14
ผับผ่าสิ!
ผมยืนจ้องมองร่างกายที่เปลือยเปล่าของตัวเองอยู่ราวห้านาทีหน้ากระจกด้วยความตื่นตะลึง รอยจ้ำแดงตามตัวปรากฏชัดชนิดที่ไม่ต้องซูมทำผมอยากจะบ้า อย่างนี้ผมไม่ต้องพันตัวเองเป็นมัมมี่รึไง อยากจะโทษคนทำแต่จะเอาอะไรกลับมาได้ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว และผมก็กึ่งยินยอมเสียด้วย แล้วไหนจะความรู้สึกเจ็บแปลบตรงช่วงสะโพกที่ทำผมซวนเซกว่าจะหยัดยืนขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั่น ผมต้องสะพรึงกับความชื่นแฉะและของเหลวข้นที่อุ่นร้อนไหลอาบลงบนโคนขาที่มีร่องรอยคิสมาร์กเด่นหราซึ่งมันน่าฆ่าคนทำนัก น่าอายเป็นบ้า
แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า พอผมตื่นมาคนข้างตัวก็อันตรธานหายไปทิ้งไว้เพียงโน้ตข้อความสั้นๆ ว่าเขาไปทำงานแล้ว นั่นยิ่งทำให้ผมแค้นใจเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายดูมีแรงเหลือเฟื่อในขณะที่ผมหมดสิ้นสภาพไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตอนไหนหรือใครลุกหายไป มารู้ตัวอีกทีก็เกือบเที่ยงของอีกวัน โชคดีที่วันนี้ผมไม่ต้องไปมอเพราะปิดคอร์สจบสิ้นไปแล้ว
ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำหลังชำระล้างร่างกายเสร็จ อาศัยเสื้อคลุมอาบน้ำของฟรานซิสที่ตัวใหญ่โคร่งคลุมกาย เดินออกมาด้วยอาการโคลงเคลงราวกับสูบเสียสมดุล ทันทีที่สายตาเหลือบไปมองเตียงกว้าง ใบหน้าผมก็เกิดอาการร้อนฉ่าขึ้นมาบัดดล จนอยากจะรีบออกไปจากห้องนี้ให้ไว
ถามว่าผมรู้สึกอายไหมก็ตอบเลยว่ามาก! ผู้ชายสองคนที่จบลงด้วยเรื่องบนเตียงผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วล่ะ
ไม่ทันที่ผมจะปลดเสื้อคลุมอาบน้ำออกเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเดิม เสียงประตูก็เปิดขึ้นเสื้อคลุมที่เพิ่งผลัดออกได้ครึ่งตัวก็ทำให้ผมต้องหันไปมองตามเสียง และเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาก็รีบกระชับเสื้อคลุมกุมสาบเสื้อแน่นไม่วางมือ
“คุณกลับมาทำไม”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ที่นี่บ้านของฉันนะ”คนตรงหน้ากวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วยกยิ้มตรงมุมปากราวกับขบขันกับคำถามของผม
“ผะผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ปกติคุณจะไม่กลับจนกว่าจะถึงตอนเย็นไม่ใช่รึไง”ผมพูดพลางก้มลงหยิบเสื้อกับกางเกงของตัวเองก่อนจะชะงักค้างกลางอากาศชั่วครู่เมื่อรู้สึกว่าสะโพกของตัวเองมีปัญหา คนตรงหน้าเลิกคิ้วหนาได้รูปมองผม
“ให้ฉันช่วยอะไรมั้ย”ถ้าเป็นอาการป่วยไม่สบายผมคงจะสนิทใจรับคำช่วยเหลือมากกว่านี้ แต่ทว่านี่ไม่ใช่
“ไม่ต้อง! ผมจัดการตัวเองได้”ผมยกมือห้ามคนร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ราวกับจงใจเข้าถึง
“ฉันอยากช่วย เพราะเมื่อคืนฉันคงจะทำเกินไปหน่อย”
“พะพอหยุดพูดเรื่องนั้นสักที แล้วก็เก็บความใจดีของคุณไว้เถอะ ผมยังไม่อยากได้ตอนนี้”ผมถอยหลังกรูเมื่อฟรานซิสมีทีท่าว่าจะใกล้ผมเข้ามาอีก และเป็นอย่างที่คิด เขาเดินมาประชิดตัวผมอย่างไม่ยี่หระต่อคำพูดใดๆ แล้วใช้วงแขนแข็งแรงช้อนตัวผมขึ้นก่อนจะวางผมลงที่ปลายเตียง
“กลิ่นนายหลังอาบน้ำหอมจริงๆ”
“คุณจะทำอะไร ผมเตือนไว้ก่อนะว่าผม!.....”
“ฉันไม่ทำอะไรนายตอนนี้หรอก หรือว่านายต้องการ ฉันก็ไม่ขัด”ฟรานซิสเชยคางผมขึ้นพร้อมยื่นหน้ามาใกล้ใช้ดวงตาคมกริบนั่นกวาดมองใบหน้าผม ริมฝีปากหยักยกยิ้มที่มุมปากอย่างย่ามใจก่อนจะจูบผมอย่างไม่ลังเล
“คุณฟรานซิส!”
“เอาเถอะ ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าได้แล้ว ถ้าช้าฉันก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะทนได้ไหว”ร่างสูงยืนกอดอกสำรวจตัวผมราวกับมองหาช่องโหว่ ผมได้ยินดังนั้นจึงรีบสวมเสื้อและกางเกงแทบจะทันที แม้จะขลุกขลักไปบ้างแต่ก็เสร็จเรียบร้อยจนได้
“ฉันกลัวว่านายจะหิวและคิดว่านายน่าจะยังไม่กลับ ฉันเลยซื้อของมาให้อยู่ด้านล่าง”
“ขอบคุณ อ้อ! เสื้อตัวนี้ผมจะซักคืนให้ คุณไม่ต้องห่วง” ผมยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้เขาดูก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้อง แต่ทว่ากลับถูกสวมกอดจากทางด้านหลังตรึงตัวไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว นิ้วเย็นๆ ของฟรานซิสแตะที่ลำคอของผมก่อนจะกระซิบบอก
“รอยตรงนี่ บ่งบอกได้ว่านายเป็นของฉันเพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดหรอกนะ”
“ผมอยากจะต่อว่าเรื่องนี้กับคุณอยู่พอดี ผมจะไม่มีวันให้คุณทำรอยที่คอผมแบบนี้อีกแล้ว”ผมขึงตาดุใส่ฟรานซิสเป็นครั้งแรกอย่างเหลืออด ผมไม่รู้ว่าตัวเองยอมเขาถึงขั้นไหนเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้น ผมสับสนไปหมดจริงๆ
“งั้นหมายความว่า จะเป็นที่อื่นก็ได้งั้นสิ”มือหนาสอดเข้าใต้สาบเสื้อจนผมต้องผละหนี นับวันผู้ชายคนนี้จะอันตรายกว่าที่ผมคิดซะอีกจริงๆ
“ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนครับ”
“ฉันจะรอครั้งหน้า”
“คุณมันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ด้วย”
“นี่นายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“คุณอย่ามาทำหน้าตาย รู้อยู่เต็มอก”
“อ้อ…..โกรธที่ฉันกอดนายแรงไป หรือว่า.....”
“คุณฟรานซิส หยุดพูดเรื่องลามกเหมือนเป็นเรื่องปกติจะได้มั้ย”ผมเอามืออุดหูตัวเองทั้งอายทั้งโกรธ จิตนาการไปถึงไหนต่อถึงไหน
“จะอายทำไมในเมื่อร่างกายนายไม่มีส่วนไหนที่ฉันไม่สัมผัส”ฟรานซิสยังคงพูดเรื่อย ราวกับเขาภูมิใจนักหนา
“เชิญคุณพูดเรื่องพวกนี้ไปคนเดียวเถอะผมไม่ทนฟังอีกแล้ว”ผมหันหลังให้ฟรานซิสตั้งท่าเดินกลับสมความตั้งใจแต่ต้องมาเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาสร้างความอับอายให้ผมเป็นอย่างมาก ผมได้ยินเสียงฟรานซิสหัวเราะหงึกๆ ในลำคอแต่ถึงอยากจะหันไปต่อว่าแต่หน้าผมไม่ได้หนาจนถึงสิบชั้นนี่สิ
น่าโมโหตัวเองชะมัด นี่ผมทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นไปแล้วใช่มั้ย!
ภายในห้องนอนสี่เหลียมแคบๆ ที่ไม่มีอะไรดึงดูดให้หน้านอน ผมกำลังเดินวกไปวนมานับจำนวนรอบแทบไม่ได้ในมือกำโทรศัพท์ตัวเองไว้แน่น ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นมากับเล็บตัวเองอย่างวิตกกังวน พลันเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมก้มหน้างุดมองสายที่โทรเข้าค่อนข้างเป็นกังวน ไม่มีชื่อไหนที่ผมรู้สึกหนักใจเท่ากับ‘อากง’อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ 10 นาทีก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากได้แก่เฉินหลังจากตื่นนอนและกำลังจะออกไปหาอะไรกิน แต่พอเห็นมันโทรมาคิดว่าผมจะกินอะไรลงหรือเปล่าล่ะ คำคอบคือไม่ มันโทรมาจิกผมเรื่องของฟรานซิส และบังคับให้ผมเป็นฝ่ายติดต่อมันซะบ้าง รายงานความเคลื่อนไหวของฟรานซิสให้มันรู้เท่าที่จะทำได้ และมันยังเร่งเรื่องข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัทของฟรานซิสให้ผมหามาให้ได้อีก แต่เรายังคุยกันไม่ทันจะเสร็จ อีกฝ่ายก็บอกให้ผมวางสายและรอมันโทรกลับอีกทีภายใน 10 นาทีเพราะมีเรื่องด่วนเข้า
และเมื่อถึงเวลามันก็โทรเข้ามาจริงๆ เวลาไม่ขาดไม่เกินหรือให้ผมต้องรอนาน จริงๆ ผมแทบไม่อยากจะรอซะด้วยซ้ำแต่มันเป็นการบังคับที่หาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ว่าไง”ผมทักไปยังปลายสาย
“[ปากกาที่ให้มึงไปยังอยู่ใช่มั้ย]”
“ยังอยู่”น้ำเสียงห้วนๆ ของผมแสดงความไม่เต็มใจที่จะตอบสักเท่าไหร่
“[ดี เอามันไปเก็บไว้ในที่ๆ จะสามารถล้วงความลับมันมาได้ อย่าให้ผิดสังเกต]”
“เออ เข้าใจแล้ว”
“[อย่าทำให้กูผิดหวังก็แล้วกัน กูคิดว่ามึงต้องทำได้อย่างที่กูต้องการ อย่าลืมว่าทุกฝีก้าวถูกจับตามอง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ก็แล้วกัน]”
“กูมีเรื่องอยากจะถาม....”ผมใช้ความกล้าทั้งหมดเอ่ยปากออกไป มีเรื่องมากมายที่ผมไม่เคยได้กระจ่างใจเสียที
“[ว่ามา ถ้าตอบได้กูจะตอบให้]”
“ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้กับฟรานซิส มึงต้องการอะไรจากเขากันแน่”
“[ถ้าอยากจะรู้จริงๆ ล่ะก็กูจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน เผื่อมึงจะได้นอนหลับฝันดี]”ไอ้แก่เฉินหัวเราะลั่นอย่างตลกขบขัน แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันตลกเลยสักนิด และที่มันบอกว่าจะเอาบุญ คนอย่างมันเชื่อเรื่องบุญงั้นเหรอ ผมอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้ามันซะจริงๆ สาบาน
“[…..มึงฟังให้ดีนะ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีการแข่งขัน การล้มคู่แข่งก็ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งทางธุรกิจ และบังเอิญคู่แข่งที่กูชังน้ำหน้าที่สุดก็คือไอ้เด็กอมมือนั่น กูจะทำยังไงล่ะในเมื่อนับวันมันยิ่งขวางหูขวางตา ท่าทางอวดอำนาจหยิ่งยโสนั่นทำให้กูอยากจะกำจัดให้มันไปให้พ้นๆ ทาง]”เสียงกัดฟันกรอดของอีกฝ่ายทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง
“[ฟังไว้นะว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยหรู ทางลัดของการเข้าถึงจุดมุ่งหมายมันมีไว้สำหรับคนฉลาด วิธีการคือสิ่งสำคัญและกูก็มีวิธีการของกูที่จะตัดแข้งโค่นขามันให้ไปไหนไม่รอด ฮึ! ไม่ฆ่าให้ตายก็แค่บีบให้ทรมานจนตายช้าๆ ไปเอง]”
ตัวผมสั่นยะเยือกกับความคิดที่มันมืดดำเสียจนหาหนทางสว่างไม่เจอของไอ้แก่เฉิน
“แสดงว่าเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ฟรานซิสโดนทำร้าย.....”
หน้าผมซีดเผือดแม้จะรู้คำตอบอยู่เต็มอก
“[มึงก็ฉลาดนี่ กูยังไม่ได้ชื่นชมมึงสินะ นั่นเป็นผลงานของมึงนิ กูยกความดีความชอบให้ก็แล้วกันที่บอกเรื่องการไปประชุมกับไอ้พวกคณะกรรมการเศษหุ้นบริษัทลูกให้ สะใจดีว่ะที่เห็นความวอดวายของมันทีละนิด งานใหญ่ของมันจะได้ยืดเยื้อและมีเวลาเหลือพอให้กูได้ทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ฮึๆ!]”
“มึงมันสกปรกนี่หว่า!”ผมอดรนทนข่มอารมณ์ในตอนนี้ของตัวเองไม่ไหวจึงเผลอพลั้งปากพูดออกไปด้วยความโมโห ทั้งโกรธตัวเองและเจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“[สกปรก! ฮ่าๆ มึงนี่ตลก]”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะแต่ยังเค้นกลั้วหัวเราะออกมาทำผมกำหมัดจนแน่นราวกับหาที่ระบาย“[…..มึงโดนไอ้บ้านั่นเป่าหูอะไรมากูไม่รู้ แต่กูขอบอกมึงไว้สักเรื่องก็แล้วกัน ว่ามันก็ไม่ได้ต่างไปจากกูสักเท่าไหร่ ถ้ามึงอยากถูกภาพลักษณ์ขาวสะอาดนั่นหลอกกูก็ขอเตือนไว้ไอ้ลูกหมา]”
“มึงหมายความว่าไงไอ้แก่! มองคนอื่นเป็นแบบเดียวกับมึงไปหมดแล้วรึไง แต่กูว่าถึงคนอื่นจะชั่วจะเลวแค่ไหนก็คงไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นขนของมึงเลยมั้ง ไปตายซะ!”
ติ๊ด!
ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดโมโหแล้วทำอะไรไม่ได้เท่านี้มาก่อน ความรู้สึกคับแค้นในอกกัดกร่อนกินใจผมไปที่ละนิดจนแทบจะไม่เหลือ และยิ่งเป็นเรื่องของฟรานซิสที่ไอ้แก่เฉินพูด มันอาจจะเป็นความจริงที่เป็นไปได้แต่ผมกลับหัวฟัดหัวเหวี่ยงโกรธแค้นแทนอีกคนเอาเองเสียดื้อๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับความจริง แค่ความรู้สึกผมมันตีรวนไปเอง
เมื่อไหร่เรื่องแบบนี้มันจะจบสิ้นสักทีวะ!
“อีกนานมั้ยวะกว่าจะถึงบ้านมัน”
“อีกสองโค้งข้างหน้าก็ถึงแล้ว ไหนมึงบอกอยากจะมาเป็นเพื่อนกูไง แต่ไหงมึงบ่นจังวะ”
“ก็มันเมื่อยตูดแล้วนี่หว่า”
“เออๆ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
ผมชะโงกหน้ามองออกมาจากรั้วสองแถวที่กำลังแล่นอยู่บนถนนในหมู่บ้านซึ่งค่อนข้างมีรถสวนทางมาน้อย และแถวนี้ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ไปไหนมาไหนค่อนข้างลำบาก ที่นี่ไม่ได้เป็นถนนสายหลักที่มีรถโดยสารผ่านไปมาตลอดวัน จะมีเป็นช่วงเวลาเท่านั้น ตอนนี้ผมกับไอ้บัสสองคนกำลังนั่งรถสองแถวเพื่อจะมาที่บ้านของไอ้โชค ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าผมมาทำไม ในเมื่อผมอยากจะตามตัวมันการอยู่เฉยๆ คงไม่ได้โชคดีเจอมันเหมือนครั้งก่อนที่ร้านอาหารแน่ๆ
ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะจริงจังตามหาตัวไอ้โชคให้ได้ มันหนี....ผมก็ตามจนสุดกำลัง
ปี๊น!
ผมเอื้อมมือขึ้นกดปุ่มให้สัญญาณหยุดรถแก่คนขับด้านหน้า รถค่อยๆ ชะลอความเร็วและหยุดลง ผมจึงเดินไปจ่ายตังค์ก่อนที่รถจะแล่นออกไป ผมมองไปรอบๆ ค่อนข้างคุ้นเคย แต่เมื่อไม่ได้มาหลายปีทุกอย่างมันก็มีเปลี่ยนไปบ้าง
“ตรงนั้นบ้านไอ้เอก”ผมชี้นิ้วไปที่บ้านเดี่ยว 1 ชั้นที่มีอาณาบริเวณค่อนข้างกว้าง บอกกับไอ้บัส ซึ่งคราวก่อนไอ้เอกก็เป็นคนบอกข่าวเรื่องไอ้โชคให้ไอ้บัสรู้
“อ้อ งั้นเราไปบ้านไอ้เอกก่อนมั้ย เผื่อมันอยู่บ้านเพราะช่วงนี้มันก็น่าจะปิดคอร์สแล้วเหมือนกัน”ไอ้บัสเสนอก่อนจะเดินนำผมไปโดยไม่ถามความคิดเห็น
“ไอ้บัส เดี๋ยวสิวะ”ผมเลยต้องวิ่งตามหลังมันไปอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพอไปถึงหน้าบ้านไอ้บัสก็ตะโกนเรียกเจ้าของบ้านซะเสียงดังจนผมต้องเข้าไปเปิดกะโหลกมันเบาๆ
“มึงจะตบหัวกูเพื่อ”
“เชี่ย เสียงดังชิบหายเดี๋ยวใครก็หาว่าคนบ้าที่ไหนมาโวยวาย”
“กูไม่สน ถ้าไม่รีบกูได้ติดอยู่ในหมู่บ้านนี้แน่ๆ กว่าจะมาถึงได้ก็ต้องรีบๆ หาข่าวแล้วกลับสิวะ”ผมปล่อยให้ไอ้บัสทำตามใจเพราะเห็นด้วย จนกระทั่งมีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้วตะโกนถามมาทางผม
“มาหาใครจ๊ะ?”
“เอ่อ มาหาเอกครับ เอกอยู่มั้ยครับ พวกเราเป็นเพื่อนเอกจากมหาลัยครับ”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ ป้าจะไปตามมาให้”แล้วหญิงวัยกลางคนก็ผลุบเข้าบ้านตัวเองไป จนผ่านไปไม่นานร่างสูงๆ หุ่นเหมือนนักบาสเก็ตบอลที่ใส่กางเกงบอลกับเสื้อยืดสบายๆ ก็เดินออกมา ไอ้เอกหรี่ตามองมาทางพวกเราอย่างสงสัยก่อนผมจะโบกมือแล้วเรียกชื่อมันออกมา
“ไอ้เอกกูเอง! ธันไง”
“อ้อไอ้ธันเพื่อนไอ้โชคใช่ป่าว”ผมอยากจะตะโกนบอกกลับไปว่า กูไม่ใช่เพื่อนมันอีกแล้ว แต่ติดตรงที่ไม่ได้สนิทพอจะตอบไปแบบนั้น
“อืม”
“เข้ามาข้างในก่อน”มันเปิดประตูรั้วเหล็กตาข่ายให้ผมกับไอ้โชคเข้ามาแล้วพาไปนั่งที่ศาลาใต้ร่มไม้หน้าบ้านใกล้ๆ ก่อนผู้หญิงวันกลางคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ไอ้โชคจะยกน้ำกับขนมมาให้บริการซะเต็มที่จนผมเกรงใจ ทั้งๆ ที่มารบกวนบ้านเขาแท้ๆ
“ไอ้เอก นี่ไอ้บัสเพื่อนกูในคณะ”ผมแนะนำ
“กูคนที่ขอเบอร์มึงครั้งก่อนจำได้ป่ะ”ไอ้บัสชี้หน้าตัวเองถามทวนความจำไอ้เอก
“เออๆ กูจำได้ แล้วตกลงมีธุระอะไรกันวะ ถึงมาไกลกันขนาดนี้”
“กูมีเรื่องอยากจะมาถามหน่อยว่ะ เรื่องไอ้โชค”
ในที่สุดผมก็เริ่มเปิดประเด็น ผมบอกไอ้เอกว่ามาหาไอ้โชคแต่มันไม่อยู่บ้านไม่รู้ว่าหายไปไหน มันไม่ยอมติดต่อใครเลยและไม่รู้ว่าจะไปหามันได้ที่ไหนดี แต่ผมไม่ได้บอกปัญหาของผมกับไอ้โชคให้ไอ้เอกฟัง จากที่ฟังไอ้เอกเล่ามันก็เท้าความถึงตอนที่มันเห็นไอ้โชคแบกกระเป๋าออกจากบ้านตอนนั้นและก็ไม่เห็นวี่แววว่ามันจะกลับบ้านมาเลย แต่ด้วยความที่บ้านไอ้เอกกับบ้านโชคเป็นเพื่อนบ้านละแวกเดียวกัน แม่ของไอ้โชคเลยเคยมาคุยเรื่องไอ้โชคที่บ้านมันอยู่บ่อยครั้ง
จากที่ได้ยินมา แม่ของไอ้โชคก็เล่าว่าไอ้โชคมันตัดสินใจลาออกเพราะบอกว่าไม่ชอบคณะที่เรียนและอยากไปหาประสบการณ์ แม่มันก็เสียใจหนักแต่ห้ามไม่อยู่ ไอ้โชคทะเลาะกับแม่มันแล้วก็ออกจากบ้านไปเลย แต่แม่มันบอกว่าไอ้โชคก็น่าจะไปขออาศัยอยู่กับอาที่ในกรุงเทพฯ ย่านการค้าแห่งหนึ่ง ผมปะติดปะต่อเรื่องราวก็พอรู้ว่าไอ้โชคปกปิดเรื่องของมันเอาไว้แล้วแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกแม่มัน
ผมยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แม้กระทั่งคนในครอบครัวของมันเองก็ยังโดนมันหลอก นับประสาอะไรกับผม
“แล้วแบบนี้พวกเราจะไปหามันเจอได้ไงวะ”ไอ้บัสกุมขมับหน้าตึง
“แต่กูว่ามันน่าจะมีเรื่องว่ะ และเรื่องนึงที่กูสงสัย”ไอ้เอกทำหน้าครุ่นคิดหยิบน้ำในแก้วขึ้นมาจิบ
“เรื่องอะไรวะ?”
“ก็เรื่องที่กูเคยเห็นมันอยู่กับรุ่นพี่คณะมึงที่ชื่อพี่ต้นกับพี่นนท์กลางค่ำกลางคืนแถวหลังมอ”
“ไอ้เชี่ยต้นกับไอ้สัสนนท์อ่านะ”ผมอุทานออกมาเรียกคำนำหน้าอย่างไม่ให้เกียรติ แต่ในคณะใครๆ ก็รู้ว่าไอ้สองตัวนั้นมันน่าคบซะที่ไหนผีพนันทั้งนั้น ใครข้องแวะด้วยก็มีแต่ลงเหว
“เชี่ย! ไอ้ธัน แม่งรึว่าไอ้โชคมัน.....”ไอ้บัสเว้นประโยคหันมามองหน้าผมอย่างสยอง
“ไม่ๆ กูว่าไม่น่าใช่อาจบังเอิญ เพราะกูไม่เคยเห็นว่ามันไปสนิทกับไอ้สองตัวนั้นตอนอยู่ต่อหน้ากูเลย”
“มึงจะรู้ได้ไง ลับหลังมึงมันอาจจะทำอะไรที่มึงไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ มึงยังจะเชื่ออีกเหรอว่ามันจะเป็นคนดี....”ไอ้บัสถึงกับขึ้นแต่ผมก็รีบอุดปากมันไว้ทันเพื่อไม่ให้มันพูดมากไปกว่านี้
“เออๆ กูรู้แล้ว!”ผมขยิบตาส่งซิกให้ไอ้บัสว่ามันไม่ควรพูดมากไปกว่านี้ เพราะถ้าที่บ้านนี้รู้ ไม่นานก็คงรู้เรื่องชั่วๆ ถึงแม่ไอ้โชคแน่ๆ และผมก็ไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย
“ตกลงพวกมึงสองคนมีเรื่องอะไรกับไอ้โชคกันแน่วะ”ไอ้เอกถามอย่างสงสัย
“ไม่มี ก็ตามที่บอกมันหายไปพวกกูเลยมาตามหา แล้วก็เป็นห่วงมันเรื่องเรียนแล้วลาออกนี่แหละ”
ไอ้เอกพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ มันอาจจะสงสัยคาใจหลายอย่าง แต่คงเพราะมันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่มันควรจะมาวุ่นวายเลยไม่มีคำถามใดๆ ให้ผมต้องตอบอีก หลังจากคุยกันเสร็จกับไอ้เอก ผมก็ขอลามันกลับรวมทั้งไปไหว้ของคุณแม่ไอ้เอกเรื่องน้ำกับขนม ผมกับไอ้บาสเดินเท้ามาประมาณ 200 เมตรมารอรถริมถนนที่ศาลาเก่าๆ ริมทาง ซึ่งไอ้เอกบอกว่าอาจจะเจอเที่ยวสุดท้ายถ้าโชคดี
“ไอ้เชี่ยธัน มึงว่าพวกเราจะโชคดีหรือร้ายวะ”ไอ้บัสยืนเกาตูดยิกๆ ชะเง้อมองทาง ส่วนผมก็นั่งรอรถมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
“กูไม่รู้ว่ะ”
“มึงพูดได้ไงว่าไม่รู้กูไม่นอนนะเว้ยแถวนี้ เดี่ยวมีผีมาหลอก”
“ผีเผอบ้านมึงสิ พูดอะไรเกรงใจป่าข้างหลังกูด้วย”ผมหันไปมองป่าเขียวชอุ่มรกทึบด้วยสายตาวอกแวก
“แล้วทำไมมึงไม่เอ่ยปากขอให้ไอ้เอกไปส่งตั้งแต่แรกวะป่านนี้ก็ไม่ต้อมานั่งรอรถนานแบบนี้”
“กูเกรงใจ มึงก็เห็นว่าแม่มันอยู่คนเดียว จะให้มันหอบแม่มันติดรถมาส่งพวกเรางั้นเหรอวะไกลก็ไกล กูทำไม่ได้ว่ะไหนๆ มันก็บอกแล้วว่าถ้าโชคดีก็เจอรถเที่ยวสุดท้าย”
“เออๆ เพราะความเกรงใจของมึง งั้นก็ต้องรอ รอ และรอ”ไอ้บัสพูดเชิงประชดแล้วมานั่งแหมะลงข้างๆ ผมก่อนจะถอนหายใจยาวเป็นกิโล
“เดี๋ยวรถก็มา”ผมพูดเสียงอ่อยนั่งกอดกระเป๋าด้วยความเหนื่อย
“แล้วตกลงมึงจะเอายังไงเรื่องไอ้โชค”
“กูจะลองไปถามไอ้ต้นกับไอ้นนท์ดู ถ้ามันจริงกูอาจจะพอเดาได้ว่ามันเอาเงินไปทำอะไร แล้วทำไมต้องทำเรื่องเชี่ยๆ กับกู”
“มึงก็รู้ว่าที่อยู่ของสองตัวนั่นมีแต่พวกขี้ยาผีพนัน มึงจะไปตามยังไง ในมหาลัยตอนนี้ก็ไม่มีทางเจอเพราะนี่ก็ทยอยปิดกันไปหมดแล้ว”
“ก็ยากอะไร มันอยู่ที่ไหนกูก็ตามไปถามที่นั่น”
“มึงพูดนี่ไม่ห่วงสวัสดิภาพชีวิตมึงเลยนะ”
“กูไม่มีอะไรจะห่วงแล้ว”สายตาของผมทอดมองออกไปอย่างเหมอเลย แล้วก็ตอบไอ้บัสไปอย่างใจคิด ก็แน่ล่ะชีวิตผมตอนนี้มันเหมือนแขวนอยู่บนเส้นได้ที่ร้อยต่อกับอีกหลายๆ ชีวิต
“เห้อ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ใช่มั้ยวะ! อย่าเพิ่งท้อก็แล้วกัน”ไอ้บัสเอื้อมือมากอดคอผมอย่างให้กำลังใจแล้วตบบ่าสองสามที ผมยิ้มบางๆ หันไปมองหน้ามันก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองนาฬิกา
“กูว่าวันนี้คงกลับไม่ทันรถแล้วว่ะ คงต้องหาที่นอนแถวๆ นี้”
“ไอ้เชี่ยธัน! มึงอย่ามาล้อกูเล่น”
“กูไม่ได้ล้อเล่น กูจะไปยืนโบกรถชาวบ้านแถวนี้ไปลงที่แถวๆ วัดที่พอจะนอนได้แล้วกันตอนเช้าค่อยกลับ”
“มึงฆ่ากูซะตรงนี้เถอะไอ้ธัน!”
สรุปแล้วคืนนี้ผมกับไอ้บัสไม่สามารถกลับบ้านได้ ผมโบกรถชาวบ้านแถวนี้อย่างที่พูดแล้วก็โชคดีตรงที่ว่าผมไม่ต้องพาไอ้บัสไปนอนวัด เพราะลุงชื่นคนที่ผมติดรถมาด้วยแกบอกว่าคืนนี้ให้ไปนอนที่บ้านแกก็ได้ แล้วตอนเช้าก่อนแกจะเข้าส่วนจะออกไปส่งที่ท่ารถให้ ไอ้บัสถึงกับเป็นปลื้มกินข้าวบ้านลุงแกได้ไปหลายชาม จนลุงชื่นแกถึงกับชมว่ากินเก่งตัวใหญ่ เหมือนไอ้บุญเกิดที่แกเลี้ยงไม่มีผิด คิดเอาเถิดว่าไอ้บุญเกิดคือใครไอ้บัสถึงกับยิ้มข้าวร่วงจากปาก
และก่อนที่ผมจะนอนเพราะลุงชื่นแกนอนไวตั้งแต่ 2 ทุ่ม พวกเราเลยต้องรีบเข้านอนด้วย จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมว่าสัญญาณมันไม่ค่อยดีเลยปิดเครื่องไป แต่พอมาที่บ้านลุงชื่นสัญญาณก็กลับมา แต่บางทีก็ขาดๆ หายๆ บ้างตามประสา ผมเลยต้องขอตัวออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอน แต่ไอ้บัสก็ขอตามมาด้วยเพราะบอกว่าไม่อยากนอนมองตากับลุงชื่นแกสองคนในห้อง
“ฮัลโหล”ผมเอามือป้องเสียงตัวเองหันหลังให้ไอ้บัสที่ยืนรอขณะรับสาย
“[ทำไมถึงปิดเครื่อง ฉันโทรหานายหลายครั้งมาก]”เสียงเย็นเยือกของคนพูดทำให้ผมถึงกับหนาวไปด้วย
“พอดีโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยปิดเครื่อง ตอนนี้ผมออกมาต่างจังหวัด จริงๆ แล้วผมเขียนโน๊ตติดไว้ที่ตู้เย็นเมื่อตอนเช้าแล้วตอนผมเข้าไปทำความสะอาด คุณคงไม่ได้อ่านว่าผมจะไม่เข้าไปตอนเย็น”ผมอธิบายเป็นฉากๆ เพื่อไม่ให้ฟรานซิสที่ดูเอาเรื่องมาหาเรื่องผมได้
“[แต่นายไม่ได้เขียวไว้ว่าจะอยู่จนค่ำมืด]”นั่นแสดงว่าเขาอ่านมันแล้วสินะ
“ผมตั้งใจจะกลับ แต่ว่ารถมันหมดซะก่อนผมเลยต้องค้างแถวนี้ แล้วจะกลับตอนเช้า”ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาอธิบานอะไรที่มันดูยาวยืดให้เขาฟังด้วย
“[ค้างกับใคร]”
“กับไอ้บัสสองคน”
“[บอกมาว่าอยู่ที่ไหน ฉันจะให้คนเอารถไปรับ]”เสียงเย็นเยียบเมื่อครูแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้อนใจซะแทน
“คุณฟรานซิส นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ แถวปากซอย คุณถึงจะทำแบบนั้นได้”ผมโผล่งออกไปเสียงดังประมาณหนึ่งจนไอ้บัสเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วสะกิดถามประมาณว่าใคร และมีอะไร ผมโบกมือให้มันหลบไปอย่างรำคาญ
“[ก็ไม่ใกล้ฉันถึงยิ่งต้องให้คนไปรับกลับ บอกที่อยู่มาว่าที่ไหนธัน]”
“ผมจะกลับพร้อมไอ้บัสพรุ่งนี้เช้าครับ”
“[ไม่ได้]”
“คุณฟรานซิส ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ และที่สำคัญคุณกลัวว่าผมจะหนีงานรึไง”ผมถึงกับกุมขมับกับผู้ใหญ่เอาแต่ใจ
“[ฉันไม่ได้กลัวเรื่องไร้สาระพวกนั้น แต่ฉันเป็นห่วง]”น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฟังดูจริงจังถึงกับทำผมค้างไปสามวิก่อนจะตามมาด้วยอาการหน้าแดงแข่งกับลูกตำลึงสุกข้างบ้านลุงชื่น
“เอาเป็นว่า ผมจะกลับเองพรุ่งนี้แล้วกันแล้วจะเข้าไปตอนเที่ยง แค่นี้ก่อนนะครับ”ผมรีบกดตัดสายทิ้งเพราะกลัวจะถูกจู่โจมด้วยประโยคไม่คุ้นหูแบบนั้นอีก
เป็นห่วงงั้นเหรอ.....เขาจะมาเป็นห่วงอะไรกับคนอย่างผมล่ะ
“ไอ้ธัน มึงคุยกับใครวะ แล้วทำไมต้องทำท่าอย่างกับมีความลับ”ไอ้บัสเท้าสะเอวจ้องหน้าผมอย่างอยากรู้
“ไม่มีเว้ย!”ผมโวยเตรียมตัวเดินหนี
“ไม่มีอะไร หรือว่ามีแฟนแล้วไม่บอกกูวะ ดูดิ๊หน้าแดงขนาดนี้ไม่เขินก็เมา แต่กูว่าอย่าแรกมากกว่า”
“อย่ามาทำรู้มากกูไม่มีฟงมีแฟนอะไรทั้งนั้น กูจะเอาเวลาไหนไปมีวะ”ผมเถียงมันกลับ มันก็ทำท่าคิดหนักไปครู่หนึ่ง
“เออใช่วะ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นผู้ชายมาดแมนแสนแฮนซั่มกาย อย่างเจ้านายของมึงวะ”
“อะไรมึง อะไร!”
“นั่นไงกูว่าแล้ว!”ไอ้บัสตบขาดังฉาด“กูคิดไม่ผิดว่าระหว่างมึงกับเจ้านายมึงต้องมีอะไรแน่นอน ไม่งั้นไม่มีเจ้านายคนไหนมานั่งหัวโด่ยอมเล่นเกมส์บ้าๆ ของไอ้จูนต่อหน้าพวกกูหรอก”
“มึงคิดไปเองป่ะเนี้ย สมงสมองยังดีมั้ย”
“เชี่ย! อย่ามาเฉ มึงปิดคนอื่นได้แต่ปิดกูไม่มิดหรอก หน้ามึงตอนนี้ก็ตีแผ่เรื่องจริงไปครึ่งเรื่องแล้วอย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”ไอ้บัสชี้นิ้วดันหน้าผากผมจนจะหงายหลัง ก่อนมันจะเปิดตูดเดินเข้าบ้านไปแล้วผมก็ต้องวิ่งตามมันไปติดๆ
หน้าผมมันฟองขนาดนั้นรึไง แต่มันก็เรื่องจริงที่ผมกับฟรานซิสมีสัมพันธ์ทางกายแต่เรื่องทางใจมันยังไม่ชัดเจน หรือคนที่ไม่ชัดเจนจะเป็นผมเอง
แต่ตอนนี้ใช่เวลามาคิดเรื่องตัวเองมั้ยไอ้ธัน!
>>> to be continued
*******************************************
กลับมาแล้วหลังจากหายไปหลายวัน
เนื่องจากมีภารกิจด่วน ตั้งแต่นี้ก็จะมาอัพตามปกติได้แล้วค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามนะคะ