ้นมาดูแล มันก็ต้องเพลียนะครับป้าจัน” ผมโอดครวญพร้อมกอดเอวหนาของป้าจัน


   “จ้ะ แหม พูดเสียยืดยาว ป้าไม่แกล้งเราแล้วก็ได้ มีหรือป้าจะให้คนที่ทำความดีต้องหิวข้าว ใช่มั้ยคะ คุณ”


   “ป้าเราน่ะ ลงมือเข้าครัวเองแต่เช้า ไม่รู้จะเอาใจลูกชายคนไหนกันแน่”


   “ผมคงเป็นหมาหัวเน่าหรือเปล่า” ผมแกล้งทำเสียงเสมือนว่าเป็นลูกหมาที่โดนทอดทิ้ง


   “ใครจะเอาคีไปเปรียบกับหมาล่ะจ๊ะ ถ้าเปรียบอย่างอื่นอาจจะเข้าทีนะ”


   “ป้าจันไม่รักคีแล้วใช่มั้ยครับ” บางทีผมก็คิดว่าตัวเองอายุสักห้าขวบก็เป็นได้ แต่นิสัยผมมันก็เหมือนแมวที่ชอบคลอเคลีย และก็เหมือนลูกหมาที่อยากได้ความรักของทุกคน


   “ใครจะไม่รักคีกันล่ะ ไม่เอาละ สงสัยจะหิวมากแน่เลย อาจจะดราม่าใส่ป้าแต่เช้าได้” ป้าจันหัวเราะผมแล้วก็หันไปบอกน้อยให้ยกมื้อเช้ามาให้ผม


   “แล้วพี่เมฆล่ะครับ ไม่เห็นเลย” ผมพูดพลางตักข้าวผัดเข้าปากเพราะตั้งแต่ลงมายังไม่เห็นเงาของคนป่วยเลยครับ


   “อ่อ นอนอยู่ที่ห้องรับแขกน่ะ เพื่อนตาเมฆ เค้ามาเยี่ยมแต่เช้าแล้วล่ะจ้ะ”


   “งั้นเหรอครับ” ผมตักข้าวเข้าปากไปเรื่อยๆ พลางก็คิดว่าสงสัยเป็นกลุ่มเพื่อนเฮียเมฆที่เจอกันในผับวันนั้นนั่นแหละ


   “เอ คุณคะ จะว่าไป เพื่อนตาเมฆคนนี้ใช่ลูกชายคุณบัญชา บริษัทที่มาติดต่อธุรกิจกับคุณหรือเปล่าคะ” คำถามของป้าจัน ทำเอาผมชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากคำต่อไป รู้สึกแปลกๆ ละ ถ้าเพื่อนเฮียเมฆไม่มีธุรกิจอะไรร่วมกัน นอกจากอีกคนที่เพิ่งได้เจอกันครั้งแรก


   “คุณพีชน่ะเหรอ ใช่แล้วคุณจัน พอดีว่าคุณบัญชา ยกโปรเจ็คหมู่บ้านจัดสรรให้ลูกชายรับช่วงต่อไปทำน่ะ ลูกชายคุณบัญชานี่ก็เพิ่งจบโทมาจากนอก รุ่นๆ ตาเมฆนี่ล่ะ อายุน้อยกว่าปีสองปี แต่ท่าทางหัวไว เรียนรู้เข้าใจพวกธุรกิจได้ดี”



   แล้วสิ่งที่ผมสงสัยก็ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป เพราะคุณลุงเฉลยให้เสร็จสรรพพร้อมบรรยายสรรพคุณให้ด้วย ผมรู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที กินต่อไม่ลง ใจมันอยากจะเข้าไปห้องรับแขกเสียตอนนี้ นี่ผมเปิดโอกาสให้สองคนนั้นไปนานเท่าไหร่แล้ว เสียเวลาจริงๆ ผมรีบดื่มน้ำตามแล้วเอ่ยขอตัวทันที



   “อิ่มแล้วเหรอจ๊ะ” ป้าจันเรียกผมไว้ทันก่อนที่จะลุกออกไป


   “ครับคุณป้า เดี๋ยวคีไปดูพี่เมฆก่อนนะครับ เผื่ออยากได้อะไรเพิ่ม”


   “ไม่ต้องห่วงรายนั้นหรอกจ้ะ ถ้าตาเมฆอยากได้อะไร น้อยก็น่าจะอยู่แถวนั้น”


   “คีเป็นห่วงน่ะครับ ไปดูสักหน่อยดีกว่า”


   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจจ้ะ อ้อตาคี ป้าเกือบลืมแน่ะ” ป้าจันท้วงผมเอาไว้ก่อน


   “ครับ”


   “ป้าว่าหลังปีใหม่ ไปเที่ยวเหนือกันดีมั้ย ไม่ได้ไปนานแล้ว”


   “ครับป้าจัน คีก็อยากไปเที่ยวเหนือเหมือนกัน”


   “จ้ะ เดี๋ยวป้าลองถามตาเมฆอีกทีว่าจะว่างให้คนแก่เมื่อไหร่”


“ครับ งั้นคีไปหาพี่เมฆก่อนนะครับ”


“จ้ะ” ป้าจันตอบ ผมลุกขึ้นไปหอมแก้มป้าจัน แล้วรีบเดินไปห้องรับแขกโดยเร็ว




   ผมรีบเดินตรงไปห้องรับแขก แต่ทำไมพอใกล้ถึงผมรู้สึกว่าขามันไม่อยากจะก้าวต่อไป ผมเดินช้าลงเรื่อยๆ  แทบจะไม่มีความกล้าที่จะเดิน ในที่สุดผมหยุดนิ่ง ยืนดูเฮียเมฆกับพี่พีช ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ เฮียเมฆตอนเหยียดยาวอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ ส่วนพี่พีชนั่งอยู่ที่เก้าอี้โซฟาเดี่ยวข้างๆ ผมไม่เห็นสีหน้าของเฮียและไม่ได้ยินน้ำเสียงของเฮียด้วย แต่ผมเห็นสีหน้าของพี่พีช ผมรู้และเข้าใจ พี่พีชไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนหรือน้องของเฮียเมฆ แต่พี่พีชอยากเป็นมากกว่านั้น




   ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี



   จะเดินเข้าไป



   หรือถอยออกมา



   จะปล่อยทั้งสองคนเอาไว้




   หรือรั้งเอาไว้




   เอาไงดีวะ




   
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สี่ 15-08-2559
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-08-2016 10:39:03


“อ้าว นั่นน้องคีใช่มั้ยครับ ทำไมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น” ผมยังไม่ได้ตัดสินใจครับ แต่พี่พีชก็เห็นผมเสียก่อน พี่พีชยังดูน่ารักเหมือนเดิม ครั้งก่อนเห็นในร้านที่ไฟน้อยๆ ยังคิดว่าต้องเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งแน่ๆ แต่วันนี้เห็นอีกครั้งนอกจากหน้าตาจะดีแล้ว ผิวพรรณก็ดีไม่แพ้กันครับ เนียนใสเชียว หากพี่พีชจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับเฮียเมฆ ผมคงไม่พลาดที่จะเข้าหาพี่พีชแน่นอน


   “สวัสดีครับ” ผมทักกลับไปแต่ไม่ได้ยกมือไหว้เหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถามพี่พีช


   “คี ตื่นแล้วเหรอ” เฮียเมฆขยับลุกขึ้นมานั่งแล้วหันมาถามผม แสดงว่าก่อนหน้านี้เฮียคงไม่ได้หลับ


   “ครับ”


   “กินข้าวหรือยัง”


   “เรียบร้อยแล้วเฮีย ว่าแต่เฮียล่ะเป็นไงบ้างครับ ดีขึ้นยัง” ผมถามอาการคนป่วยแต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไป ยังยืนอยู่ที่เดิม ลักษณะเหมือนเราคุยกันคนละฟากฝั่ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ดีหน่อยที่ไม่ต้องตะโกนคุยกัน


   “ดีขึ้นแล้ว ขอบใจมากนะ”


   “ไม่เป็นไรครับ” ผมเหลือบไปเห็นช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา เฮียเมฆมองตามสายตาของผมทันที หัวใจของผมกระตุกวูบ ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเสียแล้วที่จะซื้อดอกไม้ให้เฮีย ความรู้สึกที่จะทำให้ผมล้มครืนอีกครั้งกำลังจะกลับมาใช่มั้ย ในเมื่อทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไม...


   “คุณพีช ซื้อมาเยี่ยมพี่ ไม่มีอะไรหรอก” แล้วเฮียเมฆจะย้ำเพื่อ ... อยากจะบอกอะไรผมคนนี้ครับ ให้เจ็บ ให้เสียใจ หรือให้ทรมานไปมากกว่านี้ใช่มั้ย


   “พี่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรมาเยี่ยมคุณเมฆก็เลยโทรถามคุณยา เธอบอกว่าคุณเมฆชอบดอกไม้ พี่ก็เลยซื้อมา ไม่มีอะไรเลย” แล้วทำไมทั้งสองคนจะต้องช่วยกันพูดด้วย ยิ่งพูดเหมือนยิ่งแก้ตัว แล้วดูท่าทางแปลกๆ ของสองคนนั่น ยิ่งมีพิรุธให้จับผิดเกินไปหรือเปล่า


   “สวยดีครับ พี่พีชรู้ใจพี่เมฆเหมือนกันนะครับ เพราะพี่เมฆก็ชอบลิลลี่ ช่อใหญ่ๆ แบบนี้ล่ะครับ”


   “อย่างนั้นเหรอครับ โชคดีจัง เพราะพี่เองก็ไม่รู้ว่าคุณเมฆชอบดอกอะไรหรอกครับ ให้ที่ร้านจัดให้”


   “ครับ งั้นผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นมาพอดี คงจะเป็นไอ้ธร ผมเลยถือโอกาสนี้ขอตัวจากทั้งสองคนออกมา




   ผมออกมานั่งตรงศาลาริมสวนดอกไม้ของเฮียเมฆ มองสายเรียกเข้าที่ยังดังไม่หยุด พอหยิบโทรศัพท์ออกมาขึ้นดู สายที่โทรมาไม่ใช่ไอ้ธร แต่สายนี้ทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะกดรับในเวลานี้เพราะจิตใจของผมยังไม่คงที่ ถึงอยากจะทำแบบนั้นแต่สายนี้ผมคงพลาดรับไม่ได้ หากไม่รับตอนนี้ก็ต้องโทรกลับไปอยู่ดี ผมพยายามปรับอารมณ์ของผมให้เป็นปกติก่อนจะกดรับสาย


   “สวัสดีครับ แม่”


   “คี เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่าคะ” แม่ของผมเองครับที่โทรเข้ามา เสียงของแม่ตื่นเต้น ดีใจมากที่ได้คุยกับผม


   “ก็ดีครับ เพิ่งสอบเสร็จ” แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่พูดจาเพราะอยู่เสมอครับ อาจจะเพราะมีเชื้อยศ เชื้อเจ้าอะไรสักอย่างผมก็ไม่ได้สนใจ หากมีคนไม่สนิทหรือไม่คุ้นเคยกับผมถ้าบังเอิญผ่านมาได้ยินคงคิดว่ากำลังคุยกับสาวแน่ๆ


   “ทำข้อสอบได้มั้ยคะ”


   “ลูกแม่ซะอย่าง ต้องทำได้สิครับ”


   “เก่งมากค่ะ เอ้าอย่าดึงขาแม่สิคะ หนูต้องรู้จักอดทนเวลาที่ผู้ใหญ่เค้าคุยกันนะคะ” ประโยคที่เอ่ยชมคือเป็นของผมครับ แต่ประโยคที่เหลือ แม่ไม่ได้พูดกับผมหรอกครับ


   “คี คุยกับน้องหน่อยนะคะ”


   “ครับ”


   “Hi, It’s me.” ปลายสายพูดภาษาที่ตนถนัด


   “พูดไทยสิครับ เด็กดี”


   “คะ..คับ” สำเนียงไทยแปร่งๆ ของเจ้าตัวและผนวกกับวัยที่ทำให้พูดไม่ค่อยชัดด้วย ทำผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในความน่ารักของเด็กชาย


   “สบายดีมั้ยครับ”


   “คิดถึง” เจ้าตัวเล็กไม่ได้ตอบคำถามผม แต่พูดอย่างอื่นออกมาแทน ช่วงนี้สงสัยผมจะเนื้อหอมแฮะ ใครๆ ก็บ่นคิดถึง ขนาดคนปากหนักอย่างเฮียเมฆยังบอกผมเลย ไม่ทันข้ามวันก็มีเด็กน้อยมาบอกคิดถึง แหม่ ผมควรจะดีใจให้หนักใช่มั้ยเนี่ย


   “พี่ก็คิดถึงนะครับ”


   “มาหาหน่อย” เด็กชายยังพูดไทยไม่คล่องและไม่ชัดครับ จะได้คำพูดเป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ ของเด็กวัยสามขวบกว่าๆ เพราะฉะนั้นผมต้องคาดเดาเอาเอง และคาดว่าน้องคงจะหมายถึงเมื่อไหร่ผมถึงจะไปหา


   “ถ้าพี่ว่างแล้วจะรีบไปหานะครับ”


   “I love you” เด็กชายคงตื่นเต้นล่ะครับ เลยเผลอพูดตามความถนัด


   “I love you too” ผมตอบกลับไป พูดแล้วก็คิดถึงทุกคนที่นั่นครับ อยากกลับไปหาครอบครัวเหมือนกัน แต่คงต้องรอหลังสอบเสร็จช่วงปิดเทอมนั่นแหละครับ ถึงจะได้กลับไป


   “คีคะ ปีใหม่นี้ กลับมาที่บ้านมั้ยคะ” ผมได้ยินเสียงกุกกัก น่าจะเป็นแม่ของผมขอโทรศัพท์คืนจากเจ้าตัวยุ่งนั่นแหละครับ ผมยังถือสายค้างไว้ สักพักก็ได้ยินเสียงของแม่ถามนั่นแหละครับ


   “ยังไม่รู้เลยครับ อาจจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับป้าจันเหมือนเดิม” ผมตอบตกลงป้าจันไปแล้วครับ แต่จะให้ปฏิเสธแม่ไปตรงๆ เลยก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจท่าน เลยตอบแบ่งรับแบ่งสู้ดีกว่า


   “อย่างนั้นเหรอ ถ้าเปลี่ยนใจยังไงก็บอกแม่นะคะ แม่จะได้จองตั๋วให้”


   “ครับแม่”


   “ฝากความคิดถึงคุณลุงกับคุณป้าด้วยนะคะ”


   “ครับแม่”


   “แม่คิดถึงคีนะคะ อยากให้ย้ายกลับมาที่นี่แล้วล่ะ” คนที่สามครับ น่าอิจฉาผมมั้ยครับ


   “รอเรียนจบก่อนดีกว่า อีกปีเดียวเอง คีก็คิดถึงแม่เหมือนกันครับ”


   “แม่ไม่รู้ว่าคีมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ค่อยสดใสเลย แต่มีอะไรปรึกษาแม่ได้ตลอดเวลานะคะ”


   “คีสบายดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณนะครับ”


   “รักลูกจ้ะ” ผมตอบรับแม่กลับไปแล้วจึงวางสายเป็นอันจบบทสนทนาไป



   มาถึงตรงนี้แล้วคงแปลกใจกันบ้างหรือเปล่าครับ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่อยู่กับที่บ้าน มันต้องมีเหตุผลอยู่แน่นอนครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ เล่าให้ทุกคนได้รับรู้กันไปเรื่อยๆ ดีกว่านะครับ ถ้าเล่าทีเดียวคงไม่สนุกหรอก จริงมั้ยเอ่ย



   หลังจากวางสายจากมารดาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงแล้ว ผมก็ยังนั่งอยู่ที่ศาลาแหละครับ ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ช่วงเวลาที่คุยกับแม่และน้องก็รู้สึกดีครับ ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปได้ แต่พออยู่คนเดียว นั่งคิดคนเดียว เรื่องเดิมๆ ก็วนกลับเข้ามาในหัวอันแสนฉลาดของผมเหมือนเดิม ความจำดี นี่ก็เริ่มเป็นข้อเสียแล้วนะเนี่ย



   ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะกลับเข้าไปข้างในดีหรือเปล่า คุณลุงกับคุณป้าคงจะเปลี่ยนที่นั่งไปอยู่ตรงไหนสักแห่งของบ้านแล้วก็เป็นได้ อาจจะไปสมทบกับเฮียเมฆ หรืออาจจะไปห้องทำงานก็เป็นได้ หรือว่าผมควรจะกลับไปที่ห้องนอนของผม เอาไงดีนะ ผมว่าผมไม่ใช่คนที่คิดเยอะอะไรนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมถ้าเป็นเรื่องของเฮียเมฆแล้ว ผมแทบจะคิดอะไรไม่ออกอยู่เรื่อย



   “ทำไมมานั่งตรงนี้” แล้วคนที่ผมคิดถึงอยู่ก็โผล่มา


   “เฮียเมฆ” ผมแปลกใจที่เห็นเฮียเมฆอยู่ตรงนี้ แล้วพี่พีชล่ะ? อยากรู้แต่ไม่อยากถามครับ เรื่องเยอะจริงๆ


   “เห็นหายไป ตามไปดูที่ห้องก็ไม่เจอ”


   “ตะกี้แม่โทรมา เลยเดินมาคุยที่นี่ แล้วเฮียมีอะไรหรือเมฆ”


   “ตะกี้แม่เพิ่งบอกพี่เรื่องจะไปเที่ยวที่เหนือ แม่บอกคีแล้วใช่มั้ย”


   “ป้าจันบอกผมแล้วครับ”


   “อืม ก็ดี แล้วคุณน้าโทรมาเหรอ? ท่านสบายดีมั้ย”


   “ผมไม่ได้ถาม แต่ก็น่าจะโอเคแหละ”


   “เคลลี่ล่ะ พูดเก่งขึ้นหรือยัง” อ้อ เฮียถามถึงเจ้าตัวเล็กที่ผมคุยด้วยเมื่อสักครู่ครับ เจ้าเด็กนั่นชื่อเคลลี่ครับ พูดไทยสำเนียงแปร่ง แล้วได้เป็นคำๆ ส่วนภาษาอังกฤษจะคล่องกว่า เพราะว่าแม่ผมให้พี่เลี้ยงที่นั่นคอยดูแล เพราะงานที่บ้านทำอยู่ค่อนข้างยุ่ง วันๆ เคลลี่ก็เลยอยู่กับพี่เลี้ยงมากกว่า พูดภาษาสากลเสียมากกว่า


   “น่าจะเก่งขึ้นมั้ง คุยนิดเดียวเอง”


   “อ้อ คุณพีชกลับไปแล้วนะ” คำที่ผมรอฟังมากที่สุดมาแล้ว ดีใจมาก แต่ก็เซ็งเหมือนกัน ทำไมพี่พีชมาหาถึงที่บ้านได้ ซื้อดอกไม้อีกถึงจะอ้างว่าถามจากพี่ยาก็เถอะ


   “บอกผมทำไม?” อดไม่ได้ที่จะกวนกลับ เฮียไม่น่าพลาดให้พี่พีชมาหาถึงที่นี่นะ


   “พี่ก็ไม่รู้ว่าเค้ามาได้ยังไง ไม่พอใจพี่หรือเปล่า” ให้ผมเดานี่เฮียพยายามอธิบายแก้ตัวอยู่ใช่หรือเปล่า ก็ได้ ผมจะรอฟังเฉพาะเรื่องวันนี้ละกัน


   “เฮียกลับเข้าไปข้างในเถอะ ตรงนี้แดดเริ่มแรง เดี๋ยวไข้จะกลับ ผมขี้เกียจดูแลแล้วนะ เอาแต่ใจชะมัด” ถึงจะอยากรู้เรื่องราว แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ ผมไม่เคยไม่เป็นห่วงเฮีย ห่วงอยู่เสมอ เห็นมายืนตากลม ตากแดดอยู่แบบนี้แล้ว ใจคอไม่ดี กลัวที่พยาบาลไปต้องเสียเปล่า


   “พี่ไม่เป็นไรแล้ว”


   “งั้นก็เข้ามานั่งดีๆ ครับ” เฮียเมฆยังยืนอยู่ครับ ผมเลยเอื้อมมือไปดึงแขนให้เฮียลงมานั่งด้วยกัน เป็นการวัดความร้อนจากเฮียไปในตัว เฮียตัวไม่ร้อนแบบเมื่อคืน แล้วก็ไม่เย็นเหมือนคนที่ไข้กำลังลดแล้ว แสดงว่าอาการเป็นปกติตามที่เฮียบอกนั่นแหละ ผมฉลาดมั้ย เก่งอย่างกับหมอ แค่จับแขนเฮียแค่นี้รู้ครับ


   “พี่บอกคุณพีชไปแล้ว ว่าวันหลังไม่ต้องมาหรอก ลำบากเปล่าๆ”


   “อ้อ...”


   “เรื่องดอกไม้ พี่ไม่ได้บอกเค้าจริงๆ”


   “อ้อ...”


   “อย่าโกรธพี่เพิ่มอีกเรื่องเลย เรื่องเก่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ยังเป็นปัญหาอยู่เลย”


   “เชื่อได้ใช่มั้ย”


   “เชื่อเถอะ ไม่อยากให้คีโกรธแล้วทำเหมือนเดิมอีก”



=================================================

มันเหมือนกับเรื่องจะดีขึ้นแต่ก็คงทรงตัว บอกได้ว่า คียังไม่ฟังเรื่องพี่พีชเร็วๆ นี้ค่ะ
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผู้แต่งเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า ไม่ดราม่า ก็ยังยืนยันคำเดิมนะคะ ว่าไม่ดราม่า จริงๆ
เพราะตัวละครคีเป็นคนที่เศร้า ทุกข์ แต่ไม่ได้ คิดทุกอย่างเศร้าไปตลอดเวลาค่ะ
เวลาสนุกหรือเฮฮา คีก็จะเป็นปกติแหละค่ะ ไม่ได้อมทุกข์โศกไว้ เพราะงั้น ไม่ดราม่าจริงๆ ค่ะ เชื่อคนแต่งเถอะค่ะ ^^
อยากให้รออ่าน รอลุ้นไปด้วยกันค่ะ เรื่องมันจะเดินต่อไปยังไง ตอนนี้มีคุณแม่ของคีกับเคลลี่เพิ่มมาแล้ว
น่ารักน้า คุณแม่ของคี ตอนหน้าๆ จะได้รู้เบื้องหลังของคีเพิ่มไปอีกค่ะ

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ จุ๊บๆ  :mew1:


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่ห้า 22-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-08-2016 12:10:46
อยากรู้เรื่องคี  :ling1: :ling1: :ling1:
คี เวลาโกรธ โกรธนาน หายโกรธช้า
เรียกว่า แสนงอน ล้านงอนดีไหม
ไม่ยอมฟังอีกฝ่าย
ไม่อยากให้คีเก็บปัญหาไว้ เคลียร์ๆ กัน จะได้จบไป
สบายใจทั้งสองฝ่าย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่ห้า 22-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-08-2016 16:34:19
โธ่ คีแล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะรู้เรื่องซักที รีบเคลียร์เถอะ เราอึดอัดแทนอ่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่ห้า 22-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 22-08-2016 19:03:42
ฟังเฮียเมฆแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรกับคุณพีชจริงๆนะ
แต่ภาพที่คีย์เห็นคืออะไร มุมกล้องเหรอ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 29-08-2016 14:58:22
+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ จุ๊บๆๆ ไปอ่านกันเลยค่ะ

--------------------------------------------------------------------------------------------------

ภูเขาลูกที่หก



   “โอ้ยยยยยย สดชื่นเหี้ยๆ เลยเว้ยยยย” ผมยืนตะโกนเสียงดังหลังป้าย ดอยเสมอดาว ผมกับครอบครัวเฮียเมฆเพิ่งขึ้นมาถึงดอยตอนเช้าตรู่ครับ พวกเราออกจากกรุงเทพตั้งแต่ช่วงกลางคืน โดยมีลุงแช่มกับลุงหมายคอยสลับกันขับ มีแวะเข้าห้องน้ำระหว่างทางบ้าง แล้วก็ตรงยาวมาที่น่านเลย เพราะกลัวจะไม่ได้สัมผัสอากาศยามเช้าแบบนี้



   เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติครับ ช่วงสิ้นปี ครอบครัวของเฮียจะเดินทางไปพักผ่อนกัน ส่วนสถานที่ก็แล้วแต่จะตกลงกันว่าจะเลือกเป็นที่ไหน ครั้งนี้เฮียเมฆเป็นคนเลือกเองครับ อารมณ์ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนที่จะมาเนี่ย เฮียทำงานแทบไม่พักเลย ผมอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจเพราะไม่ต้องคอยหลบหน้าใครบางคน แต่ช่วงกลางคืนนี่หลบเลี่ยงยากครับ ถึงจะเข้านอนห้องตัวเอง แต่เฮียก็ต้องเข้ามานอนด้วยตลอด




   ครั้งนี้พวกเรามาเที่ยวหลังจากเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ทำให้คนที่มาท่องเที่ยวบางตา ไม่ได้แย่งกันกินแย่งกันใช้ มันทำให้ผมค่อนรู้สึกหายใจโล่งขึ้นอีกเป็นกอง วันนี้เราจะนอนพักบนดอยหนึ่งคืน โดยปกติแล้วคนทั่วไปก็มักจะกางเต็นท์นอนกันใช่มั้ยครับ แต่ครอบครัวนี้เห็นทีจะยากเพราะเฮียเมฆไม่ยอมให้คุณลุงกับคุณป้านอนไม่สบายตัวแน่ๆ




   โชคดีคือที่พักของอุทยานมีห้องพักพอดีครับ นี่ขนาดว่าเลยเทศกาลไปแล้วนะเนี่ย แต่ แต่ แต่ โชคร้ายก็คือ มันว่างเพียงสองห้อง  ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกใช่มั้ยล่ะครับ ห้องที่พักยังไงก็ต้องให้คุณลุงกับคุณป้าท่านพักแน่นอน ส่วนผมกับเฮียน่ะเหรอ ก็ต้องพักด้วยกันครับ ปกติแล้วผมกับเฮียเมฆนอนแยกห้องกันอยู่แล้วครับ แต่โชคชะตาคงลิขิตกลั่นแกล้งผมต่อไป ส่วนลุงแช่มกับลุงหมาย น่าสงสารต้องนอนเต็นท์ล่ะครับ จริงๆ ผมกับเฮียเมฆเสนอให้ลุงทั้งสองคน นอนที่ห้องพักแทนเรา เพราะลุงก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่ลุงหมาย ลุงแช่ม ส่ายหน้าอย่างเดียว ปฏิเสธเสียงแข็งด้วยล่ะครับ ดื้อกันทั้งหมดเลยจริงๆ 




   “จะตะโกนทำไม” ผมหันไปเห็นเฮียยืนข้างๆ ผม ใช้นิ้วก้อยแคะหูอยู่ คงรำคาญเสียงดัง ทำให้แกตื่นน่ะครับ เฮียเมฆนอนหลับมาตั้งแต่กรุงเทพ พอตื่นก็เปิดปากกวนประสาทผมก่อนใคร ผมจะตะโกนหรือพูดเสียงดังแค่ไหนมันก็เป็นเรื่องของผมป่ะ เดี๋ยวก่อนเถอะ คดีความยังไม่เคลียร์นะ อย่ามาพูดเยอะ เดี๋ยวผมคนนี้จะมีน้ำโหเอาง่ายๆ นะครับ


   “โหย เฮีย มันตื่นเต้นนะเนี่ย หมอกเต็มเลย ไหนเฮียลองพูด ดูผมนะ ควันออกปากเต็มเลย เห็นมั้ยๆ”


   “เด็ก” เฮียหัวเราะกับท่าทางของผมและผลักหัวผมออกไปไม่เบามือนักด้วยความเอ็นดู (มั้ง?) คิดว่าใช่นะ


   “เฮีย ช่างไม่เข้าใจวัยสะรุ่นเลย ช่วงเวลาวัยเด็กน่ะมีบ้างมั้ย”


   “.....”


   “ไม่มีอ่ะดิ โธ่” ผมพูดจากวนเบื้องล่างของเฮียเมฆเรื่อยๆ นานทีปีหนครับ แต่อากาศมันดี พลอยทำให้จิตใจเบิกบานอารมณ์ก็พาลดีไปด้วย ขึ้นมาบนนี้ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มครับ ทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งอากาศเย็นๆ ที่กรุงเทพแทบจะไม่เคยสัมผัสมานานมากแล้ว ผมน่ะเกิดหน้าร้อน ที่หลงใหลหน้าหนาวเอามากๆ เลยล่ะครับ แถมยังหลงใหลคนเกิดหน้าหนาวที่ยืนอยู่ข้างๆ มากๆ เอาเสียด้วย


   “มีสิ”


   “ยังจำได้เหรอเฮียเมฆ ไม่ใช่ว่าเลอะเลือนไปแล้วหรอกนะ” เฮียยังไม่แก่ขนาดนั้น ผมรู้ดี แต่ก็อดแซวไม่ได้


   “หึ จำได้ไม่เคยลืมเลยล่ะ” เฮียยิ้มที่มุมปาก โชว์ความหล่อเป็นพิธี แล้วก็เดินกลับไปหาคุณลุงกับคุณป้าที่กำลังนั่งจิบกาแฟ และมื้อเช้าที่ร้านอาหารบนอุทยานครับ




   ผมยืนอยู่ตรงนี้อีกสักพัก พออยู่คนเดียวหัวสมองก็ยังวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ นี่แหละนะที่เขาบอกว่าทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ มันจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่มาพักผ่อนแบบนี้จะให้ทำอะไรล่ะ กระโดดตบ หรือวิดพื้นดีมั้ย คงบ้าเลยล่ะครับ



   หลังจากที่พี่พีชเอาดอกไม้มาเยี่ยมเฮียเมฆที่บ้านแล้ว เราทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก เราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงและพยายามลืมเรื่องเหล่านั้น ผมไม่รู้ว่าเฮียทำมันได้จริงมั้ย แต่ผมน่ะ ไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างมันมาจากการเสแสร้งแกล้งทำ มันไม่ได้ทำมาจากใจต่างหากล่ะ



   “หิวแล้วใช่มั้ยจ้ะ ถึงเดินกลับมา” ป้าจันทักผม


   “ครับ”


   “นี่จ้ะ มื้อนี้ทานง่ายๆ ไปก่อนนะจ้ะ เดี๋ยวสายๆ ลงไปหาอะไรทานข้างล่างกัน”


   “ขอบคุณครับ ป้าจัน” ผมขอบคุณป้าจัน แล้วรับเอาขนมปังกับโอวัลตินร้อนมาดื่ม อา มันต้องเบียร์เย็นๆ หรือเปล่านะ แต่ต่อหน้าผู้ใหญ่แล้ว นายคีรินทร์คนนี้จะทำตัวเป็นเด็กน้อยน่ารักในสายตาของท่านต่อไป คืนนี้ค่อยชวนเฮียเมฆมาดื่มด้วยกันดีกว่า


   หลังจากมื้อเช้าเบาๆ ของป้าจันแล้ว ผมก็เดินเตร่อยู่แถวๆ นั้นอีกสักพัก แล้วจึงบอกป้าจันว่าขอไปเดินเล่นบริเวณอื่น


   “ตาคีจะไปเดินเล่นแถวไหนจ้ะ”


   “คีจะเข้าไปแถวนั้นหน่อยฮะ ป้าจัน” ผมชี้มือไปยังเส้นทางที่ผมต้องการจะไป “ดอยผาชู้”


   “ไกลหรือเปล่า”


   “ประมาณสี่กิโลครับ รวมกลับด้วยก็แปดกิโล ถ้าลุงกรกับป้าจัน หิวแล้ว คียังไม่กลับออกมา ก็ไม่ต้องรอคีนะครับ ไปทานก่อนเลย เดี๋ยวคีหาอะไรทานเองแถวนี้ครับ”


   “พูดอะไรน่ะ ยังไงป้าก็ต้องรอเราสิ อะไรกัน จู่ๆ จะมาทิ้งคนแก่ไปได้” ป้าจัน บ่นตัดพ้อผม จริงๆ แล้วป้าจันไม่อยากปล่อยให้ผมหาอะไรกินเองมากกว่า ป้าจันเป็นห่วงผมน่ะครับ รักป้าจันจริงๆ เลย


   “คร้าบ น้อยใจได้ยังไงกันน้า ป้าจันคนสวย” ผมก้มลงหอมแก้มป้าจันอย่างเอาใจ


   “ปากหวานจริงๆ นะเรา”


   “คีเปล่านะครับ แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเอง”


   “จ้ะ ป้าล่ะต้องยอมจริงๆ ลูกคนนี้” ป้าจันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ รักผม ห่วงผม บางทีก็ลืมว่าผมเป็นหลาน ที่ฝากมาอยู่ด้วย ป้าจันน่าจะเคยชินเพราะเรียกลูกแบบนี้เหมือนกันทั้งผมและเฮียเมฆล่ะครับ


   “งั้นคีไปน่ะครับ เดี๋ยวแดดจะแรง”


   “อ้าว แล้วพี่เมฆล่ะจ้ะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ”


   “ไม่ดีกว่าครับป้าจัน ให้พี่เมฆนอนพักก่อนเถอะครับ โหมงานดึกทุกวันเลย” ใช่แล้วครับ หลังจากที่กินเสร็จ เฮียเมฆก็ขอตัวไปนอนในห้องพักของคุณลุงกับคุณป้าก่อน ดีนะครับ ตอนที่โทรมาจองที่พักของอุทยานนั้น แจ้งขอเชคอินแต่เช้าเลย ไม่งั้นคงต้องไปนอนในรถแทน



   ผมออกเดินไปเรื่อยๆ ไม่ลืมแวะไปหยิบน้ำเปล่าและหมวกมาสวมกันแดด ผมชอบอากาศหนาวครับ มันทำให้เดินไม่เหนื่อยเท่าอากาศร้อน ผมสูดอากาศที่สะอาดเข้าปอดไปให้เยอะมากที่สุด เหมือนกักตุนเอาไว้อย่างนั้นทั้งที่รู้ว่าความจริงมันไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้




   ในที่สุดผมก็มาถึงจนได้ เหนื่อยนิดหน่อยครับ ไม่มากเท่าไหร่ ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวครับ สวยไม่หยอกเลย ตอนนี้หมอกบางลงไปมากแล้ว ผมเลยมองเห็นบรรยากาศข้างล่างได้ค่อนข้างชัด จากมุมที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ บอกไม่ถูกเลย ว่าภาพที่เห็นสวยขนาดไหน ผมไม่อยากให้พวกคุณพลาดเลย ผมมองเห็นภูเขาขนาดเล็กและใหญ่ปะปนกันไป มองเห็นแม่น้ำน่านที่ไหลผ่านคดเคี้ยวไปมาในหุบเขา ธรรมชาติสวยงามไม่เสมอ แต่ไม่รู้ว่ามันจะอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่าไหร่ โลกพัฒนาไปเรื่อยๆ พร้อมกับลดธรจิตใจของมนุษย์ลงไปเรื่อยๆ ทุกวัน




ผมยอมรับว่าตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ดีนัก ออกจะเลวเสียด้วยซ้ำ ผมสร้างวีรกรรมไว้หลายอย่างเกินกว่าที่หลายคนจะรับได้ เรื่องแย่ๆ เรื่องร้ายๆ ผมก็ทำมาแทบทั้งนั้น ผมอยู่ในวัยคึกคะนอง วัยต่อต้านและวัยเอาชนะ เลยกลายเป็นเด็กหัวดื้อที่ทำให้หลายคนต้องปวดหัว แต่ก็ยังมีคนที่พร้อมจะเข้าใจและให้โอกาสผมอยู่เสมอ คนๆ นั้นก็คือ



‘แม่’



แม่ของผมเองครับ แม่เป็นผู้หญิงใจดี พูดเพราะ ยิ้มหวาน และเป็นผู้หญิงที่สวยมาก หากจะบอกว่าหน้าตาของผมนั้นเหมือนใครก็คงหนีไม่พ้นใบหน้าของแม่ ที่แทบจะถอดออกมาเป็นพิมพ์เดียวกัน แม่เลี้ยงผมอย่างมีสติ และใช้เหตุผลเสมอ แต่บางครั้งเหตุผลของแม่ มันไม่สามารถใช้กับผมได้ เพราะแม่รักและใจดีกับผมมากเกินไป




ผมนั่งลงบนพื้นดินแล้วมองลงไปด้านล่างที่ไม่สิ้นสุด ตั้งแต่จำความได้ ผมอยู่กับแม่มาตลอด ชีวิตของแม่น่าสงสาร ผมคิดเองนะ ว่าแม่น่ะน่าสงสาร แม่เกิดในครอบครัวที่เพรียบพร้อมในตระกูลผู้ดีเก่า ที่มีฐานะที่ร่ำรวย



แม่เคยเล่าให้ผมฟังว่า แม่เจอกับพ่อที่มหาวิทยาลัย แม่เรียนคณะอักษรศาสตร์ ส่วนพ่อเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จริงๆ แล้วทั้งคู่ไม่น่าจะเจอกันได้ แต่เพราะมีงานของมหาวิทยาลัยเลยทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน แต่กว่าพ่อจะจีบแม่ติดนะ ก็เข้าการศึกษาปีที่สี่ เกือบจะจบกันแล้ว ในที่สุดแม่ก็ยอมตกลง มีคนเคยบอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละครก็คงจะจริง ครอบครัวของแม่ไม่เห็นด้วยที่พ่อกับแม่จะคบหาดูใจกัน เหตุผลก็เป็นเรื่องของหน้าตาและตลกร้ายก็คือพ่อของผมนามสกุลไม่ดังในสังคมนั่นแหละครับ พ่อเป็นลูกพนักงานเอกชนทั่วๆ ไป ฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่พออยู่พอกินเท่านั้น




ผู้หญิงที่เรียบร้อย อยู่ในโอวาท เชื่อฟังพ่อแม่มาตลอดกับลุกขึ้นต่อสู้ในความรักของตนเอง แม่เลือกที่จะทิ้งทุกอย่างไป คุณพ่อของแม่ หรือคุณตาของผม ขู่แม่ว่าหากไม่เลิกกับพ่อของผม ก็ให้ออกจากบ้านไป แม่เลือกที่จะออกไปจริงๆ ตอนที่ผมได้ฟังแม่เล่า ผมแทบไม่เชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ เรียบร้อย สวยหวานอย่างแม่จะกล้าทำ แม่หัวเราะที่เห็นผมทำหน้าเหรอหราประหลาดใจ
คุณอาจจะยังงงว่า อ้าว ถ้าออกมาแต่ตัว ไฉนเลยถึงมารู้จักกับครอบครัวเฮียเมฆได้ หรือว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของแม่ หรือทางพ่อ เป็นญาติกับลุงกรณ์และป้าจัน คำตอบคือ



ผิด



ผิดครับ ไม่ใช่เลย เอาล่ะๆ ผมจะเล่าต่อแล้ว อย่างน้อยแม่ก็โชคดี หลังจากที่แม่ออกมาจากบ้านพ่อ แม่ก็เริ่มหางานทำ แม่ของผมเรียนภาษามา ก็ทำงานพวกด้านแปลเอกสารต่างๆ หรือล่ามในแต่วาระโอกาส โชคดีว่าเพื่อนของแม่คอยหางานมาให้อยู่เสมอ จนแม่ได้งานเป็นเลขานุการ ให้เจ้านายบริษัทต่างประเทศแห่งหนึ่ง แม่เล่าว่าช่วงนั้น ชีวิตของแม่กับพ่อค่อนข้างจะไปได้ดี พ่อกับแม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งและเริ่มมีเงินเก็บ ก็เลยตัดสินใจจะเริ่มมีลูกหรือก็คือตัวผมเสียที



พ่อของผมดวงดีถึงขีดสุด พ่อเป็นสถาปนิกให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง พอจะทราบมั้ยครับว่าของใคร แทน แท๊น ของลุงกรณ์นี่แหละครับ พ่อเป็นคนขยันและตั้งใจ ทำให้ลุงกรณ์ได้เห็นความสามารถของพ่อ ประกอบกับช่วงนั้นลุงกรณ์อยากสร้างบ้านใหม่ครับ เพราะตอนนั้นเฮียเมฆเองก็เริ่มจะโต ลุงกรณ์เลยให้พ่อออกแบบบ้านให้ นั่นก็คือบ้านหลังปัจจุบันที่ครอบครัวลุงกรณ์อยู่นี่แหละครับ




ส่วนทางด้านแม่ วันหนึ่งแม่ตามเจ้านายไปพบลูกค้า เหตุบังเอิญนั่นก็คือแม่ได้พบกับคุณยายของผม เธอเสียใจมากที่แม่ออกจากบ้านไป แต่ไม่กล้าออกไปตามหา เพราะกลัวว่าคุณตาของผมจะโมโหหนักกว่าเดิม หลังจากนั้นแม่กับยายก็ติดต่อกันอย่างลับๆ เรื่อยมา พ่อของผมพอออกแบบบ้านให้กับลุงกรณ์เสร็จแล้ว ค่าแรงของพ่อดูจะเกินราคาไปมากโข เพราะลุงกรณ์ยกที่ดินข้างๆ ให้ ลุงกรณ์บอกให้พ่อสร้างบ้านของตัวเองบ้างเถอะ เรื่องราวจุดกำเนิดระหว่างผมกับเฮียเมฆก็เลยเกิดขึ้น แต่ตอนนี้บ้านของพ่อกับแม่ผมหลังนั้นก็ขายไปเรียบร้อยแล้วครับ เพราะว่าครอบครัวผมย้ายมาอยู่ต่างประเทศกัน เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะฮะท่านผู้อ่าน
ส่วนเรื่องที่ว่าแล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านของเฮียเมฆได้ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงต่อ ไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟังใหม่นะครับ เพราะตอนนี้ ใกล้เที่ยงแล้ว ยังต้องเดินกลับไปอีก แล้วตอนนี้ก็เริ่มหิวมากแล้วด้วยครับ




ผมเดินกลับมาถึงบ้านพักอุทยานก็บ่ายคล้อย หิวจนตาลาย อยากจะเป็นลมระหว่างทางจริงๆ หิวก็หิวครับ แต่ขอพักก่อน ผมเคาะประตูห้องคุณป้า สองสามที ไม่ได้ยินเสียงอะไรก็เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง แต่มันล็อค อ้าวซวยละ ไง แต่ยังไม่ทันได้คิดเตลิดไปไหน เสียงปลดล็อคจากภายในก็ดังขึ้นเสียก่อน พร้อมกับมีใครที่เปิดประตูให้



“อ้าว เฮีย” ผมแปลกใจที่เฮียยังอยู่ในห้องพัก


“หืม?” เฮียเมฆเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ สังเกตุจากมือที่ยังเช็ดผมที่ยังเปียกหมาดๆ อยู่


“นึกว่าลงไปกินข้าวกับคุณลุงคุณป้า”


“เพิ่งตื่น พ่อกับแม่เลยบอกให้พี่รอกินพร้อมคี”


“อ้อ”


“ไปไหนมา เหงื่อเต็มหลัง”


“เดินไปตรงนู้นน่ะครับ”


“ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไปกินข้าว”


“ครับ” ผมพูดเท่านั้นก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปห้องน้ำ ระหว่างอาบน้ำอยู่ได้ยินเสียงเฮียเมฆแว่วๆ ว่าให้ตามออกไปกินข้าวตรงร้านค้าแถวอุทยาน



อาบน้ำแต่งองค์เสริมหล่อจนเรียบร้อย เฮียเมฆสั่งอาหารรอไว้อยู่แล้วครับ มื้อนี้เป็นอาหารจานเดียวง่ายๆ ผมกับเฮียเมฆ ปกติแล้วไม่ใช่คนเลือกกินหรือกินอยากอะไร สถานที่แต่ละที่เป็นอย่างไร แวดล้อมต่างๆ เป็นอย่างไรก็ปรับตัวได้ไม่ยากครับ นี่จัดว่าเป็นข้อดีของผมมั้ย



“กินเลย อาหารเพิ่งมา” ผมนั่งลงปุ๊ป เฮียเมฆก็บอกปั๊ป ผมมองจานตรงหน้าของเฮียเมฆ แต่ว่างเปล่าครับ คงกินหมดแล้ว ไวชะมัด ผมเลยก้มหน้าก้มตากินคนเดียวจนหมด




ผมรู้สึกเวลาข้างบนนี้มันเดินเร็ว เผลอแป๊ปเดียว มืดค่ำเสียแล้ว ผมทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผมล้มตัวนอนบนพื้นดินและเงยหน้ามองดูดาว ดาวเยอะมากเลยครับ แสงจากดวงดาวเล็กๆ ที่เรียงรายเต็มท้องฟ้าระยิบระยับสวยงามมากทีเดียว เรียกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของคนกรุงเทพได้มั้ย ผมมองดวงดาวมากมาย มองจากตรงนี้ มันดูเหมือนมีขนาดเล็กมากเลย หากมองกลับกัน คนบนโลกนี้ก็คงจะตัวเล็กนิดเดียวด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง




ผมคิดอยู่เสมอนะ คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อย่างผมจะไปทำอะไรได้ บางครั้งเราคิดว่าเราเก่งกว่าทุกคน เหนือกว่าทุกคน แต่คุณเชื่อสิ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ผมนี่ไงล่ะ ตัวอย่างชั้นดี หลงตัวเองคิดว่าเฮียเมฆไม่มีวันเปลี่ยนใจ เฮียต้องเลือกผม และรอผมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจผมมันสั่นคลอนไปหมดแล้ว จนเชื่อใจใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวของเฮียเมฆเอง




ผมอยากจะสลัดความคิดพวกนี้ออกไปจากหัว แต่มันก็ทำไม่ได้ ผมคิดซ้ำๆ วนเวียนเหมือนคนบ้าที่บอกใครต่อใครว่าไม่ได้บ้า
พร้อมหรือยังที่จะฟังคำอธิบายของเฮียเมฆ



ผมตอบตัวเองไม่ได้ เพราะผม กลัว คำอธิบายของเฮีย ผมยังเป็นคนเดิมที่ขลาดกลัวเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ กลัวว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมปลอบใจตัวเอง จะบอกว่าผมคิดไปเองก็คงใช่ แต่ก็อยากจะต่อเวลาเหล่านี้ออกไปให้นานมากขึ้น แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี



“ไงมึง” ความคิดฟุ้งซ่านผมหยุดชะงักลงเพราะเพื่อนตัวดีของผมโทรเข้ามา


“ก็ไม่ยังไง แค่โทรมา เซย์ ฮัลโหล” เสียงทะเล้นของนิติธรมาจากปลายสาย


“กวนตีน”


“พูดจาไม่เพราะนะครับ หน้าตาสวยๆ พูดจาให้มันดี” ไอ้ธรมันตั้งใจแกล้งผมเล่นดูได้จากคำพูดคำจาที่มันใช้นะครับ


“สัด.. ไพเราะเสนาะหูพอมั้ยครับ ไอ้เพื่อนเชี่ย”


“โอ้ย เพราะมากจนเจ็บหูเลยเนี่ย”


“เออ ดีมาก โทรมามีอะไร อย่ามาลีลาใส่กู”


“ไม่มีอะไร กูเจอเด็กของพ่อมึง”


“เด็ก?”


“คนหน้าหวานๆ ที่มึงกับกูเจอกันที่ร้านวันนั้นไง”


“อ้อ เขาชื่อพี่พีช” ไอ้ธรมันหมายถึงวันที่ผมเจอพี่พีชอยู่กับเฮียที่ร้านนั้นครั้งแรก


“นั่นล่ะๆ กูเจอที่บริษัทพ่อกูว่ะ” พ่อของไอ้ธรเป็นผู้จัดการบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งครับ


“เจอได้ไงวะ กูพอจะคุ้นๆ ว่าพ่อมึงทำงานที่บริษัทส่งออกอะไหล่รถยนต์ไม่ใช่เหรอวะ”


“ก็ใช่ไง วันนั้นกูขับรถไปส่งพ่อที่บริษัทเพราะกูจะใช้รถ ก็เห็นพี่พีชอะไรนั่นพอดี กูก็เลยโทรมาบอกมึง”


“แค่นี้?”


“ใช่ครับ เพื่อน”


“อ้าว ไอ้นี่ แล้วมึงจะโทรมาบอกเรื่องแค่นี้? เพื่อ?”


“กูก็แค่บอกเล่าเก้าสิบให้มึงฟังเฉยๆ”


“แล้วมันเกี่ยวกับเฮียเมฆตรงไหน ที่หลังมึงไม่ต้องหวังดี คาบข่าวไม่ได้เรื่องของมึงมาบอกกูเลย” ผมบ่นมันไปเพราะมันทำให้ผมอยากรู้เรื่องของพี่พีชเพิ่มขึ้น


“หนอย ไอ้เพื่อนเลว ถ้ากูมีข่าวอีก จะปิดเงียบแม่ง”


“ตามใจมึง”


“ไปเที่ยวเป็นไงบ้างวะ” ผมเข้าใจคำถามเพื่อนผมนะ มันไม่ได้หมายความถึงอากาศดีมั้ย สาวสวยมั้ย บ้านเมืองเป็นไง แต่มันหมายถึงเรื่องระหว่างผมกับเฮียเมฆต่างหาก


“ก็ดีว่ะ อากาศดีเชี่ยๆ เย็นสบาย กูโคตรชอบเลยว่ะ” มีหรือผมจะตอบให้ตรงกับคำถามของมัน


“ไอ้คี กูไม่ได้หมายถึงอากาศไรของมึง”


“แล้วมึงหมายถึงอะไร กูมาเที่ยวแล้วมึงก็ถาม มันจะมีเรื่องอื่นไปได้ไงวะ” ผมยังตอบกวนมันเหมือนเดิม


“มึงนี่โง่จริง กูหมายถึง เรื่องของมึงกับพ่อมึง” ผมตอบไม่ตรงใจมัน กลายเป็นว่าผมโง่เหรอเนี่ย


“อ๋ออออออ” ผมลากเสียงยานคานใส่มันแล้วเงียบครับ


“อ๋อแล้ว เชี่ยไร พูดมาสิ กูรอฟัง”


“แล้วทำไมกูต้องบอกมึงด้วยวะ”


“กูใช่เพื่อนมึงมั้ย ไอ้คี มึงพล่ามมาให้กูฟังเลย”


“ไม่ว่ะ ความลับ หึหึ” จริงๆ มันไม่มีอะไรเลยครับ แต่ท่าทีอยากรู้ของมัน ยิ่งทำให้ผมอยากกวนมันมากขึ้นไปอีก มันน่าแกล้งมากๆ เลย


“ไอ้นี่ ถ้ามึงมีปัญหากับพ่อมึงอีก ไม่ต้องมาบอกกูเลยนะเว้ย แม่งโมโหว่ะ”


“เรื่องของมึง ถ้ามึงไม่อยากฟัง ตอนนั้นกูก็จะเล่าให้มึงฟัง”


“งั้นกูถามได้มั้ยวะ” ไอ้ธรมันเร้าหรือเหลือเกินครับ มันยังไม่ยอมยกธงขาว


   “ได้มั้ง”


   “คืนนี้มึงนอนคนเดียวป่าววะ”


   “ทำไม”


   “เออ ตอบมาเถอะน่า”


   “กูไม่บอก”


   “กูคิดว่ากูได้คำตอบแล้ว” ผมงง ไอ้ธรมัน ทำไมมันถึงทำเสียงเหมือนแน่ใจอะไรอย่างนั้น


   “อะไรของมึง”


   “มึงปฏิเสธแต่แรก แล้วก็ไม่บอกกู แสดงว่าคืนนี้มึงนอนกับพ่อมึง ฮ่าๆ ไอ้อ่อนเอ๊ย”


   “มึงมั่นใจ?”


   “มั่นเสียยิ่งกว่ามั่นเลยว่ะ กูเป็นเพื่อนมึงนะ ไอ้คี ถึงการเรียนกูจะโง่กว่ามึง แต่เรื่องความรู้สึก กูฉลาดกว่ามึงว่ะ คิดว่ากูดูไม่ออกเหรอ”


   “เออ...” ผมต้องยอมรับออกไป อย่างที่เคยบอกไปแล้ว เรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกอะไรพวกนี้ ไอ้ธรมันมีญาณทิพย์ครับ จับสังเกตได้ไว เพราะฉะนั้นผมเลยโกหกมันไม่ค่อยได้ เรื่องนี้คงต้องยอมมัน


   “มันยังไงกันวะ”


   “ก็ไม่ยังไง ห้องเต็มก็เลยแบบนี้แหละ” ไหนๆ ก็หลุดฟอร์มไปแล้ว ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยครับ จริงๆ แล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรไอ้ธรหรอก แต่เห็นมันน่าแกล้งก็เลยอยากกวนตีนมันมากกว่า อยากให้มันอกแตกตายเพราะความรู้


   “มึงก็ฟังพ่อมึง เขาพูดสักทีสิวะ เชื่อกูเถอะ มันไม่มีอะไรหรอกเรื่องพ่อมึงกับพี่พีชอะไรนั่น”


   “เขาชื่อพีช ไม่ใช่พีชอะไรนั่น”


   “เออๆ ช่างกูเถอะน่า” ไอ้ธรส่งเสียงจิ๊จ๊ะรำคาญออกมา


   “กูก็แค่ ‘กลัว’ ว่ะ กูยังไม่กล้า” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ


   “มึงนี่นะ เรื่องอะไรก็ไม่เคยกลัว พอเรื่องพ่อมึงทีไร หัวหดตลอด อะไรของมึงวะ ไอ้คี”


   “มึงก็รู้ว่ากูก็เป็นอย่างนี้แหละ”


   “เออ ก็เพราะกูรู้จักมึงดีอยู่นี่ไง ถึงต้องมาพูดอะไรที่ชวนขนลุกชิบหาย”


   “อีกไม่กี่เดือนเอง กูขอเวลาอีกนิด”


   “ไอ้คี ไอ้ดื้อ ไอ้ขี้ขลาด” ไอ้ธรมันด่าผมหวังจะให้ผมโกรธครับ


   “กูยอมรับ” แต่ผิดคาดเพราะเรื่องเฮียน่ะ ผมอ่อนแอมากจริงๆ


   “มึงรู้ใช่มั้ย ว่ากูอยู่ข้างมึงตลอด”


   “ขอบใจมึงนะ แต่กูขนลุกว่ะ”


   “ไอ้เวร ทำบรรยากาศดีๆ เสียหมด งั้นแค่นี้นะเว้ย กูไปแดกเหล้าต่อละ มึงไม่อยู่ ไม่มีเพื่อนไปแดกเหล้าเลย คิดถึงมึงชิบหายเลยว่ะ”


   “กูมีค่าให้มึงคิดถึงแค่เวลาแบบนี้ใช่มั้ย”


   “ฉลาด สมเป็นคุณคีรินทร์ครับ” ไอ้ธรพูดจบ ตัดสายฉึบไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พ่นด่ามันต่อ ผมส่ายหน้าระคนปนขำกับการกระทำของมัน ไอ้ธรมันรู้ครับว่าผมต้องด่ามันกลับแน่ ไอ้ธรมันฉลาด อ่านใจคนเก่งจริงๆ


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่ห้า 22-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 29-08-2016 14:58:51



   ผมนอนเล่นอยู่อีกสักดูนาฬิกาก็ใกล้จะสามทุ่มแล้ว ผมเลยลุกเดินกลับเข้าห้องพักเตรียมนอนดีกว่า ตอนเดินทางขึ้นเขาก็หลับในรถ งีบไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง ผมนอนในรถไม่ค่อยได้ มันไม่ค่อยสบายตัวครับ ตอนนี้ก็เลยเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อยแล้ว



   เปิดประตูเข้ามาก็เห็นเฮียเมฆนั่งอยู่หน้าจอโน้ตบุค เงยหน้ามองผู้มาใหม่ พอเห็นว่าเป็นผมก็หันไปสนใจกับหน้าจอต่อ ขนาดมาพักผ่อนยังต้องหอบงานมาทำ เฮ้อออ ผมเป็นห่วงเฮียเหมือนกันนะครับ ช่วงนี้งานเยอะมาก



   “งานด่วนเหรอครับ เฮียเมฆ” ผมถามเฮียไปพลาง มือก็ถอดเสื้อออกไปด้วย อาบน้ำอีกสักรอบน่าจะดี


   “ก็ไม่เชิง..”


   “ครับ งั้นคีไม่กวนละนะ” ผมจับลูกบิดประตูห้องน้ำค้างไว้เพราะมีเสียงจากด้านหลังผมดังขึ้นมาอีกครั้ง


   “ไปไหนมา”


   “นอนดูดาวมาครับ” ผมหันไปตอบเฮีย แต่ไม่เห็นใบหน้าของเฮียเมฆหรอกครับ เพราะเฮียถามผม แต่หน้ายังจดจ่อกับงานตรงหน้าเช่นเดิม


   “เป็นไง”


   “ก็ดีครับ”


   “เหรอ”


   “ครับ” เหมือนเล่นยี่สิบคำถามยังไงอย่างงั้น


   “คี”


   “ครับ?” ขาของผมก้าวเข้าไปในห้องน้ำข้างหนึ่งแล้วครับ เมื่อเฮียเรียกอีกครั้ง


   “เปล่าหรอก ไปอาบน้ำเถอะ” ผมที่ตั้งใจจะไปอาบน้ำ พอได้ยินเหมือนคำสั่งให้ไป ผมเลยชักไม่อยากไปอาบเสียแล้ว เคยเป็นมั้ยครับ อะไรที่ห้ามน่ะ ก็อยากลองทำ แต่อะไรที่ยุให้ไปทำ กลับไม่อยากทำเสียอย่างนั้น คนเรานี่มันช่างย้อนแย้งภายในตัวเองจริงๆ


   “พี่เมฆครับ พี่ไม่ต้องมาสนใจถามผมหรอก ว่าผมจะไปไหน ทำอะไร ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้อยากรู้จริงๆ พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกครับ แทนที่มันจะดีขึ้น แต่มันอาจจะเลวร้ายลงมากกว่า” ผมถอนหายใจก่อนจะพูดจริงจังเสียยาว จะพูดยังไงดีล่ะ คือเฮียเมฆน่ะอยากชวนผมคุย ไม่อยากให้ผมเหงาจนเกินไป อันนี้ผมรู้นะ แต่เพราะว่าเฮียมีงานด้วย เฮียไม่สามารถดูแลผมหรือใครได้เต็มที่ เรื่องมันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น เหมือนเฮียถามไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับผมมากกว่า




   บอกตรงๆ เลยเถอะว่า มันเหมือนผมคุยคนเดียว เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามาสบตาผม มันไม่ใช่อ่ะ ผมอาจจะงี่เง่า หรือการกระทำเด็กๆ แต่คุณครับ เวลาคุณคุยกับใคร คุณชอบเหรอที่อีกฝ่ายแทบจะไม่สบตากับคุณเลย แบบนั้นผมยอมนั่งเงียบๆ ในห้อง เฮียเมฆทำงานก็ทำไป ผมก็หาอะไรทำ อ่านหนังสือ เล่นมือถือ อะไรก็ช่างผม แค่นั้นมันยังรู้สึกดีกว่านี้เลย


   “....” เฮียเมฆไม่ตอบอะไร แต่เงยหน้าจากงานตรงหน้า หันมามองหน้าผมเต็มตาสักที


   “คนคุยกันมันก็อยากเห็นหน้า สบตากันนะครับ ถ้าพี่เมฆยังไม่ว่าง คีก็พร้อมจะนั่งเฉยๆ ไม่กวนอะไรพี่ แล้วพี่มีเวลาเมื่อไหร่ เราค่อยคุยกันก็ได้ คีไม่อยากได้การเอาใจใส่จากพี่แค่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้”


   “พี่...”


   “ช่างเถอะครับ แล้วงานพี่เมฆด่วนแค่ไหนกันเชียว งานมันรอไม่ได้หรือครับ ถึงจะต้องทำเดี๋ยวนี้ นี่พี่มาเที่ยวพักผ่อนไม่ใช่เหรอครับ” ผมถอนหายใจยาว แล้วก็พูดออกมายาวๆ อีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองขี้บ่นจริงๆ


   “ก็ไม่ได้ด่วน แต่ถ้าไม่ทยอยทำงานมันจะยิ่งเยอะ”


   “ถ้ามันไม่ด่วน งั้นพี่เมฆก็พักบ้างเถอะครับ ถ้ากลับไปกรุงเทพเมื่อไหร่ งานไหนที่ผมช่วยได้ ผมจะช่วยพี่เมฆดีมั้ยครับ”


   “จะมาช่วยพี่เหรอ” ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไปช่วยเฮียเมฆทำงานนะครับ ก่อนหน้านี้ก็มีไปช่วยบ้างครับ แต่ผมมักจะเลือกไม่ทำเพราะผมขี้เกียจเสียมากกว่า เวลาส่วนใหญ่หลังจากเลิกเรียน งานของผมคือไปกินเหล้า เคล้านารีกับไอ้ธรมัน น้อยครั้งที่ผมจะไปช่วยเฮียทำงาน


   “ครับ ผมจะหยุดเที่ยวเตร่ช่วงนี้ให้ก็แล้วกัน”


   “อ่อ..”


   “ว่าไง ตกลงมั้ยครับ” นี่ผมเสนอตัวเอง ตัดความสนุกของชีวิตออกไปให้เฮียเลยนะ เฮียต้องสำนึกบุญคุณของผมให้มากๆ เลยนะ


   “ตามนั้น” ผลการต่อรองเจรจาสำเร็จ ผมเดินไปที่หน้าจอโน้ตบุคของเฮีย ถือวิสาสะเสียมารยาท เซฟไฟล์งานของเฮีย แล้วก็ปิดหน้าจอโน้ตบุคลง เฮียมองตามมือของผมแต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร เพราะรู้ว่าห้ามไปก็ไม่ทันแล้ว


   “เรียบร้อยแล้ว อยากออกไปนั่งข้างนอกมั้ยครับ อากาศกำลังดีนะครับ”


   “เอาสิ” ผมเดินกลับไปหยิบเสื้อขึ้นมาสวมอีกรอบ พร้อมกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวพอดี ช่วงบ่ายก่อนที่ป้าจันจะกลับขึ้นมานั้น ป้าโทรมาถามว่าจะเอาอะไรมั้ย จะได้แวะซื้อขึ้นมา ผมเลยใช้ลูกไม้บอกว่า ไหนๆ ก็ขึ้นมาพักผ่อนแล้ว เฮียเมฆชวนกินเหล้า ป้าจันบ่นเบาๆ ว่าไม่ไหวจริงๆ เล้ย ลูกคนนี้ ผมรอดครับ ป้าจันบ่นเฮียเมฆ ในที่สุดป้าจันก็ให้ลุงแช่มถือถุงพลาสติกที่ซ้อนถุงมาหลายใบ ในนั้นมีขวดเบียร์หลายขวดพอให้กรึ่มๆ ไม่ถึงกับเมา


   “เฮีย ดื่มเบียร์กันนะ” ผมชูขวดเบียร์ที่หยิบออกมาจากตู้เย็น


   “ตามใจ” นานทีปีหนครับ เฮียแทบไม่ได้แตะสุราเมรัยมานานมากแล้ว เพราะออกมาข้างนอกทีไรเฮียต้องรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถทุกครั้งไป เมาไม่ขับครับ เฮียว่าแบบนั้น แต่ครั้งนี้ เมาได้ตามใจเลย เฮียไม่ต้องขับรถ




   ผมคว้าแก้วน้ำที่มีอยู่ภายในห้อง แล้วจัดการยกขวดเบียร์ออกไปวางไว้ด้านนอก เตรียมพร้อมให้เสร็จสรรพ คุณชายเฮียเมฆรอดื่มอย่างเดียวพอครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง


   “คี” เสียงเฮียเมฆเรียก


   “ครับ?” ไปใส่เสื้อเพิ่มหน่อย เดี๋ยวไม่สบาย


   “ไม่อ่ะ ผมไม่หนาวหรอกน่า เฮียนั่นแหละ” ผมชอบอากาศหนาวๆ พอๆ กับเฮียชอบอากาศร้อนครับ เฮียใส่เสื้อผ้าสองชั้น แต่ผมใส่เสื้อยืดบางๆ ตัวเดียว



   เราสองคนเริ่มดื่มไปเรื่อยๆ ผมไม่ได้ใส่น้ำแข็งในแก้วเบียร์เพราะอากาศเย็นอยู่แล้ว ผมนั่งอยู่กับเฮียโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เฮียมองบรรยากาศรอบๆ ผมมองตามเฮียเมฆ เห็นแสงไฟลิบๆ ตรงจุดที่กางเต็นท์ ตอนนี้ยังไม่ดึกมากครับ ได้ยินเสียงคนดีดกีตาร์แผ่วมาเบาๆ แต่ดึกกว่านี้คงจะเงียบล่ะครับ เพราะต้องแยกย้ายกันพักผ่อน


   “ชอบมั้ย” อยู่ๆ เฮียเมฆก็ถามผมโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมไม่รู้ว่าเฮียหมายถึงว่าชอบอะไร แต่เข้าใจเอาเองมั้งครับน่าจะหมายถึงอากาศ บรรยากาศบนดอยแห่งนี้


   “ชอบครับ ผมชอบอากาศหนาว เฮียก็รู้นี่นา”


   “ไม่ใช่”


   “ครับ?”


   “ที่เราเป็นแบบนี้น่ะ ชอบมั้ย”


   “ถ้าแค่ตอนนี้ ผมชอบนะ” ผมนิ่งเงียบไปนาน เฮียมองหน้าผม สบตากับผมแน่นิ่ง จนในที่สุดผมก็ตอบตามความจริงออกไป


   “พี่ก็เหมือนกัน อยากเป็นแบบนี้ แค่แบบนี้ก็พอ” จะเรียกว่าเฮียบอกรักผมได้มั้ย โอ้ย อยากบอกว่าเขินครับ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ก่อน ไอ้เรื่องดีใจมันก็ดีใจแหละครับแต่เรื่องเก่ามันยังไม่เคลียร์ เลยแสดงออกนอกหน้าไม่ได้



   ผมเลยทำได้เพียงยิ้มให้เฮียเมฆและเอื้อมมือออกไปจับมือเฮียเอาไว้แบบนั้น มือของเฮียเมฆเย็นมากจนน่าตกใจ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหรือเพราะจิตใจของเฮีย




   กลับไปกรุงเทพ เราทั้งคู่ยังต้องพบเจออะไรอีกมากมาย ชีวิตคู่ หรือคู่รัก นั้นมันไม่ได้เป็นแค่เพียงเรื่องของเราหรอกครับ มันมีอะไรยิ่งกว่านั้นมากๆ เพราะเราสองคนไม่ได้อยู่กันตามลำพังบนโลกใบนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ มันไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง และต้องมีอีกหลายคนที่อยากจะเข้ามาวุ่นวายเรื่องของเราทั้งคู่แน่นอนครับ ดูแค่พ่อกับแม่ของผมสิ ขนาดเขาทั้งคู่เป็นชาย-หญิง รักกัน ยังไม่ได้รับการสนับสนุนเลย นับประสาอะไรกับความรักชาย-ชาย แล้วกับเฮียเมฆด้วยแล้ว อีกไม่นานก็จะก้าวขึ้นแทนตำแหน่งของคุณลุง มันจะมีสักกี่คนที่เปิดกว้างกับความรักในรูปแบบนี้และเชื่อใจแค่ฝีมือการทำงานของเรา




   เฮียเมฆไม่เคยอายหรอกครับ ไม่อายหรอกที่จะบอกใครๆ ว่ารู้สึกหรือคิดยังไงกับผมที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่ปัญหามันกลับอยู่ที่ผม ที่คิดเรื่องให้มันเยอะแยะจนน่าปวดหัว เฮียเมฆจึงทำได้แค่เพียงรอ และรอต่อไปเท่านั้น




   เบียร์หมดไปหลายขวด พวกเราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาดื่มอะไรขนาดนั้นนะครับ ดื่มไปเรื่อยๆ แต่บรรยากาศมันดีและมีความสุขไงครับ เผลอแป๊ปเดียว ก็เกือบเที่ยงคืน เสียงดีดกีตาร์เงียบลงไปนานแล้ว แสงไฟจากจุดที่กางเต็นท์ก็ค่อยๆ ดับมืดลงทีละเต็นท์ ทีละเต็นท์ จนตอนนี้แทบไม่เหลือแสงไฟแล้ว เอื้อมไปหยิบขวดเบียร์ เบียร์ก็ยังหมดอีก ผมยังอยากดื่มต่ออีกนิดนะ แต่วันนี้คงต้องพอเท่านี้แล้วล่ะ คุณป้าบอกว่า สายๆ จะกลับเข้าไปในตัวเมืองน่าน แล้วพักอีกคืนหนึ่งค่อยกลับกรุงเทพ




   “เบียร์หมดแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะ” ผมบอกเฮียเมฆ ผมรู้สึกมึนๆ นิดหน่อย แต่คิดว่าไม่เมา แต่พอลุกขึ้นยืนเท่านั้น เล่นเอาเซ ยืนเกือบไม่ตรง เฮียเมฆเกือบรับผมไว้แทบไม่ทัน สงสัยผมคงจะเมาแล้วล่ะ ส่วนเฮียเมฆน่ะเหรอ ตั้งแต่กินเหล้าด้วยกัน ผมยังไม่เคยเห็นเฮียเมาเลยสักครั้ง ทั้งที่เริ่มพร้อมกัน และเลิกพร้อมกัน แต่ผมเมาคนเดียวแทบตลอดเลย


   “งั้นคีไปอาบก่อนละกัน”


   “ไม่เอาอ่ะ” ผมตอบเฮียระหว่างที่เฮียประคองผมเข้าห้องอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย


   “ให้พี่อาบก่อนเหรอ”


   “ไม่เอาอ่ะ” เมาแล้วปากไม่ค่อยดีครับ ผมค่อนข้างรู้ตัว แต่ตอนนี้ฤทธิ์ของน้ำเมาทำให้สมองผมคิดอะไรไม่ทัน ทำให้ปากเร็วกว่าสมอง


   “แล้วจะให้พี่ทำไง” เฮียเมฆหายไปเก็บแก้วกับขวดเบียร์ที่วางอยู่ข้างนอกเข้ามาเก็บให้เรียบร้อยแล้วจึงถามผมอีกครั้ง


   “อาบด้วยกันนะ” บอกแล้วว่าปากไวกว่าความคิด


   “ไม่ดีหรอก ห้องน้ำมันเล็ก”


   “เล็กก็ช่าง จะได้ใกล้ชิดกับพี่เมฆไง”


   “พี่ว่าอย่าดีกว่า” เฮียเมฆพยายามห้ามปราม ผมคิดว่าเข้าใจนะ ผู้ชายสองคนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน มีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในตัว แถมยังจะแก้ผ้าอาบน้ำใกล้ชิดกันอีก มันอันตรายนะว่ามั้ย แต่คิดว่าผมสนมั้ยล่ะ ตอนนี้บอกเลยว่าไม่ครับ สมองมันคิดไม่ทัน ร่างกายมันแสดงชัดเจนกว่า


   “ตามใจผมนะ พี่เมฆ” ผมหยอดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ถ้าไม่ตามใจผมก็ให้รู้ไปสิครับ



 :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 29-08-2016 19:52:12
แหนะ ตีมือเลย ยังไม่เคลียไปชวนอาบน้ำ พอสร่างก็ไปงอลพี่เขา
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-08-2016 20:58:35
เอาแต่ใจจริงๆ คีแล้วแบบนี้พี่เมฆจะไม่ยอมได้ไงกันล่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2016 21:50:47
คี มีความย้อนแย้งในตัวมากจริงๆ
เอาแต่ใจตัวด้วย
อยากรู้ว่าความรู้สึกระหว่าง เฮียเมฆ กับคี
เกิดได้เมื่อไหร่
แต่เฮียเมฆ แน่วแน่กับคีมาก
ได้รอ ไร้ท อย่างเดียว   
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 29-08-2016 23:21:01
เฮ้ออออ ไม่คุยกันให้เคลียร์ ๆ มันก็คาใจสิ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 30-08-2016 01:15:51
นั่นนนนน น้องคีไปชวยเฮียอาบน้ำ เมาแล้วชอบอ่อยนะนิ
สรุปแล้วคือเฮียเมฆกับคี แอบคบกัน แต่คีไม่อยากเปิดเผยเพราะกลัวอยู่ในสังคมลำบากทั้งๆที่เฮียพร้อมเปิดตัว แต่เฮียก็ตามใจน้อง พอเป็นอย่างนี้ก็กลายเป็นว่า คนอื่นคิดว่าทั้งสองคนยังโสด เรื่องมันเลยวุ่นวายล่ะนะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 30-08-2016 08:57:11
น้องคีน่าจับตีจริงๆ55555555 :katai5:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-09-2016 21:50:17
+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ


ภูเขาลูกที่เจ็ด


   กลับมาจากเมืองน่านได้อาทิตย์กว่าแล้วครับ ตอนนี้ชีวิตของผมไปๆ มาๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยและบริษัทของเฮียเมฆ นั่นก็เพราะปากเจ้ากรรมดันรับปากเฮียไว้ว่าจะช่วยงาน ตอนนี้ก็เลยต้องงดอบายมุข สุรา นารีไปก่อนครับ ไอ้ธรถึงกับบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เพราะมันก็พลอยอดไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมจะห้ามมันไปเที่ยวนะครับ แต่มันบอกว่าไปคนเดียวหรือไปกับคนอื่นก็ไม่สนุกเท่าไปกับผม มันก็เลยเลือกรอผมว่างดีกว่า นั่นก็ช่วยไม่ได้นะคร้าบ


   “เสร็จหรือยัง” เสียงเฮียเมฆทวงงานที่สั่งไปครับ ผมนี่แทบจะไม่มีเวลาออกนอกลู่นอกทาง สื่อสังคมโซเชียลอะไรพวกนี้หมดสิทธิ์เลยครับ


   “อีกนิดนึง เฮีย” ผมก้มหน้าก้มตาทำงานตอบเฮียเมฆโดยไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำ เห็นมั้ยล่ะว่าผมขยันขันแข็ง เอาการเอางานแค่ไหน




   โดยหลักๆ แล้ว ส่วนใหญ่ผมจะดูพวกเอกสารทั่วไปเสียมากกว่า เพราะถ้าเรื่องแบบหรือสัญญาต่างๆ ไรนั่น มันเกินความสามารถของผมไปมากโข นั่นต้องให้เฮียเมฆหรือลุงกรณ์เป็นคนตัดสินใจครับ แต่ส่วนพวกเอกสารทั่วไปพวกเบิกงบจัดเลี้ยง งบนั่นนู่นนี่ หรือพวกหนังสือร้องเรียนอะไรต่างๆ นั้นแล้ว ผมจะเป็นคนดูจัดการให้ แล้วก็รวบรวมสรุปรายงานเฮียเมฆทีเดียว จะเรียกว่าเป็นงานจุกจิกก็ไม่เชิง




   คุณลองนึกดูนะครับ หากผมไม่ได้สอดมือ เอ๊ย ยื่นมือเข้ามาช่วยเฮีย แหม้ รู้สึกเหมือนตัวเองใหญ่โตเลยว่ามั้ย เอาใหม่ๆ นะ คืองานพวกนี้ทั้งหมดเฮียเมฆต้องดูเองคนเดียว มันเลยทำให้งานมันช้าลงครับ เพราะทุกอย่างรอการตัดสินใจของเฮีย แล้วไอ้การที่เฮียจะจับปากกาแล้วสักแต่เซ็นลงไปในเอกสารนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของเฮียด้วย เอกสารทุกฉบับเฮียจึงจำเป็นต้องอ่านให้ละเอียดถี่ถ้วน งานมันเลยยิ่งช้าลง




   อ๊ะๆ อาจจะสงสัยว่าในเมื่อเฮียเมฆต้องเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมดแล้วถ้าผมมาทำงานส่วนนี้แล้ว ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนได้เลยเหรอ คำตอบคือ ใช่ และไม่ใช่ครับ  คำว่า ‘ใช่’ ของผมก็คือ ผมเป็นคนอ่านเอกสารจุกจิกเหล่านั้นและเป็นคนตัดสินใจแทนเฮียเลยล่ะครับ แต่คำว่า ‘ไม่ใช่’ ก็คือผมไม่มีอำนาจที่จะเป็นอนุมัติหรือเป็นคนเซ็นเอกสารไงล่ะครับ



   อย่างที่บอกไปว่า ผมเป็นคนอ่านเอกสารเหล่านั้นแทนเฮีย ส่วนเฮียก็มีหน้าที่แค่เซ็นตามที่ผมเคาะไปว่าอันนี้โอเค อันนั้นไม่โอเค พร้อมเหตุผลประกอบ เฮียดูมักง่ายและผมดูเป็นมือสมัครเล่นไปมั้ย? มันไม่ใช่หรอกครับ จะบอกว่าผมยังเด็กไปสำหรับตรงนี้ก็อาจจะจริง ยิ่งในวุฒิของคนที่ไม่มีปริญญามารองรับความสามารถ หนำซ้ำยังเป็นระดับผู้บริหารเสียอีก ถ้าจะบอกว่าเพราะความผูกพันธ์ของผมกับเฮีย หรือความเอ็นดูระหว่างผมกับลุงกรณ์ ทำให้พวกเขายอมให้ผมมาทำแล้วล่ะก็




   ผิดถนัดครับ




   อยู่ๆ จะให้ผมมาทำหน้าที่นี้เลย บริษัทนี้อาจจะปิดกิจการลงไปในไม่ช้าล่ะครับ กว่าผมจะทำงานแทนเฮียได้ ผมถูกเฮียหรือลุงกรณ์สั่งสอนมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ดุด่าต่อว่าผม เหมือนเป็นลูกจ้างกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง ทั้งที่พอหลังเลิกงานทุกคนกลับกลายร่างเป็นอีกคน รักผม โอ๋ผม ผมถูกฝึกให้เข้ามาทำงานที่นี่ในหน้าที่แบบนี้ อ้อ หน้าที่ผมไม่มีตำแหน่งนะครับ ผมเหมือนเป็นผู้เล่นลิเบอโร่น่ะครับ สามารถถูกเปลี่ยนเข้า-ออกได้ตลอดเวลา นับจากเวลาตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็สามปีแล้วครับ บอกได้เลยงานไม่ยากแต่ที่ยากคืองานมันเยอะและการเดาใจคนครับ




   เอกสารเหล่านี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะอะไรรู้มั้ยครับ พวกรายงานหรือเอกสารต่างๆ น่ะ มันไม่ได้มีความจริงอยู่ในนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก มันมีข้อความหลายอย่างในนั้นที่อาจถูกปรุงแต่งหรือดัดแปลงขึ้นมาเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือเยอะแยะถมไปครับ หรือพวกจดหมายร้องเรียนต่างๆ จริงๆ แล้วจดหมายพวกนี้ควรจะถูกส่งไปที่ฝ่ายบุคคลนะครับ แต่มันต้องมีการนอกเหนือกฎอยู่แล้ว จดหมายสนเท่ห์อะไรแบบนั้นมันต้องมีมาบ้าง แล้วเราก็ต้องนำมาคิดวิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาต้องการอะไร แค่ระบาย หรืออยากให้เราลงไปดูเพื่อการปรับปรุงหรือการเปลี่ยนแปลง




   บริษัทของเฮียไม่ได้มีลักษณะที่เป็นแบบกงสี มีญาติจากทางพ่อหรือทางแม่เข้ามามีหุ้นในการบริหาร แต่มีเพียงประธานกรรมการคือลุงกรณ์และรองประธานนั่นก็คือเฮียเมฆ มีแค่สองคนนี้แหละครับ งานมันเลยจำเป็นต้องอาศัยเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นในการตัดสินใจในหลายๆ เรื่อง รวมไปถึงเรื่องจุกจิกด้วย เฮียเมฆไม่ชอบการปล่อยปละละเลยพนักงานบริษัทครับ เฮียใส่ใจและสนใจมากพอดู มันเลยทำให้งานงอกออกมาแบบนี้ ดังนั้นก็ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ใช่มั้ยล่ะครับ งานที่ได้รับเกียรติแบบนี้จึงตกเป็นของผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากทำสักเท่าไหร่ เพราะมันมีแต่ปัญหาจุกจิกยังไงล่ะครับ




   แล้วถ้าจะถามว่าผมเกี่ยวดองอะไรกับตระกูลของลุงกรณ์หรือเป็นญาติทางไหน เลือดสักหยดก็ไม่มีเกี่ยวข้องกันเลยครับ เพราะพ่อผมก็คืออดีตลูกน้องของลุงกรณ์ ส่วนตัวผมก็เป็นอดีตน้องชายข้างบ้านนั่นแหละครับ เกี่ยวข้องกันเท่านี้จริงๆ


   “เสร็จแล้วครับ” ผมยื่นแฟ้มเอกสารที่ต้องเซ็นอนุมัติแยกไว้ให้เฮียแล้ว ส่วนแฟ้มอันไหนที่ต้องพิจารณาใหม่ก็แยกไว้อีกด้านหนึ่ง จริงๆ งานนี้คือการทดสอบในวิชาเรียนของผมอย่างหนึ่งนะ ทุกครั้งเฮียจะถามว่าทำไมผมจึงเลือกอนุมัติและไม่อนุมัตินั่นแหละครับ เพราะงั้นก็ต้องมีคำตอบประกอบการตัดสินใจด้วย จะสักๆ แต่ทำให้เสร็จมีหวังโดนบีบคอตาย


   “อนุมัติ?”เฮียเมฆหยิบแฟ้มในกองที่อนุมัติขึ้นมา เปิดไปหน้าแรกกวาดตาคร่าวๆ แล้วจิ้มนิ้วไปที่หน้ากระดาษแล้วถามผมออกมา


   “ครับ”


   “ทำไม” แฟ้มแรกเป็นเรื่องของการเบิกงบเพื่อจัดทริปท่องเที่ยวประจำปีของบริษัทครับ


   “เห็นสมควรก็อนุมัติไงครับ เฮีย” นี่ผมไม่ได้กวนตีนนะครับ สาบาน ก็มันสมควรจริงๆ


   “ไม่คิดว่าเบิกงบประมาณสูงไปหน่อยเหรอ” เฮียเป็นคนที่ช่างสังเกตครับ ยกเว้นเรื่องผมเหมือนผงเข้าตาประมาณนั้นล่ะมั้งครับ จากที่เฮียพูดงบที่เบิกของปีนี้สูงขึ้นจริงๆ ครับ


   “ผมลองเทียบการเบิกงบประมาณย้อนไปสามปีที่แล้วครับ ยอมรับว่าปีนี้สูงขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างเยอะ แต่เพราะว่าปัจจุบันค่าใช้จ่ายต่างๆ สูงขึ้น แล้วการออกทริปครั้งนี้ เฮียเองก็เป็นคนบอกฝ่ายที่จัดงานไปว่าอยากได้ห้องจัดเลี้ยงที่ใหญ่หน่อย อาหารให้มีหลากหลายขึ้นกว่าปีก่อนๆ แถมยังเลือกโรงแรมที่แพงกว่าเดิม ถึงเราจะติดต่อจองที่พักในนามบริษัทก็เถอะ แล้วจากที่ผมดูรายการอาหารหรือตารางกิจกรรมต่างๆ คร่าวๆ แล้ว ค่อนข้างจะเป็นกิจกรรมที่ใช้งบค่อนข้างสูงพอตัวเลย ไหนจะทริปดำน้ำ นั่นก็เป็นกิจกรรมที่เฮียอยากให้มีด้วยน่ะครับ” คือถ้าจะให้พูดตรงๆ ผมไม่ได้เข้าไปประชุมด้วยหรอกครับ แต่ผมได้อ่านรายงานสรุปการประชุมที่พี่ยาส่งมาให้อ่าน ส่วนใหญ่แล้วเป็นรีเควสของเฮียเกือบทั้งสิ้น


   “ตามนั้น” เฮียเมฆตอบประหยัดคำพูดเหมือนเคย แล้วก็จรดปากกาเซ็นโดยไม่อิดออดใดๆ อีก ไม่นานแฟ้มที่ผมคัดแยกไว้ก็เซ็นจนครบ ผมเลยยกออกไปวางให้พี่ยา เพื่อนำไปแจกจ่ายแผนกต่างๆ ต่อไปได้


   “ขอบคุณนะคะ คุณคี จริงๆ เรียกพี่ยาเข้าไปยกเองก็ได้ค่ะ” พี่ยา เธอยังคงเสียงหวานน่ารักเหมือนเคยครับ    


   “ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง”


   “พี่ดีใจนะคะ ที่คุณคีมาช่วยคุณเมฆที่บริษัท”


   “ครับ”


   “พี่พูดจริงๆ นะคะ งานคุณเมฆจะไม่ได้แน่นจนเกินไปค่ะ พี่นี่กลัวคุณเมฆจะไม่ไหวจริงๆ” พี่ยาขยับมาใกล้ผม ลดเสียงลงอัตโนมัติ


   “ช่วงต้นปีก็แบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”


   “ปีนี้งานเยอะกว่าทุกปีค่ะ เพราะคุณเมฆ เธอเปลี่ยนนโยบายบางอย่าง และเพิ่มหลายๆ อย่างเข้ามาค่ะ งานมันเลยเยอะขึ้น คุณคีก็อาจจะทราบจากเอกสารพวกนี้” พี่ยาจิ้มไปที่กองแฟ้มที่ผมยกออกมาวางให้


   “ถึงว่า ตอนไปน่านก็หอบงานไปทำด้วย”


   “พี่ถึงดีใจยังไงล่ะคะ ที่คุณคีเข้ามาช่วย”


   “นี่ก็ดึกมากแล้ว พี่ยายังไม่กลับเหรอครับ” ผมยกนาฬิกาขึ้นดูใกล้จะสองทุ่มแล้วล่ะครับ


   “ยังหรอกค่ะ คุณเมฆยังไม่กลับเลย เผื่อมีอะไรเรียกใช้พี่จะได้จัดการให้ได้ค่ะ อย่าเสียงดังไปนะคะ จริงๆ วันนี้พี่ก็มีนัดเสียด้วย นี่ก็เลยเวลานัดมาสักพักแล้วล่ะค่ะ” พี่ยาทำหน้าลำบากใจแต่ก็ยังแน่วแน่ต่อการทำงาน ผมยังยืนยันเรื่องการมอบรางวัลพนักงานดีเด่นให้พี่ยานะครับ


   “ไม่น่ามีอะไรแล้วมั้ง งั้นเดี๋ยวผมไปถามพี่เมฆให้นะครับ”


   “อุ้ย ไม่เป็นไรค่ะ”


   “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าอีกสักพักพี่เมฆก็น่าจะกลับแล้วเหมือนกัน” ผมกลับเข้าไปถามเฮียเมฆในห้องทำงาน เฮียเมฆก็บอกให้พี่ยากลับไปได้เลย หลังจากพี่ยาออกไปไม่นาน ผมกับเฮียเมฆก็ตามออกไปเหมือนกัน


   “อยากกินอะไรมั้ยหรือจะกลับไปกินที่บ้าน” เหมือนชี้โพรงให้กระรอกยังไงยังงั้น พอเฮียเมฆชี้แนะแนวทางออกมาผมก็ชักเปรี้ยวปากอยากดื่มเหล้าขึ้นมาทันที


   “กินข้างนอกดีกว่า” โบราณว่าไว้ผู้ใหญ่ให้ของไม่ควรปฏิเสธครับ เฮียเมฆสนองมาทั้งที ผมจะไม่รับไว้ได้ยังไง เสียมารยาทแย่ จริงมั้ย?


   “หึ โทรไปบอกป้าจันด้วยล่ะ ไม่อยากโดนบ่นหูชา” ผมรีบโทรหาป้าจันทันที โดนบ่นนิดหน่อยเพราะไม่โทรบอกให้เร็วกว่านี้ แต่ผมรับได้ครับ รับได้ เพื่อเหล้าแล้ว ไอ้คีคนนี้ยอมถวายหัวและถวายตัวเลยทีเดียว




   วันนี้ผมให้เฮียเมฆเลือกร้านเองเลยครับ ตามใจเฮียเลย เฮียเลือกร้านตามวัยของเฮียมากจริงๆ นี่ผมชักสงสัยแล้วว่าใครกันแน่ที่อยากจะมาดื่มกันแน่ เฮียให้ลุงหมายรอขับรถกลับให้ อีกทั้งร้านนี้ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้ามา ถ้าสายตาผมยังปกติอยู่ ผมยังไม่เห็นคนภายในร้านที่อยู่ในวัยนักศึกษาเลย อายุประมาณเฮียเมฆยังแทบไม่เห็นเลย ส่วนใหญ่จะสามสิบกว่าทั้งนั้น แต่งตัวภูมิฐาน ใส่สูทกันทั้งนั้น ผมนี่เหมือนเป็นเด็กกะโปโลไปเลย


   “เฮียเมฆครับ” ผมดึงแขนเสื้อเฮียไว้ก่อนที่เราจะหลวมตัวเดินเข้าไปในร้านมากไปกว่านี้


   “หือ?”


   “จะดีเหรอ” ผมกวาดไปรอบๆ ร้าน ดูไม่เหมาะกับผมอย่างแรงกล้า


   “ลองดู เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” เฮียเมฆบอกเท่านั้นก็เดินนำหน้าต่อไป



พนักงานสาวพาไปโต๊ะที่ยังว่างอยู่ ผมกับเฮียเมฆเข้าไปนั่งแล้วรับเมนูมาคนละเล่ม เปิดดูรายชื่ออาหารข้างในไม่ได้พิสดารแปลกประหลาดอะไรมาก ก็เป็นเหมือนร้านทั่วๆ ไปนั่นแหละครับ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นอาหารต่างชาติมากกว่า จำพวกสลัด สเต็ก ประมาณนี้ ไอ้ผมเองน่ะก็ทานได้ครับ  แต่เอาตรงๆ คือไม่ค่อยชอบ ผมชอบอะไรที่เป็นไทยๆ มากกว่า เพราะอาหารต่างชาติน่ะ ผมกินจนเอียนแล้วน่ะสิ ผมเบ้หน้านิดหนึ่ง ในที่สุดก็เลือกออกไปสักเมนู เฮียเมฆเองก็เลือกได้เหมือนกัน แล้วที่ขาดไม่ได้คือเมนคอร์สของงานนี้ เหล้าครับเหล้า นี่คือสิ่งที่ผมรอ เฮียก็เหมือนรู้ใจสั่งให้ผม โดยที่ผมไม่ต้องขอ



“ค่าจ้างทำงาน” อ้อ นี่คือค่าจ้างการทำงานของผม นึกว่าใจดีอยู่ๆ ก็อยากเลี้ยงเหล้าผม


   “โหย ค่าแรงผมน้อยไปมั้ยเนี่ย” ผมโอดครวญไปนิดหน่อย


   “โลภ” เฮียหัวเราะแล้วก็ผลักหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู (?)



   ผมยังไม่ได้ถามอะไรเฮียเมฆเพิ่มอีก อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เหล้าที่เฮียสั่งไป ก็ผสมมาได้อย่างลงตัว ไม่เข้มจนเกินไป จะว่าไปเพลงที่ร้านก็เป็นเพลงบรรเลงสากล เปียโนและไวโอลิน ที่เล่นสดๆ อยู่ข้างๆ ก็ทำให้เพลิดเพลินไปอีกแบบ


   “สวัสดีครับ” ผมหันหลังให้กับประตูร้านเลยไม่เห็นผู้มาใหม่ มือที่จับแก้วเหล้ามายกดื่มต้องชะงักค้างไว้แบบนั้น เพื่อให้มองเห็นหน้าเจ้าของน้ำเสียงชัดๆ


   “พี่พีช” ผมพึมพำออกมาเมื่อเห็นใบหน้าชัดเจน


   “สวัสดีครับ คุณเมฆ น้องคี ขอโทษนะครับที่ผมมาสาย” พี่พีชโบกไม้โบกมือเรียกเด็กในร้านให้นำเก้าอี้มาเพิ่ม


   “รถติดเหรอ สั่งอะไรก่อนมั้ย” เฮียเมฆนั่นเองครับ เป็นคนถามแล้วก็ยื่นเมนูข้างตัวไปให้


   “รถน่ะไม่ค่อยติดเท่าไหร่ แต่คุยงานกับลูกค้าน่ะครับ”


   “ช่วยไม่ได้สินะ ก็เป็นลูกค้านี่นา” เอาล่ะครับ บทสนทนา เราสองสามคนและบรรยากาศที่ผมอึดอัดนั้นได้บังเกิดขึ้นแล้ว นี่ผมกลายเป็นส่วนเกินไปโดยปริยายใช่มั้ยเนี่ย


   “เป็นไงบ้างครับน้องคี ร้านนี้พอไหวมั้ย พี่เลือกเองเลยนะ” ผมอยากจะตะโกนตอกกลับใส่หน้าว่าไม่ดีเลยเว้ย ห่วยแตก ร้านโคตรแก่ ไม่ใช่วัยรุ่น แต่มารยาทค้ำคอครับ พูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ แล้วเฮียก็กล้าพาผมมาที่นี่เพราะพี่พีชชวน กล้าดียังไง มาทำกับผมแบบนี้ ค่าจ้างแบบนี้ผมไม่อยากได้หรอกนะ อยากจะเลือดร้อน ลืมพี่ลืมน้อง หยิบปืนออกมายิงคนตรงหน้าทั้งสองคนให้ตายตามกันไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่จะทำได้ยังไง ผมไม่มีปืนครับ แล้วก็ยังไม่บ้าพอที่จะฆ่าคน


   “ก็ดีครับ ดนตรีเพราะ” ผมยิ้มให้พี่พีช เป็นยิ้มที่ผมคิดว่าน่าจะเสแสร้งฝืนทำน้อยที่สุด หวังว่าพี่พีชจะไม่ทันสังเกตนะ


   “ถ้าน้องคีชอบ พี่ก็โล่งใจ กลัวว่าจะไม่ชอบเสียอีก”


   “พี่ทั้งสองคนนัดกันไว้หรือเปล่าครับ ถ้าหากต้องคุยงานกัน คีไม่อยากรบกวน” ผมถามหว่านไปก่อนครับ เผื่อว่าจะมีคำถามไหนของผมทำให้มันชัดเจนขึ้นบ้าง


   “เปล่า” สั้นๆ คำตอบเฮีย ส่วนคำอธิบายนั้นอาจจะได้จากพี่พีช


   “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน้องคี พี่คิดว่าเราไม่ค่อยได้เจอกัน ก็เลยนัดพี่เมฆกับน้องคีมาหาอะไรดื่มกันสักนิด”


   “อย่างนั้นเหรอครับ” ผมตอบกลับไปด้วยประโยคไม้ตาย เพราะไม่รู้จะต้องตอบว่าอะไรนี่นา


   ผมว่าเหล้ามื้อนี้ชักเริ่มไม่อร่อย ไม่ลื่นคอ ไม่ชวนให้ดื่มต่อแล้วล่ะ พวกคุณว่ามั้ย เซ็งว่ะ อยากกลับบ้านเว้ย พี่พีชเป็นคนคุยเก่งครับ ถ้าพี่พีชจะไม่แสดงเจตนาชัดเรื่องเฮียเมฆแล้ว ผมคงสนใจพี่พีชไม่น้อยเลยทีเดียว โอ้ย หงุดหงิดว่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่ได้ ทำได้แค่อดทนรอให้ค่ำคืนนี้จบลง นี่มันเกมส์หรือยังไง ใครทนไม่ไหวก่อน คนนั้นแพ้?



   เฮียเมฆกำลังคุยเรื่องงานกับพี่พีช ผมเห็นนะ มือของพี่พีชวางลงบนแขนของเฮียเมฆที่วางพาดอยู่บนโต๊ะ ผมไม่เข้าใจเฮียเมฆเลย ให้ตายเถอะ ทำไมไม่ดึงแขนออกมาวะ ปล่อยให้เขาจับทำไม ผมหน้างอแต่ต้องพยายามฝืนยิ้ม คุณเข้าใจมั้ยครับ มันยากนะ ที่คนอายุเท่าผม แต่ต้องปั้นหน้าว่าไม่เป็นไร แล้วทำตัวว่าผมโอเคน่ะ มันยากนะ ผมเลยเลือกมองไปรอบๆ ร้านดีกว่า น่าจะหายใจโล่งกว่านี้



   นั่นแน่ โต๊ะถัดไปจากด้านหลังเฮียเมฆสักสองสามโต๊ะ ชูแก้วเหล้าให้ผมพร้อมยกดื่ม ด้วยอารมณ์ของผมในตอนนี้ ไม่ได้อยากจะไปสุงสิงกับใครหรอกนะครับ แต่มันอยากประชด อยากทำอะไรสักอย่าง ที่บอกว่าผมไม่แคร์ไม่สนใจ ผมรู้ว่ามันเป็นการกระทำแบบเด็กๆ ที่เรียกร้องความสนใจ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ผมอยากเอาคืนเฮียเมฆ ทั้งที่ผมก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายคนที่เจ็บปวดทรมานอาจจะเป็นผมหรือเปล่า



   ผมชูแก้วเหล้ากลับไปให้โต๊ะตรงนั้น ผมดีใจที่คนๆ นั้นเป็นผู้ชาย เพราะอะไรน่ะเหรอ เดี๋ยวคุณก็รู้ครับ ถึงผมจะเด็กแต่ผมก็รู้จักเฮียเมฆมานานพอว่าถ้าทำอะไรแล้วเฮียถึงจะมีปฏิกิริยา   



“สวัสดีครับ” ผู้ชายโต๊ะนั้นลุกขึ้นเดินมาหาผมแล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังทีเดียว ทำให้บทสนทนาระหว่างเฮียเมฆกับพี่พีชหยุดลงทันที เฮียเมฆขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่ามีบุคคลไม่ได้รับเชิญนั้นเข้ามา


“สวัสดีครับ” คราวนี้เป็นผมเองที่ตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่คิดว่าดีที่สุดในชิวิตของผมเลย


“จะสะดวกมั้ยครับถ้าผมอยากจะขอนั่งด้วย” ผู้ชายคนนี้ชัดเจนและตรงดีนะเนี่ย เข้าทางผมเลย ขอโทษด้วยนะที่นายจะต้องตกเป็นเหยื่อของผม


“ไม่” เฮียเมฆตวัดสายตาไม่เป็นมิตรมองกลับไปและตอบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดที่ผมคิดเอาเองนะว่าเฮียไม่ชอบที่ถูกขัดจังหวะแบบนี้


“จริงๆ ก็ไม่สะดวกหรอกครับ แต่เดี๋ยวคีไปนั่งที่โต๊ะคุณก็ได้” ผมลุกขึ้นยืน ไม่ลืมถือแก้วเหล้าไปด้วย


“ก็ดีสิครับ” ทางนั้นตอบกลับมาแล้วก็เดินนำออกไปก่อน


“เดี๋ยวผมมานะครับเฮียเมฆ พี่พีช ถ้าจะกลับก็ไปตามผมที่โต๊ะนั้นนะครับ” ผมหย่อนระเบิดเอาไว้แบบนั้นแล้วรีบก้าวเท้าเดินออกมา


ที่โต๊ะนั้นมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคน รวมกับผู้ชายที่เดินมาหาผมก็เป็นสามคนครับ พวกเขาค่อนข้างคุยสนุกครับ ทำให้ผมลืมอะไรไปได้บ้าง ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายถามให้พวกเขาได้ตอบยาวๆ กันเสียมากกว่าเพราะผมไม่ได้อยากคุยอะไรมากมายนัก นี่ก็รอเวลาให้เฮียเมฆเดินมาตาม ไม่รู้ผมจะรอเก้อหรือเปล่านะ ผมเหลือบมองนาฬิกาผ่านไปสิบห้านาทีแล้ว คิดว่าได้เวลาอันเหมาะสมเสียที ผมลุกขึ้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แหม้ เปิดทางขนาดนี้ ถ้าไม่โง่ ก็คงเข้าใจว่ามันควรจะไปต่อกันในห้องน้ำล่ะครับ



ผมยืนรออยู่ไม่นาน ผู้ชายจากโต๊ะนั้นก็ตามเข้ามา ถือว่าเป็นคนเข้าใจอะไรไม่ยากครับ ผมเริ่มนับถอยหลังเวลาที่ผมจะได้กลับบ้านเสียที


“ที่นี่จะดีหรือครับ” ผู้ชายคนนั้นถามผม


“ขอตรวจดูของหน่อยไม่ได้หรือไงครับ ถ้าของดีก็จะได้ไปต่อกันได้ หากของไม่ดี...” ผมทิ้งท้ายไว้แบบนั้น มือของผมก็ลูบแก้มเขาเบาๆ


“รับประกันเลยว่าของดีแน่ๆ” ทางนั้นตอบกลับมาด้วยความมั่นใจพอตัว น่าเสียดายที่ผมคงจะไม่ได้ตรวจและทดสอบกับของชิ้นนี้ เพราะคนหน้าบึ้งนั่นเดินตามเข้ามาแล้ว มาไวเหมือนกันแฮะ


“คี!!” เสียงเรียกสั้นๆ แฝงไปด้วยความไม่พอใจของเฮียเมฆดังขึ้น


“ว่าไงครับ เฮีย จะกลับแล้วเหรอ” ผมถามเฮียกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ใสซื่อบริสุทธิ์สุดๆ


“พี่เช็คบิลแล้ว”


“รอผมแปปนะ” ผมพยายามต่อรองเพื่อถ่วงเวลา


“เดี๋ยวนี้ คีรินทร์!” อ้อ โกรธครับ เรียกชื่อจริงแสดงว่าไม่พอใจมากเต็มร้อย ถือว่าผมทำสำเร็จสินะ


“ก็ได้ๆ ครับ น่าเสียดายจัง” ผมบ่นออกมาทำเป็นเสียดายแต่ จริงๆ ก็น่าเสียดายแหละครับ ยังไม่ได้เล่นของเล่นชิ้นนี้เลย


“พี่ไปรอที่รถ เร็วๆ” เฮียเมฆพูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกไปจากจุดที่ผมยืนทันที


“ขอโทษด้วยนะครับ พี่ชายผมนิสัยไม่ค่อยดี” ผมทำหน้าประหนึ่งว่าเสียใจอย่างสุดซึ้งให้อีกฝ่าย


“พี่ชายจริงๆ ใช่มั้ยครับ”


“โธ่ พี่ชายจริงๆ สิครับ” ผมก้มลงไปหอมแก้มผู้ชายคนนี้เป็นการปลอบใจ


“ถ้างั้นผมขอเบอร์ได้มั้ย”


“เอาเบอร์คุณมาดีกว่าครับ แล้วผมจะติดต่อไปนะ” ก็นับเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งครับ ผมไม่ชอบให้ใครตามเพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจขอเป็นฝ่ายไล่ตามเองดีกว่า



ผมเดินออกมาจากร้าน ไม่เห็นพี่พีชแล้วล่ะครับ ไม่รู้ว่ากลับไปหรือยัง ไม่อยากสนใจครับ แต่หวังว่าคงไม่เจอว่านั่งอยู่ในรถคันเดียวกันหรอกนะ ผมไม่อยากจะทนแล้วล่ะ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ เห็นเฮียเมฆนั่งหน้าตึงกับลุงหมายแค่เพียงสองคนก็โล่งใจครับ




หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หก 29-08-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-09-2016 21:52:16


   เฮียเมฆไม่พอใจ ผมรู้ครับ แต่ช่วยไม่ได้เฮียเลือกที่จะทำร้ายจิตใจผมก่อน ผมไม่ใช่คนที่ชอบประชดอะไรขนาดนั้น ปกติแล้วมักเลือกที่จะหนีเหมือนก่อนหน้านี้เสียมากกว่า การที่ผมจะทำอะไรแบบนี้ก็แปลว่าผมไม่อยากจะอดทนเหมือนกัน จริงๆ แล้ว เฮียเมฆไม่ชอบให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ผมครับ อ้อ ไม่ใช่ห้ามทุกคนนะ เฮียเมฆดูออกครับว่าใครเข้ามาหาผมในรูปแบบไหน ถ้ามาอย่างเพื่อนแบบไอ้ธรเนี่ย สบายครับ รอดไป แต่เข้ามาแบบคนในร้านเมื่อสักครู่นี้นี่ เฮียไม่ชอบเลยมากๆ ครับ



   เขาเรียกว่าอะไรนะ หวงก้างมั้ง ก็ไม่รู้สิครับ ผมก็เป็นนะ มันก็ต้องมีบ้าง ยังไงดีล่ะ ถ้าเป็นผู้หญิง เฮียเมฆไม่ค่อยสนใจหรอกผมจะไปเปิดห้องต่อจากนี้ยังไม่ว่าเลยขอเพียงป้องกันเป็นพอ แต่ถ้าเป็นผู้ชายล่ะห้ามครับ อ้าว ยังไงนะครับ แล้วก่อนหน้านี้ที่ผมมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งในผับใช่มั้ย จุ๊ๆ อย่าบอกเฮียเมฆนะครับ ไม่รู้ก็เท่ากับไม่มี




   เวลานี้ค่อนข้างดึกแล้ว ถนนโล่ง รถทำความเร็วได้ดี ไม่นานเราก็มาถึงบ้านเฮียเมฆครับ ผมรีบลงจากรถก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เพราะจะได้รีบเข้าห้องนอนเสียที คืนนี้ผมอาจจะคิดว่าผมชนะแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ เฮียเมฆไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งคุยกับพี่พีช นัดพี่พีชมา ก็ถือว่าเฮียชนะผมไปตั้งนานแล้วล่ะ หัวใจของผมยังเต้นอยู่และเจ็บปวดเหมือนเดิม




   แล้วคุณคิดว่าผมจะเข้าห้องนอนทันมั้ย โอ้ย ร้อยทั้งร้อย ทันสิครับ ผมรีบเดินกึ่งวิ่งขนาดนั้น แต่ผมดันลืมอะไรไปบางอย่างน่ะสิครับ เฮียเมฆมีกุญแจสำรองห้องผม โธ่ จบกัน ถึงว่าเฮียไม่ได้รีบตามผมมาเลย เสียงไขประตูห้องดังขึ้นแล้วไม่นานเฮียเมฆก็ก้าวเข้ามา


   “ทำแบบนี้ทำไม” เฮียเมฆเปิดประเด็นก่อนเลยครับ


   “ผมต่างหากที่ต้องถามว่าพี่ทำแบบนี้ทำไม” ผมพยายามไม่ให้เสียงตัวเองสั่น แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นใจเข้าข้างผมเอาเสียเลย


   “คีก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบ”


   “พี่เมฆก็รู้ว่าผมไม่ชอบ” ผมย้อนเฮียเมฆกลับไปด้วยคำถามเดียวกัน


   “คุณพีชแค่มากินข้าวกับเราเท่านั้นเอง”


   “คนนั้นก็แค่ชวนผมไปดื่มเท่านั้นเอง”


   “อย่าพูดจายอกย้อนใส่พี่นะ คีรินทร์” เสียงเฮียเมฆต่ำลงจนน่ากลัว ผมไม่เห็นเฮียเมฆโหมดนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ ก็น่าจะนานพอ ตั้งแต่ที่เฮียจับได้ว่าผมเข้าโรงแรมไปกับผู้ชายแล้วเฮียเมฆตามไปเจอ ยอมรับว่าไม่ชินกับอารมณ์แบบนี้ของเฮียเมฆ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วผมคงอดทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้


   “ผมเปล่า!!”


   “ทำทั้งที่รู้ว่าพี่ไม่ชอบ”


   “ผมก็ไม่ชอบแบบนี้เหมือนกัน”


   “พี่ทำอะไร คี หา!! พี่ทำอะไร” เชิญครับ เสียงกดดันผมเข้าไปอีก ทำไมเหมือนผมเป็นฝ่ายผิดอยู่คนเดียวเลยวะ


   “ทำไมพี่ไม่บอกผมว่าชวนคุณพีชมาด้วย” เสียงผมสั่นจนเห็นได้ชัด ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะร้องไห้เวลานี้เลยจริงๆ


   “พี่ไม่ได้คิดอะไร คุณพีชเค้าอยากนัดพวกเราออกไปดื่มอะไรกัน พี่ก็ตอบรับไปก็เท่านั้น แต่ถ้าคีไม่ชอบงั้นพี่ต้องขอโทษคีจริงๆ”


   “พี่เมฆรู้มั้ยว่าผมไม่ชอบพี่พีช”


   “คิดว่ารู้”


   “ทั้งที่รู้ พี่ก็ยังจะทำแบบนี้กับผมงั้นเหรอ” เสียงผมดังขึ้นเพราะชักเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่


“พี่ไม่คิดว่าคีจะไม่ชอบคุณพีชขนาดนั้น”


“พี่เมฆไม่คิดว่าใจร้ายกับผมเกินไปหน่อยเหรอ”


“คี อย่าร้องไห้” เอ๊ะ นี่ผมร้องไห้เหรอ ไม่รู้ตัวเลยแฮะ ผมปาดน้ำตาที่เต็มหน้าทิ้ง เอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมกำลังได้เปรียบต้องรีบพูดออกมาให้หมด


“พี่รู้สึกยังไง ตอนที่ผมเดินไปหาผู้ชายคนนั้น หึ ผมบอกได้เลยว่า ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกันหรอกเวลาที่เห็นพี่อยู่กับพี่พีช”


“พี่กับคุณพีชไม่มีอะไรกัน”


“เอาไปหลอกเด็กเถอะ ผมยังเป็นคนอยู่น่ะพี่เมฆ ผมไม่ใช่ควาย!” ควายเสียงดังฟังชัดเชียวครับ พูดเองยังรู้สึกตกใจเองเลย


“พี่กับคุณพีช เรารู้จักกันในฐานะคนที่ติดต่อเรื่องงานกัน เท่านั้น”


“ผมไม่ได้โง่นะ ถึงจะดูไม่ออก ท่าทางของพี่พีชไม่ได้คิดกับพี่แค่นั้น แต่ที่ผมไม่รู้น่ะคือใจของพี่ต่างหาก”


“ถ้าคีไม่เชื่อ ไม่ว่าพี่จะพูดอะไรไปมันก็คงไม่มีประโยชน์สินะ” เดี๋ยวก่อน ประโยคพวกนี้มันเหมือนประโยคบังคับที่แบบว่าถ้าเธอไม่เชื่อฉันล่ะก็ ฉันจะไม่พูดแล้วนะ เธอจะคิดอะไรต่อก็ช่างเธอเลย มันเหมือนประโยคบังคับให้ยอมเชื่อน่ะครับ ผมไม่ชอบเลยจริงๆ


“เพราะสิ่งที่ผมคิดมันคงเป็นเรื่องจริงสินะ”


“พี่บอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”


“ขอโทษนะครับ พี่เมฆ แต่ผมเชื่อพี่ไม่ลงจริงๆ”


“ถ้าคีไม่เชื่อพี่ก็ช่าง แต่พี่ขอสั่งห้ามคีห้ามไปยุ่งข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนเหมือนวันนี้อีก”


“ผมจะทำอะไร มันก็เรื่องของผม” ผมก็ไม่ยอมเถียงเฮียเมฆไม่ลดละเลยทีเดียว คนมันโกรธ คนมันโมโห แล้วยังมาห้ามอะไรแบบนี้อีก เฮียเมฆนึกว่าตัวเองเป็นใครกัน


“ถ้าคีไม่เชื่อพี่ ก็อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” เอาจริงๆ นะครับ ผมคิดว่าเฮียเมฆน่าจะแค่ขู่ให้ผมกลัวมากกว่า เฮียเมฆไม่น่าจะทำอะไรเกินความคาดหมายหรอก


“ก็เรื่องของพี่เมฆสิ”


“ส่วนเรื่องของคุณพีช...”


“ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว”


“คี ฟัง!” น้ำเสียงของเฮียเมฆ ผมว่าน่าจะใกล้ถึงขีดสุดแล้วล่ะ ผมต้องรีบหยุดการสนทนานี้โดยเร็ว ไม่งั้นเรื่องจะยาวและบานปลาย


“อย่าบังคับผมนะพี่เมฆ ผมรู้ว่าพี่จะทำอะไรได้มากแค่ไหน แต่ผมคิดว่าพี่เมฆน่าจะรู้จักผมดีว่าผมทำอะไรได้บ้าง”


   “ไปนอนห้องพี่”


   “ไม่”


   “พี่ว่าคีเองก็คงจะรู้จักพี่เหมือนกัน ว่าพี่ทำอะไรได้บ้าง” น้ำเสียงแบบนี้ดูเหมือนไม่ใช่แค่การขู่ธรรมดาครับ เฮียเมฆน่าจะเอาจริง ต่อให้ผมแหกปากลั่นบ้าน ลุงกรณ์กับป้าจันตื่นมาห้าม ผมคิดว่าก็ไม่น่าจะรอดจากอารมณ์ของเฮีย ผมอาจจะตายไปจากโลกนี้จริงๆ ทุกคนอย่าลืมทำบุญไปให้ผมด้วยนะ เพราะฉะนั้นรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี คนเราต้องรู้เวลาบุกและเวลาถอย ตอนนี้ผมต้องถอยออกมาก่อนครับ ถอยชนิดที่ว่าเข้าเกียร์เกือบไม่ทัน


   “ครับ” ผมเดินตามเฮียเมฆต้อยๆ เข้าไปห้องเฮีย มุ่งหน้าไปตู้เสื้อผ้าเช่นเคยแล้วเข้าไปอาบน้ำ



   ผมนอนไม่หลับ น้ำตาที่ไหลออกมาหยุดไหลไปตอนไหนไม่รู้ ผมไม่ใช่คนที่เอะอะก็ปี่แตกร้องไห้ง่ายอะไรแบบนั้น แต่ต่อหน้าเฮียเมฆทีไร ร้องไห้จริงจังตลอด ว่าไปก็อายเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชายขี้แยยังไงไม่รู้ ตอนท้าตีต่อยกับคนอื่น เจ็บแค่ไหนก็ไม่มีน้ำตาสักหยด


   “นอนได้แล้ว” คนข้างๆ ยังไม่หลับครับ ทั้งที่เลยเวลานอนของเจ้าตัวไปนานพอสมควรแล้ว วันนี้เราทะเลาะกันนับว่าค่อนข้างแรงเอาการอยู่ ปกติผมจะเลือกหนีและไม่ต่อคำพูดอะไรกับเฮีย แต่ครั้งนี้คงเหลืออดบวกอัดอั้นก็เลยย้อนเฮียเมฆกลับไปมากมายพอดู


   “.....” ผมไม่ตอบเฮีย ลืมตาโพลงในความมืดอยู่แบบนั้น



   ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ผมนึกย้อนกลับไปคืนที่เราสองคนอยู่ที่น่านและผมเมา คืนนั้นผมคิดว่าเราทั้งคู่น่าจะเข้าใจกันแล้วโดยไม่ต้องรื้นฟื้นเรื่องราวเก่าๆ มาให้เจ็บใจ แต่มันไม่ใช่เลย ผมคงคิดไปเองฝ่ายเดียว



   ห้องน้ำที่พักนั้นคับแคบเกินกว่าจะให้ผู้ชายตัวโตสองคนเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน แต่ผมกับเฮียเมฆก็ยังทำ ผมที่เวลาเมาจะขี้อ้อนเป็นพิเศษ เก็บความรู้สึกของตัวเองไม่ค่อยได้หรอกครับ คิดยังไง ต้องการยังไงก็บอกไปแบบนั้น ภาระเลยไปตกอยู่กับเฮียเมฆที่ครองสติได้ดีกว่าผม แต่เพราะเฮียก็คงต้านแรงตื๊อของผมไม่ไหว เราทั้งคู่เลยยืนตัวเปล่าภายใต้ฝักบัวในเวลานี้



   ผมเป็นฝ่ายเริ่มคว้าคอของเฮียลงมาจูบ ลืมไปหมดว่าเคยหันหน้าหนีตอนที่เฮียพยายามจะจูบเพราะเฮียเคยจูบกับพี่พีชมาก่อน เค้าว่ากันว่าคนเมาทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด มันจริงมั้ย ตอนแรกเฮียเมฆก็ดูจะตกใจเล็กน้อยที่ผมเริ่มแต่แค่แปปเดียวเฮียก็เป็นคนจูบผมกลับบ้าง มือหนาลูบไล้ร่างกายของผม จนมาหยุดที่ก้นของผม เฮียบีบแรงเสียจนผมต้องประท้วง



   ริมฝีปากของเฮียลากไล้ผ่านมาจนถึงลำคอ เฮียขบเม้มตรงช่วงหน้าอกของผม จะว่าไปก็เกือบลืมเหมือนกันนะ รอยจูบของเฮียเมฆเนี่ย รู้สึกเหมือนนานจนไม่ทันคิดว่า เฮียเมฆชอบทำรอยอยู่เสมอ ดีนะว่าเฮียเลือกจุดที่อยู่ใต้ร่มผ้า ไม่งั้นนะ ถ้าไอ้ธรเห็น มันล้อผมไม่หยุดแน่ๆ อากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่ผมกลับรู้สึกร้อนเสียมากกว่า ผมอยากจะก้าวข้ามไปถึงขั้นตอนสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ แค่ยืนตรงๆ ยังยากสำหรับผมก็เลยต้องยึดเกาะไหล่ของเฮียเมฆเอาไว้เป็นหลัก



   เฮียเมฆปิดน้ำไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนหลังสัมผัสกับที่นอนนั่นแหละครับ ตอนนั้นสติผมก็ยังไม่ค่อยจะกลับมาสักเท่าไหร่ ความต้องการภายในมันมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ผมแทบจะดิ้นพล่านด้วยความต้องการที่แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ได้ยินแต่เสียงแผ่วเบาของเฮียพูดว่า ใจเย็นๆ รอก่อน ผมโคตรไม่เข้าใจเลย ใจเย็นอะไร รอก่อนอะไร งงไปหมดแล้ว



   ผมส่งเสียงในคอด้วยความขัดใจ เฮียเมฆเลยจัดการสนองความต้องการให้ผม มือหนาๆ ของเฮียกำลังกำรอบกับตรงนั้นส่วนสำคัญของผม มันทำให้ผมแทบจะขาดใจ เหมือนร่างกายกำลังลอยสูงขึ้นไปบนอากาศทีละนิด ทีละนิด แต่สักพักเฮียเมฆก็หยุดมือ ทำเอาผมแทบจะตกจากฟากฟ้าลงมาซะเดี๋ยวนั้น


   “อย่าหยุดสิครับ”


   “พี่กลัวว่าจะ...” นั่นแหละครับ ปัญหามันจะอยู่กับคนที่มีสติกว่า คนที่ไม่มีสติหรือสติเลือนรางน่ะจะพูดอะไรก็ได้


   “ช่างมัน ทำให้คีหน่อยนะ” ผมเองก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปเหมือนกัน แต่ผมทนไม่ไหวแล้ว



   เฮียเมฆเลยตัดสินใจก้มลงไปใช้ปากให้ผมแทน จะว่าไงดีล่ะ กับผู้ชายแล้วน่ะ ผมไม่เคยใช้ปากให้ใครและไม่เคยให้ใครใช้ปากกับของของผม แต่ผมกับเฮียเมฆเป็นข้อยกเว้นล่ะมั้งครับ ผมนี่แทบจะเต็มใจถวายให้เฮีย แต่ก็ด้วยปัญหาของผมเองที่ทำได้อย่างมากก็แค่จูบกันตอนที่ผมเมาเท่านั้นเอง


   “อือ อืม” ผมครางอยู่ในคอ มือก็แทบจะขยุ้มผมเฮียเมฆออกมาทั้งหมดด้วยความรู้สึกภายในร่างกาย


   “ห้ามเสียงดัง” รู้สึกเหมือนเสียงเฮียเมฆปนเสียงหัวเราะนะ


   “ทำไมล่ะ” ผมไม่เข้าใจคำพูดของเฮียเลย


   “ดึกแล้ว มันเงียบ” คิดว่าผมเข้าใจคำพูดของเฮียมั้ย บอกเลยว่าไม่ครับ


   “คีไม่เข้าใจ” สมองผมตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลยครับ ขาวโพลนไปหมด


   “พี่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงคี”


   “อ้อ” เท่านั้นก็ถึงบางอ้อครับ ดึกแล้ว ถ้าเสียงดังก็คงได้ยินกันหมด เช้ามาคงหน้าตาตื่นด้วยความอายแน่ๆ



   บทรักของเฮียดำเนินไปจนถึงช่วงเวลาที่ผมปลดปล่อยออกมา ตอนนั้นผมคิดว่าเฮียจะทำต่อให้ถึงที่สุด แต่ผิดคาดครับ เฮียเมฆเลือกที่จะไม่ทำต่อ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แล้วก็ไม่ได้ถามด้วย ผมผลักเฮียให้ลงไปนอนแทน แล้วก็ทำเหมือนกับที่เฮียทำกับผมไปก่อนหน้านี้บ้าง ผมว่าเฮียก็ต้องอึดอัดอยู่บ้างล่ะ เพราะท้ายที่สุดแล้ว น้ำของเฮียนี่ออกมาซะเยอะเชียวล่ะ หึหึ ผมไม่ได้ทะลึ่งหรอกใช่มั้ยครับ




   หลังจากสบายตัวกันไปทั้งคู่ ผมกับเฮียก็หลับไปด้วยกันทั้งแบบนั้น เราสองคนนอนกอดกันจนถึงเช้า ผมรู้สึกเหมือนโลกของผมเบิกบานขึ้นอีกครั้ง คนเรามักจะผ่อนคลายได้ด้วยเซ็กส์ โดยเฉพาะเซ็กส์กับคนที่เรารัก คำพูดนี้ดูเหมือนจะจริงนะ เพียงแต่คนที่พูดเขาไม่ได้บอกว่า แต่ถ้าคนรักของคุณไม่ได้มีคุณคนเดียวมันยังจะเบิกบานผ่อนคลายอยู่มั้ย




   โลกแห่งความจริงมักโหดร้ายเสมอ ผมยังนอนไม่หลับ คิดวกไปวกมาอยู่คนเดียว คำถามเดิมๆ ผุดขึ้นมาเหมือนเดิม ถ้าเฮียเมฆเลือกพี่พีชล่ะ ผมจะทำยังไงต่อไป ผมจะทนได้เหรอ ผมจะต้องทนเห็นคนที่รักกับคนที่ไม่ชอบอยู่ด้วยกันแบบนั้น โอ้ย นายคีรินทร์อยากจะเอาหัวโขกกำแพง



   “อย่าคิดมากเลยคนดี เชื่อพี่เถอะ” เหมือนคนข้างๆ จะอ่านใจผมได้ เฮียเมฆดึงผมเข้าไปกอด พร้อมบอกเสียงแผ่วเบา


 

   นี่มันคือคำที่ใช้ไว้สำหรับปลอบใจคนอย่างผมหรือเปล่า


-------------------------------------------------------------------------

อย่าเพิ่งเบื่อความเยอะของคีเลยนะคะ คีรินทร์นี่ เขาเชื่อใจคนยากค่ะ เด็กมีปัญหาก็เงี้ย :impress2:

ขอบคุณทุกการอ่านและคอมเมนท์นะคะ ^^

 :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-09-2016 22:32:16
ยังไงก็พูดกันไม่ชัดเจนกันทั้งคู่
ถึงแม้ จะช่วยกันปลดปล่อย
เช้ามา คีก็ยังไม่ปลอดโปร่งอยู่ดี
เฮียเมฆ ต้องปฏิเสธพีช แบบตรงๆ
ให้พีชเข้าใจ พูดคุยแบบลูกค้า
โดยไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว
ไม่งั้น ไม่ใช่แต่คี ใครๆ ก็ต้องคิดว่า
เฮียเมฆ กับพีช มีสัมพันธ์แนบแน่นเกินเพื่อน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 05-09-2016 23:08:49
ก็รู้จะว่าคีคิดมากช่างมโน แต่ไม่มีไฟก็ไม่มีควัน ถ้าเฮียเมฆไม่ทำให้สงสัย คีก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 05-09-2016 23:50:40
จะเชื่อคนเขียนที่บอกไม่ดราม่านะ สงสารคี
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 06-09-2016 00:00:09
ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ยอมฟังกัน คิดแต่ในมุมมองของตัวเอง....บอกได้เลยว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พังทั้งหมดอะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 06-09-2016 00:42:39
เราว่าคีควรหยุดฟังพี่เมฆบ้างนะคะ ไม่งั้นมันก็หน่วงอยู่แบบนี้แหละค่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-09-2016 05:24:40
แบบนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดีซินะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Varsator ที่ 06-09-2016 08:46:39
โอ้ยย มีแต่ความไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ทำไม พอเราอ่านแล้วเราเอนไปทางเข้าข้างคีค่ะ /หัวเราะ
คือถึงทั้งคู่จะไม่ชัดเจน แลดูยังไม่จับเข่าคุยกัน แต่เราว่าคีพยายามชัดเจนแล้วนะคะ แถมหลังๆ นี่อารมณ์หวงพี่ชัดมาก แต่คุณพี่ยังไม่อาจทำให้น้องมั่นใจ เราเลยว่ามันต้องมีอะไรที่ทำให้คีไม่มั่นใจในตัวพี่เมฆขนาดนี้ ดังนั้นแล้วเราเลยอยู่ทีมน้องค่ะ
หวังว่าจะนั่งคุยกันดีๆ ในเร็ววันนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-09-2016 21:07:28

+ เป็ดให้ทุกคนแล้วน้าา ไปอ่านตอนใหม่กันเลยค่ะ


ภูเขาลูกที่แปด ☁☁ ⇋ ♣♣


สถานการณ์ระหว่างผมกับเฮียเมฆยังทรงๆ ทรุดๆ อยู่แบบนี้ ผมยังไปช่วยงานเฮียที่บริษัทจนกระทั่งเข้าสู่เดือนสอบปลายภาคครับ ช่วงก่อนสอบนอนน้อยมากครับ เลิกเรียนก็ต้องทำรายงานกลุ่มที่อาจารย์สั่งให้ทำไว้ตั้งแต่ยังไม่สอบกลางภาค ตกเย็นก็รีบไปบริษัทช่วยงานเฮียเมฆจนดึกนั่นแหละครับ อยู่ที่บริษัทจนกว่าเฮียเมฆจะยอมเลิกทำงาน พอเข้าช่วงสอบผมเลยบอกเฮียว่าจะเลิกไปช่วยงานเฮียแล้ว เฮียเมฆก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เรื่องรายงานกลุ่มก็เพิ่งเรียบร้อย กลัวจะอ่านหนังสือไม่ทันจริงๆ ถึงผมจะเกเรไปหน่อยแต่ก็รักเรียนนะครับ




   ช่วงระหว่างที่ผมไปช่วยงานเฮียเมฆส่วนใหญ่เป็นช่วงเย็นแล้วครับ ทำตัวสวนทางกับทิศทางชาวบ้านครับ ผมเดินเข้าบริษัทในขณะที่พนักงานเดินออก ผมไม่รู้ว่าพี่พีชมาหาเฮียเมฆบ้างมั้ย หรือนัดไปเจอที่อื่นบ้างหรือเปล่า ผมเองก็ปากหนักเกินกว่าจะถามให้ทิ่งแทงใจ เลยไม่ถามดีกว่า ช่างมัน ไม่รู้ ไม่เห็น เท่ากับไม่มีครับ


   “เป็นไงบ้างวะ อ่านหนังสือทันมั้ยมึง” ไอ้ธรถามผมระหว่างที่เรากำลังรอเข้าห้องสอบ


   “ระดับนี้” ผมยิ้มเยาะๆ ให้มัน เทอมนี้เราลงวิชาเรียนกันหลายตัวครับ แถมตารางสอบที่ออกมายังสอบหลายวิชาติดๆ กันเสียอีก เรียกได้ว่าวันนี้ สอบวิชานี้ วันต่อไปสอบอีกวิชากันเลยทีเดียว


   “เออ ไอ้เก่ง ไอ้เพื่อนเลว”


   “ช่วยไม่ได้มึงมันโง่เอง” จริงๆ แล้วผมไม่ได้อ่านสบายๆ อย่างที่บอกไอ้ธรไปหรอกครับ แค่อยากแกล้งกวนประสาทมันเฉยๆ เพราะการสอบรอบนี้แน่นจริง ผมเองแทบอ่านไม่ทัน หืดขึ้นคอไปเหมือนกัน


   “กูกลัวทำไม่ได้ว่ะ”


   “เฮ้ย อย่าไปกลัวดิวะ”


   “มึงก็รู้ คะแนนกลางภาคกูทำได้ไม่ค่อยดี” ไอ้ธรมันอ่อนวิชานี้ครับ ไม่แปลกที่มันจะค่อนข้างกังวล


   “เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยมึง วิชานี้กูติวให้มึงเองกับมือ ถ้ามึงทำคะแนนได้ห่วยกูจะถีบหน้ามึง เข้าใจ?” คนเรามีหลายประเภทครับ บางคนชอบให้ปลอบ บางคนชอบให้ขู่ แต่อย่างไอ้ธรนี่ต้องขู่ครับ ไม่งั้นไม่กระเตื้อง เพราะตอนที่ผมติวให้มัน ไม่ว่าจะถามแบบไหน มันก็ตอบได้ครับ แค่อธิบายไม่ละเอียด ผมจึงมีหน้าที่เสริมเนื้อหาเพิ่มไปก็เท่านั้นเอง


   “กูไม่ยอมให้มึงมาถีบหน้ากูได้หรอกว่ะ”


   “ให้มันจริงอย่างปากพูดนะมึง ถ้าวิชานี้มึงได้เกรดดี กูจะเลี้ยงเหล้าแถมให้มึงด้วย”


   “มึงเตรียมเงินรอได้เลย” ไอ้ธรคนเดิม พาความมั่นใจกลับมาแล้วครับ แบบนี้ผมค่อยสบายใจหน่อย


   “แล้ววันนี้สอบเสร็จ มึงจะไปไหนต่อ ไปกินเหล้ากับกูมั้ย”


   “วันนี้กูขอผ่านก่อนละกัน กูตั้งใจจะไปหาเฮียเมฆ”


   “ไปหาทำไมกันวะ เดี๋ยวกลับบ้านก็เจอกัน” ไอ้ธรบอกผม


   “เรื่องพี่พีชไง มึงจำไม่ได้เหรอ” พวกคุณจำได้มั้ยครับ เรื่องพี่พีชกับเฮียเมฆกับเรื่องคืนนั้น ที่ผมจะคิดซะว่าฝันไป เอ๊ย เรื่องที่ผมเห็นเฮียเมฆกับพี่พีชจูบกันน่ะครับ


   “ค่อยถามวันหลังก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องวันนี้เลย นี่กูอดอยากปากแห้งมานานแล้วนะเว้ย”


   “พรุ่งนี้เหอะมึง กูจะสนองให้มึงเต็มที่เลย อย่างอแงเป็นเด็กๆ น่า” ผมผลักหัวมันไปทีหนึ่ง


   “เออๆ นี่มึงคิดดีแล้วนะ”


   “เอ้า ไอ้เวรนี่ ตอนกูไม่อยากฟัง มึงก็ไล่กูให้ไปฟังจากปากเฮียจังเล้ย พอกูจะไปดันมาเสือกถามว่าคิดดีหรือยัง จะเอายังไงกับกูวะ” ผมตวัดตามองมัน


   “กูก็เป็นห่วงมึงเฉยๆ แต่ถ้ามึงคิดดีแล้วก็ตามอย่างที่มึงว่านั่นแหละ”


   “ขอบใจเว้ย”


   “ได้ผลยังไง บอกกูด้วยละกัน”


   “ฝันไปเถอะ” ผมหัวเราะแล้วก็เดินเข้าห้องสอบไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้อาจารย์เรียกเข้าห้องแล้วครับ ไอ้ธรคงคันปากอยากจะด่าผมใจจะขาด แต่ขอโทษนะเพื่อน ไม่ทันกูว่ะ




   วิชาสุดท้ายกับชีวิตนักศึกษาปีที่สามก็จบลง ปีการศึกษาหน้าผมก็จะเรียนที่นี่เป็นปีสุดท้ายแล้วครับ ชีวิตมหาวิทยาลัยเหมือนเพิ่มจะเริ่มเมื่อวานนี้เอง แป๊ปเดียวจะกลายเป็นพี่ใหญ่เสียแล้ว


   “ไอ้คี มึงไปเลยป่ะ” ไอ้ธรถามหลังจากที่เราเดินมาด้านล่างที่หน้าคณะเรียบร้อยแล้ว


   “อืม”


   “โชคดีนะเว้ย”


   “ขอบใจ กูไปนะ”


   “เออ แล้วเจอกัน”



   ผมแยกย้ายกับไอ้ธร โบกแท็กซี่ที่ผ่านมาคันแรก บอกปลายทางที่จะไปนั่นก็คือบริษัทของเฮียนั่นเอง ผมไปโดยไม่บอกใคร อยากให้เฮียเซอร์ไพรส์ล่ะมั้งครับ ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่ ผมไม่ได้ให้เฮียมารับที่มหาวิทยาลัย เพราะต้องการรีบกลับไปอ่านหนังสือวิชาต่อไป ผมนึกภาพไปต่างๆ นานาว่าถ้าเจอกันเฮียจะทำหน้ายังไง จะตกใจหรือแปลกใจมั้ย อยากรู้จริงๆ


   “สวัสดีค่ะ คุณคี ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะคะ เห็นคุณเมฆบอกว่ามีสอบนี่คะ” พี่ยา เลขาคนเก่งของเฮีย เอ่ยทักผมด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเคย


   “สวัสดีครับ พี่ยา วันนี้สอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้วครับ”


   “จริงเหรอคะ แล้วทำได้มั้ยคะ คุณคี”


   “ระดับนี้แล้วต้องทำได้สิครับ เห็นแบบนี้ ผมเก่งนะครับพี่ยา”


   “คุณคีนี่น้า ช่างพูดเสียจริง” พี่ยาหัวเราะกับคำตอบที่หลงตัวเองของผม


   “พี่เมฆล่ะครับ”


   “อยู่ในห้องน่ะค่ะ”


   “งั้นผมเข้าไปนะครับ” ผมพูดเสร็จแล้วก็เดินไปห้องของเฮียเมฆเลย ได้ยินเสียงพี่ยาดังขึ้นมาแว่วๆ ว่าอย่าเพิ่งเข้าไป แต่ไม่ทันแล้วครับ ผมเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะประตูห้องเสียแล้ว



   ผมเปิดประตูเข้าไป มือยังจับที่ด้ามจับของประตูอยู่แบบนั้น คุณคิดว่าผมหรือเฮียเมฆจะเซอร์ไพรส์ครับ



   ไม่ยากเลยครับ ต้องเป็นผมอยู่แล้ว แน่นอน ผมสิครับโดนเซอร์ไพรส์เสียเอง ผมผิดเองที่มาไม่ถูกจังหวะ ผมมาไม่ถูกเวลา พี่ยาเดินตามผมมาเพื่อที่จะห้ามผมเองก็ชะงักไปเหมือนกัน เธอเห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็น แต่เธอตั้งสติได้ไวกว่าผมเพราะพี่ยาถอยกลับไปที่โต๊ะของตัวเองแล้ว



   ผิดกับผมที่ยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้นนานทีเดียว



   “ขอโทษครับ” เมื่อผมได้สติกลับมา ผมเลยพูดออกไปตั้งใจให้คนในห้องได้ยินแล้วผมก็ปิดประตูเดินกลับออกไปทันที




   ผมไม่สนใจว่าเฮียเมฆจะเดินมาตามผมมั้ย หรือจะปล่อยให้ผมเดินจากมาทั้งอย่างนั้น ผมไม่รู้หรอกเพราะตอนนี้ผมกำลังลงลิฟท์ไปชั้นล่างสุด ลุงหมายที่นั่งอยู่ตรงล็อบบี้เห็นผมออกมาจากลิฟท์ แกจึงลุกขึ้นเดินมาหาผม


   “คุณคีจะไปไหนครับ”


   “ลุงหมายช่วยไปส่งผมที่บ้านหน่อยได้มั้ยครับ”


   “ได้สิครับ”


   ผมกำลังนั่งรถของเฮียเมฆกลับบ้าน มือก็กดโทรศัพท์โทรออกไปต่างประเทศ


   “สวัสดีค่ะ คี ฝนจะตกหนักหรือเปล่าที่ลูกชายโทรหาแม่ก่อนได้” คุณแม่ผมหัวเราะอารมณ์ดี


   “คีจะบินไปหาแม่คืนนี้นะครับ”


   “คะ? คืนนี้? สอบเสร็จแล้วเหรอ”


   “ครับ”


   “ไม่อยู่เที่ยวเล่นที่นั่นก่อนเหรอคะ” แม่ผมคงอยากให้พักผ่อนหลังสอบเสร็จครับ


   “ไม่ดีกว่าครับ คิดถึงแม่กับพ่อ แล้วก็เคลลี่ด้วย” แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว อยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดครับ


   “จ้ะ เดี๋ยวแม่ดูตั๋วให้นะคะ”


   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคีไปซื้อที่หน้าเคาท์เตอร์เลย”


   “อะไรกันคะลูก ด่วนอะไรขนาดนั้น”


   “ก็ผมคิดถึงนี่ครับ”


   “ค่ะ งั้นก็ตามใจ ก่อนขึ้นเครื่องโทรหาแม่ด้วยนะคะ”


   “ครับ”


   “แล้วเจอกันนะคะ”


   “รักแม่ครับ”



   ผมกำลังหนีเหมือนทุกครั้ง ผมรีบเข้าห้อง ลากกระเป๋าล้อลากใบใหญ่ออกมา รีบโยนของลงไปให้เร็วที่สุด ผมใช้เวลาไม่นาน ไม่ถึงสามสิบนาทีทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นก็ถูกเก็บเรียบร้อย ผมยกกระเป๋าลงมาข้างล่าง ป้าจันมองด้วยความแปลกใจที่เห็นผมหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ลงมาข้างล่าง


   “ตาคี อะไรกันจ้ะ จะไปไหน” ป้าจันเดินมาหาผม


   “คีจะกลับบ้านคืนนี้นะครับป้าจัน”


   “ทำไมปุบปับจะกลับล่ะลูก เพิ่งสอบเสร็จไม่ใช่เหรอ”


   “คีอยากกลับไปหาแม่ครับ จู่ๆ ก็คิดถึงแม่ขึ้นมาทันด่วน” ผมกอดป้าจัน ทำน้ำเสียงให้ร่าเริงว่าจริงๆ แล้วผมเป็นลูกแหง่ติดแม่


   “โกหกคนแก่บาปนะลูก”


   “จริงๆ นะครับป้าจัน” ผมไม่ได้โกหกนะครับ แค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง


   “ทะเลาะกับพี่เขาใช่มั้ย” ป้าจันถอนหายใจแล้วก็ถามผมออกมาเบาๆ


   “เปล่าครับ”


   “แล้วบอกพี่เขาหรือยังว่าเราจะบินคืนนี้”


   “ไม่ได้บอกครับ” ผมตอบไม่ได้เพราะผมไม่อยากให้เฮียเมฆรู้ แต่คงโกหกตัวเองไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วก็อยากให้เฮียเมฆรู้เหมือนกัน


   “อ้าว งั้นก็บอกพี่เขาก่อนสิ เดี๋ยวก็โกรธเราหรอก”


   “คีคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องบอกหรอกครับ”


   “นั่นไง ว่าแล้วเชียว ยังจะโกหกป้าว่าไม่ได้ทะเลาะกัน”


   “ไม่ได้โกหกครับป้าจัน ช่วงนี้พี่เมฆก็งานยุ่งๆ คีไม่อยากรบกวน” ผมไม่ได้โกหกเพราะแม้แต่คำเดียวผมกับเฮียเมฆก็ยังไม่ได้คุยกันเลย


   “ป้าไม่เคยเห็นว่าตาเมฆจะคิดว่าคีรบกวนเลยสักนิด มีแต่รายนั้นเข้าไปกวนเราตลอดไม่ใช่เหรอ เฮ้อ ป้าไม่อยากให้เราทำแบบนี้เลยนะจ้ะ ป้าไม่รู้ว่าคราวนี้ทะเลาะอะไรกันอีก แต่มีอะไรก็อยากให้คุยกันก่อน”


   “ให้คีกลับบ้านก่อนเถอะนะครับ ป้าจัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ถ้าป้าจันสงสัย ก็ถามจากพี่เมฆเอาเองนะครับ”


   “ต่อให้ป้าพูดยังไงก็จะไม่ฟังใช่มั้ย แน่ใจแล้วนะว่าจะกลับไปวันนี้”


   “ครับ”


   “ถ้างั้นป้าก็จะไม่ห้าม แต่ต้องสัญญากับป้าก่อนว่าจะกลับมาเรียนต่อให้จบ”


   “คี...” บอกตรงๆ นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมพร้อมจะกลับมาหรือเปล่า


   “สัญญากับป้า” ป้าจันเป็นผู้หญิงน่ารักครับ แต่บทจะโหดก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


   “คีจะพยายามครับ”


   “แค่พยายามไม่ได้จ้ะ คีต้องกลับมาให้ได้ เหลืออีกแค่ปีเดียวเองนะลูก เรามีหน้าที่เรียนก็ต้องทำให้สำเร็จ เรื่องอื่นๆ มันเป็นเรื่องรองถึงคีอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันยังไม่สมควรจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคีตอนนี้ คีเข้าใจมั้ยลูก” ป้าจันกำลังสอนให้ผมมีสติครับ ให้จัดลำดับความสำคัญอะไรก่อน อะไรหลัง


   “เข้าใจแล้วครับ ป้าจัน ขอบคุณครับ คีจะกลับมา คีสัญญา”


   “ดีมากจ้ะ เดี๋ยวป้าไปส่งที่สนามบิน”


   “ไม่เป็นไรครับป้าจัน”


   “ไม่ได้จ้ะ ขืนปล่อยให้ไปเองแบบนี้ เดี๋ยวจะฟุ้งซ่านหนักกว่านี้”


   “คีไม่เป็นไรหรอกครับ”


   “น้อยไปสิ หลานคนนี้ คิดว่าป้าไม่รู้จักเราเหรอไง” เห็นป้าจันเฉยๆ เป็นแม่บ้านอยู่บ้านเฉยๆ แต่เรื่องสังเกตนี่ไม่เป็นรองใครเลยครับ


   “ป้าจัน”


   “เดี๋ยวป้าไปหยิบกระเป๋าก่อน คีเดินไปบอกลุงแช่มหน่อยว่าให้เอารถออก” ผมทำตามคำสั่งของคุณป้าแล้วก็ยืนรออยู่ตรงหน้าบ้านนั่นแหละครับ


   “หมาย เดี๋ยวกลับไปรับตาเมฆที่บริษัทเหมือนเดิมนะ ฉันจะไปส่งตาคีที่สนามบินสักหน่อย อ้อ ถ้าตาเมฆถามก็ไม่ต้องบอกล่ะ ปล่อยให้โวยวายไปอย่างนั้นแหละ แช่มได้ยินแล้วใช่มั้ย ไปส่งฉันที่สนามบิน” ป้าจันจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งในรถ




   ภายในรถป้าจันพยายามเล่าเรื่องสัพเพเหระเพราะไม่อยากให้ผมต้องจมอยู่กับความคิดเงียบๆ ตามลำพัง ณ จุดๆ นี้ผมยังไม่อยากพูดอะไร พยักหน้าเออ ออไปตามเรื่องตามราว ป้าจันก็รู้ครับว่าผมแทบไม่ได้ฟังเรื่องที่ป้าเล่า แต่ป้าก็ไม่โกรธ ผมอยากบอกว่าผมรักป้าจันมากนะครับ ป้าเป็นป้าที่น่ารัก เหมือนแม่คนที่สองของผมเลย แต่ผมยังไม่มีแรงจะพูดอะไรออกไป




   ผมเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์เช็คอินของสายการบิน ระหว่างทางผมเสิร์ชสายการบินที่ตรงไปยังเมืองที่ผมอยู่ ซูริค สวิตเซอร์แลนด์ครับ ครอบครัวผมอยู่ที่นั่น ผมเลือกสายการบินที่บินออกจากสุวรรณภูมิเร็วที่สุดโดยไม่สนใจราคาตั๋วของมัน ผมได้เวลายี่สิบนาฬิกา สามสิบห้านาที เป็นรอบเครื่องบินที่เร็วที่สุดในเวลานี้ ถึงจะใช้เวลาบินถึงสิบห้าชั่วโมงเพราะต้องต่อเครื่องอีกหนึ่งจุดแต่ผมก็ไม่สนใจครับ ขอให้ผมได้ไปก็พอ




   ผมถือตั๋วเครื่องบินเอาไว้ เดินเข้าไปหาป้าจัน ผมกอดป้าจันจนแน่น ผมโหยหาความรักจากทุกคนที่อยู่รอบกายผม ผมไม่ได้อยากกลับไปตอนนี้ ผมอยากอยู่ตรงนี้ให้อีกนานสักหน่อย แต่ผมยังเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผมเห็นเมื่อช่วงเย็น ความกล้าของผมที่อยากจะฟังคำอธิบายของเฮียเมฆ มันกลายเป็นเศษแก้วที่แตกสลายไปพร้อมกับภาพตรงหน้า




   มันคงสายไปแล้ว วันที่ผมพร้อมคือวันที่เฮียเมฆก็พร้อมจะไปจากผมเหมือนกัน




   “คีไปก่อนนะครับป้าจัน” ผมก้มลงหอมแก้มป้าจัน ทั้งที่ยังกอดป้าจันอยู่


   “เดินทางปลอดภัยนะลูก” ป้าจันลูบศีรษะของผมเหมือนเช่นเคย


   “ครับ”


   “ถึงแล้วโทรหาป้าด้วยนะจ้ะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”


   “แน่นอนครับ คีรักป้าจันนะครับ”


   “ป้าก็รักคีจ้ะ”


   “ไปนะครับ” ผมยกมือไหว้ป้าจัน แล้วก็ลากกระเป๋าเข้าไปด้านใน



   ผมโทรบอกไอ้ธร ที่ต้องผิดนัดมันวันพรุ่งนี้ มันโวยวายใส่ผมแต่มันก็เข้าใจผมเหมือนทุกครั้ง มันรับรู้จากน้ำเสียงของผมได้ดีทั้งที่ผมไม่ต้องบอกมันว่าผมเจอกับอะไรมา ไอ้ธรบอกผมให้ดูแลตัวเองดีๆ เจอกันวันเปิดเทอม ผมปิดเครื่องมือสื่อสาร รัดเข็มขัดเรียบร้อย ผมได้ที่นั่งริมหน้าต่าง เครื่องกำลังจะบินขึ้นสู่น่านฟ้า ผมได้ยินเสียงกัปตันแนะนำตัวเองและแจ้งจุดหมายปลายทางของการบินในครั้งนี้ ผมได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เพราะไม่ได้สนใจที่จะฟัง ผมหลับตาลง อยากจะลืมภาพที่เห็น ลืมสิ่งที่คิด อยากจะลืมทุกๆ อย่าง แต่ผมทำไม่ได้ ทรมานเหลือเกิน หัวใจผมเหมือนกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียให้ได้



   “คุณครับ” ผมได้ยินเสียงของใครสักคนเรียก แต่ผมยังไม่ได้ลืมตา


   “คุณครับ คุณ” ใครกันนะ ยังเรียกไม่ยอมหยุด ผมอยากจะอยู่เงียบๆ


   “คุณ” ผมลืมตาหันไปตามเสียงที่เรียก


   “ครับ?” ผู้ชายที่นั่งข้างๆ ผม ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ผม เอามาให้ผมทำไม


   “เช็ดซะเถอะครับ” ผู้ชายคนนั้นบอกผม สติของผมกลับคืนมาทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมคงร้องไห้ออกมา


   “ขอบคุณครับ” ผมรับผ้าเช็ดหน้านั้นขึ้นมาเช็ดแล้วก็หันไปทางหน้าต่างเหมือนเดิม



สักพักก็ได้ยินเสียงพนักงานต้อนรับประกาศว่าตอนนี้เครื่องบิน บินอยู่ในระดับที่คงที่แล้ว ผมมองสัญญาณก็เห็นว่าตอนนี้สามารถถอดเข็มขัดที่นั่งออกได้แล้ว ผมจึงขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำครับ



   ผมทำธุระไม่นาน ล้างหน้าล้างตาให้พอสะอาดขึ้น แล้วก็กลับเข้ามาที่นั่งของตัวเอง



   “ผ้าเช็ดหน้าคุณเลอะแล้ว ขอโทษด้วยครับ” ผ้าเช็ดหน้าของผู้หวังดีนั้นตอนนี้สภาพไม่ค่อยเหมือนเป็นผ้าเช็ดหน้าเท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันยับยู่ยี่แถมเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและน้ำมูกของผมอีก


   “ไม่เป็นไรครับ” ทางนั้นตอบอย่างอารมณ์ดี




   
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เจ็ด 05-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-09-2016 21:08:09


ผมสังเกตดู ผู้ชายคนนี้ลักษณะไม่เหมือนนักศึกษาอย่างผม น่าจะอยู่ในวัยทำงานเสียมากกว่า ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว ไม่ได้ผูกไทค์ สวมกางเกงยีนส์ รองเท้าหนังหุ้มข้อ จากใบหน้าที่จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเลยครับ คิ้วคมเข้ม ตาโตแต่ออกดุ อายุไม่น่าเกินยี่สิบห้า แต่การแต่งตัวดูไม่ใช่แฮะ อาจจะไม่เกินสามสิบหรอกมั้ง จะว่าไปทั้งหน้าตาหรืออายุก็ดูคล้ายเฮียเมฆ เหมือนกันนะ




   ผมคิดถึงเฮียเมฆอีกครั้ง พอคิดถึงเฮียเมฆแล้วจิตใจของผมก็กลับมาหดหู่เหมือนเดิม ชีวิตคนอกหักนี่มันเศร้า และไม่รู้อาการเหล่านี้เมื่อไหร่จะหายดี มีเงินเท่าไหร่ก็รักษาให้หายไม่ได้ นอกจากใจของตัวเองจะเยียวยาให้ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องพึ่งยา


   “คุณไม่เป็นอะไรนะครับ” ผู้ชายข้างๆ ถามผม ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ดูเหมือนไม่ค่อยไว้วางใจว่าผมนั้นจะสบายดี ผมรู้ครับ ตอนนี้ใบหน้าของผมคงไม่ค่อยสู้ดีหรอก เพราะจิตใจยังไม่ได้ฟื้นฟูเลยนี่ครับ


   “ก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องสาธยายกับคนที่ไม่รู้จักว่าผมไปเจออะไรมา เจ็บปวดกับอะไรอยู่ แล้วทำไมถึงต้องร้องไห้ จริงมั้ยครับ


   “อ้อ เกือบลืม เรื่องผ้าเช็ดหน้า ผมขอจ่ายเป็นเงินคืนให้ได้มั้ยครับ” มือที่กำผ้าเช็ดหน้าอยู่ทำให้ผมนึกขึ้นได้


   “ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องเล็กน้อย”


   “ไม่ดีหรอกครับ แล้วคุณจะเอาผ้าเช็ดหน้าที่ไหนใช้ล่ะ”


   “ผมไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ตัวเองหรอกครับ”


   “ครับ?” อ้าว คนเราก็แปลก แล้วจะพกผ้าเช็ดหน้าไว้ทำไม ผมนี่งง เลย


   “ผมพกผ้าเช็ดหน้าไว้ให้สาวๆ น่ะครับ แต่ครั้งนี้คงผิดคาดไปหน่อย กลายเป็นคุณไปเสียได้”


   “ผิดคาดไปเยอะเลยนะครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะขำในอารมณ์ขันของอีกฝ่าย


   “ยิ้มแล้วดูสดใสดีนะครับ” ผมนี่แทบจะหุบยิ้มไม่ทันเลยทีเดียว นานแล้วเหมือนกันนะครับ ไม่มีใครชมผมแบบนี้ ส่วนใหญ่จะชมว่าหน้าสวย หน้าหวานประมาณนั้น


   “เอ่อ..” ผมนี่ถึงกับไปไม่ถูกเลย


   “แค่พูดไปตามที่คิดครับ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท”


   “เปล่าหรอกครับ ผมตกใจเฉยๆ จู่ๆ ก็ถูกชมซึ่งๆ หน้า”


   “งั้นเหรอครับ ให้พี่แนะนำตัวนะ พี่ชื่อชนกันต์นะ เรียกพี่กันต์ก็ได้ ดูจากหน้าของน้องแล้ว พี่น่าจะแก่กว่านะ แล้วน้องล่ะชื่ออะไรครับ” ผมงงเล็กน้อยถึงปานกลางครับ ผู้ชายคนนี้ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายจนน่าประหลาดใจ เขาให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนพี่ชายคนโตที่คอยดูแลน้องๆ หลายคน


   “ผมชื่อคีครับ คีรินทร์”


   “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ น้องคี”


   “เอ่อ ไม่ต้องเรียกผมว่าน้องก็ได้ครับ อายุเราสองคนไม่น่าจะห่างกันมาก” จริงๆ คือไม่คุ้นที่จะถูกเรียกว่าน้องด้วยล่ะครับ ที่บ้านไม่มีใครเรียกสักคน ป้าจันก็เรียกคีบ้าง ตาคีบ้าง ส่วนแม่ก็เรียกคีเฉยๆ เองครับ


   “จริงเหรอ คิดว่าพี่อายุเท่าไหร่ล่ะ” พี่กันต์พูดด้วยใบหน้ายิ้มๆ ครับ ถ้าบอกว่ารุ่นเดียวกัน  ผมก็เชื่อนะครับเนี่ย


   “อ่ะ ผมให้สุดๆ เลยสามสิบ แต่คิดว่าน่าจะไม่ถึงหรอก”


   “ผิดหมดเลย ลองทายอีกทีดีมั้ย แก้ตัว” ผิดหมดเลย หมายถึงแก่กว่านี้หรืออ่อนกว่านี้ล่ะ


   “งั้นสามสิบสองครับ” ผมเคาะตัวเลขออกไป


   “แน่ใจ?” พี่กันต์เลิกคิ้วถามผมให้ชัด


   “ครับ”


   “ก็ยังผิดอยู่ดี” ทางนั้นหัวเราะเบาๆ ในคอครับ


   “แล้วพี่กันต์จะไม่เฉลยหน่อยเหรอครับ”


   “พี่น่ะเหรออีกไม่กี่เดือนก็จะสามสิบหกแล้วล่ะครับ”


   “เหวออ เป็นไปไม่ได้อ่ะ” ผมนี่โคตรตกใจเลยครับ คือหน้าเด็กไปมากโข เพราะที่ผมคิดต่ำสุดๆ คือยี่สิบห้า นี่ผมเดาลดอายุพี่กันต์เป็นสิบปีเลยนะเนี่ย


   “น้องคีไม่ใช่คนแรกที่เดาผิดหรอกครับ”


   “โหย แต่ผมเดาผิดเยอะเลยนะครับ”


   “ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก พี่ชินแล้ว”


   “ครับ แล้วพี่กันต์มาเที่ยวหรือมาทำงานครับ”


   “เที่ยวครับ พักร้อน กว่าจะขอลาพักร้อนได้ บริษัทนี้โหดมาก แล้วคีล่ะ” พี่กันต์พูดยิ้มๆ เหมือนเคยครับ น่าจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพี่เขานั่นแหละ แต่ผมคิดว่าดูออกนะถึงพี่กันต์จะบอกว่าบริษัทนี้โหด แต่พี่แกดูมีความสุขที่ทำงานที่นั่นนะครับ ไม่รู้ว่าผมจะคิดไปเองหรือเปล่า


   “ผมกลับบ้านน่ะพี่ เพิ่งสอบเสร็จ”


   “ที่สวิตน่ะเหรอ ใช่หรือเปล่า”


   “ครับ แต่ผมไม่ได้เกิดที่นั่นนะ เกิดที่ไทยนี่แหละ แต่พ่อกับแม่ไปทำงานที่นู่น” ทำไมผมถึงเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับพี่กันต์ ผู้ชายที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงสองชั่วโมงนี้ฟังง่ายๆ นะ


   “โอ้ หนุ่มนอกเหรอเนี่ย”


   “ครับ? เฮ้ย ไม่ใช่พี่ ผมไทยแท้ๆ เลยนะ”


   “ไม่ต้องรีบร้อนแก้ตัว พี่ไม่ได้ว่าอะไรเลย แค่แซวเฉยๆ หนุ่มสวิต อิมพอร์ตเข้าไทย ยังไงล่ะ” แปลกแฮะ ผมรู้สึกวาบในใจ ตอนนี้พี่กันต์ลูบหัวผมเบาๆ เหมือนกับเฮียเมฆทำ แต่กลับไม่รู้สึกเหมือนเฮียเมฆเลย


   ทุกครั้งที่เฮียเมฆลูบหัวผม มันเหมือนผมเป็นสุนัขตัวน้อยคอยรับความรักจากเจ้านาย รอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้รับเสียที แต่กับพี่กันต์ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องชายที่รักกันมากแล้วเพิ่งกลับมาเจอกัน


   “อึดอัดมั้ย พี่ไม่ได้คิดอะไรกับน้องคีมากกว่าพี่ชายนะ ไม่น่าเชื่อแต่รู้สึกเหมือนได้เจอน้องชายยังไงก็ไม่รู้” คำพูดของพี่กันต์ทำให้ผมตกใจอีกครั้งเพราะสิ่งที่พี่เขาพูดเหมือนกับที่ผมคิดทุกอย่างเลย


   “ไม่เลยพี่กันต์ ผมเองก็รู้สึกเหมือนได้เจอพี่ชายเลยอ่ะ”


   “ถ้ารู้สึกเหมือนว่าพี่เป็นพี่ชาย ก็เรียกแทนตัวเองว่าคีได้แล้วล่ะนะ”


   “ครับ พี่กันต์” แล้วผมก็ตอบรับออกไปง่ายๆ



   คุณเคยรู้สึกถูกชะตากับใครทั้งที่เพิ่งจะเจอหน้ากันมั้ยครับ ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเลยนะ ทุกอย่างต้องมาจากการได้พูดคุย รู้จัก ศึกษาลักษณะนิสัยใจคอเสียก่อน ผมถึงจะค่อยยอมวางใจ เหมือนไอ้ธร กว่าจะสนิทกันแบบนี้ต้องใช้เวลาครับ ไม่ใช่ปุบปับก็รักกันจนตายแทนกันได้ และยิ่งต่างจากถูกชะตาที่เจอคู่นอนรายวัน นั่นเขาเรียกถูกตาถูกใจครับ



   แต่พี่กันต์คนนี้ ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นครับ ผมไม่รู้จะอธิบายออกมาให้คุณเข้าใจยังไง แต่เอาเป็นว่าผมรู้สึกเหมือนเราเป็นพี่น้องกันมานานแล้วครับ


   “คี มีพี่น้องหรือเปล่า”


   “ยังไงดีล่ะ มันตอบยาก”


   “ก็อย่าตอบให้ยากสิ ง่ายๆ น่ะ อย่าไปคิดให้ยาก” พี่ชายของผมว่าแบบนั้น


   “คีมีพี่ชายหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน แต่ทั้งสองคนไม่ใช่พี่กับน้องแท้ๆ”


   “ตอนนี้มีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วมั้ง” พี่กันต์หันมาถามผม


   “จริงด้วย ตอนนี้คีมีพี่กันต์เป็นพี่ชายอีกคน”


   “คีไม่สบายใจอะไรอยู่ใช่หรือเปล่า อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังมั้ย แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่านะ พี่ไม่ได้บังคับ”


   “ก็มีแหละครับ พี่กันต์คงเห็นว่าคีร้องไห้” ผมชูผ้าเช็ดหน้าในมือให้พี่กันต์ดู


   “อาจจะร้องไห้เพราะคิดถึงบ้านก็ได้นี่นา”


   “แต่ผมกำลังจะกลับบ้านนะครับ”


   “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าที่ไหนเป็นบ้านมากกว่ากัน” พี่กันต์พูดแบบนั้นแล้วก็ดีดหน้าผากผมเบาๆ ไปทีหนึ่งไม่แรงนัก น่าจะเรียกว่าดีดเรียกสติมั้งครับ


   “พี่น่ะอ่านใจคนเก่งนะ” พี่กันต์ พี่ชายคนใหม่ของผม ดูเหมือนจะเริ่มโม้แล้วล่ะครับ


   “จริงเหรอ?” ผมชอบจริงๆ คนขี้โม้ ไหนๆ ขอดูหน่อย


   “คีอกหัก” โอ้ย แทงใจดำผม


   “พี่รู้ได้ไงอ่ะ”


   “จิตวิทยาน่ะ พี่ไม่ได้อ่านใจคนได้หรอกนะ พี่ไม่ใช่เทพ”


   “อ้าว แล้วพี่เดาถูกได้ไง”


   “เคยได้ยินมั้ย หมอดูคู่กับหมอเดา ก็คงคล้ายๆ กันแหละ พี่ลองถามคีไปแล้วว่าร้องไห้ทำไม คีบอกว่าไม่ได้คิดถึงบ้านใช่มั้ย”


   “ครับ”


   “คนเรามีไม่กี่อย่างหรอกนะ ที่หน้าตาจะอมทุกข์เศร้าโศกแบบนี้ แล้วทั้งที่กำลังจะกลับบ้านมันน่าจะดีไม่ใช่เหรอ”


   “ก็จริงครับ”


   “ส่วนใหญ่ มนุษย์มักให้ความสำคัญกับเรื่องของจิตใจ โดยเฉพาะเรื่องความรัก เรามักจะจัดให้ความรักอยู่เหนือทุกอย่าง แบบถ้าขาดเธอไปฉันคงตายหรืออยู่ไม่ได้ ประมาณนั้นล่ะมั้ง”


   “แล้วยังไงต่อครับ” ผมชักฟังก็เริ่มสนุก เพราะมันก็เกี่ยวกับที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ด้วยเหมือนกัน


   “พี่ก็แค่เดาไงล่ะ”


   “โห่ แค่นี้เองเหรอพี่ คีอุตส่าห์ลุ้นแทบแย่”


   “ไหงทำเสียงผิดหวังขนาดนี้ อ้ะ แถมให้อีกอย่างก็ได้ คีอกหักจากผู้ชาย”


   “ผู้ชายเนี่ยนะ ไม่มีทาง” ผมรีบสั่นหน้าปฏิเสธพี่กันต์ทันที เพราะอยากให้พี่กันต์รู้สึกว่าตัวเองเดาผิดครับ จริงๆ ก็คือจะแกล้งพี่กันต์นั่นแหละ ว่าแต่ เอ... พี่กันต์รู้ได้ยังไงว่าเป็นผู้ชายหว่า


   “บอกแล้วไงว่าจิตวิทยา อย่าดูถูกการเดาของพี่สิ ผู้ชายที่ว่านั้นเป็นพี่ชายของคีด้วยสินะ”


   “......” ใบ้แดกครับ ถูกเป๊ะ ชัดเจน นี่พี่อยู่ในเพจใต้เตียงดาราหรือเปล่าเนี่ย ถึงรู้แจ้งเห็นจริงอย่างกับตาเห็น


   “ถูกล่ะสิ”


   “พี่กันต์ทำเอาคีอึ้งไปเลยนะ พี่รู้ได้ไง”


   “ก็คีอ้ำอึ้งตอนพี่ถามเรื่องพี่น้องไง เดาง่ายจะตาย”


   “ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอกไงไม่รู้เลยอ่ะ”


   “คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาดนะ” ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งครับ ปากพี่กันต์นี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ เห็นทีแรกพูดจาไพเราะ คงสำหรับคนแปลกหน้าไม่คุ้นเคยล่ะนะ พอเป็นตัวของตัวเองนี่พ่นมาแต่ละคำผมนี่อึ้งไปเหมือนกัน


   “พี่หลอกด่าผมเปล่าเนี่ย”


   “คีโง่เหรอ ถึงคิดว่าพี่ด่า” นั่นไงครับ มาอีกคำแล้ว


   “โหยปากพี่นี่มัน”


   “ฮ่าๆ พี่รู้ๆ โทษที ไม่แกล้งแล้ว”


   “พี่ที่ดีห้ามแกล้งน้องนะครับ”


   “ถ้าน้องดี พี่ก็ไม่แกล้งครับ” เอาละไง เผลอมีช่องว่างไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย



   แล้วเรื่องราวระหว่างผมกับเฮียเมฆก็ออกจากปากผมไปถึงหูพี่กันต์ มันเป็นความไว้ใจที่ไม่สามารถใช้อะไรวัดได้ นอกจากความรู้สึกครับ แล้วผมเองก็อยากจะระบายให้ใครสักคนฟัง ขอแค่ใครสักคนก็พอ แล้วคุณล่ะมาฟังพร้อมๆ พี่กันต์มั้ย นี่ก็ถือว่าผมไว้ในคุณเหมือนกันนะครับ


   “วันนี้คีตั้งใจไปหาพี่ชายคนนั้น พี่เค้าชื่อเมฆครับ ผมมาเรียนที่ไทยช่วงมอห้า พักอยู่ที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่พี่เมฆ ตอนเด็กๆ ผมเป็นเด็กข้างบ้านพี่เมฆก่อนที่พ่อกับแม่ผมจะย้ายมาที่สวิต”


   “พี่ฟังอยู่ แล้วหลังจากนั้นล่ะ” พี่กันต์ตั้งใจฟังผมตลอดโดยไม่ขัดจังหวะอะไร พอเห็นว่าผมเงียบก็จะคอยบอกว่ากำลังฟังอยู่


   “ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เมฆ มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะครับ ผมรักพี่เมฆ ส่วนพี่เมฆเองก็รักผมเหมือนกัน แต่เราไม่ได้เป็นแฟนกัน เรารักษาสถานะไว้แค่พี่ชายกับน้องชายไว้อย่างนั้น พี่กันต์งงมั้ยครับ”


   “ไม่ครับ พี่เข้าใจ”


   “ผมมีอิสระจะไปที่ไหนก็ได้ จะทำอะไรก็ได้” ผมมองหน้าพี่กันต์แวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อ


“แม้กระทั่งเรื่องที่ผมจะนอนกับใครก็ได้ พี่เมฆขอไว้อย่างเดียวใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้ชาย”


“ใจกว้างนะเนี่ย พี่เมฆคนนี้”


“นั่นสิครับ ถ้าเป็นผมนะ ไม่ยอมหรอก”


“เชื่อพี่เถอะ ว่าพี่เมฆของน้องคีน่ะ ไม่อยากให้คีทำแบบนั้นหรอก แต่ไม่อยากเสียคีไปต่างหากล่ะ ถึงยอมแบบนั้น”


“ครับ?” ผมมองหน้าพี่กันต์ด้วยความโคตรที่จะไม่เข้าใจเลยครับ มีเหตุผลอะไรที่เฮียเมฆจะต้องยอมทำแบบนั้น


“พี่ไม่บอกคีหรอกนะ อันนี้คีควรไปถามกับเจ้าตัวเอง” พี่กันต์ยังไม่หลุดพ้นคอนเซ็ปต์กลั่นแกล้งน้องชายครับ


“พี่กันต์บอกคีเถอะนะครับ คีไม่รู้จริงๆ”


“ถ้าพี่บอกคีง่ายๆ มันก็ไม่สนุกน่ะสิ เรื่องแบบนี้ไปถามเจ้าตัวเขาน่ะ ดีแล้ว เล่าต่อสิพี่รอฟัง” พี่กันต์มองผมด้วยแววตาอ่อนโยน ลูบหัวผมเหมือนเดิมครับ


“ครับ มีอยูวันนึงผมไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วเจอพี่เมฆอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน แต่ที่ต่างออกไปคือพี่เมฆพาเพื่อนที่ผมไม่เคยเห็นหน้ารู้จักมาก่อน พี่คนนั้นชื่อพี่พีชครับ”


“สาเหตุของปัญหาสินะ”


“ครับ คือวันนั้นพี่เมฆไปส่งพี่พีช ผมเห็นพี่เมฆจูบกับพี่พีช”


“แน่ใจเหรอ?”


“พี่พูดเหมือนเพื่อนผมเลย แต่ผมเห็นมากับตานะ”


“มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คีเห็นก็ได้นะ”


“ครับ ไอ้ธร เพื่อนผมน่ะ ก็พูดแบบนั้น พี่เมฆเองก็อยากอธิบาย แต่ผมยังไม่พร้อมก็เลยขอเป็นหลังสอบเสร็จซึ่งก็คือวันนี้ครับ ผมไปหาพี่เมฆ แต่ผมเห็นพี่เมฆกับพี่พีชกอดกันอยู่กลางห้องทำงาน”


“คีก็เลยหนี?”


“ครับ ผมเลยเลือกที่จะหนี ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป แต่ผมคิดว่าไม่ไหวจริงๆ ถ้าอยู่ต่อผมต้องแย่แน่ๆ เลย”


“เด็กหนอเด็ก” พี่กันต์หัวเราะกับคำพูดของผม


“เด็กอะไรกับครับพี่กันต์”


“โทษที พี่หยุดขำไม่ได้น่ะ” พี่กันต์ยังหัวเราะต่อไป ผมไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหนเลยครับ มันมีแต่เรื่องเสียใจต่างหาก


“หยุดหัวเราะได้แล้วครับ ผมนะครับที่เป็นฝ่ายเสียใจ”


“ไม่หัวเราะแล้ว ไม่แล้ว” พี่กันต์พยายามกลั้นหัวเราะ ในที่สุดก็หยุดหัวเราะได้ครับ


“คีเห็นแค่เขาสองคนกอดกัน ก็เลยหนีสินะ”


“ครับ ก็นะ ... ไหนจะเรื่องที่จูบกัน กอดกัน ยังไม่นับที่นัดไปกินข้าวด้วยกันอีก พี่เมฆคงไม่รอผมอีกต่อไปแล้วล่ะครับ” กลับสู่โหมดแห่งความเศร้าเสียทีครับ


“คิดเอง เออเอง นี่แหละน้ายังไม่ได้คุยกันเลย”


“พี่กันต์!!”


“เอาล่ะๆ พี่เข้าใจ คีไม่พร้อมจะฟังใช่มั้ยล่ะ พออยากฟังก็ดันไปเห็นภาพบาดตาบาดใจอีก”


“ก็อย่างนั้นล่ะครับ”


“แล้วหลังจากกลับไปที่สวิต น้องคีจะทำอะไรล่ะครับ”


“ก็คงอยู่กับแม่บ้าง เลี้ยงน้องบ้าง แล้วก็ไปเที่ยวมั้งครับ”


“พี่หมายถึง เรื่องพี่เมฆต่างหาก”


“คียังไม่ได้คิดเลยครับ”


“มาพนันกับพี่มั้ย น้องคี”


“พนันอะไรครับ”


“ก็พนันว่าสิ่งที่น้องคีเห็นมันไม่ใช่อย่างที่คิดไงล่ะ” หน้าตาพี่กันต์ไม่ชวนให้คิดว่าจะเป็นคนที่ชอบเล่นการพนันเลยครับ


“พี่กันต์ไม่เล่นแบบนี้สิครับ”


“ใครป๊อดไม่เล่น พี่เรียกหมานะครับ” ปากคอยังเหมือนเดิม


“ก็ได้ครับ พี่กันต์จะพนันว่าไง”


“พี่พนันว่าพี่เมฆไม่ได้คิดอะไรกับพี่พีช ใครแพ้ต้องยอมทำตามคนชนะ”


“ต้องทำตามทุกอย่างเลยเหรอครับ” น้ำเสียงผมคงดูตกใจ เพราะพี่กันต์ถึงกับกลั้นหัวเราะ


“อ้าวนี่คิดว่าจะแพ้เหรอ ไหนว่ามั่นใจว่าพี่เมฆไม่รอคีแล้วยังไง”


“โหย พี่กันต์ พี่นี่ร้ายกว่าที่ผมคิดเยอะเลย”




   ตลอดระยะเวลาสิบห้าชั่วโมงที่ยาวนาน แต่ความรู้สึกว่าผ่านไปไว ผมคุยกับพี่กันต์จนถึงรุ่งเช้า เราทั้งคู่แทบไม่ได้นอนเลย แล้วเสียงประกาศก็ดังว่าเครื่องกำลังค่อยๆ ลดระดับ ผมกับพี่กันต์ก็ถึงสนามบินซูริคอย่างปลอดภัย ผมแลกเบอร์ แลกไลน์กับพี่กันต์กันไว้ติดต่อกันครับ ถึงจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเสียใจ แต่ความทุกข์ก็ถูกบรรเทาด้วยคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย





-----------------------
เฮียเมฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆฆ มาง้อเด็กขี้งอนเร็วววววววววววว สถานการณ์ตอนนี้ดูจะหนักขึ้นกว่าเดิม
เฮียเมฆจอมสร้างเรื่องก็สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกระลอก ครั้งนี้คีเปิดใจรับฟังแล้วน้า แต่เซอร์ไพรส์เยอะเลยแฮะ

ตอนนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มขึ้นคือพี่กันต์ แต่ก่อนหน้านี้พี่กันต์อยู่อีกเรื่องค่ะ คือกว่าจะเข้ากันได้ พี่กันต์เป็น ผู้จัดการส่วนตัว
ของลุงธนา ลิงค์อ่านเรื่องนี้อยู่หน้าแรกค่ะ เขมอยากมีเรื่องพี่กันต์ของเจ้าตัวเองสักเรื่องเหมือนกันค่ะ
ยังหาโอกาสไม่ได้เลย เพราะพี่กันต์เป็นหนุ่มหน้าเด็กและฉลาดพอตัวเลยทีเดียว แถมใจยังนิ่งมากด้วยล่ะค่ะ
เป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยเลย

----

คุณ ทฟเืนสรฟ -- อย่างที่เขมเคยบอกไว้ อีกไม่กี่ตอนค่ะ เรื่องราวจะชัดเจนแล้วค่ะ อยู่ข้างคี หรือเฮียเมฆ เลือกได้เลยค่ะ

คุณ Yara -- ใช่ค่ะ ไม่มีไฟ ย่อมไม่มีควัน ตอนนี้นี่ไฟลูกใหญ่เลยล่ะค่ะ

คุณ DESZCZ -- เชื่อเขมสิคะ จริงจริ๊งงงง น้า

คุณ หมอตัวเปียก -- คียอมฟังแล้วน้า แต่เฮียเมฆสิคะ ลงโทษเลยค่ะ

คุณ Peung002 -- อย่าหน่วงเลยนะคะ คีไม่ใช่เด็กน้อยจอมเศร้าหรอกค่ะ

คุณ Jibbubu -- เกือบจะรู้เรื่องแล้วเชียว เฮียเพิ่มเรื่องอีกแล้ว

คุณ Varsator -- จริงๆ แล้วคีเป็นเด็กแสดงออกชัดค่ะ แต่กลับไม่ยอมรับความสัมพันธ์กับเฮียเมฆ ด้วยหลายอย่างในใจ รอติดตามต่อนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนนะคะ

เขม ขอขอบคุณทุกคอมเมนท์ ทุกคนอ่านที่ให้กำลังใจทั้งคนใหม่และคนเก่ามากเลยนะคะ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-09-2016 22:05:23
คิดอีกแบบเรื่องจูบ เรื่องกอด บางที คนจูบเป็นพี่พีช
แต่ถ้าไม่ได้จูบ เป็นแบบมุมกล้องที่บังกัน
หรือ ผงเข้าตาพี่พีช เฮียเมฆช่วยดูให้
คนข้างหลังมองว่าจูบ
ส่วนกอด พี่พีช เป็นกอดเองอีกเหมือนกัน
หรือ สถานการณ์ จะล้มเซ แล้วอีกฝ่ายเข้ามาพยุง รับ ก็เลยเหมือนกอดกัน
เหมือนละคร เรื่องที่เห็นกับตา บางทีไม่ใช่เรื่องที่เห็น
แต่เรื่องนี้ ถ้าไม่จริง พี่เมฆน่าจะจับตัวคี บังคับให้ฟังคำอธิบายซะเลย
นี่เป็นฝ่ายเฮียเมฆ ละนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-09-2016 22:52:49
ก็อยากเชื่อเฮียเมฆนะ แต่น้องคีเห็นตำตาขนาดนี้ก็คงเชื่อยาก อีกอย่างที่เรื่องมันยืดเยื้อขนาดนี้ ส่วนนึงเป็นเพราะคีไม่ยอมคุย แต่ส่วนนึงเป็นเพราะเฮียเมฆไม่เด็ดขาดนะ ก็รู้ว่าคุณพีชคิดยังไงก็ยังปล่อยให้เค้าถึงเนื้อถึงตัวได้บ่อยครั้ง งานนี้ใครจะเชื่อลง
ปล. ทำไมเรารู้สึกว่าพี่กันต์เป็นสปายของป้าจันล่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 12-09-2016 23:22:33
คีเอาแต่หนี แต่ก็เข้าใจตัวคีนะ สถานภาพมันเป็นแบบนั้นมาตลอด เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่่ได้ แล้วมาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ถาโถมเข้าใจอีก ใจที่เปราะอยู่แล้วก็ยิ่งเตลิด

เมฆเองก็น่าจะคิดแต่ในมุมตัวเองเหมือนกัน

สรุปคือคนสองคนไม่ยอมเปิดใจคุยกันนั้นแหละ เลยเป็นเรื่อง เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Noi ที่ 13-09-2016 00:43:44
ในความรู้สึกเรา คีเห็นแก่ตัว ตัวเองทำอะไรก็ได้จะมั่วแค่ไหนก็ได้ แต่กับเมฆกลับรับไม่ได้ รู้ว่าคิดมากแต่ถ้าไม่พูดไม่ถามจะได้คำตอบหรือ จะรักหรือไม่รักเอาให้แน่ ไม่ใช่เอาแต่หนีไม่เห็นใจคนรอบ้าง อยากกลับก็มาไม่อยากอยู่ก็ไปไม่คิดถึงใจอีกคนบ้าง คนรอมันเหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-09-2016 17:23:15
จะว่ายังไงดี เฮียสร้างปัญหาหรือเวลาไม่ถูกจังหวะกันแน่เนี่ย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 13-09-2016 20:28:25
 :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 19-09-2016 17:00:14
หายยยยยยยยค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-09-2016 21:20:11

+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ จุ๊บๆ ไปอ่านกันต่อเลยค่ะ


ภูเขาลูกที่เก้า


“กลับมาแล้วครับ” ผมไขประตูบ้านเข้าไป ลากกระเป๋าตามเข้ามาด้วย บ้านผมอยู่บริเวณแถวๆ ทะเลสาบซูริค ช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาวมากครับ บางวันอุณหภูมิติดลบกันเลยทีเดียว ผิดกับอากาศที่เมืองไทยอย่างรุนแรง



   คิดถึงเมืองไทย นี่ผมมาถึงยังไม่ทันจะข้ามวันเลย แล้วยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกอย่างน้อยสามเดือน ผมไม่รู้จะทนความหดหู่ของจิตใจนี้ไหวมั้ย คุณกับผมมาจับมือกันข้ามผ่านช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้กันดีมั้ยครับ ล้อเล่นน่ะครับ



   อย่างที่บอกไปข้างบนว่าบ้านของครอบครัวผมอยู่แถวๆ ทะเลสาบซูริคใช่มั้ยครับ ลักษณะบ้านก็คงเหมือนกับบ้านเราที่เรียกว่าตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์นั่นแหละครับ แต่บ้านเมืองของที่นี่จะมีทาสีตึกเป็นสีนั้นสีนี้ด้วยหรือไม่ก็มักจะเป็นสีอิฐไปเลยอย่างบ้านของผม




   ระหว่างที่ลงจากรถไฟแล้วลากกระเป๋ามาเรื่อยๆ คุณครับ ลมแรงมาก ผมแทบอยากจะปลิวไปตามแรงลม แค่ลมพัดมายังไม่เท่าไหร่ครับ แต่พาความหนาวมาด้วยนี่สิ ถึงผมจะอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ตอนนี้ก็ทำตัวเป็นคนไทย ชินกับอากาศร้อนไปแล้วเสียครับ พอเจอแบบนี้จังๆ ไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาตัวสั่นเลย หนาวจริงๆ ครับ


   “Key! Key!” มาแล้วครับเสียงเจ้าตัวยุ่งตัวเล็กของบ้าน ชื่อของผมคือ คี ไม่ใช่ที่แปลว่าลูกกุญแจอะไรหรอกครับ ก็มาจากพยางค์หน้าของคำว่าคีรินทร์นี่แหละครับ แต่คนต่างชาติมักจะงงครับก็เลยตัดปัญหาเป็นคีย์ คำนี้ไปซะ


   “สวัสดีครับหรือยังครับ เคลลี่” เจ้าเด็กคนนี้เป็นน้องของผมเองครับ ชื่อเคลลี่ เจ้านี่อายุอานามห่างกับผมสิบหกปี


   “สวัสดีครับ พี่คี” เคลลี่ เจ้าเด็กกำลังซน พนมมือไหว้ผมเรียบร้อย เห็นแล้วมันปลื้มใจ ถึงจะไม่เจอกันเกือบปี น่าแปลกครับ เด็กที่อายุสองขวบกว่าๆ กลับจำผมได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ถามหาผมตลอดเวลา แม่ผมบอกว่ามันคงเป็นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินจะบรรยายออกไปได้ ผมนี่งงแม่ตัวเองเลยครับ อะไรคือการที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ ช่วยอธิบายได้มั้ยครับ คุณนายแม่


   “เก่งมาก ไหนดูซิ พี่ยังอุ้มเราไหวอยู่มั้ยเนี่ย” ผมย่อตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวเล็กที่แขนขาแน่นด้วยไปเนื้อน่ากัดเน้นๆ เลยครับ “ฮึบ” ส่งเสียงบอกให้เจ้าตัวเล็กได้เตรียมตัวก่อนแล้วอุ้มขึ้นมา เคลลี่ เจ้าดื้อหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่หยุดเลยครับ คงถูกใจที่ผมอุ้มแล้วโยนเล่นด้วย


   “ตัวหนักแล้วนะเรา อีกหน่อยพี่คงอุ้มไม่ไหวแล้วเนี่ย” ผมพูดไปก็ก้มลงหอมแก้มยุ้ยแดงๆ นั้นเต็มแรง เคลลี่หันหน้าหนีผมนิดหน่อยคาดว่าคงเจ็บ แต่คุณครับ เด็กเล็กๆ ปากแดงๆ แก้มแดงๆ แขนขาเนื้อเต็มมือนี่มันน่าฟัดนะครับ คุณไม่คิดเหมือนผมเหรอ


   “เอ้าๆ โยนน้องอะไรแรงขนาดนั้นคะ คี” เสียงใสๆ ของแม่ผมมาแล้วครับ ผมวางเคลลี่ลงก่อน แล้วก็ก้าวเข้าไปกราบแทบอกมารดา อ๊ะๆ ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ กราบแทบอกจริงๆ ไหว้เสร็จก็กอดแม่ต่อทันที ไม่เสียเวลา


   “สวัสดีครับ แม่” ผมกอดแม่แรงๆ แน่นๆ แถมหอมแก้มแม่เหมือนเคลลี่ตะกี้เลย ชื่นใจครับ ว่าไปก็คิดถึงความรู้สึกแบบนี้นะครับ ความรู้สึกที่เจอแม่เจอน้อง เจอครอบครัวที่แท้จริงของตัวเอง


   “แม่เจ็บนะ” ผมเผลอกอดแม่แรงทำให้แม่ต้องตีผมเบาๆ เป็นการห้ามปราม


   คุณว่าผมเสพติดสัมผัสมั้ย ไม่รู้สิ ขอให้ได้กอด ได้หอม ผมก็มีความสุข


   “ขอโทษครับ ก็คีคิดถึงแม่นี่นา”


   “จริงเหรอคะ ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วถึงรีบมาหรือเปล่า” แม่ผมดักคออย่างรู้ทันครับ แต่คงไม่คิดว่าเป็นเรื่องผมกับเฮียเมฆเด็ดขาด จะว่าไป แม่ไม่เคยคิดเรื่องราวระหว่างผมกับเฮียเลยครับ


   “โธ่ แม่ครับ”


   “มีอะไรไม่สบายใจ คีต้องเล่าให้แม่ฟังนะลูก อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวนะคะ” แม่ผม เป็นเหมือนเดิมครับ รักและห่วงลูกมาก ของมาก และมากที่สุด


   “ขอบคุณครับ แม่ ว่าแต่พ่อล่ะครับ” ผมยังไม่ได้ยินเสียงพ่อเลยครับ


   “ไปทำงานยังไงล่ะจ้ะ ลูกคนนี้ สงสัยไม่ค่อยได้นอนมาบนเครื่องหรือเปล่าคะ ขึ้นไปนอนก่อนมั้ย เที่ยงๆ แม่จะขึ้นไปปลุก หรือจะมื้อเย็นเลยคะ”


   “เย็นๆ เลยก็ได้ครับ ช่วงสอบคีไม่ค่อยได้นอนด้วย” เวลาที่ไทยเร็วกว่าที่สวิตห้าชั่วโมงครับ ผมมาถึงบ้านประมาณสิบโมง ที่เมืองไทยคงจะราวตีห้าได้ครับ เป็นเวลาเฝ้าพระอินทร์อย่างมีความสุขเลย ชักง่วงเลยครับ อาการหาวหวอดตามมาเลยทันที


   “จ้ะ งั้นขึ้นไปนอนก่อน แม่ทำความสะอาดไว้ให้แล้ว”


   “ขอบคุณนะครับ” ผมหอมแม่อีกครั้งแล้วก็เตรียมจะเดินขึ้นห้อง แต่ก็มีใครไม่รู้มาดึงขากางเกงเอาไว้เสียก่อน ผมมองลงไปก็เป็นมือป้อมๆ ของเจ้าเคลลี่นี่แหละครับ คงอยากเล่นกับผม


   “go go” เคลลี่ขอไปด้วยครับ มือก็ยกสูง กะให้ผมอุ้มขึ้น แต่ผมส่ายหน้าครับ


   “ไม่ได้ครับ พี่ง่วงมากเลย ตื่นแล้วจะลงมาเล่นด้วยนะ โอเคมั้ย” ผมบอกเจ้าตัวเล็กไป ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่านะครับ เพราะประโยคค่อนข้างยาว แล้วด้วยอายุของเด็ก ผมยิ่งไม่มั่นใจเลยว่าจะเข้าใจที่ผมพูดออกไปทั้งหมด


   “Please” นั่นไงครับ พลีสใส่ผมเสียแล้ว


   “You can not go with me.” ประโยคแรกของผมบอกปฏิเสธไปเท่านั้น น้ำตาเม็ดเล็กๆ ก็ร่วงลงมาเลยครับ เคลลี่ไม่ร้องไห้อย่างเด็กทั่วไป


“Shu!! Do not cry baby” ตัวเล็กมองหน้าผมนิ่งๆ ดวงตาเศร้าสร้อยพร้อมหยาดน้ำตาร่วงลงอย่างกับโรงงานผลิตเม็ดน้ำตา



   ผมต้องทำยังไง ผมหันไปมองแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนแม่ก็พอจะเข้าใจเลยเข้าไปหาเคลลี่เข้ามากอดครับ เคลลี่ไม่ดิ้น ไม่ร้องไห้เสียงดังสักแอะ สะอึกสะอื้นเหมือนใครทำร้ายจิตใจอย่างสุดแรง ผมนี่อ่อนใจ ใจอ่อนเลยครับ


   “ก็ได้ๆ พี่ยอมแพ้” ผมนั่งลงข้างๆ เจ้าตัวเล็ก จับแขนเบาๆ เจ้าตัวเล็กผละออกจากอ้อมแขนของแม่ผมเลยครับ โผเข้าหาผมเลยทันที ผมอุ้มเคลลี่แล้วยืนขึ้น เคลลี่ซบหน้าลงกับไหล่ของผม อากัปกิริยาออดอ้อนแบบนี้ ผมว่าทุกคนคงใจอ่อนอ่ะ ยิ่งเป็นเด็กในครอบครัวที่เรารักเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงจะอดทนได้ยากจริงๆ


   “น้องคงคิดถึงคีมาก เดี๋ยวสักพักแม่จะขึ้นไปอุ้มเคลลี่ลงมานะคะ”


   “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวให้นอนกลางวันพร้อมกับผมก็ได้” ผมยิ้มให้แม่แล้วก็อุ้มเด็กเจ้าปัญหานี่ขึ้นไปบนห้องด้วย




   ผมเปิดประตูเข้าห้องมาด้วยมือที่ยังว่างอีกข้างหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องยังเหมือนเดิมครับ แม่ผมดูแลห้องนี้อย่างดี ห้องของผมทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แม่ทำเองทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้กลับมาแน่ๆ จนกว่าจะปิดเทอม แต่แม่ก็ยังทำ



ผมบอกแม่ว่าถ้าผมกลับมาเมื่อไหร่ค่อยทำความสะอาดก็ได้ แต่แม่กลับบอกว่าเวลาที่เธอเข้ามาทำความสะอาดที่ห้องผม เธอรู้สึกเหมือนเธออยู่ใกล้กับลูกชายอย่างผม เหมือนเราไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเลย ผมฟังไปก็อึ้งๆ ในความรักของแม่ที่มีต่อผมครับ แต่จะให้บอกว่าอะไรผมอยากอยู่เมืองไทย เพราะผมติดผู้ชาย? เอ้ย ไม่ใช่ละ



   ผมวางเคลลี่ลงที่พื้นห้อง แล้วก็นั่งลงที่นอนนุ่มบนเตียงที่ไม่ได้กลับมานอนเสียนาน เจ้าตัวเล็กเดินวุ่นรอบห้องเลยครับ เคลลี่เริ่มเดินตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบ สักพักก็หยิบอะไรติดมือมาสักอย่างหนึ่ง ผมเพ่งดูอยู่นานกว่าจะนึกออก



   ‘ดอกไม้พลาสติกในกล่องไม้’



   ผมนี่รีบเข้าไปหาเคลลี่เลย แบมือเป็นเชิงว่าขอ เคลลี่ก็วางดอกไม้ลงบนมือคืนให้ผม ผมลุกขึ้นไปวางบนชั้นวางที่สูงหน่อย เจ้าเคลลี่จอมซนจะได้เอื้อมไปหยิบไม่ถึง แล้วก็หาของเล่นที่คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ให้กับเคลลี่ไป แค่นั้นเด็กน้อยก็สนใจของเล่นใหม่ในมือทันทีครับ ผมกลับมานั่งบนเตียงของตัวเองอีกครั้ง อุ้มเคลลี่ขึ้นมานั่งเล่นบนเตียงกับผมด้วย


   “เชิญครับ” เสียงเคาะประตูห้องนอนผมดังขึ้น ไม่น่าจะเป็นคนอื่นนอกจากแม่ของผมครับ แล้วที่ผมคิดไว้ก็ไม่ผิด


   “แม่เข้าไปนะคะ” แม่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ยื่นนมหนึ่งกล่องกับหนึ่งแก้วให้ผมครับ


   “ขอบคุณครับ แม่” นมหนึ่งกล่องนั้นเป็นของคนน้องครับ ส่วนคนพี่คือนมหนึ่งแก้วครับ ผมรับมาดื่มทันทีแล้วก็คืนแก้วเปล่าให้แม่ไป ส่วนเคลลี่ก็ดูดนมกล่องอยู่เหมือนกันครับ ดูตาเริ่มปรือๆ แล้ว คงใกล้เวลานอนกลางวันแล้วล่ะครับ


   “น้องน่าจะง่วงแล้ว พาน้องนอนด้วยนะ ลูก แม่ไปล่ะ” แม่ผมบอกทิ้งท้ายแล้วก็ออกจากห้องไป



   ผมรับนมกล่องที่ดูดหมดแล้วไปวางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้เคลลี่กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงแล้วล่ะครับ ท่าทางใกล้เคลิ้มแล้ว ผมเกาหลังเบาๆ ให้เด็กน้อย เคลลี่ชอบครับ ชอบให้มีคนเกาหลังให้ แม่เล่าว่าตอนเด็กๆ ผมก็ชอบให้แม่เกาหลังให้เหมือนกัน แต่พอโตขึ้นมา แม่ก็ทำเสียงน้อยใจว่า แม่ดูจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ผมสามารถนอนหลับได้เองครับ แต่ถ้าแม่มานอนเกาหลังให้นี่ ผมนี่โคตรชอบเลยครับ มันเพลินนะ คุณล่ะ เคยหรือเปล่า ถ้าไม่เคยลองสิครับ




   เคลลี่หลับไปแล้ว ผมยังเกาหลังให้อยู่ครับ เด็กน้อยกรนเบาๆ ไม่แน่ใจว่าหายใจไม่ค่อยออกเพราะอากาศเย็นหรือเปล่า แต่ภายในห้องก็อุ่นพอสมควรเพราะเปิดฮีทเตอร์เอาไว้ ผมห่มผ้าให้เจ้าเด็กน้อยสิ้นฤทธิ์เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้อีกชั้น เด็กป่วยง่ายกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมถอดเสวตเตอร์ออกไปแล้ว เลยเหลือเสื้อยืดแค่ตัวเดียว




   ผมยังจับจ้องอยู่ที่กล่องดอกไม้พลาสติกกล่องนั้นไม่วางตา กล่องนั้นมันสำคัญกับผมยังไง มันก็แค่เป็นกล่องดอกไม้ที่เฮียเมฆซื้อให้ผมตอนที่เฮียเมฆมาหาผมตอนปิดเทอม อยากคิดว่ามันไม่สำคัญและไม่มีค่าอะไรสำหรับผมเลยแม้แต่น้อย แต่ลึกๆ ผมก็รู้ดีว่ามันมีความหมายกับผมแค่ไหน




   จะมีอยู่สักกี่คนครับ คนที่ซื้อของขวัญเป็นดอกไม้ให้กับผู้ชายด้วยกัน อย่างน้อยก็มีสองคนคือผมกับเฮียเมฆนี่แหละครับ ไม่เคยต้องซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงคนไหน แต่ดันต้องหอบดอกไม้ไปง้อผู้ชาย สายตาคนอื่นคงเป็นการกระทำที่แปลกประหลาด แต่สำหรับเราสองคนกลับเป็นเรื่องปกติมาก




   ปีนี้ เฮียเมฆจะมาหาผมมั้ยนะ



   คงไม่มาหรอก



   คิดเอง เออเอง เจ็บเอง ช้ำเองครับ ผมละสายตาจากกล่องดอกไม้พลาสติกนี่ดีกว่า เพราะตอนนี้ความง่วงเข้ามาเกาะกินร่างกายผมอย่างเต็มที่ ผมล้มตัวลงนอนกอดเจ้าตัวเล็กแล้วก็หลับตามเด็กน้อยไป




   ตื่นมาอีกทีก็ฟ้ามืดแล้วครับ เด็กน้อยที่นอนหลับข้างๆ ไม่อยู่แล้ว สงสัยแม่ของผมคงจะมาอุ้มแกลงไป ผมได้ยินเสียงดังแว่วๆ มาจากข้างล่างครับ มีเสียงทุ้มของผู้ชายหัวเราะดังแข่งกับเสียงใสของแม่ คาดว่าผู้ชายคนนั้นคงจะหนีไม่พ้นพ่อของผม


   “ไง ไอ้ตี๋” พ่อเห็นผมเดินลงบันไดมาก็ส่งเสียงทักทายผมก่อนใคร ผมนี่โคตรไม่เข้าใจพ่อผมเลยครับ ทำไมชอบเรียกผมว่าตี๋ทั้งที่ผมไม่ได้หน้าตี๋เลย ผมหน้าเหมือนแม่ หน้าหวานๆ อย่างไทย หน้าแบบนี้นี่แหละครับ ที่คนเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นผู้หญิงที่แกล้งทำตัวเป็นทอมบอยมานักต่อนักแล้ว ยิ่งช่วงไหนเรียนหนัก ผมเผ้าไม่ได้ตัดปล่อยให้ยาวเมื่อไหร่ โดนทักผิดกว่าปกติเยอะมากครับ


   ผมยกมือขึ้นจับปอยผมดู อืม ยาวเกือบถึงบ่าแล้วเหรอเนี่ย ค่อนข้างยาวแล้วเหมือนกันนะ กลับไทยค่อยไปตัดที่ร้านประจำละกัน


   ‘ผมเริ่มยาวแล้วไปตัดหน่อยดีมั้ย’ คำพูดของเฮียเมฆผุดขึ้นมาในความทรงจำของผม


   ‘เฮียไม่ชอบให้ผมไว้ผมยาวเหรอ’


   ‘ไม่เชิง’


   ‘หมายความว่าไงครับ’


   ‘หน้ากับผมมันเข้ากัน.........เกินไป’ ครั้งแรกที่ผมได้ยิน ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าเฮียเมฆหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะ คุณล่ะเข้าใจว่ายังไงครับ



   ผมรีบสลัดช่วงเวลาที่มีเฮียรวมอยู่ในนั้นออกไป เดินเข้าไปหาพ่อ ยังไม่ทันจะเดินถึงเลย พ่อผมก็อ้าแขนให้ผมเดินเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อครับ พ่อผมขี้อ้อนแล้วก็ปากเสีย ส่วนแม่ก็สวยหวานพูดจาเพราะครับ คนละขั้วกันชัดๆ ไม่รู้ว่าแม่ผมรักพ่อเข้าไปได้ยังไง


   “เลิกเรียกคีว่าตี๋ได้แล้ว เหมือนตรงไหนครับ” ผมกอดพ่อเสร็จก็ยกมือไหว้แบบไทยครับ เจอกันทีไร พ่อทักผมแบบนี้ตลอด ผมก็บอกพ่อแบบนี้ทุกครั้ง แต่ไม่มีหรอกครับที่จะเชื่อลูกคนนี้บ้าง


   “พูดเพราะรักหรอกน่า ชื่อตี๋น่ารักจะตายไป เนอะแม่” พ่อหยิกแก้มผมไม่ออมมือเลยครับ แล้วก็หันไปหาเสียงสนับสนุนของแม่ แต่แม่ไม่ตอบครับ แม่ยิ้มให้พ่อเฉยๆ


   “ลูกพ่อชื่อคีต่างหากเล่า” ผมปัดมือพ่อที่หยิกแก้มของผมออก


   “พูดกับพ่อดีๆ สิคะ” แม่ผมครับ ผู้ควบคุมภาษาไทยของบ้าน


   “Hey” เสียงเล็กแหลมของเด็กน้อยดังขึ้นเพื่อดึงความสนใจ มืออ้วนกลมดึงขากางเกงผมอยู่ ผมเลยก้มลงไปอุ้มเจ้าเคลลี่ขึ้นมาฟัดสักหน่อย


   “คงจะหิวกันแล้วสิ ได้เวลามื้อเย็นพอดี ไปทานข้าวกันค่ะ” แม่ผมเดินนำทุกคนไปนั่งที่โต๊ะอาหารครับ เคลลี่มีที่นั่งของเด็กเป็นของตัวเอง


   “เป็นไงบ้างล่ะ ไอ้ตี๋ เรียนได้เรื่องมั้ย” พ่อผมถามระหว่างมื้ออาหารที่กำลังเริ่มต้นขึ้น ผมกำลังป้อนข้าวเคลลี่ครับ ปกติแล้วแม่จะเป็นคนป้อนข้าวเอง แต่ถ้าผมกลับมาบ้านผมจะรับอาสาทำหน้าที่นี้เองครับ ตอนนี้แม่ก็เลยนั่งทานอยู่เงียบๆ ตักข้าวมาป้อนผมบ้าง เหมือนงูกินหางเลยแฮะ


   “โธ่ พ่อครับ นี่คีนะ ลูกใคร เชื่อมือได้เลย สบายมาก” ผมเคี้ยวข้าวเต็มปากแต่ก็ไม่ได้สนใจ ตอบพ่อออกไปทั้งแบบนั้นแหละครับ แม่เลยตีแขนผมเบาๆ ทีหนึ่ง ข้อหาเสียมารยาท


   “ปีหน้าเรียนจบจะกลับมาเลยมั้ย”


   “คิดว่าจะกลับมาเลย” ผมดื่มน้ำไปอึกใหญ่ก่อนจะตอบ


   “จะต่อโทเลยหรือเปล่า เรียนที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เคลลี่ก็เอาแต่คิดถึงพี่มันอยู่ตลอด ไม่เห็นจะคิดถึงพ่อบ้างเลย” พ่อผมนี่โหยหาความรัก อิจฉาแม้กระทั่งลูกตัวเองอย่างผมนะเนี่ย


   “ยังไม่รู้เลยครับ ขอคิดก่อนก็แล้วกัน”


   “ถ้าตี๋กลับมาเลยแล้วใครจะช่วยงานทางนั้นล่ะ” พ่อตักข้าวเข้าปากไปอีกคำแล้วก็ถามผมเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้


   “อ้าว ไหงพ่อพูดแบบนั้น”


   “ก็ตอนนี้ช่วยงานลุงกรณ์กับพี่เมฆอยู่ไม่ใช่เหรอ”


   “ไม่เชิงหรอกครับพ่อ ที่จริงคีก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอก” ผมเห็นพ่อขมวดคิ้วไม่เชื่อในคำพูดของผม


   “เท่าที่พ่อคุยกับลุงกรณ์ มันไม่ใช่อย่างนั้นมั้ง”


   “พ่อคุยอะไรกับลุงกรณ์”


   “ลุงกรณ์บอกว่าตี๋ช่วยงานพี่เมฆได้เยอะเลย”


   “ลุงกรณ์ก็แค่ไม่อยากให้ผมโดนพ่อด่าเท่านั้นแหละน่า”


   “คิดอย่างนั้นเหรอ ไอ้ตี๋” พ่อผมยักคิ้วกวนบาทาผมมาก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ก็นั่นพ่อนี่นา พ่อทำท่าว่ารู้อะไรมาแต่ไม่บอกผมครับ



   มื้อเย็นมื้อแรกกับครอบครัวของผมผ่านไปแล้ว ผมนั่งเล่นกับเคลลี่อยู่ที่พื้น สักพักเจ้าตัวเล็กก็กลิ้งไปกลิ้งมา ขาป้อมๆ พาดมาที่ตักของผม ซนพอตัวเลยครับ ผมหันไปอีกที อ้าว หลับซะแล้ว อยากจะดึงปากย้อยๆ มาแกล้งเล่นสักหน่อย แต่กลัวว่าจะตื่นมาอาละวาดครับ



   แม่ผมเห็นเคลลี่หลับแล้ว เลยอุ้มเคลลี่เข้าไปนอนในห้อง ทิ้งให้ผมกับพ่ออยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง พ่อดูเหมือนมีอะไรจะพูดกับผม


   “พูดมาเถอะพ่อ แม่ไม่อยู่แล้ว ทางโล่ง”


   “มึงนี่ฉลาดสมเป็นลูกกูมาก ไอ้ตี๋” พ่อตบหลังผมดังอึก ไม่ถนอมลูกเลยเฮ้ย พ่อคนนี้ ลับหลังแม่ นิสัยที่แท้จริงของพ่อก็โผล่ออกมาเลยครับ ที่พูดจาไพเราะรักกันเวอร์วังนั่น ต่อหน้าแม่ครับ ไม่อยากโดนแม่บ่นหูชากันทั้งคู่


   “ทะเลาะกับพี่เมฆของมึงมาล่ะสิ กูรู้นะ”


   “รู้ได้ไง” ผมปรายตามองพ่อ ชักเริ่มไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกที


   “มึงดูด้วยว่านี่ใคร กูพ่อมึงนะไอ้ตี๋” พ่อขี้โม้ไม่มีเปลี่ยน


   “อย่ามาโกหก ใครคาบข่าวมาบอกพ่อล่ะ”


   “คนคาบข่าวนี่มัน พี่เมฆของมึงเลยนะเว้ย”


   “ฮะ!?! อะไรนะพ่อ!” เฮ้ย เดี๋ยวนี้พ่อผมพัฒนาไปถึงขั้นสุด นี่เริ่มคุยกับเฮียเมฆเองแล้วเหรอเนี่ย


   “กูรู้ว่ามึงได้ยินชัด อย่าให้ต้องพูดซ้ำน่า”


   “ไปคุยกันได้ไง”


   “มันโทรมาหาพ่อเมื่อคืนว่ะ”


   “โทรมาว่า”


   “จะเรื่องอะไรล่ะ คิดสิ คิด มึงไปทำอะไรไว้ล่ะ ถึงมานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ที่นี่ตอนนี้”


   “คีจะทำอะไรก็เรื่องของคีป่ะวะ พ่อ”


   “รู้ว่าเป็นเรื่องของมึง แต่กูก็รู้เรื่องหมดแล้วนะ”


   “พ่อรู้อะไรมา พูดมาเลยดีกว่า” ผมชักขยาดพ่อเสียแล้วล่ะครับ เพราะไม่รู้ว่าพ่อรู้อะไรบ้างระหว่างเรื่องผมกับเฮียเมฆ



 
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่แปด 12-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-09-2016 21:20:47



   พูดกันตรงๆ เลยนะ เรื่องของผมกับเฮียเมฆเนี่ย มีแม่คนเดียวครับ ที่ไม่ระแคะระคายเลย แปลกของแปลกที่สุด เพราะอะไรรู้มั้ยครับ แม่น่ะ ห่วงผม สังเกตผมตลอดเวลา แต่กลับไม่เอะใจเรื่องผมกับเฮียเลย แต่พ่อแม่ของเฮีย หรือกระทั่งพ่อของผม กลับรู้ครับ แต่ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน ยังไง แล้วพวกเขาก็ไม่เคยถามด้วย



   คุณคิดว่าการที่ผมไปช่วยงานเฮียเมฆที่บริษัทนั้นเพียงเพราะเป็นลูกของพ่อ เป็นหลานที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับครอบครัวนั้นเลยน่ะเหรอ มันไม่ใช่หรอกครับ เพราะลุงกรณ์วางแผนเพื่ออนาคตไว้แล้วล่ะครับ หากเฮียเมฆไม่แต่งงานกับใคร และไม่มีลูกมาสืบทอดกิจการต่อ ลุงกรณ์กับป้าจันก็อยากให้ผมกับเฮียเมฆ ช่วยประคับประคองบริษัทนี้ให้ผ่านพ้นไป




   แล้วหลังจากหมดยุคของผมกับเฮียเมฆล่ะ บริษัทนั้นจะเป็นยังไงต่อ? คุณเชื่อมั้ย ลุงกรณ์เคยพูดติดตลกว่า ช่างมัน คนตายไปแล้วจะเอาอะไรไปได้ เอาไปบริจาคให้หมด เป็นไงครับพ่อเฮียเมฆ เขาไม่ได้สนใจผู้สืบทอดอะไรนั่นหรอก เขารักและห่วงความรู้สึกลูกชายครับ


   “ทุกเรื่องว่ะไอ้ตี๋ ไม่เว้นแม้กระทั่งมึงกับพี่เมฆของมึงนั่นแหละ”


   “พ่อรู้ได้ไง”


   “กูน่ะพ่อมึงนะ ลูกทั้งคนกูจะไม่ดูดำดูดีเลยเหรอวะ” ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผมยิ่งกว่าใครทั้งนั้น


   “แล้วพ่อโอเคมั้ย?” ลองเสี่ยงถามดูครับ


   “ให้กูโอเคเรื่องอะไรวะ เรื่องที่มึงทำตัวเละเทะ กินเหล้าเที่ยวผับ หรือเรื่องที่มึงใจแตกไปถึงไหนแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องไหน กูก็ห้ามไม่ทันแล้วเว้ย”


   “พ่อโกรธ?”


   “ไม่โกรธหรอกแต่เสียใจ”


   “เสียใจที่คีเป็นแบบนี้น่ะเหรอ”


   “เปล่า”


   “แล้วเสียใจอะไรล่ะพ่อ ลีลาอยู่ได้” ผมนี่เริ่มงง สรุปว่าผมคุยกับพ่อหรือเพื่อนวะเนี่ย


   “เสียใจที่มึงไม่เคยบอกกูเลย ให้กูรู้ กูเห็นเองทั้งหมด”


   “พ่อไปเห็นอะไรวะ คีว่าคีทำอะไรพ่อไม่น่าเห็นนะ”


   “หนอย ไอ้ตี๋ ไอ้ลูกเวร กูเปรียบเทียบเว้ย เปรียบเทียบ มึงรู้จักมั้ย”


   “ก็แค่นี้แหละ พูดมาเลยเถอะ อย่าลีลาน่ะพ่อ”


   “นี่มึงเป็นพ่อหรือเป็นลูกกูกันแน่วะ”


   “ไม่รู้ดิ พ่อว่าไงล่ะ”


   “ให้เกียรติกูหน่อย ยังไงกูก็ยังเป็นผัวของแม่มึงอยู่นะ”


   “หยาบคาย เดี๋ยวคีจะฟ้องแม่”


   “เอาสิถ้ามึงฟ้อง กูก็จะฟ้องเหมือนกันว่ามึงพูดจาไม่ดีใส่กู” พอกันทั้งพ่อและผมครับ เถียงกันเหมือนเด็กๆ


   “สรุป พ่อไม่โกรธแน่นะ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ


   “ไม่โกรธ แต่กูขอถามหน่อยว่ากูได้ลูกเขยหรือสะใภ้เข้าบ้านวะ”


   “พ่อคิดว่าไงล่ะ” ผมย้อนถามกลับไป


   “หึ กูไม่อยากจะพูดให้มึงอับอาย”


   “โธ่ พ่อ ไม่เข้าข้างกันเลย”


   “คี ความรักน่ะ ถ้าเราไม่เชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ว่าจะเพศไหนมันก็ไม่ยั่งยืน พ่อคิดว่าคีน่าจะรู้ดีมากกว่าใครที่สุด ว่าเมฆเป็นคนแบบไหน ยังไง แล้วยิ่งความรักแบบผู้ชายกับผู้ชายแบบนี้ ถ้ายิ่งไม่เชื่อใจกัน ต่อให้อีกฝ่ายหนักแน่นแค่ไหน สุดท้ายก็ทนไม่ได้หรอก เชื่อพ่อ” ผมนี่เกือบปรับโหมดอารมณ์แทบไม่ทัน ปกติพ่อจะพูดคำหยาบกับผมครับ ไม่เรียกชื่อผม แต่ถ้าพูดเพราะกับผม เรียกชื่อเล่นของผมจริงๆ แสดงว่ามาโหมดจริงจังครับ


   “คีจะพยายามละกันนะพ่อ”


   “เออ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน อย่าหุนหันใจร้อน แบบที่คีทำ พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยว่ะ”


   “ครับ”


   “อายุจะยี่สิบแล้วนะเว้ย ต้องใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ให้มาก” พ่อเตือนสติผม


   “ขอบคุณครับพ่อ”


   “คุยอะไรกันอยู่คะ สองพ่อลูก” แม่ผมเดินออกมาสมทบพอดี


   “ก็คุยเรื่องทั่วๆ ไปน่ะแม่” พ่อตัดบทตอบให้ครับ พ่อผมเป็นคนที่หน้านิ่งเวลาโกหกครับ แต่น่าแปลกพ่อไม่เคยโกหกแม่เลย ยกเว้นโกหกแบบไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ล่ะครับ ที่พ่อจะยอมทำ



   ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือความรักที่พ่อกับแม่มีให้กัน ผมแทบไม่เคยเห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน ยิ่งเรื่องชู้สาวผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินเลยครับ ทั้งที่แม่ทำงานอยู่ที่บ้าน เป็นแม่บ้านเต็มตัว แต่พ่อก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเลย ถึงแม่ของผมจะสวย แต่เชื่อเถอะครับ ความสวยมันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความรักก็เหมือนกัน มันต้องมีอะไรมากกว่า เหมือนหลายๆ คู่ที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าหรือว่าจะตายไปจากกันนั่นแหละครับ


   “เคลลี่ล่ะครับ”


   “หลับปุ๋ยเลยล่ะ คีล่ะคืนนี้จะนอนกับน้องหรือนอนที่ห้องคะ”


   “นอนที่ห้องผมดีกว่าครับ”


   “มีแต่มั้ยคะ หรือแค่นี้”


   “แต่เดี๋ยวผมอุ้มน้องไปนอนด้วย”


   “ตกลงค่ะ อุ้มเบาๆ อย่าให้ตื่นนะ”


   “ไม่นอนกับพ่อเหรอ ไอ้ตี๋” นั่นไง ลูกอ้อนของพ่อ ถึงผมจะโตแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมชอบไปนอนกับพ่อและแม่มากนะครับ ทั้งที่ความรักของทั้งคู่มีให้ผมมากขนาดนี้ แต่ทำไมผมกลับโหยหาความรักไม่สิ้นสุด


   “ไม่ล่ะครับ คืนนี้อยากนอนกับน้อง”


   “อิจฉาเคลลี่อ่ะแม่ คืนแรกก็ได้ตัวไอ้ตี๋ไปแล้ว” พ่อหันไปซบไหล่แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ครับ เรื่องออดอ้อนบอกพี่แกได้เลย จัดเต็มทุกงานครับ


   “เดี๋ยวนะพ่อ นี่ลูกชายนะครับ ทำอย่างกับมีสาวที่ไหนมาคว้าตัวผมไป” ผมส่ายหน้าให้กับความเยอะของพ่อ มีอย่างที่ไหน ผู้ชายวัยห้าสิบทำท่าทางเหมือนเด็กๆ คิดว่าตัวเองน่ารักเสียเต็มประดาหรือไงเนี่ย


   “งั้นเราไปนอนกันเถอะค่ะ คีจะได้นอนพักด้วย” แม่ดึงแขนพ่อให้ลุกตามเข้าห้องนอนไป


   ผมอุ้มเคลลี่ขึ้นไปนอนที่ห้องตามที่บอกกับแม่ไปครับ เด็กน้อยหลับสนิทเลย ผมวางแกลงบนเตียงห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีสายไม่ได้รับจากเฮียเมฆมาสายเดียวครับ คงคิดว่าผมคงไม่รับสายแน่ๆ เลยส่งเป็นข้อความมาแทน


   ‘คีกำลังเข้าใจพี่ผิด’   


   ‘โทรกลับด้วย’


   ‘มันไม่มีอะไรจริงๆ’


   ‘เชื่อพี่’



   ข้อความของเฮียเมฆยังเหมือนเวลาที่เฮียพูดครับ มาเป็นประโยคหรือคำสั้นๆ ไม่ได้มาเป็นประโยคยาวๆ เป็นเอกลักษณ์ของเฮียดีครับ ผมกำลังคิดว่าตอนนี้เฮียเมฆกำลังจะทำอะไรอยู่ จะอยู่กับใคร ใช่พี่พีชหรือเปล่า เฮียจะคิดถึงผมมั้ยที่ผมมาที่นี่แล้ว เฮียจะเสียใจมั้ย หรือว่าจะมีความสุข ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็มีแสงสว่างวาบบนโทรศัพท์ขึ้นมา



   ‘กลับมานะ พี่ขอโทษ’



   ประโยคสั้นๆ ทำเอาใจผมอ่อนยวบ อยากบินกลับเสียตอนนี้เลยครับ แต่คงจะทำไม่ได้ ผมอยากขอเวลาคิดอีกนิด ทั้งคำพูดของพ่อที่เตือนสติและการกระทำของเฮียเมฆ ผมยังไม่อยากกลับไปเจอวังวนที่ไม่สิ้นสุดแบบเดิมอีก มันอึดอัดเกินไป



   ผมหลับไปทั้งๆ ที่ยังกำโทรศัพท์แน่น แต่คืนนั้นก็ไม่มีข้อความหรือสายเรียกเข้าใดๆ เข้ามาอีกครับ ผมหลับรวดเดียวจนถึงเช้า ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ที่หน้า ลืมตาขึ้นมาก็เจอมือเล็กเขี่ยหูเขี่ยตาผมเล่นอยู่ จับตัวการได้แล้ว



   “wake up” ผมคว้าเจ้าเด็กดื้อมากอด หอมแก้มไปฟอดใหญ่  เคลลี่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากคงเพราะจั๊กจี้ ผมเม้มปากงับแขนแน่นๆ นั้นก่อนจะยอมปล่อยตัว


   “พี่ตื่นแล้วครับ”


   “หม่ำๆ” คำไทยแท้ สงสัยแม่ผมคงสอนเจ้าตัวเล็กนี้ไว้ น้องใครก็ไม่รู้น่ารักจริง


   “ป่ะ” ผมลุกขึ้นอุ้มเคลลี่ลงไปข้างล่าง


   “ตื่นแล้วเหรอจ้ะ”


   “ครับ”


“หิวหรือยังเอ่ย” แม่ถามเคลลี่ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดผม เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ เป็นอันว่าหิวแล้วสินะ


“เลยเวลาทานมาสักพักแล้วนี่นา” แม่หันไปมองนาฬิกา ผมไม่รู้หรอกว่าเคลลี่กินมื้อเช้ากี่โมง แต่แม่บอกว่าเลยเวลาก็แปลว่าเลยเวลาแหละครับ แม่เลยรับช่วงเคลลี่พาเจ้าตัวไปนั่งที่ประจำของตัวเองครับ


“คีล่ะคะ หิวหรือยัง” คราวนี้แม่หันมาถามผม


“นิดหน่อยครับ”


“ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยลงมาทานมื้อเช้านะคะ”


“ครับ คีขอฝากเด็กดื้อไว้กับแม่ก่อนนะครับ”


“ได้เลยค่ะ มาหม่ำๆ กันนะคะเคลลี่” แม่ตอบผมแล้วก็หันไปคุยกับเจ้าเด็กปากแดงที่อ้าปากรอ เคลลี่ทำท่าทางเหมือนกับลูกนกที่รอแม่นกมาป้อนอาหารให้ ดูแล้วน่ารักดีนะครับ




   ผมตั้งใจจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันอย่างที่แม่บอก แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้อาบน้ำ เลยตัดสินใจอาบน้ำไปเลยดีกว่า แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก ลงมาอีกที ถ้วยอาหารของเคลลี่ก็พร่องไปกว่าครึ่งแล้วครับ ผมเลยอาสาป้อนข้าวน้องต่อแทนแม่ ให้แม่ได้พักบ้าง ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าแม่ของผมทำงานอะไร ตอนที่แม่ผมอยู่ที่ไทยก็ทำงานเป็นเลขาของบริษัทฝรั่งที่ผมเคยบอกไปแล้ว แต่พอย้ายมาที่สวิตกับพ่อแล้ว แม่ก็เขียนหนังสือขายครับ ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะทำได้ แล้วกลับเป็นงานที่แม่ชอบมากเสียด้วยครับ


 
   แม่เล่าให้ผมว่าช่วงที่ย้ายมาสวิตใหม่ๆ แม่ก็หางานเลขาเหมือนเดิมครับ แต่บริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนจากชาติเดียวกันมากกว่า ทำให้ไม่มีบริษัทไหนอยากจ้างแม่ พ่อก็ปลอบใจแม่ คอยเป็นกำลังใจให้แม่เสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้วพ่อสามารถดูแลแม่ได้โดยที่แม่ไม่ต้องทำงานเลยซ้ำ แต่แม่ไม่ชอบครับ แม่บอกรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีประโยชน์เลย




   แม่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารบ้าง เป็นผู้ช่วยกุ๊กบ้าง แม่ผมไม่เกี่ยงงานหนักเลย พ่อผมนี่ถึงกับพูดว่าโคตรรู้สึกผิด เหมือนพาแม่มาลำบาก แม่ทำงานแบบนี้อยู่หลายปีครับจนกระทั่งท้องผม แม่เลยต้องลาออกจากงานเพราะพ่อผมขอร้องไว้ พ่อเลยเห็นผมเป็นเหมือนสวรรค์มาโปรดเลยล่ะครับ ช่วงที่แม่ตั้งท้องผม แม่อยากเก็บเรื่องราวและการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ครับ แม่เก็บข้อมูลค่อนข้างละเอียด วันหนึ่งพ่อผมมาเห็นเข้าเลยคิดว่าน่าจะเอาข้อมูลเหล่านี้เผยแพร่ให้คนอื่นได้รับรู้บ้าง แม่เลยลองเสี่ยงส่งข้อมูลพวกนี้ไปที่สำนักพิมพ์ดูครับ แล้วเขาก็ตอบรับแม่ หลังจากนั้นแม่เลยเขียนหนังสือมาเรื่อยๆ




   ส่วนพ่อผมน่ะเหรอ อย่างที่คุณรู้ว่าพ่อผมเป็นสถาปนิก และเคยออกแบบบ้านให้ลุงกรณ์ พ่อผมย้ายมาที่นี่เพราะลุงกรณ์มาเปิดสาขาที่ต่างประเทศครับ แรกๆ ลุงกรณ์ก็เทียวไปเทียวมาอยู่แหละครับ พอบริษัทเริ่มอยู่ตัวได้แล้ว ลุงกรณ์ก็แทบจะไม่มาที่นี่เลย ปล่อยให้พ่อผมทำหน้าที่คล้ายๆ เฮียเมฆคือบ้านก็ยังออกแบบให้ และลุงกรณ์ก็สอนงานบริหารให้พ่อด้วย



   ตอนนี้ พ่อผมบริหารบริษัทแห่งนี้เต็มตัวแล้วครับ ลุงกรณ์ไม่ได้มาที่นี่อีก นอกจากมาเที่ยวเท่านั้น ลุงกรณ์ไม่เข้าบริษัทเลย ผมมารู้ทีหลังว่าลุงกรณ์ทยอยขายหุ้นของตัวเองแล้วให้พ่อซื้อไว้ ถ้าจะบอกว่าบริษัทนี้ลุงกรณ์ตั้งใจยกให้พ่อมั้ย ก็ดูจะไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะหุ้นของลุงกรณ์ในบริษัทเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์เลยมั้งครับ อีกยี่สิบเปอร์เซนต์ลุงกรณ์โอนให้เฮียเมฆ อีกหกสิบเปอร์เซนต์เป็นของพ่อ ส่วนที่เหลือยิบย่อยก็คนทั่วไปหรือพนักงานภายในนี่แหละครับ



   ผมป้อนข้าวเคลลี่หมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังกินในส่วนของตัวเองอยู่ มองออกไปข้างนอกท้องฟ้าดูแจ่มใสเหมาะแก่การไปเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบ


   “แม่ครับ คีออกไปเดินเล่นนะ”


   “ค่ะ อิ่มแล้วเหรอ” แม่ถามไปอย่างนั้นเองครับ เพราะแม่มองอาหารในจานของผมที่หมดเกลี้ยงเรียบร้อย


   “ครับ เดี๋ยวคีพาน้องไปด้วยนะ”


   “ค่ะ จะเอารถเข็นไปหรือเอาเป้อุ้มน้องไปคะ แม่จะได้เตรียมให้”


   “เอาเป้อุ้มไปดีกว่าครับ จะได้คล่องตัว”


   “ไหวหรือเปล่า เคลลี่ตัวหนักกว่าเดิมแล้วนะคะ” แม่อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงผมครับ


   “ไหวสิครับ คีแข็งแรงนะแม่”


   “งั้นเดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้ค่ะ” แม่ผมหายเข้าไปที่ห้องนอนของเคลลี่ เดินออกมาอีกทีสัมภาระก็พร้อมครับ



   การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการพาออกไปข้างนอก ยิ่งไม่ง่ายครับ เพราะนอกจากเราจะต้องเตรียมพร้อมเสื้อผ้าใส่ให้เด็กแล้ว ยังต้องมีอุปกรณ์เสริมด้วย ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อม นม น้ำ กระดาษทิชชู่ เสื้อผ้าสำรองอีกสักชุด โอ้ย สารพัดครับ เพราะถ้าฉุกเฉินจะได้มีพร้อมครับ เด็กนั้นไม่สามารถรอหรืออดทนได้อย่างผู้ใหญ่แบบเราครับ



   แม่สวมเสื้อผ้าที่หนากว่าเดิมหลายชั้นให้เคลลี่ สวมหมวกไหมพรมให้ด้วย เคลลี่ดูจะรำคาญทีแรก แต่โชคดีที่มีสายมัดใต้คางเอาไว้ ทำให้แกถอดออกมาเลยไม่ได้ครับ ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอประโคมใส่เข้าไปครับ อ้อ มีแผ่นทำความร้อนด้วยครับ แม่แปะไว้ข้างในเสื้อของผมและเคลลี่



   จัดการทำทุกอย่างครบแล้ว ผมสะพายกระเป๋าเป้ที่เป็นของใช้เคลลี่ไว้ แล้วอุ้มเคลลี่ใส่เป้อุ้ม โดยหันหน้าเคลลี่เข้าหาตัวครับ ปกติแล้วจะหันออกไปด้านนอกครับ แต่อากาศค่อนข้างเย็นมาก ผมไม่อยากให้แกต้องปะทะกับอากาศเย็นมากเกินไป โบกมือลาแม่แล้วก็เปิดประตูออกจากบ้านไป



   ทันทีที่เปิดประตูออกไป ลมเย็นปะทะหน้าเลยครับ คิดถูกแล้วที่หันหน้าเคลลี่เข้าหาผม เคลลี่ดิ้นเล็กน้อยเพราะตื่นเต้นที่ได้ออกไปนอกบ้าน ปกติแล้วเคลลี่ไม่ค่อยได้ออกไปที่ไหนหรอกครับ เพราะแม่ผมทำงานอยู่ที่บ้าน พี่เลี้ยงก็มาดูแลอยู่ที่บ้าน พอผมพาออกมาแบบนี้ก็ยิ้มร่าหน้าตาสดใสเลยล่ะครับ



   ผมเดินไปเรื่อยๆ ตามขอบริมทะเลสาบ อากาศดีมากครับ คนออกมาเดินเล่นกันค่อนข้างเยอะพอสมควร เดินไปได้สักพักก็พักนั่งลง อุ้มเคลลี่ออกมาจากเป้ ให้แกได้มองทิวทัศน์บ้างครับ



สักพักหนึ่งก็จับแกอุ้มเข้าเป้เหมือนเดิมแล้วก็เดินต่อไปจนถึงโอเปร่า เฮาส์ครับ ตรงนี้มีคนเยอะกว่าบริเวณริมทะเลสาบเสียเอีก ผมปล่อยให้เคลลี่ลงเดินเองครับ พอขาสั้นๆ แตะถึงพื้น เคลลี่ก็วิ่งเอาเป็นเอาตายเลยครับ ผมต้องก้าวยาวๆ กลัวตามไม่ทัน ความหนักที่แบกมา โล่งเลยครับ บ่าเหมือนได้พัก ผมก็เลยเดินตามเคลลี่ได้สบายๆ



   “เคลลี่ อย่าวิ่งครับ” ผมร้องบอกเคลลี่ เพราะแกวิ่งจริงจังมาก แต่เคลลี่ก็ไม่ได้ฟังผมหรอก ไม่ได้รู้ว่าไม่ฟังหรือไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ


   เด็กล่ะครับ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ พอเห็นวิ่งไล่จับแก เด็กดื้อมันก็คิดว่าผมกำลังเล่นด้วย เอาล่ะครับ วิ่งไล่กันอุตลุดเลย กว่าจะจับตัวได้เล่นเอาหอบหน้าหนาวเลย เหนื่อยกว่าเดิมสองเท่าเลยล่ะครับ


   “จับได้แล้ว” ผมอุ้มเคลลี่ขึ้นมาก่อนที่แกจะวิ่งหนีได้อีก เด็กไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยหรอกครับ เคลลี่หัวเราะเสียงดังเลยครับ



   ผมพาเคลลี่เดินเล่นอีกสักพักก็อุ้มแกเดินกลับบ้าน ถ้าอยู่นานกว่านี้เดี๋ยวแดดอาจจะแรง หน้าหนาวเราไม่รู้ว่าแดดแรงหรอกครับ แต่เด็กรับรู้ได้เร็ว ถ้าเคลลี่ไม่สบายจะยิ่งเหนื่อยไปกว่านี้ ผมก้าวเท้าเดินไปตลอดความยาวจนถึงหน้าประตูบ้าน มือข้างที่ว่างกำลังจะเอื้อมมือไปไขกุญแจแต่โทรศัพท์ในกระเป๋าผมก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน



   ‘พี่เมฆ’



---------------------------------

คุณ ทฟเืนสรฟ : เดี๋ยวก็รู้แล้วนะคะ เฮีย come back เมื่อไหร่ น่าจะได้เคลียร์สักที อึดอัดแล้ว
คุณ Yara : พี่กันต์ไม่ใช่สปายป้าจันน้า เป็นการบังเอิญเจอกันจริงๆ เลยล่ะค่ะ
คุณ หมอตัวเปียก : นิสัยคีเค้าเลยล่ะค่ะ หนีปัญหาทุกอย่าง
คุณ Noi : คีมีเหตุผลของคีอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวเฉลยกันตอนหลังๆ นะคะ อย่าเพิ่งโกรธเจ้าคีเลย
คุณ Jibbubu : นั่นสิคะ เฮียเมฆตั้งใจหรือเปล่าเนี่ย
คุณ benzdekba : ไม่หายน้า เขมจะมาต่อทุกวันจันทร์ค่า

ตอนนี้เรื่องยังไม่เดินหน้าสักเท่าไหร่นะคะ เพราะไม่มีกะตังไปจ่ายค่าตัวเฮียเมฆ เฮียแกค่าตัวแพงค่ะ
แถมถ้าต้องพามาไกลถึงสวิต เขมยังต้องเก็บเงินให้เฮียเมฆอีกเยอะค่ะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนหน้าจะไม่เจอเฮียนะคะ  :hao5:
ตัดเงินค่าตัวข้อหาทำคีเวิ่นเว้อ ร้องไห้เสียใจค่ะ

เป็นอีกตอนที่เขมชอบ เขมชอบนิสัยพ่อของคีค่ะ กันเองกับลูกมาก ซ้ำยังเป็นคนละขั้วกับแม่ของคีมาก
คนที่ต่างกันสุดๆ ก็รักกันได้ค่ะ ^^ ถ้าพ่อไม่ใช่พ่อของคี เขมนี่คิดเลยอยากได้ตัวละครแบบนี้เป็นตัวเอกบ้างจัง

ขอบคุณสำหรับการติดตามและคอมเมนท์นะคะ คิดถึงคนอ่านทุกคนค่ะ แล้วเจอกันจันทร์หน้าค่ะ ^^  :mew1:





หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 19-09-2016 21:51:55
เป็นเรื่องราวที่อ่านไป คันยุบยิบในหัวใจไป สนุกครับ ลุ้นไปกับคีย์
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-09-2016 22:40:26
พี่กันต์ แนะนำคี ดีมากกกกก
คี ชอบหนีไว้ก่อน ไม่มีใครสอนซะหน่อย
พ่อคี น่ารัก คุยเปิดอกกับลูกดีจริงๆ สอนลูกสุดยอด
“คี ความรักน่ะ ถ้าเราไม่เชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกัน
ไม่ว่าจะเพศไหนมันก็ไม่ยั่งยืน
พ่อคิดว่าคีน่าจะรู้ดีมากกว่าใครที่สุด
ว่าเมฆเป็นคนแบบไหน ยังไง
แล้วยิ่งความรักแบบผู้ชายกับผู้ชายแบบนี้
ถ้ายิ่งไม่เชื่อใจกัน ต่อให้อีกฝ่ายหนักแน่นแค่ไหน
สุดท้ายก็ทนไม่ได้หรอก เชื่อพ่อ”  :man1: :man1: :man1:
เคลลี่ ยิ่งน่าร้ากกก น่าฟัด น่าเอามาเลี้ยงซะเอง :mew1: :mew1: :mew1:
พี่เมฆ พูดน้อย เกินไปปะ
พูดน้อยก็ได้ แต่ขอให้รักคี จัดหนักๆ เลย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 19-09-2016 22:57:48
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก พี่เมฆมาเหนือนะเข้าทางพ่อตา ใจอยากให้คีได้มีเวลาไตร่ตรองมีเวลาค่อย ๆ คิดและตกผลึกความรู้สึกออกมาแล้วค่อยกลับไปเผชิญกับปัญหาได้สักที
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 20-09-2016 00:32:27
รู้แล้วว่าคีย์เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่เลย หน้าตาเหมือนแม่ แต่นิสัยเหมือนพ่อสุดๆ 555
พูดถึงเฮียเมฆ ตอนนี้คงอยากตามคีย์มาใจจะขาด แต่คนห่วงงานอย่างเฮียเมฆคงต้องเคลียร์งานก่อนใช่รึป่าวคะ อีกอย่างป้าจันอาจบอกว่าคีย์สัญญาว่าจะกลับมา เฮียเมฆก็คงรอ แต่จะทนรอได้นานแค่ไหนกัน
สำหรับคีย์ถ้าคีย์จะหนีมันก็ไม่แปลกนะ ใครเจออย่างนี้ถ้าใจไม่แข็งพอก็คงต้องหนีกันทั้งนั้น แล้วยิ่งมีเรื่องระแวงสงสัยมาก่อนหน้าแล้วด้วย คงคิดไปไกลล่ะ แต่ก็อย่างพี่กันต์ว่าล่ะนะ พนันได้เลยว่าเฮียเมฆไม่นอกใจคีย์แน่ๆ แต่ที่คีย์ไม่มั่นใจเพราะอะไรอันนี้เราอยากรู้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-09-2016 00:56:21
ดูเหมือนพ่อตาเข้าข้างพี่เมฆอยู่นะ เราว่าคีก็ควรใจเย็นแล้วใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์เหมือนที่พ่อว่านะเพราะไม่งั้นคงไม่ได้เคลียร์เรื่องปัญหาที่ค้างคารังคาซังกับพี่เมฆอยู่แน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 20-09-2016 15:51:22
เข้าใจความรู้สึกคีย์เพราะนิสัยเดียวกันเลย เหมือนคนไม่มีเหตุผลเนอะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 24-09-2016 11:05:43

+ 1 ให้ทุกคนแล้วนะคะ


ภูเขาลูกที่สิบ


   ผมไม่ได้รับสายของเฮียเมฆหรอก ปล่อยให้สัญญาณดับไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากรับแต่ไม่สะดวกรับครับ ตอนนี้ผมต้องแบกเจ้าเด็กอ้วนพลีกับของสะพายบนหลังอีก เฮียเมฆค่อยโทรมาใหม่ก็แล้วกัน ถ้าโชคดีผมว่างก็จะรับแน่นอน ไม่ต้องกังวลไปกันหรอกน่า


   “กลับมาแล้วครับ” ผมส่งเสียงบอกแม่ให้รู้ตัว


   “กลับมาแล้วเหรอคะ เดินเล่นสนุกหรือเปล่า” แม่เดินออกมาแล้วอุ้มเคลลี่ออกจากเป้ด้านหน้าของผมครับ เคลลี่หลับคอพับไปแล้ว ระหว่างเดินกลับมา ผมให้แกดื่มนมกล่องที่ติดตัวมาเพื่อไม่ให้เด็กน้อยหิวจนเกินไป แต่ก็นั่นแหละครับ เด็กหนอเด็ก หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ยิ่งอากาศเย็นด้วยแล้ว หลับสบายเลยครับ


   “ก็ดีครับ อากาศหนาวมากผิดกับอากาศเมืองไทยคนละขั้วเลย”


   “นั่นสินะคะ เดี๋ยวแม่พาน้องไปนอนก่อนนะคะ เดี๋ยวมาทานมื้อเที่ยงกัน”


   “ครับแม่” ผมตอบรับแม่ไปแล้วก็เดินตรงขึ้นบันไดเข้าห้องตัวเองเหมือนกัน จัดแจงถอดเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ อุปกรณ์กันความหนาวอีกหลายอย่าง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คนเดิมไม่ใช่ใคร



   เอาล่ะ อย่างที่ผมบอกไป ถ้าผมว่างผมก็จะรับสายของเฮียเมฆแน่นอน



   เอ ตอนนี้ผมกำลังว่างอยู่หรือเปล่าน้า



   อย่าเพิ่งต่อว่าผมสิครับ ผมรับก็ได้ รับแล้วคร้าบ



   “ครับ พี่เมฆ” ผมกดรับสาย พยายามพูดไม่ให้น้ำเสียงสั่น


   “คี” เสียงของเฮียดูดีใจ แต่ก็เหมือนร้อนรนอยู่ไม่น้อยทีเดียว นี่ผมเวอร์ไปหน่อยหรือเปล่า แค่คำพูดเดียว ผมกลับรับรู้ถึงความรู้สึกของเฮียได้มากขนาดนี้


   “ครับ?”


   “เป็นยังไงบ้าง” ผมรออยู่สักพักกว่าเฮียเมฆจะถามออกมาด้วยประโยคนี้ ผมลุ้นแทบตายนึกว่าเฮียจะพูดอะไรเสียอีก


   “สบายดีครับ”


   “ใจล่ะ เป็นยังไง” ไม่บ่อยนะที่เฮียจะถามถึงความรู้สึกของตัวผมแบบนี้


   “ก็ดีมั้งครับ”


   “มันไม่มีอะไร” คำพูดที่ไม่มีประธานหรือกรรมจากเฮียเมฆ นั้นเป็นสิ่งที่เฮียถนัดครับ แล้วผมก็ดันเข้าใจมันเสียด้วย ผมรู้ว่าเฮียหมายถึงเรื่องระหว่างเฮียกับพี่พีช


   “พี่เมฆกำลังจะบอกผมว่าการที่คนสองคน กอดกัน จูบกัน นั้นของพี่เมฆมันคือไม่มีอะไรอย่างนั้นใช่มั้ยครับ” ผมเริ่มเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ น้ำเสียงเริ่มจะสั่นขึ้นเล็กน้อย เฮียเมฆกำลังจะบอกอะไรกับผม สิ่งที่ผมเห็นพวกเขาทั้งสองคนจูบกันในวันที่เราทั้งหมดบังเอิญเจอกันที่ผับ หรือวันที่เขากอดกันเมื่อสองวันก่อน มันคือไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ เฮียอยากให้ผมต้องเสียใจมากแค่ไหนกัน


   “พี่ไม่มีอะไรกับคุณพีช”


   “แล้วที่ผมเห็นมันคืออะไรครับ”


   “ฟังพี่อธิบายก่อน”


   “ถ้ามันไม่มีอะไร งั้นเรื่องระหว่างผมกับพี่เมฆก็คงไม่มีอะไรเหมือนกันด้วยใช่มั้ยครับ เพราะเราสองคนก็กอดกัน จูบกันเหมือนพี่กับพี่พีช ผมจะได้เข้าใจอะไรๆ ให้มันง่ายขึ้นกว่านี้”


   “มันไม่ใช่แบบนั้น คีไม่เชื่อพี่เหรอ”


   “ผมไม่อยากเชื่อพี่เมฆแล้วครับ ผมคิดว่าเรื่องของเรา ผมคงหวังอะไรไม่ได้อีกแล้ว” ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของผมแหบแห้งตอนที่ผมพูดประโยคสุดท้ายออกไป


   “เรื่องของเรายังเหมือนเดิม พี่ยังเหมือนเดิม เชื่อพี่สิคี เชื่อพี่ บ้าเอ๊ย!! พี่อยากจะพูด อยากจะอธิบายต่อหน้า ไม่ใช่ทางโทรศัพท์แบบนี้!!” เสียงของเฮียเมฆร้อนรนชัดเจนครับ ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเฮียเมฆยังเหมือนเดิมอย่างที่เฮียพูด


   “อย่าปลอบใจผมอีกเลย”


   “คีเชื่อพี่! เรื่องพี่กับคุณพีช มันไม่ใช่อย่างที่คีคิด” เฮียเมฆกำลังบังคับให้ผมเชื่ออย่างนั้นใช่หรือเปล่า


   “ผมเหนื่อย ไม่อยากฟังพี่เมฆแล้วครับ” ผมกำลังร้องไห้ ผมพยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ พยายามที่จะหยุดความคิดฟุ้งซ่าน พยายามไม่คิดถึงเรื่องของเฮียเมฆ คิดว่าตัวเองน่าจะเข้มแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่เลย เฮียเมฆยังมีอิทธิพลต่อผมเสมอ


   “พี่จะรีบไปที่นั่น รอพี่”


   “ไม่ต้องหรอกครับ”


   “พี่จะรีบเคลียร์งานที่นี่ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ คนดี มันไม่มีอะไรจริงๆ” คำพูดของเฮียเมฆทำให้ผมรู้สึกเหมือนยังเชื่อใจเฮียเมฆต่อไปได้ แต่ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนเคย ผมไม่ได้ตอบรับคำพูดของเฮีย มือผมสั่นตอนกดวางสาย และร้องไห้ต่อไปอีกสักพักใหญ่ จนร่างกายเหนื่อยและน้ำตาหยุดไหลไปเอง



   ผมงี่เง่าเกินไปหรือเปล่า หรือคุณคิดว่าผมยังควรเชื่อเฮียเมฆต่อไปอีกดีมั้ย ผมไม่มั่นใจอะไรเลยสักอย่าง หรือผมใกล้จะเป็นบ้าหรือยัง



   “คีคะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมรีบขานรับแล้วบอกจะลงไปเดี๋ยวนี้ ผมลุกขึ้นเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำอย่างลวกๆ แล้วลงไปที่โต๊ะอาหาร


   “หน้าตาดูไม่ค่อยสบาย จะป่วยหรือเปล่าคะ” ผมพยายามก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้า ไม่อยากให้แม่ต้องเห็นดวงตาที่ช้ำ จมูกที่ยังแดงอยู่ครับ แต่แม่ก็คือแม่ครับ ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของท่านได้ แม่ผมฉลาดเกินกว่าจะทักออกมาตรงๆ จึงพูดกับผมอีกแบบหนึ่ง


   “ก็นิดหน่อยครับ สงสัยคงเป็นเพราะออกไปเดินเล่นเมื่อตอนเช้า”


   “โถ สงสารลูกแม่เสียจริง เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วก็นอนพักเลยนะคะ อ้อทานยาด้วยดีกว่า แม่กลัวคีจะไม่สบาย ถ้าพ่อกลับมาต้องบ่นแม่แน่ๆ เลยค่ะ”


   “ไม่ป่วยหรอกครับ”


   “ทานยาดักไว้ก่อนดีกว่าค่ะ เชื่อแม่นะคะ”


   “ครับแม่” ผมยิ้มให้แม่คนสวยของผม แม่เดินไปหยิบยามาให้ผมทันทีเมื่อเห็นว่าผมอิ่มแล้ว ผมบอกขอบคุณแม่เสร็จแล้วก็ขึ้นไปห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง



   ผมเตรียมนอนพักตามที่แม่บอกโดยไม่บิดพลิ้วเลยแม้แต่น้อย แต่ผมยังไม่ค่อยง่วงก็เลยคว้าโทรศัพท์มากดเล่นเสียหน่อย ผมเปิดโปรแกรมแชทยอดฮิตของคนไทยขึ้นมาเปิดดู มีข้อความเข้ามาจากคนสองสามคนครับ ไม่ว่าจะพ่อของผมเอง



   พ่อของผมเนี่ยคือยังไงดีล่ะ รักลูกมาก หลงลูกมาก ไม่หายเห่อลูกเลยครับ พ่อทักผมในโปรแกรมแชทแบบนี้ทุกวัน และแทบทุกเวลาที่พ่อจะมีเวลาว่าง ผมไม่ค่อยอยากจะกดเข้าไปหรอกครับ แต่ถ้าไม่อ่านเลยพ่อจะโทรมาครับ แล้วคราวนี้ล่ะยาว เพราะพ่อจะพร่ำพรรณนาความรู้สึกที่แทบจะล้นใจของพ่อให้ผมฟัง ผมไม่อยากต้องแคะหูรอ พ่อส่งมาบอกว่า


‘รักนะ ไอ้ตี๋’ นี่เหมือนแบบเลียนประโยค รักนะเด็กโง่หรือเปล่า แค่ประโยคแรกก็ชวนอ้วกแล้วครับ ถ้าคิดว่ามีแค่ประโยคเดียวนี่ผิดถนัดครับ



‘แล้วตี๋ รักพ่อหรือเปล่าคร้าบ’ บอกผมหน่อยสิครับ ผู้ชายวัยเกือบห้าสิบ ถึงหน้าตาจะดูเหมือนสี่สิบก็เถอะ แต่นิสัยดูเหมือนจะไม่เกินสิบขวบล่ะมั้งเนี่ย ไม่รู้ลุงกรณ์กล้าไว้ใจให้ดูบริษัทได้ยังไง น่ากลัวบริษัทจะเจ๊งจริงๆ


‘แน่ะ ไม่อ่านเลย ไม่รักกันแล้วเหรอ’ คือถ้าบอกว่าพ่อคุยกับกิ๊กหรือเมียคนใหม่ดูท่าทางจะน่าเชื่อเสียกว่าว่าจะคุยกับลูกชาย ผมละเพลียกับพ่อจริงๆ


ผมส่ายหน้ากับข้อความของพ่อที่ส่งมาทั้งหมด ถึงจะบ่นไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ผมกำลังยิ้ม ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ผมรู้ว่าผมยังมีพ่อ มีแม่ มีเคลลี่ที่รักผม แต่ผมก็ตอบไม่ได้ถ้าผมไม่มีเฮียเมฆผมจะทำยังไง ผมกดตอบข้อความของพ่อไปสั้นๆ


‘รักสิครับ คนดี คนปัญญาอ่อนของผม’ ส่งไปไม่นาน พ่อก็ส่งกลับมาเลยครับ สงสัยรอข้อความจากผมอยู่เหมือนกัน


‘ไอ้ลูกเวร!!’ ผมหลุดขำก๊ากออกมาเลย ผมเลยง้อโดยการส่งสติ๊กเกอร์เป็นรูปหมีสองตัวกอดกัดพร้อมหัวใจที่ฟูฟ่องกลับไปให้พ่อแทน ไม่นานพ่อผมก็ส่งสติ๊กเกอร์กลับมาเหมือนกัน เป็นพ่อที่ทันเทคโนโลยีครับ สติ๊กเกอร์มีเสียงด้วยนะ กดฟังก็ได้ยินว่า
‘รักนะ จุ๊บๆ’ เป็นไงล่ะ พ่อผมน่ารักมั้ย คุณล่ะครับ อยากได้พ่อแบบนี้สักคนมั้ยครับ



ผมไล่ดูข้อความถัดไปเป็นพี่กันต์ครับ จำพี่กันต์ได้มั้ยเอ่ย ที่ผมเจอกับพี่เขาบนเครื่องบินไงล่ะครับ พี่กันต์ส่งรูปที่ไปเที่ยวมาตอนนี้พี่กันต์อยู่ที่เมือง Luzern ครับ อยู่ไม่ไกลจากเมืองที่ผมอยู่เลยล่ะครับ รูปที่ส่งมาเป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวครับคือโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ และสะพานไม้เก่าแก่ของที่นั่นด้วยครับ ไว้วันหลังเดี๋ยวผมจะพาคุณไปเที่ยวกับเคลลี่นะครับ



   ผมเลยตอบข้อความพี่กันต์ไปว่า ‘รูปสวยครับ’ แล้วก็ส่งสติกเกอร์เป็นรูปหมีน้อยชูมือไชโยเหมือนดีใจอะไรสักอย่าง ซึ่งมันเกี่ยวกับข้อความที่ผมส่งไปมั้ย ก็ไม่ แต่อยากส่งรูปนี้ครับ ช่างมันเถอะนะ



   คนถัดไปก็เป็นเฮียเมฆนั่นแหละครับ ก็พูดเป็นคำๆ ตามประสาเหมือนเดิมมีถามว่า


‘พักผ่อนเยอะๆ’


‘ดูแลตัวเองด้วย’


‘จะรีบมา’ และจบลงด้วยประโยคที่ทำเอาผมแทบหยุดหายใจทุกที


   ‘ขอโทษ’ ยิงลูกเข้าประตูแม่นตลอดเลยนะ เฮียเมฆ



   แล้วก็มาถึงคนสุดท้าย หมดสักที ทุกคนลืมไอ้ธรกันไปหรือยังครับ มันส่งข้อความหาผมเยอะมาก นี่มันไม่หลับไม่นอนกันหรือไงวะ ผมกวาดตาอ่านคร่าวๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ นอกจากหลักๆ ที่มันเป็นห่วงสภาพจิตใจของผม ขี้เกียจตอบครับ โทรหามันเลยดีกว่า ขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เราโทรหากันฟรี เอ สโลแกนไปซ้ำกับของใครบ้างหรือเปล่านะ



   ผมรอไม่นาน ไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็รับสายครับ พอมันเห็นว่าเป็นผมโทรผ่านโปรแกรมเข้ามาเท่านั้นแหละ มันก็รีบพูด รีบด่าผม จนผมตอบมันไม่ทันเลย ผมเลยปล่อยให้มันพูด จนกว่ามันจะเหนื่อยไปเองดีกว่า


   “ไอ้คี มึงยังอยู่หรือเปล่าวะ ตายไปยัง” มันเห็นผมเงียบ ไม่ตอบอะไรเลยเช็คสภาพครับ


   “เออ ยังอยู่ดี”


   “แล้วทำไมไม่เห็นคุยกับกูเลยวะ”


   “กูจะตอบมึงได้ไงวะ ไอ้ธร มึงรีบพูดอย่างกับคนสั่งลาตายอย่างนั้นแหละ” ผมหัวเราะที่ด่ามันไปได้หนึ่งดอก


    “กูต่างหากมั้งที่ต้องคิดว่ามึงจะลาตาย”


   “กูไม่ยอมตายก่อนมึงหรอก ไอ้ธร”


   “สัญญากับกูสิ” ไอ้ธรเสียงเข้มมาเลยครับ ลึกๆ แล้วมันคงกลัวผมจะประสาทแดก ฟุ้งซ่าน โดดแม่น้ำเจ้าพระยาอะไรทำนองนั้นแหละ แต่ผมกลับเลือกข้ามโลกมาแบบนี้ มันคงยิ่งเป็นห่วง


   “เออ กูสัญญา พอใจยัง”


   “ดีมาก แค่นี้กูก็ยังคอยด่ามึงได้ไปอีกนาน”


   “ทำไมวะ ไม่ได้ด่ากูแล้วมันจะลงแดงตายเหรอวะ”


   “ก็ไม่เชิง คันปากว่ะ”


   “ให้กูเอาตีนเกาปากให้มั้ยครับเพื่อน” ผมกวนประสาทมันไปอีกที


   “สัด มึงเอาไปเกาปากพ่อมึงเหอะ” ไอ้ธรพูดจบก็เหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าประโยคตะกี้ดูเหมือนจะมีชื่อต้องห้ามปนอยู่ด้วย พอมันเห็นว่าผมเงียบไป มันเลยรีบขอโทษขอโพยผมใหญ่


   “กูไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงไอ้ธรยังกับหมาหงอยที่ไปกัดรองเท้าแล้วโดนดุเลยครับ


   “กูไม่โกรธมึงหรอกน่า กูรู้ว่ามึงมันโง่ ไม่มีสติพอที่จะสำนึกได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด” ผมไม่ได้โกรธมันหรอกครับ ที่เงียบไปก็แค่แอคติ้งการแสดงเท่านั้น


   “เดี๋ยวนะ นี่มึงไม่ได้โกรธกูจริงๆ หรือว่าอาฆาตแค้นกูอยู่เนี่ย คำพูดของมึงดูด่ากูเต็มๆ นะ”


   “มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอ ไอ้โง่ธร” ผมหัวเราะเต็มที่ใส่ไอ้ธรเลยครับ


   “ครับๆ สะใจเหลือเกินนะครับ ชายคี อย่าให้ถึงทีกูบ้างนะ กูจะซัดไม่ยั้ง”


   “กูจะรอนะครับ แต่คงอีกนานกว่ามึงจะหายโง่”


   “กลับมามหาลัยเมื่อไหร่ กูจะรอเตรียมถีบหน้ามึงแน่ ไอ้คี”


   “ทำจริงไม่กลัว กลัวแค่ปากดีครับ แล้วผมจะรอนะครับ ชายธร”


   “เหอะ ไอ้สัด”


   “แล้วปิดเทอม มึงทำอะไรล่ะ”


   “ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันว่ะ พ่อกูก็ทำงาน แม่กูก็อยู่บ้าน เมื่อไหร่มึงจะกลับวะ”


   “ยังไม่รู้เลยว่ะ”


   “แต่มึงจะกลับมาใช่มั้ย”


   “กลับสิวะ” ผมตอบไอ้ธรให้มันได้สบายใจ อีกอย่างผมก็รับปากป้าจันไปแล้วด้วยเหมือนกันว่าจะกลับไปเรียนให้จบ


   “เรื่องพ่อมึงล่ะ โอเคมั้ย?”


   “ไม่ว่ะ”


   “กูไม่รู้จะปลอบมึงยังไง แต่ยังไงมึงก็ควรฟังจากปากเขาก่อนนะ”


   “กูไม่ค่อยแน่ใจอะไรเลยว่ะ” ผมถอนหายใจเสียงดัง พอเป็นเรื่องเฮียเมฆทีไร เครียดทุกทีครับ


   “ไอ้คี มึงรู้จักพ่อมึงดีกว่าใคร เชื่อในตัวพ่อมึงให้มากๆ กูพูดได้แค่นี้”


   “อะไรทำให้มึงมั่นใจในตัวเฮียเมฆนักวะ กูเห็นมึงเข้าข้างเฮียตลอด” ผมสงสัยมานานแล้วเหมือนกัน เวลาผมมีปัญหากับเฮียเมฆทีไร ไอ้ธรมันจะบอกให้ผมฟังเฮียก่อนตลอด


   “เรื่องพ่อมึงทีไรโง่ตลอดนะ ไอ้คี ควายเอ๊ย”


   “อ้าว ไอ้สัด กูถามดีๆ ไหงมึงมาด่ากูเนี่ย ถ้าอยู่ใกล้มือกูนะ จะตบให้คว่ำ”


   “ในเมื่อมึงโง่ไม่สิ้นสุด กูจะบอกให้เอาบุญ ไหว้กูซะด้วย” ไอ้ธรพอได้โอกาสก็รีบเลยนะครับ เพื่อนรัก


   “คร้าบ สาธุ คร้าบ พ่อคนฉลาด”


   “กูน่ะเป็นคนนอกระหว่างมึงกับพ่อมึง ถูกมั้ย?”


   “ก็ถูกมั้ง”


   “มั้งไรวะ ไอ้นี่ ตอนมึงนอนด้วยกัน กูได้เข้าไปนอนด้วยมั้ย”


   “ไม่โว้ย” ผมเสียงดังใส่มันเลยทีเดียว


   “ก็ใช่ไง กูเลยเป็นคนนอกยังไงล่ะ”


   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่กูถามไปวะ”


   “ใจร้อนจริงเว้ย ฟังต่อ กูที่เป็นคนนอกเนี่ย จะเห็นอะไรได้ดีกว่าคนในอย่างมึงยังไงล่ะ”


   “มึงเห็นไรวะ นิมิต?”


   “สัด นิมิตพ่อมึงดิ กินตีนกูมั้ยครับ จะฟังกูต่อมั้ย” ไอ้นี่พอได้ที ปากจัดด่าผมต่อเนื่องเลยนะครับ ยอมมันไปก่อนครับ เดี๋ยวค่อยตบหัวตัดหางมันคืนทีหลัง


   “ฟังๆ พล่าม เอ๊ย พูดต่อได้เลย” ผมรีบพูดก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจเพราะความเล่นตัวของมันน่ะครับ


“กูไม่รู้ว่ามึงเห็นอะไรจากพ่อมึงบ้างหรือเปล่า แต่เวลาที่เขามารับมึง หรือคุยกับมึงน่ะ สายตาของเฮียเมฆอยู่แต่กับมึงเว้ย กูไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มึงเข้าใจง่ายๆ แต่เอาเป็นว่าสายตาของพ่อมึงเนี่ย มีแต่มึงคนเดียวในสายตาของเขานั่นแหละ แล้วมันก็เหมือนที่มึงเห็นพ่อของมึงเพียงคนเดียวเลย ยิ่งทำให้กูพูดได้เต็มปากไงว่า เรื่องที่มึงบ้าบอกังวล ห่าเหวไรนั่น มันไม่มีทางเป็นไปได้หรือเกิดขึ้นได้เลย”


   “แต่มันเกิดขึ้นไปแล้วนะเว้ย กูเห็นเองกับตา”


   “กูถึงบอกให้มึงรอฟังเฮียเมฆพูดก่อน เขาน่าจะมีคำตอบที่ดีให้มึงแน่นอน แล้วดูที่มึงทำดิ เพ้อเจ้อปัญญาอ่อนวิ่งหนีข้ามโลกมา เพื่ออะไรวะ เด็กจริงๆ”


   “เออ กูก็แค่คิดถึงครอบครัวกูครับ มึงเองก็ทำพูดดีไป ด่ากูเข้าไปนะ ถ้ามึงอกหักเมื่อไหร่นะกูนี่แหละ จะคอยซ้ำมึงให้จมดินคาตีนกูเอง” หมั่นไส้ครับ หมั่นไส้ ได้ทีมึงด่ากูไม่ยั้งเลยนะ ไอ้ธร ไอ้เพื่อนเลว


   “ให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ หึหึ” ไอ้ธรสะบัดเสียงใส่ผม มันไม่เคยมีแฟนเลยครับ มันไม่อยากจริงจังกับใคร คนปากดีอย่างผมหรือไอ้ธร เอาเข้าจริงปอดแหกเรื่องความรักครับ กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ กลัวว่าจะทรมาน เลยต้องทำอะไรที่มันย้อนแย้งแบบนี้


   “แค่นี้?” ผมถามมันกลับไป เมื่อเห็นว่ามันเงียบไปแล้ว


   “อะไรแค่นี้”


    “ไอ้เรื่องที่กูถาม มึงคิดเอาเองจากที่เห็นแล้วมึงก็มั่นใจเรื่องเฮียเมฆอย่างนั้นใช่มั้ยวะ”


   “ไอ้คีเอ๊ย กูไม่รู้จะด่ามึงว่ายังไงดีแล้วเนี่ย มึงทำอย่างกับมึงกับพ่อมึงเนี่ยเพิ่งรักกันเมื่อต้นปีอย่างนั้นแหละ ยกนิ้วมานับดูสิ มึงคิดไม่ซื่อกับลูกชายบ้านนี้มากี่ปีแล้ว แล้วพ่อมึงเนี่ย อดทนกับมึงมากี่ปีแล้ว ขอร้องเหอะว่ะ เรื่องบางเรื่อง เลิกโง่เหอะ ถ้าตาของมึงมันบอด กูจะควักตามึงไปบริจาคเอง เสียดายของว่ะ”


   “ด่าไม่มียั้งเลยนะครับ เพื่อน”


   “แน่นอน โอกาสงามๆ กูปล่อยผ่านก็โง่เต็มทนแล้ว”



หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็เปลี่ยนเรื่องสนทนามาเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ครับ ผมพูดคุยกับมันต่ออีกสักพักก็วางสายลง คุยนานเหมือนกันแฮะ ผมย้อนไปคิดถึงคำพูดของมันที่ถามว่าผมคิดกับเฮียเมฆเกินกว่าพี่ชายมันกี่ปีแล้ว ผมบ้าจี้ตามคำพูดไอ้ธร ยกนิ้วมือขึ้นมานับดู นานพอดูเลยล่ะ ตั้งสองปีกว่าแล้ว หยวนๆ เป็นสามปีละกันครับ



เอ๋?!? แค่สามปีเองเหรอครับ ไม่ใช่ตั้งสามปีเหรอ ผมคิดว่ามันค่อนข้างนานแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวนะ งั้นที่ผมเป็นบ้าเป็นบอกับรักสองปีกว่านี่ผมโอเวอร์ไปหรือเปล่า มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก จะสองสามปี หรือกี่สิบปี อกหักมันก็ต้องเศร้า ต้องเสียใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ




   ผมกลับมาอยู่ที่บ้านได้สัปดาห์กว่าแล้วล่ะครับ หลังจากวันที่ได้รับโทรศัพท์คุยกับเฮียเมฆแล้วผมก็ไม่รับโทรศัพท์เฮียแกอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเรามีอะไรให้คุยกันอีก แต่เฮียก็ส่งข้อความมาตลอดนะครับ ดูจากลักษณะการส่งขึ้นอยู่กับความว่างเป็นส่วนใหญ่ ผมก็ได้แต่อ่านโดยไม่ตอบอีกเช่นกัน



หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่เก้า 19-09-2559 P2
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 24-09-2016 11:06:09



   มื้อเย็นของบ้านวันนี้แม่ทำไก่อบกับสลัดผักง่ายๆ ส่วนของเจ้าเด็กดื้อนี่เป็นไก่อบที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ง่ายต่อการเคี้ยวและไม่ต้องกังวลว่าจะกลัวติดคอ มีผักสดที่หั่นสวยงามเป็นคำๆ แล้วเช่นกัน ข้างๆ เป็นขนมปังอบใหม่ๆ หอมไปทั้งบ้านเลยครับ ขอโม้นิดนึงละกัน แม่ผมทำขนมปังอร่อยมากเลยนะครับ เรื่องของเรื่องคือผมไม่ค่อยชอบทานสลัดเท่าไหร่ แต่แม่ไม่สนใจและบอกให้ผมทานผักเยอะๆ ตอนนี้ก็เลยทำหน้าบูดใส่แม่เป็นการประท้วงเล็กๆ



   “ไอ้ตี๋ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” พ่อผมเองครับ พี่แกมองหน้าผมแล้วก็หัวเราะที่ผมทำหน้าตาแปลกๆ ตอนทานสารพัดผักพวกนี้เข้าปากไป


   “คีไม่ชอบอ่ะ พ่อช่วยผมกินหน่อย”


   “เฮ้ยๆ ไม่เอา ของใครของมันสิ อย่าเอามาใส่จานพ่อนะเว้ย”


   “สองพ่อลูกคะ บนโต๊ะอาหารพูดจาให้มีมารยาทด้วยค่ะ อีกอย่างนึง ช่วยทานเงียบๆ อย่างเคลลี่จะดีกว่ามั้ยคะ” แม่ผมปรามขึ้นมาเบาๆ ครับ ผมกับพ่อเงียบแทบไม่ทัน เอาเข้าจริงแล้ว พ่อผมก็ไม่ได้ชอบผักเท่าไหร่หรอกนะ แต่แม่ไม่อยากให้ทุกคนในบ้านต้องอ้วนพุงแตกตายกันไปเสียก่อน ก็ต้องมีมื้อสุขภาพกันบ้าง ผมเลยได้แต่มองจานของเคลลี่ที่ตอนนี้ผมรู้สึกอยากแย่งมากินเองมากครับ เจ้าหนูก็ทำหน้าทำตาว่าอาหารอร่อยมากมาย เห็นแล้วอิจฉาแกมหมั่นไส้เจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ ผมเลยหยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นเล่นไปทีหนึ่ง โดนแม่ตีมือเลยครับข้อหาแกล้งน้อง


   “ตี๋ พ่อได้บัตรที่พักห้องชุดโรงแรมมาว่ะ ลูกค้าที่เมืองลูเซิร์นเอามาฝาก”


   “ครับ แล้วไง” ผมพูดทั้งที่ผักยังเต็มปาก เพราะผมกำลังก้มหน้าก้มตาจิ้มผักยัดเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย รีบเคี้ยวรีบกลืน จะได้หมดๆ เสียที


   “พ่อเพิ่งเอาบัตรมาดูมันจะหมดอายุคืนพรุ่งนี้ว่ะ ไปพักแทนพ่อทีดิ”


   “อ้าว แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันหมดเลยล่ะครับ ไหนบอกเป็นห้องชุดไม่ใช่เหรอ” ผมยังไม่เงยหน้ามาคุยกับพ่ออีกเช่นเคย


   “ก็ทีแรกพ่อก็ตั้งใจจะพาไปด้วยกันหมดนี่แหละ แต่พรุ่งนี้มีประชุมสำคัญ งานนี้ก็เลยอด แต่จะทิ้งบัตรก็เสียดาย เอาเป็นว่าลูกเอาไปใช้แทนพ่อที”


   “เอารถพ่อมายืมด้วยสิครับ คีจะได้พาแม่กับน้องไปเที่ยวด้วย”


   “เฮ้ย ไม่ได้เว้ย แม่แกต้องอยู่กับพ่อสิ” ผมเงยหน้าจากชามสลัดนั่นได้สักที หมดแล้วเว้ย ดีใจมาก ในใจแทบจะตีกลองรัว แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ทำไมสายตาของพ่อดูแปลกๆ ชอบกลแฮะ


   “อะไรกันอ่ะพ่อ อย่าหวงแม่ไปหน่อยเลย”


   “ไม่ต้องเถียงกันหรอกทั้งสองคน แม่ไม่ไปหรอกค่ะ”


   “ทำไมล่ะครับ แม่” ผมถามแม่ออกไปทันที


   “แม่กลัวบ้านเละเทะค่ะ ปล่อยให้พ่ออยู่บ้านเองคนเดียวทีไร แม่อยากจะขายบ้านทิ้งแล้วซื้อใหม่เลยค่ะ” แม่ผมทำหน้าลำบากใจ แม่เป็นห่วงทั้งผมและพ่อ แต่แม่ก็ห่วงตัวเองเหมือนกัน เพราะพ่อเนี่ยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตนั่นแหละครับ อยู่ดีมีสุขทำตัวเป็นคนปกติได้ทุกวันนี้ก็เพราะบารมีของแม่โดยแท้จริง


   “แม่ไม่ห่วงคีเหรอครับ” ผมส่งสายตาอ้อนแม่อย่างรุนแรง


   “ไม่ว่าจะคีหรือพ่อ คนไหนแม่ก็ห่วงทั้งนั้น แต่แม่น่ะห่วงแม่เองมากกว่า” แม่ผมพูดติดตลกแล้วก็ลุกขึ้นเอาจานเข้าไปเก็บในครัว


   “แม่ !!” ผมกับพ่อ เรียกชื่อแม่ออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตอนนี้ซึ้งในความรักของแม่กันแล้วครับ


   “อ้อ พาเคลลี่ไปด้วยนะคี ดูแลน้องดีๆ ล่ะ”


   “ไม่ไหวมั้งครับแม่” ผมเริ่มโอดครวญ ลำพังตัวผมคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่ถ้าพาเจ้าเด็กดื้อนี่ไปค้างคืนด้วยล่ะก็ งานนี้ดูท่าว่าจะเป็นงานหินครับ


   “ต้องไหวสิคะ เราน่ะต้องทำให้ได้มากกว่าหน้าที่พี่ชายนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็นั่งรถไฟไปนะคะ สะดวกดี” แม่จัดการเองเสร็จสรรพ


   “โธ่ แม่ครับ” ผมเรียกแม่เพื่อร้องขอความเห็นใจเป็นครั้งสุดท้าย


   “แม่เชื่อว่าคีทำได้อยู่แล้วค่ะ” แม่พูดจบก็ขอตัว แล้วพาเคลลี่เข้านอน แล้วก็ไปเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับค้างคืนให้เด็กน้อย ตอนนี้ผมกับพ่อเลยนั่งมองหน้ากันแค่สองคนบนโต๊ะอาหาร


   “อิ่มยังวะ ไอ้ตี๋” หางของพ่อโผล่มาแล้ว


   “อิ่มแล้วดิ พ่อ” ผมมองชามเปล่าที่อยู่ตรงหน้า บอกใบ้ให้พ่อรู้ว่าไม่เห็นเหรอถามทำไม


   “มึงกินหมดได้ไงวะ สลัดผักชามเบ้อเร่อ”


   “ว่าแต่คี ดูตัวเองเถอะ กินไม่เหลือเหมือนกันนั่นแหละว้า” ผมมองชามเปล่าของพ่อแล้วเราก็พากันหัวเราะในการกระทำของตัวเอง


   “ใครจะกล้าขัดใจแม่มึงล่ะ”


   “ก็รู้กันอยู่แล้วจะพูดทำไมวะ พ่อ”


   “ก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องออกเช้ามากหรอก ลูเซิร์นอยู่ใกล้แค่นี้เอง”


   “อืม แต่ว่าคีไม่ไปไม่ได้เหรอ”


   “มึงรู้มั้ยคนที่คิดจะให้มึงไปน่ะ ไม่ใช่กู” พ่อพูดพลางหยิบขนมปังมาฉีกกินเพิ่ม


   “เดี๋ยวก็อ้วนพุงโย้ โดนแม่ทิ้ง ถ้าแม่ทิ้งพ่อนะ คีจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย แล้วใครที่ต้นคิด?” ผมทักพ่อเชิงด่าเสร็จแล้วก็ถามถึงใจความสำคัญ


   “แม่มึงรักกูจะตาย ขนาดให้เลือกระหว่างไปเที่ยวกับมึงหรืออยู่บ้านกับกู เขายังเลือกอยู่กับกู ไม่ว่ากูจะเป็นยังไง เขาไม่มีทางทิ้งกูหรอก รู้ไว้ซะด้วย ส่วนคนที่ต้นคิดนั่นน่ะ แม่มึงไงครับ ลูกรัก” พ่อผมตอบเรื่องแรกเสร็จแล้วก็ตามมาด้วยใจความสำคัญอีกเช่นกัน เอ เดี๋ยวนะ ผมกับพ่อนี่มันยังไง ถึงคุยกันทีละสองสามเรื่องไปพร้อมกันแบบนี้


   “นั่นเพราะว่าแม่กลัวพ่อจะทำบ้านสกปรกต่างหากเล่า คนอะไรแก่จนอายุปูนนี้ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ อยู่บ้านเองคนเดียวก็ไม่ได้ อ่อนชะมัด แล้วทำไมแม่ถึงคิดอะไรแบบนั้นวะพ่อ”


   “มึงนี่ไม่ได้สักซีกความฉลาดของกูไปเลยนะไอ้ตี๋ นั่นเขาเรียกว่าเป็นแผน เว้ย แผนการณ์ ทำยังไงให้แม่มึงต้องอยากอยู่กับกูตลอดไป วันก่อนแม่มึงอยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่าหน้าตามึงดูไม่ค่อยสดใส อยากให้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”


   “แผนปัญญาอ่อนของพ่อน่ะสิ มีอย่างที่ไหน ตัวเองขาดความรักแล้วก็ไม่ให้แม่ลูกไปเที่ยวด้วยกัน บาปหนักมากเลยนะ ตกนรกแน่ๆ แล้วคีดูไม่ค่อยสดใสตรงไหนวะพ่อ หรือหน้าคีหมองคล้ำ มีสิวฝ้า รอยกระ จุดด่างดำ” ผมจับหน้าตัวเองดึงไปดึงมาด้วยความสงสัยว่ามันผิดปกติตรงไหน


   “ปัญญาอ่อนตรงไหน เขาเรียกว่าแผนฉลาดล้ำลึก คนโง่ๆ อย่างมึงคิดไม่ได้หรอก ไอ้ตี๋ ไหนกูขอดูหน้ามึงหน่อย” พ่อหยิกแก้มผมแรงไม่ยั้งมือเลย


   “โอ้ย พ่อ คีเจ็บนะ” ผมลูบแก้มที่มีรอยแดงเห่อขึ้นมาทันใจ


   “สมน้ำหน้า ชอบด่ากูนัก” พ่อหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ เรายังรักกันอยู่ใช่มั้ย


   “แล้วหน้าคีผิดปกติหรือเปล่าล่ะ ดึงหน้าคีซะเต็มแรงเลยนะ”


   “มึงนี่นะ แสดงออกทางสีหน้าชัดจะตายไป คิดอะไรอยู่ แล้วยังทำหน้าเหมือนกับมีใครตายแบบนี้น่ะ
ใครเห็นแล้วไม่รู้ก็โง่เต็มที”


   “หน้าคีแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”


   “เออดิวะ ยิ่งตาของมึง ยิ่งแสดงชัด เศร้าอย่างกับเล่นละครดอกโศกอะไรอย่างนั้น”


   “เรื่องอะไรวะ พ่อ ไม่เคยได้ยิน” ละครเรื่องอะไรกันครับ มีใครรู้จักบ้าง


   “ช่างมันเถอะ คิดซะว่าเปรียบเปรย”


   “แล้วทำไมต้องพาเคลลี่ไปด้วย ผมกลัวจริงๆ นะเนี่ย” ผมชักเริ่มหนักใจครับ ผมไม่ได้กลัวการอยู่กับเคลลี่อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องดูแลแกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ ผมล่ะกลัวว่าจะทำไม่ได้จริงๆ


   “อันนี้อย่างที่แม่มึงพูดนั่นแหละ กูเองก็เห็นด้วย มึงควรจะทำหน้าที่ให้ได้มากกว่าพี่ชาย มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย”


   “ก็เข้าใจ แต่ไม่ให้ตั้งตัวกันเลยหรือไง งั้นไม่บอกคีซะวันพรุ่งนี้เลยล่ะ”


   “มึงไม่คิดว่ากูอยากจะทำเหรอ”


   “พ่อ!!” ผมเองลืมไปเลยเรื่องความเกรียนของพ่อ


   “กูน่ะอยากบอกมึงวันพรุ่งนี้มากของมากที่สุด แต่แม่มึงน่ะ ดันขอให้กูพูดเลยมึงจะได้เตรียมตัว กูล่ะโคตรเซ็ง แทนที่จะได้แกล้งแล้วได้เห็นหน้าเหวอๆ ของมึง คงน่าดูพิลึก”


   “แล้วพ่อมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกคีอีกมั้ย”


   “ไม่มีแล้วมั้งนะ มีเมื่อไหร่ก็รู้เองล่ะ ว่าแต่ยังไม่คุยกับเฮียเมฆอีกเหรอ”


   “มาเรื่องนี้ได้ไงล่ะ” ผมแทบงง ที่พ่อเปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องเฮีย รู้สึกหายใจไม่ค่อยคล่องเลยนะแบบนี้


   “เถอะน่า เล่ามา”


   “ก็ไม่มีอะไรอ่ะ ไม่ได้คุยกัน ไม่รู้จะคุยอะไร”


   “งั้นเลิกดีกว่ามั้ย? ดีกว่าปล่อยให้คาราคาซังแบบนี้ ไม่เหนื่อยเหรอ” ต้องมองตาของพ่อก่อนครับ ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง พอเห็นเท่านั้นแหละ ตาเป็นประกายเชียวนะ


   “บ้าดิพ่อ จะเลิกได้ไง ยังไม่เคยคบสักหน่อย”


   “เอ้าเรอะ กูนึกว่าพวกมึงข้ามขั้นตอนไปไม่ใช่เหรอ” ผมนี่แทบจะสำลักน้ำลายเลยทีเดียว


   “พูดจาอะไรเลอะเทอะวะพ่อ” ผมรีบยกแก้วน้ำมาดื่ม


   “ไอ้ตี๋ มึงอายเหรอ อายอะไรกับกูวะ นี่พ่อมึงชัดๆ”


   “มันใช่เรื่องที่เขาจะมาคุยกันธรรมดาเหรอไงวะ พ่อ”


   “ก็แล้วมึงจะทำให้มันคุยกันยากทำไมล่ะ”


   “พูดอะไรเนี่ย”


   “กูอยากจะบอกมึงว่า คนเราให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องทำให้เรื่องมันยากขึ้นไปกว่าเดิม คุยกันไปเลย คุยกันง่ายๆ นี่แหละ ไม่ต้องไปคิดล่วงหน้าว่าผลจะเป็นยังไง เพราะมึงเดาใจ เดาความคิดอีกฝ่ายไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป”


   “อือ”


   “ที่กูพูดไปเนี่ย เข้าหัวมึงอยู่บ้างใช่มั้ย”


   “ครับๆ เข้าหัวจนทะลุถึงคอหอยแล้วครับ”


   “กูพูดไปแล้ว ก็รู้จักเอามาใช้คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วย ใช้เป็นใช่มั้ยล่ะ ค.ว.ย น่ะ ไม่ใช่ใช้ปากอย่างเดียว”


   “โอ้ย พ่อ หน้ายังมียางเหลืออยู่บ้างมั้ย”


   “ไม่มีหรอก มีแต่หน้ากากไว้ใส่เข้าหาคนอื่น ลูกชายก็ไม่ค่อยรัก ต้องหลอกคนอื่นว่าลูกชายรักกูมาก ทุกข์ใจจนไม่รู้จะพึ่งใคร จะปรึกษาใครก็ไม่ได้” พ่อทำน้ำเสียงน่าสงสางชวนให้น่าถีบมากเลยครับ


   “มาๆ ไม่น้อยใจนะ ขอกอดทีครับ คุณพ่อที่รัก” รู้สึกบทมันจะแปลกๆ ไปมั้ยครับ พ่อต้องปลอบลูกหรือเปล่า ไม่ใช่อากัปกิริยาที่ผมยื่นแขนออกไปหวังจะดึงพ่อเข้ามากอด ทั้งที่เราสองคนยังนั่นกันอยู่คนละฟากโต๊ะอาหาร ผมรู้อยู่แล้วครับ ก็เลยแกล้งยื่นแขนออกไป


   “รักมึงจัง ไอ้ตี๋ อยู่กับกูนานๆ นะ” พ่อผมลุกขึ้นเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ดึงผมขึ้นไปกอด ไม่พอยังหอมแก้มเพิ่มอีกฟอด เอ่อ ถ้าผมจะคิดอะไรกับพ่อเกินกว่าพ่อนี่สังคมจะลงโทษผมแบบไหนกันเนี่ย นี่ขนาดผมเป็นลูกนะยังอ้อนขนาดนี้ ไม่อยากจะนึก ตอนที่อ้อนแม่จะขนาดไหน


   “คีก็รักพ่อเหมือนกันนั่นแหละ”


   “คืนนี้ให้กูไปนอนด้วยนะ” นั่นไงล่ะ ว่าแล้ว มาแบบนี้ ต้องมีอะไรแปลกๆ มาแน่นอน


   “ไม่ได้ เตียงคีเล็กจะตาย พ่อจะมานอนด้วยได้ไง”


   “คิดถึงน่ะ ตั้งแต่มึงกลับมา ยังไม่ยอมให้กูเข้าห้องด้วยเลย”


   “โอ้ย ไอ้พ่อบ้า ปล่อยคีได้แล้ว” ผมผลักพ่อออกไป ใช้แรงมากกว่าปกติด้วยครับ เพราะไม่ใช่ว่าพี่แกจะยอมโดยง่าย พ่อหัวเราะแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่ฝั่งตัวเอง


   “คืนนี้รีบนอนมั้ย?” พ่อชักไม่น่าไว้ใจเข้าไปทุกที


   “มีอะไรครับ?” ถามให้ชัดแจ้งก่อนจะเกิดผลดีกับตัวเอง


   “เล่นเกมส์กัน กูอยากเล่นวินนิ่ง มึงไม่อยู่ ไม่มีใครเล่นกับกูเลย” ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อ เมื่อก่อนเราเล่นเกมส์ด้วยกันแทบจะทุกวันเท่าที่ผมหรือพ่อจะว่างครับ ผมน่ะไม่ได้ติดเล่นเกมส์เท่าไหร่หรอก แต่พ่อผมน่ะชอบ พูดไปก็น่าสงสารนะครับ ตั้งแต่ที่ผมย้ายไปเรียนที่เมืองไทย พ่อคงเหงาแย่ ไม่มีเพื่อนเล่นเกมส์อีกต่างหาก รักพ่อนะครับ


   “ไปเปิดเครื่องรอเลยดีกว่า” เท่านั้นล่ะครับ พ่อผมลุกไปจัดแจงต่อสาย หยิบอุปกรณ์มาวางไว้หน้าโทรทัศน์พร้อมสรรพเลยทีเดียว คงอยากเล่นมานานแล้วล่ะครับ


   “เดี๋ยวผมขอล้างจานก่อนนะพ่อ เสร็จแล้วจะตามไป” ผมร้องบอกพ่อก่อนจะเก็บจานชามเปล่าที่ยังวางอยู่บนโต๊ะไปล้างให้เรียบร้อย ขืนวางทิ้งไว้แบบนี้ พรุ่งนี้เช้าระเบิดพายุของแม่น่าจะลงลูกใหญ่ อะไรที่ทำให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักนั้นพึงพอใจ เราควรจะรีบทำครับ อารมณ์โมโหของสตรีนั่นน่ากลัวเกินกว่าจะประมาณได้




   ผมเช็ดมือเรียบร้อยหลังจากล้างน้ำเปล่าจานใบสุดท้ายเสร็จ ก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นก็เจอพ่อนั่งอยู่ที่พื้นพรมหน้าโซฟาเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เกมส์คู่แรกกำลังรอผมอยู่ ผมนั่งลงข้างๆ พ่อ ก่อนจะหยิบจอยเกมส์ขึ้นมาไว้ในมือ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากตั้งทีมแข่งกันเอาเป็นเอาตายครับ



   คืนนี้ผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร ลองทายกันดูสิครับ ว่าระหว่างผมกับพ่อใครจะเก่งกว่ากัน อย่าให้ต้องใบ้กันเลยนะครับ ดูก็รู้ว่าฝืมือใครเจ๋งกว่ากัน


----------------------------------------------

คุณ lovenadd : คันนิดๆ หน่อยพอให้รู้สึกค่ะ อย่าเกาแรงน้า
คุณ ทฟเืนสรฟ : พ่อคีน่ารักจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ติดว่ามีแม่อยู่แล้ว เขมนี่แหละ จะแย่งเอ๊ง ฮ่าๆ
คุณ หมอตัวเปียก : เฮียเมฆฉลาดค่ะ แถมยังติดต่องานกับพ่อของคีอยู่ตลอดเลยได้คุยกันบ่อยค่ะ
คุณ Yara : คีดวงไม่ดี เห็นกี่ทีก็เจอแจกพอตตลอด จิตใจเลยกระเจิงค่ะ
คุณ Jibbubu : พ่อของคีน่ารัก เป็นคนชิคๆ เข้าใจอะไรไม่ยากค่ะ (แต่ในใจสุดคาดเดา)
คุณ goosongta : คีชอบเวิ่นค่ะ ฮ่าๆ



สวัสดีค่ะ ทุกคนเลย วันนี้เขมมาลงเร็วกว่าปกติ 1 วันค่ะ เพราะวันนัดของเรา เขมมีธุระด่วน ฮืออ  :mew6: ต้องออกเดินทางคืนนี้

ตอนนี้เฮียเมฆมาแต่เสียงค่ะ ค่าตัวยังไม่พอให้เฮียเมฆค่ะ แถมเขมเดินทางใช้เงินอีก เฮียอดใจรอไปอีก 1 ตอนน้า
ทุกคนในเรื่องโน้มน้าวคีใจจะขาดค่ะ เข้าข้างเฮียเมฆสุดฤทธิ์ น่าหมั่นไส้เนาะ พระเอกก็งี้ ฮ่าา

ตอนหน้า เฮียมาแน่ค่ะ มาแล้ววววววว

รักทุกคนเล้ยย  :L1:


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-09-2016 13:21:02
พ่อคีเป็นคนน่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 24-09-2016 16:28:13
เฮียเมฆรีบ ๆ มาเคลียร์ นี้ก็อยากรู้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 24-09-2016 21:18:32
น้องคีย์ครับ พี่เมฆมาหา ก็ลองฟังพี่เขาอธิบายหน่อยน่ะครับ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 24-09-2016 21:23:30
ถ้ามีพ่อแม่แบบคีย์ ลองมีปัญหาก็คงต้องรีบกลับบ้านเลยล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 24-09-2016 21:36:13
ไหนๆพี่เมฆก็จะมาง้อขนาดนี้แล้ว ก็ฟังแกหน่อยเนอะ
อยากให้ความอึมครึมหายไป
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2016 22:17:39
ฮึ.....คี เวิ่นเว้อ มากกกกก
เฮียเมฆ ก็พูด แค่มันไม่มีอะไร ซ้ำๆ
แทนที่จะบอกรายละเอียด
ว่ามันอย่างนั้น ....มันอย่างนี้.....ขัดใจจริงๆ
แต่คราวนี้ ท่าทางคุณพ่อคุณแม่ ออกโรง
ช่วยเฮียเมฆ ได้ปรับความเข้าใจกันในที่ส่วนตัว
มีน้องเคลลี่ เป็นตัวประกันไม่ให้คี หนีไปง่ายๆ มโนอีกและ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 03-10-2016 09:33:25

ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด


   เมื่อคืนกว่าจะได้นอนเกือบเที่ยงคืน คุณพ่อที่รักชวนเล่นเกมส์หลายแมทช์เลยทีเดียว ก็ยอมให้เขาหน่อยแหละครับ คงจะว่างเว้นมาเสียนาน ไม่ลงแดงก่อนก็บุญเท่าไหร่แล้ว เช้านี้ผมเลยตื่นไม่เช้าเท่าไหร่นัก เหลือบมองดูนาฬิกาหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จวนสิบโมง กะว่าลงไปทานข้าวเสร็จขึ้นมาเก็บของอีกนิดหน่อยก็ออกเดินทางได้เลย เพราะข้าวของของเคลลี่นั้นแม่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ


   ผมเดินลงบันไดเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร ได้ยินเสียงแม่สลับกับเสียงเคลลี่ เจ้าเด็กตัวดื้อดูท่าทางแล้ววันนี้น่าจะอารมณ์ดี เพราะเสียงหัวเราะดังมาถึงข้างบนตั้งแต่ก้าวแรกที่ผมออกจากห้อง


   “แม่ครับ มีอะไรให้คีทานบ้าง หิวแล้ว” ผมหยิบมือถือออกมากดเล่นระหว่างลงบันได


   “คีคะ หยุดเล่นมือถือเดี๋ยวนี้นะคะ ถ้าเกิดตกบันไดขึ้นมาจะทำยังไง โตแล้วนะคะ” ผมลืมได้ยังไงกันว่าเรื่องแบบนี้ แม่ผมไม่ชอบใจแน่ๆ


   “ขอโทษครับแม่ ไม่เล่นแล้วครับ เฮ้ย !!” ผมรีบเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วเงยหน้าเตรียมจะไปประจบคุณนายแม่แต่ก็ต้องร้องตกใจออกมาก่อน เพราะตรงโต๊ะอาหารนี้มีผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อของผมนั่งอยู่ แต่เป็นเฮียเมฆ กำลังนั่งเล่นกับเคลลี่อยู่


   “ตื่นสาย” เฮียเมฆทักทายผมเท่านั้นก็หันไปเล่นกับเจ้าเด็กน้อยที่ยิ้มแป้นแล้นอยู่


   “เฮียเมฆ มาได้ไงครับ”


   “นั่งเครื่องมา”


   “ไม่ใช่ ผมหมายถึงไม่ทำงานหรือไง”


   “วันนี้วันเสาร์” เอิ่ม เอากับเฮียเขาสิครับ ตอบสั้นแถมยังกวนๆ อีก


   “ช่างเถอะ”


   “หิวใช่มั้ย” ผมจำใจเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งข้างๆ เฮียเมฆ เพราะเก้าอี้ตัวอื่น มีของจุกจิกอะไรก็ไม่รู้วางเต็มยึดทุกพื้นที่เอาไว้หมดแล้ว เฮียเมฆเลื่อนจานขนมปังตรงหน้าเฮียมาให้ผมกินรองท้อง


   “ขอบคุณครับ” ถึงจะโกรธกันอยู่ แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ ขนมปังนี่ก็เป็นของที่แม่ทำ อันไหนก็เหมือนกันแหละ เพราะตอนนี้ผมหิวจริงจังแล้ว


   “ไง เคลลี่ หัวเราะเสียงดังเชียวนะ” ผมหันไปทักทายเจ้าตัวเล็กที่มองตามการกระทำของผมโดยไม่กระพริบตาเลย


   “Morning” เจ้าเด็กหน้าทะเล้นนอกจากทักทายผมกลับ แต่เจ้าตัวยังส่งจูบยิ้มหวานมาให้ผมอีกแน่ะ แล้วผมจะอดใจไม่ฟัดแก้มยุ้ยๆ นั้นได้ไง เลยลุกไปหอมแก้มเด็กดื้อนั่นสองสามทีก่อนจะกลับมานั่ง


   “นี่ค่ะ ทานเยอะหน่อยนะคะ จะได้ไม่หิวบนรถไฟ” แม่ผมทำอาหารแบบไทยแลนด์มาเลยล่ะครับ มื้อนี้โอ้ย น้ำตาผมแทบไหล ผัดกะเพราหมูสับ โปะหน้ามาด้วยไข่ดาวไม่สุกของโปรด ถึงจะเป็นเมนูสิ้นคิด แต่ถ้าคุณได้ทานแต่อาหารต่างเมืองแล้วล่ะก็ คุณจะต้องคิดถึงอาหารเมืองไทยแน่นอน ปกติแม่ผมก็ทำบ่อยนะครับ แต่ช่วงหลังไม่ค่อยทำบอกว่าต้องรีบปิดต้นฉบับ อาหารฝรั่งเลยสะดวกและใช้เวลาทำง่ายกว่า อีกอย่างวัตถุดิบก็หาซื้อได้ง่ายด้วย


   “ขอบคุณครับแม่ คีรักแม่จัง” ผมหอมแก้มแม่เป็นการขอบคุณ


   “ค่ะ ได้ทานของชอบ ก็รักแม่ใหญ่เลยนะ” แม่ลูบศีระษะผมเบาๆ แล้วก็กลับเข้าครัวไปยกอาหารอีกจานออกมา


   “คุณเมฆด้วยนะคะ อาจจะทานไม่ค่อยลงเพราะเพิ่งลงจากเครื่อง แต่ทานเถอนะคะ ตอนเดินทางจะได้ไม่หิว” แม่ผมวางอาหารที่เมนูเดียวกับผมให้กับเฮียเมฆอีกจาน แต่คำพูดของแม่ฟังดูแปลกๆ


   “ขอบคุณครับ น้า”


   “เฮียจะเดินทางต่อเหรอ” ผมอดจะสงสัยไม่ได้ก็เลยถามออกไปอย่างใจคิด


   “ใช่”


   “ไปทำงานต่อเหรอ”


   “เปล่า”


   “แล้วเฮียจะไปไหนล่ะ”


   “ไปกับคีไง”


   “หา!! ไปกับผม” แทบจะสำลักข้าวออกมาแต่เช้าเลย ดีนะที่ยั้งเอาไว้ทัน ผมยกน้ำขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็วจนหมดแก้ว


   “ใช่ค่ะ เดี๋ยวพาคุณเมฆไปเที่ยวด้วยนะคะคี”


   “ทำไมคีไม่เห็นรู้เรื่องเลยครับแม่”


   “อ่อ แม่ก็เพิ่งรู้นี่แหละค่ะ”


   “ถ้างั้นเฮียเมฆก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ”


   “ได้ยังไงกันคะ คุณเมฆมาพักผ่อนนะคะ อย่าใจร้ายทิ้งพี่เขาไว้แบบนี้สิคะ ไม่น่ารักเอาซะเลย” เดี๋ยวนะ ‘ไม่น่ารักเอาซะเลย’ ถ้าแม่รู้ว่าคุณเมฆของแม่ทำอะไรไว้กับลูกชายสุดที่รักของแม่แล้ว ยังจะคิดว่าผมทำตัวไม่น่ารักอยู่อีกหรือเปล่านะ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจจริงๆ


   “แต่คีไปค้างคืนหนึ่งเลยนะแม่”


   “ใช่สิคะ ก็ไปค้างไง ห้องมันใหญ่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”


   “ห้องมันใหญ่ก็ใช่นั่นแหละครับ แต่จะไปพักกับคีได้ยังไงกัน”


   “คีคะ แม่ไม่เข้าใจค่ะ ตอนคีอยู่ที่ไทยก็อยู่บ้านคุณเมฆ แล้วคีจะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีไม่ได้เลยเหรอคะ หรือจริงๆ คีมีปัญญาอะไรกันแน่ บอกแม่เลยสิคะ แม่ยินดีรับฟัง” เสียงแข็งแบบนี้ สายตาของแม่มองผมนิ่งๆ แบบนี้ คำว่ายินดีรับฟัง แปลว่า สัญญาณอันตรายกำลังจะเกิด ถ้าผมไม่มีเหตุผลที่ดีและเพียงพอที่จะปฏิเสธ
ผมอยากร้องไห้เว้ย อะไรกันวะ เช้านี้


“ไม่มีอะไรครับ จริงๆ แล้วเฮียเมฆมาอีกคนก็คงสนุกดี จะได้ช่วยดูเคลลี่ด้วย” ผมเลยจำต้องรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


   “อิ่มเมื่อไหร่ก็ออกเดินทางกันได้เลยนะคะ”


   “ครับแม่” ผมตอบแม่ หันไปมองคนข้างๆ หน้าตาของเฮียแบบนี้ มันชัดเจนเลยว่ากำลังหัวเราะผมอยู่ในใจ คงสะใจที่ผมปฏิเสธแม่ไม่ได้




   หลังจากอิ่มมื้อเช้า ผมก็ขึ้นไปเก็บของอีกไม่นานก็สะพายเป้ลงมา แม่เตรียมของใช้ของเคลลี่เรียบร้อยแล้วครับ เฮียเมฆเองก็เปลี่ยนชุดแล้วมาสะพายเป้คล้ายๆ ผมเหมือนกัน เฮียเมฆสลัดคราบนักธุรกิจใส่สูทผูกไท เหลือแค่ภาพของนักท่องเที่ยว เสื้อไหมพรมสีดำคอเต่า กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ โอ้ย เฮียกำลังจะทำผมขาดใจแล้ว


   “คีเป็นอะไรคะ ยืนนิ่งเชียว” แม่เรียกผมให้ละสายตาจากเฮียเมฆ ผมไม่ได้มองเฮียเมฆเต็มตาแบบนี้นานเท่าไหร่กันนะ เฮียผอมลง แก้มตอบ ใต้ตาคล้ำเหมือนคนนอนไม่ค่อยเพียงพอ คุณครับ ทำยังไงผมถึงจะตัดใจจากผู้ชายคนนี้ได้ครับ


   “ปละ เปล่าครับ”


   “เสร็จแล้วใช่มั้ย” เฮียเมฆถามผม


   “ครับ”


   “เดี๋ยวเอารถเข็นน้องไปด้วยนะคะ รบกวนด้วยนะคะคุณเมฆ น้าเห็นว่าไปกันสองคน ช่วยเหลือกันนะคะ อย่าปล่อยให้คีทิ้งเคลลี่นะคะ”


   “ได้ครับ คุณน้า” เฮียเมฆตอบเสร็จก็ใส่แว่นดำ เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ พร้อมออกเดินท่องเที่ยวแล้ว ส่วนแม่ผมจัดการอุ้มเคลลี่เข้ามานั่งในรถเข็น เคลลี่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วครับ วันนี้เด็กน้อยใส่เสื้อไหมพรมสีครีม เสื้อกันหนาวอีกหนึ่งชั้น มีผ้าพันคอลายการ์ตูนพันอยู่ที่คอ สวมหมวกไหมพรมมีพู่ห้อยลงมาด้วยครับ แล้วก็ถุงเท้าตามด้วยรองเท้าบูทขนสัตว์ที่กันความหนาวได้เป็นอย่างดี น่ารักจริงๆ แต่อากาศหนาวแบบนี้ชั้นในสุดคงหนีไม่พ้นเสื้อกับกางเกงลองจอนนั่นแหละครับ ตัวเคลลี่ถึงหนาขนาดนี้ ถ้าผมอุ้มลงเป้คงจะทุลักทุเลกว่านี้


“คี ของใช้ของน้องอยู่ในกระเป๋านี้ แขวนไว้ตรงรถเข็นก็ได้นะ แล้วถ้าขาดเหลืออะไรระหว่างทางซื้อหาเอาใหม่ได้เลยนะคะ”


“ครับแม่ คีไปนะ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้แม่แล้วก็หันไปพยักหน้ากับเฮียเมฆเป็นการรู้กันว่าเตรียมจะไปแล้ว


“ค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ” เฮียเมฆหันไปลาแม่ของผมบ้างแล้วเราทั้งสามคนก็ออกมาจากบ้าน


“เป็นไงบ้าง” เฮียเมฆก็ถามลอยๆ ขึ้นมา ไม่รู้เฮียเมฆหมายถึงใครแต่ผมไม่อยากตอบ



เราทั้งหมดเข้ามานั่งประจำที่บนรถไฟได้เรียบร้อย ผมกับเคลลี่นั่งข้างกัน ส่วนเฮียเมฆนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ระหว่างทางก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย เพราะเฮียเมฆคอยช่วยผมหลายอย่าง บางจุดเฮียก็อุ้มน้องลงบันไดเองเลย ส่วนผมก็พับรถเข็นแล้วหิ้วตามลงไป แม่เลือกรถเข็นคันเล็กให้ จะได้สะดวกหน่อยในกรณีที่ต้องยกขึ้นลงบันได เพราะมีน้ำหนักเบากว่าอันใหญ่อยู่แล้ว จริงๆ แล้วจะใช้ลิฟท์ก็ได้แต่ผมไม่อยากรอครับ ก็เลยเลือกบันไดครับ แต่ก็เหนื่อยกว่า



“คี เป็นไงบ้าง”


“สบายดีครับ” ผมจำใจต้องตอบ ผู้ใหญ่ถามระบุชื่อมาขนาดนี้ ไม่ควรเงียบว่ามั้ยครับ


“หม่ำๆ” เฮียเมฆทำท่าจะถามอะไรอีก แต่เคลลี่เด็กน้อย ประท้วงขึ้นมาเสียก่อน น่าจะเริ่มหิวล่ะครับ ผมเลยเปิดกระเป๋าโดเรม่อนของแม่เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง มีขนมสำหรับเด็กพร้อมเลยครับ ผมเลยหยิบออกมาให้เคลลี่ทานแก้หิว ไม่ลืมหยิบขวดน้ำออกมาด้วยครับ เป็นเด็กต้องดื่มน้ำเยอะๆ


“เอ้า นี่ครับ อย่ากินเลอะนะ เคลลี่” ผมยื่นขนมให้เคลลี่ ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณ หรือที่เราชอบสอนเด็กๆ เรียกว่า สาธุ นั่นแหละครับ ผมอมยิ้มให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าเด็กดื้อ น่ารักจริงๆ นะครับ น้องของผมคนนี้ ใครไม่หลงก็บ้าแล้ว


“ขอบคุณค้าบ” ผมยีหัวเด็กน้อยเล่น แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเฮียเมฆจ้องมาที่ผมพร้อมกับยิ้มให้ผม


“น่ารัก” เฮียเมฆพูดสั้นเช่นเคย เฮียน่าจะหมายถึงเคลลี่เพราะผมเองก็โตเกินกว่าจะมาใช้คำนี้แล้วล่ะครับ


“ครับ เคลลี่น่ารัก” ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเฮียเมฆ


“ทั้งคู่นั่นแหละ”


“ครับ?” เหมือนหูของผมจะได้ยินอะไรผิดแปลกไปหรือเปล่า


“น่ารักทั้งคู่”


“เฮียเมฆพูดอะไรครับ”


“พูดตามที่เห็น”


“แต่ผมเป็นผู้ชายนะเฮีย จะมาน่ารักอะไร ขนลุกอะ” ผมยื่นแขนไปให้เฮียเมฆดูหวังจะให้เฮียได้เห็นขนลุกตั้งอย่างที่บอก แต่เฮียดันกลับจับมือผมเอาไว้แบบนั้น แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ ก็ต้องปล่อยค้างเอาไว้แบบนั้นน่ะสิ


 “ผู้ชายก็น่ารักได้” เฮียยิ้มให้ นี่อะไรกัน ขยันยิ้มจังเว้ยเฮ้ย อยากให้ผมใจอ่อนใช่มั้ยล่ะ ผมไม่ยอมเชื่อเฮียแล้วยอมใจอ่อนหรอก

 
“แล้วนี่เฮียมาทำอะไรที่นี่ ขอคำตอบแบบดีๆ ครับ” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องที่คาใจมาตั้งแต่ที่บ้าน


“มาง้อคน”


“ไปทำอะไรไว้ล่ะครับ ถึงต้องมาตามง้อ” ผมยียวนกลับไป


“คิดว่าไม่ได้ทำอะไรนะ แต่เขาเข้าใจผิด”


“ถ้าไม่ได้ทำแล้วเขาจะเข้าใจผิดได้ยังไง” ผมย้อนเฮียกลับไป และถือโอกาสดึงมือออกจากมือของเฮียเมฆ แล้วหยิบขวดน้ำยื่นไปให้เคลลี่ ตอนนี้เด็กน้อยกินขนมเสร็จแล้ว เคลลี่รับขวดน้ำไปได้ก็ดื่มอั้กๆ กระดกเข้าปากไม่ยั้งเลยทีเดียว ขวดน้ำนี้ก็น่ารักแล้วออกแบบมาดีเหมือนกันครับ มีสายคล้องคอให้ด้วย เด็กจะได้รู้จักดูแลรักษาของของตัวเอง มีความรับผิดชอบ ซึ่งก็เป็นการสอนอย่างหนึ่งนะครับ ผมเลยเอาสายของขวดน้ำคล้องคอเคลลี่เสียเลย หากเด็กดื้อหิวอีกก็แค่บิดจุกน้ำแล้วยกดื่มครับ สะดวกมากๆ


“พี่เชื่อว่าพี่ไม่ได้ทำอะไร” เฮียเมฆนี่เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ


“ผมไม่คุยเรื่องนี้กับเฮียแล้ว”


“ตอนนี้ไม่คุย แต่คืนนี้ต้องฟังพี่นะ”


“ก็ได้ ถ้าเคลลี่ไม่งอแงนะครับ” ผมรับปากอย่างจนใจ ถึงจะเลี่ยงไม่ฟังตอนนี้ได้ แต่ในที่สุดเฮียเมฆก็ต้องรบเร้าให้ฟังอยู่ดี


“ขอบใจนะ”



ผมเคยมาเที่ยวที่เมืองลูเซิร์นหลายครั้งแล้วครับ ตอนที่พ่อให้พาเคลลี่มาตามลำพังสองคน ผมเลยไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ ดูแลก็ยาก แถมเมืองนี้ก็เคยมาแล้วเสียด้วย เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟเมืองลูเซิร์น ก็มองเห็นโบสถ์ฮอฟเคียร์เคอ (Hofkirche) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนเลยครับ ยังคงสวยและงดงามเหมือนเคย



“เฮียเมฆ เคยมาเมืองนี้หรือยัง” ผมถามคนข้างตัวที่กำลังเข็นรถเข็นของเคลลี่อยู่ ส่วนเจ้าของรถเข็นน่ะเหรอ นอนหลับน่ะสิครับ เพราะตอนนี้ได้เวลานอนกลางวันของตัวเล็กแล้ว ผมเองไม่ได้คิดจะปลุกขึ้นมาหรอกครับ เพราะไม่อยากให้แกต้องหงุดหงิดเพราะนอนไม่พอ


“เพิ่งมาครั้งแรก”


“ถ้างั้นเดี๋ยวเราเดินเลียบริมแม่น้ำแล้วไปเดินสะพานชาเพล (Chepel Bridge) กันนะครับ” ผมเสนอตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี


“ได้”


ผมออกเดินต่ออย่างที่บอกเฮียเมฆไว้ ระหว่างทางก็คอยดูเคลลี่ตื่นขึ้นมาหรือยัง ในที่สุดเราก็เดินมาถึงสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อของเมืองนี้ครับ แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน พี่กันต์ก็เคยส่งรูปมาให้ ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปแล้วเป็นฝ่ายส่งไปให้พี่กันต์บ้าง


“เที่ยวให้สนุกนะ” พี่กันต์ตอบผมผ่านโปรแกรมสนทนากลับมาหลังจากที่ดูรูปที่ผมถ่ายส่งไปให้


“ครับ พี่กันต์สบายดีนะ”


“สบายดี แล้วมาเที่ยวกับใครล่ะ อย่าบอกนะว่าคนเดียว”


“กับน้องชายครับ”


“สองคนเหรอ มีใครเพิ่มอีกมั้ย มีอะไรพิเศษๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า” ผมหันขวับไปทางด้านหลัง นึกเสียวหลังวาบ คิดกลัวว่าพี่กันต์อาจจะเห็นผมอยู่มุมใดมุมหนึ่ง


“อะไรอ่ะ พี่กันต์ ถามไรแบบนี้”


“ตอบแบบนี้ แสดงว่ามี”


“ขนาดไม่เห็นหน้า ก็โกหกพี่ไม่ได้เหรอเนี่ย” ผมแอบขำในความรู้ทันของพี่กันต์จริงๆ


“บอกแล้วไง ว่าเราสองคนน่ะเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว ฮ่าๆ”


“ผมไม่กวนพี่แล้ว”


“คิดถึงก็โทรมานะ สำหรับคีแล้วพี่ว่างเสมอ”


“ขอบคุณครับ” ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยก็หย่อนมันลงในกระเป๋ากางเกงตัวเก่ง เงยหน้ามาอีกที เฮียเมฆก็จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้วครับ


“ครับ?” ผมถามเฮียเมฆ แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง


“คุยกับใคร” เสียงเข้มเลยครับ


“ผมบอกไป เฮียก็ไม่รู้จักหรอก”


“ใคร” นอกจากเสียงเข้มแล้ว ท่าทางยังนิ่งพร้อมจะหาเรื่องเพิ่มขึ้นด้วยครับ สังเกตมือที่จับรถเข็นของเคลลี่ อุ้ย ข้อมือขึ้นขาวเลยแฮะ ชักเริ่มน่ากลัว


“พี่กันต์ครับ” รีบบอกออกไปครับ กลัวชะตาขาด


“พี่กันต์คือใคร รู้จักกันได้ไง”


“เฮียจะมาซักฟอกอะไรผมเนี่ย”


“คี!” คราวนี้มือที่จับรถเข็นเปลี่ยนมาจับแขนผมแล้วครับ อ่า รับรู้ได้ถึงความเครียดใต้มือนี้


“คืนนี้ค่อยคุยกันทีเดียวเถอะครับ ผมอยากให้เฮียเมฆได้เที่ยวก่อน”


“พี่ไม่อยากเที่ยว”


“พักผ่อนบ้างสิครับ อย่างน้อยก็เที่ยวกับผมละกัน”


“กลับโรงแรม”


“เฮีย คนที่ควรจะโกรธมันคือผมนะ แล้วเฮียมาง้อผมไม่ใช่เหรอไง”


“ใช่”


“ถ้าใช่ ก็ตามใจผม แล้วไปเที่ยวกันก่อน คืนนี้ค่อยคุยกัน ตกลงมั้ยครับ” ผมได้ยินเสียงเฮียเมฆถอนหายใจเบาๆ เห็นได้จากไอของความเย็นที่ออกมาทางจมูกครับ


“ตกลง”



เราเดินต่อกันอีกไม่นาน เคลลี่เด็กน้อยจอมป่วนก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าร่าเริงชาร์ตแบตมาเต็มพิกัดสุดๆ ครับ เคลลี่ลงจากรถเข็น เมื่อเท้าคู่เล็กสัมผัสกับพื้นก็วิ่งไม่หยุดเลยครับ เดือดร้อนผมวิ่งตามแทบไม่ทัน พลังมาเต็มจริงๆ เด็กคนนี้ ผมเลยต้องฝากเฮียเมฆเข็นรถตามหลังมาเรื่อยๆ กลัวว่าถ้าเฮียแกต้องวิ่งตามด้วยอาจจะลมจับก็เป็นได้ ตามอายุและสังขารนั่นแหละ แค่คิดในใจเฮียเมฆคงไม่ได้ยินหรอกใช่มั้ย




กว่าผมจับเคลลี่ขึ้นมาอุ้มได้ก็แทบหมดแรงครับ เคลลี่ขัดขืนเล็กน้อยเพราะยังอยากวิ่งเล่นต่อ ผมเลยต้องใช้ไม้แข็งมองหน้าของเคลลี่แล้วพูดกับแกตรงๆ ครับ เด็กวัยนี้รู้เรื่องนะครับ อย่าคิดว่าเด็กจะไม่เข้าใจ ต่อให้ไม่เข้าใจคำพูดของเรา ก็เข้าใจจากการกระทำครับ เรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยเป็นค่อยไปครับ เด็กก็จะซึบซับไปเองว่าสิ่งไหนนั้นทำได้ สิ่งไหนนั้นทำไม่ได้
ผมอุ้มเคลลี่เดินมาเรื่อยๆ ส่วนเฮียเมฆก็เข็นรถเดินอยู่ข้างๆ สายตาของผมก็คอยมองหาร้านอาหาร เลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพักแล้วครับ ถ้าแม่รู้เนี่ย ผมคงโดนดุแน่ๆ เลย เพราะให้น้องทานข้าวผิดเวลา เคลลี่ครับ พี่คีผิดไปแล้ว จะรีบหาร้านอาหารอร่อยๆ เดี๋ยวนี้แหละครับ แล้วผมก็เจอร้านแล้วครับ ร้านติดทางเดิน ดูสะอาดดีครับ ผมมองเลยไปข้างหน้าก็เป็นโรงแรมที่พักด้วย แบบนี้ยิ่งสะดวกเลย




ผมหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วหันไปมองเฮียเมฆเพื่อถามความเห็นของร้านนี้ เฮียเมฆไม่ได้ตอบอะไรกลับผลักประตูใหญ่เข้าไปไม่ลืมที่จะเปิดรอให้ผมกับเคลลี่เข้าไปด้วยครับ สุภาพบุรุษขนาดนี้จะหาได้จากที่ไหนกันล่ะครับ ไม่รู้กำลังจะหลุดมือของผมไปแล้วหรือยัง เราได้โต๊ะริมหน้าต่างที่มองเห็นคนเดินตรงทางเดินครับ ได้บรรยากาศมองเห็นการใช้ชีวิตของแต่ละคนดีจัง



“เคลลี่ หิวหรือยังครับ” ผมพลิกเมนูเปิดดูรายการอาหารข้างใน แน่นอนครับก็เป็นอาหารต่างชาติจำพวกขนมปัง พาสต้า สปาเก็ตตี้ นี่แหละครับ


“หม่ำๆ”


“อยากกินอะไรครับ” ผมก้มลงไปคุยกับเจ้าตัวเล็ก


“หม่ำปลา”


“ปลาย่างเนาะ แล้วเฮียล่ะครับ อยากทานอะไร”


“อันนี้ละกัน” เฮียเมฆจิ้มๆ ลงเมนูที่ชื่อว่า ‘Ratscherenttopf’ เป็นอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ครับ ลักษณะก็เป็นเนื้อต้มเปื่อยเสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งนั่นแหละครับ


“งั้นผมเอาด้วย” ผมเรียกพนักงานมารับออเดอร์ไป



รอไม่นานอาหารก็มาครับ เพราะเลยเวลาช่วงที่คนมาทานกันแล้วครับ อาหารของเคลลี่ผมสั่งเป็นแซลมอนย่างไม่ปรุงรส ยังเด็กอยู่ทานจืดๆ ไปก่อนละกันนะเด็กน้อย โตขึ้นค่อยรับรู้รสชาติของอาหาร สำหรับเด็กก็ไม่ควรเน้นรสชาติในมื้ออาหารครับ ทางที่ดีก็ไม่ต้องปรุงดีที่สุด ไม่งั้นแกอาจจะติดเค็ม ติดหวานได้ ปกติแล้วแม่ผมก็จะทำอาหารให้เคลลี่ทานเอง แต่ถ้ามาข้างนอกก็หาให้ทานเท่าที่จะทำได้




ผมป้อนอาหารให้เคลลี่ก่อน เพราะไม่อยากให้หิวมากกลัวแกจะปวดท้องถ้าผิดเวลามากไปกว่านี้ ส่วนของผมเดี๋ยวทานทีหลังก็ได้ครับ ผมใช้เวลาทานไม่นานหรอก กำลังหั่นเนื้อปลาให้เคลลี่อยู่ ก็เห็นส้อมที่จิ้มเนื้อยื่นมาตรงหน้า ผมมองตามมือที่ยื่นมาเลยเห็นว่าเป็นเฮียเมฆยื่นส้อมมาให้



“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกินทีหลังก็ได้เฮีย”


“อ้าปาก เร็ว เดี๋ยวจะปวดท้อง”


“เฮียเมฆกินไปก่อนเลย”


“พี่กินอยู่”


“เดี๋ยวผมกินเอง”


“อ้าปาก”


“เร็วๆ” เมื่อเห็นผมไม่ทำตามก็เร่งเลยครับ ผมเลยจำใจรีบอ้าปากแล้วทานลงไป เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาจนเกินไป


“ขอบคุณครับ”


“ไม่เป็นไร เคลลี่ทาน คีก็ต้องทานด้วย อย่าลืม”


“ครับ” ผมเลยรีบหั่นปลาของเคลลิ่ทิ้งไว้เป็นคำๆ แล้วลองให้เด็กน้อยทานเอง ปรากฎว่าก็ทานได้ดีครับ มีหกบ้าง เลอะบ้างตามประสา แต่ก็ปล่อยแกครับ เพราะทานไปเยอะแล้วเหมือนกัน ส่วนผมน่ะเหรอ รีบทานส่วนของตัวเองครับ เดี๋ยวจะมีมือปริศนายื่นส้อมมาให้อีก


“เคลลี่ อร่อยมั้ยครับ”


“อื้อ” คำเดียวสั้นๆ เพราะปลาเต็มปากเจ้าตัวเล็กเลย น่ารักจริงๆ


“กินเยอะๆ นะครับ คนเก่ง” ผมลูบหัวแกเบาๆ หมั่นเขี้ยวอยากหยิกแก้มจริงๆ เลย



ทานมื้อเที่ยงเสร็จผมก็พาคณะเดินตรงไปโรงแรมแล้วจัดการเช็คอิน เปิดประตูเข้าห้องมาก็เจอห้องนั่งเล่นก่อนเลย เห็นแล้วอดชื่นชมโรงแรมนี้ไม่ได้ ห้องตกแต่งไว้สวยจริงๆ ภายในห้องตกแต่งด้วยวินเทจทั้งหมด เน้นด้วยสีฟ้าตัดกับสีขาว ผมวางเคลลี่ลง เจ้าเด็กดื้อเลยวิ่งเล่นเต็มที่ภายในห้อง ผมปล่อยให้แกวิ่งเล่นไปแล้วผมก็เดินไปสำรวจห้อง ห้องนอนมีสองห้องครับ มีมุมครัวเล็กๆ ให้ทำอาหารง่ายๆ ได้ ห้องน้ำมีอยู่ในห้องนอนทั้งสองห้องครับ



หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบ 24-09-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 03-10-2016 09:33:55


เคลลี่วิ่งเล่นจนเหนื่อย ผมโทรสั่งอาหารจากโรงแรมขึ้นมาทานบนห้อง ไม่อยากจะพาเคลลี่ออกไปช่วงเย็นเพราะกลัวแกจะป่วย แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เฮียเมฆได้ไปผ่อนคลายบ้าง แต่เฮียเมฆก็ปฏิเสธ เจ้าตัวบอกไม่ได้อยากไปเหมือนกัน พวกเราทั้งหมดจึงทานมื้อค่ำที่ห้อง



“หลับแล้วเหรอ” เฮียเมฆเงยหน้าละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมในมือมาถามถึงเคลลี่ คงได้ยินเสียงผมที่ปิดประตูเบาๆ จากห้องนอนตัวเอง ผมกับเคลลี่นอนห้องหนึ่ง ส่วนเฮียนอนอีกห้องหนึ่ง


“ครับ”


“ทั้งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เคลลี่กลับติดคีมาก”


“แน่นอนอยู่แล้ว ผมมันคนมีเสน่ห์”


“อาบน้ำก่อนมั้ย แล้วค่อยมาคุยกัน” เปลี่ยนโหมดเร็วจังเลยนะครับ เฮียเมฆ ผมเกือบตามไม่ทัน


“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวค่อยอาบก่อนนอน เฮียล่ะ?”


“ยัง รอคุยกับคีก่อน” หมดเวลาที่จะหลีกเลี่ยงแล้วสินะ


“อ่อ..ครับ ถ้างั้นเฮียมีอะไรก็พูดมาเถอะ ผมพร้อมฟังแล้วล่ะ” เฮียเมฆลุกขึ้นมาดึงมือผมให้ลงไปนั่งบนโซฟาด้วยกัน ผมนั่งหันหลังให้เฮียเมฆ ในขณะที่เฮียก็เข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังเช่นกัน ทีแรกผมตั้งใจจะลุกแล้วย้ายตัวเองไปนั่งที่อื่น แต่แรงจากอ้อมกอดของเฮียนั้น แน่นเกินกว่าผมจะสะบัดให้หลุด


“เรื่องคุณพีช” ผมได้ยินเสียงเฮียเมฆพูดจากด้านหลัง เสียงนั้นอยู่ไม่ไกลจากหูของผมเลย


“ครับ?” ผมตอบกลับไปเสียงเบา


“คีเข้าใจว่ายังไงล่ะ” เฮียเมฆกลับเป็นฝ่ายถามผม


“ผมเห็นเฮียกับพี่พีช สองคนจูบกัน”


“หืม? จูบ? เมื่อไหร่? ตอนไหน? พี่ไม่เห็นจำได้” เสียงเฮียเมฆแสดงออกมาชัดว่างง กับเหตุการณ์ที่ผมบอกไป


“วันที่เฮียไปส่งพี่พีชหลังจากกลับจากผับไงครับ” ผมเผลอส่งเสียงที่แสดงออกชัดว่าไม่พอใจออกไป อยากจะห้ามน้ำเสียงแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด


“อย่าอารมณ์เสีย” เฮียเมฆเตือนผม


“ขอโทษครับ” เฮียเมฆไม่ชอบคนเสียงดัง ไม่ชอบคนขี้โมโห และไม่ชอบคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง จริงๆ แล้วผมก็เคยคิดว่าถ้าเฮียเมฆไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย เฮียคงไม่ดูดำดูดีผมแล้วล่ะ คงเห็นผมเป็นอากาศธาตุแน่นอน นั่นหมายความว่าเฮียเมฆก็คงคิดอะไรกับผมบ้างใช่มั้ย


“ขอพี่นึกก่อน อืม...คืนนั้นน่ะเหรอ” เฮียเมฆนิ่งไปสักพัก คงกำลังนึกถึงคืนนั้นอยู่เพราะเวลามันผ่านมาค่อนข้างหลายเดือนแล้วล่ะครับ มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่จำได้แม่นยิ่งกว่าใคร


“อ้อ คืนนั้น ที่พี่ลงไปส่งคุณพีชที่หน้าบ้านใช่หรือเปล่า”


“ใช่ครับ”


“คีเห็นพี่กับคุณพีชจูบกันเหรอ”


“ใช่ครับ ก็ผมบอกเฮียเองอยู่นี่ไงว่าเห็นเองกับตา” เฮียเมฆนี่ชักจะยังไง ถามกลับไปกลับมาอยู่ได้ กะว่าจะให้ผมสับสนแล้วก็จะหาโอกาสเอาตัวรอดใช่มั้ย ไม่มีทางซะล่ะ


“หึหึ” เฮียเมฆไม่ตอบแต่กลับหัวเราะในลำคอแทนครับ มันน่าโมโหเลยมั้ย


“หัวเราะอะไรครับ”


“หัวเราะเด็กชอบคิดไปเอง”


“ผมไม่ได้เด็กแล้วก็ไม่ได้คิดไปเองนะเฮียเมฆ”


“แล้วมีเรื่องอื่นอีกมั้ย ที่ทำให้โกรธพี่จนรีบบินมาที่นี่น่ะ”


“ยังจะมาถามผมอีกเหรอ ก็วันนั้นเฮียกับพี่พีชกอดกันในห้องทำงานไม่ใช่เหรอไง” ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นแล้วอาละวาดให้เสียงดังลั่นห้องเลย ถ้าไม่ติดว่ากลัวเคลลี่จะตื่นน่ะ โมโหเว้ย


“อ้อ เรื่องนั้น จริงด้วยสินะ อันนั้นเรื่องจริงพี่ไม่ขอแก้ตัว”


“ถ้างั้นที่ผมเข้าใจก็คงจะถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ” เฮียเมฆยอมรับมาขนาดนี้ ผมยังจะหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ได้อีกล่ะ


“คีเข้าใจว่ายังไง ไหนบอกพี่หน่อยสิคนเก่ง” เฮียเมฆกดปลายคางลงบนบ่าผมเบาๆ ส่วนจมูกของเฮียน่ะเหรอ อยู่ไม่ไกลจากหน้าผมเลย ให้ตายเถอะ พูดไปก็สั่นไป เฮียเมฆโหมดอ้อนเป็นเด็กแบบนี้ บอกตรงๆ ผมไม่คุ้นเลยจริงๆ นี่มันก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เฮียเมฆมักจะนานๆ ใช้ทีล่ะครับ หลอกล่อให้อีกฝ่ายใจอ่อน แล้วได้ผลดีโดยเฉพาะกับผมเสียด้วย


“พี่กับคุณพีชคงกำลังดูๆ กันอยู่ใช่มั้ย”


“ดูๆ กันอยู่ นี่แปลว่าอะไร” ปากก็ถามแต่ทำไมผมรู้สึกถึงริมฝีปากอิ่มที่กดประทับลงบนต้นคอครับ โอ้ย เฮียเมฆจะคุยก็คุย แต่อย่าทำแบบนี้ คีจะขาดใจเอาได้นะครับ


“ก็แปลว่ากำลังจะพัฒนาต่อจนอาจจะคบกัน เป็นแฟนกันก็ได้ไงครับ”


“นั่นน่ะเหรอความหมายของคำนั้น อืมม ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ”


“ถ้าเฮียเมฆจะคุยแบบนี้ งั้นผมขอตัวไปนอนก่อนล่ะครับ” ผมทำท่าจะลุกแต่ก็ถูกแรงของเฮียกดให้นั่งนิ่งเหมือนเดิม


“ไม่แกล้งแล้ว เอาเรื่องแรกก่อนละกัน ตั้งใจฟังให้ดีล่ะ”


“............” ที่เงียบไม่ใช่อะไรครับ ตั้งใจรอฟังอย่างดี ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนนอนกับสาวครั้งแรกยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้เลย แต่นี่อะไร แค่ฟังคำอธิบายของเฮียเมฆ หัวใจกลับเต้นแรงกว่าที่เคย


“คืนนั้น พี่กับคุณพีชไม่ได้จูบกันอย่างที่คีคิดและเข้าใจไปเอง ...... คนเดียว” เฮียเมฆทิ้งระยะก่อนจะพูดคำสุดท้าย นี่มันเหมือนหลอกด่าทางอ้อมเลยสินะ จะบอกว่าผมมโนไปเองคนเดียวอย่างนั้นใช่มั้ย


“แล้วที่ผมเห็นล่ะ”


“ฟังพี่สิ เด็กดี เรามาทวนกันใหม่สักรอบก่อนนะ พี่ขับรถไปส่งคุณพีชที่บ้าน คุณพีชนั่งข้างหน้าคู่กับพี่ ส่วนคีนั่งข้างหลัง พอถึงบ้านคุณพีชพี่ก็ลงไปส่งคุณพีชที่หน้าประตูบ้าน ตอนที่คีเห็นคงเป็นจังหวะที่แมลงบินเข้าตาคุณพีช พี่เลยช่วยดูให้ ถ้าคีจะสังเกตให้ดีคงเห็นว่าแมลงบินให้ว่อนเลยนะตรงหน้าบ้านน่ะ”


“จริงเหรอครับ?”


“พี่จะโกหกคีทำไมครับ พี่เคยโกหกเราด้วยเหรอ”


“แต่ตอนที่อยู่ในรถกัน ผมเห็นเฮียเมฆจับมือกับพี่พีช”


“คดีเพิ่มเหรอ?”


“ใช่หรือเปล่าล่ะ” ผมร้อนใจกับคำตอบของเฮียเมฆจริงๆ นะ


“จริง ไม่ปฏิเสธ แต่มันไม่ได้แปลความหมายออกมาอย่างที่คีคิดไปเองคนเดียวอย่างนั้นหรอก” นี่เน้นย้ำหาว่าผมคิดเองคนเดียวสองรอบแล้วนะ


“แล้วมันยังไงล่ะครับ”


“ใจร้อน ตอนจะอธิบายให้ฟังก็ไม่อยากฟัง ทีนี้ล่ะเร่งจริง”


“พี่เมฆ!!”


“เฮ้อ พออยากจะอ้อนหรือโมโหก็เรียกว่าพี่เมฆทุกที ไม่เรียกเฮียเมฆเหมือนเดิมล่ะ” เสียงเฮียเมฆทำเป็นน้อยอกน้อยใจ แต่ผมไม่หลงกลหรอก


“จะพูดต่อมั้ยครับ ถ้าไม่พูด ผมจะได้ไม่ฟัง”


“พี่จับมือคุณพีชจริง วันนั้นคุณพีชเพิ่งเลิกกับแฟนมา”


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการจับมือด้วยล่ะ”


“ก็แค่ให้กำลังใจคุณพีช ตอนนั้นคุณพีชสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่ก็เลยจับมือเพื่อปลอบใจเฉยๆ  คิดว่าคีคงเห็นนั่นแหละ ถ้ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ จะบอกบางคนให้เข้าใจ แต่เจ้าตัวไม่ฟังเลย ดื้อจริงๆ”  ผมดื้องั้นเหรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับจมูกโด่งของพี่ที่กดลงบนแก้มของผมล่ะครับ เฮีย มันไม่ยุติธรรมนะ


“ก็ผมโกรธนี่นา อยู่ๆ ก็จับมือกันต่อหน้าผมแล้วยังจูบกันอีก”


“ไม่ได้จูบ”


“ครับ รู้แล้วว่าไม่ได้จูบ แล้วเรื่องกอดกันล่ะ”


“คีจำตอนที่พี่ป่วยแล้วคุณพีชมาเยี่ยมได้มั้ย?” ผมพยักหน้าตอบไป เฮียเมฆเลยพูดต่อ “หลังจากวันนั้นพี่ก็เริ่มรู้สึกว่าคุณพีชคงไม่ได้คิดกับพี่แค่คนติดต่อกันทางธุรกิจเสียแล้วล่ะ พี่เลยขอร้องให้พ่อช่วยดูแลเคสของคุณพีชแทนพี่ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะโอนย้ายงานให้พ่อทำได้เลย เพราะส่วนใหญ่คนที่ติดต่องานเป็นพี่ไง”


“เกรงใจคุณลุง”


“พี่ก็เกรงใจพ่อ เพราะคีคงรู้ว่าพ่อพี่อยากจะวางมือนานแล้ว แต่พอพ่อรู้ว่าพี่มีปัญหากับคีเพราะคุณพีชพ่อก็เข้าใจดี แล้วตอนที่คีเห็นพี่กับคุณพีชกอดกันน่ะ” เฮียเมฆพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไป


“ทำไมครับ?” ผมอดทนไม่ไหวจนต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง


“พี่บอกคุณพีชไปตรงๆ ว่าเรื่องงานต่อไปพ่อพี่จะดูแลแทน ส่วนเรื่องพี่กับคุณพีช อยากให้คุณพีชเลิกคิดดีกว่าพี่มีเด็กดื้อขี้งอน ที่เอะอะคอยหนีปัญหาอยู่แล้ว แถมยังขยันสร้างเรื่องให้พี่ไม่หยุด ไปโรงพักจนร้อยเวรจำหน้าคนประกันตัวได้แล้ว พี่ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้” คำตอบของเฮียทำเอาผมหมั่นไส้จนต้องถองศอกลงท้องเฮียเบาๆ


“แล้วไงต่อครับ”


“คุณพีชก็เลยขอกอดพี่นั่นแหละ พี่ก็คิดเหมือนตอนจับมือกับคุณพีชนั่นแหละว่าคงให้กำลังใจและปลอบใจให้ได้เพียงเท่านี้ คีก็มาเห็นพอดี แล้วก็หนีเตลิดกลับบ้าน ทำเอาแม่พี่เศร้าไปหลายวันเลย”


“ป้าจันน่ะเหรอครับ”


“แม่พี่มีหลายคนเหรอ” เผลอไม่ได้เป็นต้องกวนกลับ ให้ตายจริงๆ สิน่า


“พี่เมฆ!!”


“เบาๆ อย่าเสียงดัง”


“แล้วช่วงนั้นพี่ไปไหนมาไหนกับคุณพีชหรือเปล่า อ้อ ผมนึกได้แล้ว คืนนั้นที่ร้านอาหารอีก พี่ก็นัดพี่พีชมาด้วย นัดมาทำไมครับ”


“ไม่ได้นัดหรอก แต่คุณพีชบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย พี่กลัวจะดึก ไม่อยากให้คีต้องรอนานเลยนัดไปที่ร้านอาหารนั้นแทน เลยกลายเป็นเรื่องไปซะได้”


“ตอนนั้นผมโกรธนะ ทำเหมือนแอบนัดหลับหลังผม และผมก็ไม่รู้ว่าพี่สองคนจะเอายังไงกันแน่ ถ้านัดกันก็ไม่ต้องชวนผมให้ไปด้วยสิ”


“ก็เลยไปทักทายโต๊ะอื่นแทนใช่มั้ย”


“แล้วมันได้ผลมั้ยล่ะครับ” ผมยิ้มโดยที่เฮียเมฆไม่มีทางเห็นอยู่แล้ว ลึกๆ แล้วรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหตุผลหลักๆ ก็คงเพราะไม่มีอะไรในกอไผ่ ถามว่าผมควรจะเชื่อเลยเหรอ ไม่คิดว่าเฮียเมฆโกหกเหรอ ก็อย่างที่เฮียเมฆบอกแหละครับ เฮียไม่เคยโกหกผม


“ได้ผลแน่อยู่แล้ว รู้ทั้งรู้ว่าพี่คงไม่ยอมถ้าจะไปกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ เอาคืนพี่ซะแสบเลย”


“ก็ผมไม่ชอบ เผื่อพี่เมฆจะได้เข้าใจบ้างว่าเวลาไม่ชอบน่ะเป็นยังไง”


“อย่าทำอีก”


“ไม่ทำแล้ว”


“ถึงพี่ไม่เห็นก็ทำไม่ได้ คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่าคืนนั้นที่ผับคีเข้าประตูหนีไฟไปพร้อมกับผู้ชายอีกคน” เสียงเฮียเมฆเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกได้ถึงรังสีที่แผ่ออกมา รู้สึกเสียวสันหลังวาบถ้าเฮียเมฆมีมีดอยู่ในมืออาจจะแทงผมจากด้านหลังมิดด้ามแล้วแน่ๆ


“เอ่อ...คือ...” ทำอ้ำอึ้งไป กำลังหาทางหนีทีไล่เอาตัวรอดครับ


“ไม่ต้องคิดที่จะเปลี่ยนเรื่อง ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้หนีความผิดไปได้หรอก” ชะอุ้ย เฮียเมฆรู้ทันได้ยังไง จะแก้ตัวยังไงดีล่ะ


   “ขอโทษนะครับ พี่เมฆ”


   “สัญญากับพี่แล้ว ทำไมยังทำอยู่” เดี๋ยวนะ ทำไมอยู่ๆ ผมกลายเป็นนักโทษรอลงอาญาไปได้ล่ะ


   “ก็ผม............. ไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรสักหน่อย ผมยอมพี่เมฆคนเดียวไม่ได้ยอมกับคนอื่นนี่นา” ผมเสียงเบาลงชัดเจน อึกอักตอบแก้ตัวไป


   “ยังมาเถียงพี่อีก”


   “เปล่าครับ”


   “พี่จะไม่ถามว่าคีรักพี่บ้างหรือเปล่า แต่ถ้าคีไม่อยากให้พี่ไปไหน คีต้องเลิกให้หมด” เหมือนสัญญาที่แฝงไปด้วยคำขู่ยังไงยังงั้น


   “ได้ครับ ผมจะไม่ยุ่งกับผู้ชายคนไหนอีก นอกจากพี่เมฆ” รับปากไปก่อน อย่างน้อยก็ยังมีผู้หญิงให้ผมเลือกได้อยู่แหละว้า


   “ผู้หญิงก็ไม่ได้” ปากอิ่มกดแน่นลงขมับของผม เหมือนจะขอร้องแต่ลึกๆ แล้วมันไม่ใช่เลย เฮียเมฆกำลังกลัวอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ เหมือนเฮียเมฆไม่มั่นใจในตัวผม


   “ไม่ได้เลยเหรอ?” ถามเพื่อความหวังสุดท้าย ผมไม่ได้เจ้าชู้นะครับ แต่แค่เผื่อแผ่ให้ทั่วถึงเอง


   “ไม่ได้ครับ”


   “โอเคเลิกหมดก็ได้ครับ เฮ้อออ” ผมถอนหายใจ แล้วตอบเสียงเศร้ากลับไป แต่ในใจน่ะเหรอ เออ เลิกก็ได้เว้ย เลิกให้หมดเลย แม่ง


   “สรุปว่าเคลียร์? มีอะไรอยากถามอีกมั้ย”


   “คิดว่าไม่น่าจะมี ไม่มีแล้วครับ”


   “ขอบใจมาก คีรินทร์” เรียกชื่อผมแบบนี้ อยากจะให้ผมทำอะไรให้ล่ะครับ เฮียเมฆ


   “ขอบใจ? ขอบใจผมเรื่องอะไร”


   “ที่ยังไม่อยากให้พี่ไปไหน”


   “ไม่ต้องมาขอบใจผมหรอกครับ เพราะการกระทำกับคำพูดของผม มันเป็นการกระทำของคนที่เห็นแก่ตัว”





------------------------------------------

ึคุณ Jibbubu : ใช่เลยค่ะ พ่อของคีน่ารักมากกก เขมชอบมากเลยล่ะค่ะ

คุณ หมอตัวเปียก : ตอนนี้เฮียมาแล้วค่าา

คุณ lovenadd : น้องคีก็ยอมฟังแล้วค่า

คุณ Yara : นายคีจอมเวิ่นเว้อ ชอบสร้างแต่เรื่องค่ะ เลยไม่ยอมบอกใคร

คุณ kokoro : ความอึมครึมหายไปหมดหรือยังคะ

คุณ ทฟเืนสรฟ : รอบนี้เฮียเมฆพูดยาวเลยล่ะค่ะ เคลียร์แล้ววว

ตอนนี้คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ทุกคนรอคอยเลยนะคะ เขมมีเงินค่าตัวพาเฮียเมฆขึ้นเครื่องมาแล้วล่ะค่ะ
เรื่องเรียบร้อยแล้ว เสือน้อยก็ต้องถอดเขี้ยวเล็บด้วย คีเอ๊ย ฮ่าาาาาาา

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 03-10-2016 15:56:12
เคลียร์กันแล้ว ถ้าคุยกันแต่แรกก็จบไปแล้วนะคี ฟังคนอื่นบ้าง อย่าคิดเองเออเองซะทุกอย่าง
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-10-2016 16:51:14
ในที่สุดก็เคลียร์กันได้ซะที ต่อไปคีต้องเลิกนิสัยคิดไปเองได้แล้วนะ มีอะไรก็ถามเฮียไปเลยตรงๆ อย่าหนีปัญหาแบบนี้อีก ไม่ดีเลยจริงๆ ดูซิแค่เรื่องเล็กคีทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ซะขนาดนี้เก่งจริงๆ เฮ้ออออ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-10-2016 18:23:09
เฮียเมฆ......น่ารัก
คี ยังคิดตุกติก แต่เฮียเมฆ รู้ทัน ซะละ
 :เฮ้อ: เข้าใจกันซะที
เฮียเมฆ ลงโทษ จัดหนักเด็กดื้อ เอาแต่หนีปัญหาเล้ย....
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 03-10-2016 19:42:35
น้องคี แพ้พนันพี่กันต์แล้วล่ะ ^^
มาถึงตอนนี้ก็คงรักกันมากเหมือนกันทั้งคู่
เพราะเฮียรักมากก็เลยยอมทุกอย่างขนาดให้คีย์ไปยุ่งกับผู้หญิงได้ แล้วคีย์ยังไม่มั่นใจอะไรอีก ไม่เข้าใจอ่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 03-10-2016 20:25:02
ต้องเคลียร์ซะไกลถึงจะเข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 10-10-2016 19:22:58


ภูเขาลูกที่สิบสอง


เช้านี้ผมตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ไม่ต้องหาเหตุผลให้ยาก ที่รู้สึกดีแบบนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่คาใจระหว่างเฮียเมฆกับพี่พีช จนปล่อยให้กัดกินจิตใจของตนเอง ฉลาดกับทุกเรื่องแต่โง่อยู่เรื่องเดียว เหมือนอย่างที่ไอ้ธรมันเคยด่าเอาไว้จริงๆ



ผมหันหน้าไปมองที่นอนข้างๆ แต่กลับว่างเปล่า สัมผัสดูแล้วเหมือนคนข้างๆ น่าจะลุกไปนานแล้ว เจ้าเด็กดื้อหายไปไหนล่ะ? เตรียมจะลุกขึ้นออกไปตามหาเด็กน้อย แต่หูก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะของคนสองคนด้านนอก เสียงเล็กใสของเคลลี่ที่ดูจะหัวเราะขำอยู่กับอะไรสักอย่าง ส่วนอีกเสียงของเฮียเมฆที่ดูจะหัวเราะไปพร้อมกับหลานด้วย ถ้างั้นผมถือโอกาสนี้ขอนอนเล่นต่อไปอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะครับเฮียเมฆ เคลลี่




ผมนอนตะแคงไปทางหน้าต่างของห้อง เลยเห็นบางอย่างวางอยู่ตรงหัวเตียง ผมยิ้มกว้างให้กับของตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนมาวาง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือเฮียเมฆซื้อดอกไม้ชนิดนี้มาแทนที่จะเป็นดอกลิลลี่อย่างที่เจ้าตัวชอบ



‘ดอกไฮเดรนเยีย’



มีความหมายทั้งสุขและทุกข์ สุขที่ขอบคุณฝ่ายที่ได้รับมันไป แต่ก็อาจจะหมายถึงทุกข์ที่อีกฝ่ายมีหัวใจด้านชาใส่ก็เป็นได้ จะว่าไปผมก็คงเหมาะกับดอกไม้ชนิดนี้จริงๆ แหละ ผมตอบรับความรู้สึกเฮียเมฆไม่ได้ ยังเห็นแก่ตัวอยู่ตลอด แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือจากเฮียเมฆสักที



จริงๆ แล้ว เฮียเมฆก็อาจจะเป็นคนที่ชอบความเจ็บปวดก็เป็นได้ รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์ของเราทั้งคู่มันอึมครึม ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าเรียกกันแบบภาษาชาวบ้านคงบอกว่า คอยหวงก้างกันไปมา แต่พูดไม่ได้สักทีว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน


“คีคะ แม่จะส่งคีกลับไปเรียนที่เมืองไทย” ผมนึกย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองอายุสิบเจ็ดปี ผมยังเรียนไม่จบเกรดสิบสองเลย ที่นี่จะจบช่วงหน้าร้อนก็คือกรกฎาคมหรือสิงหาคมครับ ในเช้าวันหนึ่งบนโต๊ะอาหารท่ามกลางเดือนเมษายน แม่ผมก็เปรยขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“ไม่ไปครับ คีจะเรียนต่อที่นี่” เมื่อแม่พูดขึ้นมาเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เดียวกัน


“ไปอยู่กับป้าจันนะคะ แม่คุยกับป้าจันไว้เรียบร้อยแล้ว”


“ทำไมแม่ถึงตัดสินใจอะไรเองแบบนี้ครับ ทำไมไม่ปรึกษาคีก่อน”


“คีคะ....” แม่เรียกผมด้วยความอ่อนใจ


“คีไม่ไปครับ” ผมยืนยันหนักแน่นในความคิดของตัวเอง


“ไปเถอะค่ะคี เพื่อแม่ไม่ได้เหรอคะ” บางทีสำนึกในบุญคุณนี่ก็ทำเอาผมลำบากใจตลอดเลยนะ


“ทำไมคีต้องไปด้วยล่ะครับ? แล้วอีกอย่างตอนนี้ที่เมืองไทยคงจะสอบเตรียมเข้าไปมหา’ลัย เสร็จไปแล้ว”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เอกชนมีเยอะแยะถมไปค่ะคี”


“แต่คียังเรียนไม่จบ...”


“ระหว่างนั้นคงต้องเทียวไปเทียวมาก่อน แต่คีก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”


“แม่ครับ...” เหมือนผมจะไม่มีทางปฏิเสธได้เลย


“ไปนะคะ แม่ขอร้อง”


“แล้วพ่อล่ะครับ? เคลลี่อีกล่ะ?” ผมพยายามหาที่พึ่ง


“พ่อไฟเขียวค่ะ ส่วนเคลลี่เดี๋ยวแม่ดูน้องเอง ไม่ต้องห่วงนะคะ”


“โธ่ แม่.. คีไม่อยากไป”


“ไปเถอะค่ะ”


“ทำไมล่ะครับ ทำไมต้องให้คีไปเรียนต่อที่นั่นคนเดียวล่ะ พ่อกับแม่ก็อยู่ที่นี่”


“แม่เชื่อว่าสิ่งที่แม่ทำ มันจะทำให้คีดีขึ้นค่ะ” แม่ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินมาหาผม มือขาวนิ่มของแม่ลูบศีรษะผมเบาๆ ผมกอดแม่เอาไว้ แนบศีรษะของตัวเองเข้ากับหน้าท้องแบนของแม่เอาไว้ ผมไม่อยากไปเลย


“แล้วคีต้องไปเมื่อไหร่”


“สัปดาห์หน้าค่ะ”


“เร็วอย่างนั้นเลยเหรอครับ”


“ไม่เร็วหรอกค่ะ เรื่องเรียนแม่ไปจัดการให้แล้วนะคะ ระหว่างนี้คงเหนื่อย ยังไงก็อดทนหน่อย ถ้าจบเกรดสิบสองแล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะค่ะ”


“ขอบคุณครับแม่”


“พ่อกับแม่น่ะ รักคีและทำเพื่อคีนะคะ” หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ตามที่แม่บอก ผมก็ยืนอยู่ที่สนามบินของประเทศไทยแล้วล่ะครับ แม่บอกว่าลูกชายป้าจันจะมารับผมด้วยตัวเอง ผมยืนชะเง้อคอยืดคอยาวแต่ก็ไม่เห็นใครสักคน แต่ปัญหาคือ ผมไม่รู้จักหน้าตาของลูกชายป้าจันนี่สิ ผมเลยต้องยืนเกะกะอยู่ตรงประตูทางออก หันรีหันขวางไปมา เพราะไม่รู้จะยืนตรงไหนดี ใจก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหาผมไม่เจอ แล้วทางนั้นรู้จักหน้าตาผมมั้ย


“คีใช่มั้ย พี่เมฆเองนะ” ตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะไปหาที่นั่งใกล้ๆ ประตูทางออก ก็มีชายคนหนึ่งจับแขนของผมเอาไว้ ผมตกใจเหมือนกันนะ นี่มันกลางสนามบินผมจะโดนลักพาตัวเหรอเนี่ย แต่พอได้ยินเสียงแนะนำตัวเองแบบกระหืดกระหอบเหมือนคนวิ่งมาตลอดทาง ผมก็รู้สึกโล่งนิดหน่อย แต่เดี๋ยวนะ พี่เมฆน่ะใคร?


“พี่เมฆ?” ผมทวนคำ


“ครับ”


“ลูกชายป้าจัน?” ลองเสี่ยงถามดู แต่จะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอกหรือเปล่า


“ใช่” อีกฝ่ายรับสมอ้างทันที


“ไม่เชื่อ คุณจะมาลักพาตัวผมไปใช่มั้ย ผมไม่มีเงินหรอกนะ บ้านผมจน ปล่อยผม!!” ผมยังไม่กล้าเสียงดังกระโตกกระตากออกไป คิดว่าถ้าคนตรงหน้ายังไม่ปล่อยมือจะตะโกนขอความช่วยเหลือให้สุดเสียงเลย


ผมทำท่าจะสะบัดแขนให้เต็มแรง แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปล่อยมือออกทันทีเหมือนกัน ผมเกือบจะสะบัดแขนเก้อเสียแล้ว มองอีกฝ่ายตรงหน้าแต่สายตาของผมกลับอยู่แค่ระดับปลายจมูก อะไรกัน ไอ้หมอนี่สูงกว่าผมอีกเหรอเนี่ย ขัดใจเป็นบ้า เงยหน้ามองก็ได้วะ



หัวใจผมเต้นกระตุกไปหนึ่งจังหวะ และอีกจังหวะ



“พี่เมฆ พี่ชายข้างบ้านไง จำไม่ได้หรือ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะเบื่อหน่ายกับอาการของผมเสียแล้ว


“จำไม่เห็นได้ มีหลักฐานมั้ย ขอดูหน่อย” คนตัวสูงกว่าผม ถอนหายใจรดบนศีรษะของผมเต็มๆ เฮ้ย ไม่เกรงใจกันเลยนะ ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาหยิบบัตรประชาชนยื่นมาให้


เมฆา วิวัฒน์จรรยา ชื่อนี้ ผมรู้สึกว่ามันคุ้นจัง แต่นามสกุลนี้ชัดเจนว่าผมรู้จัก เพราะแม่พูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ


“เชื่อหรือยัง”


“อื้อ เชื่อก็ได้”


“ของมีเท่านี้ใช่มั้ย ถ้างั้นไปเร็ว พี่เปิดไฟฉุกเฉินเอาไว้ เดี๋ยวโดนยกรถ” ผมพยักหน้าตอบกลับไป ลูกชายป้าจันในเวลานั้นก็รีบลากกระเป๋าเดินทางของผมไปที่รถทันที ถึงแม้เจ้าตัวจะลากกระเป๋าไปด้วยแต่ความเร็วของขาที่ก้าวยาวไม่ได้ชะลอเลย กลับเร็วเสียจนผมที่ขายาวอยู่แล้วยังเกือบวิ่งตาม


“เดินเร็วเป็นบ้า” ผมขึ้นมานั่งในรถด้านหลังได้ก็บ่นอุบกับตัวเอง ตอนนี้หอบน้อยๆ ครับ เล่นเดินเร็วไม่บอกกล่าวแบบนี้ มันตั้งตัวไม่ติด ลุงคนขับรถอยู่ด้านหน้าหันมาทักทาย ผมยกมือไหว้คุณลุงท่าทางใจดีคนนั้น แกแนะนำตัวเองว่าชื่อ ลุงหมาย


“เหนื่อยเหรอ เอ้านี่ น้ำ” เจ้าของรถหันไปหยิบน้ำที่อยู่ข้างๆ ของตนเองมาให้



“ขอบคุณครับ”


“พูดดีๆ ก็เป็นนี่” ผมชะงักมือที่กำลังเปิดขวดน้ำออกแล้วหันไปมองคนข้างๆ ด้วยความไม่พอใจ มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับผมแบบนี้


“ทำไม”


“เปล่า” มีใครเคยบอกมั้ย นอกจากน้ำเสียงกวนตีนแล้วสีหน้ายังวอนหาเรื่องด้วย สงสัยจะญาติดีกันไม่ได้แล้ว



ไม่อยากจะคุยอะไรต่อกับคนข้างๆ ขืนคุยมากไปกว่านี้คงต้องโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แน่ๆ ถ้าพลั้งมือต่อยปากคนไปจะเป็นอะไรมั้ย พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ มองหน้าออกไปนอกหน้าต่างดีกว่า น่าจะช่วยได้


ความเหนื่อยที่นั่งเครื่องมานาน แถมยังนอนไม่ค่อยหลับอีก เมื่อเดินเร็วเหมือนออกกำลังกายไปในตัวแล้วมาเจอแอร์เย็นๆ ทำให้ผมง่วงงุนจนหลับไปในเวลาไม่นานนัก


“คี ตื่น ถึงบ้านแล้ว” แรงเขย่าแขนไม่เบามือนัก ทำให้ผมจำใจต้องตื่น ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองพิงศีรษะไว้กับไหล่ของใครอีกคน พอรู้ว่าตัวเองซบไหล่ของคนที่ไม่ถูกชะตาอยู่ก็เหมือนถูกของร้อนๆ ครับ สะดุ้งออกมาแทบไม่ทัน อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเปิดประตูลงรถออกไปทันที


“คี เป็นไงบ้างลูก ไม่เจอกันนานเลย มาให้ป้าหอมที โตเป็นหนุ่มหล่อเลยนะเรา” ผมยกมือไหว้ป้าจันกับลุงกรณ์ แล้วก็เข้าไปสวมกอดป้าจันครับ ป้าจันหอมแก้มซ้ายขวาผมเหมือนสมัยก่อนที่ผมยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ในความทรงจำวัยเด็กของผมนั้น จำป้าจันกับลุงกรณ์ได้ครับ เพราะทั้งคู่ใจดี ป้าจันหาของกินอร่อยๆ มาให้ผมทานอยู่บ่อยๆ ส่วนลุงกรณ์บินไปดูงานที่สวิตบ่อยๆ ผมเลยค่อนข้างคุ้นกับลุงกรณ์ แต่ทำไมผมถึงจำลูกชายป้าไม่ได้เลยนะ


“พอแล้วคุณ หลานแก้มช้ำไปหมดแล้ว”


“คุณก็นะ ขัดจังหวะจริง ก็คิดถึงนี่นา ไม่เจอตั้งหลายปี” ป้าจันหันไปบ่นลุงกรณ์นิดหน่อยแล้วก็จูงมือผมไปนั่งที่โซฟาห้องรับแขก


“เป็นไงบ้างล่ะ เมืองไทยร้อนมั้ย”


“ร้อนมากเลยครับ ลุงกรณ์”


“ปรับตัวหน่อยนะ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกป้าหรือพี่เค้าก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเอง” ลุงกรณ์บอกผมพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม มีริ้วรอยตามวัยแต่วัยหนุ่มคงเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีไม่เบา ผมมองดูอีกคนที่นั่งข้างๆ ที่นั่งนิ่งๆ อ่านอะไรในโทรศัพท์ ใบหน้าที่ถอดแบบพ่อออกมาก ส่วนแววตานั้นจากแม่ ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเหลือเกิน


“ขอบคุณครับลุงกรณ์ ป้าจัน”


“จ้ะ คิดเสียว่าที่นี่ก็เป็นบ้านของคีนะ ป้าจะดูแลเราอย่างดีเลย ไม่ให้แม่เรามาว่าป้าได้เด็ดขาด”


“ครับ” ผมยิ้มให้ป้าจันที่เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลานจริงๆ


“เดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวป้าให้พี่เมฆพาไปที่ห้องนะจ้ะ ตาเมฆพาน้องไปหน่อย” ป้าจันหันไปบอกลูกชาย ฝ่ายนั้นได้ยินก็ลุกขึ้นแล้วออกเดินนำไป


“อย่าถือสาลูกชายป้าเลยนะจ้ะ ตาเมฆพูดไม่ค่อยเก่งหรอก ดูเหมือนจะดุแต่จริงๆ แล้วใจดี ขี้สงสาร ใจอ่อน เลยล่ะ อีกอย่างตอนเด็กๆ ก็เล่นด้วยกันนี่ คงกลับมาสนิทกันไม่ยากหรอก จริงมั้ยจ้ะ”


“คะ..ครับ” ผมแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะไม่รู้จะตอบป้าจันยังไง  ขนาดเพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงยังรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย ดูท่าทางไม่น่าจะญาติดีกันได้หรอก


“คี” เสียงเรียกจากคนที่ป้าจันบอกว่าใจดี ไม่เห็นจะจริงอย่างที่ป้าจันบอกเลย ตอนนี้ยักษ์ตัวใหญ่ ยืนปักหลั่นตรงทางขึ้นบันได ข้างๆ ตัวก็มีกระเป๋าเดินทางของผมวางอยู่


“รีบตามพี่เค้าไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะหงุดหงิดอีก”


“คีขอตัวก่อนนะครับ ป้าจัน ลุงกรณ์” ผมบอกแล้วรีบลุกขึ้นไปหาคนที่ยืนหน้านิ่งเหมือนผมไปเหยียบตาปลาเข้าให้น่ะครับ


“ห้องนี้” ผมเดินตามมาเงียบๆ ลูกชายป้าจัน ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาด้วยตัวเอง ตอนแรกผมบอกอีกฝ่ายว่าจะขอยกเองแต่คนแก่กว่ากลับไม่พูดแล้วยกกระเป๋าขึ้นไปเสียเอง เรื่องของนายสิ ดีเสียอีก ผมก็ไม่หนักด้วย พอพ้นบันไดขึ้นมาห้องแรกก็เป็นห้องนี้ อย่างที่คนเดินนำมาบอกครับ มือหนาเปิดประตูแล้วยกกระเป๋าเข้าไปวางให้ ผมต้องให้ทิปพนักงานด้วยมั้ย


“ขอบคุณ”


“ขาดเหลืออะไรก็บอก” ใครจะกล้าบอกพี่กันครับ หน้าหงิกหน้างอแบบนี้


“อืม”


“เมื่อก่อนออกจะพูดจาเพราะ”


“เมื่อก่อน?”


“ใช่”


“เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้” ผมตอบเชิดหน้าอย่างถือดี จะว่าไป ผมจำไม่ได้เลยว่าผมกับลูกชายป้าจันเป็นเพื่อนเล่นกันได้ด้วยเหรอ ดูจากบัตรประชาชนที่เขายื่นมาตอนที่อยู่สนามบินแล้ว อายุเราห่างกันเก้าปี ไม่น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้เลย


“ก็จริง งั้นพักผ่อนเถอะ” ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของผม แต่ช่างเถอะ ไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะต้องมาใส่ใจสักหน่อย



แล้วนั่นก็เป็นการถูกส่งมาเรียนที่ไทยและการพบกันครั้งแรกของผมกับเฮียเมฆ ที่ผมเรียกมันว่าครั้งแรกก็เพราะว่า จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังจำช่วงเวลาวัยเด็กระหว่างผมกับเฮียเมฆไม่ได้เลยน่ะสิ ถ้าหากไม่มีป้าจันคอยเล่าให้ฟัง ผมเองก็คงไม่รู้อะไรเลย สงสารก็แต่คนที่เป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กของผมไปน่ะสิ หากคุณมีเพื่อนหรือพี่ชายข้างบ้านแล้วจู่ๆ คุณก็ลืมเขาไป ตัวคนที่ลืมอาจจะไม่เป็นไร อย่างมากก็หงุดหงิดที่จำไม่ได้ ความทรงจำวัยเด็กอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญของทุกคนก็ได้



แต่ความรู้สึกของคนที่ถูกลืมล่ะ จะเป็นอย่างไร



“Key!! Wake up” เสียงเคลลี่ดึงผมออกจากอดีต มือเล็กๆ ตีประตูไม่เบานัก ไม่เจ็บมือหรือไงกันนะ


“พี่ตื่นแล้วครับ” ผมรีบลุกออกไปเปิดประตูก่อนที่มือของเจ้าตัวเล็กจะเจ็บ เปิดประตูก็เห็นเด็กดื้อยื้มแผล่ พร้อมชูมือขึ้นให้อุ้ม ผมเลยไม่ขัดศรัทธาอุ้มเคลลี่ขึ้นมา ไม่ลืมจะหอมแก้มยุ้ยๆ นั่นด้วย


“ตื่นแล้วเหรอ” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเคลลี่ก็ยืนยิ้มทักทายผมเหมือนกัน


“ครับ เฮียล่ะ ตื่นนานแล้วเหรอ”


“สักพักใหญ่” เฮียเมฆก้าวเท้าเข้ามากอดผมไปพร้อมกับเคลลี่ จมูกโด่งก้มลงมากดแนบแน่นที่แก้มของผมไม่ต่างจากที่ผมหอมแก้มเคลลี่เลยแม้แต่น้อย เคลลี่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เฮียเมฆเลยหอมแก้มเด็กน้อยด้วย


“เฮียเมฆ เล่นอะไรเนี่ย”


“ไม่ได้เล่น ก็เห็นคีหอมเคลลี่ได้ พี่เลยคิดว่าน่าจะทำได้เหมือนกัน”


“ตรรกะอะไรของเฮียเนี่ย”


“แค่หอมแก้มเอง มากกว่านี้น่าจะทำได้นะ” เฮียเมฆทำท่าจะก้มลงมาอีก


“หยุดเลยนะเฮียเมฆ เคลลี่กำลังจำครับ”


“จริงด้วยสิ ขอโทษที”


“สั่งอะไรขึ้นมาทานหรือยังครับ”


“ยังเลย รอคีอยู่ พี่ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรให้เคลลี่”


“งั้นเดี๋ยวผมโทรไปสั่งก่อนนะครับ” ผมส่งเคลลี่ให้เฮียเมฆอุ้มก่อนจะละไปโทรศัพท์สั่งอาหารจากด้านล่างขึ้นมาเหมือนเมื่อวาน



ทานมื้อเช้าเสร็จ เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อย แต่ยังฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก่อน ตอนที่ไปเที่ยวในเมืองจะได้สบายๆ ตัวไม่ต้องถือของหนัก ผมเริ่มพาเฮียเมฆเที่ยว ประหนึ่งเป็นไกด์ประจำทริปเหมือนเดิมครับ ผมพาเฮียเมฆเดินกลับไปที่แม่น้ำรอยซ์ (Reuss river) แบบเมื่อวานครับ มาดูบรรยากาศช่วงสายๆ บ้างดีกว่า อากาศดีเช่นเคย ติดตรงที่หนาวไปหน่อย หลังจากนั้นก็เดินยาวเหมือนกันครับ มีร้านรวงขายของเต็มไปหมดเหมือนทุกๆ ที่ ใครที่ชื่นชอบช็อคโกแลตที่นี่ก็มีร้านชื่อดังอยู่นะครับ
ผมพาเฮียเมฆลัดเลาะถนนมาเรื่อยจนถึงอนุสาวรีย์สิงโตครับ เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารชาวสวิตที่ซื่อสัตย์ในหน้าที่จนเสียชีวิตนั่นแหละครับ ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้อีกแห่งเลยล่ะครับ ผมถ่ายรูปเล่นอยู่สักพักก็ออกเดินต่ออีกครั้ง


“เฮีย หิวยัง”


“ยังเลย ทำไม?”


“เปล่าครับ ถามเฉยๆ”


“ถ้าคีหิวก็บอก จะได้หาร้านแวะกินอะไรกัน” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกสักชั่วโมงก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาเที่ยงตรงแล้ว


“งั้นสักเที่ยงค่อยกินละกันครับ” พูดจบ ผมก็ออกเดิน โดยมีเฮียเมฆเข็นรถเคลลี่เดินอยู่ข้างๆ ช่วงเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไร ปล่อยทุกอย่างไปกับรอบตัว และแค่มีเฮียเมฆอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันช่างสบายใจเหลือเกิน



ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ หวนคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับเฮียเมฆไปแล้วผมก็ขอตัวไปนอน แต่คุณคิดว่าเฮียเมฆจะให้ผมไปนอนมั้ย? ลองเดาดูสิครับ


“งั้นผมไปนอนก่อนนะครับ” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นแล้วแต่อ้อมกอดที่ยังไม่เคยคลายลงเลยกลับรัดแน่นกว่าเดิมเสียอีก


“ยังไม่ให้ไป”


“เฮียเมฆ ผมเจ็บ” ไม่ได้เล่นตัวหรืออะไรเลยครับ แรงของเฮียเมฆทำผมเจ็บจริงไม่ใช้แสตนด์อินด้วย


“นั่งก่อน”


“เฮีย ดึกแล้ว”


“อยู่กับพี่ก่อน” คำของ่ายๆ แต่ยากที่จะปฏิเสธ ผมเลยต้องนั่งอยู่นิ่งๆ ให้เฮียเมฆกอดเอาไว้แบบนั้น


“เฮียเมฆเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เฮียเมฆนิ่งไปนานจนผมรู้สึกไม่ค่อยดี เลยต้องถามออกไปทำลายความเงียบ


“.....”


“มีอะไรก็บอกผมได้นะ”


“ไม่มีอะไร”


“ไม่จริงหรอก เฮียไม่สบายใจอะไร”


“หันหน้ามาหน่อย” เฮียเมฆไม่ตอบแต่กลับให้ผมหันหน้าไปหาคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแทน ไม่ทันได้ตั้งตัวเฮียเมฆก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของผม โดยไม่รุกล้ำเข้ามาด้านในเลยแม้แต่น้อย กลับแช่นิ่งค้างไว้แบบนั้น


“พี่เมฆครับ บอกผมหน่อยนะว่าพี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ถ้าพี่เมฆกังวลเรื่องที่ผมโกรธ ตอนนี้ผมไม่โกรธแล้วนะครับ” อย่างที่ผมบอกไป ผมรู้สึกว่าเฮียไม่สบายใจและยิ่งจูบเมื่อสักครู่นี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเฮียเมฆดูเหมือนจะไม่มั่นใจ มีเรื่องอะไรที่กังวลอยู่ แล้วเฮียเมฆกังวลเรื่องอะไรกันล่ะ


“พี่คิดว่าคีจะไม่คุยกับพี่อีกแล้ว”


“เอ ไหนดูคนเก่งของผมหน่อยสิครับ หัวก็ไม่ล้านแฮะ ทำไมคิดเล็กคิดน้อย ขี้น้อยใจไปได้กันน้า” มันเรื่องที่ไม่ควรจะเอามาทำเป็นเรื่องขบขันหรอก ผมรู้ดี แค่อยากทำให้บรรยากาศไม่เครียดไปมากกว่าเดิม



หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบเอ็ด 03-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 10-10-2016 19:23:22


ช่วงเวลาที่ผมเสียใจ เฮียเมฆเองคงไม่ต่างกันหรอก ซ้ำเฮียคงงงด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะผมไม่เคยบอกว่าผมโกรธหรือไม่พอใจเรื่องอะไร ปล่อยเรื่องให้ยืดยาวออกไปโดยไม่จบมันลงเสียที


“แต่ตอนนี้พี่ดีใจ”


“ผมก็ดีใจเหมือนกับพี่เมฆเลยครับ”


“คีไม่รู้หรอกว่าพี่เครียดแค่ไหน พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคีไม่พอใจอะไรเรื่องไหน พี่ไม่รู้เลย” เสียงเฮียเมฆเศร้าเสียใจผมรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย ผมเหมือนคนบาปที่ทำร้ายเฮียเมฆไม่สิ้นสุด ผมไม่เคยโกรธเฮียเมฆนานขนาดนี้ ไม่เคยปล่อยให้มันนานแบบนี้ ครั้งนี้ทั้งผมกับเฮียเมฆคงไม่แน่ใจในตัวอีกฝ่ายด้วยกันทั้งคู่


“ผมขอโทษนะครับ ผมก็เครียด และรู้สึกเหมือนพี่เมฆทุกอย่าง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เมฆยังอยากรอผมอยู่มั้ย ผมคิดมาตลอดว่าพี่เมฆคงเบื่อแล้ว ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”


“ไม่มีวัน พี่รอคีมากี่ปีแล้ว แค่นี้พี่ยังไหว” ผมได้ยินคำตอบของเฮียเมฆแล้วแทบจะสะอึก อย่าให้ผมต้องบอกเองเลยครับว่ากี่ปีที่เฮียเมฆต้องรอผม เพราะมันนานหลายปีจริงๆ


“พี่เหนื่อยมั้ยครับ อยากพักมั้ย” คำถามของผมไม่ได้หมายความว่าให้เฮียเมฆไปนอนพักนะครับ แต่ผมหมายถึงให้หยุดเรื่องระหว่างผมกับเฮียเมฆเองต่างหาก เป็นฝ่ายถามเองและก็เจ็บปวดในใจเองเช่นกัน


“....” เฮียเมฆไม่พูดแต่ผมสัมผัสได้จากศีรษะได้รูปของเฮียที่ส่ายหน้าไปมาอยู่บนบ่าของผม เฮียเมฆยังเอาคางมาวางที่ไหล่ของผม เหมือนเด็กที่ขาดความรักเหมือนเดิม


“ขอโทษที่ผมเห็นแก่ตัว”


“ไม่ ไม่เกี่ยวกับคี การตัดสินใจรอมันเป็นของพี่เอง คีไม่ต้องรู้สึกผิด” เฮียเมฆก็ยังเป็นเฮียเมฆอยู่วันยังค่ำ รับผิดชอบทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ปกป้องผมอยู่ตลอดเวลา


“โกรธผมมั้ย ทั้งที่ยังรับความรู้สึกของพี่ตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้พี่ไปไหน”


“ไม่โกรธหรอก พี่เต็มไป”


“ชอบความเจ็บปวดเหรอครับ” ผมหยอกเย้าถามเฮียเมฆเล่นๆ


“คงจะจริง” แต่เฮียเมฆตอบมาหนักแน่นเลยล่ะครับ


“เชื่อเค้าเลย คนแก่นี่น้า ไหนคีขอดูหน้าหล่อๆ หน่อยสิครับ” ผมบิดตัวเองหันหน้าเข้าหาคนที่เริ่มคลายอ้อมกอดลงบ้างแล้ว มือสองข้างของผมประคองใบหน้าของเฮียเมฆขึ้นมา ผมยิ้มให้เฮียเมฆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยแบบนี้ ผมไม่อยากเห็นเลย คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมแน่น ทำให้ผมต้องละเอามืออีกข้างไปถูเบาๆ ให้คิ้วได้คลายออกจากกัน


“ไม่ทำหน้าแบบนี้สิครับ”


“ทำหน้าแบบไหน”


“หน้าสลด ตาเศร้าๆ แบบนี้ไงครับ ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกป้าจันดุอยู่เลยนะเนี่ย ทำลูกชายป้าเสียใจ”


“ไม่ใช่หรอก” มีเสียงหัวเราะหลุดออกมานิดนึงครับ ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย


“ปกติก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว ก็อย่าเพิ่มหน้าตาอมทุกข์แบบนี้เลยนะครับ”


“พี่ไม่ได้ตั้งใจ”


“ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้เราก็เข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องคิดอะไรแล้วนะครับ”


“อืม”


“น่ารักจริงๆ คนแก่คิดมากของผม”


“ยังไม่แก่สักหน่อย” จากการตอบเริ่มมีการโต้ตอบกลับมาบ้างแล้ว แสดงว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น


“ก็แก่กว่าผมตั้งเก้าปีเลยล่ะ”


“แก่กว่าแล้วยังไง จะทิ้งพี่เหรอ”


“แก่แค่ไหนก็ไม่ทิ้งหรอกน่า”


“ก็ดี เพราะพี่ไม่ยอมถูกทิ้งหรอก” เฮียเมฆคงจะเมื่อยหลังแน่ๆ ตอนนี้เฮียเมฆเอนตัวลงนอนบนโซฟา ศีรษะก็พาดอยู่บนที่วางแขน จะนอนก็นอนลงไปคนเดียวสิ ทำไมถึงดึงผมให้ตามไปด้วยเล่า ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นผมนอนตะแคงเข้าหาเฮียเมฆที่นอนหันหลังให้พนักพิง


“ผมตัวเหม็น ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” ผมรู้สึกว่าเราสองคนใกล้ชิดกันมากไปแล้วล่ะ ภาวะกอดกันเมื่อสักครู่นี้ก็ออกจะเป็นการสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่การที่มานอนกอดกันแบบนี้ยิ่งเสี่ยงกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าผมจะอายอะไรหรอกครับ ถ้าหากเฮียเมฆยอมเป็นของผมด้วยแล้วผมยิ่งดีใจเลยแหละครับ แต่วันนี้ยังไม่ได้เพราะเคลลี่ก็นอนอยู่ในห้อง มันดูไม่เหมาะสักเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าเคลลี่เกิดตื่นขึ้นมาเห็นตอนที่ผมกับเฮียเมฆกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นคงจะไม่ดีแน่นอน อดทนไว้ก่อนนะ ไอ้คีเอ๊ย อดเปรี้ยวไว้กินหวานนะเว้ย


“ไม่เห็นเหม็นเลย” ไม่พูดเปล่าครับ เฮียเมฆหอมแก้มผมเพื่อพิสูจน์กลิ่นเสียด้วย ผมจะทำยังไงก็ต้องเฉยสิ ขืนไปเล่นด้วย คนที่ทนไม่ไหวก็จะกลายเป็นผมอีก จากสถิติแล้วเฮียเมฆไม่เคยตบะแตกเลย มีแต่ผมคนเดียวที่โมโหเพราะคิดว่าเฮียเมฆไม่เล่นด้วยกลับนิ่งเฉย จนคิดว่าเฮียเมฆตายด้านหรือไม่ก็เป็นผมเองที่อ่อนหัด


“พี่เมฆ เดี๋ยวเคลลี่ตื่นครับ”


“พี่รู้ พี่ไม่ทำอะไรหรอก”


“งั้นก็ปล่อยผมก่อนสิครับ” ผมบอกเฮียเมฆพร้อมกับค่อยๆ ขืนตัวออกจากเฮีย


“ขออยู่แบบนี้ก่อนได้มั้ย”


“วันนี้ทำตัวเหมือนเด็กเลยนะครับ”


“อยากเอาแต่ใจเหมือนเด็กบ้าง ริจะคบกับเด็กก็ต้องฝึกให้เด็กเหมือนกัน” ดูคารมของเฮียเขาสิครับ อยากจะกัดปากอิ่มนั้นจริงๆ


“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอครับ แล้วจะคบกับเด็ก เด็กคนนั้นตกลงแล้วเหรอ”


“ไม่รู้สิ ส่งคำขอไปก่อน รอการตอบรับ”


“แล้วถ้าเขาไม่ตอบรับสักทีล่ะครับ”


“ก็รอจนกว่าเขาจะตอบรับ หรือไม่ก็จนกว่าเขาจะกดยกเลิกมันไป”


“เด็กคนนั้นฝากบอกว่าไม่มีทางกดยกเลิกหรอกครับ”


“อยู่แล้วล่ะ” ตอบด้วยความมั่นใจเต็มร้อย แล้วใครกันที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะทำหน้าหมาหงอยเศร้าสร้อยอยู่ ไม่น่าปลอบเลยจริงๆ


“มั่นใจตัวเองจริงๆ นะครับ”


“ก็ต้องมีบ้าง ไม่งั้นเจ้าตัวคงกดยกเลิกไปนานแล้ว ไม่หนีมาครึ่งค่อนโลกแล้วยอมให้กอดแบบนี้หรอก”


“อ้อ จะบอกว่าคียอมหายโกรธพี่เมฆง่ายๆ ใช่มั้ยครับ” ชักเริ่มฉุนกับคำพูดที่หลงตัวเองของเฮียเมฆซะแล้วสิ


“ไม่เคยคิดแบบนั้นหรอก แต่ถ้าเจ้าตัวไม่มีใจเลย มันคงจบไปนานแล้วล่ะ ว่ามั้ย”


“งั้นมั้ง” ไม่อยากจะยอมรับ จริงๆ เล้ย คนอะไรคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ น่าหมั่นไส้ชะมัด


“ช่วงที่ผ่านมาคีทำอะไรบ้าง”


“ผมเหรอ ก็ไม่มีอะไรนะครับ ไปเรียน พอมาอยู่ที่นี่ก็อยู่บ้านเลี้ยงน้อง เท่านั้นแหละครับ”


“แค่นี้เหรอ?”


“แค่นี้ครับ”


“แล้วพี่กันต์คือใคร?” นึกว่าจะลืมไปแล้วนะเนี่ย ผมเคยบอกมั้ยว่าเฮียเมฆหึงแรง หวงแรงเลยล่ะครับ น่าแปลกทั้งที่เจ้าตัวไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่กลับมีปฏิกิริยารุนแรงกับเรื่องชู้สาว



สงสัยมั้ยครับ ว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงปล่อยให้ไปสำมะเลเทเมา เริงรักหักสวาทกับสาวไม่เลือกหน้ามากมายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเฮียเมฆไม่ห้ามครับ เฮียทำแล้ว แต่โดนผมสกัดดาวรุ่งด้วยการบอกว่า เราสองคนเป็นอะไรกันเหรอ ถึงต้องมาสั่งห้ามกันแบบนี้ เฮียเลยจำต้องยอมรับแต่ก็ยื่นข้อเสนอกลับมาว่าห้ามเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง แล้วผมเชื่อฟังมั้ยล่ะ ก็ไม่แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมไม่พูด ไอ้ธรไม่พูด เฮียไม่เห็น แล้วเฮียจะรู้ได้ไง แต่พอวันนี้เฮียพูดขึ้นมา แสดงว่าเฮียเมฆก็คงรู้มาบ้างพอสมควรแต่ไม่อยากจะทำอะไรเพราะไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม แล้วเฮียก็โชว์เหนือกว่าผม โดยการยอมเดิมพันเอาตัวเองมาเป็นของกลาง หากผมยังทู่ซี้ ฝืนทำต่อไปก็จะต้องไม่มีเฮียอีกต่อไป แล้วเฮียก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมคงเสียเฮียไปไม่ได้อยู่แล้ว


หมดเวลาสนุกของผมแล้วล่ะครับ ช่วยปลอบผมทีสิครับ ทุกคน


“พี่กันต์?”


“ใช่ พี่กันต์”


“จะเริ่มยังไงดีล่ะครับ”


“พูดมาเลย เจอกันที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนไหน สนิทกันได้ไง”


“มาเป็นชุดเลยนะครับ”


“เร็ว”


“ดุจริงแฮะ ผมเจอพี่กันต์ตอนนั่งเครื่องกลับมาที่นี่ครับ เพิ่งรู้จักกันวันนั้นนั่นแหละครับ”


“สนิทกันไปหรือเปล่า”


“ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน”


“หืม”


“ไม่รู้สิครับ อธิบายไม่ถูก แต่ผมรู้สึกเหมือนได้มาเจอพี่ชายที่พลัดพรากกันมานาน แสนนาน”


“มีพี่แล้วยังไม่พอหรือไง”


“อยากมีสถานะเป็นแค่พี่ชายตลอดไปใช่มั้ยครับ ผมจะได้มีพี่ชายคนเดียวตั้งแต่ตอนนี้เลย” แล้วเฮียเมฆไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะว่าอยากเป็นแค่พี่ชาย นี่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วนะ


“แสบนักนะเรา” เฮียเมฆเอื้อมมือมาบิดจมูกผมเพื่อลงโทษให้กับความกวนของผม


“จบแล้วล่ะครับ”


“แค่นี้?”


“ครับ แค่นี้จริงๆ”


“ไม่น่าเชื่อ”


“ผมเคยโกหกพี่เหรอ” ผมยืมเอาคำพูดเฮียเมฆมาใช้ครับ


“เคยสิ ออกจะบ่อย” อะไรกันว้า หน้าแหกเลย ผมไปโกหกเฮียตอนไหนเนี่ย


“เท่านี้จริงๆ ครับพี่เมฆ เชื่อผมเถอะ”


“เชื่อก็เชื่อ ถึงคีโกหกพี่ก็เชื่ออยู่ดี” หมายความว่าไง เฮียเมฆ อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ยล่ะ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดจริงๆ นะเนี่ย


“พูดแบบนี้ ผมเสียใจนะ”


“แต่เรื่องนี้พี่เชื่อคี”


“สมกับเป็นคนที่ชอบความเจ็บปวดจริงๆ สินะครับ”


“ก็บอกแล้ว”


“งั้นผมขอพิสูจน์หน่อยสิครับ”


“พิสูจน์?”


ผมบอกให้เฮียเมฆปล่อยผมสักที แต่เฮียก็บอกขออยู่แบบนี้สักพัก รู้ทั้งรู้ว่าผมมือเร็วใจเร็วอยู่แล้ว มาให้อยู่ในสภาพนี้ใครกันเล่าจะไปทนได้ ลอบมองพนักพิงโซฟาดีนะที่ค่อนข้างสูง บังสายตาได้ดี อย่างน้อยถ้าเคลลี่ตื่นก็คงได้ยินเสียงเด็กน้อยขึ้นมาบ้างล่ะนะ



ทนไม่ไหวแล้ว



ผมเขยิบตัวขึ้นไปให้พอดีกับใบหน้าของเฮียเมฆก่อนจะเป็นฝ่ายก้มลงจูบเฮียเมฆเสียเอง ผมบดปากลงบนปากอิ่มของเฮีย นิ่งนานอยู่แบบนั้นไม่ได้รุกล้ำเข้าไปข้างใน



ผมกำลังรออยู่ครับ รอให้เฮียเมฆเป็นฝ่ายสานต่อจากนี้เอง เฮียเมฆไม่เคยจูบผมในลักษณะที่ลึกซึ้งมาก่อนเลย ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายขอหรือเริ่มก่อนเท่านั้น แต่วันนี้เฮียเมฆอ่อนแอให้ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่าผมควรจะบอกเฮียเมฆว่าต่อจากนี้ไปผมอนุญาตให้เฮียทำตามใจได้เต็มที่ โดยไม่ต้องไปกังวลหรือคิดอะไรให้มากความอีก



ผมถอนริมฝีปากออกมา สบตากับเฮียเมฆ ดวงตาคู่สวยที่สุดในสายตาของผมกำลังสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนแต่ทุกคนย่อมมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น และจุดอ่อนของเฮียคือผม ผมคนเดียวที่ทำให้เฮียสั่นไหว ทำให้เฮียสูญเสียความเป็นตัวเอง มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น



ผมยิ้มให้เฮียเมฆแล้วก้มลงไปจูบเฮียเมฆอีกครั้ง เฮียเมฆจะรู้บ้างมั้ยว่าใจของผมที่เต้นอยู่ตอนนี้ มันเต้นแรงเหลือเกิน แรงจนผมคิดว่ามันจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เฮียเมฆได้ยินมันบ้างหรือเปล่าครับ


“พี่จะถือว่าคียอมให้พี่ก้าวเข้าไปหาคีมากขึ้นแล้วนะ”


เฮียเมฆกำลังจูบผม จูบที่ผมเคยร้องขอเองมาโดยตลอด จูบที่เฮียเมฆคิดมาตลอดว่ามันไม่ควรและเฮียไม่มีสิทธิ์อะไร ผมอยากจูบเฮียเมฆมาตลอด จูบเหมือนคนรักกัน แต่ก็เป็นผมเองที่ผลักไสคำว่าคนรักนั้นให้ห่างออกไปจนเฮียเมฆไม่แน่ใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรให้มันผิดเพี้ยนมากไปกว่านี้



ลิ้นอุ่นของเฮียเมฆสำรวจภายในปากของผม ผมจูบตอบเฮีย จูบตอบเหมือนกับว่าเราไม่เคยจูบกันจริงมาก่อนเลย เหมือนเป็นครั้งแรกของเราสองคน ผมกัดริมฝีปากล่างของเฮีย ริมฝีปากที่ผมชอบที่สุดเหมือนกับดวงตา เฮียเมฆยิ้มให้ผมแล้วจูบผมอีกครั้งและอีกครั้ง



คืนนั้นไม่รู้ว่าเราสองคนจูบกันนานเท่าไหร่ จูบที่ปราศจากเซ็กส์ มีแต่ความโหยหา มีแต่ความดีใจในส่วนลึกของเราทั้งคู่


ผมมีความสุข และเชื่อว่าเฮียเมฆก็คงมีความสุขเช่นกัน



“Key , Key , Hey!!” เสียงเคลลี่ดึงผมให้ออกจากเรื่องเมื่อคืนเป็นการเรียนคืนสติครั้งที่สองของวัน


“ครับ ว่าไงครับคนเก่ง”


“อุ้มหน่อย” ผมเพิ่งเห็นว่าตอนนี้เคลลี่อยู่ในอ้อมกอดของเฮียเมฆ สงสัยคงจะเบื่อที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถเข็นของตนเต็มที


“ไหวมั้ยคี” เฮียเมฆถามผมด้วยความเป็นห่วง เพราะผมไม่ได้เอาเป้อุ้มมาและเคลลี่เองก็หนักไม่ใช่เล่นเลย


“ไหวครับ ผมฝากเฮียช่วยเอาเป้ไปไว้ในรถเข็นเคลลี่ทีครับ” ผมหมายถึงเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลังน่ะครับ เฮียเมฆค่อยมาถอดออกจากแขนทีละข้าง แล้วก็เอาไปคล้องไว้หลังรถเข็น


“คนเก่งอยากไปไหนต่อครับ” ผมหันไปถามคนตัวเล็กในอ้อมกอด


“Go!! Go!!” เคลลี่ชี้ไปข้างหน้าที่มีคนมุงกันอยู่พอประมาณ พอเดินเข้าไปใกล้ก็ร้านไอศครีมที่มีคนมารอต่อคิวนั่นแหละครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อให้เคลลี่ทานเพราะกลัวแกจะป่วยเอาได้


“ไปหาอะไรหม่ำกันดีกว่าครับ” ผมบอกเจ้าตัวเล็กไป เคลลี่ก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ


------------------------------------

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสอง 10-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 17-10-2016 19:27:21

ภูเขาลูกที่สิบสาม



“ไอตี๋ของพ่อ กลับมาแล้วเหรอ คิดถึงที่สุดเลย” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าบ้านไป พ่อผมก็วิ่งเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงผมประหนึ่งไม่เจอกันสิบปี


“พ่อ ไม่เอาน่า ปล่อยคี” ผมพยายามขืนตัวจากแรงมหาศาลของผู้เป็นพ่อ


“หอมแก้มพ่อหน่อย เร็วๆ ไม่งั้นไม่ปล่อยนะ”


“ถ้ายังไม่หยุดเล่น จะไม่ให้กอดเคลลี่” ผมเอาเคลลี่ขึ้นมาขู่ ดูเหมือนจะได้ผลครับ เพราะพ่อยอมปล่อย แล้วหันไปหาเคลลี่แทน


“เคลลี่ คิดถึงจัง” เหมือนโยนขนมไปอีกทาง พ่อผมรีบไปเลย


“พ่อครับ พ่อ” ผมเรียกพ่อ


“อะไรครับ ไอ้ตี๋ของพ่อ”


“พี่เมฆครับ ยืนอยู่เนี่ย”


“สวัสดีครับ คุณอา” เฮียเมฆยกมือไหว้พ่อผมตามมารยาท


“สวัสดี เมฆ ตามสบายเลย มาๆ นั่งก่อน อาก็ลืมตัวไปหน่อย โทษทีนะ”


“ไม่เป็นไรครับ” ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฮียเมฆเพิ่งจะมาเห็นอะไรแบบนี้หรอกครับ แต่ผมก็ยังวางหน้าไม่ค่อยถูก ถ้าเป็นคนนอกคงคิดว่าผมกับพ่อต้องมีซัมติงอะไรกันบางอย่างแน่นอน


“กลับกันมาแล้วเหรอคะ เป็นไงบ้าง เที่ยวสนุกมั้ยคะ เมฆ” แม่เลือกถามแขกกิติมศักดิ์ของแม่เขาแหละครับ


“สวัสดีครับ คุณอา ก็สนุกดีครับ ผมยังไม่เคยไปเมืองนั้นมาก่อน”


“ดีจังค่ะ ที่เมฆชอบ” แม่ผมก็อีกคน สไตล์การพูดของบ้านนี้มันยังไงกันนะ แม่พูดเหมือนกำลังอินเลิฟกับหนุ่มคนใหม่อยู่เลย


“คีขอเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะครับ ฝากดูเคลลี่ก่อนนะครับแม่”


“ค่ะคี มานี่ค่ะเคลลี่ อยู่กับแม่นะคะ” ผมลุกขึ้นเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บโดยมีพ่อจอมยุ่งของผมเดินตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน


“ตามมาทำไมกัน” ผมปิดประตูห้องนอนลงได้ก็ไม่รอช้าที่จะถาม


“เป็นไงวะ ไอ้ตี๋ เข้าใจกันยัง”


“นึกว่าจะถามเรื่องอะไรซะอีก” ผมทำหน้าเซ็งก่อนจะหันไปรื้อกระเป๋าเสื้อผ้า


“เออ กูอยากรู้นี่นา”


“ก็ไม่มีอะไรหรอก”


“ไม่มีอะไรได้ไง หน้าอย่างมึงต้องมีอยู่แล้วสิ”


“เฮ้ย พ่อ จะพูดอะไรวะ”


“เอ้า ก็มึงพูดไม่ถูก กูก็แค่แก้ให้มันถูกต้อง เร็วๆ บอกมา กูอยากรู้”


“พ่อทำหน้าเหมือนไอ้ธรเวลาจะเสือกเรื่องของคีเลย”


“มึงหลอกด่ากู ใช่มั้ยไอ้ตี๋? ไอ้ลูกเวร”


“เปล๊า ผมไม่ได้หลอกด่าพ่อ”


“อย่าเล่นตัว นะไอ้ลูกรัก”


“เออ ก็คุยกันแล้ว เคลียร์แล้ว พอใจยัง”


“ยัง”


“อะไรอีกล่ะพ่อ”


“แล้วมีอะไรกันป่ะ”


“พ่อ อะไรวะเนี่ย วกเข้าเรื่องพวกนี้ตลอด ไม่มีเว้ย”


“อ้าว ทำไมอ่ะ”


“อยากมันก็อยากอยู่หรอก แต่เคลลี่ก็นอนอยู่ในห้องกลัวน้องจะตื่นขึ้นมาเห็น”


“อุ้ยตายว๊ายกรี๊ด น้องเป็น ก.ข.ค เหรอเนี่ย”


“อย่าทำเสียงตุ๊ดแตกเหอะ ฟังแล้วคีจะอ้วก”


“ก็ถือว่าไม่เสียแรงที่กูยอมสละ ช่วงเวลาฮันนีมูนระหว่างกูกับแม่มึง แล้วยอมให้มึงได้ไป”


“เอาเป็นว่า คีขอบคุณละกัน ลงไปข้างล่างได้ยังล่ะ เดี๋ยวแม่สงสัย”


“ไปดิ คิดถึงแม่มึงแล้วล่ะ”


“เลี่ยนว่ะ” พูดจบก็เดินนำพ่อออกไปก่อนที่จะถูกถีบตามหลัง


 “แล้วเมฆจะกลับวันไหนล่ะ หรือพักยาว” ผมฟังพ่อพูดคุยกับเฮียเมฆตลอดมื้ออาหารเย็นของวัน ตอนนี้พวกเราอยู่บนโต๊ะอาหารเพียงสามคน เพราะแม่พาเคลลี่เข้านอน เจ้าตัวเล็กทำท่าจะหลับคาโต๊ะอาหารด้วยซ้ำ เนื่องจากความอ่อนเพลียที่เล่นมาทั้งวัน


“พรุ่งนี้เช้าครับ” ผมหันไปมองเฮียเมฆด้วยความแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเฮียเมฆจะกลับเร็วขนาดนี้


“ทำไมกลับเร็วจังเลยล่ะ”


“สัปดาห์นี้มีประชุมสำคัญครับคุณอา เลี่ยงไม่ได้ด้วย”


“อ้อ อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวให้ไอ้ตี๋นั่งรถไฟไปส่ง”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากรบกวน”


“รบกวนอะไรกัน คนกันเองทั้งนั้น”


“พ่อพูดอะไร ถามคีด้วย คิดเอง เออเองแบบนี้ ไปส่งเองเลย” ผมพูดแทรกขึ้นมาเพราะคนสองคนตกลงกันโดยไม่สนใจผมที่ต้องรับผิดชอบคำพูดของพ่อ


“อ้าว ไอ้ตี๋ แค่ไปส่งพี่เมฆของมึงเอง ไปเหอะน่า กูรู้ว่ามึงอยากไป”


“พ่อจะรู้ดีไปกว่าคีได้ไง” ถ้าพ่อจะรู้ใจผมขนาดนี้ ผมยอมไม่ได้หรอกครับ มันเสียหน้าเว้ย ใครจะยอมรับกันง่ายๆ ล่ะ


“เอ่อ... ไม่ต้องลำบากกันหรอกครับ” เฮียเมฆพยายามเข้าห้ามทัพศึกระหว่างพ่อกับลูก


“ไม่ต้องพูดเมฆ/เฮียเมฆ” ผมกับพ่อพูดออกมาพร้อมกัน ทำเอาคนจะห้ามต้องเงียบลงทันที


“ไอ้ตี๋ มึงอย่าเล่นตัว อยากไปส่งพี่เขาจนเนื้อเต้น นี่กูอุตส่าห์ช่วยมึงนะ แทนที่จะซึ้งน้ำใจกู”


“คีไม่ได้อยากไปเว้ย พ่ออย่ามามั่วได้มั้ย” ผมยังเถียงไม่ยอมลดละ


“สรุป ไม่ไป?”


“ไม่ไปครับ”


“เออ ได้ งั้นเดี๋ยวกูให้แม่มึงไปส่ง”


“ได้ไงล่ะพ่อ ทำไมไม่กลัวแม่เหนื่อยบ้างล่ะ โอ้ย เดี๋ยวคีไปส่งเฮียเมฆเอง พ่อไม่ต้องไม่บอกแม่เลย”


“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้กูพูดอะไรซ้ำซากอยู่ได้”


“เซ็งจริงๆ มีพ่อแบบนี้” ผมบ่นอุบกับความเจ้าเล่ห์ของพ่อ


“ถ้างั้นคืนนี้ ไอตี๋ มึงไปนอนกับกูนะ กูคิดถึง ส่วนเมฆนอนห้องไอ้ตี๋ละกัน ห้องข้างบน ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย คงไม่ว่ากันนะ”


“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณครับ คุณอา”


“งั้นเดี๋ยวอาขอตัวก่อนละกัน จะไปช่วยอาผู้หญิงเขาเตรียมที่นอนให้เด็กแก่แดดที่นั่งอยู่ตรงนี้ก่อน ตามสบายนะเมฆ ไม่ต้องเกรงใจ” พ่อผมพูดทิ้งท้ายแล้วก็ลุกเข้าห้องนอนตามแม่ไป


“รำคาญพ่อกับผมหรือเปล่าเฮีย” ผมหันมาถามคนตรงข้ามที่ยังนั่งทานอาหารต่อ


“ไม่หรอก เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”


“หมายความว่าไงครับ”


“ตลกเหมือนเดิม”


“เฮียเมฆ!”


“เสียงดังอีกแล้ว”


“เฮียเมฆชอบกวนโมโหผมอยู่เรื่อย”


“พี่เปล่ากวน คีถามมาพี่ก็ตอบตามความจริง เท่านั้น”


“ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เหนื่อยมั้ยครับวันนี้”


“นิดหน่อย คีล่ะ”


“ผมไม่เหนื่อยครับ ยังไม่แก่”


“อ้อ จะบอกว่าพี่แก่งั้นสิ?”


“เปล่านะ ผมไม่ได้พูดสักหน่อย”


“หึ เอาคืนสินะ”


“ทำไมเฮียไม่บอกผมว่ารีบกลับ”


“ยังไม่มีโอกาสได้บอก โกรธเหรอ?”


“ไม่โกรธหรอกครับ แค่แปลกใจมากกว่า มาแค่สองวัน ก็ต้องรีบกลับแล้ว คงจะเหนื่อย”


“มาง้อคนขี้งอน เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องยอม”


“ถ้าไม่งอนแล้วคงไม่ยอมเหนื่อยแล้วสินะครับ”


“คีจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าพี่จะยอมเหนื่อยต่อมั้ย?”


“เฮียเมฆ” ผมเรียกชื่อเฮียได้เพียงเท่านี้ก็เงียบไป ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อะไรที่มันดูจะกระทบความรู้สึก ผมมักจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพื่อเพิ่มปัญหาให้กับตัวเองอีก


“พี่รู้ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก”


“ขอโทษนะครับ พี่เมฆ” ขอโทษที่ผมยังตอบรับอะไรตอนนี้ไม่ได้ ผมยังไม่มีความมั่นใจอะไรสักอย่าง


“อย่าปล่อยให้พี่ต้องรอนาน ถึงพี่เต็มใจรอ แต่บางทีจิตใจมันก็อาจจะไม่อยากรอแล้ว” คำพูดของเฮียเมฆทำเอาผมตกใจไม่น้อย แต่ทำไงได้ล่ะ ผมเลือกให้เป็นแบบนี้เอง ถ้าเฮียเมฆไม่อยากรอ ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปรั้งอะไรได้


“.......” ผมไม่มีคำตอบอะไรให้เฮียเมฆ ได้แต่นั่งเงียบๆ มองดูเฮียทานอาหารต่อจนอิ่มแล้วทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เก็บจานชามไปล้างให้เรียบร้อย


“ง่วงหรือยังครับ” ผมเช็ดมือที่เพิ่งล้างจานเสร็จมาสักครู่ เดินออกมาจากครัวก็เห็นเฮียนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกท่าทางเหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่ในมือ ดูแล้วน่าจะเป็นเอกสารเกี่ยวกับงานเสียมากกว่า


“ยัง ถ้าคีง่วงก็ไปนอนก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอพี่หรอก” เฮียเมฆตอบโดยไม่เงยหน้าจากกระดาษในมือ


“ยังไม่ง่วงหรอกครับ แค่ถามเฮียเฉยๆ เผื่อว่าอยากจะพัก”


“ขอบใจนะ งั้นพี่ขออ่านเอกสารตรงนี้แปปนึง”


“ครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ เฮียเมฆ เว้นระยะช่วงตัวไว้พอประมาณ ไม่ถึงกับเบียด แต่ก็ไม่ห่างเสียจนดูเหมือนคนรังเกียจกัน


ผมนั่งกดเล่นโทรศัพท์ในมือ อ่านข่าวสารตามโซเชียลต่างๆ เห็นไอ้ธรส่งข้อความผ่านโปรแกรมแชทมาหลายข้อความอยู่


“ไงมึง ตายยัง” ประโยคแรกที่ผมทักเพื่อนที่รักไป


“มึงนี่รักกูมากจนถามหาเรื่องตายให้กูเลยสินะ”


“แน่นอน เพราะกูรักมึงมาก กูจะได้รู้ว่าควรจะทำบุญให้มึงได้หรือยัง”


“ทำเป็นพูดจากวนตีนกู แสดงว่าคงอารมณ์ดี จิตใจผ่องใสแล้วสินะ” ไอ้ธรพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง ชักเริ่มแปลกๆ แล้วสิครับ


“จิตใจผ่องใส อะไรมึงวะ” ผมแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ไม่รู้ไม่ชี้เอาไว้ก่อน


“ควาย คี ทำเป็นวัยใส ทำเป็นซื่อใส่กู อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่าพ่อมึงไปหามึงที่นู่นน่ะ” นี่ขนาดเป็นแค่ข้อความนะครับ นึกถึงน้ำเสียงของไอ้ธรออกเลย มันคงจะทำเสียงน่าหมั่นไส้ให้ผมอยากกระโดดถีบมันแน่ๆ เลย เสียงกวนประสาทไม่มีใครทำได้ดีเลิศนอกจากมันแล้ว


“มึงรู้ได้ไง ว่าเฮียเมฆอยู่ที่นี่”


“คิดว่ากูเป็นใคร นี่กูเพื่อนมึงนะ”


“กูรู้ มึงไม่ใช่สัตว์เลี้ยงบ้านกู ไม่ต้องอยากจะเป็นให้มากนักหรอก”


“กัดกูไม่หยุดจริงๆ”


“เออ รู้ได้ไง?”


“ก็ไม่มีอะไรน่า”


“อย่าลีลา ไอ้ธร”


“แหม่ คุณชายคีครับ ไม่รู้สักเรื่องแล้วมันจะตายหรือไงครับ” ประโยคนี้คุ้นๆ เหมือนปกติแล้วผมจะเป็นคนใช้มันมากกว่านะ นี่ไอ้ธรมันกล้าอาจหาญมาย้อนรอยคำพูดของผมได้ยังไง


“จะไม่พูด?”


“แหม่ๆ แหม่ๆ ทำเป็นขรึมนะครับ”


“กูไปละ บล็อคแม่ง”


“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ กูเล่าแล้วก็ได้ ก็ไม่มีอะไร พ่อมึงโทรหากู ถามว่าจะฝากอะไรไปให้มึงมั้ยเพราะจะบินไปหามึง”


“เฮียเมฆโทรหามึง?”


“เออสิ”


“แล้วมึงว่าไง”


“กูก็บอกว่าไม่มี”


“แค่นั้น” ผมถามให้แน่ใจ


“แค่นั้นสิ อ้อ แต่อวยพรให้พ่อมึงทำสำเร็จสักที กลัวเบื่อหนังอินเดีย วิ่งไล่จับข้ามทวีปแล้ว”


“กูจะทำอะไรก็เรื่องของกูป่ะ”


“ใช่ จะทำอะไรก็เรื่องของมึง แต่กูแค่อยากช่วยบ้านมึง ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับทีไม่ถูกนะเว้ย ตัวโปรไรแม่งก็ไม่เอา ซัดราคาเต็มตลอด คิดว่า ค่ารถทัวร์เจ๊เกียวหรือไงวะ”


“เหอะ ช่างพูดเชียวนะมึง ห่างตีนกูเนี่ย”


“แน่นอน ชักเริ่มคิดถึงตีนมึงละไอ้คี เมื่อไหร่จะกลับวะ”


“ก็ช่วงใกล้ๆ เปิดเทอมแหละมึง ขืนกลับเร็วพ่อกับแม่กูคงบ่น”


“กูก็ถามไปงั้น  รู้ว่ามึงน่าจะอยู่จนใกล้เปิดเทอมนั่นแหละ”


“เออๆ งั้นค่อยคุยกันวันหลังละกัน” ผมเห็นจากหางตาว่าเฮียเมฆเริ่มเก็บเอกสารลงกระเป๋าใบย่อม


“ได้ๆ กูไม่ขัดช่วงเวลาแฮปปี้ระหว่างมึงกับพ่อมึงแล้ว ถ้ามึงกลับมาเมื่อไหร่ มาอัพเดทข่าวกูด้วย กูอยากรู้จากปากมึงเอง”


“สัด!” ผมทิ้งคำลงท้ายเอาไว้สั้นๆ แล้วก็ปิดโทรศัพท์


“อ่านเสร็จแล้วเหรอครับ”


“ใช่”


“งั้นเดี๋ยวผมพาไปที่ห้องครับ”


“ไม่เป็นไร คี”


“ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกน่าเฮีย ตามมาเร็ว” ผมลุกขึ้นเดินนำขึ้นบันไดไปชั้นสองของตัวบ้าน เฮียเมฆไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามขึ้นมา


“พอจะนอนได้มั้ยครับ เตียงผมมันเล็กหน่อย แต่คิดว่าขาเฮียน่าจะไม่เลยขอบเตียงนะ” ผมลองประมาณดู ถึงเตียงผมจะเป็นเตียงขนาดเตียงเดี่ยวนอนคนเดียว แต่ความยาวของเตียงค่อนข้างยาวเป็นพิเศษ เพราะพ่อที่รักของผมสั่งทำขึ้นมาให้ ช่วงที่ผมเริ่มยืดแล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ พ่อก็เลยทำเผื่อไปซะเลย จะได้ไม่ต้องสั่งทำใหม่อีก มันเสียดายเงิน พ่อผมให้เหตุผลไปแบบนั้น


“ได้สิ พี่ไม่เรื่องมากหรอก”


“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะครับ อาจจะคับแคบไปหน่อย ถ้าขาดอะไรก็บอกผมได้เลยนะเฮีย” ผมชี้มือไปที่ประตูตรงมุมห้อง ซึ่งเป็นที่อยู่ของห้องน้ำภายในห้องนี้


“ขอบใจมาก”


“พี่เมฆ”


“หืม จะอ้อนเอาอะไร”


“แล้วพี่เมฆจะมาหาผมที่นี่อีกมั้ย” รู้สึกโล่งอกเพราะมันเป็นคำถามที่ผมอยากถามเฮียเมฆมาโดยตลอดตั้งแต่ที่รู้ว่าเฮียจะบินกลับวันพรุ่งนี้


“ยังไม่รู้เลย ถ้าไม่ติดงานอะไรพี่จะพยายามมาหานะ หรือคีจะรีบกลับก่อนมั้ย”


“ไม่ได้หรอกครับ” ผมส่ายหน้าประกอบกับคำพูดของตัวเอง


“ทำไมล่ะ”


“จะให้บอกว่าอะไรถึงต้องรีบกลับล่ะครับ”


“ก็บอกว่าคิดถึงพี่สิ”


“พี่เมฆ!”


“ชู่ว์ เสียงเบาๆ หน่อย ดึกแล้ว” เฮียเมฆนี่น่าจะไปอยู่กรมกักกันเสียงอะไรเทือกนี้นะเนี่ย คอยจับผิดกันเสียจริง ไม่บอกเลยล่ะ ว่าดังไปแล้วกี่เดซิเบล


“ก็พี่พูดอะไรล่ะ”


“หึหึ เขินก็เป็นเหมือนกันเหรอ” ผมเนี่ยนะจะเขิน ไม่มีทางซะหรอก แค่รู้สึกแปลกๆ เหมือนคนที่รักกันอะไรอย่างนั้น รู้สึกแปลกๆ ก็เท่านั้นเอง ผมไม่ได้ปากแข็งนะ


“ไม่ใช่สักหน่อย”


“มาให้พี่กอดหน่อย” ผมเดินเข้าไปหาเฮียเมฆโดยไม่อิดออด เพราะใจก็อยากกอดเฮียเมฆเหมือนกัน ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่มันกลับรู้สึกคิดถึง ใช่ผมคิดถึงเฮียเมฆมาก แต่ผมยังไม่กล้าพอที่จะยอมรับตรงๆ ออกไป มันเขินอย่างที่เฮียพูดนั่นแหละ ก็ได้ผมยอมรับก็ได้


เราสองคนสวมกอดกันแน่นเหมือนว่าเราจากกันมานาน ผมคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของคนนี้มาก เรายืนกอดกันนิ่งๆ ไม่พูดอะไรจนเฮียเมฆทำลายความเงียบขึ้นมาเบาๆ


“อยู่ที่นี่ อย่านอกใจ อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพี่อีกนะ คี”


“อื้อ” ผมซุกหน้าอยู่ตรงที่ไหล่ของเฮียเมฆเลยไม่ได้ตอบรับนอกจากส่งเสียงในลำคอออกไปและพยักหน้ารับคำ


“อยู่ที่นี่ อย่าคิดมาก เรื่องของพี่กับคุณพีช ไว้ใจพี่เหมือนที่พี่ไว้ใจคี”


“อื้อ”


“อยู่ที่นี่ อย่าดื้อ ทำตัวดีๆ ดูแลคุณอากับเคลลี่ให้ดี โดยเฉพาะคุณอาผู้หญิง ดูแลท่านให้มากๆ” ผมรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดประโยคหลังของเฮียเมฆ แต่ก็ไม่ได้ฉุกคิดอะไรมากนักเพราะกำลังตกอยู่ในภวังค์ของสองเรา


“อื้อ”


“อยู่ที่นี่ อย่าทำให้พี่เป็นห่วง ห้ามป่วย ดูแลตัวเองดีๆ และไม่ต้องเป็นห่วงพี่ เข้าใจมั้ย”


“อื้อ”


“อยู่ที่นี่ อย่าร้องไห้ มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ แล้วรักพี่ให้มากๆ ทำได้มั้ย”


“อื้อ ... เฮ้ย!!” ไม่ทันละ ผมตกหลุมพรางของตรงหน้านี้ไปเสียแล้ว ร้ายจริงๆ นะเฮียเมฆ เงยหน้าขึ้นไปเห็นเฮียกำลังมองผมอยู่เหมือนกับ ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม คิดเสียว่า ตกหลุมพรางไปนิดหน่อยก็ช่างมัน แค่เห็นเฮียเมฆยิ้มมันก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มแล้วล่ะครับ



เฮียเมฆกลับเมืองไทยไปได้อาทิตย์กว่าแล้วครับ ยังไม่มีกำหนดหรือวี่แววจะมาหาผมอีกเร็วๆ นี้ สัปดาห์หน้าก็จะถึงวันเกิดของผมแล้ว ผมอยากให้เฮียเมฆอยู่ในวันสำคัญของผม ผมรู้ดีว่าไม่ควรจะเอาแต่ใจหรือบอกความตั้งใจออกไป เฮียเมฆทำงานหนักมาก กลับดึกแทบทุกคืน ผมคุยกับป้าจันทีไร ป้าจันก็บอกเฮียเมฆยังไม่กลับเพราะเจ้าตัวเคลียร์งานจนดึกดื่นอยู่เสมอ



“คีคะ คี... คี...” แม่จับแขนผมเขย่าเบาๆ ผมสะดุ้งสุดตัว หลุดออกจากความคิดของตัวเอง


“ครับแม่ เรียกคีเหรอครับ”


“ค่ะ แม่เรียกคีตั้งหลายรอบ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เหม่อเชียว”


“ก็คิดอะไรไปเรื่อยแหละครับ”


“ใจลอยคิดถึงใครหรือเปล่าเอ่ย” แม่ผมถามเย้าแหย่ แต่คนที่ชนักปักหลังก็อดไม่ได้ที่จะร้อนตัว


“ปะ..เปล่าครับ คีจะคิดถึงใครได้นอกจากเคลลี่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังทีเดียวเพราะกลัวจะผิดสังเกต


“แม่ก็แค่แซวเล่นค่ะ ทำตอบจริงจังเป็นเรื่องจริงไปได้นะคะ” แม่มองผมเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง ยิ่งพยายามกลบเกลื่อน ก็ยิ่งเผยภาพออกมาชัดเจนมากกว่าเดิมไปอีก


“แล้วแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ ยังไม่ได้บอกคีเลย”


“อ้อจริงด้วยสิคะ เกือบลืมไปแน่ะ แม่จะถามว่าวันนี้ออกไปไหนหรือเปล่าคะ”


“ไปครับ คีนัดเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันตอนไฮสคูลไว้น่ะครับ ไมค์น่ะครับแม่ จำได้มั้ยครับ”



หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสอง 10-10-2559 P3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 17-10-2016 19:27:54


ไมค์ หรือ ไมเคิล เพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลายด้วยกัน ผมกับไมค์ เราค่อนข้างสนิทกันพอสมควร แต่ช่วงที่ผมย้ายไปเรียนที่เมืองไทยการติดต่อของเราเลยลดน้อยลง แต่ทุกปีที่ผมกลับมาที่นี่ ผมจะไปเที่ยวกับไมค์เสมอๆ



“จำได้อยู่แล้วค่ะ ไมค์มาหาคีทุกปี ช่วงที่คีไม่อยู่ ไมค์ก็คอยเอาของมาฝากแม่เสมอๆ เลย เป็นเด็กที่นิสัยดีมากเลย” แม่ค่อนข้างชอบไมค์ เพราะไมค์ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่แม่พูดเลย ไมค์เป็นต่างชาติที่นิสัยค่อนข้างคล้ายคนไทย ด้วยความที่พี่เลี้ยงของไมค์เป็นคนไทย ไมค์เลยได้รับการปลูกฝังนิสัยแบบคนไทยเข้ามาด้วย


“แล้วคีล่ะครับแม่ นิสัยดีเหมือนไมค์มั้ยครับ” ผมเป็นเด็กขี้อิจฉาครับ ถ้าแม่เห็นว่าใครดี ผมก็ต้องดีเหมือนกัน แม่จะได้รักผมมากๆ ไงล่ะครับ


“คีนิสัยดีสิคะ ทำให้แม่น้ำตาตกตั้งหลายรอบเลย”


“แม่ครับ หมายความว่ายังไงเนี่ย” ผมโอดครวญถามแม่กลับไป


“ล้อเล่นค่ะ ไม่ว่าคีจะเป็นยังไง แม่ก็รักคี”


“แม่พูดแบบนี้เดี๋ยวพ่อก็หึงคีแน่ๆ”


“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้พ่อไม่อยู่ ไม่ได้ยินหรอก” แม่ขยิบตาให้ผมทีหนึ่ง เป็นอันว่ารู้กัน ผมชอบความรู้สึกแบบนี้น่ะ เหมือนจะเป็นพ่อกับแม่แต่ก็เหมือนเป็นเพื่อนในคราวเดียวกัน


“ตกลงครับ คีรักแม่มากเลย”


“เหมือนกันค่ะ ที่รัก แล้วคีนัดไมค์ไว้กี่โมงคะ”


“ใกล้แล้วครับ งั้นเดี๋ยวคีไปก่อนนะครับแม่ มื้อเย็นเดี๋ยวคีกินมาจากข้างนอกเลย”


“ค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ เดี๋ยวแม่ไปดูเคลลี่ก่อนนอนมาสักพักน่าจะใกล้ตื่นแล้วล่ะค่ะ”


“ให้คีเอาน้องไปด้วยมั้ยครับ แม่จะได้พัก” ผมถาม เพราะนึกถึงคำที่เฮียเมฆบอกเอาไว้ว่าให้ดูแลแม่ให้ดี


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เคลลี่คนเดียวเอง แค่นี้สบายมากค่ะ”


“คีไปนะครับ” ผมลุกขึ้นไปหอมแก้มแม่คนเก่งของผมก่อนจะออกจากบ้านไป


“ไง...คี” เสียงเรียกของไมค์ดังขึ้นเมื่อผมเข้ามาในร้านอาหาร ผมเห็นไมค์ยกมือขึ้นสูง โบกมือเพื่อเป็นสัญญาณให้ผมได้เห็น ผมเดินตรงเข้าไปที่นั่งตรงมุมของร้าน ไมค์กับผมพูดจากันด้วยภาษาสากลของโลกแต่เพื่อความเข้าใจง่ายของทุกคนแล้ว ผมจะแปลเป็นภาษาไทยให้ฟังแล้วกันนะครับ


“ไง..ไม่เจอกันนานเลยไมค์” ผมทักทายไมค์กลับไปเมื่อผมนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของไมค์


“ใช่ นายก็ดูดีเหมือนเดิมเลยนะคี” ไมค์มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยถามออกมา เจอสายตาแบบนี้ ก็ทำเอาผมรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนกันแฮะ


“ไมค์ นายพูดแบบนี้ ขนลุกว่ะ แต่นายก็ยังเหมือนเดิมนะ”


“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันทำงานมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเรียนจบแล้วนี่นา ส่วนนายคงยังเหลืออีกหนึ่งปีสินะ” ไมค์ถามผม แต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไป พนักงานก็เข้ามารับบริการเสียก่อน เราทั้งคู่จึงหยุดการสนทนาเอาไว้เท่านี้ก่อน




ระบบการศึกษาที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากประเทศไทยครับ จำนวนปีที่จะเรียนระดับปริญญาตรีหรือระดับอุดมศึกษาเนี่ย มีตั้งแต่สามปีจนถึงหกปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับสาขาวิชาที่เลือกเรียนครับ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ไมค์จะเรียนจบเมื่อครบสามปี ส่วนของประเทศไทยก็อย่างที่เรารู้กัน ถ้าโดยทั่วไปก็สี่ปีครับ ยกเว้นบางสาขาวิชา เช่นแพทย์ ครู หรือสถาปัตยกรรม เทือกนี้ที่จะมีจำนวนปีเพิ่มขึ้นไป




“อื้อ ใช่ อีกหนึ่งปีก็จบแล้ว” ผมยกน้ำที่ถูกเทไว้แล้วขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ถึงตอบคำถามที่ไมค์ถามค้างไปก่อนหน้านี้


“แล้วนายเป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย”


“ก็ดีนะ เรื่อยๆ อากาศร้อนมากต่างจากที่นี่ลิบลับเลยล่ะ”


“ถ้าฉันมีโอกาสไปไทย นายอย่าลืมพาฉันเที่ยวด้วยล่ะ”


“แน่นอนเลย ถ้านายมาเมื่อไหร่ ฉันไม่พลาดที่จะพานายเที่ยวแน่นอน”


“ฉันไปแน่นอน” คุยมาถึงตรงนี้ พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมกับไมค์เลยหยุดคุยเพื่อทานอาหารมื้อนี้กันก่อน นี่ก็เลยเวลามื้อเที่ยงมามากโขแล้ว จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคงหิวไม่น้อยเลยล่ะครับ


“แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย ทำงานสนุกหรือเปล่า” ผมรวบช้อนส้อมเป็นการบอกว่าอิ่มเรียบร้อยแล้ว ยกน้ำขึ้นดื่มปิดท้าย ด้านไมค์เองก็อิ่มแล้วเช่นกัน ผมเลยเริ่มการพูดคุยระหว่างเราขึ้นอีกครั้ง


“ก็สบายดี ไม่ต้องมาอ่านหนังสือเตรียมสอบอะไรอีกแล้ว แต่ปวดหัวกับการทำงานมากกว่า มีร้อยคนก็ร้อยเรื่อง” ไมค์เล่าพร้อมทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อพูดถึงงาน ท่าทางเจ้าตัวคงจะเซ็งกับงานจริงๆ


“นายอาจจะต้องอาศัยเวลาเพื่อปรับตัวหรือเปล่า”


“ก่อนหน้านี้ก็ไม่เยอะเท่านี้หรอกนะ แต่พอฉันเรียนจบแล้ว พ่อก็เริ่มให้ฉันเข้ามาดูเต็มรูปแบบเลยล่ะ”


“ถึงจะอยากลาออกแต่ก็คงทำไม่ได้สินะ” ผมพูดปนตลก ไม่อยากให้ไมค์เครียดไปจนเกินเหตุ


“อยากลาออกจริงๆ เลยล่ะ ฉันอิจฉานายมากๆ เลยรู้มั้ย” ผมมองไมค์ด้วยสายตาของความแปลกใจว่าคนอย่างไมค์เนี่ยนะจะมาอิจฉาผม ที่ทำตัวไม่ได้เรื่องอะไรแบบนี้


“ฉันมีอะไรให้นายอิจฉา”


“ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นนายคงจะทำอะไรพวกนี้ได้แน่ๆ”


“นายทำได้สิ เชื่อฉัน ว่านายต้องทำได้แน่นอน ไมค์”



ผมลืมเล่าไปใช่มั้ยว่าที่ไมค์บ่นยืดยาวนั้นคืออะไร บ้านของไมค์มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ครับ แล้วก็เหมือนหลายบ้านทั่วไป หลังจากลูกชายเรียนจบก็ต้องเข้ามาสืบทอดกิจการที่บ้านต่อไปเรื่อยๆ ไปทีละรุ่น ทีละรุ่น ไมค์เองก็หลีกหนีชะตากรรมนี้ไม่พ้นเท่าไหร่ ไมค์ไม่ได้ชอบงานบริษัท เจ้าตัวชอบงานศิลปะ ไมค์ชอบวาดรูป ชอบขีดๆ เขียนๆ แต่ก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้



ไมค์ไม่ควรต้องอิจฉาผมเลย ไมค์รู้ว่าอยากทำอะไร ชอบอะไร แต่แค่ทำไม่ได้ ผิดกับผมที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าชอบอะไร อยากทำอะไร ผู้ใหญ่เห็นอะไรดี ว่าอะไรดี ผมก็ทำแบบนั้น ทำตามใจท่าน เพราะกลัวว่าท่านจะไม่รัก ไม่เอ็นดู ผมเหมือนพวกดีแตก เพราะต่อหน้าทำเหมือนเด็กดี แต่ลับหลังก็ทำแต่เรื่องไม่ดี เรื่องยา เรื่องคู่นอน เรื่องเที่ยวหรือแม้เรื่องทะเลาะวิวาท เล็กๆ น้อยๆ ผมก็ทำ มีแต่เฮียเมฆที่คอยตามเช็ดล้างให้ผมไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย



ไมค์ตัวสูงใหญ่ พอๆ กับเฮียเมฆเลย และจัดว่าเป็นผู้ชายที่มีแรงดึงดูดระหว่างเพศตรงข้าม แถมสร้างความหมั่นไส้ให้กับเพศเดียวกันไปพร้อมกัน ผมพูดได้เลยว่าไมค์ไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาหรอกแต่ไมค์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ หญิงสาวคนไหนที่ได้ใกล้ชิดกับไมค์ แทบไม่น้อยเลยที่ตกหลุมรักไมค์โดยไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องผิดหวังตามๆ กันไป เพราะไมค์ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเลย จะว่าไปไมค์เองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้ผู้หญิงเหล่านั้นหลงรัก



ทุกๆ ที่ที่ไมค์ไป ยิ่งเวลาไปเที่ยวไมค์เหมือนเป็นจุดเด่นของงานโดยไม่รู้ตัว ทำเอาหนุ่มๆ แถวนั้นถึงกับเซ็งที่สาวๆ ก็คอยมองตามแต่ไมค์ แต่ไมค์กลับไม่ได้สนใจ ทำให้หนุ่มๆ อดไม่ได้ที่จะโมโหกับการกระทำของไมค์ที่ดูเหมือนไม่ได้แคร์ต่อสิ่งรอบข้างใดๆ เลย พูดยังไงดีล่ะ ก็คือ ผู้ชายพวกนั้นก็ต้องกินแห้วไปนั่นแหละครับ แล้วไมค์เพื่อนตัวดีของผม ก็ดันไม่สนใจผู้หญิงพวกนั้นอีก เรียกว่า แห้วกันทุกฝ่ายล่ะครับ



ส่วนผมโชคดีไป หน้าตาผมมันชัดเจน เอเชียครับ แถมหน้าตาดันเหมือนผู้หญิงอีก เวลาไปเที่ยวกับไมค์ผมไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเกิดปัญหาพวกนี้ ไมค์เหมือนเป็นบอดี้การ์ดของผมไปในตัวเพราะส่วนใหญ่แล้วคิดว่าผมเป็นผู้หญิง แล้วเป็นแฟนของไมค์นั่นแหละครับ บางครั้งการเข้าใจผิดแบบนี้ก็ช่วยให้ผมไปเที่ยวด้วยความสบายใจหลายครั้ง ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยตลอด ไมค์เองก็ไม่ได้สนใจเรื่องที่เป็นแฟนกับผม แถมผู้หญิงก็จะเข้ามาวุ่นวายกับไมค์น้อยลงด้วย ก็เลยไม่ได้แก้ต่างอะไรออกไป วิน-วินด้วยกันทั้งคู่แหละครับ



“แล้วผู้หญิงที่บริษัทของพ่ออีก ทำท่าเหมือนไม่ได้อยากมาทำงานแต่อยากมาหาใครสักคนที่นั่นแล้วเหยื่อก็เป็นฉัน” ผมคิดเรื่องของไมค์เพลินจนได้ยินถึงประโยคนี้พอดี


“นายว่าไงนะ”


“นี่เหม่อเหมือนเดิมเลยนะ” ไมค์บ่นผมพร้อมกับพูดประโยคเดิมให้ฟัง


“อ้อ แล้วนายทำไงล่ะ”


“จะทำยังไงได้ ถ้ามีโอกาสก็คอยหลบเอาน่ะ ฉันไม่นิยมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอยู่แล้ว”


“นายได้แสดงท่าทีอะไรบอกสาวๆ พวกนั้นให้รู้บ้างหรือเปล่าล่ะ”


“บอกอะไรล่ะ”


“อย่างเช่น นายมีแฟนแล้ว พาสาวไปเปิดตัวอะไรแบบนี้” ผมเสนอไอเดียออกไปให้


“จะพาไปได้ไง แฟนอะไรกัน ฉันยังไม่มี”


“อะไรนะไมค์ นายจะบอกว่านายเรียนจบแล้วแต่ก็ยังไม่มีแฟนเหรอ”


“อืม ใช่ สาวๆ ที่มหาลัยน่ารำคาญออกจะตายไป ไม่มีใครเหมือนนายเลยด้วยซ้ำนะ คี”


“ฉันจะไปเหมือนสาวๆ พวกนั้นได้ยังไง ฉันเป็นผู้ชายโว้ย”


“ฉันนึกถึงตอนสมัยเรียนที่เราแสดงว่าเราเป็นแฟนกันเพื่อความสบายใจของตัวเองน่ะ คิดถึงตอนนั้นแล้วมีความสุขดีชะมัด ไม่ต้องปวดหัวเรื่องผู้หญิงอะไรแบบนี้”


“งั้นนายก็หาผู้หญิงไปแสดงตัวว่าเป็นแฟนนายซะสิ จะได้ตัดปัญหาออกไป”


“นายไงล่ะ”


“อะไรนะ” ผมถามออกไปอีกครั้ง เกรงว่าจะฟังผิด


“ฉันบอกว่า ก็นายไงล่ะ ที่จะมาแสดงตัวว่าเป็นแฟนฉัน”


“จะบ้าหรือไงไมค์ นี่เราโตๆ กันแล้วนะ”


“นายยังเหมือนเดิมนะคี ไม่ว่าจะนิสัย หรือแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา”


“ฉัน..เป็น..ผู้..ชาย..”


“ฉันรู้ ฉันรู้ แต่ฉันว่านายเหมาะกับบทนี้ที่สุดแล้ว ยิ่งตอนนี้ผมของนายก็เริ่มยาวแล้วด้วย เหมือนผู้หญิงสุดๆ ไปเลย”


“ไม่เอา!!”


“นายจะไม่ทำเพื่อเพื่อนคนนี้หน่อยเหรอ คี”


“อย่ามัดมือชกฉันแบบนี้นะไมค์”


“จะว่าไป นายเองก็คงไม่อยากรู้เรื่องแอนนาใช่มั้ย” ไมค์พูดเนิบๆ สายตามองออกไปที่ด้านนอก


“แอนนา?”


“ใช่ แอนนา”


“เรื่องแอนนา ทำไม มีอะไร”


“ถ้านายอยากรู้เรื่องแอนนา ก็ต้องยอมแสดงเป็นแฟนของฉันระหว่างที่นายยังไม่กลับเมืองไทย”


“ไมค์!! ไม่เอาน่า”


“ดีล??”


“เออ ดีล” ผมอยากจะโกรธไมค์ที่เหมือนมัดมือชก แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่มีใครมาบังคับผมได้ ถ้าผมไม่ยินยอมให้กระทำ



---------------------------------------

แอนนาเป็นครายยยยยยยยย แล้วดูท่าทางคีจะสนใจเอามากๆ ด้วย งานนี้จะมีนอกใจเฮียมั้ยเนี่ย
มาลุ้นกันตอนหน้านะคะ ^^

คิดถึงทุกคนเลยนะคะ จุ๊บๆๆ :mew1:


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-10-2016 20:20:03
คี......เฮียเมฆ จากไปแป๊บเดียว
คี จะทำเรื่องที่ใครรู้ก็ว่านอกใจอีกแล้ว :katai1:
คราวนี้เฮียเมฆ ระเบิดลงแน่ๆ :fire: :fire: :fire:
ตัวใคร ตัวมันแล้ว   :katai5: :katai5: :katai5:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 17-10-2016 22:54:25
ไว้ใจเฮียเมฆเหมือนที่เฮียไว้ใจคีย์
น้องคีย์ก็อย่าทำให้เฮียเมฆกังวลใจนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-10-2016 18:04:10
แบบนี้จะเรียกนอกใจได้ป่าวหว่า
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 18-10-2016 18:57:55
จะทำอะไรก็บอกเฮียไว้ก่อนก็ดีนะ ไม่ใช่ให้มารู้ทีหลังจะเสียความรู้สึกเอา

คิดถึงใจเขาใจเราบ้าง ตอนที่เราไม่รู้เราเป็นยังไง เฮียก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกันหรอก
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-12-2016 19:54:34

ภูเขาลูกที่สิบสี่

ภารกิจถูกมัดมือชกของผมได้เริ่มต้น เพราะวันต่อมาไมค์ก็มารับผมไปที่บริษัทของตนเอง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ก้าวเท้าเข้ามาบริษัทใหญ่เพราะผมก็ไปที่บริษัทเฮียเมฆจนเคยชินเสียแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมต้องมาแสดงอะไรแบบนี้


   ไมค์โทรศัพท์หาผมแต่เช้า เจ้ากี้เจ้าการบังคับให้ผมใส่เสื้อผ้าตามที่เจ้าตัวบอก เสื้อเสวตเตอร์สีครีมคอเต่า ส่วนทรงผมไมค์ก็หาหมวกไหมพรมสีเดียวกันกับเสื้อมาใส่ให้อีก ด้านกางเกงก็เป็นกางเกงยีนส์สีดำ ทำให้ผมดูร่างกายผอมบางกว่าปกติเข้าไปอีก


   “ไปกันเถอะ คี” ไมค์บอกหลังจากดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว


   “ไมค์ ฉันว่าเรื่องนี้...”


   “ไม่เอาน่า คี เราตกลงเรื่องนี้กันแล้ว ถ้านายอยากรู้เรื่องแอนนา นายก็ต้องตอบแทนฉันด้วย”


   “ก็ได้ แค่เรื่องนี้เท่านั้นนะ”


   “มันต้องอย่างนี้สิเพื่อนรัก” ไมค์ตบไหล่ผมสองสามทีแล้วก็ออกจากรถ ผมเลยต้องลงจากรถเพื่อตามไมค์เข้าไปตัวอาคาร


   เราทั้งสอง ออกจากลิฟท์มาหยุดยืนชั้นที่ไมค์ทำงาน สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ผมกับไมค์ ต่างพากันสงสัยว่าคนที่ยืนอยู่ข้างไมค์นั่นเป็นใคร จะว่าไปก็สงสารสาวๆ เหล่านั้นอยู่เหมือนกันที่มาหลงชอบคนอย่างไมค์ เพราะคนอย่างไมค์น่ะ ถ้าเจ้าตัวไม่สนใจเองแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะมองใครเลย


   ไมค์ไม่ได้มีรสนิยมเหมือนผม ไมค์ชอบผู้หญิงเพียงแต่เจ้าตัวยังไม่อยากหาห่วงผูกคอในเวลานี้ ไมค์ยังอยากมีเวลาเป็นของตัวเอง ยังอยากทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ อีกทั้งยังถูกให้มาทำงานที่ตนไม่ชอบด้วยแล้ว เวลาว่างที่เหลือแทบทั้งหมด ไมค์คงทุ่มสุดตัวกับงานศิลปะที่เจ้าตัวรัก จึงยังไม่พร้อมที่จะมีใครเข้ามาในชีวิตในตอนนี้


   ไมค์โอบเอวผม ผมหันไปถลึงตาใส่ไมค์ที่ทำนอกบท แต่เพื่อนตัวดีของผมกลับฉีกยิ้มกว้างกลับมาให้ผม หากสาวๆ ได้มาเห็นคงหลงใหลรอยยิ้มนี้ไปแล้ว แต่กลับผมที่รู้จักไมค์มานาน รู้ดีเลยว่าไมค์กำลังแกล้งผมและกำลังคิดทำอะไรแผลงๆ อยู่เป็นแน่


   “สวัสดีครับทุกคน” ไมค์พูดขึ้น ทักทายพนักงานที่นั่งอยู่


   “สวัสดีค่ะ คุณไมค์” เสียงสาวๆ หลายคนต่างพากันตอบอย่างพร้อมเพรียง คาดว่าคงเป็นการทักทายกันเป็นประจำทุกวัน


   “วันนี้ผมพาคนสำคัญของผมมาด้วย ยังไงฝากทุกคนดูแลเขาด้วยนะครับ” ไมค์ใช้มือข้างที่โอบเอวผมนั้น สะกิดที่เอวผมเบาๆ เป็นการส่งสัญญาณมาให้ ผมเลยยิ้มแล้วก็โค้งศีรษะให้กับทุกคนที่กำลังมองผมตาแป๋วด้วยความสนใจใคร่รู้


   “เรียกเธอว่าคีธก็ได้นะครับ เธอเป็นคนเข้ากับทุกคนได้ง่าย” ไมค์แนะนำผมให้กับทุกคนได้ทราบโดยถ้วนหน้า ไมค์จงใจแนะนำผมเป็นผู้หญิงจากสรรพนามและเปลี่ยนชื่อให้ผมเสียเรียบร้อย ผมพูดตอบใครไม่ได้เพราะน้ำเสียงของผมจะทำให้ทุกคนสงสัยได้ ผมจึงได้แต่ยิ้มรับและเออออตามที่ไมค์ว่า


   “ค่ะ” ทุกคนรับคำแล้วก็เริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อ


   “ไปกันเถอะ ที่รัก” ไมค์ตั้งใจเรียกผมว่าที่รักเสียงดัง เพื่อเป็นการประกาศปิดท้ายในความสัมพันธ์ที่หลอกลวงของเรา แล้วไมค์ก็พาผมเข้าห้องทำงานไป


   “เฮ้อ เกร็งแทบแย่” เข้าห้องมาได้ผมก็รีบนั่งลงที่โซฟารับแขกภายในห้องทันที


   “ขอบใจนายมากนะคี”


   “นายว่ามันจะได้ผลเหรอ ไมค์”


   “แน่นอน ต้องได้ผลอยู่แล้ว”


   “แต่เท่าที่ฉันเห็น พนักงานพวกนี้ก็ดูไม่ได้สนใจอะไรนายมากเลยไม่ใช่เหรอไง” ผมถามจากที่สังเกตเห็น


   “หึ คี นายยังไม่รู้อะไร สาวๆ พวกนี้ เขาหยั่งเชิงกันอยู่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่กับฉันสองคน เธอจะแสดงออกมาให้ได้เห็นเลยทีเดียวล่ะ”


   “นายคิดไปเองหรือเปล่า”


   “คี นายก็รู้จักฉันดีนี่นา”


   “เออ ก็รู้ แต่ไม่เห็นสาวๆ เขาจะแสดงอะไรออกมาเลย ฉันก็เลยแค่แปลกใจก็เท่านั้น”


   “เดี๋ยวฉันจะพิสูจน์ให้นายได้เห็น” ไมค์พูดออกมาอย่างมั่นใจ


   “เอาสิ ฉันต้องหลบไปที่ไหนก่อนมั้ย”


   “ไม่ต้อง นายนั่งอยู่ที่นี่แหละ”


   “ได้เลย” ผมบอกพร้อมกับเอนตัวลงนอนแกล้งทำเป็นนอนหลับเพื่อรอดูการพิสูจน์อย่างที่ไมค์พูด


   “คุณวิคกี้ครับ” ไมค์เปิดเสียงของโทรศัพท์ภายในต่อออกไปด้านนอก


   “ค่ะ คุณไมค์”


   “ช่วยเตรียมขนมกับชามาให้คีธหน่อยครับ อ้อ ผมขอยาแก้ปวดหัวมาให้เธอด้วยครับ”


   “คุณคีธ ไม่สบายเหรอคะ” น้ำเสียงของปลายดูร้อนรน ออกอาการเป็นห่วงผม ผมลืมตาแล้วมองไปที่ไมค์ ถามโดยปราศจากคำพูดว่าไมค์แน่ใจเหรอว่าหญิงสาวคนนี้คิดอะไรกับไมค์จริงๆ


   “ผมก็ไม่แน่ใจ เห็นเธอบ่นว่าปวดหัว ผมเลยให้นอนพักก่อน”


   “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบเตรียมยาไปให้ค่ะ”


   “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า ไมค์” ผมลืมตาขึ้นถามไมค์ หลังจากไมค์วางสายลง


   “เถอะน่า เดี๋ยวนายรอดูผลได้เลย เพื่อน”



   ก๊อก ก๊อก....


   เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไมค์ส่งสัญญาณให้ผมรู้ตัวว่าตอนนี้ต้องเริ่มตามแผนการณ์จับตัวร้าย เอ๊ย ไม่ใช่ครับ แผนการณ์พิสูจน์ของไมค์ต่างหากล่ะ ผมจึงรีบหลับตาลงทันที


   “เข้ามาได้” พอเห็นว่าผมหลับตา เดินตามแผนแล้ว ไมค์ก็รีบบอกผู้ที่เคาะประตูอยู่หน้าห้องทันที


   “นี่ค่ะ คุณไมค์ ยาที่สั่ง พร้อมกับน้ำชาและขนม” หญิงสาวเดินมาโต๊ะเล็กหน้าโซฟาที่ผมนอนอยู่พร้อมวางของว่างลงบนโต๊ะ ผมแอบลืมตามองเธอเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์ โชคดีที่เธอไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย เธอหันข้างให้ผมแต่หันหน้าไปทางไมค์ตรงๆ ส่วนท่าทางคงไม่ต้องบอกครับ โค้งต่ำยิ่งกว่าอะไร ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ไมค์ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะก็ คงเห็นทะลุไปถึงไส้ถึงพุงเลยล่ะครับ หน้าอกหน้าใจของเธอ ทะลักล้นออกมาไม่ปิดบังกันเลยแม้แต่น้อย ส่วนสายตาของไมค์แทบจะมองทะลุเพดานเลยล่ะครับ  ผมพอจะเริ่มเข้าใจเค้าลางจางๆ ของไมค์แล้วครับ


   “ขอบคุณครับ” ไมค์บอกขอบคุณเมื่อเห็นว่าเธอวางของที่เตรียมมาเรียบร้อย


   “เกือบลืมเลยค่ะ ฉันเตรียมน้ำเปล่ามาให้คุณคีธ เธอด้วยค่ะ เกรงว่าทานยาคู่กับน้ำชาอาจจะไม่เหมาะ” วิคกี้พูดจบแต่ก็ยังไม่ออกจากห้องไป ผมยังแอบมองดูท่าทีของเธอต่อไปเรื่อยๆ ครับ ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรต่อ


   “โอ้ ผมก็ลืมไปเลย ขอบคุณอีกครั้งครับ”


   “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าหากคุณไมค์จะเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นล่ะก็ ฉันยินดีนะคะ” ไม่พูดเปล่า วิคกี้เดินตรงไปหาไมค์ สองแขนเรียวกลมคล้องคอไมค์ไม่ทันตั้งตัว ส่วนสะโพกก็บดเบียดกับส่วนล่างของไมค์แทบจะไม่มีอากาศเล็ดรอดไปได้ ผมเกือบจะหลุดขำออกมาเสียแล้ว ถ้าไมค์ไม่รีบถลึงตามองผมเสียก่อน


   “อย่าดีกว่าครับ แฟนผมยังนอนอยู่ที่นี่ ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเห็นคงไม่เหมาะ” ไมค์พูดพลางปลดแขนของหญิงสาวลงจากคอ


   “วิคกี้ไม่สนนะคะ ต่อให้คุณไมค์จะมีแฟนหรือว่าไม่มี หรือว่าคุณไมค์เกรงใจแฟนเหรอคะ”


   “ผมไม่ชอบนอกใจแฟน”


   “จุ๊ๆ ไม่เป็นไรค่ะ วิคกี้ว่าการหลบซ่อนมันทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้นนะคะ”


   “ไม่ดีกว่าครับ”


   “ยังไงคืนนี้ วิคกี้อยากจะชวนคุณ...” หญิงสาวยังพูดไม่จบ ไมค์ก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน


   “ผมคิดว่าคุณวิคกี้ควรจะกลับไปทำงานได้แล้วนะครับ เข้ามาในนี้นานแล้วคนอื่นจะมองว่าไม่ดี”


   “คุณไมค์คะ” หญิงสาวพยายามเรียกด้วยเสียงวิงวอน


   “เชิญครับ” ไมค์ไม่พูดเฉยๆ เจ้าตัวเดินไปเปิดประตูห้องให้ด้วยตัวเอง ทำให้วิคกี้ต้องจำใจเดินออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


   “เฮ้อออ เข้าใจหรือยังคี” ไมค์ถอนหายใจยาวหลังจากปิดประตูลง


   “ฮ่าๆ เออ เข้าใจแล้ว เหนื่อยมั้ยไมค์ ท่าทางจะรับมือยากเอาการนะเนี่ย”


   “เออ แล้วไม่ใช่มีแค่คุณวิคกี้คนเดียวนะ ยังมีอีกหลายคนเลยล่ะ”


   “โอ้ นายนี่มันเสน่ห์แรงจริงๆ เพื่อน” ผมแซวไมค์อย่างอดไม่ได้


   “ตอนนี้ไม่อยากมีเสน่ห์เลยว่ะ”


   “คงไม่ทันแล้วล่ะไมค์ เสียใจด้วย” ผมลุกขึ้นมาตบไหล่มันด้วยเห็นใจที่หลอกลวง


   “ไม่ต้องมาแสดงความเสียใจให้ฉัน รู้หรอกน่าว่านายไม่ได้เห็นใจจริงๆ ฉันรู้จักนิสัยนายดีว่ะคี” ไมค์ปัดมือผมออกจากไหล่ด้วยความหมั่นไส้ในตัวผม


   “รู้ทันไปซะหมดเลยนะ”


   “เออ ฉันเกือบลืมไปเลย”


   “อะไร?”


   “ฉันยังไม่ได้ถ่ายรูปกับนายเลย”


   “หืม? ถ่ายรูป ไม่ต้องหรอก” พูดตามจริงผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูปครับ แล้วยิ่งชุดที่ใส่วันนี้ ไหนจะหมวกไหมพรมบ้าอะไรนั่นอีก มันยิ่งทำให้หน้าของผมเหมือนผู้หญิงมากไปกว่าเดิม ยิ่งไม่อยากถ่ายรูปเลยครับ


   “ไม่เอา” ผมเดินหนีไมค์เพื่อจะกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม แต่ไมค์ก็จับแขนผมเอาไว้ได้ทัน


   “ถ่ายรูปหน่อยเถอะน่า วันนี้นายน่ารักสุดๆ ไปเลย”


   “ไม่!!” ผมข่มเสียงตอบคำว่า NO ด้วยเสียงต่ำให้รู้ว่าผมเริ่มจะไม่ชอบใจแล้ว


   “ไม่ได้ นายต้องถ่ายรูปกับฉันนะคี เราไม่มีรูปด้วยกันมานานแล้ว” ไมค์ก็ตอบมาด้วยคำพูดของผมเหมือนกันเพิ่มเติมคือคำอธิบายอีก


   “วันหลังเถอะไมค์” ผมพยายามยื่นข้อเสนออื่น


   “วันนี้นี่แหละ เหมาะสุดแล้ว ดูชุดที่ฉันตั้งใจให้นายใส่สิ มันน่ารักขนาดไหน”


   “ฉันไม่ชอบ”


   “ไม่ชอบได้ยังไง วันนี้นายเป็นคีธ แฟนของฉันนะ ตามใจแฟนคนนี้หน่อยสิ เพื่อน”


   “ไม่!! ได้ยินฉันพูดมั้ยว่าไม่” ผมยังยืนยันคำเดิม


   “แอนนา” อยู่ๆ ไมค์ก็พูดถึงแอนนาขึ้นมา


   “แอนนา? ทำไม?”


   “ตามใจฉัน” ผมถึงกับบางอ้อ เรื่องที่ผมอยากรู้ ไมค์เลยฉวยเอาแอนนามาขู่ผม


   “เอออออ ก็ได้ รูปเดียวพอนะ”


   “ครับผม” ไมค์รีบรับคำ ชายหนุ่มนั่งลงบนโต๊ะทำงานใหญ่ของตัวเอง แล้วดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แขนซ้ายของไมค์โอบไหล่ผมไว้ มืออีกข้างของไมค์ยื่นออกไปเพื่อกดชัตเตอร์บนโทรศัพท์ของตัวเอง


   “จะถ่ายหรือยัง” ไมค์หันมุมกล้องไปมาสักพักจนผมอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


   “ได้แล้วๆ เอาละนะ มองกล้องทางนี้ๆ คีมองกล้อง วัน ทู ทรี” เสียงแชะของกล้องรัวขึ้นทันที ผมเสียรู้ไมค์เข้าให้แล้ว ลืมไปว่าโทรศัพท์สมัยนี้ สามารถถ่ายรัวชัตเตอร์ได้ภายในเสี้ยววินาที


   “เสร็จยัง?”


   “เรียบร้อย เดี๋ยวฉันโพสต์อวดแฟนลงเฟสเลยละกัน”


   “เออ จะทำไรก็ทำ แล้วนี่ฉันกลับได้ยัง”


   “เดี๋ยวสิ นายนั่งเล่นไปก่อน ฉันขอทำงานก่อน แล้วมื้อเที่ยงจะพาเลี้ยงข้าว”


   “ได้ แล้วอย่าลืมเรื่องแอนนาด้วยล่ะ”


   “ตกลง”


   ผมนั่งรอไมค์ทำงานจนถึงเวลาเที่ยง ไมค์ไม่ต้องรอให้ผมทักขึ้น เจ้าตัวก็ปิดโน้ตบุคแล้วรีบเดินมาหาผม


   “เรียบร้อย?” ผมเอ่ยถามไมค์เมื่อเห็นเจ้าตัวหยุดยืนที่หน้าผม


   “ใช่ ไปกันเถอะ เดี๋ยวนายจะโมโหหิวเสียก่อน”


   “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” ผมหรี่ตามองไมค์ที่โดนใส่ร้าย


   “จริงเหรอ เห็นบ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดเวลาที่หิว”


   “จำได้ด้วย”


   “แน่นอน เรื่องของนายฉันจำได้เสมอ”


   “ไมค์ นายชอบพูดจาสองแง่สองง่ามอยู่เสมอเลยนะ คนอื่นได้ยินจะเข้าใจพวกเราผิด” ไมค์ชอบพูดจาแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลด้วยกันแล้วล่ะครับ เจ้าตัวเคยบอกว่าผมเหมาะที่จะถูกรัก ถูกพูดจาเอาใจใส่แบบนี้มากกว่าไปรักคนอื่น


   “คนอื่นจะเข้าใจผิดก็ช่างเค้าสิ แค่ฉันกับนายรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอแล้ว ใช่มั้ย?”


   “คงงั้นมั้ง ไปกันเถอะ ฉันเริ่มจะหิวขึ้นมาแล้ว”



   ไมค์พาผมไปร้านอาหารใกล้บริษัท ร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่เกินไปนัก แต่ทว่าเมื่อเดินเข้าไปข้างในก็เจอกับการตกแต่งของร้านสไตล์วินเทจที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม ซ้ำเมื่อสั่งอาหารมาทานก็พบว่ารสชาติอร่อยไม่แพ้กับความสวยงามของร้านเลย


   “เป็นไง อาหารร้านนี้ ร้านโปรดของฉันเลยนะ” ไมค์พูดอวดเมื่อเห็นผมทานอาหารมื้อนี้หมดเกลี้ยง


   “อร่อยมากเลย นายหาร้านนี้เจอได้ยังไง”


   “เรียกว่าความบังเอิญดีกว่า วันนั้นฉันออกมาจากบริษัทมาหาอะไรกิน แล้วเผอิญเห็นร้านนี้ตกแต่งน่านั่งดีก็เลยลองเข้ามาดู แต่โชคดีเกินคาดอาหารดันอร่อย หลังจากนั้นฉันก็เลยมาที่นี่เป็นประจำเลยล่ะ”


   “งั้นต่อไปนายก็พาฉันมากินที่ร้านนี้บ่อยๆ ล่ะ”


   “ได้เลย ไม่มีปัญหา”


   “แล้วนายจะเล่าเรื่องแอนนาได้หรือยัง” ผมเปิดประเด็นเรื่องที่อยากรู้ที่สุดในตอนนี้


   “จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”


   “ตรงไหนก็ได้ เล่ามาเถอะ”


   “ตกลง งั้นก็หลังจากที่เลิกกับเดฟก็แล้วกัน” ไมค์หมายถึงเดวิด ผมรู้จักชื่อนี้เพียงเท่านี้ครับ คงจะบอกคุณมากไปกว่านี้ไม่ได้ ต้องรอฟังจากไมค์เองก็แล้วกัน


   “อืม พูดมา”


   “แอนน์คบกับเดฟได้เพียงไม่นานก็เลิกกัน คงจะเลิกกันหลังจากที่นายไปอยู่เมืองไทยสักปีหนึ่งได้ล่ะมั้ง” ไมค์พูดเสร็จก็ยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกอีกใหญ่


   “ทำไมเลิก?”


   “แอนน์บอกฉันว่าเดฟนอกใจ นายก็รู้แอนน์รับเรื่องพวกนี้ไม่ได้”


   “ก็ใช่ แล้วตอนนี้ แอนน์เป็นไงบ้าง”


   “ก็คงสบายดี แอนน์อยากติดต่อนาย ขอโทษนาย แล้วก็อยากเจอเคลลี่”


   “ติดต่อฉัน? เนี่ยนะ เพื่ออะไร ถ้าจะขอโทษฉัน ไม่จำเป็นหรอก ฉันลืมมันไปหมดแล้ว ส่วนเคลลี่ แอนน์สามารถไปหาเคลลี่ที่บ้านฉันได้ตลอดอยู่แล้วนี่”


   “ฉันรู้ว่านายรู้สึกยังไง ฉันเลยบอกแอนน์ไปแบบนั้นเหมือนกัน”


   “แล้วแอนน์ว่าไง”


   “แอนน์ก็ยังอยากจะเจอนายอยู่ดี ฉันคิดว่านายน่าจะไปเจอเธอสักหน่อย”


   “ฉันคิดว่าไม่เจอจะดีกว่า” ผมนิ่งคิดอยู่นานกว่าจะตอบไมค์ออกไป


   “นายยังลืมแอนน์ไม่ได้ใช่มั้ย”


   “ฉันลืมแอนน์ได้แล้ว”


   “จริงเหรอเพื่อน”


   “นายไม่เชื่อฉันเหรอไมค์”


   “ถ้านายลืมแอนน์ได้จริง ทำไมนายไม่กล้าไปพบแอนน์ล่ะ”


   “ฉันแค่คิดว่าฉันกับแอนน์ไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีก มันจบไปแล้วไมค์”








   




หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสาม 17-10-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-12-2016 19:56:01


“คี...” แอนน์เรียกผมเสียงไม่ดังนักในวันหนึ่งที่เรานัดกันออกไปเที่ยว


   “ว่าไง แอนน์” แต่ถึงเธอจะไม่เรียกผมเลย ผมก็รู้ครับว่าแอนน์จะยืนรอผมที่ตรงไหน


   “ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” แอนน์เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่แผ่วเบากว่าเดิม สีหน้าของแอนน์ดูไม่ค่อยสบายใจ


   “อื้ม ว่ามาเลยแอนน์” ถึงผมจะอยากรู้แค่ไหนก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เผื่อว่าแอนน์อยากจะทำอะไรให้ผมประหลาดใจ


   “ฉัน... ฉัน..”


   “ว่าไงฉันรอฟังอยู่” ผมเริ่มทนไม่ไหวจึงเร่งเร้าเธอออกไป


   “ฉันคิดว่าฉันท้อง”


   “จริงเหรอ โอ้ย!! วิเศษมากเลย ลูกของเรา ฉันดีใจมากเลยแอนน์” ผมอุ้มแอนน์จนตัวลอยด้วยความดีใจที่มากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้


   “ดะ เดี๋ยวก่อน วางฉันเลยลงก่อน ฉันเวียนหัว” แอนน์บอก ผมเลยรีบวางเธอลง


   “ขอโทษที ฉันลืมไป”


   “ไม่เป็นไร แต่ฉันคิดว่าเราไม่ควรเก็บลูกคนนี้ไว้หรอก”


   “ทำไมล่ะ ทำไมกัน เธอไม่ดีใจเหรอที่เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน”


   “คี เธอไม่เข้าใจเหรอว่าเราทั้งคู่ยังเด็กอยู่ ”


   “เธอกังวลอะไรเหรอ” แอนน์กำลังเครียด ผมเข้าใจเธอ ผู้หญิงที่ต้องแบกรับเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตเอาไว้แบบนี้ เธอคงสับสนและไม่มั่นใจอะไรหลายต่อหลายอย่าง


   “ฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อม แล้วอีกอย่างฉันจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง”


   “เธอกังวลเรื่องนั้นเองเหรอ ฉันจัดการให้ได้นะ ฉันจะไปขอเธอกับพ่อแม่ของเธอเอง เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะแอนน์” ผมพยายามปลอบแอนน์ ให้กำลังใจแอนน์


   “ฉันขอบใจเธอมากนะคี แต่เราทั้งคู่ก็ยังเรียนไม่จบ พวกเราจะเลี้ยงลูกของเราให้ดีได้อย่างไร ถ้าพ่อแม่ยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี”


   “แอนน์ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วงอะไรเลย แค่เชื่อฉัน เชื่อใจฉันก็พอ” ผมอยากให้เธอไว้ใจผม เชื่อใจผมเพื่อให้เราก้าวผ่านไปให้ได้


   “เรายังเด็กเกินไป” แต่แอนน์ก็ยังไม่ยินดีกับเรื่องนี้อยู่ดี


   “แอนน์ เธอรู้ใช่มั้ยว่าฉันสามารถดูแลเธอได้” ผมดึงมือของแอนน์มากุมเอาไว้ มือของเธอเย็นเฉียบ เธอกำลังกลัวอนาคต


   “.....” แอนน์ไม่ตอบ แต่เธอพยักหน้าเบาๆ เธอรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ได้สร้างฝันให้เธอเกินจริงเลย


   “ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าเธออยากเรียนต่อ หลังคลอดแล้ว เธอก็กลับไปเรียนต่อได้แน่นอน เรื่องลูกของเรา แม่ของฉันยินดีที่จะดูแลแน่นอน”


   “เธอรู้ได้ไงว่าคุณน้าจะยอมเลี้ยงลูกของเรา”


   “แม่รักฉัน แล้วแม่ก็รักเธอ เขาย่อมต้องรักลูกของเราแน่นอน” ผมพูดอย่างมั่นใจ


   “ตกลง ฉันจะคลอดเด็กคนนี้”


   “เย่! ฉันดีใจที่สุด ลูกของเราเหมือนเป็นของขวัญในวันเกิดของฉันปีนี้เลย แอนน์ เธอทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันรักเธอ” ผมดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี


“ฉันก็รักเธอเช่นกัน”


“Hey! Hey! Key!” เสียงเรียกพร้อมเขย่าแขนผมของไมค์ทำให้ผมหลุดจากอดีตในช่วงเวลานั้น











“หะ? ว่าไง”


“นายเป็นอะไรไป ฉันเรียกตั้งนาน คิดอะไรอยู่อีก หรือว่ากังวลเรื่องแอนน์”


“เปล่าสักหน่อย” ผมโกหกไมค์ออกไป


“อย่าโกหกฉันน่าคี ฉันรู้จักนายดี” แต่ไมค์ก็รู้จักผมดีอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ


“อืม คิดเรื่องแอนน์น่ะ”


“เรื่องอะไรล่ะ”


“ตอนที่ฉันรู้ว่าแอนน์ท้อง”


“นึกถึงตอนนั้น ตอนที่นายมาบอกฉันว่านายกับแอนน์กำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉันโคตรทึ่งเลยว่ะ”


“ทึ่งอะไร? ทึ่งที่ฉันเก่งกว่านาย ทำลูกได้ใช่มั้ย”


“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันทึ่งที่นายดูแน่วแน่จริงจังเรื่องของแอนน์และลูกมากๆ ยังไงล่ะ”


“ใช่ ฉันจริงจังกับแอนน์มาก พอสุดท้ายก็เลยต้องเป็นแบบนี้”


“ไม่เอาน่า อดีตก็คืออดีต ตอนนี้นายก็มีพี่ชายที่รอเลื่อนขั้นความสัมพันธ์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง”


“อดีตที่มันแย่ บางทีมันลืมยาก”


“มีใครบ้างที่อยากจะจดจำอดีตที่ไม่น่าจำกันล่ะ แต่นายเลือกที่จะลืมได้มั้ยล่ะ ถ้าไม่ได้ก็จงจำแล้วเอามาใส่ใจ ทำเรื่องใหม่ๆ ให้มันดีกว่าเดิมสิ”


“ไปจำคำพูดใครมา” ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างไมค์จะมีมุมจริงจังพูดอะไรดูได้เรื่องได้ราวกับเขาด้วย


“ไอ้บ้า นี่พูดมาจากใจให้เพื่อนเลยนะ เออจริงสิ ว่าแต่ว่า นายจะบอกเคลลี่มั้ยว่าพ่อที่เรียกทุกวันนี้น่ะคือปู่”


“ฉันยังไม่รู้”


“ไม่รู้อะไร”


“ไม่รู้ว่าควรจะบอกหรือปล่อยให้เป็นไปแบบนี้ต่อไปดี เพราะที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”


“ทำไมกัน เคลลี่ควรจะรู้ความจริงนะ”


“ถ้าอะไรที่จะทำให้เคลลี่ดีใจหรือมีความสุข ฉันก็คงเลือกอย่างนั้นแหละ เรื่องของอนาคต ยังไม่คิดเว้ย” ผมพูดปัดเพื่อที่จะเปลี่ยนเรื่อง


“ตามใจ ยังไงในกฎหมายนายก็คือพ่อที่แท้จริงอยู่แล้ว อีกอย่างฉันก็เป็นพ่อทูลหัวเสียด้วย ยังไงเคลลี่ก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว”


“เออ หลงตัวเองชะมัด”


“อะไรกัน พูดความจริงต่างหาก พ่อทูลหัวออกจะหล่อและรวยขนาดนี้”


“พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวนายจะกลับไปทำงานต่อใช่มั้ย งั้นฉันกลับบ้านก่อนละกัน มีอะไรก็โทรมา”


“ได้ เรื่องวันนี้ขอบใจนายมาก”


“ไม่เป็นไร ฉันจำใจว่ะ”


“เถอะน่า ยังไงก็ต้องขอบใจอยู่ดี แล้วเรื่องแอนน์?”


“ถ้าแอนน์ติดต่อมาหานายอีกก็บอกเธอไปเลยว่าฉันไม่สะดวก ถ้าเธออยากเจอเคลลี่ เธอมีสิทธิ์มาหาได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าอยากเจอฉัน ฉันขอปฏิเสธ เรื่องระหว่างฉันกับแอนน์มันจบไปแล้ว หวังว่าแอนน์คงเข้าใจและไม่พยายามเซ้าซี้จะมาเจอฉัน”


“ได้ ถ้าแอนน์ติดต่อมาฉันจะบอกเธอไปแบบนั้น”


“ฉันไปละ”


“กลับบ้านดีๆ ล่ะ ฉันเป็นห่วง”


“เป็นห่วงอะไร กลางวันแสกๆ แสงจ้าขนาดนี้”


“เป็นห่วงแฟนไง ฮ่าฮ่า”


“ไอ้บ้า” ผมผลักหัวไมค์ไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะยกมือลาแล้วเดินออกจากร้าน



เคลลี่ เจ้าเด็กดื้อที่ผมรักและเอ็นดูอยู่นั้น ก็คงเป็นอย่างที่ทุกคนรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วคือลูกชายของผมเอง เคลลี่มีชื่อจริงๆ ว่า Kelly Kirin.Jr พ่อของผมเป็นคนตั้ง กลัวเจ้าเด็กดื้อจะไม่รู้จักพ่อของตัวเองเลยใส่ชื่อ       คีรินทร์ จูเนียร์เอาไว้เป็นชื่อกลางเสียเลย



แอนน์ท้องในช่วงที่เราทั้งคู่ยังเรียนอยู่ปีที่สุดท้ายแล้วครับ ผมกับแอนน์ไม่ได้ลาออกจากโรงเรียน ผมยังไปเรียนเหมือนเดิม แต่แอนน์ดรอปเรียนของเทอมนี้ไป ครอบครัวของเราทั้งคู่อนุญาตให้แต่งงานกันได้ แต่เพราะผมกับแอนน์อายุยังไม่ถึงสิบแปด ทางครอบครัวของเราจึงรอให้เรานั้นครบสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วจึงค่อยแต่งงานกันดีกว่า




ในช่วงระหว่างนั้นแอนน์ก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมเรียบร้อยแล้ว เพราะอย่างที่รู้กัน แม่ผมทำงานอยู่ที่บ้านทั้งวัน จึงเหมาะสมมากที่จะดูแลใกล้ชิดคนท้องได้สะดวก ปลายปีนั้นเอง เดือนธันวาคม เด็กน้อยอย่างเคลลี่ก็ลืมตามาพบกับโลกที่โหดร้ายแต่ห้อมล้อมไปด้วยความรักของครอบครัวที่ล้นเหลือ



   แอนน์ชอบออกไปเดินข้างนอกบ่อยๆ ครั้งละนานๆ แม่บอกผมแบบนั้น แม่เป็นห่วงแอนน์เพราะแอนน์กำลังท้อง หลายครั้งที่แม่ผมขอไปข้างนอกกับแอนน์แต่ถูกแอนน์ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าแอนน์ดูแลตัวเองได้ แอนน์เคารพแม่ของผมอยู่เสมอ แม่เลยเข้าใจว่าเธอคงเกรงใจ แม่บอกผมแบบนั้น และผมเองก็คิดว่าแอนน์คงเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน



   แต่วันหนึ่งผมกับแม่ก็รู้ว่าเราเข้าใจผิด สามเดือนหลังจากแอนน์คลอดเคลลี่ วันที่ผมกลับมาจากโรงเรียนนั้น ผมก็พบกับความว่างเปล่าของแอนน์ มันทำผมแปลกใจ


   “แม่ครับ แอนน์ล่ะ” ผมเดินลงมาจากห้องนอนชั้นสอง หลังจากที่ไม่เห็นแอนน์บนห้อง


   “แอนน์น่ะเหรอคะ ออกไปข้างนอกค่ะ บอกว่าขอไปทำธุระสักหน่อย” แม่เพิ่งกล่อมเคลลี่ให้หลับเสร็จพอดี แม่จึงพาผมออกมาจากห้องนอนของเคลลี่ เพราะกลัวว่าเด็กน้อยจะตื่นขึ้นมาอีกรอบเสียก่อน


   “ธุระเหรอครับ? แล้วแอนน์ไปนานหรือยังครับ”


   “อืม น่าจะสักช่วงเที่ยงๆ นะคะ คีมีอะไรหรือเปล่าคะ”


   “แปลกน่ะครับ ผมรู้สึกแปลกๆ”


   “แปลกยังไงคะ”


   “ผมคิดว่าแอนน์น่าจะกำลังปิดบังอะไรผมอยู่”


   “คีคิดมากไปหรือเปล่าคะ ผู้หญิงหลังคลอดก็มีอาการวิตกกังวลนะคะ”


   “ไม่ใช่แบบนั้นครับแม่ คือแอนน์แปลกไป พูดตรงๆ เลยนะครับ แอนน์น่าจะกำลังมีคนอื่น”


   “หืม ทำไมถึงคิดแบบนั้นคะ คี” เสียงของแม่ดูตกใจที่ผมพูดออกไปแบบนั้น


   “ผมก็บอกไม่ถูก แต่ผมว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดนั้นใช่”


   “อุ้ย แม่เกือบลืมเลยล่ะค่ะ แอนน์ฝากนี่ให้ลูก” แม่มองหน้าผมนิ่งๆ แม่กำลังเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าผมไม่ได้คิดอะไรแปลกประหลาดไปเอง แม่ลุกขึ้นไปหยิบซองอะไรบางอย่างในลิ้นชักมาให้ผม


   “นี่ค่ะ บางทีสิ่งนี้คงจะบอกคีได้”


   “ขอบคุณครับ” ผมรับซองนั้น ผมเหมือนจะเข้าใจได้ดีแม้ไม่ต้องเปิดกระดาษข้างในอ่าน ทั้งที่อยากทำแบบนั้น แต่ผมก็อยากให้ทุกอย่างชัดเจนจึงแกะซองนั้นเพื่ออ่านข้อความข้างในนั้น


   “ว่ายังไงคะ ใช่อย่างที่คีคิดหรือเปล่า” แม่ถามผมหลังจากที่ผมอ่านจบ


   “แม่ลองอ่านดูสิครับ” ผมยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้แม่


   “คี โถลูก โอเคมั้ยคะ”


   “ผมคิดว่าตอนนี้ผมยังไม่โอเคเท่าไหร่ ขอผมอยู่คนเดียวสักพักนะครับแม่ ผมอยากจะฝากแม่ดูเคลลี่ได้มั้ยครับ”


   “ไม่ต้องห่วงเรื่องเคลลี่หรอกค่ะ แม่เต็มใจดูแลเด็กอ้วน นอนเก่ง กินเก่งอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แม่เป็นห่วงคีมากกว่าค่ะ ยังไงคีก็ยังมีพ่อ มีแม่แล้ว ที่สำคัญ มีเคลลี่นะคะ” แม่เดินเข้ามากอดผมนิ่งๆ แม่รู้ว่าผมไม่ชอบให้โอ๋ผมจนเกินไป แม่จึงทำได้เพียงเท่านี้เป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ ผม


   “ขอบคุณครับ ผมขอตัวขึ้นไปบนห้องก่อน” ผมหอมแก้มแม่แล้วก็เดินขึ้นไปยังห้องนอนตัวเอง


   “คี” แม่ผมเรียกระหว่างที่ผมกำลังเดินขึ้นบันได


   “ครับแม่?” ผมชะงักก่อนจะหันกลับไปตามเสียงแม่ที่เรียก


   “แม่กับพ่อ รักคีนะคะ”


   “ผมก็เหมือนกันครับ”




   ผมปิดประตูห้องนอน แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ผมกับแอนน์ใช้นอนร่วมกัน พื้นที่บนเตียงที่แอนน์เคยนอน ตอนนี้กลับว่างเปล่า น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลออกจากดวงตาของผม ผมนอนร้องไห้อยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ยังไม่หยุดไหลออกมา ผมเสียใจ



ผมกำลังอกหักจากผู้หญิงที่ผมรักมาก


ผมกำลังอกหักจากความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมอบให้เธอ



ผมกำลังอกหักจากคำบอกรักที่เราเคยมอบให้กัน


ผมอกหัก



ข้อความในกระดาษแผ่นนั้น แอนน์ขอโทษผมที่ไม่สามารถอยู่กับผมและเคลลี่ได้อีกต่อไป เธอฝากขอโทษพ่อกับแม่ของผมด้วย เธอบอกว่าเธอยังไม่พร้อมจริงๆ ที่จะใช้ชีวิตอย่างแม่คนและเลี้ยงดูลูกอีกหนึ่งคน เธอยังอยากใช้ชีวิตของวัยรุ่นให้คุ้มค่า เธอยังอยากไปเที่ยว ช้อปปิ้ง เรียนหนังสือในสิ่งที่เธออยากเรียน หรืออยากทำอะไรโดยที่ไม่ต้องมีห่วงหรือพะวงเรื่องลูก



ผมคิดว่าผมเข้าใจเธอนะ เรื่องครอบครัว เป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยกับวัยอย่างเรา ความรับผิดชอบมากมายที่เราต้องแบกไว้อีก มันอาจจะดูหนักหนากว่าเด็กวัยนี้จะรับไว้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่แอนน์เลือกที่จะไม่ทำมากกว่า ไม่เป็นไร ผมขอทำใจและยอมรับกับเรื่องนี้สักพัก


ผมหวังเอาไว้แบบนั้นนะ



แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมยังคิดถึงแอนน์อยู่ตลอดเวลา ผมยังรักแอนน์ ผมเฝ้าพยายามมองหาแอนน์ในทุกๆ ครั้งที่ผมไปข้างนอก ผมไปหาพ่อแม่ของแอนน์ ผมไปขอร้องให้เขาทั้งคู่บอกว่าแอนน์อยู่ที่ไหน แต่พวกเขาก็ส่ายหน้าไม่บอกอะไรผมเลย ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าแอนน์อยู่ที่ไหน หรือไม่อยากบอกผมกันแน่ ผมได้แต่ผิดหวัง เดินคอตกกลับมาทุกครั้งหลังจากกลับมาจากบ้านแอนน์



   ผมรอแอนน์ รอว่าเธอจะกลับมาหาผมกับเคลลี่เมื่อไหร่ วันไหน ผมหวังให้ไม่เช้าวันใดวันหนึ่งเมื่อผมเปิดประตูออกไปจะเจอแอนน์ยืนร้องไห้อยู่หน้าประตู ขอโทษผม ผมจะบอกเธอว่าผมไม่โกรธ ผมให้อภัยเธอ ขอแค่เธอกลับมาหาผมก็พอ ถึงเธอจะไม่รักผมก็ได้ แต่ขอให้เธออยู่กับผมก็ได้




   ผมรักคุณ แอนนา



-------------

ขออภัยที่หายไปนานนะคะ ภารกิจอันโหดร้ายทำให้ไม่ได้แต่งต่อเลยค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ
หวังว่าคงยังไม่ลืมกันไปก่อนนะคะ อาจจะมาอัพได้อีกทีคือหลัง มค ปีหน้าเลย T-T อย่าเพิ่งงอนกันนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสี่ 12-12-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-12-2016 20:34:22
นี่คืออะไร แล้วคีลืมยัยแอนได้แล้วหรือยัง อย่าทำให้พี่เมฆต้องเจ็บและต้องรอนานไปกว่านี้เลน
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสี่ 12-12-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-12-2016 23:34:38
นี่สินะคือเรื่องที่ทำให้คีย์ไปอยู่ไทยแล้วเจอเนื้อคู่ อิอิ
พี่เมฆก็น่าจะรู้เรื่องนี้รึเปล่าถึงรอให้คีย์เปิดใจรับรักใหม่ได้ เคลลี่น้อยคิดอยู่แล้วว่า พ่อแม่ไม่น่ามีลูกเล็กขนาดนี้ได้ ที่แท้เป็นหลานปู่หลานย่านี่เอง อย่างนี้คีย์กับพี่เมฆก็ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้สืบทอดแล้วล่ะนะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสี่ 12-12-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-12-2016 23:47:12
อ่านรวดเดียว ตอนล่าสุดสตั๊นเบา ๆ อืนู๋คี ลืมแอนนาได้ยัง
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสี่ 12-12-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 02-02-2017 17:16:22

ภูเขาลูกที่ 15


   “Key! Key!” เสียงเล็กๆ ของเด็กที่ไหนไม่รู้เรียกผมพร้อมสัมผัสที่กำลังเขย่ามือของผมอยู่ ผมลืมตาขึ้น รับรู้ได้ถึงคราบรอยน้ำตา ผมไม่ได้ฝันเรื่องของแอนน์มาแบบนี้สักพักแล้ว คงเป็นเพราะวันนี้ผมได้รับรู้เรื่องของแอนน์จากไมค์


   “Key! Hey!” เสียงเล็กๆ ที่ผมรู้แล้วเป็นเสียงของเด็กที่ไหน เคลลี่เรียกผมอีกครั้ง ท่าทางเจ้าตัวคงหงุดหงิดไม่น้อยที่ผมยังเงียบ ไร้การตอบรับ ผมหันไปมองเคลลี่ที่เกาะยืนอยู่ข้างเตียงและยังเขย่ามือไม่หยุด


   “ครับ? มีอะไรเด็กดื้อ”


   “I’m Hungry”


   “พูดไทยสิครับ หิวเหรอ”


   “ใช่ หิว” ผมหันไปดูนาฬิกา หกโมงเย็นแล้ว แปลก ทำไมเคลลี่ยังไม่ได้ทานข้าว แม่ผมไปไหน แต่แล้วผมก็เอะใจ เฮ้ย เคลลี่ขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง นี่มันชั้นสองนะ อย่าบอกนะว่าเจ้าตัวคลานขึ้นบันไดมาเอง


   “แม่ล่ะครับ?”


   “นอน”


   “แล้วขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง แม่ไม่ได้อุ้มขึ้นมาเหรอ” ผมถามเคลลี่กลับไป แต่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ค่อยเข้าคำถามที่เป็นภาษาไทย ผมจึงเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ เจ้าตัวคงจะเข้าใจเพราะตอบผมมาสั้นๆ ว่า เปล่า โอย เคลลี่จะทำผมหัวใจวายตายใช่มั้ยเนี่ย ดีนะที่ไม่ได้ตกบันไดไป ไม่เอาละ ครั้งหน้าผมจะต้องดูแลเจ้าเด็กจอมดื้อให้มากกว่านี้


   “หิว” เคลลี่พูดขึ้นมาอีกครั้ง เด็กน้อยคงหิวจริงจังแน่แล้ว


   “ครับ เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินนะ ไปกันครับ” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วอ้าแขนรับเด็กน้อยแขนแน่นขึ้นมาอุ้มก่อนจะพาลงไปข้างล่าง



   ผมเดินลงไปชั้นล่างแต่ไม่เห็นแม่ ผมเลยถามเคลลี่ไปอีกครั้ง ปรากฎว่าเคลลี่ชี้มือไปทางห้องนอนของแม่ สงสัยแม่จะหลับอยู่ แต่ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเสียเลย ปกติแม่ไม่นอนเวลานี้แล้วอีกอย่างแม่ไม่น่าเผลอหลับ แล้วปล่อยเคลลี่ทิ้งไว้คนเดียว ผมคิดอยู่ไม่นานแต่ตัวเล็กก็ดึงแก้มผมเพื่อเรียกสติ ผมเลยพาเคลลี่ไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวก่อน



   มื้อเย็นของเคลลี่เป็นไปอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วที่สุด โชคดีว่ายังมีโจ๊กที่แม่ทำทิ้งไว้ ผมเลยอุ่นเสียหน่อย ผมโล่งใจที่เคลลี่ไม่ร้องไห้โวยวายเพราะผมจะรับมือได้ยากทีเดียว เคลลี่ไม่ค่อยร้องไห้เวลาอยู่กับผมหรอกครับ แม่เคยบอกว่าสงสัยจิตใจพ่อลูกคงสื่อกันได้มั้ง เคลลี่เลยมักจะทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายเสมอ



   “ไปหาแม่กันมั้ยครับ” ผมถามเคลลี่หลังจากที่เจ้าตัวดื่มนมหมดกล่อง


   “ไปๆ” เคลลี่ชูมือให้ผมอุ้ม แล้วมีหรือที่ผมจะปฏิเสธ


   “แม่ครับ แม่” ผมเคาะประตูห้องนอนของแม่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับผมเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง แม่นอนหลับอยู่บนเตียงนอน แม่นอนนิ่งเสียจนผมใจไม่ดี


   “แม่ครับ แม่” ผมเรียกแม่อีกครั้ง คราวนี้เหมือนแม่จะรู้สึกตัวแล้ว ทำให้ผมถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ


   “คะ คี อ้าว เคลลี่ อุ้ยตายแล้ว แม่เผลอหลับไปค่ะ เคลลี่คงหิวแล้วแน่ๆ เดี๋ยวแม่ไปหาอะไรให้เคลลี่ทานก่อนนะคะ” แม่เตรียมจะลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความร้อนรน แต่ผมกดไหล่แม่ให้นอนต่อ


   “เคลลี่ทานเรียบร้อยแล้วล่ะครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง แต่แม่เถอะครับเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่าครับ ขอโทษนะครับ” ผมวางเคลลี่ลงบนเตียงแล้วยกมือไปสัมผัสที่หน้าผากของแม่แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ


   “ขอบใจค่ะคี แม่ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ แค่ง่วงนิดหน่อย สงสัยเมื่อคืนจะเขียนหนังสือดึกไปหน่อย”


   “พักผ่อนเยอะๆ นะครับแม่ อย่าหักโหมเกินไปเลย แล้วคีลงมาไม่เห็นพี่เลี้ยง เขาไปไหนเหรอครับ”


   “อ่อ แม่ให้เขากลับไปตั้งแต่ห้าโมงแล้วน่ะค่ะ เขาบอกว่ามีธุระ”


   “ครับ แล้วแม่จะนอนต่อหรือทานอะไรมั้ยครับ”


   “แม่นอนต่ออีกนิดดีกว่าค่ะ เดี๋ยวแม่ค่อยรอทานพร้อมพ่อแล้วกัน”


   “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวคีพาเคลลี่ออกไปเล่นข้างนอก”


   “ค่ะ คี”


   “ถ้าแม่รู้สึกไม่สบายหรือมีอะไรก็บอกคีนะครับ” ผมโน้มตัวเข้าไปกอดแม่แล้วลูบหลังเธอเบาๆ


   “โธ่ ทำอย่างกับแม่เป็นเด็กอย่างนั้น”


   “คีรักแม่นะครับ”


   “ค่ะ แม่ก็รักคี” ผมหอมแก้มแม่แล้วจึงอุ้มเคลลี่ออกไปจากห้อง



   ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่เพลินๆ อยู่บนโซฟา ก็รู้สึกถึงอ้อมกอดที่มาจากด้านหลัง เกือบจะตกใจครับ แค่เกือบ แต่นึกขึ้นได้ว่าคนที่ทำแบบนี้มีอยู่คนเดียว


   “เฮ้ย! พ่อ” ผมหันไปโวยวายพร้อมสะบัดตัวออกจากพ่อ


   “อะไรวะ ไอ้ตี๋ พ่อขอกอดนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นหวงตัวทีคนอื่นล่ะยอมให้เขากอด” พ่อทำเสียงน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดาแล้วก็เข้ามานั่งที่โซฟาข้างๆ กันกับผม


   “มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ กอดจากพ่อกับกอดจากคนอื่นน่ะ”


   “เออ ใช่สิ กูมันไม่ได้สดใสซาบซ่าเหมือนหนุ่มๆ นี่”


   “ใช่แล้ว แก่ขนาดนี้จะเหมือนได้ไง”


   “ไอ้ตี๋!!” พ่อเสียงดังขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่มาก คงเกรงว่าแม่จะได้ยินที่พูดจาไม่เพราะ


   “ครับคุณพ่อสุดที่รักของคี”


   “ลูกดันบอกรัก จะด่าก็ด่าไม่ลง แล้วนี่แม่มึงกับน้องล่ะ”


   “แม่อยู่ในห้อง ส่วนเคลลี่นอนหลับไปสักพักนี่เอง แล้วทำไมวันนี้พ่อกลับดึก ไปไหนมา มีผู้หญิงอื่นใช่หรือเปล่า บอกมา”

   
   “บ๊ะ ไอ้ตี๋ นี่มึงเป็นลูกหรือเมียกูกันแน่ วันนี้กูมีนัดเลี้ยงลูกค้าเว้ย พรุ่งนี้วันหยุดก็ต้องสังสรรค์กันหน่อยสิวะ”


   “อ้อ งั้นก็แล้วไป ถ้ามีกิ๊กล่ะ ไม่ต้องถึงมือแม่หรอก แค่ผมก็พอ”


   “ปากดี อย่างมึงจะทำอะไรกู”


   “คีไม่ทำอะไรพ่อหรอก แค่จะพาแม่กับเคลลี่ไปอยู่ที่อื่นเท่านั้นเอง”


   “ไอ้ตี๋ อย่าคิดทำอะไรแบบนั้นเชียวนะ กูไม่เคยนอกใจเมียเว้ย”


   “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แค่บอกไว้เฉยๆ ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ต้องกลัวหรอก จริงมั้ยพ่อ”


   “เออๆ แล้วนี่แม่มึงทำอะไรอยู่ในห้องวะ”


   “นี่แหละที่คีรอถามพ่อ”


   “ทำไม” เท่านั้นผมก็เล่าเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็นให้พ่อฟัง


   “พ่อว่าไง” พ่อทำท่าครุ่นคิดอยู่นาน จนผมต้องถาม


   “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง เมื่อวานแม่เอ็งก็ทำงานดึกจริงๆ”


   “แล้วทำไมพ่อไม่ให้แม่พัก ให้ทำงานจนดึกทำไม” ผมโวยวายพ่อเพราะไม่รู้จะโทษใครดี


   “เอ้า ไอ้ตี๋ไหงมาลงที่กู”


   “ไม่รู้ล่ะ ก็พ่อเป็นผัวของแม่นี่นา พ่อก็ต้องดูแลแม่สิ”


   “จะให้กูผิดว่างั้น เออๆ ก็ได้ แล้วแม่มึงกินอะไรไปยัง”


   “ยังอ่ะ แม่บอกรอกินพร้อมพ่อ”


   “งั้นเดี๋ยวกูเข้าไปดูแม่มึงก่อน มึงไปนอนเถอะ”


   “ไม่เอาอ่ะ จะรอคุยกับแม่”


   “ไอ้ตี๋ไปนอนเถอะน่า พรุ่งนี้เผื่อว่ามึงอาจจจะต้องรีบตื่นเช้าก็ได้”


   “พูดงี้ หมายความว่าไง”


   “เดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละน่า ไปๆ ขึ้นไปนอนได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องลงมาล่ะ กูจะสวีทกับแม่มึงตอนกินข้าว ไม่อยากเห็นหน้ามึงให้ขัดใจ”


   “อะไรกันว้า สรุปนี่รักคีจริงหรือเปล่า หรือแค่คั่นเวลา”


   “อย่าน้อยใจไปเลยไอ้ตี๋สุดที่รัก กูก็รักมึงนะ แต่แค่กูรักแม่มึงมากกว่าเท่านั้นเอง มาๆ ให้กูจูบปากหน่อยดิ๊ รับรองติดใจ”


   “ไม่เอาเว้ยพ่อ เรื่องพูดจาทะลึ่งนี่ไม่เปลี่ยนจริงๆ คีไปนอนแล้วนะ ไม่ต้องตามขึ้นมาล่ะ” ผมรีบลุกขึ้นไปนอน นิสัยห่ามๆ ของพ่อที่ยังไงก็แก้ไม่หายเสียที บางทีก็ทำเอาผมเอือมระอาไปเหมือนกัน แต่ที่พ่อพูดตะกี้หมายความว่ายังไงกันนะ พูดจริงหรือพูดเล่น




   ใครปลุกผมอีกแล้ว จะปล่อยให้ผมนอนต่อไปดีๆ ไม่ได้หรือไง ยุ่งจริงเว้ย ผมสะบัดไหล่ออกจากมือของใครไม่รู้ที่เขย่าอยู่ ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว เป็นการบอกอีกฝ่ายให้รับรู้ไปในตัวว่าผมยังไม่พร้อมจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้ เข้าใจมั้ย ถ้าเข้าใจแล้วก็ออกไปสิ ยังมาเขย่าตัวผมอยู่อีกทำไม นั่น พูดไม่ฟัง ดึงผ้าห่มลงมาอีก



   ทนไม่ไหวแล้วเว้ย



   “ขอนอนก่อนไม่ได้หรือไงครับ” คิดว่าผมจะทำอะไรได้ครับ ก็ต้องพูดจาให้เพราะเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หากเป็นแม่ผมล่ะ ผมคงแย่แน่ ผมพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ บอกแล้วไงว่าไม่อยากตื่นจริงๆ



   “ตื่นเถอะคี”


   “โธ่ ไม่เอาน่าพ่อ วันนี้ก็วันหยุดไม่ใช่หรือไง ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คียังง่วงอยู่เลย” อ้อ เสียงผู้ชาย สงสัยพ่อคงคิดถึงผมแต่เช้า


   “ตื่นเถอะคี”


   “อะไรอะพ่อ พูดไม่รู้เรื่องเหรอไง คีบอกว่าง่วง อยากนอนต่อ” ผมหันหลังให้เจ้าของเสียงอย่างไม่สนใจ ในเมื่อเป็นพ่อจอมกวนของผมแล้วล่ะก็ เลิกเกรงใจไปเถอะครับ


   “พี่เอง ไม่ใช่พ่อ” สติสัมปชัญญะผมดีดกลับมาพร้อมเกินร้อยเปอร์เซนต์เลยทีเดียว


   “เฮ้ย!!” ผมหันกลับมา ลืมตาตื่นเต็มที่


   “เฮ้ย อะไร พูดก็ไม่เพราะเสียงก็ดัง” เสียงคนตรงหน้าทำเอาผมชะงักไปอีก


   “เฮียเมฆ”


   “อืม พี่เอง ขี้เซาจริงนะเรา เมื่อคืนนอนดึกเหรอ”


   “ก็ไม่เชิงครับ แล้วเฮียมาได้ไง”


   “เครื่องบิน”


   “กวนผมใช่มั้ย ผมหมายถึงว่ามาได้ยังไง ไม่มีงานเหรอ”


   “มี แต่ต่อให้มีงานแค่ไหน วีคนี้ก็ต้องว่างให้ได้”


   “ทำไมครับ มีงานอะไรสำคัญที่นี่เหรอ”


   “ไม่ใช่งานหรอก แล้วตื่นเต็มตาหรือยัง พี่รอทานข้าว”


   “ครับๆ เดี๋ยวผมไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วตามลงไปครับ” ผมรีบลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระให้เรียบร้อย


   “แล้วมารอบนี้ เมฆจะพักสักกี่วันคะ คราวที่แล้วก็สองสามวันเอง” ผมลงมาทันได้ยินเสียงของแม่ถามเฮียเมฆพอดี


   “คงจะราวๆ สัปดาห์หนึ่งแหละครับคุณน้า”


   “งั้นก็ดีเลยค่ะ น้าจะได้จัดการอะไรได้ทัน” แม่จะจัดการอะไร ผมกำลังจะถามแต่เฮียเมฆก็เห็นผมเขาเสียก่อน


   “อ้าว คี ลงมาพอดีเลย”


   “คี มาทานข้าวกันเถอะค่ะ” แม่ผมหันมายิ้มให้พลางบอกให้ผมรีบเข้าไปนั่งประจำที่


   “ครับแม่ แล้วพ่อล่ะครับ” ผมมองไปรอบๆ ห้องแต่ไม่เจอพ่อเลย


   “พ่ออุ้มเคลลี่ออกไปเดินเล่นน่ะค่ะ วันนี้พี่เลี้ยงเคลลี่ขอลาอีกหนึ่งวัน”


   “เหรอครับ”


   “ค่ะ ทานกันเถอะ พี่เราคงหิวแย่แล้วล่ะมั้งรอคีตั้งนาน ใช่มั้ยคะเมฆ”


   “ยังไม่หิวขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า”


   “ไม่ต้องเกรงใจน้าหรอกค่ะ คีนิสัยไม่ดีชอบตื่นสาย”


   “โธ่ แม่ครับ บ่นคีตั้งแต่เช้าเลยนะ”


   “ไม่รู้ล่ะค่ะ ก็คีตื่นสายจริงๆ นี่นา งั้นทั้งคู่ทานกันเลยนะคะ แม่จะออกไปดูพ่อเสียหน่อย ไม่รู้ไปทะเลาะกับเคลลี่ถึงไหนแล้ว”


   “แล้วแม่ไม่ทานด้วยกันเหรอครับ” ผมถามออกไป


   “แม่ทานกับพ่อตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ คีทานเลย น้าขอตัวก่อนนะคะ เมฆ” แม่หันไปบอกเฮียเมฆพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
เหมือนเคย แม่ดูเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ผมคงจะกังวลไปเอง


   “ครับคุณน้า”


   “ผมได้ยินเฮียคุยกับแม่ว่าจะอยู่วีคหนึ่งเหรอครับ”


   “ใช่”


   “ทำไมถึงหยุดงานนานจัง แบบนี้ที่บริษัทจะไม่เป็นไรเหรอครับ”


   “พ่อพี่ช่วยดูงานที่บริษัทให้แทนน่ะ”


   “คุณลุงเหนื่อยอีกแล้ว”


   “ก็รีบกลับ พ่อพี่จะได้ไม่เหนื่อย” พูดแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกเลยสิครับ ผมเลยก้มหน้าทานอาหารตรงหน้าให้หมดดีกว่า


   “เฮียเมฆอยากไปเที่ยวไหนมั้ยครับ หรืออยากจะพักก่อน” หลังจากอิ่มมื้อเช้า ผมที่กำลังเก็บจานเปล่าไปเตรียมล้างก็ถามเฮียเมฆระหว่างที่เฮียดื่มกาแฟไปด้วย


   “คีว่างพาพี่ไปมั้ย”


   “ว่างสิครับ”


   “เดี๋ยวพี่ดื่มแก้วนี้หมดแล้วก็ไปกันได้เลย” เฮียชูแก้วกาแฟในมือเพื่อบอกผมว่าเฮียหมายถึงอะไร ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วก็เริ่มลงมือล้างจาน


   “พร้อมยังครับ” ผมชูกระเป๋าสะพายในมือเตรียมออกจากบ้าน


   “มานี่ก่อน” เฮียเมฆยังนั่งอยู่ที่เดิม เรียกให้ผมเดินเข้าไปหา


   “มีอะไรครับ” ผมก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ใกล้เฮียมากที่สุด


   “พี่ไม่ชอบไมค์”


   “ไมค์?” แทบจะตกเก้าอี้เลยทีเดียว เฮียเมฆไม่ชอบไมค์ ทำไมล่ะ ถึงสองคนนี้ปกติจะไม่ค่อยได้คุยกัน เจอกันนับครั้งได้ แต่เฮียเมฆกับไมค์ก็ไม่เคยทะเลาะหรือมีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าไม่ถูกกัน


   “ใช่ ไม่ชอบ”


   “ทำไมครับ บอกผมได้มั้ย” เฮียเมฆไม่ตอบ กลับยื่นมือถือส่งมาให้ ผมเลิกคิ้วมองเฮียตอบกลับไป แต่ก็รับมือถือนั้นมาดูอยู่ที่


หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบสี่ 12-12-2559 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 02-02-2017 17:16:52



   นึกว่าอะไร


   “หึงเหรอครับ” ผมส่งมือถือคืนเฮียกลับไป


   “อืม ไม่ชอบ”


   “เฮียก็รู้ว่าผมกับไมค์เป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่คิดอะไรกันมากกว่านี้เลย”


   “พี่รู้ แต่ก็ไม่ชอบอยู่ดี”


   “ที่ผมทำเพราะไมค์มันขอร้องมานะครับ”


   “เล่ามา”


   “ได้เลยครับ” ปัญหาที่เฮียไม่ชอบไมค์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ จำเรื่องที่ผมต้องเล่นละครทำเป็นแฟนของไมค์ได้หรือเปล่า นั่นแหละครับ ไมค์ชวนผมถ่ายรูปแล้วก็ tag ลงเฟสบุคจริงๆ แถมยังตั้งคำพูดประมาณว่า คนนี้แหละแฟนผม



   เฮียเมฆก็เลยมีอาการพวกนี้ ว่าไปก็คุ้มแฮะ เฮียบอกผมตรงๆ ว่าหึง นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นนะเนี่ย น่าจะแกล้งเฮียให้หึงหนักมากกว่านี้ แต่คิดแล้ว แค่นี้ก็คงพอมั้งครับ ถ้าเกิดว่าเฮียเกิดโกรธจริงขึ้นมาผมคงจะแย่แน่ๆ แล้วพวกคุณก็คงไม่ช่วยผมหรอก ใช่มั้ยล่ะ


   “อย่าทำอีก” เฮียเมฆพูดขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผมจบแล้ว


   “ผมก็ไม่ได้อยากทำ แต่ไมค์ก็เดือดร้อนจริงๆ แล้วผมก็อยากรู้เรื่องแอนน์ด้วย”


   “ยังคิดถึงเธอเหรอ?” ผมสบตากับเฮียเมฆ น้ำเสียงของเฮียฟังดูเป็นห่วงในความรู้สึกผม แต่สายตาของเฮีย โอ้ยย ผมจะบ้าตาย สายตาของเฮียมันกำลังขอร้อง อ้อนวอนผม เฮียกำลังไม่แน่ใจในตัวผม ยิ่งเป็นเรื่องของแอนน์ เฮียยิ่งไม่วางใจ


   “ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลย ผมก็คงโกหกเฮีย แต่เฮียเมฆครับ ผมไม่ได้อยากกลับไปหาแอนน์แล้ว”


   “อย่างนั้นเหรอ”


   “แอนน์บอกไมค์ว่าอยากเจอผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว ผมไม่ได้อยากเจอแอนน์”


   “อืม”


   “อย่ากังวลเลยนะครับ”


   “ใจของผมไม่มีใคร นอกจากเฮีย”


   “....” เฮียเมฆไม่ตอบ แต่ดวงตาของเฮียก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของผมไปเสียแล้ว




   และคาดว่าคำตอบของผมน่าจะถูกใจเฮียเมฆเป็นที่สุด เฮียเมฆเลยดึงตัวผมเข้าไปแล้วจูบผมแรงขนาดนี้ ทีแรกผมเองก็ตกใจเพราะยังไม่ทันตั้งตัว แต่พอดึงสติกลับมาได้แล้วผมก็เลยจูบเฮียกลับไปไม่แพ้กัน ลึกๆ แล้วคงต้องยอมรับว่า ผมคิดถึงเฮียเมฆมากจริงๆ นี่ถ้าคุณพ่อที่รักของผมรู้ความคิดนี้เข้า คงเอามาล้อแล้วบอกผมว่า ผมมันบ้าผู้ชายแน่ๆ




   เรากอดกันแน่นอยู่แบบนั้น ริมฝีปากของเฮียเมฆยังวนเวียนอยู่ที่ผมไม่หยุด ถ้าไม่ติดว่าพ่อแม่แล้วเคลลี่จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมคงจะพาเฮียขึ้นไปต่อบนห้องแน่ๆ


เดี๋ยวนะ! หรือผมจะบ้าผู้ชายจริงๆ



“ไปกันหรือยังครับ?” ผมถามเฮียหลังจากที่เรา


“ห้องคีน่ะเหรอ” นานๆ จะมีคำพูดคำจาจากเฮียแบบนี้นะครับ


“เฮีย ร้ายไม่เบานะ”


“อารมณ์ดี ไปกันเถอะ”


“ห้องผมอะเหรอ?” เล่นมาก็ต้องเล่นกลับครับ ไม่โกง


“ถ้าไปจริง คนที่จะตกใจดูเหมือนจะไม่ใช่พี่นะ”


“ไปกันเถอะครับ อากาศตรงริมทะเลสาบคงกำลังดี”



ผมออกเดินนำทางในฐานะเจ้าบ้านที่ดี เดินมาตามตึกรามบ้านช่องจนกระทั่งมาถึงทะเลสาบซูริค อากาศดีอย่างที่ผมคาดเดา ลมเย็นสบายไม่หนาวจนเกินไป ผมหาที่นั่งที่เหมาะๆ แล้วก็ชวนเฮียเมฆนั่งพักอยู่บริเวณนี้



“สบายมั้ยครับ เฮียเมฆ” ผมเอ่ยถามคนที่นั่งข้างกาย


“ดี แต่หนาวไปหน่อย”


“ไม่เห็นหนาวเลย”


“หึ ก็คงงั้น เดี๋ยวนี้พี่ไม่ได้กลิ่นบุหรี่จากคีเลย” เฮียเมฆส่งเสียงในคอแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ มือหนาก็ผลักหัวผมเบาๆ ด้วยเหมือนกัน


“ครับ ผมไม่ได้สูบเลย ยิ่งกลับมาที่นี่ด้วยแล้ว อยู่กับเคลลี่อีก ก็เลยไม่ได้สูบอีก”


“ดีแล้วล่ะ กลิ่นแบบนี้พี่ชอบ” อะไรนะ หูแว่ว หรือหูฝาดไปหรือเปล่า เฮียชักจะขยันหยอดผมนะเนี่ย


 “อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องใหม่ดีกว่า เฮียเมฆทำท่าคิดอยู่พักนึงก็พูดออกมา


“ไม่มีหรอก”


“ทำไมล่ะครับ อุตส่าห์ได้พักตั้งหลายวัน”


“คีอยู่ที่ไหนก็พิเศษสำหรับพี่แล้ว” เอาแล้วไง สตั๊นท์ไปเลย สักสิบวินาทีพอมั้ยหรือจะสิบนาทีดี เฮียเมฆเล่นยิงมาแบบนี้ ผมก็ไปต่อไม่ถูกสิครับ ผมเลยหันไปมองน้ำที่อยู่ตรงหน้าแทน ตอนนี้สู้สายตาไม่ไหวครับ


“เฮียพูดแบบนี้ ผมไปต่อไม่เป็นเลย”


“พี่พูดจริง ไม่ได้พูดเพื่อให้คีดีใจหรอก”


“ผมรู้น่า” ผมรู้ครับ เฮียไม่ใช่คนพูดจาปากเปราะ สักแต่พูด แต่จะให้ทำไง ให้ผมตีแขนเฮียเมฆหนึ่งทีแล้วบอกว่า บ้า ตัวเองพูดไรก็ไม่รู้ เค้าเขิน โอ้ยแค่คิดก็ขนลุกครับ แต่ก็ยอมรับว่าเขินกับคำพูดของเฮียเมฆจริงๆ ดีที่ผมไม่ใช่สาวน้อยแรกแย้ม ไม่งั้นคงหน้าแดงไปแล้ว


“คี”


 “ครับ?”


“กลับไปกรุงเทพฯ พร้อมกับพี่มั้ย”


“ผมว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อจนใกล้เปิดเทอม แม่คงอยากให้ผมอยู่ที่นี่ต่อ” ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับนะครับแต่ผมกลับบ้านปีละครั้งเอง พ่อกับแม่ก็คงอยากจะอยู่กับผมนานๆ รวมทั้งผมเองด้วยเหมือนกันครับ ไหนจะเคลลี่อีก ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกมาก แต่ผมก็รักเคลลี่มากเลยนะ


“คุณน้าไม่ว่าอะไรหรอก กลับพร้อมกับพี่เถอะ”


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมรู้สึกเฮียเมฆเร่งรัดผมแปลกๆ จะบอกว่าเฮียเมฆคิดถึงผมมากนั้นก็ดูไม่ใช่ อาการของเฮียไม่ใช่แบบนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ลุกขึ้นมาแสดงทีท่าออกมาให้เห็นชัด แต่ผมก็จับความรู้สึกได้ว่ามันไม่ปกติ


“ไม่มีหรอก แค่อยากให้กลับไปด้วยกัน”


“ทำไมครับ ปกติผมก็จะอยู่ที่นี่จนใกล้เปิดเทอม”


“พี่ไม่อยากให้คีไปข้องเกี่ยวกับไมค์มาก” อ้อออออ ถึงบางอ้อครับ เฮียเมฆคงจะหึงหวงผม รู้สึกตัวลอย เบาหวิวแทบลอยล่องไปในอากาศ เหตุผลของเฮีย อืมเข้าใจได้ ผ่าน!


“แต่ว่า...” แต่ยังไงก็ตามไม่ใช่ว่าพอเฮียเมฆพูดถูกใจเข้าหน่อย ผมก็ต้องรีบกลับไป ไม่ได้ครับ แม่กับเคลลี่ก็ย่อมสำคัญเหมือนกัน


“เดี๋ยวพี่คุยกับคุณน้าให้เอง คีไม่ต้องเป็นห่วง”


“เฮียเมฆครับ” ผมว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่นะเนี่ย


“พี่ลืมบอกว่าเดี๋ยวพาเคลลี่กลับไปด้วยกันนะ”


“ครับ? เคลลี่? ได้ยังไงครับ นึกยังไงจะพาเคลลี่ไปด้วย แม่ไม่ยอมหรอก”


“เชื่อพี่” ประโยคสั้นๆ เดิมๆ ของเฮียเมฆที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ




ช่วงบ่ายผมก็พาเฮียเมฆเดินเล่น พาดูตึกอาการ สถาปัตยกรรมต่างๆ นั่นล่ะครับ ถูกใจเฮียเมฆเขาล่ะ เรียนมาทางนี้นี่นา  นอกจากการปลูกต้นไม้เพื่อฝึกสมาธิและความชอบของเฮียด้วยแล้ว เฮียเมฆก็ชอบวาดรูป แถมยังวาดได้สวยทีเดียวล่ะครับ แต่นานๆ สักครั้งครับจะวาดให้เห็นเป็นบุญตาเสียที ภายในห้องนอนของเฮียเมฆไม่รูปภาพที่เป็นรูปที่เฮียวาดอยู่เลยครับ เจ้าตัวบอกว่าไม่ชอบ ถ้าเช้ามาตื่นนอนก็เจอแต่รูปฝีมือตัวเอง รู้สึกแปลกๆ ดังนั้นรูปที่เฮียวาดก็เลยถูกอัญเชิญไปไว้ที่ห้องสตูดิโอวาดรูปของเฮียโดยเฉพาะ นาน น๊าน สักทีผมถึงจะได้มีโอกาสได้เข้าไป




“อยากวาดรูปมั้ยครับ”  ผมถามเฮียเมฆ เพราะเฮียเอาแต่จ้องวิหารของที่นี่ ตอนนี้พวกเรายืนอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำ ฝั่งหนึ่งจะเป็น วิหารโกรสส์มึนสเตอร์ (Grossmunster) วิหารแห่งนี้จะมีลักษณะเด่นคือจะมีหอคอยคู่ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งจะเป็น มหาวิหารเฟรามึนสเตอร์ (Fraumunster) มหาวิหารแห่งนี้จะมีลักษณะมีหอคอยปลายแหลมสีฟ้าครับ ถ้ามองเยื้องๆ กันจะเห็น โบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ (St.Peters kirche) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีหน้าปัดนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป งดงามมากเลยทีเดียว




“อืม” ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ อดีตหนุ่มสถาปัตฯ ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้บริหารเห็นอะไรแบบนี้คงอดไม่ได้ที่จะคันไม้คันมืออยากจะหยิบดินสอขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ


“เฮียอยากได้อะไรบ้าง ดินสอ? สมุด? เดี๋ยวผมไปซื้อให้ ร้านอยู่แถวนี้เอง”


“ไม่ดีกว่า”


“อ้าว ทำไมล่ะครับ?”


“ถ้าวาดคงใช้เวลานานมากเลยทีเดียว”


“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้ ไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว”


“ไม่ไหวหรอก เพราะรายละเอียดเยอะมาก พี่คงอยู่ที่นี่ไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ”


“แล้วแต่เฮียสิครับ ไม่กลับก็เรื่องของเฮีย หิวข้าวก็ไม่ได้กินนะ” อันนี้ผมพูดจริงนะครับ อารมณ์ศิลปินคงเข้าถึงได้ยาก เพราะงั้นถ้าเขาอยากทำอะไร ปล่อยเขาไปครับ ตามใจเลย เอาให้เต็มที่


“พี่เลยตัดใจดีกว่า”


“ไม่เสียดายเหรอครับ”


“ไม่หรอก วันหลังค่อยมาวาดก็ได้”


“ตามใจเฮียนะ”



ผมพาเฮียเมฆกลับมาบ้านได้ทันเวลามื้อค่ำพอดี ผมไขประตูบ้านเข้าไปก่อน แต่บ้านเงียบมากเลยครับ ไฟก็ไม่เปิด เอ แปลกแฮะ พ่อกับแม่ยังไม่กลับมาเหรอ พาเคลลี่ไปไหนกันเนี่ย


“เฮีย ไม่มีใครอยู่บ้านเลย” ผมหันไปบอกเฮียเมฆที่ตามเข้ามาข้างในพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อย


“อย่างนั้นเหรอ”


“เดี๋ยวผมเปิดไฟก่อนนะ เฮียอยู่เฉยๆ ล่ะ เดี๋ยวจะชนอะไรเข้า” ผมกำลังจะเอื้อมไปเปิดสวิตซ์ไฟ แต่ก็มีเสียงดังขึ้นมาก่อน


“Happy birthday to you” เสียงเพลงที่ใช้กับทุกประเทศทั่วโลกดังขึ้น พร้อมกับแม่ถือเค้กที่ปักเทียนเดินเข้ามาหาผม


“Surprise!! Happy birthday นะคะคี ขอให้คีมีความสุขมากๆ ร่างกายแข็งแรง ปีนี้ยี่สิบแล้วโตมากขึ้นแล้วนะ คิดอะไร ทำอะไร จงใช้สติก่อนทุกครั้งนะคะ” แม่อวยพรผมเป็นคนแรกหลังจากร้องเพลงวันเกิดให้ผมจบ


“ขอบคุณครับ รักแม่นะครับ” ผมเป่าเค้กที่แม่ยื่นมาให้ตรงหน้า แล้วก็รับมาถือไว้เสียเอง เสร็จแล้วถึงเข้าไปหอมแก้มแม่เป็นการขอบคุณ


“Happy birthday นะไอ้ตี๋ เรื่องอวยพร เหมือนแม่มึงนะ” พ่อที่ยืนอุ้มเคลลี่อยู่ด้านหลังแม่ก็พูดอวยพรในแบบของพ่ออย่างชัดเจน


“คุณคะ วันนี้วันเกิดลูก ทำไมพูดจากับลูกไม่เพราะเลย” ผมอยู่เฉยๆ ครับ สบาย พ่อทำตัวเองทั้งนั้น โดนแม่บ่นเลย สมน้ำหน้า


“ไม่เป็นไรครับแม่ ยกให้พ่อเขาวันหนึ่งก็แล้วกัน ว่าแต่พ่อเถอะ อยากให้ผมขอบคุณเหมือนที่ผมให้แม่มั้ย หรืออยากให้ผมจูบปากพ่อดีครับ” ปกติไม่ค่อยเล่นเท่าไหร่หรอกครับ ถ้าไม่ถือว่าวันนี้ทุกคนตั้งใจเซอร์ไพรส์ผมล่ะนะ


“ได้เหรอ ไอ้ตี๋ กูเอาอย่างหลังนะ” พ่อพูดจบก็โดนแม่ตีแขนดังเพี้ยะ คงเจ็บไม่น้อยอยู่ครับ แต่ช่างเถอะ พ่อผมทนทานอยู่แล้ว


“โธ่ ที่รัก นานๆ ทีลูกจะให้โอกาสผมนะ” พ่อพยายามต่อรองกับแม่ครับ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอะไร


“ก็ได้ ไอ้ตี๋ งั้นกูเลือกเหมือนแม่มึงก็ได้ ถ้ากูไม่เลือกให้ดี มีหวังแห้วหมด”


“ฉลาดมากครับพ่อ” ผมเดินเข้าไปใกล้พ่อ ไม่ลืมที่จะวางเค้กไว้บนโต๊ะก่อน เพราะตอนนี้พ่ออุ้มเคลลี่ไว้ มีหวังเด็กแสบได้ตะปบเค้กจนเละแน่ ผมเข้าไปหอมแก้มพ่อเบาๆ เหมือนกับแม่ พ่อสูงกว่าผมไม่มากนักผมเลยไม่ต้องเขย่งให้เมื่อย



เจ้าเด็กน้อยที่พ่อผมอุ้มอยู่ทำหน้าทำตาเหมือนอยากได้ส่วนแบ่งด้วย ตัวแค่นี้ส่งสายตาแบบนี้ก็เป็นเหรอเนี่ย แต่สายตาแบบนี้มันสายตาผมชัดๆ เลือดพ่อมันข้นจริงๆ เว้ยเฮ้ย ผมเลยต้องลงไปจุ๊บเด็กน้อยปากชมพูเป็นการลงโทษ



เคลลี่หัวเราะคิกคักตัวเล็ก ละเลงน้ำลายลงบนหน้าผมเสียคุ้มเลย หมดหล่อกัน ถ้าสิวขึ้นใครจะรับผิดชอบครับ เคลลี่ ผมเลยถอยห่างออกมาก่อนที่ตัวเล็กจะเล่นหนักกว่านี้



“สุขสันต์วันเกิดนะคี พี่ก็คงอวยพรเหมือนคุณน้า” นั่นแน่ มาอีกคนไม่ใช้ความคิดเสียเลย ก๊อปปี้กันมาไม่ผิดเพี้ยน “ปีนี้ก็ถือว่าโตมากขึ้นแล้ว พี่อยากให้คีใช้ชีวิตใหม่ เริ่มต้นใหม่ เลิกยึดติดกับความคิดเก่าๆ เสียทีนะ” เฮียเมฆพูดต่อเหมือนหลอกด่าผมยังไงยังงั้น แต่คงไม่ใช่หรอก.....มั้งนะ


“ขอบคุณครับพี่เมฆ อยากได้คำขอบคุณแบบพ่อกับแม่ด้วยมั้ยครับ” ผมถามแซวไปแบบนั้นแหละครับ ดูก็รู้ว่าไม่จริงจังแต่ผมแค่คิดจริงเท่านั้นเอง


“อะแฮ่มม ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้ตี๋” พ่อผมเองครับ พ่อสุดที่รักที่ห่วงผมตั้งแต่ยังนอนเปล พ่อผมเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล เอ้ย ไม่ใช่แล้ว พ่อหวงผมจริงๆ นั่นแหละ ลับหลังคงทำใจได้ แต่ต่อหน้าพ่อคงไม่ทนแน่ๆ



จบสิ้นคำอวยพรอันศักดิ์สิทธิ์จากผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายแล้วผมก็เริ่มลงพิธีละเลงหน้าเค้ก เอ้ย ไม่ใช่ พิธีตัดเค้กครับ ตัดแบ่งให้ทุกคนเท่ากันด้วยความรักที่มี อ้อ เคลลี่ก็ได้ทานเค้กด้วย ดูเหมือนจะเป็นเค้กชิ้นแรกที่เจ้าตัวได้ทาน เพราะปกติแม่มักจะห้ามพวกขนมหวานพวกนี้ไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กติดหวานจนเกินไป สีหน้าของเคลลี่ตอนได้ทานเค้กครั้งแรก มันบรรยายไม่ได้เลยล่ะ เจ้าตัวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจในรสชาติ สีหน้าของเคลลี่ดูมีความสุขเหมือนชีวิตนี้ใช้คุ้มแล้ว อะไรแบบนั้นเลยทีเดียว ผมเลยอดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือมาถ่ายความทรงจำสีหน้าของเคลลี่ไว้ เอาไว้โตขึ้นเมื่อไหร่ เสร็จข้าแน่ ข้าจะเอาไว้ แบล็กเมลล์เจ้า ไอ้เด็กดื้อ




“รักเคลลี่นะ ไอ้ดื้อ” ผมก้มลงไปหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นด้วยความมันเขี้ยว ถ้าคุณได้เห็นเคลลี่คุณจะต้องรักเขาเหมือนที่ผมรักแน่ๆ เอ นี่ใช่อาการเห่อลูกหรือเปล่า


“หม่ำๆ คี”


“ป้อนพี่หน่อยสิครับ” ใครว่าเค้กมันหวาน ผมนี่เถียงเลย เค็มปี๋จริงๆ เค็มทั้งมือเลย เคลลี่ป้อนผมตามคำขอก็จริง แต่เจ้าตัวกำเค้กขึ้นมาใส่ปากผม อืม ผมต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้สินะ แล้วคนอื่นๆ ล่ะ หัวเราะผมสิครับ เรื่องแบบนี้ ยิ่งพ่อของผมด้วยแหละ หัวเราะก่อนใครเลย




ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำ วันเกิดผมปีนี้ ผมมีความสุขที่สุดเลย





--------------------------------------
ยังหายไปเหมือนเคย ขอโทษนักอ่านทุกคนด้วยนะคะ เรื่องนี้คงจะจบช้ากว่าที่ตั้งใจจริงๆ เพราะเราดันไปเขียนเรื่องใหม่  :sad4:
ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องใหม่ แต่ก็ทำไปแล้ววววววว ซุ่มเขียนจนตอนนี้จำนวนเท่ากับเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ

ตั้งใจว่าถ้าลงเรื่องนี้จบแล้วจะลงเรื่องใหม่ต่อ ตอนนั้นคงใกล้จบหรือจบแล้ว คนอ่านไม่ต้องรอนาน แน่นอนค่ะ

คิดถึงทุกคนนะคะ ไม่ได้ลงอะไรในเล้านาน พอมาลงก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน

 :mew1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-02-2017 19:53:03
อืมมมมมมม เรื่อยๆ เมื่อจะกระเตื้องขึ้นทีละนิดกับความรู้สึกของคีย์ แต่ก็ยังไม่ไปไหนเลยอ่ะ
รู้สึกสงสารพี่เมฆที่ต้องรอคีย์ แต่พี่เมฆก็มีความอดทนสูงนะที่รอได้และเข้าใจคีย์แบบนี้
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-02-2017 20:24:16
เฮียเมฆ มาหาคี เพราะหึงไมค์
คี ตามใจเฮียเมฆ เถอะ
พาเคลลี่ กลับไทยพร้อมกันซะเลย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 02-02-2017 22:11:07
ที่คุณพ่อรู้ว่าพี่เมฆจะมาเพราะวันเกิดคีย์นี่เอง หวานหยดย้อยจริงๆ ^^
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-02-2017 23:39:50
อื้อหือ เฮียแกหึงหนักมากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-02-2017 01:36:16
หน่วงอ่านไม่ไหว แค่ลูกที่สี่นะ พระเอกสมบูรณ์แบบเนอะ แต่ความรู้สึกเหมือนจะรักแบบการค้านะ หรือเจ้าชู้แบบเงียบ น่ากลัว
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบห้า 02-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 20-02-2017 20:32:35

ภูเขาลูกที่สิบหก


   ใกล้จะเข้าวันใหม่ ผมอายุครบยี่สิบปีเสียที กลับไปที่ไทยเมื่อไหร่จะไปอ้อนป้าจันให้ยอมอนุญาตให้ซื้อรถ เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเฮียเมฆ ลุงหมาย และลุงแช่ม


   ตอนนี้พวกเราทุกคน ยกเว้นเคลลี่ที่เข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว ย้ายที่นั่งมานั่งคุยสบายๆ อยู่หน้าทีวีที่ไม่มีใครคิดจะเปิดดูเลย


   “ง่วงกันหรือยังคะ” แม่ถามทุกคน


   “ยังเลยจ้ะ / ยังครับ” พ่อ เฮีย และผม พร้อมใจกันตอบราวกับนัดกันไว้ก็มิปาน


   “แม่ขอคุยด้วยสักนิดนะคะ”


   “เรื่องอะไรครับแม่” ผมถามแม่ แต่แม่กลับหันไปพูดกับเฮียเมฆเสียนี่


   “แม่เห็นว่าไหนๆ เมฆก็อยู่ที่นี่แล้ว แม่เลยอยากจะฝากน้องกลับไปที่ไทยด้วยเลย”


   “ได้ครับคุณน้า ผมกำลังจะขออนุญาตเรื่องนี้อยู่เลย”


   “เดี๋ยวนะครับแม่ ทำไมถึงให้คีกลับไปเร็วแบบนี้ล่ะ” ผมแปลกใจเรื่องที่แม่พูด


   “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือว่า...”


   “ไอ้ตี๋ มาๆ ข้าอธิบายเอง คือว่ากู เอ๊ย พ่อเนี่ยนะ จะพาแม่เอ็งไปฮันนีมูนน่ะสิ”


   “จริงเหรอแม่”


   “ค่ะ อย่างที่พ่อบอกค่ะ” แม่ก้มหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนหญิงสาวที่กำลังมีความรักเลย


   “คีไปด้วยไม่ได้เหรอครับพ่อ แม่” ผมทำหน้าอ้อนวอนขอร้องสุดฤทธิ์


   “ไม่ได้เว้ย ไอ้ตี๋ พ่อไม่ได้พาแม่เขาไปเที่ยวมานานแล้ว เลยอยากจะเอาใจเมียสุดที่รักเสียหน่อย”


   “แต่คีอยากไปด้วยนี่นา”


   “ไม่ทำแบบนี้ คี โตแล้วนะเรา” ไม่ใช่เสียงของพ่อกับแม่ครับ แต่เป็นเฮียเมฆที่นั่งฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ มาสักพักแล้ว


   “เฮียเมฆครับ เฮียต้องเข้าใจผมบ้างสิว่าผมก็อยากไปเที่ยวกับพ่อและแม่นะ”


   “ไว้คราวหน้าละกันไอ้ตี๋ พ่อจัดการจองอะไรไปหลายอย่างแล้ว”


   “ก็ได้ๆ ครับ ครั้งหน้าห้ามลืมคีด้วย แล้วเคลลี่ล่ะครับ?”


   “แม่ฝากคีดูแลน้องด้วยได้มั้ยคะ”


   “โอ้ย นี่มันทริปฮันนีมูนจริงๆ ด้วยอะ” แม้แต่เคลลี่ก็ต้องระเห็ดออกมาเหมือนกันนะเนี่ย


   “คี” เสียงเฮียเมฆปรามเบาๆ


   “ครับๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวคีดูแลเคลลี่ให้เองครับ แม่ไม่ต้องห่วง”


   “ค่ะ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเหมือนกัน”


   “ครับแม่?”


   “ปีนี้เคลลี่ต้องเตรียมเข้าโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ”


   “จริงด้วยสิครับ คีลืมไปเลย งั้นจะเอายังไงครับ พ่อกับแม่ไปฮันนีมูนกลับมาเมื่อไหร่ครับ” ผมคิดในใจว่าเต็มที่ก็น่าจะก่อนผมเปิดเทอมที่ไทยแน่นอน


   “ยังไม่รู้ แต่พ่อว่าอีกสักปีหนึ่งน่ะ”


   “หา!! อะไรนะพ่อ ทำไมนานขนาดนั้น”


   “เอาน่า นานๆ ทีนี่นา”


   “แล้วบริษัทไม่เป็นไรเหรอ”


   “พ่อจัดการไว้แล้วล่ะ ใช่มั้ย เมฆ”


   “ครับ คุณน้าไม่ต้องเป็นห่วง”


   “อะไรกันน่ะพ่อครับ เฮียเมฆ” ผมหันไปถามทั้งสองคน สลับมองหน้าสองคนนี้ไปมาด้วยความมึนงง


   “พ่อคุยกับเมฆแล้วเรื่องบริษัทที่นี่ พ่อกับแม่ของเมฆอาจจะย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว ถือเป็นการพักผ่อนไปในตัวด้วย”


   “อ้าว คุณลุงกับคุณป้า โอ้ยนี่มันเรื่องอะไรกัน งง ไปหมดแล้วครับ”


   “มันไม่มีอะไรหรอกคี พอดีคุณน้าก็ทำงานมาตลอดไม่ได้พักผ่อนเลย พี่เลยเสนอให้คุณน้าไปเที่ยว คุณพ่อกับคุณแม่พี่ก็เห็นด้วย แล้วท่านก็อยากมาพักผ่อนที่สวิตซ์ด้วยเหมือนกัน เรื่องมันก็เลยง่ายแล้วก็ลงตัว”


   “งั้นที่ไทยจะมีแค่ผม เคลลี่แล้วก็เฮียเมฆ?” ผมมองหน้าเฮียเมฆ


   “ใช่ ระหว่างนี้ก็ให้เคลลี่เข้าโรงเรียนที่ไทย ถ้าเกิดคุณน้ากลับมาเมื่อไหร่ จะย้ายกลับมาที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”


   “ทำไมทุกคนพูดเหมือนคุยกันมาเรียบร้อยแล้ว คีไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว ”


   “ก็ไม่ได้อยากปิดบังอะไรเอ็งหรอกไอ้ตี๋ แต่เรื่องพวกนี้พ่อกับเมฆต้องเตรียมเรื่องเยอะเลยล่ะ แม่เราก็ต้องเขียนหนังสือเตรียมไว้ด้วย ทีแรกก็กลัวจะไม่เรียบร้อยแต่ทุกอย่างกลับลงตัว คีก็เลยเพิ่งรู้เรื่องน่ะ”


   “ผมรู้สึกว่ามันดูแปลกๆ ทุกคนยังมีอะไรไม่ได้บอกผมอีกหรือเปล่าครับ”


   “ไม่มีแล้ว” พ่อตอบออกมาอย่างรวดเร็ว


   “จริงนะ”


   “จริงสิ ไม่น้อยใจ”


   “ไม่ได้น้อยใจสักหน่อย แค่รู้สึกว่าอะไรมันดูรวดเร็วไปหมด ไม่ทันตั้งตัวเลย” ผมโอดครวญออกมาไม่ดังนัก กลัวคนข้างๆ จะบ่นว่าเสียงดังอีก


   “ไอ้ธร กูกลับมาแล้วนะเว้ย” รวดเร็วปานท่านแม่สั่งครับ หมดเวลาพักของเฮียเมฆ ผมกับเคลลี่ก็ถูกจับขึ้นเครื่องบินกลับมาเมืองไทยทันที


   “อ้าว เฮ้ย ทำไมมึงกลับมาเร็วจังวะ”


   “เออ พ่อกับแม่กูอยากไปฮันนีมูน เลยไล่กูกลับมาด้วย”


   “แล้วนี่มึงกลับมาเมื่อไหร่”


   “สักอาทิตย์ได้ว่ะ”


   “แล้วทำไมเพิ่งติดต่อกูวะ เหงาปากชิบ อยากเหล้าโคตรๆ”


   “ขอโทษครับเพื่อน แต่งานนี้คงต้องอดไปอีกยาว กูพาน้องกลับมาด้วย”


   “น้องมึง? กูไม่เห็นรู้ว่ามึงมีน้องด้วย น้องแท้ๆ หรือพี่น้องท้องชนกันวะ” ไม่แปลกที่ไอ้ธรจะไม่รู้ นอกจากบ้านของเฮียเมฆแล้ว ผมไม่เคยเล่าเรื่องเคลลี่ให้ใครฟังเลย


   “สัด น้องกูจริงๆ ใกล้จะสี่ขวบแล้ว เนี่ยแหละที่กูไม่ได้ติดต่อมึงเลย เพราะมัววุ่นๆ เรื่องโรงเรียนให้ไอ้ตัวเล็กเข้าเรียน”


   “แล้วเรียบร้อยหรือยังล่ะ”


   “เรียบร้อยแล้วสิครับ ถึงมีเวลาพอจะโทรหามึงได้ ควายตลอดนะครับมึง”


   “มึงนี่ เอ๊ะ ยังไง หลอกด่ากูได้ตลอด ช่างมันๆ ว่าแต่ไปเที่ยวกันเถอะ ไอ้คี”


   “อยากไปว่ะ แต่คงไม่ได้ น้องกูอยู่ด้วยตลอด กระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย”


   “น้องหรือลูกมึงกันแน่วะ อย่างกับพ่อม่ายเรือพ่วง”


   “หึ ก็คงงั้นแหละ”


   “เอาดีๆ มึงทำเสียงเหมือนกับว่าที่กูพูดนั่นเป็นเรื่องจริง”


   “กูเถียงสักคำมั้ยล่ะ ไอ้ธร”


   “เฮ้ยยยย!!! ไอ้คี ไม่ตลกนะเว้ย”


   “กูก็ไม่ได้เล่นมุกให้มึงขำขันนี่” ได้ยินน้ำเสียงงงเป็นไก่ตาแตกของไอ้ธรแล้ว ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องเคลลี่ให้มันฟัง จะได้จบๆ ไป


   “แล้วตอนนี้สุดท้ายก็คือมึงหอบลูกมาเรียนที่เมืองไทย”


   “ไม่ได้หอบเหอะ แค่มาอยู่ด้วยสักพักหนึ่ง”


   “เคลลี่ ลูกมึงหน้าตาเป็นไงวะ หวังว่าคงไม่ได้หน้ามึงมาใช่มั้ย”


   “อยากรู้ก็มาดูเองสิ”


   “เออ มึงพาไอ้แสบมึงออกมาเที่ยวห้างดิ กูอยากเจอ”


   “ได้ พรุ่งนี้นะมึง ว่างมั้ย?”


   “ว่างๆ แล้วเจอกัน”


   “เจอกัน” ผมกดวางสายไปหลังจากนัดแนะกับไอ้ธรเรียบร้อย เดินกลับเข้ามาในห้อง ไอ้ตัวเล็กยังนอนหลับช่วงกลางวันอยู่ เวลานี้ผมว่างเสียยิ่งกว่าว่าง เพราะเฮียเมฆกับคุณลุงก็ไปทำงาน ป้าจันก็เอนหลัง เคลลี่ก็หลับ เหลือแต่ผมที่ยังไม่รู้จะจัดการเวลาว่างพวกนี้อย่างไรดี



   โรงเรียนของเคลลี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเฮียเมฆมากครับ ผมเลยถือโอกาสนี้ในการขอป้าจันเพื่อขับรถไปส่งเคลลี่เอง ทำตาปริบๆ อยู่สองสามที หวังว่ามารยาของผมจะช่วยเหลือทำให้สัมฤทธิ์ผลได้บ้าง ป้าจันนิ่งคิดไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ให้คำตอบผม ผมเองลุ้นแทบตายว่าจะป้าจันจะตกลงมั้ย แต่ป้าจันกลับตอบว่า ขอป้าคิดดูก่อน งานนี้เลยแห้วไปก่อนครับ



   “เคลลี่ กินไอติมมั้ย” ผมพาเคลลี่ใส่กระเป๋าเป้หน้าท้องประหนึ่งเป็นแม่จิงโจ้เดินเข้ามาในร้านไอติม


   “กิน”


   “เอารสอะไรดีน้า ชอคโกแลตกับสตอเบอร์รี่แล้วกันนะครับ”


   “อื้อ”


   “ครับสิ เคลลี่”


   “คับ” จัดการเรียกพนักงานมาสั่งไอติมเสร็จสรรพก็ข้อความไปบอกไอ้ธรเรื่องพิกัด ณ ปัจจุบันของผมให้มันรู้ รออยู่ไม่นานก็เห็นมันเดินทำหน้าขี้เหร่เข้ามา ผมยกมือบอกมันว่าอยู่ตรงนี้ มันเลยรีบปรี่มาหาผม


   “เฮ้ย ไอ้คี ลูกมึงจริงๆ เหรอวะ” ไอ้ธรมาถึงก็ทักทายผมเสียดัง


   “เบาๆ หน่อยสิวะ” ผมบอกมันให้ลดเสียงความตื่นเต้นลง แล้วรีบบอกให้มันนั่งลงฝั่งตรงข้าม


   “น่ารักว่ะ”


   “แน่อยู่แล้ว ลูกกูนี่คร้าบ” ผมอวดลูกอย่างไม่เกรงใจไอ้ธร


   “จิ้มลิ้มดีว่ะ แล้วคือลูกมึงก็จะอยู่ที่นี่ยาวเลย”


   “อืม อย่างน้อยก็สักปีนั่นแหละ”


   “เป็นไงบ้างวะ ชีวิตคนเป็นพ่อ”


   “ก็เหนื่อยเหมือนกัน ไปไหนก็ไม่ค่อยได้ แต่ลึกๆ ก็มีความสุขดีว่ะ”


   “โอ้ย เพื่อนกูกลายเป็นโหมดนี้ได้ยังไง”


   “เหอะ อิจฉาก็รีบหาเมีย”


   “พยายามเต็มที่อยู่แล้วครับเพื่อน”



   ผมกับไอ้ธรแลกเปลี่ยนข่าวสารกันพอหอมปากหอมคอแล้วก็โบกมือลาแยกย้าย อีกไม่นานมหาวิทยาลัยก็จะเปิดเทอมแล้วค่อยไปเจอกันที่นั่นก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน แต่ยังไงชาติเสือต้องไว้ลาย เคลลี่เข้านอนแต่หัวค่ำ ยังไงแล้วผมจะต้องหาทางนัดไอ้ธรออกไปเที่ยวเหมือนเดิมให้ได้



   เป้าหมาย!!!



   “อ้าวสวัสดีค่ะ คุณคี ไม่เจอกันเสียนาน แล้วนี่มาได้ไงคะ หรือทำอะไรผิดอีกหรือเปล่า บอกพี่ยามาเลยค่ะ อุ๊ยแล้วนั่นลูกใครคะเนี่ย หน้าตาน่ารักมากๆ เลย” อารยาทักทายเด็กหนุ่มคนคุ้ยเคยที่เข้าออกที่นี่อยู่เป็นประจำ


   “สวัสดีครับพี่ยา เล่นถามคีเสียเยอะเลยไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี”


   “อย่าแกล้งพี่ยาเลยค่ะ” อารยาชินเสียแล้วกับท่าทียียวนของอีกฝ่าย


   “คิดถึงคีบ้างมั้ยครับ”


   “คิดถึงสิคะ คุณคีไม่อยู่ งานคุณเมฆล้นมือแทบไม่ว่างเลยล่ะค่ะ”


   “โห ที่แท้ผมก็มีประโยชน์แค่นี้นี่เอง”


   “พี่ยาล้อเล่นค่ะ แล้วนั่นลูกใครเอ่ย”


   “สวัสดีพี่ยาสิครับน้องคี” เด็กน้อยทำตามที่ผมบอกโดยไม่อิดออด


   “อุ้ย ว่านอนสอนง่ายจังเลย ชื่ออะไรคะ”


   “ชื่อเคลลี่ครับ น้องชายผมเอง” เด็กหนุ่มแนะนำเจ้าเด็กแก้มแดง


   “คนนี้เองเหรอคะ ได้ยินแต่ชื่อ น่ารักจริงๆ เลย มัวแต่ชวนคุย มาหาคุณเมฆใช่มั้ยคะ”


   “ใช่ครับ เฮียมีแขกอยู่หรือเปล่าครับ”


   “ไม่มีค่ะ เข้าไปได้เลย”


   “งั้นผมขอฝากเด็กดื้อไว้กับพี่ยาสักครู่นะครับ ขอเข้าไปเซอร์ไพรส์เฮียสักหน่อย”


   “ได้เลยค่ะ มามะ น้องเคลลี่มาให้พี่ยาอุ้มหน่อยน้า” พี่ยามารับเคลลี่ออกไป รู้สึกร่างกายโล่งขึ้นเป็นกอง ผมเลยปลดเป้ทิ้งไว้ตรงข้างๆ โต๊ะพี่ยาก่อน แล้วเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะเดี๋ยวคนในห้องจะรู้ตัวเสียก่อน


   “แล้วอาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ” เฮียเมฆยืนหันหลังให้ประตูเลยไม่เห็นผม ตอนนี้เฮียกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครสักคน หันหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่าง


   “อ่อ...ครับ ได้ครับ” ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ ด้านหลังของเฮียเพิ่มขึ้นอีกนิด จนมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานแล้ว


   “ถ้าเป็นระยะเริ่มต้นก็น่าจะรักษาได้ใช่มั้ยครับ” จากที่ฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องงานแต่อย่างใด เฮียเมฆกำลังคุยอยู่กับใครกัน


   “ได้ครับ ผมจะดูแลคีอย่างดีครับ ขอให้คุณน้าผู้หญิงหายป่วยไวๆ นะครับ สวัสดีครับ”


ผมได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย คุณน้าผู้หญิงที่เฮียเมฆพูดถึงนั่นคือแม่ของผมใช่หรือเปล่า แล้วระยะเริ่มต้น ไหนจะพูดถึงอาการของคนป่วย


ระยะเริ่มต้น ที่พอจะรู้จักอยู่บ้างก็น่าจะหมายถึงโรค...โรค...


มะเร็ง!?


“เฮียเมฆ! แม่ผมป่วยใช่มั้ยครับ” ผมโพล่งถามเฮียเมฆออกไปเสียงดัง ตั้งใจจะเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย กลายเป็นว่าผมเองใช่มั้ยที่เซอร์ไพรส์เอง


“อย่าเสียงดังสิคี พูดเบาๆ ก็ได้ พี่อยู่แค่นี้ตรงนี้เอง” เฮียเก็บอารมณ์ได้ดีเหมือนเคย ซ้ำยังคอยปรามเวลาผมทำเสียงดังเหมือนเดิม


“เฮีย ตอบผมสิครับ” ผมปรี่เข้าไปจับแขนเฮียเมฆ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากได้ยินว่าใช่ก็เถอะ


“คีไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก”


“จะไม่ห่วงได้ยังไงครับ นั่นแม่ผมทั้งคน ทุกคนรู้เรื่องกันหมดยกเว้นผมใช่มั้ย” ผมเคยเอะใจว่าทุกคนดูตั้งใจที่จะทำอะไรบางอย่าง คิดไปเองเสมอว่าคงไม่มีอะไร



“ทุกคนไม่อยากให้คีคิดมาก”


“ทำไมถึงไม่บอกผม หรือผมเองไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้หรือไง” ผมโวยวายแต่ก็ไม่ได้ทำเสียงดังจนเกินไปเพราะกลัวพี่ยาจะตกใจแล้วรีบตามเข้ามา


“ทุกคนหวังดี อยากให้คีสบายใจ” เฮียเมฆดึงผมเข้าไปกอด อีกมือก็คอยลูบหัวผมไปด้วย เฮียมักปลอบผมให้ใจเย็นลงได้เสมอ


“ทำไมต้องทำเหมือนผมพึ่งพาอะไรไม่ได้แบบนี้ด้วย” ผมยังบ่นอู้อี้อยู่กับเสื้อของเฮีย แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ผมพยายามเข้มแข็ง ผมอยากเป็นที่พึ่งให้ใครบ้าง อย่างนอกครอบครัวของผมก็ยังดี


“ไม่มีใครคิดแบบนั้น ถึงไว้ใจให้คีดูแลเคลลี่ไง คุณน้าเชื่อว่าคีพึ่งพาได้นะ เด็กดี” เฮียกดจูบลงบนหน้าผมเบาๆ เกลี่ยนิ้วที่ใต้ตาทั้งที่ไม่มีน้ำตา


“คิดจะปิดผมไปถึงเมื่อไหร่”



“เขาแค่อยากให้คีตั้งใจเรียน ไม่ต้องเป็นห่วง คุณน้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” เฮียเมฆพยายามพูดให้ผมมองทุกอย่างได้ดีขึ้น


“ผมอยากไปหาแม่ครับ”


“เพราะแบบนี้ เลยไม่มีใครอยากบอกคีตอนนี้ยังไงล่ะ”


“ให้คี..ไปเถอะนะครับ พี่เมฆ” ผมใช้ลูกไม้เดิมๆ กับเฮียเมฆ หวังว่ามันคงจะยังได้ผล



“กำลังอ้อนพี่ใช่มั้ย”


“นะครับ ผมจะรีบกลับมาก่อนเปิดเทอมแน่ๆ”


“แล้วเคลลี่?”


“ก็ต้องพาไปด้วยสิครับ ผมไม่มีทางทิ้งเคลลี่ให้อยู่ที่นี่คนเดียวหรอก”


“พี่ไปด้วย รอพี่เคลียร์งานก่อน”


“กว่าพี่เมฆจะเคลียร์งานเสร็จ คงไม่ได้ไปพอดี”


“งั้นคีก็ช่วยพี่สิ”


“มัดมือชกกันชัดๆ ... ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะมาช่วยพี่เมฆตั้งแต่พรุ่งนี้ แต่ต้องพาเคลลี่มาด้วยนะครับ”


“ไม่มีปัญหา ใกล้เลิกงานแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่กลับเลยก็แล้วกัน”


“ครับ”



เคลลี่นอนเร็วครับ ไม่เกินสองทุ่มก็ตาปรือแล้ว วันนี้ผมพาออกไปเล่นข้างนอกช่วงกลางวัน พอใกล้เวลานอนเด็กน้อยคว้านมกล่องไปดูดจนหมดแล้วตามด้วยน้ำเปล่าอีกขวดก็หลับไปโดยได้ง่าย
ผมนอนลูบหลังเคลลี่เพื่อกล่อมเด็กน้อยบนที่นอนของเคลลี่ข้างเตียงนอนห


ลังใหญ่ของผม ที่นอนของเด็กน้อยคนนี้ได้รับอภินันทนาการจากคุณลุงและคุณป้าเลยล่ะครับ เตียงของผมถูกเลื่อนออกไปเพื่อให้มีพื้นที่วางที่นอนข้างๆ เตียงของผม คุณลุงกับคุณป้ากลัวว่าถ้านอนบนเตียงกับผมแล้ว กลางดึกอาจจะดิ้นตกลงมาได้ ท่านเลยเป็นห่วง



แต่ที่นอนของเคลลี่น่ะ มีขนาดใหญ่เกือบจะเท่าเตียงของผมเลยนะครับเนี่ย!!



ผมลูบหลังให้เด็กน้อยไป พลางคิดถึงเรื่องของแม่ไปด้วย ท่าทีอ่อนเพลียต่างๆ ที่แสดงออกมาให้เห็น แต่ผมไม่เคยเอะใจ เชื่อตามที่แม่บอกทุกอย่างว่าแม่แค่เหนื่อย ผมนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เท่าที่ได้ยินตอนเฮียเมฆคุยโทรศัพท์วันนี้ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นระยะเริ่มต้น ถ้าได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้ทั้งนั้น



แม่ผมต้องไม่เป็นไร


‘อยู่กับคีนานๆ นะครับ’



ผมได้แต่คิดด้วยความไม่สบายใจ เหลืองมองนาฬิกาตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องข้างๆ เฮียเมฆคงขึ้นมาแล้ว ถึงอยากจะเข้มแข็งเท่าไหร่ แต่ลึกๆ แล้วก็อยากได้รับการปลอบใจและความอ่อนโยนจากใครสักคนด้วยกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะคนที่เรารัก



   รัก ใช่มั้ย??



   ผมลุกออกมาจากที่นอนของเคลลี่ พยายามทำเสียงให้เงียบที่สุดเพราะเกรงว่าเด็กน้อยจะตื่น โดยปกติเคลลี่เป็นเด็กหลับดี มักจะหลับรวดเดียวจนถึงเช้า ทำให้ผมค่อนข้างไม่ห่วงเท่าไหร่นัก หากผมจะหายไปอยู่ห้องข้างๆ บ้าง แต่ก็แง้มประตูห้องของตัวเองไว้เล็กน้อย หากเคลลี่ตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้ ผมก็จะได้ยิน



   “เฮียเมฆครับ” ผมเคาะประตูสองสามทีอยู่หน้าห้องนอนของเจ้าของชื่อ ไม่รอให้เฮียเมฆตอบ ผมก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปเลย


   “ว่าไง” เฮียเมฆเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ตอนนี้เฮียเลยสวมแค่กางเกงนอนตัวเดียวยังไม่ได้ใส่เสื้อ ผมที่ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้เสียนาน ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก


   “เรื่องแม่....”


   “คุณน้าเหรอ มีอะไรล่ะ” เฮียเมฆหยิบเสื้อนอนขึ้นมาใส่ ผมนี่แทบเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าอกสวยๆ ต่อ เฮียเดินก้าวไปนั่งพิงที่หัวเตียง แล้วหยิบหนังสือที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาถือไว้เพื่อเตรียมอ่าน


   “เล่าอาการของแม่ให้ผมฟังหน่อยสิครับ” ผมตามเข้ามานั่งข้างๆ เฮียเมฆ ชักอยากจะเป็นคนชอบการสัมผัสเสียจริง


   “คีเข้าใจว่ายังไงบ้างล่ะ” เฮียเมฆคงเห็นว่าเรื่องนี้คงจะยาว เลยวางหนังสือลงที่เดิมแล้วหันมาสบตากับผมตรงๆ เสียที


   “แม่เป็นมะเร็งใช่มั้ยครับ”


   “ใช่...คุณน้าเป็นมะเร็งรังไข่” ถึงจะมั่นใจแต่พอได้ฟังชัดๆ ก็ใจหวิวขึ้นมา


กลัวเหลือเกิน กลัวจะไม่ทันการณ์


“....”


“แต่ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณแม่ของคีโชคดีมากๆ ที่ตรวจเจอตั้งแต่ระยะแรก”


“แม่ตรวจเจอได้ยังไงครับ”


“คุณน้าท้องอืด พ่อของคีเลยพาไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลก็เลยตรวจเสียซะละเอียด”


“โชคดีของแม่จริงๆ เพราะพ่อน่ะเป็นพวกที่อะไรเกี่ยวกับแม่แล้วจะเยอะไปทุกอย่าง” ผมรู้สึกจากใจเลยว่าแม่โชคดีที่ได้รักกับพ่อ เพราะในสายตาของพ่อแล้ว แม่สำคัญที่สุดในชีวิต พ่อไม่เคยเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับแม่เลย


“โชคดีจริงๆ” เฮียเมฆดึงผมเข้าไปกอดแล้วพึมพำตามคำพูดผมอยู่ด้านบนก่อนจะจูบที่ขมับเบาๆ


รู้สึกเหมือนบรรยากาศกำลังพาไป เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ว่ามั้ยครับ ผมเองก็ร้างลาเรื่องอย่างว่ามาพักหนึ่งแล้ว ส่วนเฮียเมฆนี่ไม่รู้แฮะ เพราะถ้าเฮียมีแต่ผมนี่ก็นับว่าอดอยู่หลายปีเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน



ผมเงยหน้ามองหน้าเฮียเมฆ เหมือนมีแรงดึงดูดเกิดขึ้นระหว่างเรา แรงดึงดูดที่ผมพยายามผลักไสมันอยู่ตลอดเวลา ผมพยายามทำตัวเป็นขั้วเดียวกับเฮียเมฆ เพื่อที่เราจะได้อยู่ห่างกันมากที่สุด ความสัมพันธ์ที่ผมไม่อยากยอมรับ ความสัมพันธ์ที่ผมคอยเห็นแก่ตัว



แต่...ตอนที่รู้เรื่องอาการป่วยของแม่ ผมเริ่มรู้สึกกลัว กลัวว่าคนรอบตัวที่คอยอยู่ข้างๆ ผมจะหายไปทีละคน ทีละคน ยอมรับว่าผมยังเข้มแข็งไม่พอ ยังไม่พร้อมจะเห็นใครเดินออกไปจากชีวิตผมอีกครั้ง  ผมได้แต่หวังว่าเวลาจะคอยเยียวยาความรู้สึกที่อยู่ภายในใจให้ดีขึ้น วันนี้ผมถึงได้เข้าใจว่ามันดีขึ้นนะ แต่มันดีขึ้นแค่นิดเดียว จริงๆ



รวมทั้งความรู้สึกที่มีต่อเฮียเมฆด้วย ผมอยากให้เวลาช่วยผมได้คิดเรื่องความรู้สึกของผมกับเฮียเมฆมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่มันคงไม่ต้องรอแล้วมั้ง


ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว... เรื่องของเรา


ผมคล้องแขนโน้มคอของเฮียเข้ามา เลื่อนมือประคองใบหน้าคมให้เข้ามาใกล้ แตะริมฝีปากลงบนปากของเฮียเบาๆ


“อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย” เฮียเมฆถามผมเสียงเบา เสียงทุ้มของเฮียยังทำให้ผมหลงใหลมันอยู่เสมอ


“.....” ผมแปลกใจที่จู่ๆ เฮียก็ถามขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เลยได้แต่นิ่งคิดไป


“ยังคิดถึงแอนนาอยู่เหรอ”



ไม่ใช่แค่ผมที่เหนื่อยกับใจตัวเอง เฮียเมฆเองก็คงเหมือนกัน ผมรู้ว่าผมทรมานใจเฮียไม่น้อยเลย ไอ้ธรเองก็มักจะด่าผมอยู่เป็นประจำ แต่เป็นผมเองที่ยังถ่วงเวลา



อย่างคนเห็นแก่ตัว



“ถ้าให้บอกว่าไม่คิดถึงเลยคงไม่ใช่ ผมกับแอนนา เราทั้งคู่เคยมีความสุขด้วยกันจริงๆ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียว เป็นแม่ของเคลลี่ที่ผมรัก” ผมจ้องมองนัยน์ตาของเฮียเมฆแน่วแน่ สัมผัสได้ถึงดวงตาที่สั่นไหวของเฮียเบาๆ



คนอย่างเฮียเมฆก็ใช่ว่าจะเข้มแข็งตลอดเวลาได้เหมือนกัน



“แต่ตอนนี้ผมรักเฮียเมฆมากที่สุดครับ”


“หืม?”


“คีรักพี่เมฆมากที่สุด อยู่กับคีตลอดไปนะครับ” สูงสุดสู่สามัญ เมื่อก่อนเคยเรียกเฮียเมฆว่าอย่างไร ตอนนี้ก็กลับไปเรียกให้เหมือนเดิม กลับไปเป็นเหมือนเดิม คีรินทร์ คนที่มั่นใจและแน่ใจในตัวเองแล้ว


ในที่สุดก็พูดออกไปได้สำเร็จ ในที่สุดก็เลิกวิ่งหนีทุกอย่างเสียที พูดออกไปแล้วก็รู้สึกเหมือนร่างกายมันเบาหวิวเหมือนจะลอยได้เลย


เฮียเมฆกอดผมแน่นขึ้น ผมได้ยินเขาพึมพำว่าขอบใจ ขอบใจผม


“คีขอบคุณพี่จริงๆ ที่ไม่ทิ้งคี ที่ไม่ยอมแพ้ไปเสียก่อน”


“รักมาตั้งนาน รอมาได้ตั้งหลายปี แค่รอให้คีแน่ใจทำไมจะรอไม่ได้”


“พี่เมฆ!! อย่าพูดแบบนี้สิครับ แค่นี้คีก็รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว”


“คีไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก”


“ใจดีกับคีอีกแล้ว ตามใจคีได้เพราะคีเสียคนไปแล้ว แต่ห้ามตามใจเคลลี่แบบนี้นะครับ เดี๋ยวเคลลี่จะดื้อ”


“คนเป็นพ่อลูกกัน ถ้าจะดื้อเหมือนกันก็ไม่แปลก”


“คีเปล่า...”


“เหรอ?”


“จริงๆ นะครับ” ผมไม่รู้สึกสบายใจเรื่องของเราแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว เสียดายเวลาที่ผ่านมา อยากจะเคาะหัวตัวเองสักสอง

สามที แต่ก็นะ... มันผ่านมาแล้วนี่


“วีคนี้ช่วยพี่ทำงานแล้วจะได้ไปหาคุณน้ากัน”


“ครับ จะไม่อู้แม้แต่นิดเดียว”


“เรื่องคุณน้า คีไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณน้าต้องหายแน่นอน”


“ครับ แม่ต้องหายดีอยู่แล้ว”


“ดีแล้วล่ะ คิดบวกเข้าไว้ ตอนไปหาคุณน้าก็ต้องทำให้ท่านสบายใจมากๆ นะรู้มั้ย”


“ครับ พี่เมฆพูดอย่างกับคีเป็นเด็ก”


“ก็เด็กจริงๆ”


“เด็กทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ” ผมยกตัวขึ้นไปจูบคนช่างว่า สอดลิ้นอุ่นเข้าไป เฮียเมฆเองก็เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังจะทำอะไร เลยเปิดทางเอาไว้ให้ สัมผัสที่ห่างหายกันไป ทำให้เราทั้งคู่ใช้เวลาสำรวจกันอยู่นาน จนเกือบจะไม่มีลมหายใจแล้วนั่นแหละ เราจึงผละออกจากกัน


“พี่เมฆครับ”


“ว่าไง”


“คืนนี้....ผมนอนกับพี่ที่นี่นะ”


“ถ้าบอกว่าไม่ได้แล้วจะเชื่อพี่มั้ย”


“ไม่ครับ”


“นั่นสินะ” เฮียเมฆทำหน้าเบื่อใส่ผม เขาคงคิดว่าในเมื่อก็รู้อยู่แล้วว่าห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ไม่รู้ผมจะขออนุญาตออกไปทำไม



ก็มารยาทยังไงเล่า



============================================
โค้งสุดท้ายแล้ววววว อีกไม่นานเรื่องนี้ก็ใกล้จะจบแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ตลอดนะคะ

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบหก 20-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 20-02-2017 23:00:09
ในที่สุดคีย์ก็บอกรักพี่เมฆเต็มปากซักทีนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบหก 20-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 23:51:36
คี ไม่มั่นใจเรื่องความรัก เพราะเคยถูกแอนนาหักหลัง
ถึงแม้จะรักเฮียเมฆ แต่ความกลัวฝังลึกไปแล้ว
เลยดูเหมือนคี เตะถ่วงกับเฮียเมฆ
ทั้งที่รัก แต่ก็ไม่ยอมตกลงซักที
แต่ขณะเดียวกันก็หวงเฮียเมฆ
เลยมองว่าคี เล่นตัว เห็นแก่ตัว
พอมีเรื่องแม่ป่วย คีรับรู้การจากกัน
ทำให้คิดได้ว่าการจากลา ต้องมีแน่ๆ
ไม่อยากให้มีใครจากไป
คี สิ้นฤทธิ์ หายดื้อ  ยอมรับรักเฮียเมฆ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ลุ้นมานาน ให้คี ใจอ่อน กับเฮียเมฆ 
ไม่มีใครอดทน ยอมรับตัวตนของคี ได้เท่าเฮียเมฆแล้ว
เฮียเมฆ แสนดี อบอุ่น รักคี สุดยอดดดดด  :man1: :man1: :man1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบหก 20-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-02-2017 00:57:30
ในที่สุดก็บอกรักได้ซะทีนะคี
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่สิบหก 20-02-2560 P4
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 11-03-2017 22:00:01

ยกภูเขาออกจากอก


“แม่ครับ” ผมผลักเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเพียงตามลำพัง ทุกคนเปิดโอกาสให้ผมได้อยู่กับแม่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของแม่
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมทุกคนต้องปิดผม กลัวผมคิดมาก กลัวผมกังวล ทำไมต้องคิดแทนผมด้วย ถ้าเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันนั้น... ผมก็คงได้รู้เป็นคนสุดท้ายใช่มั้ย


“เป็นไงคะลูก เดินทางมาเหนื่อยมั้ย” แม่ยังห่วงใยผมเหมือนเดิม ทั้งน้ำเสียงและแววตานั้นแสดงออกให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าแม่รักและเป็นห่วงผมมากแค่ไหน


“เจ็บมั้ยครับแม่”


“ก็มีบ้างจ้ะ แต่แม่ทนได้” ผมอยากเข้มแข็งต่อหน้าแม่ แต่ความเข้มแข็งที่แม่แสดงออกมามันทำให้ผมกลั้นน้ำตาต่อไปไว้ไม่ไหว


“อยู่กับคีนานๆ นะครับแม่ อย่าทิ้งคีนะครับ” ผมโผเข้ากอดแม่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขาว แม่ลูบศีรษะผมอย่างเบามือ เปี่ยมไปด้วยความรักและความทะนุถนอมเหมือนผมยังเป็นเด็กอยู่เสมอ


“แม่จะอยู่กับคีไปนานๆ นะคะ คีไม่ต้องกังวลหรอกนะ” แม่มอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ผม ถ้าต้องขาดรอยยิ้มนี้ไป ผมจะอยู่ยังไง ผมไม่ปรารถนาที่จะขาดใครไปในชีวิตของผมอีก


แค่คน...เคยรัก คนหนึ่งมันก็มากพอแล้ว


ผมยังอ่อนแอ ไม่เคยเข้มแข็งเลย


“แม่ไม่สบาย ทำไมถึงไม่บอกคีครับ”


“ทุกอย่างที่แม่กับพ่อตัดสินใจเพื่อคีนะลูก”


“แต่คีเป็นลูกแม่ คีควรจะอยู่ดูแลแม่ ตอนที่แม่ไม่สบาย ตอนที่แม่ต้องการกำลังใจนะครับ” ผมระบายความในใจให้แม่ฟัง ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่มันก็อดไม่ได้ ระบายออกไปทั้งน้ำเสียงและน้ำตา


“ไม่ร้องค่ะ ไม่ร้อง โอ๋ๆ เด็กดีของแม่ ไม่ร้องนะลูก” คำพูดคุ้นหูที่แม่คอยปลอบผมทุกครั้งเวลาร้องไห้


คำนี้ไม่ได้ยินมานานเท่าไหร่แล้วนะ



“คีเสียใจ คีรักแม่นะครับ”


“แม่ก็รักคีค่ะ รักที่สุดเลย” แม่พูดพลางเช็ดน้ำตาให้ผม น่าอายจริงๆ ผมควรจะปลอบและให้กำลังใจแม่ แต่กลับเป็นผมที่ร้องไห้ปี่แตกอยู่แบบนี้


“ที่แม่ไม่บอกคี เพราะแม่รู้ว่าแม่จะต้องหายกลับมาเป็นปกติแล้วอยู่กับคีอีกนานยังไงล่ะคะ”


“แม่...” ผมตั้งใจจะหอบกำลังใจมาให้แม่ แต่ทำไมแม่ถึงมีกำลังใจและแรงฮึดสู้มากขนาดนี้


“เลิกร้องนะคะ เด็กดี”


“ครับ”


“เห็นพ่อบอกว่าคีพาเคลลี แล้วก็เมฆมาด้วยใช่มั้ยคะ”


“ใช่ครับ แต่พ่อพาเคลลี่ไปหาอะไรทาน เดี๋ยวก็คงกลับมาครับ”


“เหรอจ้ะ แล้วคีล่ะไม่หิวเหรอคะ ไปทานกับน้องก่อนสิคะ”


“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ เดี๋ยวรอให้พ่อกลับมาก่อน คีค่อยไปทานครับ”


“คี..”


“ครับ”


“คีไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะคะ แม่รับปากกับคีแล้วไงคะ ว่าแม่จะไม่เป็นไร ก็ต้องไม่เป็นไรค่ะ”


“คีทราบครับ แต่แม่ไม่เคยป่วย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ป่วยทั่วไปด้วย”


“โถ ลูกรัก แม่เพิ่งเริ่มเป็นเอง แล้วโชคดีที่เจอแต่ระยะแรกเลย รักษาแปปเดียวเดี๋ยวก็หายค่ะ”


“ตอนที่หมอให้คีโม แม่ต้องเจ็บมากแน่ๆ” ผมลูบแขนที่มีสายน้ำเกลือเสียบอยู่เบาๆ


“แม่ของคีเก่งนะ คีก็รู้ใช่มั้ยคะ”


“คีรู้ว่าแม่ของคีเก่งที่สุดในโลกครับ”


“ใกล้เปิดเทอมแล้ว คีกับน้องต้องกลับไปเรียนนะคะ”


“แต่คีห่วงแม่...” ผมลำบากใจอยู่มากทีเดียว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผมยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อแม่เลยจริงๆ


“คีต้องทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีนะคะลูก ถ้าคีคอยแต่เฝ้าแม่ จนไม่ได้กลับไปเรียน แม่เองก็ต้องเป็นห่วงคี และก็ไม่สบายใจอีกด้วย ก็จะไม่เป็นผลดีกับเราทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคีกลับไปเรียน แม่ก็สบายใจ แล้ววันหยุดคีค่อยบินมาให้แม่ แบบนี้วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ดีกว่ามั้ยคะ”


“แม่พูดเสียจนคีหาเหตุผลไม่ทันเลย”


“เชื่อแม่นะคะ กลับไปเรียน ดูแลเคลลี่ให้ดี ทำให้แม่หายห่วงนะคะ”


“ก็ได้ครับ คีจะมาหาแม่บ่อยๆ นะครับ”


“ค่ะ แม่รักคีนะคะ”


“คีก็รักแม่ครับ” ผมโผเข้ากอดแม่อีกครั้ง ไม่เคยรู้สึกรักแม่จนแทบใจจะขาดเท่าเวลานี้มาก่อนเลย


“เฮ้ยๆ ให้มันน้อยๆ หน่อย นี่เมียพ่อนะเว้ย จะมากอดตามอำเภอใจไม่ได้” พ่อเข้ามาในห้องก็ขัดจังหวะช่วงเวลาแห่งความสุขของผมกับแม่ทันที แถมยังเข้ามาแยกความรักของผมออกจากแม่อีก


“พ่อ นี่มันตัวขวางความสุขชัดๆ”


“บ๊ะ ไอ้นี่”


“สวัสดีครับคุณน้า” เฮียเมฆ เข้ามายืนข้างๆ เตียงของแม่ผมเหมือนกัน พอสบโอกาสเหมาะก็ค่อยพูดขึ้นมา


“สวัสดีค่ะ เมฆเดินทางมาเหนื่อยมั้ยคะ”


“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ขึ้นเครื่องก็หลับมาเกือบตลอดทาง”


“ขอบใจมากนะคะ ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมและคอยเป็นธุระให้น้าตลอดเลย”


“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ผมยินดี”


“Mom……” เสียงเคลลี่แสดงตัวตนบ้างครับ แต่เพราะพ่อของผมยังอุ้มเอาไว้แน่น เคลลี่เลยดิ้นลงจากอ้อมกอดไม่ได้ พ่อของผมก็ใช่ย่อยเพราะรู้ล่วงหน้าว่าเคลลี่อาจจะเข้าไปหาแม่ทันทีจนทำให้เจ็บได้ ก็เลยยึดไว้เสียแน่นเลย


แม่คือที่หนึ่งสำหรับพ่อเสมอและตลอดมา


“ไม่ได้ครับ เคลลี่ ตอนนี้แม่ไม่สบาย”


“What?” เด็กน้อยทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเข้าไปหาแม่ไม่ได้


“แม่เจ็บแขนค่ะ ดูสิคะเคลลี่ เป่าให้แม่หน่อยสิคะ” พ่อค่อยๆ โน้มเจ้าตัวยุ่งลงไป เคลลี่รู้งาน คงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เคลลี่ค่อยๆ เป่าตรงข้อมือของแม่ที่เสียบสาบน้ำเกลืออยู่


“เพี้ยง!” เคลลี่พูดเสร็จก็ยิ้มแป้นใส่แม่เต็มที่ ผมเห็นท่าทีที่เจ้าตัวดื้อทำแล้วมันน่าฟัดจริงๆ


“คีไปทานข้าวสิคะ เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา”


“จริงด้วย ไอ้ตี๋ยังไม่ได้กินอยู่คนเดียว งั้นน้าวานเมฆพาไอ้ตี๋ไปหน่อยนะ ส่วนเคลลี่อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องพาไป”


“ครับ คุณน้า”


“เดี๋ยวคีมานะครับแม่”


“ค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”



อาหารมื้อนั้นไม่มีอะไรมาก ผมไม่ได้พูดคุยกับเฮียเมฆมากนักเพราะมัวแต่กังวลเรื่องของแม่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้คนที่นั่งมองดูผมทานข้าวอยู่เงียบๆ นั้นจะส่งสายตาอ่อนโยนมาให้ผมก็ตาม ผมทานไม่นานก็รีบกลับเข้าไปหาแม่ แต่ไม่ได้อยู่พูดคุยกับแม่มากมายนักเพราะถึงช่วงเวลาพักผ่อนของแม่พอดี



พ่อรีบไล่ผมกลับไปที่บ้าน จริงๆ ก็เพื่ออยากให้ผมพักผ่อน ไม่อยากให้เหนื่อย ผมรู้ว่าพ่อเองก็เป็นห่วงจิตใจผมไม่น้อย เขาเองก็รักผมไม่น้อยกว่าที่เขารักแม่หรอก เรื่องนี้ผมรู้ดี ในคราวแรกผมต่อรองว่าเดี๋ยวจะเอากระเป๋าไปเก็บที่บ้าน เสร็จแล้วจะมานอนเฝ้าแม่ แต่พ่อก็พูดให้ผมได้คิด



“ถ้ามึงมาแล้วใครจะดูแลเคลลี่ ไหนจะเมฆอีก” พ่อบอกผมเสียงเบา ในตอนที่เราทั้งหมดยืนอยู่ด้านนอกหน้าประตูห้องพักของแม่


“แต่...”


“ทำตามที่คุณน้าบอกเถอะคี พี่รู้ว่าคีเป็นห่วงคุณน้าผู้หญิง แต่เคลลี่ก็สำคัญเหมือนกัน”


“เมฆพูดถูก ... ตกลงตามนี้นะไอ้ตี๋ อย่าดื้อ อย่าซ่าให้มากเรื่อง”


“ก็ได้ครับ” ผมรับคำเสียงอ่อย เลยเดินคอตกกลับบ้านด้วยความผิดหวัง


“เออแล้วก็นอนที่ห้องกูข้างล่างนั่นแหละ” พ่อบอกผมก่อนที่ผมจะเดินห่างไปไกล


“ทำไมล่ะ?”


“ห้องมึงยังไม่ได้ทำความสะอาดเลย จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเก็บกวาด เข้าใจ?”


“ครับ คุณพ่อ” ผมประชดคนเจ้ากี้เจ้าการ แล้วก็อุ้มเคลลี่ที่ดูกำลังง่วงงุนจนได้ที่แล้วกลับบ้าน



ผมทำตามที่พ่อบอกเลือกห้องนอนของพ่อและแม่เป็นที่นอนสำหรับพวกเราสามคนในคืนนี้และคืนต่อๆ ไป ดูจากท่าทีของพ่อแล้ว ผมคงไม่มีโอกาสได้เฝ้าแม่แน่ๆ พ่อห่วงแม่มาก ถึงผมจะเป็นลูกแท้ๆ ของพวกเขาแล้ว ยังไงพ่อก็ไม่มีทางยอมให้ผมเฝ้าแม่แล้วพ่อกลับมานอนที่บ้านหรอก



ในคืนนั้นพวกเราเข้านอนกันเร็ว เคลลี่หลับไปแล้วข้างๆ กายผม ผมนอนตะแคงข้างกอดเคลลี่ไว้เบาๆ มีเฮียเมฆที่นอนซ้อนหลังผมแล้วกอดผมไว้เช่นกัน ผมไม่ได้พูดคุยอะไรกับเฮียเมฆมากเหมือนเดิม นอกจากคำพูดขอบคุณที่ออกมาจากใจ เขาเป็นกำลังใจสำคัญของผม ในยามที่ผมทุกข์หรือเศร้า



เฮียเมฆทำให้ผมยิ้ม หัวเราะได้ หรือทำให้ผมเศร้า เสียใจก็ได้ เขาเป็นคนเดียวที่มีอิทธิพลกับจิตใจของผม



“นอนพักซะนะ ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณน้า ทุกอย่างจะผ่านไปได้ดี”


“ขอบคุณครับ พี่เมฆ” เฮียเมฆตอบรับคำพูดของผมด้วยการกระชับแรงกอดจากแขนของเฮียให้แรงขึ้น นั่นทำให้ผมอุ่นใจขึ้นกว่าเดิม จิตใจของผมเริ่มผ่อนคลาย แล้วเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมได้หลับไป


“เสร็จแล้วใช่มั้ย? ไปกันเลยนะ” เฮียเมฆทักขึ้นในยามเช้า


ผมพยักหน้ารับคำ เรากำลังจะเตรียมตัวไปโรงพยาบาลกันครับ ผมป้อนข้าวเคลลี่รวมไปถึงสัมภาระต่างๆ ของเด็กน้อยนี่ครบเรียบร้อย มองซ้ายมองขวา คิดว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็อุ้มเด็กน้อยใส่เป้อุ้มแล้วเดินนำไปเปิดประตู ปล่อยให้เฮียเมฆสะพายกระเป๋าเป้ของใช้ของเคลลี่ตามมา


“ไง” มีแขกไม่ได้รับเชิญยืนอยู่หน้าประตู ผมตกใจที่เห็นเธอ จนเผลอถอยหลังมาหนึ่งก้าว ทำให้หลังชนกับเฮียเมฆที่ยืนรออยู่


“เอ่อ.. แอนนา”


“สวัสดี...” เธอทักผมแล้วมองเลยไปยังเฮียเมฆพร้อมมอบรอยยิ้มขอลุแก่โทษที่เธอมาเหมือนขัดจังหวะ


“สวัสดี มาได้ไง”


“คือ...ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านน่ะ คิดถึงเธอก็เลยแวะมา”


“มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า พอดีฉันมีธุระ กำลังรีบน่ะ”


“ก็ไม่เชิง...” เธอทำสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น


“ตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่มาก คุณน้าคงกำลังทานมื้อเช้า ยังไงคีคุยเพื่อนก่อนแล้วกัน พี่จะอุ้มเคลลี่ไปเดินเล่นแถวๆ นั้น โอเคมั้ย” เฮียเมฆชี้มือไปที่แม่น้ำใกล้ๆ ผมเลยพยักหน้าเบาๆ แล้วปลดสายเป้ จัดแจงใส่ให้อีกฝ่าย ไม่นานเฮียเมฆก็อุ้มเด็กน้อยแก้มแดงเดินออกไป”


“เราจะคุยกันตรงนี้เหรอ” แอนนาเอ่ยถามตอนที่ผมกำลังมองเฮียเมฆที่กำลังเดินออกไปเรื่อยๆ ทำให้ผมได้สติ


“เข้ามาก่อนสิ” ผมถอยออกมาจากประตูอีกเพื่อให้เธอเดินเข้ามาได้


“อืม”


“นั่งตรงนี้ก่อน เอาน้ำอะไรมั้ย”


“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย”


“ก็ดี เธอก็คงเหมือนกันใช่มั้ย”


“ใช่ แล้วเด็กตะกี้คือลูกของเราใช่มั้ย”


“ใช่ เคลลี่”


“น่ารักมากจริงๆ”


“อย่างที่บอกแต่แรกว่าฉันมีธุระ เธออยากคุยอะไรกับฉันก็พูดมาตรงๆ เลยเถอะ แอนนา”


 “ฉันมาขอโทษเธอ”


“ขอโทษ? ขอโทษฉันทำไม”


“เรื่องที่ฉันหนีไปจากเธอ มันคงทำให้เธอโกรธฉันมาก”


“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วก็ไม่ได้โกรธเธอ ตอนนั้น ฉันยอมรับว่าเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ทั้งที่เรารักกัน”


“แต่ฉันเขียนโน้ตบอกเธอไว้แล้ว”


“ใช่ ฉันรู้ ฉันอ่านมันแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”


“ฉันขอโทษ ในตอนนั้นฉันยังเด็กเกินไป จนคิดอะไรไม่ดี ไม่รอบคอบ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ฉันอยากกลับมาหาเธอ ถ้าเธอยังไม่มีใครฉันอยากจะขอโอกาสจากเธออีกครั้งได้มั้ย” แอนนาขอร้องผมด้วยน้ำตา เธอกำลังร้องไห้ออกมา ผมรู้ว่าเธอไม่ได้แกล้งทำให้ผมใจอ่อน ผมคิดว่าผมรู้จักเธอดีนะ


“....”


“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่น่าได้รับการยกโทษจากเธอ แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวจริงๆ แล้ว ขอร้องล่ะคีย์ ให้โอกาสฉันอีกครั้งได้มั้ย” เธอเอื้อมมือมาดึงผมขึ้นไปแนบที่แก้มของเธอ เมื่อก่อนนี้ผมชอบมากถ้าเธอจะทำแบบนี้กับผม


แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว


“ฉันขอโทษนะแอนนา ฉันคงตอบรับความรู้สึกที่เธอให้ฉันไม่ได้”


“ทำไมล่ะ หรือเพราะเธอยังโกรธฉันอยู่ ไม่เอาน่า ฉันเสียใจจริงๆ เรื่องนั้น”


“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้โกรธเธอแล้ว แต่เพราะฉันไม่ได้รักเธอแล้วต่างหาก”


“ไม่เป็นไร คีย์ ฉันรู้สิ่งที่ฉันทำมันหนักหนามาก แต่ให้โอกาสฉันได้มั้ย ฉันจะพยายามทำให้เธอรักฉันเหมือนเดิม เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน สามคน พ่อ แม่ ลูก ยังไงล่ะ เคลลี่จะได้มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา”


“ขอบใจนะที่เธอยังคิดถึงเคลลี่อยู่ แต่เคลลี่มีครอบครัวพร้อมแล้ว ถ้าเธอคิดถึงอยากจะแวะเวียนมาหาเคลลี่เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจเธอเลย แต่เรื่องที่จะกลับไปอยู่ด้วยกันคงเป็นไปไม่ได้” ผมดึงมือออกจากใบหน้าของเธอแผ่วเบา และมองออกไปที่ทางช่องของประตู


“ทำไมล่ะ เธอมีคนรักใหม่แล้วงั้นหรือ”


“ใช่...” ผมเว้นจังหวะนิดนึงก่อนจะพูดต่อ


“เมื่อสักครู่นี้เธอคงเห็นผู้ชายที่อุ้มเคลลี่ออกไปใช่มั้ย”


“เธออย่าบอกนะว่า” แอนนาดูมีสีหน้าตกใจอย่างคาดไม่ถึง เมื่อพอจะเข้าใจอะไรได้ลางๆ


“ถูกต้อง อย่างที่เธอคิด ตอนนี้ฉันกำลังคบกับเขาอยู่”


“คีย์ ไม่ใช่ เธอล้อเล่นฉันใช่มั้ย ถ้าเธอยังโกรธฉันอยู่ก็บอกมาตรงๆ เลย ฉันไม่ว่าอะไรเธอเลยเพราะฉันเป็นคนผิดเอง แต่เธอไม่จำเป็นต้องประชดหรือโกหกฉันด้วยวิธีนี้”


“ฉันไม่ได้ประชดหรือโกหกเธอ แอนนา ที่ฉันพูดไปทั้งหมดมันคือความจริง”


“เป็นไปไม่ได้”


“เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ใช่คีย์ของเธออีกต่อไปแล้ว”


“ตะ..แต่.. ไม่จริงใช่มั้ย”


“ยอมรับเสียเถอะ” ผมบอกเธอพร้อมตบไหล่เธอเบาๆ แอนนายกมือปิดหน้ากลั้นเสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน


“เรื่องของเรา ยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้วใช่มั้ย”


“เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”


“...”


“แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะยังเป็นเหมือนเดิมก็คือความเป็นพ่อและแม่ให้กับเคลลี่ ในวันหนึ่งถ้าเขาโตขึ้นแล้วเขาอยากไปหาเธอ ฉันก็ยินดี และเธอเองถ้าอยากมาหาเคลลี่ ฉันก็ยินดีเช่นกัน”


“ฉันขอโทษนะ คีย์”


“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปเสียเวลากับมันเลย” ผมบอกแอนนาไปก็จริงแต่รู้ดีว่าคำพูดนั้นมันบอกเตือนตัวเองเสียมากกว่า ผมเสียเวลาไปตั้งหลายปีกับเรื่องราวในอดีต จมปลักอยู่กับมันจนเกือบจะเสียทุกอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตไป


“อืม งั้นฉันไปก่อนนะ” แอนนายกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะยิ้มให้ผม


“โชคดีนะ” ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้เธอ แต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านผมไป เธอก็พูดขึ้นมาว่า


“ฉันยังรักเธอนะคีย์ ขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”


“ฉันก็รักเธอ... แอนนา” และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของผมที่บอกแอนนา


ถูกต้องผมยังรักเธออยู่ เธอเป็นรักแรกของผม เธอเป็นคนที่ผมจริงจัง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รักและคลั่งเธอเท่ากับเมื่อก่อนอีกแล้ว ผมรักเธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น



แอนนากลับไปแล้ว ผมยืนสงบจิตใจ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งเพื่อตั้งสติ เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน ไม่คิดว่าจะได้เจอแอนนาอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ แล้วยังต้องมาคุยเรื่องเก่าที่ผ่านมาหลายปีอีก มันทำให้ผมใจเต้นแรงอยู่ไม่น้อย


ผมจัดแจงปิดประตูล็อคบ้านให้เรียบร้อย ใจคอยแต่พลันนึกถึงอีกคน ป่านนี้คนที่พาเด็กออกไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกจะคิดยังไงบ้าง เขาจะกังวลใจมั้ย ผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ผมรีบสาวเท้าก้าวยาวเดินตามออกไป เดินไปสักพักไม่นาน ก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้อยู่ข้างริมแม่น้ำ เขาก้มลงไปกระซิบพูดอะไรบางอย่างกับเคลลี่ ผมไม่สามารถอ่านปากของเขาออกได้ แต่เด็กน้อยก็ยิ้มร่าเป็นอย่างดี พร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มสากนั้นอย่างรวดเร็ว


“ทั้ง 2 คนคุยอะไรกันอยู่ครับ” ผมถามขึ้นเมื่อไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัว


“เสร็จแล้วเหรอ”


“ครับ”


“เป็นไงบ้าง”


“ก็ดีครับ”


“อืม งั้นก็ดี” เฮียเมฆพูดจบก็เงียบไปทันที ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย นี่ใช่อาการคนที่กำลังน้อยใจอยู่หรือเปล่า


“น้อยใจผมเหรอ”


“เปล่า”


“แล้วทำไมถึงเงียบไปล่ะครับ”


“พี่ไม่รู้จะพูดอะไรนี่นา ในเมื่อคีบอกว่าคุยกับแอนนาเรียบร้อยดี พี่ก็รับฟังตามนั้น”


“คล้ายๆ อาการน้อยใจนะเนี่ย อย่าน้อยใจคีเลยครับ ที่คุยกับแอนนาไปไม่มีอะไรหรอกครับ”


“จริง?”


“จริงสิครับ เธอมาขอโทษคีเกี่ยวกับเรื่องในตอนนั้น คีเองก็ตกลงกับเธอได้ด้วยดี ไม่มีการคืนดีอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าคีมีแฟนอยู่แล้วทั้งคนนี่ครับ”


“แฟน? ใคร?”


“อ้าว นี่คีเข้าใจผิดไปคนเดียวหรือครับว่ามีแฟนแก่ๆ อยู่คนหนึ่ง วันๆ ทำแต่งาน ภายนอกดูเหมือนอารมณ์มั่นคง แต่จริงๆ ขี้งอน ขี้น้อยใจ ต้องคอยเอาดอกไม้ไปให้อยู่เรื่อย ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่คิดเข้าข้างไปเองคนเดียว” ผมพูดพลางก้มลงไปปลดเป้อุ้มบนตัวเฮียเมฆออก แล้วก็มาใส่ให้กับตัวเองก่อนจะยกเคลลี่ขึ้นใส่เป้อุ้มเหมือนเดิม ไม่วายแกล้งเคลลี่โดยการไล่งับนิ้วเด็กน้อยไปด้วย ทำให้เคลลี่ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้


“....”


“ป่ะ เคลลี่ เราไปหาแม่กันเถอะ ปล่อยให้คนขี้น้อยใจนั่งงอนไปคนเดียวก็แล้วกัน” ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ปล่อยให้เฮียเมฆนั่งอยู่ที่เดิมเพราะยังงงกับคำพูดของผมอยู่


ผมเดินออกมาอีกสองสามก้าว ยังไม่เห็นเฮียเมฆตามมา เลยตะโกนบอกกลับไปว่า “ถ้ายังไม่ตามแฟนเด็กคนนี้มาล่ะก็ คีหาแฟนใหม่ไม่รู้ด้วยนะครับ”


ผมหันกลับไปเดินต่อโดยไม่สนใจเฮียเมฆอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าตามมา


“แฟนประสาอะไร มีอย่างที่ไหนทิ้งแฟนให้นั่งอยู่คนเดียวแบบนั้น เลิกซะเลยดีมั้ย” เฮียเมฆเดินมาถึงก็กอดคอผมไว้


“อ๊ะๆ อย่าท้านะครับ น่ากลัวว่าคนที่จะร้องไห้ขี้มูกโป่งจะเป็นคนที่บอกเลิก”


“แน่ใจนะ?” ผมปล่อยให้เฮียเมฆทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เพราะเคลลี่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ผมกับเฮียเมฆต้องหัวเราะตามไปด้วย


“โอ๊ะ โอ หน้าตาสดใสเชียวนะไอ้ตี๋ เมื่อคืนทำอะไรกันป่ะ” พ่อผมทักเสียงดังตอนที่ผมผลักประตูเข้ามา


“จะทำอะไร ไม่มีอะ ง่วงนอนจะตายชัก” ผมรีบใช้เสียงข่ม ถึงจะไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พ่อกล่าวหา แต่เรื่องแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาแซวกันเล่นๆ ได้นะครับ ผมก็ต้องเขินต้องอายเป็นบ้าง


“คุยอะไรกันคะ พูดจาไม่เพราะกันเลย ทั้งสองคน” ชะอุ้ย แม่จะเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ผมไม่อยากให้แม่เป็นกังวลเรื่องของผมกับเฮียเมฆ ในเวลานี้


“ไม่มีอะไรหรอกแม่ พ่อก็แค่แซวลูกไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นเอง”


“อ่อค่ะ” แม่เชื่อพ่อเสมอเหมือนเดิม


“นอนหลับสบายมั้ยคะ” แม่หันมาถามเฮียเมฆกับผม


“สบายดีครับคุณน้า”


“สบายดีครับแม่ คืนนี้คีมานอนเฝ้าแม่ได้มั้ยอะครับ” ผมก้าวเข้าไปนั่งข้างเตียง ปล่อยให้เคลลี่ได้ลงเดิน แล้วก็ทำเสียงออดอ้อนแม่


“อย่าเลยค่ะ คีนอนที่บ้านกับเคลลี่ดีอยู่แล้ว อย่าลืมว่าคีต้องดูแลเคลลี่แล้วก็เมฆด้วยนะคะ”


“ก็คีอยากนอนเฝ้าแม่บ้างนี่ครับ”


“แม่รู้ว่าคีอยากดูแลแม่ แต่พ่อเองก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี คีไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”


ผมได้ยินคำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง มากมายนับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ที่ผมรู้เรื่องที่แม่ไม่สบาย ทุกคนกลัวผมกระทบกระเทือนจิตใจราวกับเป็นผู้ป่วยเสียเองใช่มั้ยล่ะเนี่ย


“ไม่ต้องห่วงคี ขนาดนั้นหรอกครับแม่ ทุกคนทำอย่างกับคีป่วยเลยนะเนี่ย”


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ แม่ว่าคีรู้อยู่แล้วว่าทำไมทุกคนถึงปฏิบัติกับคีแบบนั้น ใช่มั้ยคะ”


“...”


ผมไม่ได้ตอบแม่ แต่ลึกๆ ก็ต้องยอมรับว่ารู้ล่ะครับ


ทุกคนรักผม


ร้องไห้ดีมั้ยเนี่ย...


ตลอดทั้งวันผมอยู่เฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล จะออกมาจากห้องก็ตอนที่แม่หลับ ใจหนึ่งก็เกรงใจเฮียเมฆต้องมาติดแหง่กอยู่ที่โรงพยาบาลกับผม พอออกปากให้เฮียเมฆไปเดินเล่นหรือไปข้างนอก เฮียแกก็ปฏิเสธไม่ไปซะงั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า


“ไม่เป็นไร พี่อยากอยู่กับแฟน” พูดน้อยต่อยหนักเหมือนเดิม หน้าผมนี่ร้อนกันไปเลย เลิกถามเฮียเมฆอีก


.
.
.
.
.
.
.
.

หลังจากที่ผมรู้อาการป่วยของแม่ ชีวิตของผมก็วนเวียนอยู่ระหว่างสองประเทศนี้ ผมบินมาพร้อมเคลลี่ เพื่อมาหาแม่ บ่อยเท่าที่ผมจะทำได้ เฮียเมฆเองไม่ได้มากับผมทุกครั้ง อย่างที่ทราบดีว่าเฮียเมฆงานเยอะครับ ผมเองก็เกรงใจเฮียเมฆเหมือนกัน ใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินก็นาน พอมาถึงก็ต้องมาขลุกอยู่แต่ที่โรงพยาบาล ถึงเฮียจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดีนั่นแหละครับ



ทุกครั้งที่แม่เข้ารับการรักษา ผมรู้สึกเป็นกังวลทุกครั้ง จนกระทั่งแม่รักษาจนครบตามจำนวนที่คุณหมอกำหนด ผลทุกอย่างออกมาเป็นที่น่าพอใจ แม่ของผมเริ่มเลี้ยงผมยาวใหม่อีกครั้ง พ่อของผมคอยสรรหาวิกผมทรงใหม่ๆ มาให้แม่ได้ใส่อยู่เสมอ พ่อบอกผมว่า



“เหมือนได้เมียใหม่”



ผมได้ฟังก็ได้แต่ระอากับคำพูดของพ่อ อยากจะหวานอะไร ก็เอาเถอะครับ หมั่นไส้สุดๆ



ผมเองก็ทำตามหน้าที่ของตัวเองจนสำเร็จแล้วเหมือนกัน พ่อกับแม่เตรียมบินมาที่ไทยเพื่อมางานรับปริญญาของผม แต่ผมได้ห้ามเอาไว้ บอกพวกท่านว่า เดี๋ยวจะเอาชุดไปถ่ายกับพวกเขาที่นั่น ไม่ต้องบินมา ผมไม่อยากให้แม่เหนื่อย ไม่อยากให้แม่ต้องเดินทาง ผมยังเป็นห่วงแม่...



“เฮ้ย ไอ้คี มึงมานี่ๆ มาถ่ายรูปกับกูหน่อย”


“เออๆ เอาดิ”


“พร้อมนะครับ 1 2 ยิ้ม” ช่างภาพที่ไอ้ธรจ้างมาร้องบอกให้สัญญาณ พวกเราฉีกยิ้มให้กับความสำเร็จในขั้นแรกของชีวิต


“ยินดีด้วยนะมึง” ผมบอกไอ้ธรมัน รู้สึกตื้นตันจริงๆ ฟันฝ่ามาด้วยกัน ลอกงาน ทำงาน กินเที่ยวด้วยกัน จากนี้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเมื่อคนเราเติบโตขึ้นก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น


พวกเรากำลังเปลี่ยนจากชีวิตนักศึกษา เข้าสู่วัยทำงาน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกก้าวหนึ่งของชีวิต


“มึงก็เหมือนกัน ยินดีด้วยนะเว้ย” เรา 2 คนกอดคอกัน ถ่ายรูปด้วยกันอีก 2-3 รูป แล้วค่อยแยกจากกัน


ผมแวะเวียนไปถ่ายกับเพื่อนคนอื่นจนครบทั้งสาขา กระทั่งได้ยินเสียงแหลมเสียงหนึ่งดังขึ้น เด็กฝรั่งที่เริ่มพูดไทยชัดขึ้นแล้ว


“Key!!” ผมหันไปตามเสียงเรียกพร้อมกับรอยยิ้ม


“ยินดีด้วยนะ คนเก่ง” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยอวยพรให้ผม เขายื่นช่อดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ ผมรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ


“ขอบคุณครับ”






จบ



Talk

จบแล้ววววววววววว ขอบคุณทุกคนที่อยู่กันมาถึงตรงนี้นะคะ เรื่องนี้ จริงๆ ตั้งใจว่าจะจบให้เร็วกว่านี้
แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เลยช้าแบบนี้ ขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ

มีอะไรอยากติ ชม ตรงไหนก็บอกมาได้เลยค่ะ ^^

ใครที่เล่นทวิต อยากถามอะไรเรา ก็ตามไปที่นี่ได้เลยค่ะ https://twitter.com/khemmakan (https://twitter.com/khemmakan)
คุยได้ตลอดเลย

ส่วนเรื่องชื่อของคี จริงๆ คี เนี่ยก็ชื่อคี นะคะ แต่ต่างประเทศจะเรียกเป็น คีย์ ที่เป็น key แทนค่ะ
อาจจะทำให้มีใคร งง ชื่อนี้บ้าง เลยขออธิบายไว้แบบนี้นะคะ

ขอบคุณผู้อ่านและคำติชม ทุกอย่างเลยค่ะ

แล้วเจอกันใหม่นะคะ

ตัวอย่างเรื่องใหม่ค่ะ ^^  ถ้าสนใจอยากอ่านก็บอกกันเข้ามาได้เลยน้าา จะได้มีแรงแต่งเยอะๆ แล้วมาลงค่ะ
แอบกระซิบว่าแต่งไปได้ยี่สิบตอนแล้วว

“คุณเล่นอะไรเนี่ย เห็นไหมตัวผมเปียกหมดเลย” จาณีนโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำได้ก็ไอโขลกสองสามครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานอีกฝ่ายที่นั่งพิงขอบอ่างอย่างสบายใจ

   “ไม่ได้เล่น ฉันแค่ชวนเธออาบน้ำด้วยกัน”

   “คุณก็รู้ว่าผมอาบน้ำแล้วนี่ครับ”

   “รู้ แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจ”

   “คุณนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ สักวันเถอะผมจะไม่อยู่กับคุณ”

   “ฉันบอกแล้วไงว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะไปจากฉันได้ทุกเมื่อ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูนิ่งเฉยทำเอาจาณีนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาไม่น่าพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้นเลย

   “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากประชดคุณเฉยๆ”

   “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ”

   “ผมรู้ว่าคุณไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ?”

   “รู้ดีนะเรา” ศมนดีดหน้าผากจาณีนไม่แรงนัก อีกฝ่ายรู้จักเขามากพอระดับที่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-03-2017 22:37:50
พี่เมฆ คี  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แอนนา กลับมาหาคี
ขอโอกาสคี คืนดี เป็นครอบครัวอีกครั้ง
จะเป็นพ่อ แม่ ลูก ที่สมบูรณ์
ถ้าคี ไม่มีพี่เมฆ และไม่รักใคร มันคงดีที่คืนดีกัน
แต่คี รักพี่เมฆ ปฏิเสธไป ก็ถูกต้องแล้ว
พี่เมฆ ดูอบอุ่นรักคีมาก มีด้านที่ใจน้อย ชอบดอกไม้
ต่างฝ่ายต่างรักกัน ดีมากๆเลย
ขอบคุณไรท์ ทำให้คนอ่านมีความสุข
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 12-03-2017 00:33:29
เหมือนทั้งคีทั้งพี่เมฆเริ่มชีวิตครอบครัวด้วนกันโดยมีเคลลี่เป็นลูกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-03-2017 10:04:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 12-03-2017 10:54:18
ขอบคุณคนเขียนค่ะ นิยายสนุกมาก ๆ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 12-03-2017 12:20:02
มาอ่านทีอีกจบซะแล้ว แต่ก็อึ้ง ๆ ไปนิดหน่อยกับการใช้ชีวิตที่เคยพลาดของคีย์
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 12-03-2017 14:03:26
 o13
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 13-03-2017 12:55:00

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 13-03-2017 20:29:18
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 15-03-2017 16:57:57
อ่านจบก็เหมือน.....ยกภูเขาออกจากอก....จริงแท้...
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 17-03-2017 16:42:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-03-2017 11:43:48
โอ๊ยยยย คีนะคี ยังดีที่ไม่ร้าย
คีใช้ชีวิตคุ้มมากค่ะ แถมได้ใจพี่ในบ้านไปเต็มๆ
เมฆละมุนมาก ทำเข้ม แต่ในใจอ่อนยวบ

พ่อแม่คี น่ารักมาก แม่ดูแลคีดีมาก มีเหตุผล เอาอยู่ พ่อคี ป่วนอารมณ์ได้ดี บ้านสดใส
พ่อแม่เมฆเป็นคนดีมากเลยค่ะ ต้องไว้ใจพ่อคีมาก ถึงปล่อยหุ้นให้ แถมรับเลี้ยงลูกให้ด้วย

เด็กตัวอ้วน มาอยู่กับคุณพ่อคีแล้วนะ อารมณ์ดีเลย เลี้ยงไม่ยากด้วย น่าฟัดค่ะ

เรื่องราวอบอุ่นมากค่ะ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องรักของเมฆคี รวมพ่อแม่ เพื่อน แล้วก็ครอบครัวด้วยค่ะ
ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-03-2017 03:34:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 22-03-2017 12:32:06
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sweettemp ที่ 13-04-2017 23:04:49
ขอบคุณนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 15-04-2017 08:35:59
พี่เมฆคือที่สุดแห่งความอดทนเลยทีเดียว55
แต่ในที่สุด ชีวิตของคีก็เข้าที่เข้าทางซะที :mc4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 15-04-2017 14:32:13
จบแล้ว
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 13-01-2018 15:09:55
ชอบที่เรื่องนี้มีมุมมองของครอบครัวและความสัมพันธ์รอบ ๆ ตัว รวมถึงคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเฉย ๆ ด้วย น่ารักดีค่ะ
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมากกับความไม่สื่อสารกัน เหมือนพยายามขุดกลบปัญหาแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร เลยไม่ชอบคี แล้วก็ทีมพี่เมฆตั้งแต่ต้นยันจบ 5555
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 15-01-2018 18:26:22
หลงรักเคลลี่เลย
 ชอบทั้ง2ครอบครัวมากๆเลย
เหมือนคุณแม่ของคีจะเป็นคนวางแผนทุกอย่างเลย
อยากอ่านพาร์ทบรรดาแม่ๆบ้างจังเลย
จะมีตอนพิเศษมาให้อ่านบ้างไหมคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 15-09-2018 11:28:13
 o13
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-09-2018 00:35:09
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 16-09-2018 15:43:01
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 03-07-2019 22:06:59
สนุกน้า น่ารักดี 555 ถึงนังคีจะเวิ่นเว้อไปหน่อยย

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 09-01-2020 11:53:34
สนุกกกกก มีหน่วงๆบ้างแต่เจ็บเหมือนมดกัด555 เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า คีย์น่ารัก เฮียเมฆก็ดจีย์! 55555 ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆแบบนี้นะครับผม  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 12-01-2020 22:05:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ภูเขาลูกที่หนึ่ง 27-07-2559
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 15-12-2020 07:57:46
  ไม่รู้ว่าผมร้องไห้อยู่ในห้องน้ำไปนานเท่าไหร่ 
ร้องทำไม ตัวเองก็เพิ่งไปมั่วกับผู้มาหยกๆ ถ้าเมฆจะมีใครบ้างแล้วจะไปหนักหัวนังคืมากนักเหรอ นังนี่เห็นแก่ตัวเรือหายเลย
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 01-02-2021 18:16:22
มีครบทุกรสชาติ สนุกมากๆ o13
หัวข้อ: Re: เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ ☁☁ ⇋ ♣♣ ยกภูเขาออกจากอก (จบแล้ว) 11-03-2560 P4 ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 11-01-2022 18:18:38
ชอบมากครับ  ชอบมากๆ