----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)  (อ่าน 34016 ครั้ง)

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2016 15:01:43 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 1 ไมเคิล มิลลส์
 

ไมเคิล มิลลส์ ช่างถ่ายภาพอิสระไฟแรง ที่มากความสามารถ และมีพรสวรรค์ในการถ่ายภาพ เขาเดินทางไปมาแล้วทั่วโลกเพื่อเสาะแสวงหาภาพถ่าย ช่างภาพหนุ่มไม่จำกัดการถ่ายภาพ ดังนั้นภาพของเขาจึงมีความหลากหลาย ตั้งแต่ภาพสถาปัตยกรรม ตึกสูงระฟ้าในเมืองใหญ่ ไปจนกระท่อมหลังเล็กของชาวนา ภาพสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ สัตว์เลี้ยง ไปจน สัตว์ป่าหายาก หรือจะเป็นภาพบุคคล ตั้งแต่คนเดินถนน ไปจนถึงผู้นำของประเทศ ภาพปรากฎการธรรมชาติ ตั้งแต่ ฝนตก ไปจน ภูเขาไฟระเบิดปะทุ ไมเคิลก็ถ่ายมาแล้ว จนเขาได้ฉายาว่า Mission impossible เพราะเขาสามารถถ่ายภาพของสิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ รางวัลที่เรียงรายอยู่บนชั้นย่อมเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี

 

ไมเคิลเริ่มจับกล้องมาตั้งแต่ยังเด็ก และก็เป็นพ่อของเขาที่เป็นคนซื้อกล้องตัวแรกให้ในวันเกิดครบ 10 ปี ตั้งแต่นั้นมาเด็กตัวน้อยก็ให้ความสนใจกับการถ่ายภาพมาตลอด แต่เมื่อเด็กชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นอายุได้ 12 ปี เขาก็ต้องพบการความสูญเสียครั้งใหญ่ พ่อกับแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้เขาเหลือน้องชายเพียงคนเดียว นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของไมเคิลก็เปลี่ยนไป

 

ในตอนนั้นโทนี่ผู้เป็นน้องชายของเขายังเด็ก ส่วนไมเคิลก็อายุเพียงแค่ 12 ทำให้พวกเขาพี่น้องต้องไปอาศัยอยู่กับลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ในตอนแรกคุณลุงก็ดีกับสองพี่น้องมาก แต่แล้วไมเคิลก็มารู้สาเหตุที่ลุงรับพวกเขาสองพี่น้องมาอยู่ด้วยทีหลัง ลุงหวังจะโกงเงินประกันชีวิตจากพ่อและแม่ของพวกเขา และเป็นเพราะในตอนนั้นทั้งสองพี่น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลุงเป็นผู้ปกครอง จึงเป็นคนที่จัดการทุกอย่างแทน กว่าที่ไมเคิลจะรู้ เงินประกันที่ควรเป็นของพวกเขาก็ถูกใช้จ่ายไปจนเหลือเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น และเมื่อวันหนึ่งไมเคิลพูดเรื่องนี้ขึ้น ลุงแท้ๆ ของเด็กชายก็เริ่มทำร้ายร่างกายหลานตัวเอง

 

สุดท้ายเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี ไมเคิลจึงหนีออกจากบ้าน เขาเริ่มทำงานเก็บเงิน และโชคดีที่เขาได้งานเป็นผู้ช่วยช่างถ่ายภาพ ทำให้เด็กหนุ่มได้วกกลับมาในวงการถ่ายรูปอีกครั้ง ไมเคิลตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และคอยเรียนรู้งานต่างๆ จากช่างถ่ายภาพที่เขาทำงานด้วย และด้วยเพราะเด็กหนุ่มเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยน ทำให้หัวหน้ารัก และคอยสอนสิ่งต่างๆ ให้เสมอ ประกอบกับไมเคิลเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว และมีพรสวรรค์ ทำให้ฝีมือในการถ่ายภาพของเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

 

วันหนึ่งไมเคิลมาทำงานปกติ งานในวันนั้นก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขา งานถ่ายแบบวันนั้นมีนายแบบ และนางแบบชื่อดังหลายคน มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกอย่างถูกเซ็ทเรียบร้อยแล้วแต่ตากล้องของงานกลับไม่มาเพราะเกิดอุบัติเหตุ ในกองถ่ายวุ่นวาย พยายามจะจะติดต่อตากล้องสำรอง แต่เพราะเป็นช่วงเวลาวันหยุดยาว จึงไม่สามารถติดต่อใครได้ ในขณะที่กองถ่ายกำลังจะต้องยกเลิก ไมเคิลก็เสนอตัวเป็นช่างภาพจำเป็นให้กับงานชิ้นนั้น เนื่องจากไม่มีอะไรจะเสีย เพราะทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ทางบริษัทจึงยอมให้ผู้ช่วยช่างภาพหนุ่มได้ลองแสดงฝีมือ ไม่มีใครคาดหวัง ทุกคนต่างมองเป็นเรื่องตลก แค่เด็กคนหนึ่งใครจะคิดว่าจะทำอะไรได้ แต่ภาพถ่ายของเด็กหนุ่มที่ทุกคนดูถูก ทุกภาพออกมาล้วนได้อารมณ์ ตรงคอนเซ็ปท์และมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากที่นิตยสารฉบับนั้นวางแผง ภาพถ่ายของไมเคิลก็เป็นที่กล่าวขานกันอย่างกว้างขวาง ด้วยวัยเพียง 18 ปี แต่ก็มีบริษัทมากมายติดต่อเข้ามาให้ไมเคิลไปทำงานด้วย และนั่นก็เป็นก้าวแรกของการเป็นช่างถ่ายภาพมืออาชีพของไมเคิล มิลล์

 

ตลอดเวลาที่ไมเคิลย้ายออกมาอยู่คนเดียว เขาก็ยังคงกลับไปหาน้องชายอยู่เสมอ ไม่เคยขาด โทนี่เป็นเด็กน่ารัก ขี้อ้อน แม้จะดื้อรั้นบ้าง แต่พอมาเจอหน้าหวานๆ ตาใสๆ ของเจ้าตัวเล็กขี้อ้อนเป็นใครก็โกรธไม่ลง ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยลุงของเขาก็ดีกับโทนี่เหมือนลูกแท้ๆ ไมเคิลจึงไม่เคยบอกน้องชายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมเขาถึงได้ออกมาจากบ้านหลังนั้น ตรงกันข้ามเขาเพียงบอกน้องชายว่าบ้านของคุณลุงอยู่ไกลจากที่ทำงานเท่านั้น

 

หลังจากที่ไมเคิลเริ่มมีงานที่มั่นคง เขาจึงเริ่มสนใจศิลปะป้องกันตัว ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเขาได้อีก ตลอดเวลาเกือบ 4 ปีที่ถูกลุงแท้ๆ ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ มันทำให้เขาไม่คิดจะกลับไปอยู่ในสภาพนั้น ไมเคิลไม่ใช่คนที่สูง บวกกับใบหน้าสวยที่ทั้งเขาและน้องชายได้มาจากแม่ เป็นสาเหตุทำให้บางครั้งก็ดึงดูดคนแปลกๆ เข้ามา ทำให้เขาตัดสินใจที่จะศึกษาศิลปะป้องกันตัวอย่างจริงจัง ไมเคิล เรียนทั้ง ยูโด เทควันโด้ คาราเต้ และ มวยไทย ไมเคิลเรียนรู้และฝึกฝนอยู่หลายปี ทั้งฝึกซ้อม และใช้ในชีวิตจริงบ้าง ทำให้เขาเกิดความเชี่ยวชาญพอสมควร

 

จนเมื่อไมเคิลอายุย่างเข้า 20 ปี เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก โทนี่โทรมาร้องไห้บอกกับเขาว่า คุณลุงเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย แม้ไมเคิลจะเคยโกรธ เกลียดและโทษลุงที่ทำร้ายเขา แถมยังเอาเงินของเขาสองพี่น้องไปใช้จ่ายส่วนตัว แต่ยังไงลุงก็ยังเป็นญาติคนเดียวที่สองพี่น้องมี อย่างน้อยที่สุดลุงก็ดูแลโทนี่มาตลอด ไมเคิลจึงรู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

หลังจากที่ทราบข่าวได้เพียงไม่นาน คุณลุงก็จากไป ไมเคิลไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงต้องเป็นคนรับผิดชอบในการดูแลน้องชาย แม้ว่าเงินประกันก้อนนั้นจะหมดไปแล้ว  แต่เด็กหนุ่มก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง โทนี่เป็นคนเรียนเก่ง เขาจึงอยากให้น้องได้เรียนหนังสือจนได้ปริญญา เขามั่นใจในตัวของน้อง เขาเชื่อว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แม้ค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาลัยจะสูงมากก็ตาม

 

เมื่อมีภาระเรื่องเงินเข้ามา ไมเคิลจึงเริ่มรับและทำงานหนักมากขึ้นเพื่อส่งเสียน้องชาย โทนี่เองก็รู้ว่าไมเคิลรักและเป็นห่วงเขามาก ดังนั้น โทนี่จึงตั้งใจเรียนและพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้และหาประสบการณ์ทางด้านพลังงาน ประกอบกับไมเคิลรู้จักคนค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้เขาสามารถช่วยเหลือน้องชายได้ในระดับหนึ่ง

 

ตลอดเวลาหลายปีเด็กหนุ่มเอาแต่โหมทำงานหนัก อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับงานและน้องชาย ไมเคิลมีเวลาให้กับตัวเองน้อยมาก เขาจึงไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่างภาพคนเก่งไม่เปิดรับความรักจากใคร เพราะเขารู้ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น ไมเคิลไม่ได้ชอบผู้หญิง รู้ดีแก่ใจว่าผิด เข้าใจดีว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับที่ผู้ชายจะรักกัน แต่อย่างน้อยที่สุดน้องชายของเขาก็ยอมรับในตัวตนที่เขาเป็น และไม่เคยแสดงความรังเกียจ อีกทั้งยังคอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง รุ่นพี่ที่เป็นนักข่าวก็เข้ามาสารภาพรักกับเขา ไรอันเป็นนักข่าวที่ไมเคิลมักจะบังเอิญได้พบปะอยู่บ่อยครั้ง ชายหนุ่มเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีและเป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาสาวๆ หลายครั้งที่พบกันชายหนุ่มก็มักจะถูกรายล้อมด้วยผู้คน แต่ไรอันก็มักจะหาเวลาและข้ออ้างเข้ามาคุยกับเขาเสมอ

“ผมชอบคุณ ไมเคิล คบกับผมได้ไหม” ไรอันถามคำถามที่ทำให้ไมเคิลแปลกใจ

เขาตกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้แสดงออก อีกทั้งยังแปลกใจที่นักข่าวอนาคตไกลอย่างไรอันมาสนใจในตัวเขา ไมเคิลในเวลานั้นยังเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่เคยมีความรัก เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรักไหม แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจชายหนุ่ม เขาจึงตกลงคบกับไรอัน

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทั้งสองลองคบหาดูใจกันพักใหญ่ ไรอันสุภาพ ให้เกียรติและดีกับไมเคิลเสมอ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นแฟน แต่ไมเคิลก็แทบจะไม่เคยมีเวลาให้กับไรอัน เวลาทั้งหมดของเขาหมดไปกับการทำงานและน้องชาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายาม แต่สำหรับเขาโทนี่ผู้เป็นน้องชายและครอบครัวคนสุดท้ายมาก่อนทุกอย่างเสมอ เมื่อไม่มีเวลาให้แก่กัน ทั้งคู่ก็ห่างกันเรื่อยๆ ในที่สุดความรักของทั้งสองก็มาเจอทางตัน เมื่อวันหนึ่งไมเคิลบังเอิญมาพบว่าไรอันมีอะไรกับคนอื่น เขาไม่ได้โวยวาย ไม่ได้ร้องไห้เสียใจ เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น ภาพที่เห็น ความเชื่อใจ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กัน ถูกทำลายลงด้วยการหักหลัง ความรู้สึกที่เสียไปแล้วก็ยากจะเรียกกลับคืนมา สุดท้ายทั้งคู่จึงเลิกลากันไป

 

เมื่อโทนี่อายุได้ 16 ปี และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไมเคิลจึงเริ่มรับงานที่มีความยาก แต่ได้ค่าตอบแทนที่สูง เพราะงานถ่ายภาพไมเคิลต้องเดินทางอยู่ตลอด เขาเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพ ที่ทางบริษัทผู้จ้างต้องการ ครั้งหนึ่งเขาได้รับจ้างวานให้ไปถ่ายภาพภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ ไมเคิลต้องเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นและเฝ้ารอคอยอยู่หลายวัน เมื่อเกิดการปะทุขึ้น ช่างภาพหนุ่มก็ขึ้นเครื่องบินเพื่อไปเก็บภาพในระยะใกล้ หรือจะเป็นงานอีกชิ้นที่ไมเคิลต้องออกเดินทางตามหาสัตว์ป่าหายาก เขาต้องให้คนพื้นเมืองพาเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกในแอฟริกา หลังจากซุ่มตัวรอคอยตามลำพังอยู่หลายวัน กว่าที่ไมเคิลจะสามารถเก็บภาพของกอริลลายักษ์ที่ใกล้สูญพันธุ์มาได้ ไม่เพียงแค่นั้นช่างภาพหนุ่มไฟแรงยังรับงานถ่ายภาพบุคคลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับประเทศ ดารา นักแสดง ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไมเคิลจึงเก็บสั่งสมประสบการณ์มากมาย จนก้าวขึ้นสู่ทำเนียบของช่างภาพแนวหน้า ที่มีรางวัลต่างๆ เป็นเครื่องค้ำประกัน

 

เมื่อย่างเข้าวัย 31 ปี ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความสามารถของไมเคิลได้อีก ทุกครั้งที่มีการรวมเล่มภาพถ่ายของช่างภาพหนุ่ม หนังสือจะถูกจองและขายหมดไปอย่างรวดเร็ว หนังสือหลายเล่มมีการเรียกร้องให้ตีพิมพ์เพิ่มอีกหลายต่อหลายครั้ง เมื่อถึงจุดนี้ไมเคิลก็เริ่มมีฐานะที่มั่นคง หลังจากที่ส่งเสียน้องชายจนจบปริญญาและช่วยเหลือจนโทนี่ได้เข้าทำงานในบริษัทที่ใหญ่โตมีชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ณ จุดนี้ไมเคิลสามารถรับงานเป็นครั้งคราว ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายได้แล้ว แต่ดูเหมือนไมเคิลจะรักอิสระและเสพติดการผจญภัยไปเสียแล้ว ในระยะหลังๆ ไมเคิลจึงเลือกที่จะรับแต่งานที่ค่อนข้างท้าทายและค่าตอบแทนสูง แทนที่จะเป็นงานง่ายๆ ทั่วไป

 

หลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาจากทริปสองอาทิตย์ในเรือประมงหฤโหดที่ทุกเสี้ยววินาทีคือความเป็นความตาย ไมเคิลก็นั่งดูทีวีอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในคอนโดหรูใจกลางเมืองใหญ่ หลังจากที่เขาเปลื่องทีวีไปช่องแล้วช่องเล่า ดูสารคดีไปหลายเรื่อง ดูข่าวไปเป็นรอบที่สองอย่างเกียจคร้าน เขาไม่ชินกับการอยู่เฉยๆ เสียแล้ว เขาไม่ชอบที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ไมเคิลคิดวางแผนอยากจะรับงานชิ้นใหม่อยู่ในใจเพลินๆ งานชิ้นล่าสุดทำเอาเขาอ่อนล้าไม่ใช่น้อย บางทีงานชิ้นถัดไปเขาก็อยากได้งานที่ไม่ต้องลำบากมากก็คงจะดี ในขณะที่ช่างภาพหนุ่มจมอยู่กับความคิด อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเบอร์โทรไม่คุ้น ไมเคิลจึงไม่รับสายและปล่อยให้เข้าสู่ระบบฝากข้อความแทน เมื่อคนโทรมาวางหูไป สัญญาณเตือนข้อความใหม่ก็กระพริบ คนขี้ระแวงจึงเดินไปเปิดฟังข้อความ

 

“สวัสดีครับคุณไมเคิล ผมจอร์จ จากนิตยสาร “เวลา” ทางเราได้รับคำแนะนำให้ติดต่อคุณ หากต้องการ รูปภาพในกรณี mission impossible เราอยากได้คุณมาร่วมงานกับเราครับ หากคุณไมเคิลสนใจกรุณาติดต่อกลับที่เบอร์ --------- นะครับ ผมหวังว่าเราคงได้ร่วมงานกัน” เสียงบันทึกข้อความเล่นจนจบ

 

“นิตยสารเวลา อย่างนั้นเหรอ น่าสนใจทีเดียว” ไมเคิลพูดกับตัวเองเบาๆ อย่างแปลกใจ นิตยสารฉบับนี้เป็นนิตยสารชื่อดังที่มักจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่สำคัญต่างๆ หลายต่อหลายครั้งยังมีการตีแผ่เกี่ยวกับประวัติเชิงลึกของผู้นำหลากหลายประเทศ ที่สำคัญไมเคิลได้ยินว่าทางนิตยสารเวลายินดีจ่ายค่าตอบแทนในราคาสูง หากสามารถถ่ายรูปที่ทางนิตสารต้องการมาได้ ยิ่งทางนิตยสารต้องการรูปภาพในแบบ mission impossible ไมเคิลก็มั่นใจว่าค่าตอบแทนงานชิ้นนี้ก็ต้องไม่น้อยหน้าชื่อของภารกิจอย่างแน่นอน

 

ไม่รอช้าช่างภาพหนุ่มเปิดฟังข้อความอีกครั้ง ก่อนจะเขียนเบอร์โทรลงกระดาษ และโทรกลับไป

 
_______________________________

 

เพิ่งเปิดตัว ชิวๆ รออ่านคอมเม้นนะ

คิดถึงรีดเดอร์มากกกกกกก

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2017 12:29:42 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 2 The Prince Project
 

วันนี้ไมเคิลมีนัดทานอาหารเย็นกับน้องชาย ถึงแม้คอนโดจะอยู่ใกล้กันแต่เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับงาน โดยเฉพาะงานของไมเคิลที่ต้องเดินทางอยู่เสมอ ทั้งคู่จึงไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่เมื่อไมเคิลกลับมา พี่ชายผู้แสนจะติดน้องก็จะพยายามหาเวลามาทานอาหารเย็นกับน้องชายแทบทุกวัน

 

ไมเคิลตัดสินใจซื้อวัตถุดิบที่สดใหม่เพื่อไปทำอาหารที่คอนโดของโทนี่ น้องชายตัวดีของเขาไม่ชอบทำอาหาร ส่วนใหญ่เจ้าตัวเล็กก็ดีแต่จะทานอาหารข้างนอก ทำให้ห้องครัวที่ใหญ่โตและมีอุปกรณ์ในการทำอาหารมากมาย ดูจะเสียเปล่า เครื่องครัวต่างๆ แทบไม่ได้ผ่านการใช้งาน อุปกรณ์ที่ดูจะทำหน้าที่หนักที่สุดในครัวดูจะเป็นกาต้มน้ำไฟฟ้า ที่โทนี่ใช้ต้มน้ำชงชาหรือโกโก้ร้อน และไมโครเวฟที่ใช้อุ่นอาหารที่เหลือหิ้วกลับมาจากการทานนอกบ้าน แม้จะเป็นพี่น้องกันแต่ไมเคิลต่างจากโทนี่ เขาชอบทำอาหารทานเองมากกว่า เพราะการทานอาหารข้างนอก บางครั้งมันเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจจะเป็นอาหารที่ปรุงอย่างเร่งรีบ มีไขมันสูงและไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว หรือรสชาดอาจจะไม่ถูกปาก แต่เจ้าน้องชายตัวดีก็ยังแย้งว่า เป็นคนมีระบบการเผาผลาญที่ดี ทานยังไงก็ไม่อ้วน และถ้ากลัวไม่อร่อยก็เลือกเฉพาะร้านที่มีคนเข้าเยอะๆ มีรีวิวดีๆ หรือร้านประจำแทน

 

ไมเคิลเอือมระอากับความรั้นของโทนี่ แต่เพราะรักน้องมาก พอเจ้าตัวยุ่งออดอ้อนมากๆ เขาก็ใจอ่อน ทิ้งท้ายด้วยรายการอาหารหลายอย่างที่น้องชายตัวดีอยากทาน และเป็นที่มาของสาเหตุที่เขาต้องมานั่งทำอาหารให้อยู่ในตอนนี้ โทนี่ออดอ้อนอยากจะกินเนื้ออบฝีมือพี่ชาย ก่อนหน้าก็ชมนักชมหนาว่าเนื้ออบฝีมือพี่ชายแสนอร่อยที่สุดในสามโลก พอเห็นเจ้าตัวยุ่งอ้อนมากๆ ไมเคิลก็ใจอ่อน และตัดสินใจทำเมนูโปรดให้โทนี่ทานเป็นอาหารเย็น

 

หลังจากเรียนจบ โทนี่ก็ได้งานในเกือบจะทันที เจ้าตัวเล็กทำงานในบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และหลังจากทำงานได้เกือบ 2 ปีน้องชายของเขาก็ดาวน์คอนโด เนื่องจากมีคอนโดสร้างใหม่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของพี่ชาย โทนี่จึงตัดสินใจซื้ออย่างไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยน้องชายสุดที่รักก็ย้ายออกไป อยู่ๆ ไมเคิลก็รู้สึกว่าคอนโดที่เขาอยู่ใหญ่เกินไป เขารู้สึกใจหายที่เห็นน้องชายเติบโตจนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง อีกส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมาไมเคิลอุทิศตน ทำเพื่อน้องชายมาตลอด แต่อยู่ๆ พอไม่มีโทนี่ เขาก็รู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไป

 

ไมเคิลรักน้องชายมาก โทนี่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ยิ่งไปกว่านั้นโทนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อและแม่ฝากให้เขาดูแลก่อนจะสิ้นใจ โทนี่ยังเด็กในตอนที่พ่อแม่จากไปจึงจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ไมเคิลจำได้ทุกอย่าง เขาจำคืนที่เกิดเหตุได้ไม่มีวันลืม

 

ในคืนนั้น เป็นคืนวันเสาร์เป็นวันครบรอบแต่งงานของพ่อและแม่ ทั้งคู่เตรียมตัวออกไปทานอาหารค่ำเพื่อฉลองกันลำพัง โดยที่ไมเคิลรับปากจะดูแลโทนี่ให้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน พ่อแต่งตัวด้วยชุดสูทดูภูมิฐาน ส่วนแม่ก็สวมชุดกระโปรงดูสวยมากเป็นพิเศษกว่าทุกวัน ทั้งสองโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยน แม่แกล้งจูบแก้มเขาหลายต่อหลายที จนเขาต้องบอกให้พอ แล้วคนทั้งสองก็ออกไป หากในตอนนั้นเขารู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้กอดพ่อ เขาคงจะเหนี่ยวรั้งและกอดพ่อให้นานที่สุด หากเขารู้ว่านั่นจะเป็นจูบสุดท้ายจากแม่ เขาคงจะปล่อยให้แม่จูบเขาให้นานกว่านั้น

 

ในขณะที่ไมเคิลนั่งดูทีวี โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ในตอนที่เขารับสาย เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับข่าวแบบนั้น ทางโรงพยาบาลโทรแจ้งว่า พ่อกับแม่ของเขาเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ในห้องฉุกเฉิน ไมเคิลจึงรีบพาโทนี่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นไปที่โรงพยาบาล ทันทีที่ไปถึงเขาก็ได้รับแจ้งว่าแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ กรุ๊ปเลือดของแม่เป็นกรุ๊ปที่หายาก ทางโรงพยาบาลมีเลือดไม่เพียงพอ อาการของแม่สาหัสมาก จนทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจไปก่อน

 

ทีมแพทย์พยายามยื้อชีวิตพ่อของเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่สุดท้ายพ่อก็จากไปอีกคน ไมเคิลยังจำได้ว่าเขากอดโทนี่เอาไว้แน่นและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เมื่อรู้ว่าคนที่เขารักทั้งสองคนได้จากไป

 

ไมเคิลมาทราบทีหลังว่าคู่กรณีเป็นคนผิด คู่กรณีขับรถสปอร์ตคันหรู แต่เพราะเมาแล้วขับถึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ด้วยฐานะของคนๆ นั้นที่เป็นลูกชายของเศรษฐีที่มีอิทธิพลทำให้ทางตำรวจไม่อาจเอาเรื่องกับคนผิดได้ นับตั้งแต่นั้นไมเคิลก็เกลียดพวกคนรวยขึ้นมา เพราะคนเหล่านั้นล้วนเห็นแก่ตัวและขี้อวด และหนึ่งในนั้นก็ทำลายครอบครัวเล็กๆ อันอบอุ่นนี้ไปตลอดกาล

 

ไมเคิลทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อเขาคิดถึงเรื่องราวในอดีต จนโทนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อดที่จะเป็นห่วงพี่ชายไม่ได้

“พี่ไมเคิล เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” โทนี่ถามอย่างห่วงใย พี่ชายคนนี้มักเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวเสมอ

“ขอโทษที พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ไมเคิลตอบเลี่ยงๆ

“ใกล้ครบรอบวันที่พ่อกับแม่จากไปแล้ว พี่ไมเคิลเลยคิดมากใช่มั้ยครับ” โทนี่จี้ถูกจุด

“พี่ก็แค่ คิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” ไมเคิลพยายามปฏิเสธ

“ปีนี้พี่จะอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” โทนี่ถาม ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาไมเคิล ไม่เคยอยู่บ้านในช่วงครบรอบการจากไปของพ่อและแม่เลยทำให้โทนี่ต้องไปที่หลุมฝังศพเพียงลำพังทุกปี แต่โทนี่ก็รู้ว่าไมเคิลจะไปที่หลุมศพก่อนหน้าวันเดินทางเสมอ

 

“นั่นแหล่ะที่พี่จะบอก พอดีพี่มีงานเข้ามาและพี่จะออกเดินทางอาทิตย์หน้า” ไมเคิลกล่าวขึ้น ปกติเขาเดินทางบ่อยอยู่แล้ว น้องชายจึงไม่ได้แปลกใจนัก

“พี่จะไปนานแค่ไหนครับ” แม้โทนี่จะรู้ว่าพี่ชายจะไป แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้ ยิ่งรู้ว่านับวันพี่ไมเคิลก็ยิ่งรับงานที่ยากและอันตรายมากขึ้น เขาก็ยิ่งห่วง

“ก็ยังไม่แน่ งานในครั้งนี้ ค่อนข้างยากพอสมควร แต่ถ้าเสร็จเร็วพี่ก็จะรีบกลับ” ไมเคิลบอกเรียบๆ

“พี่จะไปไหนครับ” โทนี่ถาม งานที่พี่ชายทำนั้นยากและอันตรายทุกชิ้น

“ประเทศเล็กๆ ในยุโรปน่ะ ประเทศคานาเดีย” ไมเคิลตอบ พยายามให้รายละเอียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากให้โทนี่ต้องห่วง. 

“ระวังตัวด้วยนะครับ” น้องชายทำหน้าจริงจัง จนคนเป็นพี่รู้สึกผิด

“พี่ไม่เป็นไรหรอก เธอนั่นแหล่ะ โทนี่ โตป่านนี้แล้วยังจะเขี่ยผักออกอีกเหรอ ทานให้หมด” ไมเคิลแกล้งดุน้องชายที่เอาแต่เลือกทาน กลบเกลื่อนเรื่องที่คุยก่อนหน้าอย่างแนบเนียน

“ผมไม่ชอบนี่นา” โทนี่บ่นอุบ เมื่อโดนบังคับให้ทานของที่ตัวไม่ชอบ จนไมเคิลต้องส่ายหน้า มองน้องชายด้วยความเอ็นดู

 

ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน

ไมเคิลโทรกลับไปที่นิตยสารเวลาเพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ และทางบริษัทก็นัดเวลาให้ ไมเคิลเข้ามาคุยรายละเอียดอีกครั้ง เมื่อถึงวันที่นัดไมเคิลก็มายืนอยู่หน้าอาคารของนิตยสารเวลา ก่อนจะเดินเข้าไปแจ้งว่า เขามาพบจอร์จ ผู้ที่เป็นคนดูแลโปรเจคนี้

 

“สวัสดีครับ คุณไมเคิล ผมจอร์จครับเราคุยกันทางโทรศัพท์” คุณจอร์จทักทาย พร้อมยื่นมือมาสัมผัส

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ไมเคิลกล่าวและจับมือทักทาย

“เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะแจงรายละเอียดให้ฟัง” คุณจอร์จกล่าว ไมเคิลจึงนั่งลงตามคำเชิญ

“โปรเจคนี้ เราตั้งชื่อว่า Prince Project บุคคลที่เราต้องการภาพถ่ายคือ กษัตริย์นาธานเนียล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียสครับ” จอร์จกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม

“รูปของ กษัตริย์ หรือครับ” ไมเคิลถามซ้ำ ออกจะแปลกใจเล็กน้อย

“ครับ กษัตริย์นาธานเนียล เนี่ย เพิ่งจะขึ้นครองราชได้ไม่นานครับ พระองค์เป็นกษัตริย์ของประเทศเล็กๆ ในยุโรป ชื่อว่า คานาเดีย” จอร์จอธิบายคร่าวๆ

“แล้วยังไงครับ ไม่ใช่ว่าคนที่เป็นกษัตริย์นี่จะมีภาพออกมาเยอะแยะแล้วหรอกเหรอครับ” ไมเคิลถาม ออกจะผิดหวังที่งานชิ้นนี้ดูจะไม่ท้าทายเท่าที่ควร อย่างที่เขาแอบหวังไว้

“ก็นั่นแหล่ะครับ ปัญหา คานาเดียเป็นประเทศที่จะว่าเปิดเสรีก็ใช่ จะว่าปิดก็ใช่อีก” จอร์จกล่าว แต่เมื่อเห็นไมเคิลทำท่างงอยู่ จึงอธิบายต่อ

 

“คืออย่างนี้ครับ คานาเดียเปิดเสรีให้คนเข้าไปในประเทศได้ แต่ก็จัดว่าเป็นประเทศที่เข้าได้ยากมากประเทศหนึ่ง เพราะคานาเดียจำกัดจำนวนคนเข้าประเทศในแต่ละปี และด้วยคานาเดียเป็นประเทศที่สวยงามและร่ำรวย ทำไห้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยากไป” คนตรงหน้ากล่าว แต่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ กับไมเคิลแม้แต่น้อย

“แล้วมันเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้ยังไงล่ะครับ” ไมเคิลยังคงสงสัย

“คานาเดียน่าสนใจก็จริง แต่กษัตริย์นาธานเนียลน่าสนใจกว่าครับ” จอร์จกล่าว ก่อนจะดึงข้อมูลออกมาโชว์

“นี่คือองค์นาธานเนียลในวันที่ทรงเข้าพิธีราชาภิเษก” จอร์จ โชว์รูปของกษัตริย์หนุ่ม แม้รูปจะถูกถ่ายอยู่ไกลๆ ด้วยกล้องจากมือถือ แต่ก็ดูออกว่ากษัตริย์หนุ่มนั้นหน้าตาดีมากขนาดไหน

 

“และนี่คือรูปเดียวที่เรามี ในตอนที่ องค์นาธานเนียล ยังเป็น เจ้าชายรัชทายาท ในชุดทรงเต็มยศ” จอร์จเอารูปถ่ายอีกรูปมาให้ดู กษัตริย์หนุ่มเมื่อมองดูใกล้ๆ ก็ยิ่งดูหล่อเหลาและสง่างาม

“แต่ประเด็นมันไม่ใช่แค่นั้นครับ ประเด็นมันอยู่ที่รูปเซ็ทนี้ต่างหาก” จอร์จกล่าว พร้อมกับโชว์ นิตยสารแฟชั่นที่ดูจะออกมาหลายปีแล้ว ในหน้ากลาง มีรูปนายแบบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์หรู แต่ที่น่าตกใจคือ นายแบบในนิตยสาร และรูปขององค์นาธานเนียล นั้นหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ ไมเคิลพลิกดูสลับไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจอร์จ

 

“ครับ เหมือนใช่มั้ยครับ” จอร์จกล่าวยิ้มๆ มองปฏิกิริยาของช่างภาพปฏิหาริย์ตรงหน้า

“และนั่นก็ทำให้เราต้องตรวจสอบ และก็พบว่านายแบบในนิตยสารนั้นใช้ชื่อว่า จูปิเตอร์ เขาเป็นนายแบบมือสมัครเล่นคนหนึ่ง แต่ฝีมือไม่ใช่เล่นๆ เลย ผมให้คนตามสืบก็พบว่า เขาจะรับเฉพาะงานที่ใหญ่จริงๆ และรับงานแค่ไม่กี่งานด้วย ทั้งๆ ที่มีคนต้องการให้เขามาเป็นนายแบบจำนวนมาก แต่เขาก็ปฏิเสธไปซะส่วนใหญ่” จอร์จเล่าอย่างเข้มข้น

 

“แล้วคุณจอร์จแน่ใจได้ยังไงว่าองค์นาธานเนียล และ จูปิเตอร์ คือคนเดียวกัน” ไมเคิลถาม

“ผมได้คุยกับคนที่เคยร่วมงานกับจูปิเตอร์ หลายคนพูดตรงกันว่า จริงๆ แล้วจูปิเตอร์เป็นเจ้าชาย และในพระประวัติขององค์นาธานเนียล ก็บอกอยู่ว่าพระองค์มาศึกษาที่อเมริกาอยู่นานหลายปี มีข่าวบางสายก็ว่า องค์นาธานเนียลไม่อยากเป็นกษัตริย์ อยากจะสละตำแหน่ง แต่ผมก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก ถึงตรงนี้คุณไมเคิลเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไม ผมถึงต้องการคุณมาร่วมงานด้วย หากเราได้ภาพปัจจุบันขององค์นาธานเนียลมา เราก็จะได้ลองตรวจสอบอีกครั้ง และเราอาจจะมีโอกาส ขอเข้าสัมภาษณ์พระองค์ได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจึงต้องการรูปถ่ายของพระองค์ ก่อนที่จะทำอย่างอื่นได้” จอร์จกล่าวสรุป

 

“เรื่องนี้ ค่อนข้างเสี่ยงนะครับ เพราะถ้าองค์นาธานเนียลไม่อยากถูกถ่ายภาพ ผมอาจจะถูกจับได้ง่ายๆ เลยนะครับ แถมยังจะเอาเรื่องมาผูกกับนายแบบปริศนานี่อีก เรื่องนี้ความเสี่ยงสูงมาก” ไมเคิลรู้ดีว่าเขาจะโก่งค่าตัวได้ยังไง

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ทางเรายินดีจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง รวมไปถึง เรายินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้กับคุณไมเคิล ซึ่งผมรับรองว่าคุณต้องพอใจ” จอร์จกล่าว พร้อมยื่นเอกสารรายละเอียดของค่าตัวให้ไมเคิลพิจารณา เมื่อช่างภาพหนุ่มเห็นก็ยิ้มออกด้วยความพอใจกับความใจกว้างของนิตยสาร

 

"สรุปว่าคุณไมเคิล ตกลงใช่มั้ยครับ”จอร์จกล่าวยิ้มๆ

“ผมต้องการเวลาในการหาข้อมูลสัก 2 อาทิตย์ ก่อนที่ผมจะออกเดินทาง” ไมเคิลกล่าว ต่อรอง

“ไม่มีปัญหาครับ คุณสามารถใช้เวลานานขนาดไหนก็ได้ทางเราไม่ขัดข้อง” ชายหนุ่มยิ้มตอบอย่างยินดี

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ตกลงครับ” ช่างภาพหนุ่มตอบรับงานด้วยความเต็มใจ

 



 

 

_______________________________

ไรท์เตอร์เริ่มบ้าพลังอีกแหล่ะ

 

ขอเสียงรีดเดอร์หน่อยนะ เผื่อปัญญาเกิดไอเดียกระฉูดจะได้ออกตอนใหม่อีกเร็วๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2017 12:36:29 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 3 คานาเดีย
 

หลังจากที่ไมเคิลรับงานมา เขาจึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์นาธานเนียลและประเทศคานาเดีย ข้อมูลที่หาง่ายที่สุดคงเป็นข้อมูลของประเทศเล็กๆ นี้ คานาเดียเป็นประเทศที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขา มีเพียงด้านทิศตะวันตกของประเทศที่ติดทะเลบางส่วน อากาศโดยรวมแบ่งเป็น 4 ฤดู อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ช่วงนี้คงเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว

 

ด้านประชากรนับว่าคานาเดียมีคนอยู่ไม่มาก เพียงแค่ หนึ่งล้านเศษๆ เท่านั้น ประชากร มีอาชีพหลากหลาย แต่หลักๆ คือการทำเหมือง และ เกี่ยวกับพลังงานสะอาดจำพวก พลังงานลม และแสงอาทิตย์

 

ระบบเศรษฐกิจ คานาเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากประเทศหนึ่ง อัตราการจ้างงานสูง มีรายได้ขั้นต่ำที่นับมาสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง รวมไปถึง อัตราค่าครองชีพที่ถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นๆ อีกด้วย

 

การนำเข้าส่งออก คานาเดียนับเป็นประเทศที่ค้าขายอัญมณีเกรดเอ ที่มีชื่อเสียงมากประเทศหนึ่ง อัญมณีขึ้นชื่อคือ เพชรสีแดงที่นับว่าหายากมาก แต่คานาเดียกลับมีเพชรชนิดนี้อยู่ไม่น้อย รวมไปถึงมรกตที่หาได้ยากและมีราคาสูง นอกจากนี้คานาเดียยังพบเพรชสีอื่นๆ และเพชรธรรมดา แซปไฟร์สีน้ำเงินเข้มก็พบได้มาก และเป็นที่ต้องการของตลาด มีคนให้นิยามคานาเดียว่า ในตอนที่พระเจ้าสร้างคานาเดีย พอดีพระเจ้าได้ทำถุงอัญมณีถุงใหญ่ตกลงไปด้วย ทำให้คานาเดียมีอัญมณีมากมาย ราวกับใต้ผืนดินลงไปนั้น มีแต่อัญมณีก็ไม่ปาน

 

เมื่อประมาณ 5 – 6 ปี ที่ผ่านมา คานาเดียเริ่มหาสิ่งอื่นมาทดแทนอัญมณี นั่นคือเรื่องพลังงานสะอาด คานาเดีย เริ่มใช้ พลังงานสะอาดมาตั้งแต่แรก และถือปฏิบัติเคร่งครัดให้เคารพต่อธรรมชาติ จนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี ในด้านนี้จนเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาน้ำมันแพง คานาเดียกลับมีพลังงานเหลือเฝือจากพลังงานลม และแสงอาทิตย์ และคานาเดียก็เริ่มโปรโมตพลังงานเหล่านี้ให้ชาวโลกอิจฉา เพื่อหวังว่าผู้นำชาติต่างๆ จะเอนเอียงความสนใจมาที่พลังงานสะอาดนี้ เพื่อคานาเดียจะได้ผลักดันให้เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งของคานาเดียนั่นเอง

 

การปกครอง คานาเดีย ยังมีระบบกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ และไม่น่าเชื่อว่า โครงการดีๆ หลายๆ อย่างล้วนเริ่มต้นมาจากกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ กษัตริย์องค์ก่อน มีพระสนมจำนวนมาก ทำให้คานาเดียมีเจ้าชายอยู่หลายพระองค์ ซึ่งนับได้หลักสิบ แต่เจ้าชายที่มีความสำคัญ และมีบทบาทต่อประเทศมากที่สุด จะมี 3 พระองค์ นั่นคือ เจ้าชายนาธานเนียล หรือกษัตริย์องค์ปัจจุบัน เจ้าชายราฟาเอล หรือเจ้าชายรัชทายาท และเจ้าชายเดเมี่ยน ที่เรื่องส่วนตัวนั้น เท่าที่อ่านเจอก็มีแต่คำว่า เสเพล เจ้าชู้เพล์บอย และ มีสนม หรือ นาง/นาย ในฮาเร็มจำนวนมาก ดูจะเป็นเพียงเจ้าชายเพียงคนเดียวที่ไม่แคร์สังคม ชอบทำอะไรตามใจ แต่ดูเหมือนว่าพี่น้องตระกูลนี้ จะขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ทุกคน และนั่นก็รวมไปถึงองค์นาธานเนียล และ องค์ราฟาเอลด้วย

 

อ่านมาถึงตรงนี้ ไมเคิลก็เริ่มไม่ค่อยชอบเจ้าชายพวกนี้เสียแล้ว ในเมื่อมีอำนาจล้นฟ้าขนาดนี้ คงจะใช้อำนาจกันอย่างเพลิดเพลินจนไม่เห็นชาวบ้านตาดำๆ อยู่ในสายตา ดวงตาของไมเคิลฉายแววโกรธออกมาวูบหนึ่ง เมื่อคิดถึงคนที่พรากชีวิตพ่อและแม่ของเขาไป และคนๆ นั้นก็มีเงินทองและอำนาจไม่ต่างไปจากเจ้าชายพวกนี้นัก แต่ไมเคิลก็มีความเป็นมืออาชีพ อย่างน้อยเขาก็ต้องถ่ายรูปของกษัตริย์นาธานเนียลให้ได้ โดยที่ไม่ใช้อคติมาบดบังวิสัยทัศน์

 

ไมเคิลอ่านมาเรื่อยๆ เกี่ยวกับกษัตริย์นาธานเนียล เขาแปลกใจเล็กน้อยที่พระองค์มีพระชายาแล้ว และประกาศว่าจะไม่มีพระสนม น่าแปลกที่กษัตริย์หนุ่มคิดแบบนี้ทั้งๆที่หาก พระองค์ต้องการ ด้วยหน้าตาและฐานะ กษัตริย์รูปงามจะมีสนมเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่แปลก

 

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ คานาเดียมีเสรีทางด้านความรักและเพศ คานาเดียเปิดรับการแต่งงานระหว่างชายหญิง หญิงหญิง และ ชายชาย ทำให้ไมเคิลรู้สึกว่า คานาเดียเป็นประเทศที่น่าสนใจทีเดียว

งานในครั้งนี้มี ความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ไมเคิลจึงตัดสินใจไม่บอกรายละเอียดของงานชิ้นนี้แก่โทนี่ เพราะไม่ต้องการให้น้องชายเป็นห่วง

 

ก่อนการเดินทางไมเคิลเดินทางไปที่หลุมศพพ่อและแม่ เขาซื้อดอกลิลลี่สีขาวไปด้วย เพราะนั่นเป็นดอกไม้ที่แม่โปรดปราน ไมเคิลยืนอยู่หน้าหลุมศพ ทุกครั้งที่เขาจะเดินทางไปต่างประเทศ เขาจะมาที่นี่เสมอ หลายต่อหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ แต่บางอย่างกลับทำให้เขาแคล้วคลาดเสมอ เขารู้สึกว่าทั้งพ่อและแม่ คอยดูและคอยช่วยเหลือเขาอยู่บนสวรรค์เสมอ

 

"พ่อครับ แม่ครับ ผมมาลาไปทำงานครับ” ไมเคิลกล่าวเบาๆ แตะมือไปที่ป้ายหลุมศพของทั้งสอง ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าหลุมศพอยู่นานก่อนจะเดินทางกลับบ้านไป เพื่อเตรียมตัวเดินทาง

 

ไมเคิลเตรียมทั้งสูทและทักซิโดหลายชุด เพราะงานในครั้งนี้เขาอาจจะต้องเข้าร่วมงานหลายงาน เพื่อหาโอกาสถ่ายภาพขององค์นาธานเนียล ในการเดินทางครั้งนี้เขาไปในนามของนิตยสารเวลา เขาได้รับบัตรประจำตัวนักข่าว บัตรเครดิตที่มีวงเงินในการใช้จ่ายสูงของทางนิตยสารที่ให้เขาไว้ในการใช้จ่ายระหว่างพำนักอยู่ที่คานาเดีย ตั๋วเครื่องบิน และ เอกสารอนุญาตเข้าประเทศคานาเดีย

 

ในตอนเช้าของวันเดินทาง โทนี่อาสาเป็นคนขับรถไปส่งพี่ชายที่สนามบิน แม้ว่าไมเคิลจะเดินทางบ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยชินกับการจะต้องแยกจากกับน้องชาย ยิ่งในครั้งนี้ไมเคิลยิ่งรู้สึกกังวลอย่างประหลาด แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นออกไป

“ระวังตัวด้วยนะครับพี่” โทนี่อดห่วงพี่ชายไม่ได้

“พี่ดูแลตัวเองได้ เธอนั่นแหล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยอย่าเอาแต่ทำงานอย่างเดียวเข้าใจไหม”

ไมเคิลกอดน้องชายอยู่เนิ่นนาน ส่งยิ้มอบอุ่นให้ ก่อนจะร่ำลาและเดินเข้าไปขึ้นเครื่อง

 

 

ไมเคิลนั่งอยู่ในเครื่องมาเกือบ 6 ชั่วโมงแล้ว และในตอนนี้กัปตันก็กำลังประกาศว่าอีกครึ่งชั่วโมงเครื่องจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติคานาเดีย หลังจากเดินทางมาถึงที่โรงแรมที่พักไมเคิลก็เอาของจากในกระเป๋ามาจัด เขายอมรับว่าทริปนี้ทุกอย่างดูจะสะดวกสบายและราบรื่นไปหมด คานาเดียแม้จะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทางนิตยสารเวลา จองห้องพักที่ โรงแรม the Fairmont Le Chateau Frontenac แม้จะเป็นห้องธรรมดา แต่ก็ยังหรูหรามากอยู่ดี

 

ไมเคิลค่อนข้างเหนื่อยกับการเดินทางเขาจึงตัดสินใจที่จะ ทานอาหารค่ำในโรงแรมแทน ช่างภาพหนุ่มจึงแต่งตัวและเดินเข้าไปในห้องอาหาร ภายในถูกจัดตกแต่งอย่างสวยหรูสมกับที่เป็นห้องอาหารของโรงแรมระดับห้าดาว พอมาถึงด้านหน้าก็มีพนักงานต้อนรับยิ้มแย้ม คอยทักทายแขกอยู่ทางตรงทางเข้า

 

“สวัสดีค่ะ คุณมิลลส์ มาเพียงท่านเดียวใช่มั้ยคะ” ไมเคิลแปลกใจเล็กน้อยที่พนักงานต้อนรับรู้ชื่อของเขา แต่เนื่องจากเป็นโรงแรมหรู ระดับห้าดาว ที่มีชื่อเสียงและตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โรงแรมแห่งนี้ก็ได้รับรางวัลมากมาย จึงอาจจะเป็นนโยบายของโรงแรมก็ได้ในการจดจำชื่อของแขก

“คนเดียวครับ” เขาตอบ

“คือวันนี้ทางร้านอาหาร เรามีแขกคนสำคัญมาใช้บริการ ทำให้ในโซนหน้าต่างฝั่งภูเขาถูกปิด ไม่ทราบว่าคุณมิลลส์สะดวกในโซนทางทิศใต้ฝั่งแม่น้ำหรือเปล่าคะ” พนักงานแจ้งอย่างสุภาพ พร้อมกับชี้ไปทางโซนฝั่งวิวแม่น้ำที่เปิดอยู่

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งตรงไหนก็ได้” ไมเคิลตอบ อย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็แอบสงสัยว่า แขกวีไอพีคนนั้นเป็นใคร หลังจากพนักงานพาเขามานั่งที่โต๊ะ เขาก็สั่งอาหารมาทานเพียงไม่กี่อย่าง และด้วยความที่เป็นช่างภาพเขาจึงเลือกที่จะนั่งหันหน้าออก เพื่อว่าเขาอาจจะมีโอกาสได้เห็นว่าแขกวีไอพี เป็นใครด้วย

 

ไมเคิลมีผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีฟ้าจาง ใบหน้าคมสันแต่ก็ดูหวาน สวย แปลกตา

ชายหนุ่มนั่งจิบไวน์พลางๆ ขณะรออาหาร ทำให้พนักงานสาวๆ หลายคนแอบส่งสายตา มาทางเขาบ่อยๆ ไมเคิลยิ้มตอบอย่างสุภาพแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร

 

อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกถูกยกมาเสริฟ ไมเคิลมองอาหารน่ากินในจาน แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางโซนวีไอพี

"ฝ่าบาท! ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ อยู่ๆ พระองค์จะมาบอกเลิกกับหม่อมฉันแบบนี้ได้อย่างไร” เสียงผู้หญิงดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาทางนี้

“ฝ่าบาท อย่าทรงทิ้งหม่อมฉันไปเลยเพคะ” หญิงสาวที่จัดว่าสวยมาก พยายามเกาะแขนอ้อนวอนชายผมสีดำยาวที่ปล่อยสยายเต็มหลัง หญิงสาวดูร้อนใจกับท่าทีของชายหนุ่ม พยายามอย่างที่สุดที่จะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

“เราบอกว่าเราเบื่อเจ้าแล้วยังไง ปล่อยได้แล้ว” ชายผมดำกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมอย่างไร้เยื่อใย

 

แม้จะไม่อยากเห็น และไม่อยากได้ยินแต่ไมเคิลก็นั่งอยู่ตรงนั้น หญิงสาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง เครื่องประดับแต่ละชิ้นล้วนเป็นอัญมณีมีค่า กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ชุดราตรีสีแดงผ่าข้างสูงแบบเกาะอก ที่แทบจะปิดหน้าอกไม่มิด หญิงสาวคงจะสวยเซ็กซี่ไม่น้อยหาก ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม จนมาสคาร่า เริ่มละลายเป็นคราบสีดำออกมา ชายผมผาวสีดำ ที่ดูแล้วก็คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 cm หน้าตาหล่อเหลา แต่ใบหน้ากลับรู้สึกเย็นชา ดวงตาสีดำราวรัตติกาลที่ดูลึกลับและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน เมื่อไมเคิลมองไป ชายผมยาวสีดำสนิทก็หันมาพอดี สายตาของทั้งสองคนก็บรรจบกัน ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่เขาอย่างสนใจ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แม้เพียงเสี้ยววินาที ไมเคิลก็รู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนที่ชายผมยาวสีดำสนิท จะเดินออกไปจากห้องอาหาร ปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้อยู่ตามลำพัง

 

พนักงานพยายามจะเข้าไปปลอบแต่ก็ถูกหญิงสาวตวาดใส่ ไมเคิลจึงคิดในใจโดยมิได้กล่าวออกมา ‘สมควรแล้วล่ะที่ถูกทิ้ง’

 

หากไมเคิลจำไม่ผิดผู้ชายคนนั้นที่เพิ่งเดินออกไป คือ เจ้าชายเดเมี่ยนอย่างแน่นอน และก็ดูเหมือนว่า เจ้าชายพระองค์นี้ ก็เป็นอย่างที่เขาได้อ่านเจอมาทุกประการ แม้กระนั้น ไมเคิลก็ยังรู้สึกแปลกๆ เมื่อคิดถึง สายตาคม สีดำ คู่นั้น แต่เขาก็พยายามไล่เรื่องไร้สาระออกไป ตอนนี้เขาจะต้องโฟกัสเกี่ยวกับงานเท่านั้น ไม่มีเวลามาเสียกับเรื่องไร้สาระเด็ดขาด

 

ไมเคิลเอาโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับงานเลี้ยงต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขาเลือกงานที่คิดว่า กษัตริย์นาธานเนียลน่าจะไป แล้วจึงหารายละเอียด เกี่ยวกับสถานที่และเวลาจัดงาน หลังทานอาหารที่สั่งมาจนอิ่มหนำ ช่างภาพหนุ่มก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องพักอย่างอ่อนล้าจากการเดินทาง

 

ทั้งๆ ที่ไมเคิลออกจะเหนื่อยล้า กระนั้นในระหว่างห้วงความคิด และ ความฝัน สายตาคมสีดำคู่นั้นกลับเข้ามาวนเวียนรบกวนจิตใจของเขา ตลอดทั้งคืน

 ____________________________________

เจอกันล่ะ แบบแว็บๆ นะ

รออ่านคอมเม้นท์นะ

 

รักรีดเดอร์มากกกกกกกกกก

คือจริงๆ แล้วอยู่ทางนี้เหงามาก พอมีคอมเม้นท์มา ไรท์เลยดีใจ

รัก รัก รัก ทุกคนเลย

Xoxo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2017 12:40:26 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
https://www.facebook.com/teddybeararthur

บทที่ 4 งานเลี้ยงสวมหน้ากาก
 

หลังจากไมเคิลค้นหาข้อมูลอยู่ทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกที่จะไปงานเลี้ยงสวมหน้ากากที่จะจัดขึ้น ที่ห้องบอลล์ ของโรงแรม ด้วยเหตุผลที่ว่า หากองค์เดเมี่ยนยังเสด็จมาที่โรงแรมแห่งนี้เมื่อคืน โอกาสที่องค์นาธานเนียลจะเสด็จมาในโรงแรมแห่งนี้ก็น่าจะมีมากเช่นกัน

 

ไมเคิลแอบพกกล้องตัวเล็กที่มีความสามารถไม่เล็กเลยไปด้วย  กล้องตัวนี้มีเลนส์ที่ดีมาก และไมเคิลก็ควักเงินจ่ายไปจำนวนไม่น้อยโดยไม่เสียดาย กล้องสามารถเก็บไว้ในเสื้อได้โดยไม่เป็นที่สังเกตุ และหากองค์นาธานเนียลเสด็จมาในงาน เขาก็มั่นใจว่าจะเก็บภาพของกษัตริย์หนุ่มไว้ได้แน่ๆ

 

ในงานสวมหน้ากากนั้น  มีผู้คนจำนวนมากมาเข้าร่วม โดยประมาณน่าจะไม่ต่ำกว่า 500 คน งานสวมหน้ากากนี้ จัดขึ้นเพื่อการกุศล และนำเงินไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ที่ขาดแคลน ผู้คนที่มาร่วมงานมีหลากหลาย ทั้งทางรัฐบาล นักธุรกิจ ทหาร และตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ด้วย

 

เพราะในงานทุกคนต่างสวมหน้ากาก จึงค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร แต่นั่นกลับเป็นประโยชน์ต่อไมเคิล เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว เขาเพียงแค่ทำตัวให้ดูดี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาสามารถเข้ามาในงานได้แม้ไม่มีบัตรเชิญก็ตาม

 

ไมเคิลแต่งกายด้วยชุดทักซิโดสีขาว เพื่อให้เข้ากับหน้ากากแมวสีเดียวกันที่เขาซื้อมาจากในเมืองเมื่อตอนเย็น เขาไม่อยากไปในงานเร็วเกินไปนักเพราะส่วนใหญ่พวกแขกคนสำคัญมักจะมาช้า ดังนั้นเขาจึงรอจนเริ่มดึกมากขึ้นสักนิด แล้วจึงเข้าไปในงาน แต่เมื่อไมเคิลเดินเข้ามาในงาน เขาก็กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทีเดียว

 

ไมเคิลสูงระดับปานกลาง รูปร่างเล็กๆ ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ในขณะนี้เขาสวมทักซิโดสีขาว กับหน้ากากแมวสีขาว ประดับด้วยคริสตัล เปิดเผยริมฝีปากบางสีชมพู เมื่อหน้ากากต้องแสงไฟ มันก็ส่องประกายออกมา บวกกับชุดสีขาว ดูแล้วเหมือนกับว่าเขามีออร่าเกิดขึ้นรอบๆ ตัวทีเดียว

 

คนมาใหม่พยายามมองไปรอบๆ ห้องจัดเลี้ยง เพื่อมองหาบุคคลที่คล้ายกับองค์นาธานเนียล ภายในห้องมีขนาดใหญ่ แขกที่มาก็มีมากมาย ทุกคนล้วนสวมใส่หน้ากาก บางคนก็แต่งกายอย่างอลังการ สาวๆ ต่างก็พยายามอวดโฉมเยื้อย่าง ส่งสายตาหาหนุ่มๆ สาวสวยบางคนยังเมียงมองมาทางเขา แต่ไมเคิลก็เพียงส่งยิ้มให้อย่างสุภาพกลับไป เขารู้ว่างานเลี้ยงสวมหน้ากากอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในการตามหากษัตริย์หนุ่ม เพราะทุกคนล้วนปกปิดใบหน้า แต่ไมเคิลก็เชื่อว่าคนอย่างองค์นาธานเนียล ต่อให้คลุมด้วยผ้าขี้ริ้ว กษัตริย์รูปงามคนนั้นก็ยังคงเปล่งประกาย โดดเด่นกว่าใคร ช่างภาพหนุ่มพยายามมองหาคนที่ดูสง่างาม สูงใหญ่ ด้วยความจดจ่อกับการตามหาเป้าหมายเบื้องหน้า ไมเคิลจึงไม่ทันได้ระวัง โดยไม่รู้ตัวว่าเขาตกเป็นเป้าหมายจากคนที่เดินมาจากเบื้องหลัง

 

“ลูกแมวอย่างเจ้า กำลังหลงทางอยู่หรืออย่างไร” เสียงกระซิบดังข้างหู ไมเคิลตกใจหันกลับมามอง แต่เขาก็พบกับอกกว้างบดบังวิสัยทัศน์อยู่ตรงหน้า ชายคนนี้อยู่ในชุดแบบคานาเดีย ทรงทหาร กำมะยี่ มีลวดลาย สีดำ ที่สำคัญชายหนุ่มสูงเสียจนไมเคิลต้องเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่ปรากฎคือชายผมยาวสีดำ สวมหน้ากาก เสือดำ ปิดครึ่งหน้า ริมฝีปากนั้นกำลังยิ้มแย้ม ราวกับเจอของเล่นถูกใจ

 

คนๆ นี้เข้ามายืนใกล้เขาเกินความจำเป็น จนไมเคิลแทบจะสัมผัสถึงไออุ่นจากคนตรงหน้าได้ พอได้สบตากับคนตัวใหญ่ เขาก็รู้ทันทีว่า คนๆ นี้เป็นใคร ดวงตาสีราตรีอันมืดมิด ดวงตาที่ตามไปก่อกวนแม้ในยามที่เขาหลับฝัน

 

“องค์ชายเดเมี่ยน!” ไมเคิลกล่าวเบาๆ ด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามถอยหนี แต่คนตัวใหญ่ก็คว้าจับมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้น จรดริมฝีปาก

“หากรู้ว่าเราเป็นใคร แล้วใยเจ้าจึงถอยหนีกันเล่า” องค์เดเมี่ยนถาม

“ผม...กระหม่อมเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ มิได้มีค่าคู่ควรกับพระองค์ ปล่อยกระหม่อมเถอะขอรับ” ไมเคิลตอบ พยายามจะชักมือกลับ

“พูดธรรมดาเถิดแมวน้อย...คู่ควรหรือไม่ เราเป็นคนตัดสิน นอกเสียจากว่าเจ้าจะรังเกียจเรา” องค์เดเมี่ยนตอบ ไม่เพียงไม่ปล่อย แต่กลับรั้งคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ และโอบกอดอย่างเป็นเจ้าของ

“อย่าครับ” ไมเคิลพยายามผลักคนตรงหน้าออก เมื่อรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้ลงต่ำ และสัมผัสราวกับกำลังสำรวจเรือนร่างของเขา

 

“เป็นลูกแมวที่เล่นตัวเสียด้วย” องค์เดเมี่ยนยอมให้ร่างบางถอยออกห่างแต่ยังคงจ้องมอง ราวกับเสือร้ายที่จ้องมองเหยื่อชิ้นโต ในเมื่อเหยี่อชิ้นนี้อยากจะเล่นกับพระองค์ พระองค์ก็จะเล่นด้วย เจ้าชายตัดสินพระทัย ยังไงคืนนี้ลูกแมวขี้ตื่นตัวนี้จะต้องมาอยู่ในเตียงอุ่นของพระองค์ให้ได้

 

“กระหม่อมขอตัว” ไมเคิลตอบ ก่อนจะพยายามเดินหนีแต่คนตัวใหญ่ก็รั้งตัวไว้อีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าชื่ออะไร” ทรงถาม

“เอ่อ...เจมส์ ครับ” ไมเคิลโกหก

“เจ้าจะโกหกก็ควรจะโกหกให้เนียนหน่อยสิ เอ่อ...เจมส์” องค์เดเมี่ยนหัวเราะกับชื่อปลอมที่ไมเคิลคิดขึ้นมาอย่างกะทันหันจนคนตัวเล็กหน้าแดง

 

“ในเมื่อเจ้าต้องการเป็น เจมส์ ในคืนนี้เราจะเรียกเจ้าว่าเจมส์” ร่างสูงบอก

“เต้นรำกับเราสักเพลงก็แล้วกัน เจมส์” องค์เดเมี่ยนยื่นมือออกมาให้เขา รอคอย ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

 

ไมเคิลลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปหาเจ้าชายหนุ่ม องค์เดเมี่ยนรั้งคนตัวเล็ก เข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะพาไปที่ลานเต้นรำ ท่ามกลางสายตาแห่งความอิจฉาที่ส่งมาให้คนตัวเล็ก

 

เจ้าชายโค้งคำนับให้อย่างเป็นทางการก่อนเริ่มเต้นรำ แต่ไมเคิลกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลัง หยอกล้อเขาอยู่ แต่ด้วยความไม่อยากเสียมารยาทไมเคิลจึงโค้งคำนับตอบ เจ้าชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และรั้งเขาเข้าไปในวงแขน ก่อนจะเป็นคนนำเต้นรำ

 

ไมเคิลเข้างานสังคมบ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเต้นรำกับผู้ชาย และชายคนนี้ยังเป็นถึงเจ้าชายอีกด้วย แต่เพราะองค์เดเมี่ยนเต้นรำเก่งมาก และเป็นคนนำจังหวะทำให้แม้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็สามารถเต้นได้อย่างไม่ติดขัด

 

สายตาของผู้คนโดยรอบต่างหันมามองทั้งคู่ องค์ชายเดเมี่ยนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ เพิ่งจะบอกเลิกกับแฟนสาวที่คบหากันได้แค่เดือนกว่าๆ ไปเมื่อคืน ข่าวลือ ต่างๆ ก็โหมสะพัด และหนึ่งในข่าวลือ คือ เจ้าชายหนุ่มเจอคนใหม่ และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงดังนั้น เพราะตั้งแต่องค์เดเมี่ยนเสด็จมางานเลี้ยงตั้งแต่ช่วงค่ำ พระองค์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาในงาน เจ้าชายก็เดินตามไปราวกับต้องมนต์สะกด

 

“เราไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้ามาจากที่ไหน” องค์เดเมี่ยนชวนคุย สายตาคมคู่นั้นเอาแต่จับจ้องมองไมเคิลอยู่ตลอดเวลา จนเขารู้สึกแปลกๆ

“ผมเพิ่งมาถึงคานาเดียเมื่อวานครับ” ไมเคิลตอบสั้นๆ

“เจ้าไม่อยากบอกกับเราเหรอว่าเจ้ามาจากไหน” ทรงถามต่อ อย่างรู้ทัน

“...” ไมเคิลก้มหน้าไม่ตอบ

“จากสำเนียงของเจ้า น่าจะเป็นอเมริกัน” ทรงพูด เมื่อเห็นคนตัวเล็กสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พระองค์ก็มั่นใจว่าเดาไม่ผิด

“อเมริกาสินะ เจ้ามาทำอะไรที่คานาเดีย” ทรงซักถามต่อไป

“ผมมาเที่ยวพักผ่อนครับ” ไมเคิลโกหกอีก

“คนมาพักผ่อน แล้วทำไมถึงเอาชุดแบบทางการ อย่างทักซิโดมาล่ะ” ทรงตั้งข้อสังเกต

 

ไมเคิลเริ่มรู้สึกว่าเจ้าชายองค์นี้ดูจะฉลาดมากกว่าที่เขาคิดไว้และรู้ว่าถ้าเขาปล่อยให้คนตรงหน้าถามต่อ เขาคงถูกเปิดโปงฐานะแน่ๆ และคงไม่ฉลาดนักหากถูกจับตัวส่งออกนอกประเทศทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เจอเป้าหมายที่เขาต้องการถ่ายภาพ

 

“ผมกลายเป็นนักโทษของพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ” ไมเคิลถาม พร้อมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายตรงหน้า สายตาขององค์เดเมี่ยนก็สบกับ ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น

“เจ้าไม่ใช่นักโทษของเรา เราแค่เพียงสนใจในตัวเจ้า และก็ช่วยไม่ได้ที่เจ้าเอาแต่โกหกเรา แถมยังไม่ยอมบอกชื่อกับเราด้วยซ้ำ” ทรงตอบแก้ต่าง

“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย” ไมเคิลเถียง เจ้าชายก็หัวเราะ

“ลูกแมวอย่างเจ้าอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่เจ้าหลอก เสือดำ อย่างเราไม่ได้หรอก” องค์เดเมี่ยนตอบพร้อมกับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น

“ผมไม่ใช่ลูกแมว และผมก็ไม่ได้หลอกพระองค์” ไมเคิลแย้งเสียงเบา องค์เดเมี่ยนยิ้มกว้างก่อนจะกระซิบตอบ

 

“เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าเราน่ะชอบ กิน ลูกแมวอย่างเจ้าเป็นของหวาน”

 

ไมเคิลหน้าแดงวาบ เข้าใจความหมายของคนตรงหน้าอย่างถ่องแท้ เมื่อสายตาที่มองมาของคนๆ นี้ มิได้ปกปิดความปรารถนาเลยแม้แต่น้อย เขาก้มหน้า หลบสายตาคม ก่อนจะหยุดเต้นรำและถอยออกห่าง

 

“ถึงผมจะเป็นแค่ลูกแมวในสายตาของพระองค์ แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมถูกจับกินง่ายๆ หรอกนะครับ” ไมเคิลกล่าวก่อนจะเดินหนีออกมาโดยไม่ยอมรีรอให้เจ้าชายได้ห้ามทัน

 

ไมเคิลย่อมรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของเจ้าชายเดเมี่ยนเป็นอย่างดี เจ้าชายองค์นี้ อันตรายเกินไป เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเขา ย่อมไม่ใช่คู่มือขององค์เดเมี่ยน หากหลวมตัว ลดการ์ดลง เขาคงถูกเสือดำอย่างเจ้าชายเดเมี่ยนจับกิน และลงท้ายก็คงมีสภาพไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อคืนอย่างแน่นอน คนที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าชายแบบนั้น คนธรรมดาอย่างเขาก็คงเป็นได้เพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น และเขาก็ไม่มีความคิดจะเป็นของเล่นของใคร

 

เมื่อไมเคิลเดินหนีออกมาจากเจ้าชาย เขาก็เดินมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เขาพยายามจะสงบสติลง ทั้งสายตาคมคู่นั้นและสัมผัสอันจาบจ้วงของคนตัวใหญ่ มันกลับทำให้เขาว้าวุ่น ทุกที่ที่ถูกสัมผัสร้อนวาบราวกับถูกไฟเผา หัวใจของไมเคิลเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะโฟกัสกับสิ่งตรงหน้า

 

แต่ก่อนที่ไมเคิลจะทันได้ตัดสินใจทำอะไร อยู่ๆ เขาก็ถูดฉุดรั้งเข้าไปข้างหลังผ้าม่านยาวติดพื้น ที่ประดับตกแต่งบริเวณหน้าต่าง ไมเคิลตกใจที่ถูกดึงเข้าไปแต่ เมื่อเห็นหน้าคนกระทำก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก ภายในค่อนข้างสลัว มีเพียงแสงจากนอกหน้าต่างส่องเข้ามา องค์เดเมี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น ทรงถอดหน้ากากเสือดำออกแล้ว เปิดเผยใบหน้าอันหล่อเหลาให้เห็น ใบหน้าได้รูป เป็นคมสัน รับกับจมูกโด่งเข้ากับรูปหน้า ผมยาวสีดำถูกรวบไว้ด้วยเชือกเป็นหางม้าอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีดำ ลึกลับ น่าค้นหา จับจ้องมาที่ไมเคิล และริมฝีปากที่เลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะจิต

“ฝ่าบาท!!” เสียงของไมเคิลดังได้แค่นั้น ก่อนที่คนตัวใหญ่จะถอดหน้ากากของไมเคิลออก และ ประทับริมฝีปากลงมา ปิดกั้นเสียงประท้วงของคนตัวเล็กกว่าอย่างเป็นเจ้าของ

________________________________

ถ้าใครคิดว่าราฟาเอลมือไวใจเร็วแล้ว ขอบอกว่า เดเมียนนี่ คูณเข้าไปอีก 3-4 เท่า

 

อัพแล้วนะ มาอ่านกัน อ่านเสร็จแล้ว เม้นท์ด้วยนะ

 

รักกกกกกกกกกกกก รีดเดอร์ มากกกกกกกกกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2017 12:45:52 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
น่ารัก..อ่าาา เจ้าชาย

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Teddy Bear แห่ง คานาเดีย

 บทที่ 5 ความปรารถนา

 

เจ้าชายหนุ่มครอบครองริมฝีปากของไมเคิลอย่างเป็นเจ้าของ เย้ายวน เรียกร้อง และปรารถนา ความช่ำชองของคนตัวใหญ่ทำให้ คนไร้ประสบการณ์อย่างไมเคิล กลายเป็นดั่งแมวตัวน้อย ที่ต้องยินยอม อ่อนตามไปกับความปรารถนาของเจ้าชายหนุ่ม แม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตาม

 

เจ้าชายดูดกลืนริมฝีปากล่างของไมเคิลอย่างหิวกระหาย พระองค์ดูดเม้มจนริมฝีปากบางเริ่มบวมช้ำ ลิ้นร้อนๆ ของเจ้าชายค่อยๆ สอดเข้ามาควานหาความหวานจากคนตัวเล็ก และหยอกเย้าให้อีกฝ่ายตอบสนองต่อลิ้นของพระองค์ เจ้าชายครอบครองริมฝีปากของไมเคิลอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนริมฝีปากอย่างช้าๆ ในชีวิตไมเคิลไม่เคยจูบใครแบบนี้ ร่างกายของเขากลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ความเสียวซ่านค่อยๆ แล่นลงสู่แก่นกายเบื้องล่าง แม้อีกฝ่ายจะยังมิได้แตะต้องเขาด้วยซ้ำ

 

เมื่อเจ้าชายถอนริมฝีปากออก ไมเคิลก็เหมือนจะได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ร่างกายกลับทรยศหักหลัง เข่าของไมเคิลก็ดูจะอ่อนยวบลงจนเขาเกือบจะล้ม โชคดีที่คนตัวใหญ่รั้งเขาไว้ได้ทัน ไมเคิลพยายามหายใจอย่างยากลำบาก ร่างกายรู้สึกแปลก ราวกับไม่ใช่ตัวเขา เมื่อตั้งสติได้ ไมเคิลจึงค่อยๆ ผลักร่างของเจ้าชายหนุ่มออกห่าง แต่แทนที่จะโกรธ องค์เดเมี่ยนกลับยิ้มออกมา

 

“ทั้งๆ ที่ร่างกายของเจ้าปรารถนาเรามากขนาดนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธเราอีกเหรอ” ทรงถามยิ้มๆ

ไมเคิลหน้าแดง ด้วยความอับอาย พยายามหาเสียงของตัวเองจนเจอ

“ปล่อยผมไปเถอะครับ อย่าทำแบบนี้” ไมเคิลพยายามขอร้อง เขาไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับคนอย่างองค์เดเมี่ยน คนๆ นี้ หล่อเหลาเกินไป ช่ำชองเกินไป และ อันตรายเกินไป สำหรับคนด้อยประสบการณ์อย่างเขา

 

“ทำไมเราจะต้องทำอย่างนั้นด้วย” ทรงขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เอื้อมมือมาจับใบหน้าของไมเคิลและรั้งเข้ามาใกล้

“เราบอกเจ้าแล้วไง ว่าเราชอบลูกแมวอย่างเจ้าที่สุด” ทรงกระซิบก่อนจะก้มลงจูบไมเคิลอีกครั้ง จูบที่เร่าร้อนยังคงดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน องค์เดเมี่ยนโอบอุ้มไมเคิลขึ้นวางบนขอบหน้าต่าง ก่อนจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ เพื่อมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

 

ไมเคิลถูกอุ้มขึ้นมานั่งตรงเบาะที่ขอบหน้าต่าง ทำให้ตอนนี้ลูกแมวน้อยสูงกว่าพระองค์เล็กน้อย ไมเคิลนั้นงดงามกว่าที่องค์เดเมี่ยนคิดเอาไว้เสียอีก ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาสีฟ้าอ่อน จมูกโด่งเรียวเข้ากับรูปหน้า และริมฝีปากบางที่บวมช้ำจากการจูบ ยิ่งปลุกเร้าความปรารถนาขององค์เดเมี่ยนมากขึ้นอีก

 

ไมเคิลดูจะยังอยู่ในเมฆหมอกของความปรารถนา รสจูบขององค์เดเมี่ยนทำให้เขามัวเมา จนไม่อาจคิดอะไรได้ ด้วยดวงตาสีรัตติกาลคอยจับจ้องมองเขาทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาปรารถนาต่อความน่าเกรงขามนั้น เมื่อร่างกายไร้การควบคุมในด้านเหตุผล อารมณ์ความรู้สึกจึงเข้าครอบงำ มือเรียวค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสใบหน้าคมสันของคนตัวใหญ่ และรั้งให้เข้ามาใกล้และรอคอยอย่างไร้เดียงสา

 

องค์เดเมี่ยนครอบครองริมฝีปากของคนตรงหน้าอีกครั้ง เสียงครางเบาๆ อย่างพึงพอใจดังขึ้นในลำคอ เหมือนดั่งลูกแมวตัวน้อยที่ออดอ้อน และกำลังบอกว่าพึงพอใจ แค่จูบ คนตรงตรงหน้าก็สร้างความหฤหรรษ์ให้มากถึงเพียงนี้ หากได้ร่วมเตียง เสพสม พระองค์จะสุขขนาดไหน แค่คิดองค์เดเมี่ยนก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

 

ทรงครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน ดูดกลืนความหวานครั้งแล้วครั้งเล่า ลิ้นร้อนควานเข้าไปหาความหวานจากคนตรงหน้า ดูดกลืน ความหอมหวานไม่รู้จบ โดยที่คนตัวเล็กก็มิได้ขัดขืน แต่กลับยินยอมพร้อมใจ ทั้งที่ดูอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็ยินยอมจูบตอบพระองค์อย่างหิวกระหายไม่ต่างกัน

 

ทรงช่ำชองการจูบ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทรงต้องการ พระองค์ต้องการมากกว่านั้น

ทรงต้องการทั้งหมด ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของร่างบางตรงหน้า

 

องค์เดเมี่ยนเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อของคนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ซุกไซร้ต้นคอขาว อีกครั้งที่ไมเคิลครางเบาๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจ เจ้าชายได้ใจ จึงทิ้งรอบจูบไว้ที่ต้นคอของคนตัวเล็ก พระหัตถ์ใหญ่เลื่อนลงต่ำ หมายจะปลดเปลื้องกระดุมกางเกงและสัมผัสกับความตื่นตัวเบื้องล่าง แต่การกระทำของคนใหญ่แบบนั้น ก็ช่วยเรียกสติของไมเคิลให้กลับมาอีกครั้ง

 

ไมเคิลผลักคนตัวใหญ่ที่ไม่ทันระวังตัวจนเซออกไป ก่อนที่เขากระโดดลงจากขอบหน้าต่างและวิ่งหนีออกไปจากงานอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยให้เจ้าชายทำได้เพียงมองตามร่างเล็กที่วิ่งหนีไปอย่างทำอะไรไม่ถูก  เป็นครั้งแรกที่องค์เดเมี่ยนปรารถนาคนๆ หนึ่งขึ้นมาอย่างจริงจัง และเป็นครั้งแรกที่องค์เดเมี่ยนโดนปฏิเสธเช่นนี้ พระองค์ก้มลงมองหน้ากากแมวที่ตกอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู และทรงสัญญากับตัวเองว่า จะต้องปราบลูกแมวจอมพยศตัวนี้ให้สยบแทบพระบาทให้ได้

 

แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ในตอนนี้ความปรารถนาของพระองค์กำลังต้องการการปลดปล่อย แม้จะไม่ได้ลูกแมวขี้ตื่นตัวนั้นมาขึ้นเตียงในห้องบรรทม แต่ในงานก็มี ตัวเลือก ให้เลือกมากมาย สุดท้ายองค์เดเมี่ยนก็ทรงเลือกเด็กหนุ่มผมสีชาคนหนึ่ง แม้จะไม่มีความตื่นเต้นในการล่าเหมือนลูกแมวตัวน้อย แต่ก็ยังดีกว่าที่พระองค์จะต้องนอนหนาวในเตียงเพียงลำพัง  เมื่อทรงเลือกเป้าหมาย องค์เดเมี่ยนก็เพียงจ้องมอง ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ไม่นานเจ้าชายก็ทรงเสด็จออกไปจากงานพร้อมกับหนุ่มน้อยผู้โชคดีคนนั้น

 

ไมเคิลวิ่งออกมาจากงานโดยไม่คิดจะหันกลับไปอีก เขารีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรีบร้อน ด้วยความกลัวว่าหากเขาไม่หนีออกมาจากจุดนั้น เขาคงไม่อาจหลุดพ้นจากองค์เดเมี่ยนได้เป็นแน่

‘ผู้ชายคนนี้ หล่อเหลาเกินไป ช่ำชองเกินไป และ อันตรายเกินไปสำหรับเขา’ ไมเคิลเฝ้าบอกกับตัวเองแบบนั้น

 

เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก ไมเคิลก็รีบถอดเสื้อผ้าออก ความร้อนจากสัมผัสยังคงอ้อยอิ่งอยู่ เขาอยากจะล้าง ทำความสะอาดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป ความปรารถนาที่เขาไม่ควรจะมี ไฟราคะที่เจ้าชายจุดขึ้น เขาไม่ต้องการคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ร่างเปลือยเปล่าของไมเคิลยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ร่องรอยที่คนตัวใหญ่จงใจทิ้งเอาไว้ รอยจูบสีแดงช้ำที่ต้นคอข้างขวา ดูยั่วเย้าอย่างประหลาด ไมเคิลหน้าแดงวาบด้วยความอับอาย ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน ไม่แม้แต่ไรอัน แฟนเก่าที่เขาเคยคบหา เขาไม่เคยปล่อยตัวกับคนแปลกหน้า และยิ่งไม่เคยจูบกับใครในแบบที่เขาจูบเจ้าชายคนนั้น เขาไม่เคยปล่อยให้ความปรารถนาเข้ามาครอบครองจนอยู่เหนือเหตุผล แล้วยิ่งกับองค์เดเมี่ยนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงชั่วโมง ยิ่งไมเคิลคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด ละอายต่อความปรารถนาที่เขามีต่อเจ้าชายผู้สูงศักดิ์คนนั้น

 

รอยจูบที่ต้นคอกลับทำให้ไมเคิลรู้สึกแปลกๆ ยิ่งเมื่อเขาจ้องมอง ความปรารถนาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อหลับตา ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นที่จับจ้อง ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินก็ก่อตัวขึ้นช้าๆ คนตัวเล็กในกระจกเอื้อมมือมาลูบริมฝีปากที่บวมช้ำ รสชาดของจุมพิตยังคงชัดเจนอยู่มาก ความปรารถนา ความดำฤษณาก็ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

 

ไมเคิลเอื้อมมือมาสัมผัสกับส่วนที่ตื่นตัวเบื้องล่างอย่างใจลอย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงรสจูบที่เจ้าชายเดเมี่ยนมอบให้ หลับตา และจินตนาการว่าหากเป็นเจ้าชาย จะทรงสัมผัสเขาอย่างไร เพียงจุมพิต ก็ทำให้ไมเคิลแทบคลั่งแบบนี้ หากทรงทำมากกว่านั้น ไมเคิลก็อยากรู้ว่า พระองค์จะทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดไหน มือใหญ่ที่เจนจัดคู่นั้น จะสัมผัสเขาอย่างไร หากเขายินยอม เจ้าชายคงร่วมรักกับเขาตรงหน้าต่างนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไมเคิลรู้สึกใคร่รู้ว่าหากเขายินยอม เจ้าชายจะทำกับเขาเช่นไร จะทรงอ่อนโยนกับเขา หรือจะทรงทำอย่างดุดัน หรือพระองค์จะทรมานให้เขาปรารถนามากขึ้นกันแน่

 

ไมเคิลเร่งจังหวะ ไม่นานของเหลวสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา ร่างในกระจกหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อีกครั้งที่เขารู้สึกผิด และละอายต่อการกระทำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอาแต่คิดถึงเจ้าชายองค์นี้ จนปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำ จนทำให้ไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อกับงาน หากยืดเยื้อเนิ่นนาน เขาก็คงจะกลายเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานคงจะต้องมาเสียเพราะเจ้าชายผู้มากรักคนนั้น เขาตัดสินใจที่จะรีบทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะได้กลับไปอเมริกา ไปจากคานาเดีย และไปให้ไกลจากผู้ชายที่แสนอันตรายคนนั้น เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมเคิลจึงอาบน้ำและเข้านอน โดยหวังว่าเขาจะไม่ต้องเจอกับดวงตาคู่นั้นในความฝันอีก

 

 

เกือบสว่างแล้ว แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้ ทั้งๆ ที่ทรงร่วมรักกับเด็กหนุ่มมานานนับชั่วโมง เด็กหนุ่มผู้ว่าง่ายก็ทำตามใจเจ้าชายทุกอย่าง และแม้จะทรงปลดปล่อยออกมาหลายครั้ง แต่ความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ก็ยังไม่ลดลง

 

แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ทรงรู้ว่าทำไม ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ร่วมรักกับเด็กน้อยคนนี้ แต่ในห้วงความคิดขององค์เดเมี่ยนกลับเอาแต่คิดถึงลูกแมวน้อยสีขาวตัวนั้น ลูกแมวที่ดูไร้เดียงสา อ่อนประสบการณ์ อีกทั้งยังขี้ตื่นตกใจ ทั้งๆ ที่ลูกแมวตัวจ้อยกำลังปรารถนา แต่กลับเลือกที่จะปฏิเสธและวิ่งหนีไปจากอ้อมกอดของพระองค์

 

จริงอยู่ว่าคนตัวเล็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกแมว แต่ทรงคิดว่าเขาคงจะเป็นลูกแมวป่าเสียมากกว่า หาใช่แมวบ้านเชื่องๆ ที่พระองค์จะพบได้ทั่วไป และเจ้าชายก็ทรงมั่นพระทัยว่าหากทรงไม่ระวังให้ดี ก็อาจจะโดนคมเขี้ยวและรอยเล็บของลูกแมวตัวนั้นก็เป็นได้

 

แต่เมื่อคิดถึงร่างที่บอบบางน่าทะนุถนอม ผิวที่เนียนละเอียดน่าสัมผัส ริมฝีปากบางเร่าร้อนน่าครอบครอง กับความหวานที่ทำให้ลุ่มหลงอย่างไม่รู้จักอิ่มหนำ ต่อให้ถูกกัด หรือถูกข่วนสักกี่แผล เจ้าชายก็ทรงยอม ขอเพียงได้ครอบครองลูกแมวตัวนั้นสักครั้ง พระองค์ก็คิดว่าคุ้มค่าอยู่ดี

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พระองค์ก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทรงมองเด็กหนุ่มเปล่าเปลือยข้างๆ ที่กำลังหลับไหลด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะค่อยๆ ปลุกเร้าเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้มืออีกครั้ง

 

“อืม... ฝ่าบาท... ผมเหนื่อย...แล้วครับ” เสียงประท้วงเบาๆ ดังขึ้น

“งั้นเจ้าก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเราจะทำให้เอง” ทรงกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะปลุกเร้า และครอบครองเด็กหนุ่มอีกครั้ง และ อีกครั้ง จนเมื่อร่างกายมิอาจทนต่อความเหนื่อยล้าได้อีก พระองค์จึงบรรทมหลับไป

 

ในความฝัน ลูกแมวป่าสีขาวตัวนั้นกำลังคลอเคลียเอาอกเอาใจเจ้าชาย คนตัวเล็กค่อยๆ เปลื้องผ้าออกจนร่างบอบบางเปลือยเปล่า เผยให้เห็นทุกสัดส่วน ผิวขาวเรียบเนียนน่าสัมผัส กำลังจะทำให้องค์เดเมี่ยนคลั่งไคล้ ร่างบางอันเย้ายวน เดินยวนยั่วอยู่ตรงหน้า แต่พอองค์เดเมี่ยนจะเอื้อมมือไปสัมผัสกับผิวเรียบเนียนนั้น ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยร่างกายถูกพันธนาการด้วยบางสิ่งที่มีสีดำและค่อยๆ คืบคลานและกลืนกินพระองค์อย่างเชื่องช้า คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มบางๆ มาให้อย่างอ่อนโยน ฉับพลันคนตัวเล็กก็สยายปีกเทวดาสีขาวที่งดงามออกมา แสงออร่าอันเจิดจ้าขับไล่เจ้าเมือกสีดำให้หายไป แต่พอองค์เดเมี่ยนจะเอื้อมคว้าจับร่างบางตรงหน้า เทวดาตัวน้อยก็บินหนีจากไป  เจ้าชายพยายามจะฉุดรั้งไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุ แม้จะทรงร้องเรียกให้เทวดาตัวน้อยกลับมา แต่คนตัวเล็กกลับบินหนีออกไปไกลมากขึ้นทุกที องค์เดเมี่ยนพยายามเฝ้าติดตาม ร้องเรียกหา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรคนตัวเล็กผู้งดงามก็ไม่ยอมกลับมา จวบจนทรงสะดุ้งตื่นขึ้น สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำยามตื่น คือ ชื่อของเทวดาสีขาว คนนั้น

 

“มิคาเอล!!!”



 
 

 

 

_____________________________

อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว ความบ้าส่วนตัวของไรท์ ที่ตัวละครจะชื่อ Michael เพราะ อ่านได้ 2 แบบ มิคาเอล หรือไมเคิล

รีดเดอร์ทำใจกับเดเมี่ยนด้วยนะ คนๆ นี้คือเจ้าชู้จริง เลวจริงอ่ะ ปูเสื่อรอดราม่าเลยดีกว่า ไมเคิลถึงได้กลัว ไม่อยากยุ่งด้วยไง

 

ไรท์แอบมีพล็อทอีกเรื่องเกี่ยวกับลูซิเฟอร์ด้วยอ่ะ อันนั้นคงจะเป็นแฟนตาซีเต็มตัว ไรท์โรคจิตอ่ะ ชอบอะไร ดาร์คๆ พระเอก โหดๆ เอาแต่ใจ น่าจะสนุกดี

 

แฟนเพจ ฝากไลค์ด้วย www.facebook.com/teddybeararthur

 

ไรท์รออ่าน คอมเม้นท์นะ อย่าลืม ว่า คอมเม้นท์มาปัญญาเกิดนะจ๊ะ

อยากอ่านรัวๆ ก็คอมเม้นท์รัวๆ กันมานะ

รักค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2017 07:27:38 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 6 โรงพยาบาล

ไมเคิลตื่นนอนขึ้นอย่างไม่สดชื่นนัก เมื่อคืนเขาเอาแต่ฝันว่าวิ่งหนีเจ้าชายผู้มีดวงตาสีรัตติกาล แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน เจ้าชายคนนั้นก็ตามหาเขาจนเจอทุกครั้งไป ความฝันวนเวียนหลอกหลอน จนไมเคิลสะดุ้งตื่นหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเช้า

ไมเคิลไม่ชอบใจกับความฝันนัก แต่ก็รู้ว่าเขาคงคิดมากไปเอง คนอย่างองค์ชายเดเมี่ยนไม่จำเป็นต้องไล่ตามใคร มีแต่คนที่ยินยอมพร้อมใจถวายตัวให้กับพระองค์ เหมือนกับในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไมเคิลกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ ที่บอกว่าหลังจากที่เจ้าชายหนุ่มเลิกลากับแฟนสาวในคืนก่อน แต่ในงานปาร์ตี้สวมหน้ากากเมื่อคืน องค์เดเมี่ยนก็ออกจากงานไปกับเด็กหนุ่มผมสีชาผู้โชคดีแทน

ไมเคิลรู้ดีว่า เรื่องระหว่างเขากับเจ้าชายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ได้มีความหมายอะไร อย่างที่เห็นเจ้าชายแทนที่ไมเคิลด้วยเด็กหนุ่มผมสีชาคนนั้นโดยที่พระองค์แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย คนอย่างองค์ชายเดเมี่ยนไม่มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอย่าง ความรัก หรอก เพราะคนอย่างเจ้าชายเดเมี่ยน เป็นคนที่ไม่มีหัวใจ

แต่แม้ไมเคิลจะรู้เหตุผลทุกอย่าง เข้าใจสถานะการณ์เป็นอย่างดี แต่เขาก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่องค์เดเมี่ยนกอดจูบเขาแบบนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าชายหนุ่มก็ทำแบบนั้นกับทุกคนที่ทรงพึงพอใจ ไมเคิลไล่ความคิดไร้สาระออกไป เขามาคานาเดียเพื่อมาทำงาน ไม่ได้มาตามหาความรักสักหน่อย แล้วความรักระหว่างเจ้าชายกับสามัญชน มันก็มีแต่ในหนังหรือนิยายเท่านั้น ดังนั้นเขาควรจะเลิกคิดเรื่องนี้เสีย

ไมเคิลพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ พอดีเขาพลิกมาเจอตารางกิจกรรมที่น่าสนใจ ในวันนี้จะมีการเปิดอาคารใหม่ของโรงพยาบาลคานาเดีย ซึ่งอาคารแห่งนี้สร้างด้วยทรัพย์สินส่วนพระองค์ของกษัตริย์นาธานเนียล ไมเคิลยิ้มออกมาด้วยความดีใจ หากองค์นาธานเนียลเป็นคนบริจาคเงินสร้าง ก็ควรเป็นกษัตริย์หนุ่มเองที่มาเปิดอาคารอย่างเป็นทางการไม่ใช่หรือ เมื่อตัดสินใจดังนั้น ไมเคิลจึงไปเตรียมตัว เพื่อหวังว่าจะสามารถถ่ายรูปของกษัตริย์แห่งคานาเดียให้ได้ และเขาก็จะได้กลับอเมริกาเสียที

ไมเคิลเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล ก่อนพิธีเปิดจะเริ่มขึ้นหลายชั่วโมง และเขาก็คิดว่าเขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่นานหลังจากที่เขามาถึง ผู้คนจำนวนมากก็ทยอยกันมารอรับเสด็จกันถ้วนหน้า ไมเคิลถือกล้องตัวใหญ่ยืนรออยู่ในตำแหน่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่คอของเขาแขวนบัตรนักข่าวเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่สิ่งหนึ่งที่ไมเคิลไม่อาจซ่อนคือตัวของเขาเอง ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นสะดุดตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ตรงไหน ช่างภาพหนุ่มก็ยังโดดเด่นเสมอ ไมเคิลยืนรออยู่หลายชั่วโมงในที่สุดขบวนเสด็จก็มาถึง โดยมีรถตำรวจ นำหน้ามาสองคัน ตามด้วยรถขององครักษ์ ขนาบหน้าและหลังรถยนต์ที่ประทับ และปิดท้ายด้วยรถตำรวจอีกสองคัน

ไมเคิลใช้กล้องถ่ายรูป ส่องดูคนในรถ และถ่ายรูปไปหลายสิบรูป แต่เมื่อคนที่อยู่ในรถออกมา เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อคนๆ นั้นไม่ใช่องค์นาธานเนียล แต่กลับกลายเป็น เจ้าชายราฟาเอล เจ้าชายรัชทายาทแห่งคานาเดีย แม้จะไม่ใช่คนที่เขาหวังจะพบแต่อย่างน้อย ไมเคิลก็คิดว่าไม่เสียหาย ในเมื่อมีโอกาสได้ถ่ายรูปของเจ้าชายใกล้ๆ แบบนี้ อีกทั้งเจ้าชายหนุ่มกลับหันมายิ้มแย้มให้กับกล้องของเขาอีกด้วย จนไมเคิลเริ่มสงสัยว่า จริงๆ แล้วแค่บังเอิญ หรือเจ้าชายราฟาเอล กำลังยิ้มให้เขากันแน่

องค์ราฟาเอลทรงประทับอยู่ในรถพระที่นั่ง เพื่อมาเป็นประธานการเปิดใช้ตึกอย่างเป็นทางการ ทรงมองไปในฝูงชนที่มารอรับเสด็จ แต่แล้วสายตาของเจ้าชายก็มาสะดุดอยู่ที่นักข่าวคนหนึ่ง รูปร่างที่บอบบาง ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนยืนถือกล้องตัวใหญ่ และถ่ายรูปพระองค์อยู่หลายรูป และองค์ราฟาเอลก็ใจดีจึงหันไปมองและยิ้มให้กับเจ้าของกล้องคนนั้น

เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ไมเคิลก็ลดกล้องลงและมองดูพิธีเปิดอาคารใหม่ หลังจากมีการตัดริบบิ้นและเปิดอาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางโรงพยาบาลก็เปิดโอกาสให้เจ้าชายและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปชมด้านใน และเนื่องจากไมเคิลมีบัตรนักข่าว ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในด้วย

โรงพยาบาลแห่งนี้ทุกอย่างล้วนดูทันสมัย และดูแล้วเทคโนโลยีบางอย่างอาจจะล้ำหน้า กว่าที่ๆ ไมเคิลจากมาด้วยซ้ำไป หลายสิ่งหลายอย่างดูแปลกตาทำให้เขาอดที่จะถ่ายภาพเก็บเอาไว้ไม่ได้ ไมเคิลถ่ายภาพเพลิน จนไม่ได้ระวังคนที่อยู่ข้างหลัง เขาเดินถอยหลังเพื่อเก็บภาพ สวนขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางของอาคาร จนไปชนกับใครบางคนเข้า ทันทีที่เขาชนกับคนๆ นั้น ไมเคิลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินตบเท้าเข้ามาใกล้ แต่ทุกเสียงก็หยุดลงเมื่อชายคนที่ไมเคิลเดินชนกล่าวประโยคสั้นๆ ว่า

“เราไม่เป็นไร”

ไมเคิลหันหน้ากลับมาเพื่อขอโทษ คนๆ นั้น แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะคนที่เขาเดินถอยมาชน คือ องค์ราฟาเอล เจ้าชายรัชทายาทแห่งคานาเดีย ไมเคิลตกใจ หน้าซีดลง ก่อนจะกล่าวขอโทษอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“กระหม่อมขอประทานอภัยขอรับ ฝ่าบาท กระหม่อมผิดเองที่ไม่ได้ระวัง ขอพระองค์ให้อภัยกระหม่อมด้วย” ไมเคิลกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ

“ไม่เป็นไร เรามัวแต่มองดูเจ้าอยู่ เราเองก็ไม่ได้ระวังเช่นกัน” องค์ราฟาเอลกล่าวด้วยสีหน้าใจดี ใบหน้าหล่อเหลาของพระองค์ประดับรอยยิ้มอยู่

“เราคิดว่าเจ้าจะมาทำข่าวเกี่ยวกับเราเสียอีก แต่เราก็แปลกใจที่ พอเจ้าเห็นเราเจ้ากลับชักสีหน้า แล้วตอนนี้เจ้ายังถ่ายรูปสวนหย่อมแทนที่จะถ่ายรูปของเรา” ทรงตรัส ด้วยน้ำเสียงฟังคล้ายน้อยพระทัย
“เอ่อ ... กระหม่อมคิดว่า กษัตริย์นาธานเนียลจะเสด็จ กระหม่อมก็เลยแปลกใจในตอนแรก อีกอย่างกระหม่อมเพิ่งเคยเห็นสวนหย่อมสวยๆ ในอาคารแบบนี้เป็นครั้งแรก กระหม่อมมิได้ตั้งใจละเลยพระองค์” ไมเคิลชี้แจง รู้สึกลำบากใจกับสายตาของคนตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ที่เอาแต่จับจ้องเขา

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงไม่รังเกียจ จะทานอาหารกลางวันกับเราหรอกใช่มั้ย” องค์ราฟาเอลถามด้วยคำถามที่ไมเคิลปฏิเสธไม่ได้
“เอ่อ...” ไมเคิลไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร
“หรือเจ้ารังเกียจ ที่เราเป็นแค่ เจ้าชายรัชทายาท ไม่ใช่กษัตริย์แห่งคานาเดีย” ทรงถาม
“ไม่ใช่ขอรับ กระหม่อม...” ไมเคิลไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่าตกลงก็แล้วกัน” องค์ราฟาเอลกล่าวสรุปเอาดื้อๆ พร้อมกับจูงมือคนตัวเล็กเดินเข้าไปในลิฟต์ เพื่อขึ้นไปบนด่านฟ้าอันเป็นสถานที่จัดงานค็อกเทล

“เรายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย” องค์ราฟาเอลถาม
“ไมเคิล ขอรับ” ไมเคิลกล่าวพร้อมกับโชว์บัตรนักข่าวให้องค์ราฟาเอลดู
“ถ้าอย่างนั้น ไมเคิลเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดมากพิธีกับเราหรอก พูดธรรมดาก็ได้ เราไม่ถือ” ทรงบอก และยิ้มให้

เมื่อลิฟต์เปิดออก ชายสูงอายุก็เดินเข้ามากอดองค์ชาย และองค์ชายก็กอดทักทายตอบอย่างสนิทสนม ชายสูงอายุคนนี้คือ แพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาล และควบตำแหน่งหมอประจำของราชวงศ์ ของ เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส อีกด้วย

“ฝ่าบาท!!! มาทางนี้ขอรับ กระหม่อมจะแนะนำทีมแพทย์ให้รู้จัก” หมอพอล กล่าวกับองค์ชาย
เมื่อไมเคิลเห็นองค์ราฟาเอลกำลังยุ่ง เขาจึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศภายในงานไปเรื่อยๆ

“ดูเจ้าจะชอบ ถ่ายภาพนะ ไมเคิล” องค์ราฟาเอลเดินมาข้างหลัง และ พูดใกล้ๆ จนเขาคิดในใจว่า ดูเหมือนเจ้าชายคนพี่และคนน้องจะนิสัยไม่ต่างกันนัก ชอบแอบมาข้างหลังกันทั้งสองคน

“ผมเป็นช่างภาพนี่ครับ ผมก็ต้องถ่ายเก็บไว้เยอะๆ แล้วก็เลือกภาพที่ดีที่สุดออกมา” ไมเคิลอธิบาย
“เราอยากเห็นภาพที่เจ้าถ่าย โชว์ให้เราดูได้ไหม” ทรงถาม ไมเคิลแปลกใจที่เจ้าชายอย่างองค์ราฟาเอลจะมาสนใจภาพที่เขาถ่าย

“ได้ครับ” ไมเคิลเปิดภาพให้องค์ราฟาเอลดูทีละภาพ และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับภาพแต่ละภาพไปด้วย แต่องค์ราฟาเอลยืนมองคนตรงหน้า แทนที่จะมองที่ภาพอย่างที่พระองค์ร้องขอ จนไมเคิลเงยหน้าขึ้นจนมาสบตากับเจ้าชาย

“พระองค์ไม่ได้สนใจภาพสักนิด” ไมเคิลท้วงเบาๆ
“เราสนใจคนถ่ายภาพมากกว่า” ทรงยอมรับ
“ฝ่าบาท ผม...” ไมเคิลพูดได้แค่นั้นเพราะองค์ราฟาเอลก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของไมเคิลแทน
“ฝ่าบาท!!!” ไมเคิลหน้าแดง คิดในใจว่า พี่น้องคู่นี้เหมือนกันจริงๆ ด้วย
“เราขอโทษ เราแค่อดใจไม่อยู่” ทรงตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต มองใบหน้าหวานอย่างหลงใหล

“คนที่นี่มือไว ใจเร็วกันทุกคนหรือเปล่าครับ หรือว่าพระองค์แค่อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่” ไมเคิลถาม
“เรามีของเล่นเยอะแล้ว เราอยากได้คนมารักเรามากกว่า” ทรงตอบ
“พระองค์คงพูดกับทุกคน ที่ทรงถูกใจเสียมากกว่า” ไมเคิลแย้ง ไม่เชื่อ
“และเราก็ไม่ได้ถูกใจใครอย่างที่เราถูกใจเจ้า หากเจ้าจะให้โอกาส เราก็อยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้น” ทรงกล่าว
“ผมมาทำงานครับ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น” คนตัวเล็กกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ด้วยอำนาจและฐานะของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานไปตลอดชีวิตก็ยังได้” องค์ราฟาเอลไม่ยอมแพ้
“ผมคงไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกครับ” ช่างภาพหน้าหวานปฏิเสธยิ้มๆ

“อาหารค่ำ คืนนี้ ตกลงไหม” องค์ราฟาเอลรวบรัด
“คืนนี้คงไม่ได้ ผมมีงานครับ” คนตัวเล็กปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็คืนพรุ่งนี้ หรือคืนไหนที่เจ้าว่าง” เจ้าชายเสนออีก
“ทำไมครับ ทำไมถึงเป็นผม” ร่างบางถาม ไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมถึงไม่เป็นเราล่ะ” ทรงถามกลับ พร้อมรอยยิ้ม จนไมเคิลหัวเราะออกมา ก่อนจะหยิบปากกามาเขียนใส่มือขององค์ราฟาเอล เป็นเบอร์โทรของโรงแรม และเบอร์ห้อง
“ผมพักที่นี่จนกว่างานจะเสร็จ” ไมเคิลตอบ แปลกใจกับตัวเองที่ยอมใจอ่อนกับเจ้าชายแบบนี้
แต่องค์ราฟาเอลที่อ่อนโยน กลับทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“Fairmont Le Chateau Frontenac สินะ เราไปหาเจ้าได้ไหม” ทรงถามออดอ้อน
“ไม่ได้ครับ ผมได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ดี ผมไม่ต้องการเป็นของเล่นของใคร” ไมเคิลดุ องค์ราฟาเอลจึงหัวเราะเบาๆ
“บางทีข่าวที่เจ้าได้ยินอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้” ทรงตอบยิ้มๆ
“ผมขอกรองข่าวด้วยตัวเองดีกว่าครับ” ไมเคิลตอบอย่างไม่ยอม
“แต่หากเจ้าทำงานเสร็จ แล้วหนีเรากลับไป เราก็แย่สิ” ทรงออดอ้อน
“งานของผมยังไม่เสร็จง่ายๆ หรอกครับ เพราะฉะนั้นยังมีเวลาอีกมาก” ช่างภาพหนุ่มตอบ
“หากทำได้เราก็อยากจะเก็บเจ้าไว้ที่นี่นานๆ เราอาจจะทำให้งานของเจ้ายากขึ้น เจ้าจะได้ทำไม่เสร็จและอยู่ที่นี่นานๆ” ทรงตรัสหยอกล้อ
“แค่นี้งานของผมก็ยาก จนโอกาสสำเร็จมีน้อยแล้วล่ะครับ อย่าแกล้งคนธรรมดาอย่างผมเลย” คนตัวเล็กกล่าวด้วยเสียงอันน่ารัก ออดอ้อน

“เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก ไมเคิล” ทรงตรัสก่อนจะยกมือของไมเคิลขึ้นมาจุมพิตอย่างอ้อยอิ่ง
ไมเคิลหน้าแดงนิดๆ

“เราต้องไปแล้วล่ะ แต่คืนนี้เราจะโทรหาเจ้า” ทรงตรัส ก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาใกล้และจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ
“ฝ่าบาท!!!” ไมเคิลประท้วง
“นี่ถือเป็นค่ามัดจำ ที่เจ้าทำให้เราต้องรอ” ทรงตรัส พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะจากไป 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2017 04:23:04 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง

ไมเคิลกลับมาที่โรงแรมอย่างอารมณ์ดี และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้าไป และพบกับกุหลาบช่อใหญ่วางไว้ที่เตียง ไมเคิลเปิดการ์ดออก และพบว่าเป็นของที่องค์ราฟาเอลส่งมาให้

ไม่นานโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไมเคิลจึงรับสาย
“เจ้าชอบกุหลาบหรือเปล่า” เสียงขององค์ราฟาเอลกล่าวมาตามสาย
“สวยมากครับ ขอบคุณครับฝ่าบาท” ไมเคิลตอบยิ้มๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ว่างมาทานอาหารกับเรา” พระองค์ถามทีเล่น ทีจริง
“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมต้องทำงาน” ไมเคิลบอก
“เจ้าแน่ใจเหรอ ว่า มันไม่ใช่ข้ออ้าง” องค์ราฟาเอลยังไม่ยอมแพ้
“แน่ใจครับ ผมต้องไปเตรียมตัวแล้วล่ะ” ไมเคิลพยายามตัดบท แต่ก็ยังยิ้มแย้มอยู่
“ไมเคิล”
“ครับ”
“เราจะคิดถึงเจ้า ตอนที่เราทานอาหารค่ำคืนนี้ เจ้าจะคิดถึงเราบ้างไหม” ทรงถาม
ไมเคิลหน้าแดงเมื่อได้ยินที่องค์ชายถาม
“ผมขอคิดดูก่อนแล้วกันนะครับ” ไมเคิลตอบ
“เราหวังว่าเจ้าจะคิดถึงเราบ้างนะ” ทรงออดอ้อน
“ผมต้องไปแล้วครับ ฝ่าบาท” ไมเคิลเร่ง ยิ้มๆ
“ก็ได้ ค่ำๆ เราจะโทรไปอีก” ทรงบอกก่อนจะ วางสายไป

ไมเคิลอมยิ้มอยู่คนเดียว เขาไม่ได้หวังว่าองค์ราฟาเอลจะคิดจริงจังกับเขา แต่การที่มีคนมาสนใจแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย

ในคืนนี้ไมเคิลคิดจะลองไปงานเลี้ยงอีกสักหน เขาเชื่อว่า ยังไงเสียองค์นาธานเนียลก็ต้องเสด็จไปงานบ้าง ไม่งานใด ก็งานหนึ่ง
ในวันนี้ไมเคิลแต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำ เรียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นจุดเด่น
เขายังรู้สึกกลัวว่าจะไปเจอกับองค์เดเมียนอีก และยิ่งในงานคืนนี้ ไม่มีการสวมหน้ากากแล้ว แล้วองค์เดเมียนก็ยังเห็นหน้าของเขาแล้วด้วย ยิ่งทำให้ไมเคิลต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ

ไมเคิลแอบภาวนาขอให้องค์นาธานเนียลเสด็จในงาน เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายรูปของพระองค์ แล้วก็จะได้กลับอเมริกา และเจ้าชายทั้งสองพระองค์จะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียที
เมื่อไมเคิลมาถึงในงาน เขาก็อาศัยที่เป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย เขาก็เริ่มทักทายและพูดคุยกับผู้คนหลายๆ คนในงาน

แม้ไมเคิลจะไม่ได้พยายามทำตัวให้เด่น แต่เพราะรูปร่างหน้าตาของไมเคิล
ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาสีฟ้าอ่อน และริมฝีปากสีชมพู ที่ยิ้มให้กับคนรอบข้าง กลับกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจโดยที่ไมเคิลไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มหลายต่อหลายคนเริ่มเข้ามาห้อมล้อมไมเคิล และทุกคนต่างพยายามอย่างยิ่งยวด ให้ไมเคิลหันมาสนใจตน แต่ไมเคิลก็ยิ้ม และหัวเราะให้กับทุกคน
เขาไม่ได้เลือกใคร และ ไม่มีความคิดจะเลือกใคร ทุกคนในห้องล้วนเป็นเพียงเครื่องพลางกายของไมเคิลเท่านั้น
ไมเคิลรอและรอ หวังว่าองค์นาธานเนียลจะเสด็จ แต่รออยู่นาน ไมเคิลก็ไม่เห็นว่ากษัตริย์นาธานเนียลจะมาสักที เขาจึงเอ่ยปากถามชายคนที่อยู่ข้างๆ

“ป่านนี้แล้ว องค์นาธานเนียลยังไม่เสด็จอีกเหรอครับ”
“องค์นาธานเนียลทรงให้ องค์ชายเดเมี่ยนมาแทนครับ และองค์เดเมี่ยนก็มาตั้งนานแล้วเพียงแต่พระองค์ อยู่ข้างบนน่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างดีใจ ที่ไมเคิลพูดกับเขาโดยตรง  แต่ไมเคิลไม่ดีใจด้วย พร้อมกับมองขึ้นไปด้านบน ก็พอดีสบตาเข้ากับ ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นอีกครั้ง และในวันนี้ ดวงตาคู่นั้นก็ดูโกรธเกรี้ยวเหลือเกิน

ไมเคิลตกใจที่องค์เดเมี่ยน สบตามองมาที่เขา เขาจึงรีบกล่าวขอตัวกับทุกคน ด้วยความเร่งรีบ เขาจะต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น เขาคงถูก เสือดำตัวใหญ่ จับกินแน่ๆ ชายหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ในวงสนทนาต่างมองตามไมเคิลที่เดินจากไปอย่างเสียดาย  และไม่เข้าใจว่าทำไม คนตัวเล็กจึงได้รีบร้อนจากไปนัก


องค์เดเมียน มางานเลี้ยงในวันนี้ด้วยความเบื่อหน่าย ตลอดทั้งวัน พระองค์เอาแต่คิดถึงลูกแมวตัวนั้น จนไม่เป็นอันทำงาน พระองค์ทรงโกรธที่ลูกแมวตัวนั้นวิ่งหนีไปจากพระองค์ ไม่เคยมีใครปฏิเสธพระองค์มาก่อน แล้วเจ้าแมวน้อยนั่นเป็นใครจึงได้กล้าดี มายั่วยวน ให้พระองค์ปรารถนา และยังโอนอ่อนตามใจพระองค์ทุกอย่าง แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็หนีพระองค์ไป
ปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำพระองค์ และที่พระองค์ยิ่งหงุดหงิดมากยิ่งกว่าเพราะทั้งๆ ที่พระองค์ร่วมรักกับเด็กหนุ่มผมสีชานั่นไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง แต่ความปรารถนานี้ก็ไม่ได้ทุเลาลงเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพระองค์มาถึงในงานเลี้ยง ทั้งๆ ที่ปกติพระองค์ออกจะสนุกสนานกับการไล่ล่าเหยื่อ
แต่มาวันนี้พระองค์กลับไม่มีอารมณ์ อยากจะคุยกับใคร
พระองค์เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พระองค์ยืนจิบคอนยัคชั้นดี มองลงไปในงานเบื้องล่างอย่างเบื่อหน่าย และอยากให้งานเลิกเร็วๆ เสียที

แต่แล้วในงานเลี้ยงที่มีแต่ความน่าเบื่อนั้น ก็เปลี่ยนไป เมื่อลูกแมวน้อยตัวนั้นเดินเข้ามา
เจ้าลูกแมวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง แต่เมื่อรู้สึกปลอดภัย เจ้าลูกแมวก็ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่พึงพอใจ เจ้าแมวน้อยของพระองค์ กลับยิ้มให้กับชายหนุ่มแทบทุกคนในงาน แล้วยังพูดคุย และยิ้มยั่วยวนให้ชายอื่น ขนาดพระองค์ที่มองอยู่ไกลๆ ยังดูออกเลยว่า พวกผู้ชายเหล่านั้นหวังจะกระทำอะไร กับคนตัวเล็กคนนั้น หากเปลี่ยนเป็นภาพของสัตว์ป่า เหล่าตัวผู้พวกนั้นคงจะพยายามฆ่ากันเพื่อแย่งผสมพันธุ์ กับแมวน้อยของพระองค์ ยิ่งมองดูพระองค์ก็ยิ่งโกรธ โกรธที่เจ้าพวกตัวผู้นั่น คิดอาจจะมาแตะต้อง เหยื่อ ที่พระองค์หมายตา โกรธเจ้าลูกแมวที่ยั่วยวน ชายอื่น ต่อหน้าพระองค์ ทั้งๆ ที่กับพระองค์ กลับวิ่งหนีไปอย่างไม่ใยดี

ความอดทนของพระองค์มาถึงที่สุด เมื่อเจ้าลูกแมวเอนกายเข้าใกล้ชายคนข้างๆ กระซิบกระซาบบางอย่าง แล้วพอเจ้าลูกแมวเงยหน้ามองขึ้นมาเจอพระองค์ เจ้าลูกแมวตัวดี ก็รีบวิ่งหนีออกไป แต่ความอดทนของพระองค์หมดลงแล้ว ยังไงวันนี้พระองค์จะต้องจับแมวจอมยั่วตัวนี้มาไว้ใต้ร่างของพระองค์ให้ได้
เมื่อจับตัวได้ พระองค์จะครอบครอง และร่วมรัก กับลูกแมวตัวนี้ ให้หนำใจ
ไมเคิลรีบหนีออกมาจากงาน คนตัวเล็กกดลิฟต์ถี่ๆ ด้วยหวังว่าลิฟต์จะมาเร็วขึ้นแม้สักวินาทีก็ยังดี
เขารู้ดีว่าหากถูกองค์เดเมี่ยนจับได้ เขาคงไม่อาจรอดพ้น กลายเป็นของเล่นบนเตียงของเจ้าชายแน่ๆ ไมเคิลรู้สึกร้อนรน ลิฟต์เจ้ากรรม ก็มาช้าเสียเหลือเกิน เขาตัดสินใจจะเดินลงบันไดแทน แต่ลิฟต์ ก็เปิดออกมาก่อน

ไมเคิลรีบเข้าไปในลิฟต์และ กดปิดประตู รู้สึกโล่งใจ ที่อย่างน้อยเจ้าชายก็ไล่ตามมาไม่ทัน
แต่ไมเคิลยังไม่ทันจะหายใจได้ทั่วท้อง รองเท้าที่ถูกขัดจนมันวาวก็ยื่นเข้ามาขวางลิฟต์ไว้ไม่ให้ปิด
เมื่อมีสิ่งกีดขวางประตูที่กำลังจะปิด ก็ค่อยๆ เปิดออก และก็เป็นคนๆ ที่ไมเคิล ไม่อยากเจอที่สุด ยืนขวางประตูอยู่ตรงนั้น

“ฝ่าบาท!!!”

"เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า เจ้าจะหนีเราไปได้อีก” องค์เดเมียนกล่าวและเดินเข้ามาในลิฟต์ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ยืนขวางทางออก ของไมเคิลไว้ทั้งหมด จนไมเคิลต้องถอยหลังไปติดกับผนังของลิฟต์ แต่คนตัวใหญ่ก็เดินตามเข้ามา และปิดทางหนีของคนตัวเล็กไว้

“เจ้าคิดจริงๆ เหรอ ว่าเราจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ” องค์เดเมียนกล่าวและเดินเข้ามาใกล้ จ้องมองไมเคิลด้วยดวงตาของผู้ล่า ที่กำลังจับจ้องเหยื่อ
“ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมพระองค์ ต้องไล่ตามผมแบบนี้ด้วย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ไมเคิลรู้สึกกลัวคนตรงหน้าขึ้นมา
“ในตอนแรกเราคิดจะอ่อนโยนต่อเจ้า เพราะเจ้าดูไร้เดียงสา แต่ดูแล้วเจ้าก็คงเล่นละครได้เก่ง มากกว่า” องค์เดเมียนกล่าวจ้องมองร่างของไมเคิล
“ผมไม่ได้ทำอะไร” ไมเคิลปฏิเสธ
“อย่างนั้นหรือ เจ้าทำตัวยั่วยวน ผู้ชายนับสิบรายล้อมตัวเจ้า คนอย่างเจ้า นอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คน” องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาใกล้ หมายจะจูบ แต่ไมเคิลก็ตบหน้าคนตัวใหญ่กว่าที่พูดจาดูถูกเขา
“พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกผมแบบนี้” ไมเคิลยืนประจันหน้ากับคนตัวใหญ่อย่างไม่ยอม

เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้า ตบหน้าพระองค์ พระองค์หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่พระองค์จะรั้งร่างของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้และ ประกบปากจูบ

"อย่าครับ!!! ปล่อยผม!!!” ไมเคิลพยายามผลัก และ พยายามหลบเลี่ยงริมฝีปากของคนตัวใหญ่
ริมฝีปากของเจ้าชายหนุ่มจุมพิตไมเคิลอย่างรุนแรง จนริมฝีปากบางบวมช้ำ
ไมเคิลพยายามจะผลักไส พระองค์ออก แต่องค์เดเมียนก็ไม่ยอมปล่อย ใช้มือของพระองค์รวบมือทั้งสองข้างของไมเคิลไว้เหนือศรีษะ บังคับให้คนตัวเล็กยินยอม พระองค์ยังคงจูบคนตัวเล็กอย่างหนักหน่วง ก่อนจะค่อยๆ หยอกล้อ ล่อลวง   

พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้ามาในปากของคนตัวเล็ก เพื่อลองลิ้มกับความหอมหวานภายใน ด้วยเพราะ องค์เดเมียนคิดว่า คนตรงหน้าเคยยินยอมต่อพระองค์ การที่พระองค์จะกระทำดังเช่นครั้งก่อนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่พระองค์หลงลืมไปว่าคนตรงหน้าหาใช่ลูกแมวบ้านเชื่องๆ ที่พระองค์คุ้นเคย แต่คนตัวเล็กตรงหน้า เป็นดั่งแมวป่า ที่หากพระองค์ไม่ระวัง ร่างเล็กคนนี้ก็พร้อมจะย้อนมาทำร้ายพระองค์ได้ทุกเมื่อ เมื่อไมเคิลเห็นว่าองค์เดเมียนไม่ระวัง คนตัวเล็กจึงกัดลิ้นของเจ้าชาย จนเลือดไหล และผลักพระองค์ออกห่าง องค์เดเมียนจำต้องปล่อยร่างของไมเคิล รับรู้รสเลือดของพระองค์เอง 

แต่ในขณะที่ทรงคิดว่า ร่างเล็กแผลงฤทธิ์จนหมดแล้ว
แต่พระองค์ก็คิดผิด เพราะเมื่อไมเคิลมีโอกาส เขาก็เตะเข้าที่ข้อเท้าของคนตัวใหญ่
องค์เดเมี่ยนที่ไม่ทันได้ระวังพระองค์ และไม่คิดว่าคนตัวเล็กตรงหน้าจะมีฤทธิ์มากขนาดนี้ ไมเคิลจึงสามารถทำให้องค์เดเมี่ยนล้มลงไปกองกับพื้นได้โดยไม่ยากเย็นนัก

องค์เดเมี่ยนที่ยังทรงมึนงงอยู่ ไม่แน่ใจว่า เกิดอะไรขึ้น และกว่าพระองค์จะรู้ตัวพระองค์ ก็ล้มลงกับพื้น และคนตัวเล็กก็รีบกดลิฟต์ให้เปิดแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้าพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่อาจจะฉุดรั้งเอาไว้ได้

พระองค์ไดัแต่มองตามคนตัวเล็กวิ่งหนีไปอย่างเจ็บใจ ดูเหมือนพระองค์จะดูถูกคนตัวเล็กคนนี้ไปมากทีเดียว และพระองค์สัญญาว่าคราวหน้า พระองค์จะต้องเอาคืนทั้ง ต้นและ ดอก จากคนตัวเล็กนี้ให้ได้

พระองค์ลุกขึ้น เมื่อประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง สองสาวฝาแฝดก็เดินเข้ามาในลิฟต์ พร้อมกับส่งสายตายั่วยวนมาให้กับองค์ชาย 

ในเมื่อเจ้าลูกแมวหนีพระองค์ไปอีกครั้ง พระองค์จึงจำใจเลือกกระต่ายสาวทั้งสองแทน องค์เดเมียนอ้าแขนออก สองสาวก็พากันเข้าไปซบอกขององค์เดเมียนกันอย่างพร้อมเพรียง
เสียงหัวเราะน่ารัก และท่าทางยั่วยวนออดอ้อน หวังให้องค์เดเมียนพึงพอใจ
หากเป็นคนทั่วไปก็คงรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อมีสองสาวสวยขนาบข้างซ้ายขวา แต่องค์เดเมียนกลับมิได้ใส่ใจนัก พระองค์เพียงแค่คิดว่า สองสาวน่าจะช่วยดับความปรารถนาของพระองค์ลงได้บ้าง

อย่างน้อย สองคน ย่อมต้องดีกว่า คนเดียว

https://www.facebook.com/teddybeararthur/


ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 8 บาดแผลที่ไม่มีวันหาย

ไมเคิลกลับมาถึงห้องพัก ด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้ง ภาพในอดีตย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ชายหนุ่มล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าประตู
อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา แม้จะหนีมาได้แล้ว แต่ไมเคิลก็ยังสั่นด้วยความกลัวอยู่

สาเหตุหลักที่ไมเคิลหนีออกจากบ้านของคุณลุง ไม่ใช่เพียงเพราะคุณลุงทำร้ายเขา
ไมเคิลไม่กลัวที่จะถูกตี หรือถูกทำโทษ มันอาจจะเจ็บ แต่แผลทางกายไม่นานก็หาย
แต่แผลทางใจต่างหาก ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน มันก็ไม่ยอมจางหายไป

ภาพในอดีตย้อนกลับมาในห้วงความคิดของไมเคิลอีกครั้ง
ในวันนั้น เป็นวันสุดท้ายที่ไมเคิลทนอยู่ในบ้านหลังนั้น  ไมเคิล กำลังทำรายงานอยู่ แม้จะดึกมากแล้ว แต่คุณลุงก็ยังไม่กลับ
ส่วนโทนี่ก็กำลังหลับอยู่ในห้องนอน

ไมเคิลแอบดีใจเล็กน้อยที่คุณลุงไม่อยู่ทำให้เขามีสมาธิในการทำรายงานมากขึ้น
แต่เพียงไม่นาน เสียงรถก็ดังขึ้นและจอดที่โรงจอดรถ คุณลุงของเขากลับมาแล้ว
และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน คุณลุงของเขา ดื่มเหล้าจนเมากลับมา
ไมเคิลแปลกใจ ที่คุณลุงของเขายังไม่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งๆ ที่เมาอยู่เสมอ

เมื่อคุณลุงเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ ก็ลอยมาแตะจมูก
ไมเคิลเตรียมใจไว้ เขารู้ว่ายังไงคุณลุงของเขาต้องพยายามหาเรื่องเขาแน่ๆ
และก็เป็นไปตามนั้น คุณลุงเริ่มมองหาสิ่งต่างๆ ที่จะสามารถโทษไมเคิล
แม้ว่าไมเคิลจะเป็นคนทำความสะอาด ทำกับข้าว และเลี้ยงน้อง
แต่คุณลุงก็ยังหาเรื่องเขาอยู่ตลอด

“แกมองหน้าชั้นทำไม ไมเคิล” คุณลุงกล่าว
“ผมเปล่าครับ คุณลุง ผมจะเข้านอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“แกนี่ยิ่งโต หน้าตาของแกก็ยิ่งเหมือนแม่ของแกมากขึ้นทุกวัน มีหน้าแบบนี้ แกไม่อายคนเขาเหรอ หน้ายังกับผู้หญิง หรือว่าแกชอบผู้ชาย” คุณลุงถามขึ้น ไมเคิลหน้าแดงวาบ ด้วยความอาย
เขาไม่เคยบอกใครเรื่องนั้น พอถูกจี้เข้า ก็อดแสดงพิรุธไม่ได้ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนพาล มาพาลหาเรื่องด้วย

“อย่าบอกนะ ว่าแกชอบผู้ชายจริงๆ” คุณลุงพูดอย่างเย้ยหยัน
“ผมจะนอนแล้วครับ ดึกมากแล้ว ผมขอตัว” ไมเคิลพยายามหลีกเลี่ยง
“เดี๋ยวสิ ชั้นยังพูดกับแกไม่จบเลย” คุณลุงเดินเข้ามาใกล้และจับแขนของไมเคิลไว้ และออกแรงบีบจนไมเคิลต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“ปล่อยครับ ผมเจ็บ” ไมเคิลอ้อนวอน
“อย่ามาทำสำออยนักเลย ไมเคิล จะว่าไปหน้าตาของแกมันก็น่าสนใจดีนี่ ถ้าหลับหูหลับตาซะหน่อย แกมันก็เหมือนผู้หญิงดีๆ นี่แหล่ะ” คุณลุงกล่าวและเริ่มลวนลามไมเคิล

ไมเคิลพยายามปัดป้อง และพยายามฝืนสู้ แต่คุณลุงที่เป็นผู้ใหญ่ และมีแรงมากกว่าเขา แม้จะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ไมเคิลก็ยังสู้คุณลุงไม่ได้อยู่ดี

คุณลุงฝังใบหน้าลงที่ต้นคอของไมเคิล น้ำตาของเด็กหนุ่มก็ไหลออกมา เขาทั้งหวาดกลัว และขยะแขยงกับการกระทำของคุณลุง มือหยาบใหญ่พยายามล้วงเข้ามาข้างในกางเกงของไมเคิล
ไมเคิลอ้อนวอน แต่คนสูงวัยก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงกันข้าม ยิ่งไมเคิลดิ้นรน ทรมาน คนสูงวัยก็ยิ่งดูชอบใจ และยิ่งอยากครอบครองเขามากขึ้น

ในที่สุดไมเคิลก็หยุดดิ้นรน ไมเคิลรู้สึกสิ้นหวัง เขารู้ว่าหลังจากที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ชีวิตของเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก แต่การที่ต้องถูกขืนใจจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆของเขา มันก็ทำให้เด็กหนุ่มสะอื้นไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุม เขาเฝ้าอ้อนวอนขอให้ผู้เป็นลุงหยุดแต่มันก็ดูจะไร้ผล มือหยาบใหญ่พยายามจะล่วงล้ำเข้ามา คนสูงวัยก้มลงจูบเขา สอดลิ้นเข้ามาภายใน และพยายามจะถอดเสื้อผ้าของเขาออก แต่ไมเคิลก็ตั้งสติ ก่อนจะกัดที่ลิ้นของคนสูงวัย อย่างแรง

คุณลุงตบไมเคิล หน้าของเขาชา แต่เขาก็หลุดออกมาจากการเกาะกุมของคนสูงวัยได้ เขารวบรวมแรงทั้งหมดที่มี วิ่งหนีออกไปจากบ้าน เขาวิ่ง และ วิ่ง จนไม่มีแรงที่จะวิ่งต่อไปได้อีก
ไมเคิล ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ไม่มีแม้แต่ รองเท้า เศษแก้วบาดที่เท้าข้างซ้าย แต่ไมเคิลไม่ได้เจ็บเท้าเลยแม้แต่น้อย เพราะบาดแผลที่ลึก และทำให้เขาเจ็บปวดมาจนทุกวันนี้ เป็นแผลที่ไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วก็ตาม

รอยแผล ที่ไมเคิลไม่เคยบอกใคร เป็นรอยแผล ที่บาดลึก แต่ไม่มีใครเห็น
เป็นดั่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ที่ไม่เคยมีใครได้ยิน

และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไมเคิลปิดกั้นตัวเอง แม้ไมเคิลจะเคยมีแฟนมาบ้าง
แต่ไมเคิลก็ไม่เคยลดกำแพงลงเลย ตราบมาจนถึงตอนนี้ ไมเคิลก็ไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ไรอันนอกใจเขา

ไมเคิลไม่ได้โกรธไรอัน เพราะไมเคิลเข้าใจดี การที่เขาไม่ยอมร่วมรักกับคนรักของตัวเอง เป็นใครก็คงทนไม่ได้ หรือแม้จะฝืนทน แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นไมเคิลจึงไม่คิดจะรักใคร เพราะคงไม่มีใคร คิดที่จะมารักคนอย่างเขานั่นเอง


ไมเคิลร้องไห้อย่างหนักอยู่ตรงประตูนั้น เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเคาะประตู
“ไมเคิล เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตู
“ไมเคิล นี่เราเอง ราฟาเอล เปิดประตูก่อนสิ” น้ำเสียงที่ห่วงใยดังขึ้นอีกครั้ง
ไมเคิลพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งได้ยินเสียงอันอ่อนโยน เขาก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นอีก
“ถ้าเจ้าไม่เปิด เราจะพังเข้าไป” องค์ราฟาเอล ตะโกนอย่างร้อนรน และพระองค์ก็ตั้งท่าจะพังเข้าไป
แต่ประตูก็ถูกแง้มออก พระองค์จึงเดินเข้าไป ทรงเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ข้างๆประตู เอามือปิดหน้าไว้ และเอาแต่ร้องไห้

“เกิดอะไรขึ้น ไมเคิล เจ้าเป็นอะไร” องค์ราฟาเอลถามด้วยความเป็นห่วง แต่ไมเคิลก็เอาแต่ร้องไห้ พระองค์จึงโอบอุ้มไมเคิลและพาไปที่เตียงแทน

ทรงวางไมเคิลลงบนเตียงก่อนจะเอนกายลงเคียงข้างและโอบกอดไมเคิลเอาไว้ ทรงปลอบโยนจนไมเคิลหยุดร้องไห้ ไมเคิลรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน และตอนนี้เขาก็เพียงอยากมีใครสักคนที่จะคอยปกป้องเขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไมเคิลไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมา เพราะเขาจะต้องเป็นเสาหลักให้กับโทนี่  แต่ในตอนนี้ เวลานี้ เขาอยากจะขออ่อนแอ และอยากให้องค์ราฟาเอลปลอบโยนเขาสักครั้ง เพียงสักครั้งที่เขาไม่ต้องฝืนทำตัวเข้มแข็งทั้งๆ ที่ในใจของเขากำลังร่ำไห้

องค์ราฟาเอลปลอบโยนจนไมเคิลหยุดร้องไห้ พอไมเคิลหยุดร้อง เขาก็ลุกขึ้นนั่ง ถอยห่างจากเจ้าชายหนุ่ม

“ทำไมพระองค์มาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” ไมเคิลถาม ทุกอย่างที่ดูบังเอิญเกินไป ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ
“เราขอให้คนของโรงแรม คอยรายงาน เมื่อเจ้ากลับมา แต่พอเราโทรมาหาเจ้า ตั้งไม่รู้กี่รอบ เจ้าก็ไม่ยอมรับสาย เราก็เลยเป็นห่วง” ทรงตอบ
“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” ไมเคิลกล่าวขอบคุณ รู้สึกดีกับคนตรงหน้า
“เรารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้เรามาหาแต่...” เสียงขององค์ราฟาเอลหายไป เพราะไมเคิลจูบที่ริมฝีปากของพระองค์เบาๆ
“อย่างนี้เราไม่เรียกว่าจูบหรอกนะ มานี่สิ เราจะสอนให้” ทรงกล่าวอย่างอารมณ์ดี และพยายามจะดึงร่างของไมเคิลเข้าหา
“ฝ่าบาท!! อย่าสิครับ” ไมเคิลดุ
“แล้วทีเจ้ายังขโมยจูบเราได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้” ทรงถามยิ้มๆ ก่อนจะเองตัวลงนอน
“พระองค์จะทำอะไรครับ” ไมเคิลถามเมื่อเห็นร่างสูงล้มตัวลงนอน
“เจ้าคงไม่ใจร้าย ไล่เรากลับวังหรอกใช่มั้ย ดึกมากแล้ว เราง่วงแล้วล่ะ” ทรงตรัส ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ดูง่วงเลยสักนิด
“ไม่ได้ครับ นี่ห้องของผม พระองค์จะมานอนที่นี่ได้ยังไง” ไมเคิลประท้วง
“เราจะไม่ทำอะไรเจ้า เราสัญญา ให้เราอยู่เถอนะ” ทรงออดอ้อน ไมเคิลมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ แต่ก็อดใจอ่อนไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าอันออดอ้อนของอีกฝ่าย
“ถ้าพระองค์ผิดสัญญา ผมจะไม่พูดกับพระองค์อีกเลย” ไมเคิลขู่ยิ้มๆ

ไมเคิลเปลี่ยนไปใส่ชุดนอน เมื่อเดินกลับมาที่เตียง ร่างสูงก็นอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่ม ยื่นมือมาหาเขา ราวกับเชื้อเชิญ ไมเคิลลังเล แต่ก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ องค์ราฟาเอล พระองค์เอื้อมมือมากอดไมเคิลไว้

“เราจะอยู่ตรงนี้ เราจะปกป้องเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะร้องไห้ด้วยเพราะเหตุใดๆ เราสัญญาว่ามันจะไม่อาจทำอะไรเจ้าได้อีก เราจะดูแลเจ้าเอง” ทรงกระซิบเบาๆ และโอบกอดไมเคิลเอาไว้ตลอดทั้งคืน เป็นครั้งแรกที่ไมเคิลรู้สึก อบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนเช้า ไมเคิลตื่นขึ้น เป็นคืนแรกที่เขาหลับสนิท ตลอดทั้งคืน
เขาค่อยๆลืมตาขึ้น องค์ราฟาเอลโอบกอดเขาอยู่จากด้านหลัง
พระองค์ไม่ได้ผิดคำสัญญา ตลอดทั้งคืนพระองค์เพียงแค่กอดเขาเอาไว้เท่านั้น

“ตื่นแล้วเหรอ” ทรงถาม
“ครับ” ไมเคิลตอบ ร่างสูงจูบต้นคอของไมเคิลเบาๆ แต่ไมเคิลก็รีบลุกหนี
“ฝ่าบาท อย่าเกเรสิครับ” ไมเคิลดุเบาๆ
“เจ้าไม่รู้หรอกว่า มันทรมานแค่ไหน ที่เรากอดเจ้าไว้ทั้งคืน แต่ก็แตะต้องเจ้าไม่ได้”
ทรงกล่าวฟังดูน่าสงสาร ไมเคิลรู้สึกผิดขึ้นมา หากเขาเป็นเหมือนคนอื่น เขาก็คงจะไม่มีทางปฏิเสธ องค์ราฟาเอลผู้อ่อนโยนแน่ๆ แต่เขาไม่คิดว่าเขาจะคู่ควรกับเจ้าชายผู้แสนดีอย่างพระองค์
“ผมขอโทษครับ” คนตัวเล็กเหมือนทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีก องค์ราฟาเอล จึงรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอด

“ฝ่าบาท อย่าทำดีกับผมนักเลย นะครับ ถึงจะเป็นพระองค์ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะสามารถทำตามที่พระองค์ปรารถนาได้ ผมคงไม่อาจยอมเป็นของเล่นของพระองค์ได้หรอกนะครับ” ไมเคิลกล่าว
“เราไม่ได้ต้องการเจ้ามาเป็นของเล่นเสียหน่อย เราอยากให้เจ้ารักเราต่างหาก” ทรงตอบยิ้มๆ
“ผม... รักใครไม่เป็นหรอกครับ และผมก็ไม่คิดจะรักใครด้วย” ไมเคิลตอบตามตรง
“ทำไมล่ะ เราไม่เข้าใจ” องค์ราฟาเอลถาม
“ผมมีเหตุผลของผม และผมก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ผมขอร้อง อย่าทำดีกับผมอีกเลยนะครับ ปล่อยให้ผมทำงานให้เสร็จ ผมก็จะไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ ที่พระองค์จะมาทำดีกับคนอย่างผม” ไมเคิลกล่าวเสียงเศร้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เราเป็นคนที่รักเจ้าก็ได้ เราสัญญาว่าจะดูแล และปกป้องเจ้าอย่างดี” ทรงให้ทางเลือก
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมไม่คิดจะรักใคร ทรงปล่อยผมไปเถอะครับ” ไมเคิลกล่าว
“เจ้ามีสิทธิ์ที่จะคิดอะไรก็ได้ ส่วนเราเองก็เช่นกัน เราจะไม่บังคับเจ้า แต่เราก็อยากให้เจ้าให้โอกาสเราบ้าง เจ้าไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ เราอยากให้เจ้าคิดดูให้ดีๆ ก่อน เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้ อย่างแน่นอน” ทรงตรัส มองคนตัวเล็กอย่างหลงใหล

ไมเคิลถอนหายใจ เจ้าชายทั้งสองช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คนหนึ่ง แสนดี จน ไมเคิลรู้สึกผิด ในขณะที่อีกคนกลับโหดร้าย จนไมเคิลอยากจะหนีไปให้ไกล แต่ไม่ว่าคนไหน ไมเคิลก็ไม่ต้องการ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 9 ความอ่อนโยน

องค์ราฟาเอลรั้งร่างของไมเคิลเข้ามาในอ้อมกอด ไมเคิลที่ไม่ได้ระวังตัวจึงถูกองค์ราฟาเอล ดึงเข้าไปในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย
“ฝ่าบาท!! ปล่อยครับ” ไมเคิลพยายามจะลุกออกจากเตียงแต่ร่างสูงก็โอบกอดไว้ไม่ยอมปล่อย
“เราแค่กอดเจ้าเฉย เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ทรงตรัส แต่ไมเคิลก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
“ผมไม่ชอบครับ” ไมเคิลขืนตัวออก
“เจ้ารังเกียจเราหรือ” ทรงมองร่างเล็กที่พยายามจะออกไปจากอ้อมกอดของพระองค์
“ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวผม” ไมเคิลตอบ
“แต่เจ้ายังให้เรากอดเจ้าไว้ทั้งคืนเลยนี่นา” พระองค์ถาม
“เรื่องเมื่อคืนมันไม่เหมือนกันนี่ครับ” ไมเคิลยังคงปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกเรามาจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน เราจะไปจัดการกับคนที่ทำให้เจ้าร้องไห้”
“ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้ก็มีอยู่คนหนึ่งครับ ปล่อยผมได้แล้ว”ไมเคิลเริ่มดุ
“เราอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” ทรงตรัส
“ผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ ผมเป็นแค่ช่างภาพธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ไมเคิลตอบ
“แต่เราสนใจเจ้านี่” ทรงตอบ พลิกพระองค์ขึ้นเหนือร่างของไมเคิล ก่อนจะสบตากับคนตัวเล็กที่อยู่ใต้ร่าง
“เราขอจูบเจ้าได้ไหม” ทรงถาม
“ไม่ได้ครับ” ไมเคิลตอบอย่างยากลำบาก แต่ร่างสูงก็ยังค่อยๆ ก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ
“เราอยากจูบเจ้า” ทรงกระซิบแผ่วเบา ริมฝีปากแนบชิดลงมา ก่อนจะหยุด รอคำตอบ
ไมเคิลไม่ตอบแต่กลับหลับตา ชั่ววินาทีช่างยาวนานเหลือเกิน ในที่สุดริมฝีปากของร่างสูงก็ค่อยๆ สัมผัสริมฝีปากของร่างเล็กอย่างแผ่วเบา ทรงจูบอย่างทะนุถนอม อ่อนโยน จนไมเคิลเผลอจูบตอบ

รสจูบที่หอมหวาน เย้ายวน และสวยงามที่สุดที่ไมเคิลเคยสัมผัส องค์ราฟาเอลยังคงครอบครองริมฝีปากของไมเคิล เนิ่นนาน สัมผัสจากริมฝีปากกลับปลุกเร้าไมเคิล ร่างกายของเขา เร่าร้อน ไมเคิลกำลังปรารถนา คนตรงหน้า อย่างไม่อาจหักห้ามใจ
แต่ไมเคิลก็ผลักร่างสูงออก จนร่างสูงต้องจำใจ ถอนริมฝีปาก อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก

“เจ้าไม่ชอบหรือ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไมเคิลส่ายหน้า
“ปล่อยเถอะครับ อย่าทรงทำแบบนี้” ไมเคิลปฏิเสธอีกครั้ง
องค์ราฟาเอลก้มลงประกบปากจูบอีกครั้ง พระองค์ ดูดเม้มริมฝีปากล่างของไมเคิลจนร่างเล็กส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
ร่างสูงยิ้มและจูบซ้ำครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไมเคิลหอบหายใจ เขากำลังหลงใหลกับรสจูบที่คนตรงหน้าปรนเปรอให้ ร่างสูงจูบไมเคิลนานนับชั่วโมง ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆ ใช้ลิ้นหยอกเย้ากับริมฝีปากของไมเคิล จนไมเคิลต้องส่งลิ้นร้อนๆของเขาออกมาสัมผัสกับลิ้นขององค์ราฟาเอลเสียเอง

องค์ราฟาเอลยิ้มอย่างพอใจ พระองค์ยังคงจุมพิตไมเคิลต่อไป มิได้ทำสิ่งอื่นใด นอกจากจูบริมฝีปากของคนตัวเล็ก ตรงหน้า อย่างหลงใหล แม้พระองค์จะรู้สึกถึงความตื่นตัวเบื้องล่างของคนตัวเล็ก แต่พระองค์ก็มิได้ฉวยโอกาสแต่อย่างใด มือของพระองค์ สอดประสานกับมือของไมเคิลไว้

ไมเคิลรู้สึกค่อยๆสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละนิด เขากำลังปรารถนาองค์ราฟาเอล ความตื่นตัวเบื้องล่างของเขา สัมผัสกับความตื่นตัวของพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่มีทีท่าจะทำมากกว่าจูบ และในขณะที่ไมเคิลคิดว่าพระองค์กำลังจะทำมากกว่านั้น พระองค์ก็หยุด และถอนริมฝีปากของพระองค์ออกช้าๆ อย่างแสนเสียดาย

ทรงกระซิบเสียงแหบพร่า ด้วยความปรารถนา
“เราคงทนได้แค่นี้ หากมากกว่านี้เราคงห้ามตัวเองไม่ให้แตะต้องเจ้าไม่ได้”
ไมเคิล พยายามรวบรวมสติ เขาไม่เคยรู้สึกวาบหวามอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก่อน องค์ราฟาเอลอยู่ๆ ก็เข้ามาทำให้เขาหวั่นไหวมากขนาดนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนและไมเคิลก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถรู้สึกแบบนี้ได้

องค์ราฟาเอลโอบกอดไมเคิลไว้หลวมๆ พระองค์นอนหันหน้า มองไมเคิลอย่างหลงใหล มือใหญ่ของพระองค์ไล้ใบหน้าของร่างเล็ก ก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน

“ผมขอโทษครับ” ไมเคิลกล่าว
“เจ้าขอโทษ เรื่องอะไร” ทรงถาม
“ปกติ คงมีแต่คนคอยเอาอกเอาใจพระองค์ แต่ผมกลับไม่ยอมแล้วพระองค์ก็ยังทรงต้องการ...” ไมเคิลพยายามอธิบาย แต่กลับหน้าแดงขึ้นเสียเอง
องค์ราฟาเอลหัวเราะเบาๆ 
“เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ เราถึงได้สนใจในตัวเจ้าอย่างไร” ทรงประทับรอยจูบที่หน้าผากอีกครั้ง
“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่เราจูบเจ้า”ทรงตรัสและมองลงต่ำ
“อย่างน้อยเจ้าก็พอใจในรสจูบของเรา”  ทรงต่อจนจบ ไมเคิลยิ่งหน้าแดงขึ้นอีก

“ฝ่าบาท ผม...” ไมเคิลลังเลที่จะต่อจนจบ
“ว่ามาสิ”
“ผม... ไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน” ไมเคิลหน้าแดง แต่องค์ราฟาเอลก็พอจะเดาได้ แม้จะไม่อยากจะเชื่อนักก็ตาม
“ผมกลัวการร่วมรัก ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัวผม ผมไม่คิดว่าพระองค์ควรจะเสียเวลากับคนอย่างผม ผมเชื่อว่าคงมีคนมากมายที่พร้อมและยินดีเป็นของพระองค์ ต่างจากผม ที่ผมทำให้พระองค์ไม่ได้” ไมเคิลกล่าวอย่างเศร้าสร้อย และเจ็บปวด
“คน...คนอย่างผมไม่คู่ควรกับพระองค์เลยสักนิดเพราะฉะนั้น ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะครับ”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจเราไม่ใช่เหรอ” ทรงถาม
“ที่เราจูบเจ้า เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจใช่มั้ย” ทรงถามอ่อนโยน มองที่คนตัวเล็ก ไมเคิลหน้าแดง
“เราถือว่านั่นเป็นคำตอบก็แล้วกัน” องค์ราฟาเอลพูดยิ้มๆ
“แต่...” ไมเคิลพยายามจะทักท้วง
“ในตอนนี้ เราพอใจแค่นี้” ทรงตอบ ใช้มือใหญ่ไล้ใบหน้าของไมเคิลเบาๆ
“ทำไมครับ” ไมเคิลไม่เข้าใจคนตรงหน้า
“เอาเป็นว่าเราเอ็นดูเจ้าก็แล้วกัน ดูแล้วเจ้าคงผ่านเรื่องร้ายๆมามาก แต่เราจะไม่ถาม เราจะรอให้เจ้าบอกกับเราด้วยตัวเอง เมื่อเจ้าพร้อม” ทรงบอก
“ขอบคุณครับ” ไมเคิลตอบ หัวใจของเขารู้สึกพองโต รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าคงไม่ทำงานในวันนี้ ใช่ไหม” ทรงถาม
“เอ่อ...” ไมเคิลไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร
“พักสักวันจะเป็นไร เราอยากใช้เวลากับเจ้า” องค์ราฟาเอลถามออดอ้อน
“แต่... ผมต้องทำงานนี่ครับ” ไมเคิลประท้วง
“งั้นก็พักครึ่งวันก็ได้” พระองค์ยังออดอ้อนไม่เลิก พระองค์มองร่างเล็กด้วยสายตาอันเว้าวอน
“ก็ได้ครับ แต่แค่ครึ่งวันเท่านั้นนะครับ” ไมเคิลกล่าว
“ตกลง” องค์ราฟาเอลยิ้มกว้าง จนไมเคิลรู้สึกดีใจตามไปด้วยไม่ได้
“เจ้าอยากไปไหนล่ะ เราจะตามใจเจ้า” ทรงเสนอ
“ที่ไหนก็ได้ครับ แล้วแต่พระองค์ ผมยังไงก็ได้”ไมเคิลตอบ


หลังจากที่องค์ราฟาเอลโทรสั่งการทุกอย่างแล้ว ไมเคิลก็พบตัวเองนั่งอยู่ในรถสปอร์ตขององค์ราฟาเอล
รถหรูขับออกไปนอกเมือง และขึ้นไปบนเขา ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ องค์ราฟาเอลจอดรถและเดินลงมาเปิดประตูใหแก่ไมเคิล

“ที่ไหนครับเนี่ย” ไมเคิลถามขึ้น ไม่ค่อยไว้ใจร่างสูงเท่าไหร่นัก
“บ้านพักส่วนตัวของเรา” ทรงตอบ เมื่อเห็นไมเคิลทำท่าไม่เข้าใจพระองค์จึงอธิบาย
“บางครั้งเราไม่อยากอยู่ในวัง เราจะมาที่นี่”พระองค์ยื่นมือให้ไมเคิล
ไมเคิลจับมือขององค์ราฟาเอลเดินออกจากรถและตามองค์ราฟาเอลเข้าไปภายใน

ภายในบ้านหลังใหญ่กลับมีการตกแต่งที่เรียบง่าย บ้านทั้งหลังทำจากไม้ เมื่อมองออกไปด้านนอกวิวที่เห็นกลับทำให้ลืมหายใจเลยทีเดียว
เนื่องจากตัวบ้านอยู่บนเขาทำให้รอบทิศเป็นกระจกสามารถมองวิวได้อย่างสะดวก ไมเคิลเห็นเมืองคานาเดีย อยู่ไกลๆ รอบด้านมีภูเขาล้อมรอบหลายลูก บางลูกยังมีหิมะปกคลุมอยู่

พระองค์สั่งให้คนตั้งโต๊ะอาหารตัวเตี้ยในห้องกระจก ภายในห้องนั้นรอบด้านเป็นกระจกใสทำให้เห็นวิวได้รอบทิศ แม่แต่หลังคาก็เป็นกระจกเช่นกัน
โต๊ะอาหารตัวเตี้ยถูกจัดตกแต่ง มีเบาะรองนั่งอยู่รอบ ดูให้บรรยากาศเป็นกันเอง

องค์ราฟาเอลพาไมเคิลมานั่งบนเบาะที่นั่งข้างๆ พระองค์ และชี้ชวนให้ชมวิวตรงหน้า
พระองค์ชี้ชวนให้ดูยอดเขาที่เรียงต่อกัน สามยอด ซึ่งเรียกว่า Three Brothers Mountain เป็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของคานาเดีย หลายคน เปรียบยอดเขาทั้งสามนี้กับเจ้าชายทั้ง 3 พระองค์ ที่เป็นเสาหลักของคานาเดียอีกด้วย

ไมเคิลหยิบกล้องออกมาเก็บภาพ สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทำให้องค์ราฟาเอลยิ้มออกมาด้วย
เมื่อไมเคิลหันกลับมา เขาจึงถ่ายรูปขององค์ราฟาเอลเอาไว้หลายรูป

"สอนเราถ่ายรูปบ้างสิ" ทรงกล่าว พระองค์ลุกขึ้นมายืนข้างหลังคนตัวเล็กก่อนจะโอบไมเคิลเอาไว้
“ฝ่าบาท!! ปล่อยครับ” ไมเคิลพยายามจะขืนตัวออก แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมปล่อย
“สอนเราถ่ายรูปก่อนสิ” พระองค์ยื่นหน้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหู
“ถ้าทรงกอดผมแบบนี้ ผมจะสอนได้ยังไงกันครับ” ไมเคิลรู้สึกว่าหน้าของเขากำลังแดง ใจที่เต้นรัว ไม่เป็นจังหวะ และไม่เข้าใจว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกแบบนี้

องค์ราฟาเอลถอนหายใจ ก่อนจะยอมปล่อยร่างเล็กตรงหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก ไมเคิลส่งกล้องให้เจ้าชายถือ และอธิบายวิธีการใช้กล้องพื้นฐานให้ฟัง แต่องค์ราฟาเอลก็ดูจะไม่ได้ฟังอะไรมากนักตรงกันข้าม พระองค์ หันกล้องมาหาไมเคิล และเริ่มถ่ายรูปของคนตัวเล็ก ไมเคิลในตอนแรกที่เอามือปัดป้อง แต่องค์ราฟาเอลก็พูดจาหยอกเย้าจนคนตัวเล็กยิ้มออกมา พระองค์จึงถ่ายรูปเก็บไว้หลายรูป

พระองค์ขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้จนสัมผัสร่างของคนตรงหน้าได้ พระองค์ก็รั้งไมเคิลเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะประทานจุมพิต อันยาวนานให้แก่คนตรงหน้า โดยที่ร่างเล็กมิได้ขัดขืน และรอรับจุมพิตนั้นจากพระองค์ อย่างเต็มหัวใจ

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 10 ลอบเข้าวัง

หลังจากใช้เวลาในช่วงเช้าไปกับการพูดคุย หยอกล้อ กับไมเคิล ในที่สุดองค์ราฟาเอลก็จำใจต้องพา คนตัวเล็กมาส่งที่โรงแรม แม้พระองค์จะไม่อยากกลับ แต่คนตัวเล็กก็พยายามไล่พระองค์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนสุดท้ายพระองค์จึงยอมกลับไปแต่โดยดีโดยแลกกับจุมพิต อันยาวนานอีกครั้ง

ไมเคิลตัดสินใจที่ลองเสี่ยงอีกครั้ง แม้คานาเดียจะเป็นประเทศที่สวยงาม แต่เขาไม่อยากอยู่ที่คานาเดียอีกแล้ว และหลังจากพูดคุยกับองค์ราฟาเอล ไมเคิลจึงรู้ว่าองค์นาธานเนียลไม่ได้ออกนอกวังมาพักใหญ่แล้ว ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย ซึ่งจุดนี้ทำให้ไมเคิลไม่มีทางเลือกมากนัก

หากต้องการลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ เมื่อต้องการรูปกษัตริย์ ไมเคิลจึงต้องเข้าวัง
แต่การที่จะเข้าไปในวังนั้น จำเป็นต้องได้รับอนุญาตและต้องมีเหตุผลที่มากพอ แต่ไมเคิลไม่มีทั้งสองอย่าง เขามีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ ความบ้าบิ่น

ไมเคิลตัดสินใจจะแอบเข้าไปในวังด้วยตัวเอง  โดยแอบหวังว่าเขาจะสามารถเก็บภาพขององค์นาธานเนียลได้เสียที และหากเขาเก็บภาพได้แล้วเขาก็จะกลับอเมริกาทันที เขาได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายจากที่นี่มากพอแล้ว

ไมเคิลสวมชุดสีดำทั้งตัว เสื้อผ้าเข้ารูปเพื่อความคล่องตัว เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้มากเพราะเขามีกล้องที่สามารถซูมได้ไกล โดยที่คุณภาพไม่ได้ด้อยลง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง ปัญหาอยู่ที่เขาจะต้องหาองค์นาธานเนียลให้เจอต่างหาก
การจะหาคนๆ เดียว ในวังที่มีขนาดใหญ่ ก็ใช่จะทำได้ง่ายๆ อีกทั้ง ไมเคิลยังต้องคอยระวังไม่ให้โดนจับได้อีก ทำให้งานนี้โหดหินมากทีเดียว
อย่างไรก็ตามไมเคิลไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างไรเสีย เขาจะต้องถ่ายรูปขององค์นาธานเนียลให้ได้

ไมเคิลเช่ารถเพื่อขับไปที่วัง ยิ่งขับเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า อาณาเขตของวังนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ไมเคิลขับรถมาจอดอยู่ข้างกำแพงด้านทิศใต้ เขาจอดรถ ดับเครื่อง เปิดไฟกระพริบ และแกล้งทำเป็นว่ารถเสีย ไมเคิลเปิดฝากระโปรงรถขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตุ ไมเคิลมองไปรอบๆ เพื่อหาทางเข้าไปในวัง

กำแพงทิศใต้ อยู่ในจุดที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก และนั่นเป็นเหตุผลให้ไมเคิลเลือกกำแพงด้านนี้นั่นเอง ไมเคิลมองไปรอบๆ และพยายามจะหาทางเข้าไป พอดีเขาไปเจอประตูเล็กๆ เข้า

ไมเคิลลองเปิดประตู แต่ก็พบว่ามันล็อกอยู่ เขาจึงเอาอุปกรณ์บางอย่างออกมา มองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นใคร ไมเคิลจึงค่อยๆ สะเดาะกลอนประตู
เพราะเขาต้องเดินทางไปในที่ๆ อันตรายอยู่ตลอด ดังนั้นทักษะต่างที่เป็นประโยชน์ต่อไมเคิล เขาจะพยายามเรียนรู้มาทั้งหมด และวิธีสะเดาะกุญแจนี้ เขาก็เรียนรู้มาจาก ช่างทำกุญแจคนหนึ่งที่เขาพบในแอฟริกาใต้ ไมเคิลช่วยเหลือชายคนนั้น เขาจึงสอนไมเคิลในการสะเดาะกุญแจเป็นการตอบแทน หลังจากนั้นหลายปี ไมเคิลก็ฝึกฝนจนชำนาญ ประตูธรรมดาแทบจะไม่มีความหมายสำหรับไมเคิล

ใช้เวลาไม่นาน ไมเคิลก็สามารถเปิดประตูเข้าไปได้ เมื่อเข้ามาภายในวัง รอบด้านเป็นสวนป่า ต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากถูกปลูกเพื่อบดบังวิสัยทัศน์จากภายนอก และเพิ่มความเป็นส่วนตัวของคนภายใน

ไมเคิลลอบเดินเข้าไปช้าๆ เขาพยายามหาตำแหน่งที่เหมาะสม และมาสะดุดตาที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านสาขา ทำให้ง่ายต่อการปีน ไวเท่าความคิด ไม่ช้าชายหนุ่มก็ปีนขึ้นไปแอบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เขานั่งลง และรอคอย

ไมเคิลหยิบเอากล้องออกมา และส่องดูรอบๆ เขาก็พบกับวิลล่าหลังใหญ่ ไม่ห่างไปมากนัก ก็มีอาคารลักษณะคล้ายกับวิลล่า แต่มีขนาดที่เล็กกว่าตั้งอยู่ ไมเคิลไม่แน่ใจนักว่าเป็นวิลล่าของใคร อย่างน้อยเขาจะต้องรอดูให้แน่ใจเสียก่อน ไมเคิลจึงนั่งนิ่งๆ อยู่บนต้นไม้ ส่องกล้องไปที่วิลล่า และรอคอย


องค์เดเมียนตื่นขึ้นในตอนบ่าย ร่างของกระต่ายสาวทั้งสองนอนเปลือยกายหลับอยู่ข้างๆ พระองค์ พระองค์ขยับลุกขึ้นออกจากเตียงโดยไม่ได้ ให้ความสนใจกับกระต่ายทั้งคู่นัก เมื่อคืนก็เป็นอีกครั้งที่พระองค์ร่วมรักกับสองสาวอย่าง เร่าร้อน ทั้งสองคนต่างพยายามถวายงานอย่างเต็มที่ และทั้งคู่ก็ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม

เมื่อทั้งสามคนมาถึงที่วิลล่า สองสาวก็ค่อยๆ เปลื้องผ้าออก และเริ่มกอดจูบกันเอง แต่ก็ส่งสายตามายั่วยวนเจ้าชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เจ้าชายนั่งลงที่เก้าอี้ติดผนังด้านหนึ่ง
สองสาวจึง เดินยั่วยวนเข้ามาหา คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ก่อนจะค่อยๆ ปลดกางเกงของพระองค์ออก เมื่ออาภรณ์ปกปิดเลื่อนหลุดออก ความเป็นชายของพระองค์ก็ปรากฎแก่สายตา สองสาวหัวเราะคิกคัก อย่างตื่นเต้น ก่อนจะผลัดกันใช้ปากครอบครอง พระองค์ เมื่อได้รับการปลุกเร้า ร่างของพระองค์ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนสองสาวตาโต ด้วยความตื่นเต้นกับความใหญ่โตและแข็งแกร่งของพระองค์ เจ้าชายปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก เปิดเผยร่างกายอันกำยำ จนเกือบสมบูรณ์แบบ รอยแผลเป็นหลายแห่งบนร่างของพระองค์ที่ทำให้เจ้าชายไม่สมบูรณ์แบบ รอยแผลเหล่านั้นเป็นแผลเก่า แต่ก็บ่งบอกว่าแผลเหล่านั้นเป็นแผลที่บาดลึก เพราะแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานรอยแผลก็ยังเด่นชัดอยู่

สองสาวเชื้อเชิญองค์ชายมาที่เตียงนุ่ม กระต่ายน้อยคนหนึ่งนอนลง แยกขาและเชื้อเชิญพระองค์
ส่วนอีกคนใช้ปากโลมเล้าให้กับสาวอีกคน เพื่อเตรียมพร้อมให้กับเจ้าชาย
พระองค์ครอบครองทั้งสองสาวสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งสองสาวไปสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน และพระองค์ก็ปลดปล่อยออกมาหลายครั้ง แต่ความรู้สึกที่ไม่อิ่มหนำยังคงอยู่
ไม่ว่าจะทำอย่างไรพระองค์ก็ลบภาพของเจ้าลูกแมวออกไปไม่ได้

พระองค์เดินเปลือยเปล่าออกมาด้านนอกระเบียง จิบกาแฟที่นางกำนัลเอามาถวายมองออกไปข้างนอกอย่างเบื่อหน่าย
ในห้วงความคิด พระองค์ยังคิดถึง คนตัวเล็กคนนััน
ในชีวิตน้อยครั้งนักที่พระองค์จะถูกทำให้ล้มทั้งยืน แบบที่คนตัวเล็กกระทำกับพระองค์ แม้ภาพลักษณ์ของพระองค์จะเป็นนักรัก เสเพล แต่พระองค์ก็ถูกฝึกมาแบบทหาร พระองค์เชี่ยวชาญการใช้อาวุธต่างๆ และยิ่งการต่อสู้มือเปล่า พระองค์ก็ไม่เป็นรองใคร คิดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กจะมีพิษสงรอบตัว จนถึงขนาดล้มพระองค์ลงได้
พระองค์คิดไปเรื่อยเปื่อยมองออกไปรอบๆ แต่แล้วสายตาของนักล่าอย่างพระองค์ก็สะดุด กับบางสิ่งที่ดูไม่ปกติจากบนต้นไม้ที่ห่างจากวิลล่าไปไม่มาก

ในเสี้ยววินาทีพระองค์เห็นแสงสะท้อนออกมาจากต้นไม้นั้น แต่เมื่อจ้องมองอีกครั้งกลับไม่เห็นอะไร สองสาวตื่นแล้ว และต่างพากันเดินเปลือยเปล่าออกมาออดอ้อนพระองค์ พระองค์จึงเดินกลับเข้าไปข้างใน


ไมเคิลที่กำลังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องไปที่วิลล่าหลังใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ คนที่เขาไม่คิดจะเจอก็เดินออกมาที่ระเบียง อีกทั้งยัง เปลือยเปล่า ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ปกปิด
ไมเคิลที่อยู่ในที่ลับตา จึงลอบมองพิจารณาคนตัวใหญ่ตรงหน้า ร่างกายขององค์ชายกำยำ สูงใหญ่ หน้าท้องที่แบนราบ กล้ามท้องเป็นลอนซิกแพค ทั้งร่างมีแต่มัดกล้าม แต่พระองค์กลับมีรอยแผลเป็นอยู่แทบจะทั่วร่างกาย บางส่วนจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังมีหลายแผลที่ยังเด่นชัดอยู่ ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมองค์เดเมียนถึงได้มีรอยแผลเป็นพวกนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นถึงเจ้าชาย และไมเคิลรู้ดีว่ารอยแผลเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่น่าจะเกิดจากการถูกทรมานเสียมากกว่า แล้วใครกันเล่าจะกล้าดีมาทำร้ายพระองค์ได้ขนาดนี้

ไมเคิลละจากรอยแผลพวกนั้น ก่อนจะมองลงต่ำ ทุกสัดส่วนของพระองค์ล้วนมีแต่มัดกล้าม งดงามราวรูปสลัก และพอดีกับที่พระองค์หันหน้ามาทางไมเคิลพอดี แก่นกายที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็หันมาทักทายไมเคิลด้วย จนไมเคิลหน้าแดง และเกือบจะทำกล้องหลุดมือ พอดีเลนส์ของกล้องไปกระทบแสงแดดจนมีแสงสะท้อน
ไมเคิลตกใจจึงรีบเก็บกล้อง และ นั่งนิ่งสงบลงอีกครั้ง

ไมเคิลแอบหวังว่าองค์เดเมียนจะไม่เห็นเขา แต่พระองค์ก็เอาแต่จ้องมองมาทางเขาอยู่นาน จนกระทั่งมีสองสาวที่เปลือยเปล่าไม่ต่างจากพระองค์เดินออกมาออดอ้อนพระองค์ พระองค์จึงเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง ไมเคิลถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาจะแอบอยู่ตรงนี้สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย จากนั้นเขาจะต้องรีบออกไปจากในส่วนของวังด้านทิศใต้ให้เร็วที่สุด โดยหวังอย่างยิ่งว่าองค์เดเมียนจะไม่รู้ว่าเขาแอบอยู่ตรงนี้

หลังจากบำเหน็จรางวัลแก่กระต่ายสาวทั้งสองอย่างใจกว้างแล้ว องค์เดเมียนก็ไล่ให้ทั้งสองกลับไป อย่างไม่ใยดีนัก หลังพระองค์แต่งตัวเสร็จ พระองค์ยังติดใจกับแสงที่มาจากต้นไม้นั่น ทรงสั่งให้ทหารของวังตรวจสอบกำแพงโดยรอบพระราชวังอย่างเร่งด่วน โดยที่พระองค์ยังคงจับตามองที่ต้นไม้ต้นนั้นอยู่ตลอดเวลา

ไม่นานก็มีรายงานเข้ามาว่า มีรถยนต์มาจอดเสียอยู่ทางด้านกำแพงทิศใต้ แม้โอกาสจะเป็นไปได้ แต่มันก็ดูจะบังเอิญเกินไป พระองค์ย่อมไม่ประมาท ราชวงศ์กำลังตกเป็นเป้าหมาย พระองค์ไม่มีวันยอมให้ใครกล้าดีมาก่อเหตุในพระราชวังนี้แน่ๆ โดยเฉพาะหากคนร้ายคิดจะแตะต้องนาธานเนียล น้องชายร่วมบิดา อันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันให้อภัยมันผู้นั้นเป็นอันขาด

น้อยคนนักที่จะรู้ แต่หากปราศจากองค์นาธานเนียล ก็คงจะไม่มีเจ้าชายที่ชื่อ เจ้าชายเดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เช่นกัน และด้วยเหตุนี้องค์เดเมี่ยนผู้เย็นชา ผู้ไม่เคยไว้หน้า หรือใส่ใจใคร กลับยอมถวายชีวิตของพระองค์เพื่อน้องชายคนนี้ และพระองค์ก็ทรงรักน้องชายคนนี้มากยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองอีกด้วย

และเมื่อพระองค์คิดว่ามีคนกำลังคิดจะปองร้ายต่อองค์นาธานเนียล พระองค์ก็เริ่มเดือดดานด้วยความโกรธ ดวงตาคมคู่นั้นจ้องมองไปที่ต้นไม้นั้นอย่างใจเย็น รอคอยให้คนร้ายปรากฎตัว ราวกับเสือดำที่หลบซ่อนตัวอย่างดีเยี่ยม จ้องมองเหยื่อตรงหน้าอย่างใจเย็น รอจนเหยื่อตายใจ ก่อนจะตระครุบ และฆ่าเหยื่อ อย่างเลือดเย็น

ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เมื่อคนร้ายในชุดดำกำลังไต่ลงมาจากต้นไม้ช้าๆ พระองค์คลี่ยิ้มออก รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา รอยยิ้มของนักล่า ที่เย็นชา และเลือดเย็น ไวเท่าความคิดพระองค์ก็ก้าวเข้าไปหาคนร้ายอย่างเงียบเชียบ โดยไม่ให้คนร้ายได้รู้ตัว แม้การฆ่าอาจจะง่ายกว่ามาก แต่การจับเป็นมาทรมาน ก็คงจะทำให้พระองค์รู้สึกดีไม่ใช่น้อย

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 11 มัจจุราชสีดำ

ไมเคิลหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้นานหลายชั่วโมง เมื่อเขาไม่เห็นใคร และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น ไมเคิลจึงค่อยๆ ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างระมัดระวัง เขาจะต้องออกไปจากวังให้ได้ก่อนที่จะมีคนมาเห็น เมื่อเท้าแตะพื้นไมเคิลก็พยายามจะเดินกลับไปทางกำแพงที่เขาเดินเข้ามา แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อยู่ๆ องค์เดเมียนก็มายืนขวางทางของไมเคิล

ไมเคิลในตอนนี้แต่งกายด้วยชุดเข้ารูปสีดำ สวมหมวกปิดบังใบหน้า ทำให้องค์เดเมียนจำไมเคิลไม่ได้ ไมเคิลตกใจที่เห็นคนตัวใหญ่มายืนขวางทางอยู่ในระยะประชิด และองค์เดเมียนก็ดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าที่เขาเคยเห็นเสียอีก ต่างกันที่ในครั้งนั้นแม้พระองค์จะดูโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังพอมีความเมตตาเหลืออยู่ แต่ในตอนนี้ ไมเคิลรู้สึกเหมือนถูกสายตานั้น สะกดไว้ ความกลัวเข้าเกาะกิน ดวงตานั้น เป็นดวงตาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ หากจำเป็น

“เจ้าช่างกล้ามากนักนะ ที่บังอาจลักลอบเข้ามา เจ้าคงรนหาที่ตายใช่ไหม”

เจ้าชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา ไมเคิลไม่ตอบอะไร เขากระชับหมวกให้ปิดใบหน้ามากยิ่งขึ้น ไม่ต้องการให้คนตัวใหญ่เห็นใบหน้า เพราะไม่ต้องการให้พระองค์รู้ว่าเป็นเขา
การที่จะหนีได้ อย่างน้อยเขาจะต้องทำให้คนตัวใหญ่ติดตามเขาไปไม่ได้
ไมเคิลตั้งท่าจะสู้ แต่เขาก็รู้ว่าโอกาสที่จะชนะนั้นมีน้อยเหลือเกิน เพราะคนตรงหน้าตั้งใจเต็มที่ ที่จะจับเขาให้ได้ หรือร้ายที่สุดเขาคงโดนจับตายอยู่ตรงนี้ ดวงตาที่เย็นชา และเลือดเย็น จ้องมองมาที่เขา

แม้จะโกรธเกรี้ยวแต่คนตรงหน้ากับไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพระองค์กับนิ่งและระวังตัวมากเป็นพิเศษ ไมเคิลกลับเป็นฝ่ายที่ร้อนรนเสียเอง เขาไม่มีเวลาที่จะเสีย เพราะหากองค์ชายรู้ตัว เหล่าทหารและองครักษ์ ก็คงจะตามมาในไม่ช้า และหากเขาถูกรุมล้อม นั่นก็เป็นการปิดตายทางหนีของเขาไปเลย

ไมเคิลไม่ลังเล เขาจึงรีบเข้าจู่โจม การที่ไมเคิลตัวเล็กกว่ามาก เขาจึงต้องเล็งที่จุดตายเท่านั้นจึงจะล้มคนตรงหน้าได้
ไมเคิลหวังจะชกเข้าที่กกหูของคนตัวใหญ่ แต่พระองค์ก็ปัดหมัดของไมเคิลออกไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อพระองค์ไม่ประมาท ก็เป็นการยากที่จะล้มคนตรงหน้า

ไมเคิลจึงเตะเข้าที่ขาขององค์เดเมียน แต่มันก็ดูไร้ประโยชน์ องค์เดเมียนฉีกยิ้มอย่างเลือดเย็น
และก็เป็นจังหวะที่ไมเคิลรอคอย เขาหวังให้คนตรงหน้าดูถูกเขา และลดความระมัดระวังลง
เสี้ยววินาที ไมเคิลกระโดดสูงหวังที่จะเตะก้านคอของคนตรงหน้า คนตัวใหญ่แม้จะลดการ์ดลงแต่ก็ไม่ได้ประมาท พระองค์จึงหลบการเตะของไมเคิลได้อย่างฉิวเฉียด
ปลายเท้าของไมเคิลเฉียดใบหน้าของพระองค์ไปจนเป็นรอยถลอกแดง

เจ้าชายหนุ่มเอามือลูบหน้า เลือดซึมออกมา พระองค์จึงลิ้มรสเลือดของพระองค์เอง นานเท่าไหร่แล้วที่พระองค์ไม่ได้ลิ้มรสเลือดของพระองค์จากการต่อสู้

“ไม่เลวนี่ แต่ถ้าทำได้แค่นี้ก็เตรียมตัวตายได้แล้ว” องค์เดเมียนกล่าว และก่อนที่ไมเคิลจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หมัดที่หนักหน่วงขององค์เดเมียนก็ต่อยมาที่ท้องของไมเคิล เขารู้สึกจุกขึ้นมา ร่างเล็กก็ค่อยๆ ทรุดตัวลง องค์เดเมียนเดินเข้ามาใกล้ ทุกฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ไมเคิลเหมือนได้ยินเสียงของพญามัจจุราชที่กำลังก้าวเดินเข้ามาปลิดชีวิตของเขา เจ้าชายหนุ่มมองคนตัวเล็กอย่างเย็นชา ก่อนจะเตะเข้าที่ใบหน้าของไมเคิล คนตัวเล็กไม่มีแม้แต่โอกาส ร่างเล็กหมดสติล้มลง พร้อมๆ กับ ทหารวังที่เดินทางมาถึง

องค์เดเมียนเดินเข้ามาใกล้ ใช้เท้าเขี่ยหมวกออกจากใบหน้าของคนร้าย และก็เป็นพระองค์เองที่ตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม แวบหนึ่งพระองค์รู้สึกผิดขึ้นมา แต่หากคนๆ นี้เป็นคนร้ายที่หวังมาทำร้ายน้องชายของพระองค์ พระองค์ก็ปล่อยไปไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนี้พยายามหลอกล่อพระองค์ให้ลุ่มหลง และอาจจะมาแว้งกัด และพยายามทำลายราชวงศ์ก็เป็นได้ หรือไม่เด็กหนุ่มก็อาจจะเป็นหนึ่งในแกนนำ ของกลุ่มต้านราชวงศ์ก็เป็นได้ อาจจะดีแล้วที่พระองค์รู้ตัวเสียก่อนและจับตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ได้

หน้าที่ย่อมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด แต่แม้จะทรงบอกกับพระองค์เองแบบนั้น แต่หน้าอกของพระองค์กลับรู้สึกเจ็บขึ้นมา อย่างไร้สาเหตุ แต่พระองค์ก็รีบไล่ความรู้สึก ไร้สาระออกไป

“เอาตัวไปขังไว้ เราจะเป็นคนสอบสวนด้วยตัวเอง ห้ามใครแตะต้อง” ทรงสั่งทหารของวัง


องค์เดเมียนเดินกลับเข้าไปในวิลล่า ทั้งๆ ที่ พระองค์ควรจะดีใจที่จับคนร้ายได้ แต่บางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง พระองค์กลับรู้สึกเจ็บปวด
และไม่เข้าใจทำไมลูกแมวของพระองค์ จึงต้องเป็นคนร้ายด้วย

พระองค์หยิบกระเป๋าสะพายของเด็กหนุ่มออกมาดู กล้องถ่ายรูปราคาแพงอยู่ข้างใน รูปถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ มีแต่สถานที่ ที่นาธานเนียลควรจะไป แต่เพื่อความปลอดภัย พระองค์ หรือราฟาเอลจึงไปแทน รูปถ่ายมีทั้งรูปของพระองค์และรูปของราฟาเอล เต็มไปหมด พระองค์ เลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ก็พบว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อพบว่ารูปบางส่วนถูกถ่ายที่บ้านพักตากอากาศของราฟาเอลบนเขา พระองค์รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอีกครั้ง ทั้งๆ ที่พระองค์เอาแต่คิดถึง และปรารถนาคนตัวเล็ก แต่คนตัวเล็กกลับไปหลงระเริง ออดอ้อน อยู่กับ ราฟาเอล

ยิ่งเห็นรูปของคนตัวเล็กที่ถูกถ่ายก็ทรงรู้ว่าใครเป็นคนถ่าย และรูปที่ถูกซูมเข้าใกล้เรื่อยๆ จนมารูปสุดท้าย ที่คนตัวเล็กมีสีหน้าเย้ายวนอย่างนั้น พระองค์ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น กล้องราคาแพงถูกโยนทิ้งกระแทกพื้นจนแตกหัก

พระองค์โกรธ ราฟาเอล ที่บังอาจมายุ่งกับของที่พระองค์หมายตา น้องชายต่างมารดาที่พระองค์ไม่ค่อยถูกชะตานัก ทั้งๆ ที่มารดาของราฟาเอลเป็นเพียงหญิงธรรมดา ที่โชคดีจนได้แต่งตั้งเป็นสนม ทั้งๆ ที่ราฟาเอลมีเลือดของกษัตริย์เพียงครึ่งเดียว แต่ราฟาเอลกลับได้ทุกอย่างไปเสมอ ทั้งตำแหน่ง ฐานะขององค์รัชทายาท ความไว้วางใจจากนาธานเนียล และยังมีผู้คนสนับสนุนราฟาเอลจำนวนมาก รวมไปถึงเหล่าประชาชนหน้าโง่ ที่ยังรักใคร่ราฟาเอลกันเหลือเกิน

แล้วพระองค์ล่ะ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นเจ้าชายองค์โต พระมารดาของพระองค์ก็เป็นถึงเจ้าหญิง ทั้งๆ ที่พระองค์ควรจะเป็นกษัตริย์แท้ๆ แต่พระองค์กลับไม่มีอะไรเลย นอกจากฐานะเจ้าชายจอมปลอมนี้ และคำตราหน้าว่าเป็นเจ้าชายต้องสาป เจ้าชายที่ไม่มีวันได้เป็นกษัตริย์ ต่อให้ราชวงศ์สูญสิ้น พระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์จะนั่งบังลังก์ เป็นที่นินทาของผู้คน

แต่พระองค์ก็ไม่เคยสนใจ กับบังลังก์ ราชสมบัติ สิ่งเหล่านั้นล้วนเล็กน้อยสำหรับพระองค์ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ ต่างออกไป เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนเหยื่อที่พระองค์หมายตา เป็นดั่งรางวัลของการล่า พระองค์ไม่มีวันยอมเสียไปให้ ราฟาเอลอีก ไม่ว่าพระองค์จะต้องการ เด็กหนุ่มคนนี้หรือไม่ แต่ราฟาเอลจะไม่มีวันได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปครอบครองอย่างเด็ดขาด

พระองค์จะครอบครองเด็กหนุ่มคนนี้ พระองค์จะเป็นเจ้าชีวิต และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็กหนุ่ม และเมื่อไหร่ที่พระองค์เบื่อ พระองค์ก็จะทำลายเด็กหนุ่มคนนี้เสีย

และคนที่บังอาจมาปั่นหัว ยั่วยวนพระองค์อย่างเด็กหนุ่มคนนี้ ก็สมควรที่จะถูกลงโทษแล้วไม่ใช่หรือ และยังไม่ได้รวมกับความผิดที่หวังจะทำร้ายนาธานเนียลอีก ยิ่งคิดพระองค์ก็ยิ่งบันดานโทสะ

พระองค์เทของที่อยู่ในกระเป๋าของเด็กหนุ่มออกมา อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ในการถ่ายภาพ แต่พระองค์ก็เจอของที่พระองค์ต้องการ พาสปอร์ตเล่มสีน้ำเงินตกลงมา ระบุ United States of America พระองค์เปิดออกดู

“ไมเคิล มิลลส์ อย่างนั้นเหรอ”

เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการ พระองค์ก็โยนพาสปอร์ตเข้าไปในกองไฟ
เมื่อคิดจะทรยศหักหลัง กับพระองค์ ก็ควรจะเตรียมใจไว้
และเมื่อคิดจะลองดีกับพระองค์ ก็ควรควรจะเตรียมใจทิ้งชีวิตเอาไว้ด้วย
พระองค์ไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้มานานมากแล้ว และอารมณ์โกรธนี้พระองค์ก็ต้องการหาที่ลง และบังเอิญว่าที่ตรงนี้ก็มีเครื่องระบายอารมณ์ที่น่าสนใจอยู่ด้วย
เจ้าชายหนุ่มเดินไปยังสถานที่คุมขังนักโทษช้าๆ ความโกรธ ความผิดหวัง ความดำมืดค่อยๆ ครอบงำพระองค์ ในทุกย่างก้าว ที่ก้าวเดินไป

ไมเคิลค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นช้า หลังจากถูกสาดด้วยน้ำเย็น ความรู้สึกเจ็บที่หน้า และท้อง ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา มือและเท้าของเขาถูมัดเอาไว้กับเก้าอี้ ไมเคิลหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ และทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาลักลอบเข้ามาในวัง แต่ก็ถูกองค์เดเมียนจับตัวได้ ไมเคิลไม่เคยตกต่ำถึงขั้นนี้มาก่อนเลยในชีวิต

ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พญามัจจุราช กำลังนั่งรอเขาอยู่ตรงหน้า เขากำลังจะถูกพิพากษาโดยพญามัจจุราชตรงหน้าคนนี้สินะ หากเขาเป็นอะไรไป โทนี่คงจะต้องร้องไห้มากมายอย่างแน่นอน ไมเคิลรู้สึกผิดต่อน้องชาย ครอบครัวคนเดียวที่เขามี คนๆ เดียวที่เขารักมากยิ่งกว่าสิ่งใด

ไมเคิลเพียงหวังว่า ความตายจะมาอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว อย่างน้อย เขาก็รู้ว่าพ่อกับแม่ก็กำลังรอคอยเขาอยู่ แม้จะรู้สึกผิดต่อโทนี่ แต่อย่างน้อยการได้พบกับ พ่อและแม่อีกครั้งก็ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก

ไมเคิลรู้ว่าการลักลอบเข้าวัง จะมีโทษหนัก และยิ่งรู้ว่า เจ้าชายเดเมียนผู้ขึ้นชื่อในความโหดร้ายคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ๆ เพราะฉะนั้นไมเคิลตัดสินใจที่จะไม่ร้องขอ เพราะ เจ้าชายต้องสาปคนนี้ ไร้ซึ่งหัวใจ และคงไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

เมื่อตัดสินใจดังนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง มัจจุราชสีดำตรงหน้า และหวังว่า เขาจะได้รับความตายอย่างรวดเร็ว จากมัจจุราชคนนี้

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 12 การสอบสวน

องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาในห้องสอบสวน ร่างเล็กถูกพันธนาการอยู่กับเก้าอี้ ใบหน้าข้างซ้ายเขียวช้ำ คนตัวเล็กยังคงหมดสติอยู่ เมื่อทรงเห็น หัวใจของพระองค์ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พระองค์อยากจะแก้มัดให้ อยากจะดูแล ทะนุถนอม ความโกรธของพระองค์ลดลง ไปหลายส่วน แต่คนตรงหน้าเป็นนักโทษ และพระองค์ก็ต้องการข้อมูลของคนตรงหน้า แม้อยากจะอ่อนโยน พระองค์ก็ทำไม่ได้ ด้วยหน้าที่จำเป็นต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด

พระองค์ เทน้ำใส่ในแก้ว ก่อนสาดใส่หน้าของคนตัวเล็กตรงหน้า เพื่อเรียกสติของคนตรงหน้า ร่างเล็กค่อยๆ ได้สติ และลืมตาขึ้นช้า พระองค์นั่งอยู่เบื้องหน้า และมองคนตัวเล็กอย่างใจเย็น
ร่างเล็กดูสับสนเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน ก็มองมาที่พระองค์

โดยปกติแล้ว คนทั่วไป เมื่อตกอยู่ในสภาพนี้ ต่างก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา หากไม่ลนลานหาทางหนี ก็จะรีบร้องขอความเมตตาจากพระองค์ แต่คนๆ นี้กลับนิ่งเฉย และสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาสีฟ้า จ้องมองมาที่พระองค์อย่างรอคอย ดูแล้วไม่ใช่สายตาของคนสิ้นหวังจนเสียสติ แต่กลับเป็นสายตาของการตัดสินใจที่แน่วแน่ และยอมรับในโชคชะตา

“เจ้าเป็นใคร และต้องการอะไร” ทรงถาม
“ผมชื่อ ไมเคิล ผมมาจากอเมริกา ผมเป็นช่างภาพ” ไมเคิลตอบตามตรง
“เจ้าต้องการอะไรในวังนี้ เจ้ากล้าดียังไงจึงบุกเข้ามา” ทรงถาม
“ผมแค่ต้องการภ่ายภาพของกษัตริย์นาธานเนียล” ไมเคิลตอบ
“โกหก!!! หากแค่รูปถ่าย ทำไมเจ้าถึงได้กล้าดีบุกเข้ามาในวัง” ทรงถามเสียงดัง
“ผมพูดความจริง ผมแค่ต้องการภาพถ่ายเท่านั้น” ไมเคิลตอบสายตายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าคิดเหรอว่า เราจะเชื่อคำพูดของเจ้า ยอมรับมาซะว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร” ทรงเดินเข้ามาใกล้ และถามเสียงดัง

"ผมไม่ได้เป็นสายให้ใคร ผมเพียงต้องการรูปถ่ายเท่านั้น” ไมเคิลตอบเสียงเรียบ
องค์เดเมียนง้างมือขึ้น และตบหน้าไมเคิลอย่างแรง รอยมือสีแดงปรากฏที่หน้าของคนตัวเล็ก
หน้าของไมเคิลหันไปตามแรงขององค์เดเมียน

“บอกความจริงมาซะ ไม่งั้นเจ้าจะเจ็บตัวมากกว่านี้” องค์เดเมียนตะโกนเสียงดังใส่หน้าของคนตัวเล็ก แต่คนตรงหน้ากลับก้มหน้านิ่ง ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าเกรงกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พระองค์กลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดเสียเอง

พระองค์สามารถทำร้ายคนตรงหน้าได้มากกว่านี้ หากกระดูกกรามหักจากหมัดของพระองค์ก็จะทำให้ทรมานมาก แต่พระองค์เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น แต่หากร่างเล็กไม่ให้ความร่วมมือ พระองค์ก็จะไม่มีทางเลือกอีก

"ต่อให้พระองค์ทำมากกว่านี้ ผมก็ไมมีอะไรจะบอกอีก ผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่งเท่านั้น” ไมเคิลตอบ
“อย่ามาโกหก บอกมาว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร!!”
“ผมไม่ใช่สายลับ ผมเป็นแค่ช่างภาพเท่านั้น” ไมเคิลบอกอีกครั้ง สายตาที่แน่วแน่ ไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดนั้นทำให้องค์เดเมียนไม่พอใจนัก พระองค์ตบหน้าของไมเคิลอีกครั้ง จนปากของไมเคิลมีเลือดไหลออกมา แต่คนร่างเล็ก ก็ไม่มีเสียงร้องออกมา ไม่มีการร้องขอความเมตตา มีเพียงสายตาที่แน่วแน่ และมองตรงกลับมาหาพระองค์เท่านั้น

“ผมไม่มีอะไรจะบอกพระองค์ ผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่ง ต่อให้พระองค์ทรมานผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ต่อให้พระองค์ฆ่าผม ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูด” ไมเคิลพูดออกมาอย่างยากลำบาก

"เราจะได้เห็นกัน เราไม่อยากจะทำร้ายเจ้าแต่เจ้าก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้กับเรา ในเมื่อเราให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้าปฏิเสธก็อย่ามาโทษเราก็แล้วกัน"

องค์เดเมียนกล่าวด้วยเสียงเย็นชา พระองค์สั่งให้ทหารจับไมเคิลยืนขึ้น และมัดแขนทั้งสองข้างแยกออกจากกัน

“เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมาว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร บอกความจริงมาซะ” องค์เดเมียนถามย้ำ ทรงภาวนาในใจ ขอให้ร่างเล็กบอกความจริงกับพระองค์

“ผมบอกกับพระองค์ไปแล้ว ว่าผมเป็นแค่ ช่างภาพธรรมดาคนหนึ่ง ผมเพียงต้องการถ่ายภาพขององค์นาธานเนียลเท่านั้น ผมไม่ได้เป็นสายลับ แต่พระองค์ก็ยังไม่เชื่อผมอยู่ดี และไม่ว่าอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี เพราะฉะนั้น พระองค์อยากจะทำอะไรก็เชิญเถอะครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
ไมเคิลกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย และยอมรับในชะตากรรม ไมเคิลหลับตาลง รอคอยการลงทัณฑ์ ในอาญชากรรมที่เขาไม่ได้ก่อ

องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และไม่เข้าใจ ไม่มีแม้แต่คำร้องขอความเมตตาจากพระองค์ เจ้าชายหยิบแส้ออกมา ก่อนจะสะบัดแส้ใส่หลัง ของคนตัวเล็กอย่างไร้ความปราณี

แส้หนังฟาดใส่หลังของคนตัวเล็กอย่างแรง จนเสื้อขาด และเลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผล คนตัวเล็กกัดฟันแน่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา แม้กระนั้นร่างเล็กกลับไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าอย่างใจหาย แต่เสียงแส้กระทบหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง และ อีกครั้ง

ทุกครั้งที่แส้หนังฟาดใส่หลังของคนตรงหน้า องค์เดเมียนเองกลับเป็นคนที่รู้สึกเจ็บปวด หลังของคนตรงหน้ามีแต่รอยแผลที่แตกยับ น้ำตาที่ไหลริน แต่ร่างเล็กกลับกัดฟันแน่น จนริมฝีปากมีเลือดไหลออกมา แต่กระนั้นร่างเล็กก็ไม่ร้องขอ ไม่อ้อนวอน ไม่ครวญครางด้วยความเจ็บปวด อย่างที่ควรกระทำ พระองค์ไม่อาจทนทรมานคนตรงหน้าได้อีก แส้หนังฟาดลงบนร่างของคนตัวเล็ก เป็นครั้งที่ สิบ แรงฟาดแรงจนร่างเล็กสะท้านด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหมดสติไป

ทันทีที่ร่างเล็กหมดสติ องค์เดเมี่ยนก็ทิ้งแส้และเดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจยับยั้ง พระองค์ประคองร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะใช้มีดตัดเชือกที่พันธนาการร่างเล็กออก ไม่เข้าใจในการกระทำของพระองค์ รู้เพียงแค่พระองค์ไม่อาจเห็นร่างเล็กเจ็บปวดได้อีกต่อไป

พระองค์โอบอุ้มร่างเล็กออกไปจากที่คุมขัง ท่ามกลางสายตาที่ไม่เข้าใจของเหล่าทหาร ทั้งๆ ที่ปกติเจ้าชายเดเมี่ยนผู้ไร้ความปราณี ไม่เคยอ่อนข้อให้กับใคร พระองค์เป็นดั่งผู้รักษากฎเหล็ก เป็นดั่งพญามัจจุราชสีดำ ผู้ไม่เคยลังเลที่จะมอบความตายแก่เหล่านักโทษคนไหน โดยเฉพาะนักโทษที่บังอาจมาคิดร้ายต่อกษัตริย์นาธานเนียล แต่พระองค์กลับโอบอุ้มนักโทษคนนี้ออกไป ด้วยใบหน้าที่แสดงความห่วงใย จนเหล่าทหารต่างพากันแปลกใจในการกระทำยิ่งนัก

องค์เดเมียนพาไมเคิลกลับไปที่วิลล่า เหล่านางกำนัลต่างพากันตกใจ ที่องค์เดเมียนพานักโทษเข้ามาที่วิลล่า แถมองค์เดเมี่ยนยังดูเป็นห่วงเป็นใยมากอีกด้วย

“ให้คนไปตามหมอพอลมา” ทรงสั่งเรียบๆ ก่อนจะพาคนตัวเล็กไปยังหัองนอนแขกในวิลล่าหลัก

เป็นที่รู้กันว่าองค์เดเมี่ยน ผู้เย็นชา ไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยเห็นใครอยูในสายตา และไม่เคยแสดงความห่วงใยต่อใคร นอกจากองค์นาธานเนียลพระองค์เดียว คนที่จะมาที่วิลล่าหลักของพระองค์ได้คือเหล่าสาวสวย และเด็กหนุ่มหน้าหวาน หรือ รางวัลจากการล่าของพระองค์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมาและไป สลับหน้าไปเรื่อย เพื่อตอบสนองความปรารถนาขององค์เดเมียนเท่านั้น บุคคลที่มาล้วนแต่มาเพื่อเป็นของเล่นบนเตียงขององค์เดเมียน

แต่ในวันนี้องค์เดเมี่ยนกลับพาเด็กหนุ่มที่หลับไหลไม่ได้สติเข้ามาในวิลล่า แม้เด็กหนุ่มจะหน้าตางดงาม แต่บาดแผลฉกรรจ์ที่หลังก็ดูสาหัสมิใช่น้อย ดูยังไงก็คงไม่น่าจะใช่รางวัลจากการล่า เพื่อตอบสนองความปรารถนาของพระองค์

องค์เดเมี่ยนวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือ เลือดจากบาดแผลไหลจนเปื้อนผ้าปู องค์เดเมียนพลิกร่างเล็กให้นอนคว่ำเพื่อจะได้รักษาบาดแผล พระองค์ฉีกเสื้อที่ขาดของร่างเล็กออก

“เอาผ้ากับน้ำอุ่นมา” พระองค์สั่งนางกำนัล เมื่อได้รับผ้าชุบน้ำอุ่นมาพระองค์ก็ค่อยๆ เช็ดซับเลือดออกจากหลังของร่างเล็กด้วยพระองค์เอง ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน

ร่างเล็กสะท้านเมื่อพระองค์สัมผัสโดนแผล
“พระองค์...ต้องการอะไร...จากผม” ร่างเล็กเอ่ยเสียงเบา พยายามข่มความเจ็บปวด แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ
“นอนเฉยๆ เราจะให้หมอมาดูเจ้า” องค์เดเมียนกล่าวเสียงเรียบ
“ทำไม? ในเมื่อพระองค์เป็นคนที่ทำกับผมแบบนี้ แล้วพระองค์จะมารักษาผมทำไม” ไมเคิลถามอย่างไม่เข้าใจ
“เงียบซะ อย่าทำให้เราเปลี่ยนใจ” องค์เดเมี่ยนเองก็ไม่เข้าใจในการกระทำของพระองค์นัก
“ถ้าพระองค์คิดจะฆ่าผม ทำไมพระองค์ไม่ลงมือเสียล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องมารักษาผม ผมเตรียมใจไว้แล้ว” ไมเคิลร้องขอความตาย

“เราบอกให้เงียบซะ!” ทรงสั่งอีกครั้ง พร้อมกับกดที่แผลอย่างแรง จนร่างเล็กเจ็บสะท้าน
“หากเจ้าตาย มันจะมีความหมายอะไร เราต้องการข้อมูลจากเจ้า” พระองค์ได้ยิน พระองค์พูดแบบนั้น แม้ว่าในตอนนี้ข้อมูลนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว
“ผมไม่มีอะไรจะสารภาพ ผมบอกพระองค์ไปแล้วว่าผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่ง” ไมเคิลกล่าว
“เรื่องนั้น เราจะเป็นคนตัดสินเอง ในตอนนี้เจ้าคือนักโทษของเรา ไม่ว่าเจ้าจะชอบใจหรือไม่ เจ้าก็ต้องยอมรับ” พระองค์กล่าวเสียงดัง

หมอพอลเดินเข้ามาในห้องเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่หลังแตกยับไปด้วยรอยแส้ หมอพอลก็รู้สึกไม่พอใจนักที่เจ้าชายองค์โตกลับโหดร้ายกับคนที่ไม่มีทางสู้แบบนี้ หมอพอลจึงเดินเข้ามาทักทายองค์เดเมียน

“ฝ่าบาท พระองค์ต้องการให้กระหม่อมทำอะไร หากพระองค์ต้องการให้กระหม่อมทรมาน หรือ จบชีวิตของคนไข้ กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงน่าจะทำได้ดีกว่ากระหม่อม” หมอพอลกล่าวประชด
“หมอพอล เจ้าควรจะรู้จักที่ของตัวเองบ้าง อย่าคิดว่านาธานเนียลโปรดเจ้า แล้วเราจะทำอะไรเจ้าไม่ได้นะ” องค์เดเมียนตรัส
“กระหม่อมย่อมรู้ฐานะของกระหม่อมดี และแม้จะไม่น่าเชื่อนัก แต่หากพระองค์ต้องการให้กระหม่อมรักษาเด็กคนนี้ พระองค์ก็ได้โปรดถอยออกมาด้วยขอรับ” หมอพอลกล่าว แม้จะขัดใจ แต่องค์เดเมียนก็จำยอมลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง พระองค์รู้ดีว่าหมอพอลไม่ค่อยชอบพระองค์ พระองค์เองก็ไม่ได้โปรดหมอปากกรรไกรคนนี้เท่าไหร่นัก เพียงแต่หมอพอล คือหมอที่ดีที่สุดของคานาเดีย และพระองค์ก็ต้องการให้ร่างเล็กได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเท่านั้น

พระองค์เดินออกมาจากห้องด้วยความขัดใจ แต่เมื่อพระองค์ออกมา พระองค์ก็พบกับคนที่พระองค์ไม่อยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง ที่กำลังเดินอย่างอุกอาจเข้ามาในวิลล่าของพระองค์

ทรงแอบสบถในใจ ...นี่มันวันโลกาวินาศอะไร ทำไมมีแต่พวกแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในวิลล่า

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 13 ศึกสองพี่น้อง

“เสด็จพี่เอาไมเคิลไปไว้ที่ไหน” องค์ราฟาเอล ถามขึ้นอย่างอารมณ์เสีย

หลังจากที่พระองค์กลับมาที่วัง พระองค์ก็เอาแต่ทรงงาน แต่แล้วพระองค์ก็มาทราบทีหลังว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาในวัง ในตอนแรกพระองค์ก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคนร้ายบุกรุกเข้ามาในส่วนของวิลล่าทิศใต้
คงมีแต่คนร้ายที่คิดสั้นเท่านั้นถึงได้กล้าบุกเข้าไปในทางทิศนั้น ที่เป็นวิลล่าขององค์เดเมียน แต่พอทรงรู้ว่าคนร้าย ชื่อ ไมเคิล มิลลส์ พระองค์ก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พระองค์จึงรีบมาที่วิลล่าทิศใต้ ที่ๆ พระองค์แทบไม่เคยย่างกรายเข้ามา

“ไมเคิล ไม่ใช่คนร้าย ผมยืนยันได้ ผมมารับตัวเขา เสด็จพี่เอาไมเคิลไปไว้ที่ไหน” องค์ราฟาเอลถามอย่างร้อนใจ
“หนวกหู เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร คิดจะมาสั่งเรา” องค์เดเมียนกล่าว
“ผมรู้ว่าเสด็จพี่พาไมเคิลมาที่นี่ พระองค์เอาเขาไปไว้ที่ไหน”องค์ราฟาเอลรู้สึกโกรธ แต่ก็พยายามระงับความโกรธไว้
“คนๆ นั้นเป็นนักโทษของเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์” องค์เดเมียนตอบ
“ไมเคิลเป็นคนรู้จักของผม ผมมารับเขากลับ” องค์ราฟาเอลประท้วง
“คนรู้จักของเจ้าบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตวิลล่าของเรา และตอนนี้เขาก็เป็นนักโทษของเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์” องค์เดเมียนตอบ
“พระองค์ส่งคนไปตามหมอ พระองค์ทำอะไร ไมเคิล” องค์ราฟาเอลถามอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องนั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า กลับไปซะ” องค์เดเมียนไล่

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังเถียงกันอยู่ หมอพอลก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง เมื่อองค์ราฟาเอลเห็น พระองค์จึงเดินตรงไปที่ห้องที่หมอเดินออกมา โดยมีองค์เดเมียนเดินตามไปติดๆ

องค์ราฟาเอลเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นไมเคิลถูกผ้าพันแผลพันรอบหลัง เลือดยังคงซึมออกมา ใบหน้าของคนตัวเล็กเขียว และบวมช้ำ นอนหมดสติอยู่บนเตียง องค์เดเมียนที่เดินตามมาจึงเข้าขวางไม่ยอมให้องค์ราฟาเอลเข้าใกล้คนตัวเล็กมากไปกว่านี้

"กลับไปซะ ราฟาเอล” องค์เดเมียนเตือน แต่องค์ราฟาเอลกลับโกรธกับการกระทำของผู้ที่เกิดก่อน พระองค์ต่อยหน้าองค์เดเมียนอย่างเต็มแรง จนพระองค์เซไปหลายก้าว องค์เดเมียนตั้งสติได้ก็ต่อยสวนกลับไปที่องค์ราฟาเอลบ้างก่อนที่ทั้งคู่จะแลกหมัดกันอยู่หลายนาที

“หยุดเดี๋ยวนี้!!!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น และทั้งสองก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสองพระองค์ถึงได้ทำตัวไม่สมกับฐานะแบบนี้!” องค์นาธานเนียลตวาดใส่
เจ้าชายทั้งสองพระองค์จึงแยกออกจากกัน และลุกขึ้น
“คนที่ออกหมัดก่อนไม่ใช่เรา” องค์เดเมียนกล่าว
“แต่พระองค์มาลงกับคนที่ไม่มีทางสู้อย่างไมเคิล” องค์ราฟาเอลเถียง
“พอได้แล้ว ทั้งสองคน เกิดอะไรขึ้น” องค์นาธานเนียลถาม

“เด็กคนนี้บุกเข้ามาในวัง ในอาณาเขตของวิลล่าของเรา เราจับตัวได้ เราจึงสอบสวนก็เท่านั้น” องค์เดเมียนกล่าว กลับเป็นองค์นาธานเนียลที่แปลกใจ หากเป็นนักโทษจริงดังว่า แล้วทำไมเด็กหนุ่มจึงถูกพามารักษาตัวในวิลล่าแบบนี้
“ไมเคิลเป็นคนรู้จักของผม เขาไม่ใช่คนร้าย ผมเป็นพยานได้” องค์ราฟาเอลกล่าว
“เจ้าจะรู้อะไร ในเมื่อเจ้าหลงใหลในตัวเด็กนั่น ถึงขนาดพาไปที่บ้านตากอากาศบนเขาของเจ้า” องค์เดเมียนกล่าว องค์ราฟาเอลตกใจที่องค์เดเมียนรู้ จึงไม่กล่าวอะไรอีก
“เราแค่ต้องการจะแน่ใจว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่สายลับจริงๆ ก็เท่านั้น และในเมื่อเขาบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของวิลล่าของเรา ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์ในการสอบสวน” องค์เดเมียนทิ้งท้าย

องค์นาธานเนียลรับฟัง และรับสั่งต่อองค์ราฟาเอล
“ราฟาเอล เจ้ากลับไปวิลล่าก่อน”
“เสด็จพี่ นี่ไมเคิลพึ่งถูกจับตัวได้ เขายังโดนทรมานขนาดนี้ ผมเกรงว่า...” องค์ราฟาเอลเกรงกลัวว่าองค์เดเมียนจะลงมือหนักจนไมเคิลอาจจะเสียชีวิตได้ ด้วยความที่พระองค์ไม่เคยไว้หน้าใคร และ ไม่เคยปราณีใครมาก่อน
“พี่รับรองว่าไมเคิลจะไม่เป็นไร” องค์นาธานเนียลรับปาก องค์ราฟาเอลจึงกล่าวลาไปทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจนัก

“ผมต้องการคำอธิบายครับ” องค์นาธานเนียลเอ่ยขึ้นเมื่อราฟาเอลจากไป
“ก็ไม่มีอะไร พี่ก็แค่เจอเด็กคนนี้ในงานเลี้ยงหลายครั้ง และพี่ก็ถูกใจ ก็เท่านั้น”
“ดูเหมือนราฟาเอลเองก็ถูกใจในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อยนะครับ” องค์นาธานเนียลเอ่ย
“ราฟาเอลได้ทุกอย่างไป ทั้งตำแหน่ง ฐานะ และอื่นๆ พี่ไม่ได้สนใจ แต่ของบางอย่างที่พี่อยากได้ พี่ก็ไม่คิดจะยอมยกให้ใครง่ายๆ เช่นกัน” องเดเมียนกล่าว ด้วยน้ำเสียงเกือบจะเย็นชา
“ผมแค่ไม่ต้องการให้คนๆ เดียวมาเป็นชนวนให้เกิดการแตกแยก ยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน”
“อย่างนั้นเจ้าก็จงไปบอกกับราฟาเอลเถิด เจ้าก็รู้ว่าพี่ทำทุกอย่างเท่าที่ เจ้าชายจอมปลอมอย่างพี่จะทำได้เพื่อประเทศนี้ พี่ไม่เคยเรียกร้องอะไร ชีวิตของพี่ ก็ให้แก่เจ้าได้ เจ้าก็รู้ดี แต่หากเรื่องเพียงแค่เด็กคนนี้คนเดียวจะทำให้เกิดปัญหา พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” องค์เดเมียนพูดอย่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“เสด็จพี่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ถึงอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นเจ้าชายที่เพียบพร้อม และเป็นพี่ของผมเสมอ แต่อย่างน้อยผมอยากจะขอร้อง อย่าทำร้ายเด็กคนนีัมากไปกว่านี้”
องค์นาธานเนียลกล่าว
“พี่สัญญา” องเดเมียนกล่าวรับปาก องค์นาธานเนียล จึงกลับไป


เมื่อแขกทั้งหลายต่างพากันออกไปจากวิลล่าแล้ว องค์เดเมียนจึงเดินเข้าไปในห้องนอนแขกอีกครั้ง หมอพอลทิ้งโน้ตเอาไว้ ชี้แจงตัวยาที่ต้องให้แก่คนไข้ และแจงว่าจะกลับมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ในวันรุ่งขึ้น 

พระองค์มองคนตัวเล็กตรงหน้า อย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เจ็บขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ร้องขอให้พระองค์หยุด ทั้งๆ ที่อ่อนแอเพียงนี้ ทำไมยังกล้าดีกับพระองค์นัก หรือเพราะร่างเล็กถือตัวว่าเป็นคนโปรดของราฟาเอล จนไม่เห็นพระองค์ในสายตา
น่าแปลก ที่พระองค์กลับรู้สึกห่วงใยคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ทรงไล้ใบหน้าของคนตัวเล็ก ก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ

อีกครั้งที่พระองค์แปลกใจกับการกระทำของพระองค์เอง พระองค์ไม่ใช่คนอ่อนโยน พระองค์ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร แต่บางสิ่งบางอย่างของคนตรงหน้ากลับทำให้พระองค์หวั่นไหว
เมื่อเห็นคนตัวเล็กใกล้ๆ ความปรารถนาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีก แต่พระองค์ย่อมไม่อาจครอบครองคนตรงหน้า อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ อย่างน้อยพระองค์ก็จะรอจนกว่าบาดแผลของคนตรงหน้าจะดีขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น พระองค์จะครอบครองคนๆ นี้ ให้สมกับที่ทำให้พระองค์ต้องรอคอยมาเนิ่นนาน

พระองค์ก้าวออกมาจากในห้อง สั่งกำชับให้นางกำนัลดูแลคนตัวเล็กอย่างดี แล้วพระองค์ก็เดินเข้าไปในวิลล่าเล็ก ทันทีที่พระองค์เดินเข้าไป บรรดาหนุ่มหน้าหวานก็เข้ามาออดอ้อนพระองค์ เด็กหนุ่มเหล่านี้คือสนมของพระองค์
ในตอนนี้ พระองค์มีสนมชายอยู่ 8 คน และ สนมหญิงอีก 10 คน โดยทั้งสองฝ่ายถูกแยกให้อยู่ในวิลล่าเล็กคนละฝั่ง ภายในวิลล่าเล็กนี้ มีลักษณะคล้ายวงกลม ภายในมีห้องนอนหลายต่อหลายห้อง โดยทุกห้องหันหน้าเข้าสู่สวนสวยขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง

เด็กหนุ่มทั้ง 8 ล้วนงดงามราวตุ๊กตา แตกต่าง หลากหลาย และล้วนแต่เป็นที่พึงพอใจขององค์เดเมียน ทุกคนล้วนอยากสนองต่อความปรารถนาของพระองค์

"ฝ่าบาท พระองค์อยากจะเลือกใครดีครับ” ริชชี่เอ่ยถาม ริชชี่เป็นหนุ่มลูกครึ่งเอเชีย ผมดำแต่ตาสีฟ้า และนับว่าเป็นคนโปรดคนหนึ่งขององค์เดเมียน
“ผมคิดถึงพระองค์” เรียวพูดขึ้น หน้าแดงนิดๆ เรียวเป็นคนญี่ปุ่น เดินทางมาเที่ยวที่คานาเดีย และก็ไม่ได้กลับไปอีก ปกติเรียวจะเงียบๆ และ ขี้อาย แต่ในวันนี้ เด็กหนุ่มกับพยายามเสนอตัว
“ผมก็ปรารถนาพระองค์เช่นกัน” มาร์คัส กล่าวพร้อมกับค่อยๆ เปลื้องผ้าออกและเดินเข้าไปหาองค์เดเมียน เด็กหนุ่มชาวอิตาเลียนคนนี้ไม่เคยอาย ที่จะแสดงความปรารถนาต่อพระองค์

องค์เดเมียนโอบอุ้มมาร์คัส และพาเดินไปยังห้องนอนใหญ่ มาร์คัสออดอ้อนและและจุมพิตองค์ชายอย่างดูดดื่ม แต่องค์เดเมี่ยนก็ถอนริมฝีปาก ก่อนจะหันมาตรัส

“ริชชี่ เรียว เจ้าสองคนตามมาด้วย”

พระองค์วางมาคัสลงบนเตียงใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองคุกเข่าต่อหน้าเจ้าชาย ก่อนปลุกเร้าพระองค์ด้วยปาก พระองค์ครางหนักๆ ด้วยความปรารถนา ทรงถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะทรงครอบครองมาร์คัส ที่กำลังเฝ้ารอพระองค์อย่างใจจดจ่อ
พระองค์ฝังร่างของพระองค์อย่างแรง จนมาร์คัสร้องครางด้วยความเสียวซ่าน ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ฝากฝังอยู่ภายใน ก่อนพระองค์จะเริ่มขยับช้าๆ

ริชชี่ ขยับเข้ามาใกล้กับมาคัส ที่กำลังครวญครางอยู่ใต้ร่างของพระองค์ ริชชี่มองพระองค์ราวกับขออนุญาต พระองค์พยักหน้า มาร์คัสก็ปลุกเร้าริชชี่ด้วยปากลิ้น จนริชชี่ร้องครางเบาๆ ออกมา เรียวที่ยังเขินอายกับกิจกรรมบนเตียงในลักษณะนี้ เขานั่งมองพระองค์อยู่เงียบ องค์เดเมียนจึงเรียกให้เข้ามาใกล้ พระองค์จุมพิตคนขี้อายก่อนที่จะใช้มือมือใหญ่สัมผัสปลุกเร้า เพียงไม่นาน คนขี้อายก็ตื่นตัว พระองค์สอดใส่นิ้วของพระองค์เข้าไปสำรวจช้าๆ เรียวที่ห่างหายไปนานจึงสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะเริ่มครางออกมาอย่างไม่อาจกั้น เพียงไม่นาน เรียวก็ปลดปล่อยออกมา พร้อมๆ กับมาร์คัส
องค์เดเมียนถอดถอนร่างออกจากมาร์คัส ก่อนที่พระองค์ จะล้มลงนอน จับร่างอันบอบบางของเรียวมานั่งคร่อมพระองค์ เรียวค่อยๆ กดร่างของเขาลงไปครอบครองร่างขององค์เดเมียนก่อนจะขยับโยก

ริชชี่กำลังครวญครางเมื่อถูกมาร์คัสปลุกเร้า องค์เดเมียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าสวย ก่อนจะรั้งมาจุมพิต เมื่อเรียวปลดปล่อยอีกครั้งพระองค์จึงครอบครองริชชี่ ที่เอาแต่เรียกหาองค์เดเมียน ราวกับต้องมนต์ ใบหน้าสวยหลับตาลง ครางออกมา มือเล็กโอบร่างขององค์เดเมียนไว้ รอรับความสุขสมที่เจ้าชายหนุ่มมอบให้

เด็กหนุ่มทั้งสามต่างผลัดกันให้เจ้าชายหนุ่มครอบครอง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เด็กหนุ่มทั้งสามปลดปล่อย แต่องเดเมียนกลับดูไม่พึงพอใจ ไม่ว่าจะทรงครอบครองทั้งสามกี่ครั้งความปรารถนาต่อร่างเล็กที่นอนเจ็บอยู่ก็มิได้บรรเทาลงสักนิด ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่พระองค์ร่วมรักกับสนมทั้งสาม พระองค์ก็เอาแต่คิดถึงร่างเล็กคนนั้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ จนเมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้นที่มากพอ พระองค์จึงปลดปล่อยออกมา องค์เดเมียนทรงครอบครองเด็กหนุ่มทั้งสามจนเช้า ก่อนที่ทั้งสี่จะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้กระนั้นในความฝันของพระองค์กลับมีแต่ เด็กหนุ่มที่ชื่อไมเคิลคนนั้นวนเวียน หลอกหลอน พระองค์ อยู่ตลอดเวลา



ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 14 Unrequited Love

ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ และความเจ็บปวดก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา จนไมเคิลต้องครางออกมาเบา ไมเคิลมองไปรอบๆ ห้องนอนขนาดใหญ่ การตกแต่งหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้สีเข้ม ที่ผนังฝั่งปลายเตียงมีเตาผิงขนาดใหญ่ ที่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่น เขามองไปรอบๆ จนสายตามาหยุดที่หญิงสาวสูงวัย ที่กำลังยกอาหารเข้ามา ซึ่งเขาเชื่อว่าหญิงคนนี้คงเป็นนางกำนัลขององค์เดเมี่ยน เธอรูปร่างท้วมนิดๆ ดูอบอุ่นและใจดี

“คุณตื่นแล้ว ทานอะไรสักหน่อยนะคะ แล้วจะได้ทานยา” นางกำนัลกล่าวขึ้น
“ผมอยู่ที่ไหน” ไมเคิลอดถามไม่ได้
“คุณอยู่ในวิลล่าหลักขององค์เดเมียนค่ะ ดิฉันเป็นนางกำนัลของพระองค์ ชื่อ แดเรียล พระองค์ทรงให้ดิฉันดูแลคุณ” นางกำนัลแดเรียลกล่าว
“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ พระองค์ต้องการอะไรจากผม” ไมเคิลยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด องค์เดเมียนจับตัวเขา แล้วก็ทรมานเขา แต่แล้วตอนนี้พระองค์กลับพาเขามารักษาตัวในวิลล่า และมีนางกำนัลมาคอยดูแลเขาอีก
“คงมีแต่องค์เดเมียนที่จะให้คำตอบได้ค่ะ ทานซะหน่อยนะคะ” แดเรียลส่งซุปให้กับชายหนุ่ม

ไมเคิลรับซุปมา แต่ก็ยังถามคำถามต่อ
“แล้วองค์เดเมียนล่ะครับ ผมจะพบพระองค์ได้เมื่อไหร่”
“พระองค์ยังบรรทมอยู่ค่ะ คุณต้องรอในห้องนี้ แล้วองค์เดเมี่ยนจะเสด็จมาหาเอง” แดเรียลกล่าวและยิ้มให้
“ทานซะนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเอายามาให้” แดเรียลกล่าวก่อนจะออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงไมเคิลก็ได้ยินเสียงล็อกประตูจากด้านนอก เขาจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่แขกของวิลล่านี้ แต่เขาคือนักโทษต่างหาก

แต่ตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแอเกินไป ทุกครั้งที่ขยับความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา อีกทั้งเขายังรู้สึกเหมือนมีไข้อีกด้วย ไมเคิลตัดสินใจ เขาจะต้องแข็งแรงให้มากกว่านี้ก่อน จากนั้นเขาจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ไมเคิลมองซุปในชามที่ส่งกลิ่นหอม เขาจึงกินซุปหอมกรุ่น ที่แดเรียลเอามาให้ แม้จะเป็นเพียงแค่ซุป แต่กลับอร่อยมาก ไมเคิลจึงกินไปจนหมด ไม่นานแดเรียลก็กลับมาพร้อมกับยาของไมเคิล ยาแคปซูลหลายเม็ดถูกส่งมาให้ไมเคิล เขาไม่เกี่ยงงอน กินยาลงไปก่อนจะล้มตัวลงพักผ่อนอีกครั้ง

องค์เดเมียนตื่นขึ้นในตอนสาย แต่ก็ถือว่าพระองค์ตื่นเช้ามากแล้ว เพราะพระองค์หลับไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น พระองค์ชำระล้างร่างกายก่อนจะเดินกลับไปยังวิลลาหลักอีกครั้ง

โดยไม่ได้คิด ร่างกายของพระองค์ก็พาพระองค์มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนแขก พระองค์เปิดประตูเข้าไป และพบว่าคนตัวเล็กยังคงหลับใหลอยู่ พระองค์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าเบาๆ ร่างเล็กขยับตัว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ทรงถาม แต่แทนที่ร่างเล็กจะตอบ กลับพยายามจะถอยหนีออกห่างจากพระองค์ จนพระองค์ต้องใช้ร่างของพระองค์ทาบทับเอาไว้ แต่ร่างเล็กก็ยังอ่อนแอ บาดแผลยังเจ็บอยู่ จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คนตัวใหญ่จึงผ่อนน้ำหนักออกจากร่างเล็ก

“อย่าดื้อกับเรา ทำตามที่เราบอก” ทรงพยายามตรัสอย่างอ่อนโยน
“พระองค์ต้องการอะไรจากผม ผมบอกพระองค์แล้วว่าผมไม่ใช่สายลับ ผมไม่ได้คิดร้ายต่อราชวงศ์” ไมเคิลตอบแต่แล้วก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อคนตัวใหญ่ประกบปากลงมา ครอบครองริมฝีปากของเขาไว้ ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์ลุกล้ำเข้ามา ควานหาความหวานภายใน ก่อนพระองค์จะรั้งลิ้นร้อนๆ ของคนตัวเล็กกลับเข้าหาพระองค์และดูดกลืนลิ้นนั้นอย่างเป็นเจ้าของ

จูบของพระองค์ทำให้ไมเคิลรู้สึกล่องลอย ตัวยาที่ไมเคิลกินลงไปทำให้เขารู้สึกง่วงงุน และไม่มีสติเต็มร้อยนัก บวกกับไข้ที่รุมเร้า แม้ไม่เต็มใจ และอยากขัดขืน แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ จึงปล่อยให้คนตัวใหญ่ครอบครองเขาเนิ่นนาน จนพระองค์พึงพอใจ และถอนริมฝีปากออกช้าๆ
ไมเคิลหอบหายใจ เพราะการกระทำของคนตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม

“พระองค์ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมพระองค์ถึงทำกับผมแบบนี้” ไมเคิลถามอย่างไม่เข้าใจ
“เราต้องการเจ้า ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ จิตวิญญาณ ทั้งหมดของเจ้า เราต้องการให้เจ้าเป็นของเรา ต้องการเรา ให้เราเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าปรารถนา เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าต้องการ และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเจ้า” ทรงตอบด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แต่ก็แฝงความโหยหา และอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงครอบครองริมฝีบางเย้ายวนนั้นอีกครั้ง จุมพิตที่แสนหวานดำเนินต่อไป โดยที่ไมเคิลมิได้ขัดขืนด้วยเพราะฤทธิ์ของยาที่ทานเข้าไป

แต่ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับหมอพอลที่เดินเข้ามา ทำให้องค์เดเมียนต้องถอนริมฝีปากออกอย่างไม่เต็มใจนัก ไมเคิลหน้าแดงด้วยความเขินอาย และรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เจ้าชายมาเอาเปรียบแบบนี้

“ฝ่าบาท! ถึงกระหม่อมจะไม่ได้เขียนระบุไว้ แต่คนไข้ก็ยังเจ็บหนักอยู่ ยังไงพระองค์ก็ไม่ควรจะฉวยโอกาสแบบนี้ ถ้าบาดแผลอักเสบขึ้นมา ก็ยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะรักษาหาย กระหม่อมห้ามกิจกรรมบนเตียงกับคนไข้อย่างน้อย 1 อาทิตย์” หมอพอลร่ายยาว
“หุบปากของเจ้าได้แล้ว ต้องการอะไร” องค์เดเมียนโมโหหมอปากมากคนนี้เหลือเกิน
“กระหม่อมมาเปลี่ยนผ้าพันแผล เชิญเสด็จออกไปข้างนอกด้วยขอรับ” หมอพอลกล่าว  องค์เดเมียนโกรธและขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเดินออกไป พร้อมกับกระแทกประตูปิดอย่างอารมณ์เสีย

“ขอบคุณครับ” ไมเคิลกล่าวขอบคุณหมอพอล หลังจากที่หมอพอลเปลี่ยนผ้าพันแผลให้
“มันก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ” หมอพอลกล่าว
“ผมขอบคุณ คุณหมอเรื่ององค์เดเมียนด้วยครับ” ไมเคิลหน้าแดงอีกครั้ง
“ผมไม่ทราบหรอกว่าคุณเป็นใคร แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าเป็นเพราะคุณ ที่ทำให้เจ้าชายทั้งสองพระองค์ที่เป็นเสาหลักของประเทศต้องมาทะเลาะกัน” หมอพอลกล่าวเรียบๆ
“ผมขอโทษครับ” ไมเคิลหน้าเสีย น้ำตาจู่ๆ ก็ไหลออกมาเมื่อคิดถึง เจ้าชายอีกพระองค์
“แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะอยู่ในที่ตรงนี้ ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมองค์เดเมียนถึงมารักษาผม ทั้งๆ ที่พระองค์ควรจะฆ่าผมเสียด้วยซ้ำ” ไมเคิลกล่าวเสียงเศร้า
“เพราะองค์เดเมียนพอใจในตัวคุณ และองค์ราฟาเอลก็ทรงต้องการคุณด้วยเช่นกัน” หมอพอลพูด
“แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับองค์เดเมียน...ผมเป็นแค่นักโทษคนหนึ่งก็เท่านั้น”
“แล้วองค์ราฟาเอลล่ะ” หมอพอลถาม
“ผม... ไม่มีสิทธิ์ ... ยังไงผมก็ไม่คู่ควร” ไมเคิลตกใจ แต่ก็กล่าวออกมาอย่างคนที่กำลังจะตัดใจ
“พระองค์ฝากผมมาบอกว่า พระองค์เป็นห่วงคุณ และพระองค์จะพยายามช่วยเหลือคุณ” หมอพอลกล่าว ไมเคิลที่ได้ยินก็รู้สึกหัวใจพองโต แต่แล้วก็เหมือนโดนฉุดกระชากหัวใจออกมาเมื่อได้ยินคนสูงวัยกล่าว

“แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะหนีไปจากองค์เดเมียนได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณควรจะตัดใจจากองค์ราฟาเอลเสีย” หมอพอลกล่าวก่อนจะลุกขึ้น
“ผมรู้ฐานะตัวเองดีครับ ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เพราะคนอย่างคุณที่หวังขุดทอง โดยเอาแต่ยั่วยวนทั้งเจ้าชายเดเมียน แต่ก็ยังมาหว่านเสน่ห์กับองค์ราฟาเอล คนอย่างคุณ ไม่ว่าเจ้าชายพระองค์ไหน คุณก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น” หมอพอลกล่าวเรียบๆ และเดินออกไป ทิ้งให้ไมเคิลสะอื้นไห้อยู่ตามลำพัง

ไมเคิลเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เขาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายทั้งสองต้องทะเลาะกัน หมอพอลรู้ว่าเขาหลงรักองค์ราฟาเอลทั้งๆ ที่เขาไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาก็รู้ว่าเจ้าชายราฟาเอลผู้อ่อนโยนคนนั้นกำลังเป็นเจ้าของหัวใจของเขา แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในฐานะนักโทษของเจ้าชายอีกพระองค์หนึ่ง และพระองค์ก็แสดงเจตนาชัดเจนว่าพระองค์คงไม่มีวันปล่อยเขาไป
หรือต่อให้วันหนึ่งองค์เดเมียนปล่อยเขาไป คนอย่างเขาก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะรักเจ้าชายอย่างองค์ราฟาเอล

ไมเคิลไม่ได้ต้องการสิ่งใด ในตอนนี้เขาเพียงอยากจะกลับไปอเมริกา เพื่อกลับไปหาน้องชายเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่มีโอกาสที่จะออกไปจากวังแห่งนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องลองหนีไปให้ได้ ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เขาจะต้องแข็งแรงให้เร็วที่สุด

เมื่อเข้าในวันที่ 5 ไมเคิลก็รู้สึกดีขึ้น เขาเริ่มขยับตัวได้บ้าง แม้จะยังเจ็บอยู่ ทุกๆวันองค์เดเมียนจะเสด็จมาหาเขาเสมอ และวันนี้ก็เช่นกัน ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาเดินเข้ามาในห้อง แดเรียลกำลังยกอาหารกลางวันมาให้ไมเคิล
“ฝ่าบาท” ไมเคิลทักทาย ก้มหน้าลงต่ำไม่ยอมสบตาคู่นั้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงถามและนั่งลงบนเตียง แย่งจานอาหารจากแดเรียลไป
“ผม... ดีขึ้นมากแล้วครับ” ไมเคิลตอบ มองคนตรงหน้า ที่กำลังตักซุปมาป้อนเขา
“ผม... ทานเองได้ครับ” ไมเคิลพูดขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่ทำท่าจะป้อน
“หากเราจะป้อนเจ้า เจ้าก็ต้องกิน อย่าขัดใจเรา” ทรงตรัสเบาๆ

ไมเคิลจึงอ้าปากรับซุป เพราะไม่ชินกับการถูกป้อน ซุปจึงหยดลงข้างริมฝีปาก แดเรียลจึบหยิบผ้าส่งให้ องค์เดเมียนวางถ้วยซุปลง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ทรงละเลย ต่อผ้าในมือนางกำนัล แต่ทรงรั้งใบหน้าของไมเคิลเข้ามาใกล้ และเลียที่มุมปากของไมเคิลแทน ก่อนจะประทานจุมพิตอันดูดดื่มให้ ไมเคิลไม่กล้าขัด เพราะเขาเริ่มรู้จักเจ้าชายตรงหน้าดีขึ้น หากเขาขัดใจพระองค์ พระองค์ก็จะใช้กำลังบังคับ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับในสิ่งที่พระองค์กระทำต่อเขา

ไมเคิลไม่ได้ขัดขืนแตก็ไม่ได้ตอบสนอง และพระองค์ก็ไม่ชอบใจนัก เมื่อทรงถอนจุมพิตออก คนตรงหน้าก็น้ำตาไหลออกมา
“เจ้าเกลียดเราหรือ” ทรงถาม
“ผมไม่มีสิทธิ์นี่ครับ ผมเป็นเพียงแค่นักโทษ” ไมเคิลกล่าวทั้งน้ำตา
“เจ้ารักราฟาเอลสินะ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด ไมเคิลไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้าหลบสายตา
“ราฟาเอลพยายามจะขอตัวเจ้าจากนาธานเนียล ราฟาเอลก็คงมีใจให้เจ้าเช่นกัน” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด ไมเคิลน้ำตาไหลออกมาที่ได้ยินชื่อของเจ้าชายอีกพระองค์
“เจ้าคงอยากจะไปอยู่กับราฟาเอลสินะ ในเมื่อราฟาเอล ออกจะอ่อนโยนกับเจ้า ต่างจากเรา” ทรงพูดอย่างน้อยใจ เอื้อมมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน
“แต่เราจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปหรอกนะ ต่อให้เจ้าร้องไห้มากแค่ไหน ต่อให้เจ้าเกลียดเรา เราก็จะเก็บเจ้าไว้ที่นี่ ตลอดไป หรืออย่างน้อย ก็จนกว่าลมหายใจสุดท้ายของเรา” ทรงตรัสอย่างเศร้าสร้อย และเย็นชา
“ทำไมครับ ในเมื่อพระองค์ก็ไม่ได้รักผม พระองค์ต้องการอะไรจากผม” ไมเคิลถามทั้งน้ำตา
“เราต้องการทุกอย่างของเจ้า” ทรงตอบเรียบๆ
“ผมไม่ได้รักพระองค์ และจะไม่มีวันรักพระองค์” ไมเคิลกล่าวอย่างหนักแน่น
“เรารู้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเรา ยังไงก็ไม่มีใครรักเราอยู่ดี” ทรงตรัสก่อนจะประทับจูบอันหนักหน่วงลงบนริมฝีปากบางอีกครั้ง

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรักเรา เราเพียงต้องการร่างกายของเจ้า และเราก็จะทำให้ร่างกายของเจ้าขาดเราไม่ได้”



ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 15 หนี

ไมเคิลสะอื้นร้องไห้ อยู่เพียงลำพัง หลังจากองค์เดเมียนจากไป
เขาไม่เข้าใจองค์เดเมียน ในบางครั้งพระองค์ก็โหดร้าย เย็นชา แต่ในบางครั้งพระองค์ก็อ่อนโยน และแสนดี และบางครั้งพระองค์กลับดูโศกเศร้าเสียเหลือเกิน

ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเขา ในเมื่อพระองค์จะเลือกใครก็ได้ ขอเพียงเอ่ยปาก ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนสยบแทบเท้าของพระองค์ เขาไม่เข้าใจทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำไมพระองค์จะต้องมาปรารถนาเขาด้วย

ในเมื่อบาดแผลที่หลังของไมเคิลดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะหนี ด้วยเขากลัวว่าหากอยู่นานกว่านี้ พระองค์คงจะต้องใช้กำลังฝืนบังคับเอาเปรียบเขาแน่ๆ
ไมเคิลจึงเริ่มสำรวจรอบๆ ห้อง หลังจากตรวจเช็คที่หน้าต่าง และพบว่ามันไม่ได้ล็อคแน่นหนามากนัก หากเขาสามารถสะเดาะกุญแจเปิดออก เขาก็น่าจะสามารถหนีออกไปได้ง่ายขึ้น

องค์เดเมียนโดยปกติจะเสด็จไปประชุมในช่วงบ่ายเป็นเวลาหลายชั่วโมง และไมเคิลก็น่าจะมีเวลามากพอที่จะหนีไปได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงนั้นหนีไปจากวัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมเคิลจึงเฝ้ารอเวลา องค์เดเมียนจะเข้ามาหาเขาก่อนจะเสด็จเสมอ
และในที่สุดพระองค์ก็เดินเข้ามาในห้อง พระองค์เดินเข้ามาใกล้ไมเคิล ก่อนจะนั่งลงเคียงข้าง
“เราจะไปประชุม เจ้าเป็นเด็กดีล่ะ” ทรงตรัสเรียบๆ แต่กลับรั้งร่างเล็กเข้าไปกอด ทั้งๆ ที่ปกติพระองค์ไม่เคยอ่อนโยนกับเขาแบบนี้
“เราตรวจเช็คประวัติของเจ้าแล้ว และเราก็พบว่าเจ้าไม่ได้โกหกเรื่องที่เจ้าเป็นเพียงช่างภาพ เราขอโทษที่ทำร้ายเจ้า และเราก็ดีใจที่เจ้าอาการดีขึ้นมากแล้ว” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน แต่ไมเคิลกลับไม่ตอบอะไร
“เราหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะให้อภัยแก่สิ่งที่เรากระทำ” ทรงตรัสเบาๆ และค่อยๆ คลายอ้อมกอด
“ผมรู้ว่าพระองค์ทำไปด้วยหน้าที่ ผมไม่ได้โกรธแต่ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมขอให้พระองค์ปล่อยผมไป” ไมเคิลกล่าวอย่างมีความหวัง
“ทำไม การอยู่กับเรามันทำให้เจ้าทรมานมากนักเหรอ หรือเจ้าอยากจะไปอยู่กับราฟาเอล” องค์เดเมียนตรัสอย่างไม่พอใจ
“ผมแค่ต้องการกลับบ้าน น้องชายของผมรออยู่” ไมเคิลกล่าว
“เราไม่อนุญาต นับจากนี้ไป ที่นี่คือบ้านของเจ้า” ทรงตรัส
“แต่ผม...” ไมเคิลพยายามจะร้องขอ แต่คนตัวใหญ่ไม่ยอมให้ไมเคิลพูดอะไรอีก
“จากนี้ไป เจ้าไม่ใช่ไมเคิลอีกต่อไป เจ้าคือมิคาเอล เราจะให้เจ้าเป็นสนมของเรา และเจ้าจะต้องเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น” ทรงตรัส
“ผมไม่ยอมรับ ผมไม่อยากเป็นสนมของพระองค์” ไมเคิลปฏิเสธ
“เราไม่ได้ถามเจ้า นี่เป็นคำสั่ง และเจ้าก็ขัดไม่ได้” ทรงลุกขึ้นยืนและตรัสอย่างเย็นชา
“ทำไมพระองค์ต้องใจร้ายกับผมแบบนี้ด้วย ผมไปทำอะไรให้พระองค์ พระองค์ถึงได้โกรธ และเกลียดผมนัก” ไมเคิลถามอย่างอัดอั้น
“เปล่าเลย เราไม่ได้เกลียดเจ้า เราปรารถนาเจ้าอย่างที่เราไม่เคยปรารถนาใครมาก่อน ไม่ว่าเราจะร่วมรักกับใคร ไม่ว่าหญิงหรือชาย ก็ไม่อาจดับความปรารถนานี้ลงได้ ทุกครั้งที่เราเข้าใกล้เจ้า เราก็ถูกไฟปรารถนานี้เผาไหม้ เจ้าตามไปหลอกหลอนเราในความฝันทุกค่ำคืน ทุกๆ วันเราเฝ้ารอที่จะมาเห็นหน้าเจ้า เราผิดที่ทำร้ายเจ้า เราจึงต้องการรอให้เจ้าหายดี แต่ทุกวันที่ผ่านไปมันกลับเชื่องช้าจนเราแทบจะคลั่งตายเพราะความปรารถนาในตัวเจ้า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่เราสัญญาว่าเราจะดูแลเจ้าอย่างดีที่สุด” ทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ผมไม่ต้องการ” ไมเคิลพูดเสียงเบา น้ำตาไหลออกมา “ผมไม่ได้รักพระองค์ ไม่อยากเป็นทาสของพระองค์ ผมแค่อยากไปจากที่นี่”
“เราจะให้เจ้าทุกอย่าง ยกเว้นการปล่อยเจ้าไป เราทำไม่ได้” ทรงพูดตามตรง
“ผมไม่ต้องการอะไรจากพระองค์ ผมแค่ต้องการไปจากที่นี่ ได้โปรดปล่อยผมไป” ไมเคิลร้องขอ
“ที่นี่ คือ บ้าน ของเจ้า” ทรงตรัส อย่างเด็ดขาด ไมเคิลจึงไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าพูดไปก็ไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นมา องค์เดเมียนที่ตัดสินใจไปแล้ว ย่อมไม่มีใครมาเปลี่ยนพระทัยได้
น้ำตาของคนตัวเล็กไหลริน จนองค์เดเมี่ยนใจหาย พระองค์เดินเข้ามากอดไมเคิลไว้ แต่ร่างเล็กกลับปฏิเสธ และผลักไสพระองค์
“ผมเกลียด เกลียดพระองค์ ปล่อยผม” ไมเคิลดิ้นออกมาจากอ้อมกอดคนตัวใหญ่ มือเล็กตบไปที่หน้าขององค์เดเมียนอย่างแรง องค์เดเมียนจึงปล่อยคนตัวเล็ก มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และเจ็บปวด
“เจ้าควรจะรู้ว่าเราไม่มอบตำแหน่งสนมให้กับใครง่ายๆ แต่เราเลือกเจ้า และเจ้าควรจะดีใจ การที่เจ้าทำแบบนี้มันเป็นการดูถูกเรา” ทรงตรัส
“ผมไม่ต้องการเป็นสนมของพระองค์ เพราะผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมอยากกลับอเมริกา ผมอยากกลับบ้าน ที่ๆ ผมจากมา” ไมเคิลตอบตามตรง แต่องค์เดเมียนก็เมินเฉยต่อคำร้องขอ “สายแล้ว เราต้องไปประชุม เมื่อเรากลับมาเราหวังว่าเจ้าจะอารมณ์เย็นลง” ทรงตรัสเรียบๆ ก่อนจะออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่หมองหม่น

เมื่อองค์เดเมียนจากไปไมเคิลก็เริ่มหาทางหนี เขามองไปรอบ ในที่สุดก็โชคดีเจอคลิปหนีบกระดาษ ไมเคิล ค่อยๆแกะมันออก และเริ่มไขกุญแจที่หน้าต่าง แม้จะใช้เวลามากกว่าปกติ แต่ในที่สุดไมเคิลก็ทำสำเร็จ เขารีบเปิดหน้าต่างและรีบปีนออกไปโดยเร็ว
เมื่อออกมาจากวิลล่าไมเคิลก็รีบวิ่งตรงไปที่กำแพง และไขกุญแจประตูออกไป

ในขณะที่เขาคิดว่ากำลังจะออกไปได้ อยู่ๆ สัญญานเตือนก็ดังขึ้น ไมเคิลรีบวิ่งออกไปโดยไม่หันออกไปมอง เขาวิ่งไปตามถนนหวังว่าจะมีรถผ่านมา แต่ก็ไม่เห็นรถสักคัน เขาจึงวิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายสิบนาที ไมเคิลก็ได้ยินเสียงรถกำลังขับมา
ชายหนุ่มยิ้มออกด้วยความหวังแต่แล้วก็เหมือนกระชากความหวังสุดท้ายไป เมื่อเห็นว่ารถสปอร์ตแลมโบกีนี่สีแดงที่ขับมา และคนที่อยู่ในรถก็คือคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด กำลังขับตรงมาที่เขา


หลายวันมาแล้วที่องค์เดเมียนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เพราะภาพของคนตัวเล็กที่เอาแต่เย้ายวนพระองค์ในความฝัน หลายวันมาแล้วที่พระองค์ร่วมรักกับเหล่าสนมของพระองค์ แต่ไม่ว่าพระองค์จะร่วมรักกับใครก็ไม่อาจระงับ หรือบรรเทาความปรารถนาของพระองค์ลงได้เลยแม้แต่น้อย
คนๆ เดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของพระองค์กลับเป็นเพียงคนๆ นั้น

ทุกๆ วันที่พระองค์ตื่นขึ้น พระองค์จะรีบไปหาคนตัวเล็ก ที่ทำให้พระองค์ทั้งดีใจ และ เสียใจในเวลาเดียวกัน หลายต่อหลายครั้งที่พระองค์เข้าไปในห้องนั้น คนตัวเล็กก็เอาแต่ร้องไห้ หรือทำหน้าเศร้า และไม่ว่าพระองค์จะทำอะไร คนตัวเล็กก็ไม่เคยยินดี หรือดีใจเลย พระองค์ย่อมรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ พระองค์รู้ว่าเด็กหนุ่มมีใจให้กับน้องชายต่างมารดาของพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังแอบหวังว่าเด็กหนุ่มจะหันมามองเห็นพระองค์บ้าง พระองค์ไม่ใช่คนอ่อนโยนและยิ่งไม่ใช่คนที่จะทำอะไรหวานๆ ให้คนอื่น อย่างเช่นราฟาเอล พระองค์หยาบกระด้าง และเย็นชา
แต่กระนั้น ในทุกวันพระองค์ก็ยังเสด็จมาหาเด็กหนุ่มทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่พระองค์ก็รู้ว่าพระองค์มีใจให้กับคนๆ นี้ แม้ว่าคนๆนี้จะเกลียดพระองค์ก็ตาม

ไมเคิลไม่เคยยิ้มให้พระองค์เลยสักครั้ง ตลอดเวลาหลายวัน เมื่อพระองค์เข้ามาหา ไมเคิลก็เอาแต่ทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เย็นชา และ ไม่ยอมตอบสนองต่อพระองค์
ไมเคิลไม่ได้ขัดขืนที่พระองค์กอดหรือจูบ แต่เขากลับทำตัวเหมือนตุ๊กตา นิ่งเฉย เย็นชา ตลอดมาไม่เคยมีใครทำกับพระองค์เยี่ยงนี้ ทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มไม่อาจจะขัดขืนพระองค์ได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำให้พระองค์เจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เจอ

เมื่อไปทำงาน ราฟาเอล ก็เอาแต่ตามรังควานพระองค์ไม่เลิก  อีกทั้งยังเอาเรื่องไปบอกนาธานเนียลให้ใหญ่โต ยืนยันจะเอาตัวไมเคิลไปจากพระองค์ แต่พระองค์ก็ยืนยันไปหลายสิบหน ว่า ไมเคิลเป็นของพระองค์ แต่ราฟาเอลก็ยังไม่ยอมถอดใจ จนพระองค์ยิ่งรำคาญน้องชายคนนี้มากขึ้นอีกหลายเท่า แต่เพราะนาธานเนียลขอไว้ พระองค์จึงระงับความโกรธ และไม่ต่อยหน้าคนอวดดี และวุ่นวายคนนี้

หลังจากที่พระองค์สืบประวัติในเชิงลึกของไมเคิล พระองค์ก็พบว่าไมเคิลไม่ได้เป็นกบฏ และเป็นเพียงช่างภาพคนหนึ่งตามที่เขาพูดทุกอย่าง และนั่นก็ทำให้พระองค์ดีใจยิ่งนัก พระองค์ตัดสินใจ จะยกย่องและแต่งตั้งไมเคิลให้เป็นสนมของพระองค์  ทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มควรจะดีใจกับตำแหน่งที่ได้ แต่ตรงกันข้าม คนตัวเล็กกลับร้องไห้และปฏิเสธพระองค์ แถมยังบอกว่าเกลียดพระองค์ แม้พระองค์จะรู้ แต่พอได้ยินคำพูดจากปาก พระองค์ก็อดเสียใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่พระองค์พยายามทำดีกับคนตัวเล็ก แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นความเกลียดชังแทน
พระองค์เสียใจและยอมรับในสิ่งที่พระองค์กระทำ พระองค์ไม่โทษใครนอกจากตัวของพระองค์เอง

แต่จู่ๆ สัญญาณเตือนที่เพิ่งติดตั้งได้ไม่นานก็ดังขึ้น เหล่าทหารรายงานว่าไมเคิลพยายามหนีไปจากวัง หัวใจของพระองค์ก็เหมือนกำลังถูกบีบ พระองค์คงทนไม่ได้หากพระองค์จะต้องเสียคนตัวเล็กไป พระองค์จึงสั่งปิดถนนรอบวังทันที และพระองค์ก็รีบขับรถออกไป และไม่นานพระองค์ก็พบตัวของไมเคิล แต่แทนที่คนตัวเล็กจะหยุด เขากลับวิ่งหนีพระองค์

ถนนด้านหนึ่งติดกำแพงวัง อีกด้านเป็นทางชันลงเขา ดังนั้นไมเคิลจึงทำได้เพียงแค่วิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น และแม้จะไม่มีประโยชน์ที่จะวิ่งหนี แต่ไมเคิลก็ไม่อยากถูกจับได้ แม้เพียงน้อยนิด เขาก็อยากจะไปไกลจากเจ้าชายคนนี้ แต่เจ้าชายก็ขับรถมาตัดหน้าและขวางทางเขาเอาไว้ ไมเคิลหยุดและหันกลับวิ่งไปอีกทาง
องค์เดเมียนจอดและเดินลงมาจากรถ

“มิคาเอล หยุดเดี๋ยวนี้!” ทรงสั่งด้วยเสียงอันทรงอำนาจ แม้จะอยากหนีไป แต่ไมเคิลก็ต้องหยุด
“กลับมาหาเรา เดี๋ยวนี้!” ทรงตรัส ไมเคิลกลับหยุดนิ่งไม่ยอมหันกลับไป พระองค์จึงเดินเข้ามาหาไมเคิล แต่พระองค์ก็หยุดห่างจากคนตัวเล็กไปหลายก้าว
“มิคาเอล กลับมาหาเรา” ทรงเอ่ยขึ้นราวกับอ้อนวอน
“ผมไม่อยากกลับไปกับพระองค์ ผมอยากกลับบ้าน” ไมเคิลกล่าว
“คานาเดียคือบ้านของเจ้า วังนี้คือบ้านของเจ้า วิลล่าของเราคือบ้านของเจ้า” ทรงกล่าว
“ผมจะกลับอเมริกา ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด พระองค์จะมากักขังผมไว้ได้อย่างไร” ไมเคิลถาม
“เราไม่ได้กักขังเจ้า เราต่างหากที่ถูกเจ้าพันธนาการเอาไว้” ทรงตรัส
“ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ทำอะไร” ไมเคิลปฏิเสธ และหันกลับมา
“เรารู้ แต่เจ้าก็ทำให้เจ้าชายคนนี้ เอาแต่คิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งยามหลับ และยามตื่น” ทรงตรัส ทรงขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก
“ทำไม ในเมื่อพระองค์แค่ต้องการร่างกายของผม” ไมเคิลเอ่ย
“เราไม่เคยต้องอ้อนวอนใครให้อยู่ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นของเราทั้งนั้น เราอาจจะไม่ใช่เจ้าชายรัชทายาท อาจจะไม่อ่อนโยนเท่าราฟาเอล แต่เราก็อยากจะดูแลเจ้า อย่างน้อยเราก็รู้ใจของเราว่า เราต้องการเจ้า และเราก็คงทนไม่ได้หากเจ้าจะจากไป” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน ทรงเอื้อมมือมารั้งร่างเล็กเข้าไปกอด
“ได้โปรด อย่าไปจากเรา” ทรงกระซิบ

ในขณะที่ไมเคิลเอาแต่ร้องไห้ ทั้งๆ ที่อยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ เขาเสียใจที่เดินทางมาที่นี่ ในนาทีที่เขาถูกรั้งร่างเข้าไปกอด เขาก็รู้ว่าเจ้าชายเดเมียนจะไม่มีวันที่จะปล่อยเขาไป แม้จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่มีวันที่จะหนีไปจากเจ้าชายคนนี้ได้
พระองค์ช้อนร่างคนตัวเล็ก พากลับไปที่รถ ก่อนจะขับรถกลับวัง


ออฟไลน์ meeoldly

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกมากกกกกกก

อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว


ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 16 ผมคือมิคาเอล

องค์เดเมียนขับรถกลับเข้าไปในวังทันทีที่รถจอด ราฟาเอลก็เสนอหน้าออกมา
“ไมเคิล เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” องค์ราฟาเอลรีบเดินเข้ามาหา พยายามจะรั้งคนตัวเล็กเข้าไปปกป้อง ไมเคิลยิ่งเห็นองค์ราฟาเอลก็ยิ่งเจ็บปวด น้ำตาที่แห้งไปแล้วก็ไหลรินอีกครั้ง

เพียงเอื้อมมือองค์ราฟาเอลก็จะสัมผัสไมเคิล แต่พระองค์ก็ล้มลงไปจากแรงต่อยของพระเชษฐา
“เราเตือนเจ้าแล้วราฟาเอล เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ของๆ เรา เจ้าคิดว่าใครก็แตะต้องได้อย่างนั้นหรือ” องค์เดเมียนกล่าวอย่างหมดความอดทน
องค์ราฟาเอลลุกขึ้น และ พยายามจะเข้ามาสวนกลับองค์เดเมียนแต่ก็เป็นไมเคิลที่เข้ามาขวางไว้

“ไมเคิล” องค์ราฟาเอลเอ่ย
“ผมไม่ใช่ไมเคิลอีกแล้วครับ นับจากวันนี้ผมคือ มิคาเอล สนมขององค์เดเมียน” ไมเคิลกล่าวช้าๆ
“ได้โปรดอย่าทะเลาะกันเพราะคนอย่างผมเลยครับ ผมไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น” ไมเคิลพูดขึ้น ในใจเจ็บปวด แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าหากยังไม่ยอมตัดสัมพันธ์กับองค์ราฟาเอล เขาก็คงไม่มีวันตัดใจจากพระองค์ได้
“ทำไม” องค์ราฟาเอลเอ่ยถาม แต่กลับเป็นองค์เดเมียนที่เข้าใจสถานะการณ์ตรงหน้าดี พระองค์จึงรั้งมิคาเอลเข้ามาในอ้อมกอด และกล่าวกับน้องชายต่างมารดา
“เพราะมิคาเอลตัดสินใจที่จะเลือกเรายังไง ดังนั้นเจ้าก็ควรจะตัดใจเสีย ราฟาเอล” องค์เดเมียนกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นและพากลับวิลล่าทิ้งให้องค์ราฟาเอล ยืนอยู่ตามลำพัง

ไมเคิลร้องไห้ออกมา แต่องค์เดเมียนก็กอดร่างเล็กแน่นขึ้นราวกับจะปลอบโยนคนตรงหน้า
“ร้องออกมาเถอะ เราจะอยู่ตรงนี้และซับน้ำตาให้กับเจ้าเอง” องค์เดเมียนกล่าวเบาๆ วางร่างเล็กลงกับเตียงใหญ่ในห้องบรรทม ก่อนจะทรงทอดกายลงเคียงข้าง และกอดมิคาเอลเอาไว้
ร่างเล็กร้องไห้ยาวนาน จนหลับไปในอ้อมกอดขององค์เดเมี่ยน

เป็นครั้งแรกที่พระองค์นอนโอบกอดคนๆ หนึ่งโดยที่พระองค์ไม่ได้ร่วมรักด้วย พระองค์รู้สึกสงสารคนตรงหน้า พระองค์รู้ว่า คนตรงหน้ารักราฟาเอล และการที่คนตัวเล็กเลือกพระองค์ก็ไม่ใช่เพราะ มิคาเอลต้องการพระองค์ แต่เพราะต้องการให้ราฟาเอลตัดใจ แต่อย่างน้อยมิคาเอลก็เลือกพระองค์ แม้จะไม่ได้มาจากความรัก ไม่ได้มาจากความเต็มใจ แต่สำหรับเจ้าชายอย่างพระองค์ เพียงแค่นี้พระองค์ก็พอใจแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรักพระองค์ พระองค์เป็นพระโอรสที่ไม่มีใครต้องการ แม้พระองค์จะเกิดจากพระชายา แต่เสด็จพ่อของพระองค์ก็ไม่ได้รักเสด็จแม่ของพระองค์ การที่พระองค์เกิดมาล้วนมาจากเหตุผลทางการเมือง มิใช่ความรัก เสด็จพ่อของพระองค์ทรงรักเพียงแค่พระสนม หรือ พระมารดาของนาธานเนียลเท่านั้น และยิ่งหลังจากที่เสด็จแม่ของพระองค์ก่อเหตุ คิดจะปลงพระชนม์พระมารดาของนาธานเนียล และตัวนาธานเนียล พระองค์ก็กลายเป็นคนที่ถูกลืม

ในตอนนั้นพระองค์อายุเพียง 4 ขวบกว่าๆเท่านั้น พระองค์รักนาธานเนียลเหมือนน้องแท้ๆ มาตั้งแต่ต้น แต่เสด็จแม่ของพระองค์ต่างหากที่เกลียดชังนาธานเนียล และก็เป็นพระองค์เองที่ยับยั้งการก่อเหตุลอบปลงพระชนม์ทั้งพระสนม และนาธานเนียลในครั้งนั้น เสด็จแม่ของพระองค์วางยาพิษในอาหารที่จะนำไปถวายแก่สองแม่ลูก นาธานเนียลที่คอยตามติดพระองค์ไม่ห่าง คอยเลียนแบบ ทำตามพระองค์ทุกอย่าง ทำให้พระองค์รักน้องคนนี้มาก พอรู้ว่าเสด็จแม่คิดจะฆ่านาธานเนียล พระองค์จึงรีบไปที่วิลล่าของสองแม่ลูก และทำจานอาหารตกแตก มันควรจะจบแค่นั้น หากสุนัขทรงเลี้ยงไม่เข้ามาเลียอาหารที่ตกลงพื้นและสิ้นใจในแทบจะทันที

แม้จะอยากปฏิเสธแต่อาหารนั้นก็ถูกสืบสวนว่าส่งมาจากพระชายา สุดท้ายเสด็จแม่ของพระองค์ก็ถูกจับได้ และถูกปลดจากฐานะ และถูกคุมขังไว้ชั่วชีวิตในคุกหลวง ซึ่งนั่นก็ทำให้ฐานะขององค์เดเมียนเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากองค์รัชทายาท พระองค์ก็ถูกปลดให้กลายเป็นเพียงเจ้าชายธรรมดา และหมดสิทธิ์ในราชบัลลังก์ในทุกกรณี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์สนใจ สิ่งที่ทำร้ายพระองค์มากที่สุดคือ เสด็จแม่ของพระองค์โทษองค์เดเมี่ยนที่เป็นสาเหตุทำให้ แผนล้มเหลว และทำให้พระนางถูกขังและทรมาน เด็กชายตัวน้อยที่ถูกพระมารดา ปฏิเสธ ขับไส และสาปแช่ง โยนความผิดทั้งหมดให้พระองค์รับไว้ เมื่อหันมามองทางเสด็จพ่อ ก็ถูกรังเกียจเพราะพระองค์เป็นลูกของหญิงชั่ว พระองค์เติบโตขึ้นมาด้วยสายตาที่ถูกเหยียดหยาม และเกลียดชัง ยิ่งพระสนม ที่กลายมาเป็นพระชายา และนาธานเนียลดีเท่าไหร่ พระองค์ก็ถูกเกลียดมากขึ้นเท่านั้น พระองค์เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว ลำพัง เป็นเจ้าชายที่ไม่มีใครต้องการ ตำแหน่งที่มีกลับเสมือนเป็นตราบาปที่พระองค์ไม่ได้ก่อ ที่จะติดตัวพระองค์ไปจนวันตาย ตราบจนวันนี้ พระองค์ที่เติบใหญ่ แต่รอยแผลก็ไม่ได้จางหายไป การถูกเกลียดกลายเป็นเรื่องปกติของพระองค์ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พระองค์ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตลอดมา สิ่งที่พระองค์ปรารถนามากที่สุด พระองค์ก็จะเสียมันไปเสมอ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด นับครั้งไม่ถ้วนที่ถาโถมเข้ามา จนพระองค์ไม่คิดจะหวังในสิ่งใด พระองค์เย็นชาต่อทุกสิ่ง ไม่คิดจะรักใคร เพราะจะมีใครกล้ามารักเจ้าชายที่ต้องสาปอย่างพระองค์ ตลอดมาพระองค์จึงเฉยชา ไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด

ตราบจนในตอนนี้ ที่คนตัวเล็กก้าวเข้ามาทำลายกำแพงที่พระองค์บรรจงสร้างลงจนหมด คนๆ นี้เป็นคนแรกที่เลือกพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะรู้ว่า พระองค์คงไม่มีวันได้รับความรักกลับจากคนตัวเล็กนี้ แต่พระองค์ก็สัญญากับตัวเองว่าพระองค์จะดูแลคนๆ นี้ให้ดีที่สุด

พระองค์มองคนตัวเล็กที่กำลังหลับใหล ก่อนก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ โอบกอดคนตัวเล็กแนบแน่น ราวกับพระองค์กลัวว่าจะมีคนมาแย่งคนตัวเล็กไปจากพระองค์
มิคาเอลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเห็นองเดเมี่ยนที่กอดเขาอยู่ ก็พยายามขืนตัวออก
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” ทรงถามด้วยความเป็นห่วง พระองค์คลายอ้อมกอดออก
“ผมไม่เป็นไรครับ ปล่อยผมเถอะครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา
“เจ้ารังเกียจเราเหรอ ที่เรากอดเจ้า” ทรงถาม
“ผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะรังเกียจพระองค์” คนตัวเล็กตอบ
“เจ้าคงเกลียดเรามากสินะ เพราะเรา ทำให้เจ้ากับราฟาเอลต้องตกอยู่สถานะการณ์แบบนี้”ทรงตรัสอย่างรู้สึกผิด
“ไม่หรอกครับ ไม่ว่ายังไงผมกับองค์ราฟาเอลก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี” คนตัวเล็กกล่าวเสียงเศร้า
“เป็นเราไม่ได้เหรอ ให้เรารักเจ้าแทนไม่ได้เหรอ” ทรงถาม
“ทำไมครับ คนอย่างผมไม่มีอะไรดีพอจะให้พระองค์มารัก ทั้งๆ ที่ผมเอาแต่ร้องไห้หาองค์ราฟาเอลแต่ก็กลับมานอนกอดกับพระองค์” ไมเคิลรู้สึกสมเพชตัวเอง
“เราต่างหากที่ดูเหมือนจะไม่มีค่าให้เจ้ารัก” ทรงตรัสเบาๆ
“ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่พระองค์จะเลือกใครก็ได้ แล้วทำไมต้องเป็นผม”
“เพราะหากไม่ใช่เจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร” ทรงตอบพร้อมก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเบาๆ
“เราเป็นคนเจ้าชู้ เรารู้ แต่ตั้งแต่เจอเจ้า ไม่ว่าเรากอดใคร ก็ไม่มีความหมาย คนๆ เดียวที่อยู่ในความคิดของเรา ก็คือเจ้า” ทรงสารภาพ
“ทุกคืน ทุกวัน เราก็เอาแต่ฝันถึงเจ้า จนเราแทบจะทำอะไรไม่ได้ เราปรารถนาเจ้า ต้องการเจ้า และอยากครอบครองเจ้า” ทรงตอบตามตรง

“เราสัญญากับเจ้าว่าเราจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงกล่าว พร้อมกับจุมพิตเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“อย่าครับ” คนตัวเล็กพูดได้แค่นั้นเมื่อคนตัวใหญ่ประกบปากทาบทับริมฝีปากบางอันเย้ายวน พระองค์ค่อยๆ จุมพิตอย่างอ่อนโยน จนคนตัวเล็กค่อยๆ ยอมโอนอ่อนแต่โดยดี พระองค์จูบริมฝีปากล่าง และขบเม้มเบาๆ จนร่างเล็กต้องครางเบาๆ ออกมา  พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปสำรวจภายในเพื่อค้นหาความหอมหวาน พระองค์ดูดดื่ม กลืนกินความหอมหวานนั้น อย่างหิวกระหาย ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์พัวพันกับลิ้นอันหอมหวานของคนตัวเล็ก พระองค์ค่อยๆ ดูดกลืนลิ้นนั้นอย่างดูดดื่ม จุมพิตอันเย้ายวนดำเนินไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ พระองค์มองคนตรงหน้าที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน

“เจ้ารังเกียจที่เราจูบหรือเปล่า” ทรงถามยิ้มๆ มิคาเอลก็เป็นฝ่ายที่หน้าแดง
“เราปรารถนาเจ้า ให้เราสัมผัสเจ้าได้ไหม” ทรงถาม มองตรงเข้าไปในดวงตาของคนตัวเล็ก
“ผม...” มิคาเอลไม่รู้จะตอบอย่างไร เขารู้ว่ายังไง หากพระองค์ต้องการ เขาก็ขัดไม่ได้อยู่ดี
“เราจะหยุดหากเจ้าไม่ต้องการ” ทรงตอบ ก่อนจะค่อยๆ จุมพิตร่างเล็กอีกครั้ง พระองค์จูบอย่างหยอกล้อและไซร้ลงที่ต้นคอขาวของคนตรงหน้า มิคาเอลถูกปลุกเร้าจนต้องครางเบาๆออกมา องค์เดเมียนจึงค่อยๆปลดกระดุมเสื้อออกก่อนจะไซร้ใบหน้าอันหล่อเหลาลงต่ำ พระองค์หยอกล้อกับยอดทับทิมสีชมพูทั้งสองก่อนจะกลืนกิน ปลุกเร้าให้มิคาเอลตอบสนองมากยิ่งขึ้น

“เจ้างดงามที่สุด มิคาเอล” ทรงกระซิบคำรักก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำ พระองค์ฝังใบหน้ากับแก่นกายของเขาผ่านกางเกงผ้า
“เจ้ากำลังตื่นตัว มิคาเอล” ทรงตรัสก่อนจะก้มลงจุมพิตกับส่วนอ่อนไหว มิคาเอลสะท้านด้วยความเสียวซ่าน แม้จะปรารถนาแต่ก็พยายามปฏิเสธ
“ฝ่าบาท ... อย่าครับ...ผม...”มิคาเอลพยายามจะฝืนความรู้สึก องค์เดเมียนเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามเสีบงแหบพล่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากให้เราหยุด” มิคาเอลหน้าแดง เขากำลังปรารถนาอยากจะปลดปล่อยแต่ก็หวาดกลัวต่อคนตรงหน้า
“เจ้ากำลังตื่นตัวแบบนี้ ทำไมไม่ให้เราช่วยเจ้าล่ะ” ทรงถามคนตัวเล็กตรงหน้า
“ผม... ผม...” ไมเคิลแทบจะไม่อาจพูดอะไรได้อีก ความช่ำชองของคนตรงหน้าทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน องค์เดเมียนเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา
“เราสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่ต้องการ เราจะหยุด เมื่อเจ้าปลดปล่อย” ทรงตรัส พร้อมกับปลดกางเกงของคนตรงหน้าออกช้าๆ ทรงสบตากับร่างเล็กตลอดเวลา มันทำให้มิคาเอลรู้สึกหวาบหวิวอย่างบอกไม่ถูก กางเกงค่อยๆ ถูกปลดออก มิคาเอลหน้าแดงและพยายามถอยหนี องค์เดเมียนจึงรั้งร่างเล็กมานั่งที่ตักของพระองค์ ก่อนจะจุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ลูบไล้ร่างเปลือยเปล่าของคนตัวเล็กไปทั่ว แต่กลับไม่สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก พระหัตถ์ของพระองค์จงใจไม่สัมผัสกับแก่นกายของคนตัวเล็ก แต่กลับไล้ผ่านไปมา และสัมผัสเพียงแผ่วเบาราวกับไม่ตั้งใจ แต่นั่นกลับทำให้ร่างเล็กตรงหน้าหอบหายใจหนักขึ้นอีก

มิคาเอลกำลังปรารถนาอย่างไม่อาจจะหักห้ามได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครปลุกเร้าเขาได้มากขนาดนี้ มิคาเอลหอบหายใจรู้สึกขัดใจ ที่พระองค์ไม่ยอมสัมผัสเขา
“เจ้ายังอยากให้เราหยุดหรือเปล่า” ทรงกระซิบถาม พร้องกับขบเม้มติ่งหูของคนตัวเล็กเบาๆ
“ฝ่าบาท..” มิคาเอลพูดได้แค่นั้น ร่างกายทรยศต่อเขา สมองด้านเหตุผลไม่ยอมทำงาน ความปรารถนาเข้าครอบงำ
“เจ้าต้องการให้เราช่วยหรือเปล่า” ทรงกระซิบถามอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียก
“ตอบเราสิว่าเจ้าต้องการ” ทรงย้ำถาม
“ครับ...ได้โปรด” มิคาเอลได้ยินเสียงของเขาตอบออกไป

องค์เดเมียนยินดี เอื้อมพระหัตถ์สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา จนคนตัวเล็กครางออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะยังไม่พอใจ จึงร้องเรียกหาเจ้าชายอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” ร่างเล็กประท้วง พระจึงก้มลงจูบที่ต้นคอของคนตัวเล็ก และสัมผัสร่างของมิคาเอล ร่างเล็กก็ครางออกมาอย่างไม่อาจกั้น พระองค์สัมผัสร่างเล็กอย่างอ่อนโยน และค่อยๆ ขยับเป็นจังหวะช้าๆ ร่างเล็กก็ผวาเหนี่ยวรั้งพระองค์ไว้ และขยับตามจังหวะของพระองค์ ร่างเล็กหลับตาลงและปล่อยให้พระองค์นำพาไป เมื่อร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์กลับหยุดลงเอาดื้อๆ จนร่างเล็กต้องลืมตาขึ้นมอง

พระองค์วางร่างเล็กลงบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าหวานตอนนี้กำลังเป็นสีชมพูจัด ลมหายใจที่หอบกระชั้น ริมฝีปากที่บวมช้ำจากการจูบเผยอออกเล็กน้อย ร่างเล็กตรงหน้าช่างยั่วยวนพระองค์เหลือเกิน

พระองค์วางร่างเล็กลงนั่งตรงขอบเตียง ก่อนพระองค์จะลงไปคุกเข่าต่อหน้าร่างเล็ก คนตัวเล็กทีีใบหน้าเป็นสีชมพูจัดอยู่แล้ว ในตอนนี้ยิ่งอายมากขึ้นไปอีก เมื่อใบหน้าของคนตัวใหญ่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงฟุต ด้วยสัญชาตญาณคนตัวเล็กพยายามหนีบขาเข้าหากัน แต่องค์เดเมียนก็ก้มลงจูบที่หัวเข่าทั้งสองข้างของเขาเพียงแผ่วเบา ก่อนที่พระองค์ จะเงยหน้าขึ้น รั้งใบหน้าหวานให้เข้ามาใกล้ก่อนจะจุมพิตร่างเล็กอีกครั้ง พระองค์จุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม และปรารถนา มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ร่างของคนตัวเล็กไปทั่ว ก่อนจะค่อยๆไล้ลงมาที่ต้นขาช้าๆ พระองค์จูบลงมาที่ต้นคอ และจูบไซร้ลงต่ำไปที่ยอดอก พระองค์ดูดกลืนความหวานจนหมดสิ้น ก่อนจะ ใช้พระหัตถ์ใหญ่จับที่เข่าและแยกออกจากกันช้าๆ โดยที่คนตัวเล็กไม่อาจขัดขืน

พระองค์ค่อยๆ ก้มหน้าลงและครอบครองแก่นกายของคนตัวเล็กช้าๆ สติของคนตัวเล็กก็เหมือนจะหลุดลอยไป ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไมเคิลไม่เคยสัมผัสมาก่อน ลิ้นร้อนๆ นั้นที่ตวัดเกี่ยวรัดและหยอกล้อในส่วนปลายยอด พระองค์ดูดกลืนเขา จนมิคาเอลต้องครางออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น
มือใหญ่สัมผัสร่างของเขาเป็นจังหวะสอดคล้องกับปากและลิ้นของพระองค์ มิคาเอลรู้สึกล่องลอย แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาทางด้านหลัง จนมิคาเอลต้องลืมตาขึ้นและพยายามถอยหนี ชั่วครู่หนึ่งเขารู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
ภาพในอดีตย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

องค์เดเมียนจึงถอนนิ้วออกก่อนจะสัมผัสแต่เพียงภายนอก พระองค์ใช้ปากและลิ้นจนทำให้คนตัวเล็กเคลือบเคลิ้มอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะเร่งจังหวะ เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลมาส่งยังสวรรค์ ร่างเล็กร้องครางออกมาเสียงดัง ปลดปล่อยออกมาในปากขององค์เดเมียน พระองค์ก็กลืนกินไปจนหมด ก่อนจะค่อยๆ ถอนปากออกจากร่างของคนตัวเล็ก

https://www.facebook.com/teddybeararthur/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2016 01:52:50 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 17 ตายทั้งเป็น

ไมเคิลหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามรวบรวมสติ มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจในตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมให้ใครกระทำกับเขามากขนาดนี้ ไม่เคยมีใครแตะต้องเขาอย่างที่องค์เดเมียนกระทำหรืออีกในนัยหนึ่งคือ ไมเคิลไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องเขาแบบนี้ เมื่อได้สติ เขาจึงดึงผ้ามาปกปิดร่างกาย ก่อนจะถอยห่างจากคนตรงหน้า ภาพในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับมาทำร้ายเขา

อีกทั้งไมเคิลยังรู้สึกสมเพชตัวเองนัก ทั้งๆที่เขายังร้องไห้เสียใจเพราะเจ้าชายพระองค์หนึ่ง แต่แล้วกลับมาออดอ้อนกับเจ้าชายอีกพระองค์ คำพูดของหมอพอลดังก้องขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าชายพระองค์ไหน คนอย่างเขาก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เขาปฏิเสธ บอกว่าไม่ แต่การกระทำของเขาในตอนนี้มันจะต่างจากโสเภณีตรงไหนกัน เขาออดอ้อน และร้องขอให้เจ้าชายช่วยปลดปล่อยเขา ทั้งยังทำตัวราวกับโสเภณีร่านสวาท ความรู้สึกผิด และความสับสนต่างรุมเร้า แล้วจู่ๆ น้ำตาของคนตัวเล็กก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

องค์เดเมียนที่อยู่ตรงนั้น ยิ่งไม่เข้าใจ พระองค์พยายามจะเข้าไปปลอบ แต่ร่างเล็กกลับถอยหนีและหวาดกลัวพระองค์ ร่างเล็กร้องไห้ออกมาจนพระองค์รู้สึกผิด
“เจ้ารังเกียจเรามากขนาดนี้เลยเหรอ มิคาเอล เจ้าเกลียดเรามากจนทนให้เราแตะต้องไม่ได้เชียวหรือ” ทรงถามอย่างเจ็บปวด และ เริ่มเย็นชา ทั้งๆ ที่พระองค์สารภาพความในใจทั้งหมดแก่คนตรงหน้า แต่ร่างเล็กกลับรังเกียจพระองค์มากถึงเพียงนี้
“หากเป็นราฟาเอล เจ้าคงยินดีกว่านี้สินะ” ทรงตรัสเสียงเบา มองร่างเล็กตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ร่างเล็กร้องไห้เพียงลำพัง

พระองค์เดินออกไปจากห้องบรรทม ก่อนเดินไปยังวิลล่าเล็ก ใบหน้าโกรธเกรี้ยวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มีเพียงริชชี่ ที่เดินเข้ามาหาพระองค์ ก่อนจะกอดพระองค์ไว้
“ฝ่าบาท มีอะไรให้ผมรับใช้ได้บ้างครับ” ริชชี่ถาม
“แค่อยู่เป็นเพื่อนเราก็พอ” ทรงตรัสเบาๆ จนริชชี่แปลกใจ ปกติ องค์เดเมียนไม่เคยเป็นแบบนี้
“ฝ่าบาท ทำไมพระองค์จะต้องไปสนใจแมวตัวนั้นของพระองค์ด้วยล่ะครับ ทั้งๆ ที่แมวตัวนั้นไม่รู้จักที่ของตนและทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดแบบนี้”ริชชี่กล่าวอย่างเป็นห่วง
“ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงเรา แต่มันไม่ใช่ความผิดของมิคาเอลหรอก เราต่างหากที่ผิดเอง” องค์เดเมียนกล่าว และอีกครั้งที่ริชชี่แทบไม่เชื่อหู คนอย่างองค์เดเมียน ไม่เคยปกป้อง หรืออ่อนโยนแบบนี้กับใคร แม้แต่กับเขาที่เป็นคนโปรด อยู่ดีๆ ริชชี่ก็เกิดรู้สึกไม่พอใจในตัวคนๆ นี้ขึ้นมา

ริชชี่รินคอนยัคชั้นดีให้องค์เดเมียน ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า ปลุกเร้าพระองค์ เพื่อหวังให้พระองค์จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม องค์เดเมียน รั้งร่างริชชี่ขึ้นมา ก่อนจะให้ริชชี่นั่งลงบนตักของพระองค์ พระองค์ฝังร่างของพระองค์กับร่างของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มก็ร้องครางออกมา ก่อนจะขยับโยกอย่างเชื่องช้า และค่อยๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น

ริชชี่ปรารถนาให้องค์เดเมียนกลับมาเป็นคนเดิม แม้ผู้คนมากมายจะหวาดกลัวพระองค์ แต่ริชชี่ก็รู้ว่าพระองค์เป็นคนที่อ่อนโยนคนหนึ่ง แม้ผู้คนจะตราหน้าว่าพระองค์โหดร้าย แต่หากตามใจพระองค์ ทำให้พระองค์พอใจ องค์เดเมียนก็จะยิ่งใจดีกลับมากยิ่งกว่า

ริชชี่ย่อมรู้ดีเพราะเขาเดินทางมาที่คานาเดียเพื่อมาทำงานส่งเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย พ่อของริชชี่เสียชีวิตไปนานแล้ว ริชชี่เหลือเพียงแม่ที่เป็นคนไทย ซึ่งหมอตรวจพบว่าแม่ของเขาเป็นมะเร็ง ถึงแม้จะเป็นมะเร็งที่รักษาได้แต่ค่าใช้จ่ายที่สูง ลำพังเพียงเขาคนเดียวย่อมไม่มีทางหาเงินมากขนาดนั้นมารักษาแม่ได้  คนรู้จักของเขาแนะนำให้มาทำงานที่คานาเดีย ริชชี่จึงเดินทางมาที่นี่ ทั้งๆ ที่ห่วงผู้เป็นแม่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่แล้วเขาก็โชคดีมาพบกับองค์เดเมียน และพระองค์ก็รับเขาเป็นสนมของพระองค์ นอกจากพระองค์จะดีกับเขามากแล้ว พระองค์ยังให้แม่ของเขามาอยู่ที่คานาเดีย และได้รับการรักษาอย่างดีจนหาย และพระองค์ยังอนุญาตให้ริชชี่ออกไปพบแม่ได้เดือนละครั้งภายใต้การดูแลขององครักษ์อีกด้วย หากไม่มีพระองค์เขาคงจะต้องเสียแม่ไปแล้วแน่ๆ ดังนั้น ริชชี่จึงพยายามทำทุกอย่างให้กับเจ้าชายเดเมียน โดยไม่เกี่ยงงอนแม้แต่น้อย

ในตอนหัวค่ำองค์เดเมียนสั่งให้ตั้งโต๊ะอาหาร และทรงสั่งให้แดเรียลไปบอกกับมิคาเอลให้มาทานอาหารค่ำกับพระองค์
มิคาเอลที่แต่งตัวในแบบคานาเดียกำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ชุดที่ใส่เป็นชุดที่องค์เดเมียนเลือกให้ ตราประทับรูปเสือดำประดับอยู่ที่หน้าอกซ้าย ดวงตาที่บวมช้ำบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนัก ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันเมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงหน้า พระองค์อยากเข้าไปกอด แต่ก็ทรงยั้งตัวเองเอาไว้
“นั่งลงสิ” ทรงสั่ง มิคาเอลจึงนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาคนตรงหน้า
“เราจะประกาศเรื่องรับเจ้าเป็นสนมของเราในวันพรุ่งนี้ จากนี้ต่อไป เจ้าจะต้องสวมใส่สัญลักษณ์ของเราเสมอ และเราสั่งให้นางกำนัลจัดห้องพักของเจ้าไว้ในวิลล่าเล็กแล้ว” ทรงกล่าวเรียบเฉยเย็นชา

มิคาเอลไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเพียงรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้ขัดขืน และไม่ได้ยินดี
“หากเราเรียกหาเจ้า เจ้าก็ต้องมาหาเรา และทำตามที่เราต้องการ” ทรงกล่าว
“ผมรู้สถานะของผมครับ” ร่างเล็กกล่าว “แต่ผมปฏิเสธที่จะร่วมรักกับพระองค์” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ
“เจ้าเป็นสนม การร่วมรักกับเราก็เป็นหน้าที่ของเจ้า” ทรงตอบอย่างไม่พอใจ
“ผมปฏิเสธที่จะร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์จะลงโทษผมก็เชิญ” มิคาเอลกล่าว
“เจ้าเป็นสนม เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”ทรงตรัสเสียงกร้าว
“ผมไม่ได้ต้องการเป็นสนม ผมไม่ต้องการเป็นของพระองค์” มิคาเอลตอบ
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้าร่วมรักกับใครมาแล้วกี่คน ในตอนนี้เจ้าเป็นของเรา หากเราต้องการเจ้า เจ้าก็ต้องยอม” องค์เดเมียนขึ้นเสียง

ทรงโกรธที่ร่างเล็กทั้งดื้อรั้น เอาแต่ใจ นอกจากจะไม่ยอมตามใจพระองค์แล้ว ร่างเล็กยังเอาแต่ทำให้พระองค์รู้สึกเจ็บเสมอ ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเคยร่วมรักกับคนอื่นมาแล้ว และก็คงจะเคยร่วมรักกับราฟาเอลมาแล้ว แต่ร่างเล็กกลับยังเอาแต่ปฏิเสธพระองค์

“ผมยอมถูกทำโทษ ยอมถูกเฆี่ยนตี ยังจะดีเสียกว่า ผมจะไม่ร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์บังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย” มิคาเอลกล่าว
“เจ้าจะกล้าดีเกินไปแล้ว เจ้าเป็นเพียงสนม เจ้าควรจะรู้จักที่ของเจ้าไม่ใช่มาอวดดีกับเราแบบนีั”

องค์เดเมียนโกรธคนๆ นี้เหลือเกิน ทั้งๆ ที่พระองค์ทำดีด้วย แต่คนตรงหน้ากับไม่เห็นความดีของพระองค์ ตรงกันข้ามกลับเอาความใจดีของพระองค์มาใช้ในการทำร้ายพระองค์อีก ในเมื่อพระองค์ทำดีกับคนตัวเล็กแต่คนตัวเล็กไม่เห็นค่า พระองค์ก็จะไม่ใจดีด้วยอีก
องค์เดเมียนลุกขึ้นและเดินตรงเข้ามาหามิคาเอล มิคาเอลจึงยืนขึ้น เงยหน้ามองคนตัวใหญ่ พระองค์เงื้อมือขึ้น แต่มิคาเอลกลับหลับตาลง ราวกับรอคอยการลงโทษจากคนตรงหน้า
คนตัวใหญ่ยั้งมือเอาไว้ ก่อนจะทุบลงบนโต๊ะเสียงดัง

“เจ้าต้องการอะไร” ทรงถามลอดไรฟัน พยายามจะระงับความโกรธที่มีต่อคนตรงหน้า
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากพระองค์ ผมเพียงอยากให้พระองค์ ปล่อยผมไป” มิคาเอลตอบ
“เจ้ายังคิดอีกเหรอว่าเจ้าจะไปจากเราได้ เราบอกเจ้าแล้วไง นับจากวันนี้เจ้าคือ ของๆ เรา เจ้าเป็นสนม เป็นสมบัติของเรา เราสั่งให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ต้องทำ หากเราต้องการเจ้า เจ้าก็ต้องตอบสนองเรา” ทรงตรัสเสียงดัง
“ผมยอมตายดีกว่า” ไมเคิลกล่าว และนั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายองค์เดเมียนโกรธคนตรงหน้า และเสียใจที่คนๆ นี้กล้ามาทำแบบนี้

พระองค์รู้สึกเจ็บปวดที่ร่างเล็กที่ควรจะเป็นสนมของพระองค์เริงรักกับชายอื่น แต่กลับยอมตายแทนที่จะร่วมรักกับพระองค์
“ก็ได้ หากเจ้าอยากตายนัก เราก็จะทำให้เจ้าตายด้วยความปรารถนาจากเรา เราจะทำให้เจ้าขาดใจตายหากไม่ได้ร่วมรักกับเรา และเราจะทำให้ร่างกายของเจ้าขาดเราไม่ได้” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงกระด้าง ด้วยความโกรธ ตรงเข้ามาหาร่างเล็ก

มิคาเอลรู้สึกกลัวคนตรงหน้าขึ้นมา พยายามจะถอยหนี แต่องค์เดเมียนก็คว้าจับข้อมือไว้ ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กพาดบ่าและพาเข้าไปในห้องบรรทม มิคาเอลพยายามดิ้น แต่คนตัวใหญ่กลับรั้งเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ปล่อยผม ผมเกลียดพระองค์ คนอย่างพระองค์ไม่มีหัวใจ คนใจร้าย คนอย่างพระองค์ก็สมควรแล้วที่ไม่มีใครรัก!!!” มิคาเอลกล่าว

องค์เดเมียนโยนร่างของมิคาเอลลงบนเตียง มิคาเอลรีบถอยหนีแต่คนตัวใหญ่กลับจับข้อเท้าและดึงเข้าหาพระองค์
“ปล่อยผม!!! อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำผม!!!” มิคาเอลร้องอ้อนวอนขอให้องค์เดเมี่ยนหยุด
องค์เดเมียนฉีกเสื้อผ้าของมิคาเอลออก ก่อนจะใช้ร่างของพระองค์ตรึงคนตัวเล็กเอาไว้ใต้ร่าง

“ในเมื่อเราทำดีกับเจ้าแล้วเจ้าไม่ชอบ เจ้ากลับเอาความใจดีของเรากลับมาทำร้ายเรา ต่อจากนี้ไปเราก็จะไม่ทำดีกับเจ้าอีก” ทรงตรัสอย่างเย็นชา
“ฝ่าบาท!! อย่าทำกับผมแบบนี้ ผมขอร้อง ปล่อยผม ได้โปรด อย่า!!” มิคาเอลอ้อนวอน น้ำตาไหลรินออกมา สะอื้นไห้ และหวาดกลัว
“เจ้าจะเล่นละครทำไม เจ้ามีอะไรกับผู้ชายมาแล้วกี่คน เราอยากจะรู้นักว่า เวลาที่เจ้าแยกขาออกให้ราฟาเอล เจ้าขัดขืนราฟาเอลบ้างหรือเปล่า หรือว่าเจ้าทนไม่ไหว และอ้อนวอนให้ราฟาเอลสมสู่กับเจ้า” องค์เดเมียนกล่าวอย่างโหดร้าย ก่อนจะบดริมฝีปากของคนใต้ร่าง

"ผมเปล่า... ปล่อยผม...ผมเกลียดพระองค์... คนใจร้าย” มิคาเอลร้องไห้ พยายามผลักไสคนตรงหน้า แต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ คนตัวใหญ่รวบมือมือของมิคาเอลไว้ ก่อนจะจูบประทับลงบนริมฝีปากบาง อย่างเป็นเจ้าของ

“จำเอาไว้ ว่าเราเป็นเจ้าของเจ้า และเจ้าเป็นของเรา เจ้ามีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของเรา เจ้าที่เป็นแค่ของเล่นบนเตียง อย่าได้คิดสำคัญตัวผิด” ทรงตรัสอย่างหยาบกระด้าง พระองค์จูบลงบนต้นคอเนียน และทิ้งรอยเอาไว้หลายรอย พระหัตถ์ใหญ่เอื้อมลงมา สัมผัสกับแก่นกายของมิคาเอลปลุกเร้าคนตัวเล็กให้ตื่นตัว

มิคาเอลที่เอาแต่ร้องไห้อ้อนวอนให้คนตัวใหญ่หยุด สีหน้าที่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่องค์เดเมี่ยนก็ไม่ยอมหยุด พระองค์ยกขาของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสกับความอ่อนไหวเบื้องหลัง และค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปภายใน

มิคาเอลสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกนิ้วของคนตัวใหญ่ล่วงล้ำเข้ามา เขาทำหน้าเจ็บปวดและร้องออกมา แต่องค์เดเมียนก็ไม่หยุดพระองค์ยังคงขยับนิ้วเข้าออกจนคนตัวเล็กเริ่มชิน แต่พระองค์ก็สอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีก

“ปล่อยผม... ได้โปรด... อย่าทำแบบนี้” มิคาเอลร้องขอ แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ คนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด น้ำตาของมิคาเอลไหลรินออกมา เขาทรมานเหลือเกิน เขาไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ ภาพความหลังในอดีต ตามมาหลอกหลอน และคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้มิคาเอลหวาดกลัว แต่สุดท้ายมิคาเอลก็หยุดขัดขืน เพราะเขารู้ว่า องค์เดเมียนคงไม่มีทางปล่อยเขาไป ความเจ็บปวด ความทรมานเกาะกินหัวใจของมิคาเอล น้ำตาที่ไหลริน ไม่ได้ช่วยอะไร เขาจึงหลับตา และปล่อยให้คนตัวใหญ่เอาเปรียบเขา ด้วยสำนึกตนว่าไม่ว่าอย่างไร เขาคงไม่มีทางขัดขืนคนตรงหน้าได้ เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวินาทีนั้น มิคาเอลก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ของคำว่า ตายทั้งเป็น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 18 ด้วยความจำยอม

องค์เดเมียนโกรธคนตัวเล็กเหลือเกิน ทั้งๆ ที่พระองค์ทำดีด้วยทุกอย่าง แต่คนตัวเล็กก็ยังปฏิเสธพระองค์ และยังคงยืนกรานจะไม่ร่วมรักกับพระองค์ พระองค์ไม่เข้าใจทั้งๆ ที่พระองค์พยายามอ่อนโยนกับคนๆ นี้ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กก็เอาแต่ทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวด หากเปลี่ยนเป็นราฟาเอล คนตัวเล็กคงจะยินยอมพร้อมใจ โดยไม่เกี่ยงงอน ต่างจากคนอย่างพระองค์ที่คนๆ นี้ไม่ต้องการ

แต่พระองค์จะไม่ยอมให้คนตัวเล็กปฏิเสธ ในเมื่อคนตัวเล็กทำร้ายพระองค์ได้ ทำไมพระองค์จะทำร้ายคนๆ นี้บ้างไม่ได้ อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นถึงเจ้าชาย หากพระองค์ต้องการใคร พระองค์ย่อมต้องได้มา

พระองค์ปลุกเร้าร่างเล็ก ทรงจูบปิดปากที่คอยแต่จะพูดจาคำร้ายๆ ให้พระองค์เจ็บปวด ลิ้นร้อนของพระองค์สอดใส่และควานหาความหวานของคนตรงหน้า บังคับให้ร่างเล็กตอบสนอง แต่อีกครั้งที่ร่างเล็กเอาแต่ร้องไห้ และปฏิเสธพระองค์

พระองค์จึงจูบไซร้ที่ต้นคอขาวเนียน ทรงจูบและทิ้งรอยสีชมพูไว้หลายจุด มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ และสัมผัสกับความตื่นตัวของร่างเล็ก แม้จะตื่นตัว แต่มิคาเอลก็ไม่ยินยอม จนพระองค์ต้องบังคับ พระองค์ยกขาเรียวของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วล่วงล้ำเข้าไป ร่างเล็กกลับสะดุ้งและร้องออกมาอย่างไม่คุ้นชิน และพระองค์ก็แปลกใจในความคับแน่นของร่างเล็ก แต่ด้วยความช่ำชองของพระองค์เพียงไม่นานร่างเล็กก็เริ่มคุ้นชิน พระองค์จึงเริ่มสอดนิ้วเพิ่มเข้าไป ร่างเล็กทำสีหน้าเจ็บปวดเมื่อนิ้วที่สามรุกล้ำเข้าไป

ในที่สุดคนตัวเล็กก็หยุดขัดขืน แต่สีหน้าของคนตัวเล็กกลับดูเจ็บปวด จนพระองค์รู้สึกสงสารขึ้นมา แต่ในเมื่อร่างเล็กไม่ยอมรับในความอ่อนโยนที่พระองค์มอบให้ พระองค์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใจดีกับคนตัวเล็กอีก พระองค์หยิบเจลหล่อลื่นมาชโลม ก่อนจะฝังร่างของพระองค์กับร่างของคนตัวเล็ก

มิคาเอลกรีดร้องอย่างเจ็บปวด บางอย่างไม่ถูกต้อง ร่างเล็กน้ำตาไหลริน สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด มือกำผ้าปูที่นอนจนแน่น และพยายามกลั้นเสียงเอาไว้
ร่างเล็กหลับตาแน่น ราวกลับไม่อยากรับรู้ความจริง ราวกลับต้องการให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
ความเจ็บปวด คือสิ่งเดียวที่พระองค์เห็นจากใบหน้าหวาน

พระองค์แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เพื่อให้ร่างเล็กได้คุ้นชินกับขนาดของพระองค์ พระองค์ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน แต่ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าก็ไม่ได้โกหก ร่างเล็กกำลังเจ็บปวดจากความเห็นแก่ตัวของพระองค์

พระองค์รู้สึกผิดขึ้นมา ที่ฝืนบังคับร่างเล็กให้ร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์รู้มาก่อน พระองค์จะอ่อนโยนกว่านี้ ทรงก้มลงจุมพิตร่างเล็ก แต่ร่างเล็กกลับเบี่ยงหน้าหนี ไม่ต้องการความสงสารจากคนตัวใหญ่

“ผม...เกลียด...เกลียด...พระองค์” ร่างเล็กกล่าวออกมาอย่างเจ็บปวด และคนที่ได้ยินก็เจ็บปวดไม้แพ้กัน พระองค์ค่อยๆ ขยับร่างช้าๆ แต่มิคาเอลก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด มิคาเอลเจ็บปวดทั้งกาย และ ใจ ทรมานทั้งใจ และ กาย

องค์เดเมียนโอบกอดร่างเล็กเอาไว้หวังจะช่วยปลอบโยน พระองค์ขยับร่างเข้าออกช้าๆ
ความคับแน่น ทำให้พระองค์รู้สึกดีจนแทบทนไม่ไหว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิด หลังจากพยายามอยู่นานในที่สุด มิคาเอลก็เริ่มคุ้นชินกับพระองค์

แม้จะไม่ต้องการ แต่เพราะความช่ำชองขององค์เดเมี่ยน ก็ทำให้ร่างเล็กค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น พระองค์ก้มลงจุมพิตที่ต้นคอ ขบเม้มเบาๆ ร่างเล็กครางเบาๆออกมา
“อย่าเกร็งสิ เด็กดี ยอมรับเรา” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน
“ผม...เกลียด...พระองค์” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา
“เรารู้ แต่เรารักเจ้า” ทรงกระซิบตอบ ประทับจุมพิตบนริมฝีปากบาง ไม่อยากได้ยินคำพูดของร่างเล็กอีก

ลิ้นร้อนสอดใส่ควานหาความหวานจากร่างเล็ก พระองค์ดูดกลืนความหอมหวาน ก่อนจะพลิกร่างเล็กขึ้นคร่อมพระองค์ พระองค์ลุกขึ้นนั่ง ร่างของพระองค์ยังคงสอดแทรกอยู่ภายใน โอบกอดร่างของมิคาเอลไว้ ร่างเล็กนิ่วหน้าจากความคับแน่น พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้าหาและจุมพิตดูดดื่ม ลิ้นของพระองค์หยอกล้อร่างเล็ก เกี่ยวกระหวัดลิ้นของร่างเล็กให้ตอบสนองต่อพระองค์
พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า จนคนตรงหน้าหอบหายใจ อย่างรัญจวน เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลไปยังสรวงสวรรค์ มิคาเอลปลดปล่อยออกมา อย่างไม่อาจหักห้าม พระองค์จูบร่างเล็กเบาๆ ร่างของพระองค์ยังคงแข็งแกร่ง ฝังตัวอยู่ภายในร่างของมิคาเอล

คนตัวเล็กเริ่มชินกับความคับแน่น พระองค์จึงยกร่างของมิคาเอลออก ก่อนจับให้ร่างเล็กคุกเข่า พระองค์ค่อยๆ สอดใส่จากทางด้านหลัง ร่างเล็กก็ต้องครางออกมา เมื่อคนตัวใหญ่ค่อยๆ สอดใส่เข้ามาอีกครั้ง ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ ค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างของคนตัวเล็ก ด้วยท่วงท่านี้ ร่างของพระองค์เข้าไปได้ลึกยิ่งขึ้น ร่างเล็กร้องครางอย่างเสียวซ่าน มือจิกผ้าปูไว้ด้วยความรัญจวน เมื่อร่างเล็กคุ้นชิน พระองค์ก็เริ่มขยับกายช้าๆ รั้งร่างเล็กขึ้นมาจุมพิต ก่อนจะทรงจะขบกัดที่ต้นคอ จนมิคาเอลต้องร้องครางออกมา

ร่างเล็กแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดขืนพระองค์ เจ้าชายเดเมียนทรงช่ำชองเรื่องบนเตียงจนทำให้ ร่างเล็กไปถึงสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนานหลายชั่วโมง ร่างเล็กได้แต่โอนอ่อนตามแต่พระองค์จะนำพาไป ความเจ็บปวดหายไป เหลือเพียงความรัญจวนใจและความปรารถนาเท่านั้น

พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลหลายต่อหลายท่า ก่อนพระองค์จะวางร่างเล็กลงและทรงทาบทับร่างเล็กอีกครั้ง ร่างเล็กจิกมือกับผ้าปู ร่างกายที่ทรยศขยับตามจังหวะของคนตัวใหญ่อย่างไม่อาจหักห้าม องค์เดเมียนขยับโยกช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น จนในที่สุดพระองค์ก็ส่งมิคาเอลไปสวรรค์อีกครั้ง ก่อนพระองค์จะปลดปล่อยออกมาภายในร่างของมิคาเอล

องค์เดเมียนกอดและจูบมิคาเอลอย่างหลงใหล พระองค์ไม่เคยมีความสุขมากเท่านี้มาก่อนเลย ทรงรั้งร่างเล็กขึ้นมานอนบนร่างของพระองค์ ร่างเล็กซบใบหน้ากับอกกว้าง และหลับไปในแทบจะทันที

องค์เดเมียนจ้องมองร่างเล็กที่หลับไหลอยู่กับอกของพระองค์ ยังไม่อยากจะเชื่อว่าว่าร่างเล็กไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน ทั้งๆ ที่ท่าทีอันเย้ายวน จนทำให้ทั้งพระองค์ และราฟาเอลหลงใหล อีกทั้งมิคาเอลเองก็ไม่ใช่เด็กๆ ร่างกายอันเย้ายวนนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี แต่ชายหนุ่มกลับไร้ประสบการณ์ พระองค์ที่ผ่านเรื่องบนเตียงมาอย่างโชกโชนย่อมรู้ดีว่าใครเสแสร้ง และใครที่ไร้ประสบการณ์

อีกทั้งความคับแน่นของคนตัวเล็กอีกเล่า ร่างเล็กช่างคับแคบจนพระองค์แทบจะสอดใส่ไม่เข้า หากไม่มีเจล พระองค์คงไม่มีทางผ่านช่องทางอันคับแคบนั้นได้แน่นอน เพียงแค่คิดพระองค์ก็รู้สึกถึงความตื่นตัวเบื้องล่างขึ้นมาอีก

พระองค์ลูบไล้ร่างเล็กอย่างรักใคร่ ทรงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของมิคาเอล อย่างหลงใหล ในชีวิตพระองค์ไม่เคยปรารถนาใครมากเท่านี้มาก่อน แต่พระองค์ก็รู้ว่าพระองค์คงไม่อาจฝืนกระทำต่อมิคาเอลได้อีก อย่างน้อยมิคาเอลก็คงต้องการพักผ่อน และพักฟื้นสักระยะ

พระองค์โอบกอดร่างเล็กเอาไว้แนบหัวใจ เป็นครั้งแรกที่พระองค์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา คนๆนี้ ทำให้พระองค์รู้จักกับทั้งความสุข และ ความทุกข์ ในเวลาเดียวกัน พระองค์ได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้พระองค์ไม่ต้องเสียคนตรงหน้าไป หัวใจของพระองค์เจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อคิดถึงความหลัง แต่พระองค์ก็เก็บซ่อนมันไว้ ไม่ยอมให้ใครรู้
พระองค์โอบกอดร่างของมิคาเอลเอาไว้จนเช้า

มิคาเอลตื่นขึ้นในตอนเช้า และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พบว่าเขานอนทาบทับองค์เดเมี่ยนอยู่ ร่างกายของเขาและของพระองค์ต่างเปลือยเปล่าแนบชิดกัน ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ย้อนกลับมาในความคิดของมิคาเอล เขาจึงพยายามจะลุกขึ้น และถอยห่างจากคนใจร้ายคนนี้
แต่เมื่อเขาขยับตัวความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่ จนร่างเล็กต้องร้องออกมา

องค์เดเมี่ยนที่อยู่ข้างใต้ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับโอบกอดร่างเล็กเอาไว้
“เจ้าควรจะอยู่เฉยๆ เราจะให้คนตามหมอมาให้” ทรงตรัสก่อนจะจุมพิตคนตรงหน้าเบาๆ
“ปล่อยผม! อย่ามาแตะต้องตัวผม ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าว และ พยายามจะผลักคนตรงหน้าออกไป
“เจ้าก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ยังไงเจ้าก็ขัดขืนเราไม่ได้ เจ้าเป็นของเรา” ทรงตรัส น้ำตาของมิคาเอลไหลออกมา เขาเจ็บปวดเหลือเกิน ทั้งกาย และใจ
“พระองค์ยังต้องการอะไรจากผมอีก”มิคาเอลกล่าวถามทั้งน้ำตา เมื่อพระองค์เห็นจึงรั้งร่างเข้ามากอดหวังจะปลอบโยน แต่ร่างเล็กกลับข่วนใบหน้าของพระองค์จนเลือดไหล บาดแผลห่างจากดวงตาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ปล่อยผม” มิคาเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำไมเจ้าถึงได้เกลียดเรานัก ทั้งๆ ที่เรารักเจ้า” ทรงถามด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวด ทรงปล่อยมิคาเอล คนตัวเล็กจึงหยิบผ้ามาปกปิดร่าง และฝืนลุกขึ้น
“ผมไม่ต้องการความรักจากพระองค์ เก็บความรักจอมปลอมของพระองค์ไว้เถอะ” มิคาเอลกล่าว
“มิคาเอล ...”
“ผมหวังว่าพระองค์จะพอใจกับร่างกายของผม ในเมื่อผมขัดขืนพระองค์ไม่ได้ ผมหวังว่าพระองค์คงจะมีความสุขที่รังแก คนที่ไม่มีทางสู้อย่างผมได้ แต่พระองค์อย่าคิดว่าการที่พระองค์ครอบครองร่างกายของผมแล้ว ผมจะต้องทำตามที่พระองค์สั่ง ผมสาบานว่าผมจะไปจากพระองค์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าคิดว่าการที่พระองค์บอกรักผมแล้ว ผมจะต้องรักพระองค์ตอบ ผมสาบานตราบที่ผมยังหายใจ ผมจะไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่พระองค์กระทำกับผม ผมเกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

องค์เดเมียนไม่ได้พูดอะไรอีก ทรงมองคนตรงหน้า และเดินเข้ามาหา โอบอุ้มร่างเล็กที่มีเพียงผ้าปูคลุมร่าง และพามิคาเอลไปที่ห้องที่วิลล่าเล็ก

"เรารู้ว่าเจ้าเกลียดเรา เราจะไม่เรียกร้องความรักจากเจ้า แต่เราจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป ตราบเท่าที่เรายังหายใจ เราจะรักเจ้า ไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส และวางร่างเล็กที่เฉยชาลงบนเตียง ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 19 เพื่อนใหม่

องค์เดเมียนสั่งให้แดเรียลดูแลมิคาเอลอย่างดี และสั่งให้ตามหมอพอลมาดูอาการของมิคาเอลด้วย ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปหาองค์นาธานเนียลเพื่อแจ้งความประสงค์ ที่จะรับมิคาเอลเป็นสนม และองค์นาธานเนียลก็ทรงแปลกใจอีกครั้ง ที่เด็กคนนั้นกลับมีอิทธิพลกับเสด็จพี่ของพระองค์มากเพียงนี้
“พี่รักมิคาเอล” ทรงสารภาพ “แต่มิคาเอลรักราฟาเอลไม่ใช่พี่”
“ราฟาเอลก็ดูเสียใจมากนะครับ” องค์นาธานเนียลกล่าวขึ้น
“เจ้าคิดจะให้พี่มอบมิคาเอลให้ราฟาเอลหรืออย่างไร” องค์เดเมียนถามอย่างเจ็บปวด
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่ไม่อยากให้คนๆ เดียวมาเป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ต้องผิดใจกัน” องค์นาธานเนียลกล่าว
“แล้วอย่างไร เจ้าควรจะบอกกับราฟาเอลให้ตัดใจ มิคาเอลเป็นของพี่” องค์เดเมี่ยนกล่าวและเป็นจังหวะเดียวกับที่ราฟาเอลเดินเข้ามา

"พระองค์หมายความว่าอย่างไรที่ทรงตรัสว่า มิคาเอลเป็นของพระองค์” องค์ราฟาเอลถาม มองคนเกิดก่อนด้วยความไม่พอใจ
“ก็หมายความว่ามิคาเอลเป็นของเรายังไง” องค์เดเมี่ยนตอบ รู้สึกขัดใจที่ราฟาเอลเข้ามาสอดรู้
“พระองค์คงไม่ได้ฝืนบังคับไมเคิลหรอกนะ” ราฟาเอลถามเมื่อเห็นรอยเล็บที่ใบหน้าขององค์เดเมียน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าควรจะตัดใจได้แล้ว” ทรงตอบ
“ไมเคิลมีความหลังในอดีต และเขาก็กลัวการถูกบังคับ พระองค์คงไม่ได้ฝืนใจไมเคิลหรอกใช่มั้ย” องค์ราฟาเอลถาม แต่องค์เดเมี่ยนก็นิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับร้อนรน และเริ่มเข้าใจคนตัวเล็กมากยิ่งขึ้น

“พี่ก็แค่จะมาบอกให้รู้ว่าพี่รับมิคาเอลให้เป็นสนมแล้วแค่นั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่กลับล่ะ” องค์เดเมียนกล่าวกับองค์นาธานเนียล และเมินเฉยต่อราฟาเอล และแม้องค์ราฟาเอลจะไม่พอใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ องค์นาธานเนียลได้แต่ส่ายหน้า ลึกๆ พระองค์ไม่พอใจในตัวของมิคาเอลนักที่เป็นต้นเหตุทำให้สองพี่น้องต้องทะเลาะกัน
แต่พระองค์ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ราฟาเอล อย่างที่เสด็จพี่เดเมียนกล่าว เจ้าคงต้องตัดใจเสีย” องค์นาธานเนียลกล่าว
“หากมิคาเอลมีความสุขผมจะไม่ขัดขวางเลย แต่นี่ดูก็รู้ว่ามิคาเอลไม่มีความสุขสักนิด เสด็จพี่เดเมียนที่เอาแต่ใจ มีแต่จะทำให้มิคาเอลต้องเจ็บปวด และผมก็ทนไม่ได้” องค์ราฟาเอลกล่าว

“แต่มิคาเอลก็เป็นสนมของเสด็จพี่เดเมี่ยนดังนั้นพระองค์มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้โดยที่เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง” องค์นาธานเนียลกล่าว มองน้องชาย ด้วยความเป็นห่วง
“ตัดใจซะเถอะ ราฟาเอล พี่เชื่อว่าคนอย่างเจ้ายังมีคนที่คู่ควรมากกว่ามิคาเอลอยู่” องค์นาธานเนียลตรัส ปลอบโยนน้องชาย
“ผมไม่ยอมรับหรอกนะครับ และผมจะแย่งมิคาเอลกลับมา” ราฟาเอลกล่าวและเดินออกไป
องค์นาธานเนียลไม่สบายใจเลยที่เห็นทั้งพี่ และน้องของพระองค์ ผิดใจกันแบบนี้ ความรู้สึกไม่พอใจค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย

หมอพอลเดินทางมาดูแลอาการของมิคาเอลอีกครั้ง มิคาเอลหน้าแดงด้วยความอับอายต่อผู้เป็นหมอ

“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้ามาดูแล “สนม” ขององค์เดเมียน” หมอพอลกล่าวอย่างเย็นชา เขาย่อมรู้ว่าองค์เดเมี่ยนมีสนมหลายต่อหลายคน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาก็คงเคยเกิดขึ้นมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็เป็นแค่หนึ่งในของเล่นบนเตียงของพระองค์
“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว
“ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นครับ พระสนม” หมอพอลกล่าว แต่มิคาเอลกลับรู้สึกถึงความเหยียดหยันในน้ำเสียง

“ผมขอแนะนำว่ากรุณางดการร่วมรักอย่างน้อยสักอาทิตย์ แต่ถ้าคุณทนไม่ไหว ก็ควรบอกกับองค์เดเมียนให้อ่อนโยนกับคุณหน่อยก็แล้วกัน” หมอพอลกล่าว
“ผมไม่ได้…ครับ” มิคาเอลอยากจะปฏิเสธ แต่ก็กลืนคำพูดลงคอ เขารู้สึกเจ็บปวดที่โดนดูถูกแบบนี้ แต่ในฐานะอย่างเขา ที่ไม่ต่างจากนางบำเรอก็คงไม่มีเกียรติอะไรให้ใครนับถืออยู่ดี
“คุณหมอครับ… องค์ราฟาเอล…เป็นอย่างไรบ้างครับ” มิคาเอลอดถามถึงเจ้าชายอีกพระองค์ไม่ได้
“ผมขอโทษเถอะนะครับ พระสนม แต่ในฐานะอย่างคุณในตอนนี้ ผมคิดว่าคุณควรเลิกคิดถึงองค์ราฟาเอลได้แล้ว คุณที่เป็นขององค์เดเมี่ยน คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยนามของชายอื่นด้วยซ้ำไป หรือแค่องค์เดเมี่ยนยังตอบสนองความร่านของคุณไม่พอ” หมอพอลกล่าวอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้มิคาเอลร้องไห้ เจ็บปวดกับคำพูดอันโหดร้าย และหลับไป

องค์เดเมียนเมื่อกลับมาถึง ก็เข้ามาหามิคาเอล ทรงมองคนตัวเล็กหลับไหลอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร พระองค์ไม่รู้ พระองค์จึงได้ทำผิดต่อคนตรงหน้า พระองค์นั่งลงข้างเตียงมองคนตัวเล็กอยู่เงียบๆ ใบหน้าที่กำลังหลับใหลดูสงบนัก แต่พระองค์ก็รู้ว่าคนตรงหน้า คงไม่มีทางยอมยกโทษให้พระองค์ง่ายๆ แต่กระนั้น พระองค์ก็คิดจะทำทุกอย่างให้คนๆ นี้ พระองค์เอื้อมจับมือของมิคาเอลเอาไว้ นั่งลงเคียงข้าง รอคอยให้คนตัวเล็กตื่นเพื่อจะกล่าวขอโทษ

มิคาเอลลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง และพบว่าองค์เดเมียนทรงจับมือของเขาไว้และทรงบรรทมอยู่ข้างๆ มิคาเอลมองคนตัวใหญ่อย่างเจ็บปวด คนๆ นี้ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้
อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ไหว ร่างเล็กสะอื้นไห้เบาๆ รู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

องค์เดเมียนรู้สึกตัวจึงลืมตาขึ้น และเห็นร่างเล็กกำลังร้องไห้ พระองค์จึงตรงเข้าไปกอดไว้ แต่คนตัวเล็กกลับดิ้นหนีปฏิเสธพระองค์
“ปล่อยผม!!! ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา
“เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าเจ้าไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน เราไม่รู้ว่าเจ้ากลัว เราขอโทษ ได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถอะ” ทรงกล่าวพยายามกอดคนตัวเล็กเอาไว้
“ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าว หยุดดิ้นและร้องไห้ออกมา
“เรารู้ว่าเจ้าเกลียดเรา แต่เรารักเจ้า เราขอโทษ” องค์เดเมียนกอดร่างเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พระองค์รู้สึกผิดที่เห็นคนตัวเล็กร้องไห้แบบนี้
“หากมีสิ่งใดที่เราทำให้เจ้าได้ เราจะทำ ขอเพียงเจ้าหยุดร้องไห้ เราจะให้เจ้าทุกอย่าง” ทรงตรัส
“ออกไป ...ออกไป! ... ผมอยากอยู่คนเดียว” มิคาเอลตะโกนออกมา องค์เดเมียนลังเลอยู่ แต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี

2 อาทิตย์แล้วที่มิคาเอลเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เขาแทบไม่แตะต้องอาหาร และไม่ยอมให้องค์เดเมียนเข้าใกล้ แม้องค์เดเมียนจะพยายามง้อและขอโทษนับครั้งไม่ถ้วน แต่ร่างเล็กก็ไม่ยอมใจอ่อน

เสียงประตูถูกเคาะ มิคาเอลจึงเดินไปเปิดแต่ก็พบว่าคนที่เคาะประตูเป็นชายหนุ่มหน้าสวย ผมดำตาสีฟ้า แทนที่จะเป็นองค์เดเมียนอย่างทุกวัน
“สวัสดีครับ คุณมิคาเอล ผมเป็นหนึ่งในสนมขององค์เดเมียน ผมริชชี่ครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัว
“คุณต้องการอะไร หรือว่าองค์เดเมี่ยนส่งคุณมา” มิคาเอลถาม
“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ” ริชชี่ถามอย่างสุภาพ จนมิคาเอลจำต้องยอมให้เขาเข้ามา
มิคาเอลพาริชชี่เข้ามาในส่วนของห้องรับแขก ริชชี่จึงนั่งลง

"คุณต้องการอะไร ริชชี่" มิคาเอลถาม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนโปรดขององค์เดเมียน
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับองค์เดเมียน” ชายหนุ่มถาม
“นั่นมันมันเรื่องของผม คุณไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย” มิคาเอลตอบ
“หากคุณยังไม่รู้ผมก็อยากให้คุณรู้ว่า ว่าทั้งผมและคุณ ต่างเป็นสนมขององค์เดเมียน ไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม และการที่คุณทำให้องค์เดเมียนต้องทุกข์ใจแบบนี้ ผมทนไม่ได้ พระองค์ไม่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่พระองค์พบคุณ ในฐานะสนม คุณมีหน้าที่ทำให้พระองค์มีความสุข ไม่ใช่ทรมานพระองค์แบบนี้” ริชชี่กล่าวเรียบๆ

“ผมไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ ไม่ได้ต้องการ... องค์เดเมียนบังคับผม”มิคาเอลกล่าว
“ผมเสียใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่องค์เดเมียนรักคุณ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยรักใคร พระองค์ไม่เคยทรงห่วงใยใครเท่าคุณ แต่คุณก็ยังเอาแต่ทำร้ายพระองค์ และนั่นทำให้ผมก็ไม่พอใจ” ริชชี่กล่าว
“ผมไม่ได้ต้องการให้พระองค์มารักผมสักนิด ผมอยากไปจากที่นี่” มิคาเอลกล่าว
“แต่คุณก็ต้องอยู่ไม่ใช่เหรอ ตราบเท่าที่พระองค์ต้องการ คุณจะไปไหนไม่ได้ คุณต้องอยู่ที่นี่ และเป็นของพระองค์อยู่ดี” ริชชี่กล่าว
“คุณไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้ ผมรู้ดี” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้าๆ

“ที่ผมจะบอกคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ องค์เดเมียนทรงใจดีกว่าที่คุณเห็นหลายเท่านัก” ริชชี่บอก
“พระองค์คงจะดีกับคุณคนเดียวมากกว่า ในเมื่อคุณเป็นคนโปรดของพระองค์” มิคาเอลกล่าว
“ผมว่าผมเป็นแค่คนที่พระองค์เคยโปรดมากกว่า ตั้งแต่คุณเข้ามา พระองค์ก็ไม่สนใจใครนอกจากคุณ พระองค์เพียงร่วมรักกับสนมอื่น เพื่อเป็นตัวแทนของคุณก็เท่านั้น อย่างที่ผมบอก คุณกำลังทรมานพระองค์ ด้วยการทรมานตัวของคุณเอง แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น” ริชชี่พยายามอธิบาย
มิคาเอลจึงนิ่งฟัง
“องค์เดเมียนทรงรักคุณ ถึงคุณจะไม่ได้รักพระองค์แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะดีกับพระองค์ ตามใจพระองค์ คุณควรทำหน้าที่ของสนมที่ดี ผมรู้ว่าองค์เดเมียนทรงใจดี หากคุณตามใจพระองค์” ริชชี่กล่าว
“ผมทำไม่ได้ ผม…”
“คุณไม่มีอะไรที่อยากได้บ้างเหรอ” ริชชี่ถามขึ้น
“คุณหมายความว่าอย่างไร” มิคาเอลถาม
“สิ่งที่คุณต้องการ คนที่คุณรักที่สุด หรือ อะไรก็ตามที่คุณต้องการ ผมเข้าวังมาตั้งแต่ตอนที่ผมอายุได้ 20 ผมมาทำงานที่คานาเดียเพื่อส่งเงินไปรักษาแม่ของผม ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก เงินที่หาได้ก็ไม่พอค่ารักษา แต่ผมโชคดีที่ได้พบกับองค์ชายเดเมียน พระองค์พระราชทานเงินก้อนใหญ่เพื่อรักษาแม่ของผม และพาแม่ของผมมาอยู่ที่นี่ และยังทรงพระราชทานบ้านหลังใหญ่ ให้กับแม่ของผมด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังอนุญาตให้ผมออกไปหาแม่ได้ด้วย หากไม่มีพระองค์ผมคงเสียแม่ของผมไปนานแล้ว เราสองแม่ลูกเป็นหนี้พระองค์” ริชชี่กล่าวอย่างจริงใจ
“ผมเข้าใจแต่ผมไม่เหมือนคุณ ผมดูแลตัวเองได้ น้องชายของผมก็แข็งแรงดี และเขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี…”มิคาเอลพยายามปฏิเสธ
“คุณคิดว่าน้องชายคุณ จะไม่เป็นห่วงคุณหรอกหรือ คุณได้ติดต่อเขาบ้างหรือเปล่า ผมว่าป่านนี้น้องของคุณคงจะเป็นห่วงคุณจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วมั้ง และการเป็นสนม คุณก็อาจจะต้องเป็นสนมไปอีกหลายปี หรืออาจจะตลอดชีวิต ผมว่ามันคงไม่ยุติธรรมกับน้องชายของคุณนักที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ” ริชชี่ใส่ไฟอันสุดท้ายลงไป

มิคาเอลหยุดคิด คนๆ นี้มีเหตุผล เพราะเขารู้ว่าป่านนี้ โทนี่คงจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย และนั่นทำให้พี่ชายอย่างเขารู้สึกผิดขึ้นมา

“ผมต้องทำอย่างไร ผมถึงจะติดต่อกับน้องชายของผมได้”

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 20 สนมคนที่ 9

“ผมคิดว่าคุณควรเริ่มจากเรียนรู้กฏต่างๆของการเป็นสนมดีไหมครับ” ริชชี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ครับ” มิคาเอลตอบรับ
“องค์ราฟาเอลมีทั้งสนมหญิงและสนมชาย สนมหญิง 10 คนอยู่ที่วิลล่าเล็กอีกด้านของวิลล่าหลัก ส่วนวิลล่าเล็กนี้มีสนมทั้งหมด 8 คน และคุณก็เป็นพระสนมคนที่ 9 สนมแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองที่หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามก้าวก่ายกัน โดยทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาสวนอุทยานตรงกลางที่เป็นของส่วนรวม ทั้งนี้ ในส่วนของวิลล่าเล็กจะถือเป็นส่วนต้องห้ามนอกจากองค์เดเมี่ยน จะไม่มีชายใดเข้ามาได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต และเหล่าสนมก็ต้องอยู่แต่ในวิลล่าเล็กนี้ ห้ามออกไปนอกจากได้รับอนุญาต” ริชชี่พามิคาเอลออกมาจากในห้อง และพาเดินชมรอบๆ วิลล่าเล็กถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและมีทางเข้าเพียงทางเดียว มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินไป สำหรับคนแค่ 9 คน ตรงกลางมีสระน้ำขนาดใหญ่หลายสระเชื่อมติดกัน งดงาม น้ำในสระจะอุ่นตลอดทั้งปี น้ำในสระเป็นน้ำแร่ที่ผันมาจากน้ำพุร้อนบนเขา สระน้ำมีหลากหลายระดับ มีต้นไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม รอบนอกเป็นสวนสวย ดูไปแล้วคล้ายกับสวรรค์บนดินก็ไม่ปาน

“ภายในวิลล่านี้ได้รับการตกแต่งและดูแลอย่างดี หากคุณต้องการอะไรคุณสามารถบอกกับนางกำนัลของคุณได้ เธอจะหาสิ่งที่คุณต้องการมาให้ ทางนี้คือห้องบรรมทม ในเวลาที่องค์เดเมียนมาประทับในวิลล่าเล็ก และผมก็บอกได้ว่าพระองค์ทรงโปรดคุณมาก ห้องของคุณจึงอยู่ข้างกับห้องบรรทมแบบนี้ ห้องของผมอยู่อีกฝั่งทางด้านซ้าย” ริชชี่กล่าวยิ้มๆ เมื่อเห็มมิคาเอลหน้าแดงที่เห็นห้องบรรทม

"สนมอีก 7 คนประกอบไปด้วย มาร์คัส, ลูคัส, แอนดี้, ฌอน, เรียว, แมทและ โจชัวร์ ถ้าผมเป็นคุณผมจะระวัง มาร์คัส ลูคัส และ แอนดี้ เอาไว้ ทั้งมาร์คัสและลูคัส เป็นพี่น้องกัน สองคนนี้ชอบหาเรื่องคนอื่น ส่วนแอนดี้ ก็สนิทกับทั้งสองคนก็เลยชอบผสมโรงไปด้วย” ริชชี่กล่าวอย่างเป็นห่วง
“ผมดูแลตัวเองได้ ขอบคุณครับ” มิคาเอลตอบเรียบๆ ริชชี่จึงยิ้มตอบ
“องค์เดเมี่ยนทรงห้ามทะเลาะกัน ดังนั้นการทะเลาะกันถือว่ามีความผิด โดยเฉพาะคนที่ลงมือก่อนนะครับ สถานที่อาจจะใหญ่ แต่พอเอาคนหลายๆแบบเข้ามาอยู่ด้วยกัน บางทีมันคับแคบพอสมควร ผมคิดว่าคุณเป็นคนฉลาด ผมคงไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้” ริชชี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่ค่อยแปลกใจแล้วว่าทำไมคุณถึงได้เป็นคนโปรด คุณริชชี่” มิคาเอลกล่าวชม ชายคนนี้นอกจากจะงดงามแล้วยังฉลาด ช่างเอาอกเอาใจเพียบพร้อมจนมิคาเอลคิดว่า เขาไม่มีอะไรจะเทียบกับคนๆนี้ได้เลยสักนิด
“ผมแค่ทำตามที่แม่ของผมสอนน่ะครับ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมเข้าใจว่าทุกคนล้วนอยากให้องค์เดเมียนมาสนใจ และบางครั้งมันก็มีการกระทบกระทั่งกัน องค์เดเมียนก็ทรงพยายามจะดูแลทุกคนอย่างดี แต่หากคนหนึ่งไม่เชื่อฟัง การลงโทษก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคงไว้ซึ่งกฏที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคารพ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ทำตามใจกันหมด” ชายหนุ่มตอบ

“องค์เดเมี่ยนคงรักคุณมากสินะครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้
“ผมรักพระองค์ฝ่ายเดียวต่างหากครับ พระองค์ไม่เคยรักใคร คุณเป็นคนแรก เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะเลิกทำร้ายคนที่ผมรักสักทีนะครับ” ริชชี่ยิ้ม แต่มิคาเอลกลับรู้สึกเหมือนถูกขู่มากกว่า
“ผมจะให้นางกำนัลพาคุณไปเข้าสปา เตรียมคุณเข้าถวายพระองค์ในคืนนี้” ริชชี่กล่าวและยิ้มอ่อนโยนราวกลับสิ่งที่กล่าวเป็นเรื่องธรรมดา
“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะยอม” มิคาเอลประท้วง
“คุณไม่อยากติดต่อน้องชายของคุณหรอกเหรอ มิคาเอล หากคุณไม่เอาอกเอาใจพระองค์ คุณคิดเหรอจะคุณจะได้เจอน้องชายอีก” ริชชี่กล่าวและยิ้มออกมา แต่มิคาเอลกลับรู้สึกว่าคนๆ นี้น่ากลัวกว่าที่เห็น

มิคาเอลไม่มีทางเลือกมากนัก สำหรับเขา โทนี่ต้องมาก่อนเสมอ และตอนนี้โทนี่คงกำลังเป็นห่วงเขามากแน่ๆ อย่างน้อยเขาต้องลองขอต่อองค์เดเมี่ยน เพื่อจะได้ติดต่อกับโทนี่

มิคาเอลถูกพามายังห้องสปาในส่วนของพระสนมโดยเฉพาะ เมื่อเข้ามานางกำนัลสองคนจึงช่วยกันปลดเสื้อผ้าของมิคาเอลออก ร่างกายเปลือยเปล่าก็ปรากฏสู่สายตาของนางกำนัลทั้งสอง ผิวที่เรียบเนียนละเอียดราวกับผู้หญิง มีเพียงขนอ่อนๆ ที่แขนและขาเท่านั้น จนนางกำนัลทั้งสองพากันชมไม่หยุดปาก

รอยแผลที่หลังหายดีแล้ว และจางลงมากแต่ก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่นางกำนัลทั้งสองจึงขอให้มิคาเอลนอนลงก่อนจะเอาน้ำมันอัลมอนด์มานวดให้ มิคาเอลแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกนวด แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายไม่ใช่น้อย เทียนหอมถูกจุด กลิ่นอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกทำให้เขายิ่งรู้สึกผ่อนคลาย มิคาเอลปล่อยให้นางกำนัลนวดไปเรื่อยๆ เมื่อนวดเสร็จนางกำนัลก็แว็กซ์ขนของมิคาเอลออกทั้งหมด มิคาเอลหน้าแดง ขนทุกเส้นถูกกำจัดจนหมด รวมไปถึงส่วนกลางของร่างกายของเขาด้วย ในตอนนี้เขาไม่ได้แตกต่างไปจากทารกแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น นางกำนัลก็พาเขาไปเข้าห้องไอน้ำ ก่อนจะขัดผิวของเขาจนมิคาเอลรู้สึกแสบผิวไปจนหมด เมื่อขัดจนพอใจนางกำนัลก็เอาช็อกโกแลตมาพอกตัวเขาไว้ เพื่อความชุ่มชื้น เมื่อครบเวลา ในที่สุดมิคาเอลก็ได้รับอนุญาติให้อาบน้ำล้างเอาช็อกโกแลตออก และปิดท้ายด้วยการลงไปแช่ในน้ำแร่จากน้ำพุร้อน

มิคาเอลที่ปกติเอาแต่ทำงาน มาในตอนนี้ที่ถูกประคบประหงบราวกับไข่ในหินก็รู้สึกแปลกๆ ยิ่งหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะไร เขาก็ไม่รู้ว่าหากจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปตลอด เขาจะทนได้ไหม การเป็นสนมอาจจะจะดูสบายสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเขาที่ทำงานมาตั้งแต่เด็กกลับรู้สึกว่ามันทรมาน และไร้สาระเหลือเกิน ยิ่งคิดว่าเขาจะต้องมาเอาอกเอาใจองค์เดเมี่ยน เขาก็ยิ่งรู้สึกขัดเขิน ปกติเขาก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นมากนัก คนๆ เดียวที่เขาอุทิศตนให้คือ โทนี่ เพียงคนเดียว

ที่ผ่านมาในฐานะไมเคิล เขาไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ ในตอนที่คบกับไรอัน ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าเขาจะยอมให้ไรอันจับมือด้วยซ้ำไป มากสุดที่ไรอันเคยกระทำกับเขาก็แค่จูบ และเป็นแบบนั้นเสมอมา ไม่ว่าเขาจะคบกับใครก็ตาม จนกระทั่งมาที่คานาเดียแห่งนี้ ที่องค์ราฟาเอลก็ฉวยโอกาสจูบเขาหลายต่อหลายครั้ง จนเขาเผลอมีใจกับพระองค์ และองค์เดเมียนที่เอาแต่ใจ ฝืนบังคับให้เขาร่วมรักด้วย

แต่หากจะสารภาพตามตรงแม้เขาจะหวาดกลัว และโกรธกับสิ่งที่องค์เดเมียนกระทำต่อเขา พระองค์ใจร้าย ไม่ยอมฟังเขา ให้กำลังบังคับ ขืนใจเขาอย่างเห็นแก่ตัว
แต่มิคาเอลก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้พระองค์จะใจร้าย แต่พระองค์ก็ทำให้เขามีความสุขมากเช่นกัน

แม้ไม่อยากจะยอมรับนัก แต่องค์เดเมียนก็ทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่เคยได้รับจากใคร แต่มันก็เป็นเพียงความสุขทางกาย หาใช่ความสุขทางใจไม่ เขาก็ยังไม่คิดจะรักใครอยู่ดี
ในวันหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงเบื่อหน่ายในตัวเขา เขาก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป และในตอนนั้นร่างกายนี้ก็คงจะสกปรก และมีมลทินเกินกว่าที่จะมีใครมาต้องการเขา เมื่อนั้นบางทีเขาอาจจะหันเข้าหาพระเจ้า และถวายตนต่อพระองค์ และหวังว่าเวลาที่เหลืออยู่จะเพียงพอที่จะล้างบาปทั้งหมดที่เขาได้ก่อไว้

มิคาเอลขึ้นจากน้ำ โดยมีนางกำนัลเตรียมผ้ารอ เขาถูกพากลับไปที่ห้อง โดยมีริชชี่นั่งรออยู่ ชายหนุ่มยิ้มหวานให้เมื่อเห็นเขาเดินกลับเข้ามา

“ผมเตรียมชุดที่คิดว่าองค์เดเมี่ยนจะชอบเอาไว้ให้แล้ว” ริชชี่กล่าวยิ้มหวานให้
“ขอบคุณครับ” มิคาเอลหน้าแดงอีกครั้ง แต่ก็ตอบขอบคุณไป
“ผมจะให้คุณเตรียมตัวก็แล้วกัน มีอะไรก็ให้คนไปเรียกผมได้นะครับ” ริชชี่กล่าวและเดินออกไป

มิคาเอลเดินเข้ามาในห้องนอน และพบกับชุดที่ริชชี่เตรียมไว้ให้ ชุดที่ดูเรียบๆ กางเกงสีดำ กับเสื้อเชิ้ตแขนกว้างสีขาวเพียงแต่ผ้าทั้งสองชิ้นที่บางเบาจนแทบจะมองทะลุได้ โดยเฉพาะเสื้อสีขาวที่เป็นผ้าไหมละเอียด แม้จะดูปกปิดมิดชิดแต่กลับเปิดเผย ยั่วยวนเสียยิ่งกว่าไม่ใส่อะไรเลย มิคาเอลมองตัวเองในกระจก ใบหน้าเป็นสีชมพูจัด ชุดที่เขากำลังใส่ มันเหมือนกับมีป้ายประกาศว่า ‘ได้โปรด ร่วมรักกับผมด้วยเถิด’ อยู่ด้วย

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะถอดชุดออกและเปลี่ยนไปใส่ชุดอื่น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มิคาเอลจึงเดินไปแง้มประตูออกดู
“คุณมิคาเอลคะ คุณริชชี่ขอเข้าพบค่ะ” แดเรียลกล่าว
“เอ่อ ... ผม... เดี๋ยวผมออกไป” มิคาเอลตอบ แต่ริชชี่ก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องนอน
“คุณงดงามกว่าที่ผมคิดเสียอีก มิน่าล่ะ องค์เดเมียนถึงได้เอาแต่คิดถึงคุณ” ริชชี่กล่าวชมเมื่อเห็นมิคาเอลในชุดซีทรู กลับเป็นมิคาเอลที่หน้าแดงเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมอง
“ผมกำลังจะเปลี่ยนออกครับ ผมไม่กล้าใส่ชุดแบบนี้หรอกครับ” มิคาเอลสารภาพ
“น่าเสียดายออก องค์เดเมี่ยนต้องชอบแน่ๆ เชื่อผมเถอะ” ริชชี่ขยิบตาให้
“แต่ชุดแบบนี้ มันมากเกินไป ผม...” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ
“คุณต้องการให้องค์เดเมียนพอใจไม่ใช่เหรอ หากคุณต้องการให้พระองค์อนุญาตให้คุณติดต่อน้องชายล่ะนะ” ริชชี่กล่าว
“ผม... ผมไม่ชินกับเรื่องแบบนี้” มิคาเอลสารภาพ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ยังอีกนานกว่าองค์เดเมี่ยนจะกลับเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้ ผมให้คนทำอาหารพิเศษมาให้ คุณควรทานอะไรบ้าง จะได้มีแรงตอบสนององค์เดเมียนได้นานๆ” ริชชี่กล่าว พร้อมกับหัวเราะเบาๆ แต่มิคาเอลก็หน้าแดง
“ผมล้อเล่นน่ะ แดเรียลบอกผมว่าคุณไม่ยอมทานอะไร ผมก็เลยเอาอาหารมาให้ก็เท่านั้น” ริชชี่ยิ้ม
พร้อมกับสั่งให้คนยกอาหารเข้ามาให้
อาหารน่าตาน่ากินหลายชนิดวางอยู่ตรงหน้า ริชชี่ทานอาหารเป็นเพื่อน และคอยชวนให้มิคาเอลทานด้วยกัน จนมิคาเอลยอมทานอาหารไปไม่น้อย
“คุณตื่นเต้นหรือเปล่า” ริชชี่ถามคนตรงหน้า
“ครับ” มิคาเอลตอบตามตรง เขาไม่เคยคิดที่จะยอมเสนอตัวให้ใครมาก่อน สุดท้ายเขาก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ ยิ่งใกล้เวลาที่องค์เดเมียนจะกลับ เขาก็ยิ่งประหม่า
“บางทีพระองค์อาจจะไม่มาก็ได้นี่ครับ พระองค์อาจจะไปข้างนอกก็ได้” มิคาเอลกล่าว
“ถ้าเป็นวันอื่นก็ไม่แน่ แต่ผมให้คนส่งจดหมายไปให้พระองค์แล้ว ยังไงวันนี้พระองค์ก็ต้องมา เชื่อผมสิ” ริชชี่กล่าว แต่นั่นก็เป็นการตัดความหวังของมิคาเอลไป
“ถ้าคุณประหม่ามากๆ อยากจะลองชาของผมไหมล่ะ มันช่วยให้ผ่อนคลายดีทีเดียว” ริชชี่เสนอก่อนจะสั่งให้คนชงชามาให้

นางกำนัลของริชชี่ถือถ้วยชาเข้ามา กลิ่นของมันหอมกรุ่นน่าชิม มิคาเอลรับถ้วยชามาจากริชชี่ จิบชาเรื่อยๆ และคุยกับริชชี่ไปด้วย แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาจนกระทั่ง ไม่อาจครองสติได้อีก ริชชี่ที่รู้อยู่แล้วก้าวเข้ามารับแก้วชาไปถือ ส่งแก้วชาพิเศษนั้นให้นางกำนัล ก่อนจะประคองร่างที่ไร้สติของมิคาเอลไปที่ห้องบรรทม

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 21 ของขวัญ

2 อาทิตย์แล้วที่องค์เดเมี่ยนไม่ได้เจอหน้ามิคาเอล ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปหา ร่างเล็กก็เอาแต่ปฏิเสธพระองค์ ไม่ยอมให้พระองค์เข้าไปในห้องด้วยซ้ำไป จนหลายวันที่ผ่านมาพระองค์แทบอยากจะทำลายประตูบ้าๆ นั่นทิ้งไปซะ แต่พระองค์ก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่พระองค์มี ในการบังคับร่างของพระองค์ ให้ถอยออกมาจากห้องของมิคาเอล

แต่กระนั้นทุกคนรอบกายพระองค์ก็โดนลูกหลงกันถ้วนหน้า พระองค์ร่วมรักกับสนมทุกคนภายใน 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่คนๆ เดียวที่พระองค์ต้องการมากที่สุด กลับไม่ยอมให้พระองค์เห็นแม้แต่หน้า ความอดทนของพระองค์กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าเสือดำอย่างพระองค์ จะถูกลูกแมวมาปั่นหัว จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไปมากขนาดนี้ แต่แม้จะโกรธแค่ไหน พอคิดถึงใบหน้าที่เอาแต่ร้องไห้ พระองค์ก็ใจอ่อนทุกครั้งไป หรือพระองค์จะหลงรักลูกแมวตัวนี้มากจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วหรืออย่างไร

ทุกวันที่พระองค์มาทรงงาน พระองค์ก็เอาแต่คิดถึงคนๆนั้น ทั้งๆที่คนๆ นั้นแทบจะไม่เคยพูดจาดีๆ กับพระองค์สักครั้ง พระองค์ก็เริ่มสงสัยในตัวเอง หรือพระองค์จะเป็นพวกนิยมความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พระองค์ก็ยังคงเอาแต่คิดถึงคนตัวเล็กอยู่ดี

แล้วจู่ๆ ในตอนเย็นพระองค์ก็ได้รับจดหมายจากริชชี่ บอกกับพระองค์ว่า มีของขวัญ จะถวายพระองค์ ขอให้พระองค์มาที่วิลล่าเล็กในคืนนี้ด้วย องค์เดเมี่ยนรู้ดีว่าริชชี่เป็นคนคอยควบคุมสนมในวิลล่าเล็กให้อยู่ในระเบียบ เด็กคนนี้เป็นคนฉลาดแต่บางครั้งก็ชอบทำตลกร้ายกับสนมคนอื่น โดยเฉพาะหากมีสนมคนไหนที่ทำให้ริชชี่ไม่พอใจมากๆ สนมคนนั้นมักอยู่ในวิลล่าได้ไม่นาน สุดท้ายพระองค์ก็ต้องเลือก และปลดสนมคนนั้นออกไป

พระองค์หวังว่าริชชี่คงไม่ได้คิดทำอะไรกับมิคาเอล เพราะหากมิคาเอลเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้เป็นริชชี่ พระองค์ก็ไม่คิดจะให้อภัย พระองค์ยังเหลืองานค้างอยู่อีกไม่น้อยแม้จะอยากกลับวิลล่า แต่ก็ยังกลับไม่ได้ พระองค์จึงรีบทำงานให้เสร็จ แต่กระนั้นเวลาก็ยังล่วงเลยมาจนถึงช่วงหัวค่ำ
เมื่อทรงกลับมาที่วิลล่าพระองค์ก็ทรงชำระล้างร่างกายเปลี่ยนชุดและเข้าไปในวิลล่าเล็ก
เมื่อเข้ามาภายใน ริชชี่ ก็ยืนรอต้อนรับพระองค์อยู่

“ฝ่าบาท ทรงกลับเร็วกว่าทุกวันนะครับ” ริชชี่ยิ้มทักทายอย่างเคย
“เจ้าทำอะไร ริชชี่” ทรงถามคนตรงหน้าอย่างรู้ทัน ริชชี่ก็ทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย หากเป็นคนทั่วไปก็คงคิดว่าริชชี่ผู้น่าสงสาร กำลังถูกองค์เดเมี่ยนดุ แต่พระองค์รู้ว่ามันเป็นละครฉากหนึ่ง
“พระองค์พระทัยร้ายขึ้นทุกวันเลยนะครับ ผมก็แค่เตรียมของขวัญไว้ให้พระองค์ก็เท่านั้น” คนหน้าสวยพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร
“ริชชี่ เจ้าทำอะไร” ทรงถามอ่อนโยนลง คนตรงหน้าจึงเข้ามากอดพระองค์ และจูงมือพระองค์ไปที่ห้องบรรทม

“ของขวัญของผมอยู่ข้างในครับ พระองค์เข้าไปก็จะเข้าใจเอง” ริชชี่กล่าวพร้อมกับ เขย่งจูบองค์เดเมียนเบาๆ ยิ้มให้และเดินจากไป ปล่อยพระองค์ยืนอยู่หน้าห้องบรรทมเพียงลำพัง

พระองค์เปิดประตูห้องเข้าไปช้าๆ ภายในเปิดไฟเพียงสลัว มีเทียนหอมจุดอยู่ทั่วห้อง เมื่อพระองค์เดินเข้ามาใกล้ พระองค์ก็เห็นร่างของมิคาเอลนอนระทวยอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานมีสีชมพูเข้ม ดูเหมือนกำลังทรมานจากความปรารถนา ดวงตาสีฟ้าอ่อนค่อยๆ ลืมขึ้น มองมาที่พระองค์ ร่างเล็กดูล่องลอยและไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แต่เพราะความมึนเมาจากฤทธิ์ของยา ทำให้มิคาเอลมิอาจลุกจากเตียง มิคาเอลคุกเข่าอยู่บนเตียง ก่อนจะรู้สึกวิงเวียนจนต้องวางมือทั้งสองลงบนเตียง จนอยู่ในสภาพคลานเข่า ก้นอันงอนงามภายใต้ผ้าซีทรูที่ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไร เปิดเผยยั่วยวนพระองค์ ส่วนเสื้อชิ้นบนที่เป็นสีขาวพอต้องแสงไฟ พระองค์ก็เห็นทุกสัดส่วนของคนตรงหน้า เป็นเสื้อผ้าที่ยั่วยวนและเหมาะสมกับคนตรงหน้าเหลือเกิน

ร่างของมิคาเอลร้อนลุ่มไปหมด เขารู้สึกแปลกๆ ความปรารถนาอยากจะปลดปล่อย ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และไวต่อสัมผัส มิคาเอลลืมตาขึ้นช้าๆ และก็เป็นองค์เดเมียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ร่างสูงสง่างาม ใบหน้าคมสัน ราวกับรูปสลักของพระเจ้า ผมดำสีดำยาวปล่อยสยายไปถึงกลางหลัง ดวงตาสีดำ ราวกับรัตติกาลจ้องมองมาที่เขา ริมฝีปากรูปกระจับ ที่ทำให้เขาลุ่มหลงมัวเมาจากจุมพิตที่พระองค์เคยมอบให้ และปากนั้นที่เคยครอบครองทั้งหมดของเขา จนทำให้เขาปลดปล่อยออกมา

มิคาเอลพยายามจะลุกขึ้น เพื่อเข้าไปหาคนตรงหน้า ความปรารถนานี้มีเพียงคนๆ นี้เท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แต่เรี่ยวแรงที่มีกลับหายไปหมด จนเขาต้องทรุดมาคลานเข่าเข้าไปหาคนตรงหน้า ความปรารถนาครอบงำมิคาเอลจนหมดสิ้น

"ฝ่าบาท...” ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนหวานราวกับลูกแมว ที่ต้องการความสนใจ

แม้พระองค์จะไม่พอใจนักที่ริชชี่มายุ่งกับลูกแมวของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยอมรับว่าพระองค์พอใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อย พระองค์เดินเข้าไปที่เตียง มิคาเอลก็คลานเข้ามาหา ก้นงอนงามส่ายไปมาเป็นจังหวะ เป็นภาพที่น่าดูมากทีเดียว จนพระองค์อดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปสัมผัสกับก้นงอนของคนตรงหน้า ร่างเล็กไม่เพียงไม่ขัดขืน กลับครางเบาๆ กับสัมผัสของพระองค์

แต่ดูเหมือนสัมผัสเพียงแค่นั้นจะไม่เพียงพอ คนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่า โอบรอบคอพระองค์ และค่อยๆ จูบพระองค์ แม้จะไร้ประสบการณ์แต่พระองค์ก็พึงพอใจ

“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ทรงถามร่างเล็กเสียงแหบพล่า คนตัวเล็กยั่วยวนพระองค์จนพระองค์แทบทนไม่ได้
“ผม... ต้องการ... พระองค์” ร่างเล็กตอบอย่างทรมาน อยากให้พระองค์ช่วยปลดปล่อย
“เจ้าถูกริชชี่แกล้งวางยาเจ้า หากเรากอดเจ้า เจ้าจะไม่โกรธเราหรอกเหรอ” ทรงถาม
“ผม ต้องการพระองค์ ได้โปรด ร่วมรักกับผม” ร่างเล็กกล่าวอีกครั้ง พร้อมกับจูบคนตรงหน้าอย่างยั่วยวนอีกครั้ง
“ได้โปรด ฝ่าบาท ผม ... ผม ปรารถนา... พระองค์” มิคาเอลอ้อนวอนน่ารัก จนองค์เดเมียนมิอาจจะอดกลั้นได้อีกต่อไป
“เราก็ต้องการเจ้า ต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด” องค์เดเมี่ยนกล่าว ก่อนจะรั้งร่างเล็กขึ้นมาจุมพิต ร่างเล็กจุมพิตตอบพระองค์อย่างโหยหา ยินยอมพร้อมใจทุกอย่าง พระองค์รู้สึกผิดเล็กน้อยที่กำลังเอาเปรียบคนตรงหน้า และแอบรู้สึกเสียดายที่มิคาเอลยามปกติกลับไม่เป็นอย่างนี้

พระองค์ปลดกระดุมเสื้อของคนตรงหน้าออกช้าๆ พระองค์ไม่ต้องการรีบร้อน ยิ่งร่างเล็กต้องรอนานแค่ไหน ความปรารถนาต่อตัวพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และนั่นหมายถึง พระองค์ก็สามารถตักตวงความสุข จากคนตรงหน้าได้มากขึ้นด้วย

พระองค์จุมพิตที่ต้นคอขาวเนียนของคนตรงหน้าอย่างเย้ายวน ร่างเล็กก็ครางเบาๆ ในคออย่างพึงพอใจ โอบกอดพระองค์ไว้แนบแน่น พระองค์จูบไล้ไปที่ต้นคออีกข้าง และทิ้งร่องรอยไว้ ผิวเนียนของมิคาเอลหอมกรุ่น จนพระองค์อยากจะกลืนกินคนตัวเล็กเสียทั้งตัว พระองค์ค่อยๆ จูบลงต่ำ จนมาพบกับยอดทับทิมเม็ดงามที่แข็งจนชูชันขึ้นมา ยั่วยวนให้พระองค์ครอบครอง พระองค์ก้มลงดูดเลียยอดทับทิมนั้นผ่านเสื้อผ้าไหมที่บางเบา ร่างเล็กก็แอ่นอกขึ้น ส่งเม็ดทับทิมนั้นเข้าปากของพระองค์ พระองค์ขบกัดเบาๆ จนร่างเล็กสะท้านจนต้องเอามือมากอดพระองค์ไว้ ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์หยอกเย้ากับเม็ดทัมทิมทั้งสองอยู่นาน และพระองค์ก็สังเกตว่าคนตัวเล็กต้องการมากกว่านั้น ร่างเล็กแอ่นร่างเข้าหาพระองค์ เรียกร้องให้พระองค์สนใจกับส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเบื้องล่าง คนตัวเล็กร้องเรียกหาพระองค์ราวกับคนละเมอ โอบกอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฝ่าบาท… ฝ่าบาท… ได้โปรด… ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียกพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังต้องการแน่ใจ
“เรียกชื่อของเรา มิคาเอล” ทรงสั่ง ร่างเล็กลืมตาขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่ หยุดสัมผัสเขา
“ฝ่าบาท … เดเมี่ยน …ได้โปรด” มิคาเอลเรียกชื่อพระองค์ อ้อนวอน พระองค์จึงยิ้มออกมา

“เจ้าต้องการอะไร มิคาเอล” ทรงถามร่างเล็ก
“ผม… ต้องการ… พระองค์” มิคาเอลตอบ
“เจ้าอยากให้เราทำอะไรล่ะ” ทรงถามย้ำ
“สัมผัส...ผม ...ครอบครอง...ผม...ร่วมรัก... กับผม... ได้โปรด” ร่างเล็กกล่าวอย่างโหยหาความปรารถนาเข้าครอบงำ
“เด็กดี” ทรงยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออกจนหมด ร่างของคนตัวเล็กกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ พระองค์จึงเลื่อนกายลงต่ำ ก่อนจะก้มจนเข้าหาร่างของมิคาเอล แต่พระองค์ก็ หยุด ก่อนจะสัมผัส มิคาเอลเรียกหาพระองค์และอ้อนวอนอีกครั้ง
“ฝ่าบาท… ได้โปรด … ผม … ต้องการ… พระองค์…ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอน
องค์เดเมียนยิ้มออกมา ก่อนจุมพิตที่ปลายยอดเบาๆ ร่างเล็กก็สะท้านด้วยความเสียวซ่าน ครางออกมา พระองค์แลบลิ้นเลียส่วนหัวที่ตอนนี้มีหยดน้ำใสๆ ซึมออกมา ก่อนที่พระองค์จะใช้ลิ้นเลียและรุกล้ำในรอยแยกส่วนหัว มิคาเอลร้องออกมาอย่างพึงพอใจ องค์เดเมียนเอื้อมมือมาจับร่างของมิคาเอลไว้อย่างแผ่วเบา ขยับมือช้าๆ ก่อนจะก้มลงใช้ลิ้นของพระองค์เลียไปที่เส้นด้านใต้ร่างของมิคาเอล ร่างเล็กครางออกมาเสียงดัง เพราะพระองค์ช่ำชองเกินไป และเพราะคนตัวเล็กปรารถนามากเหลือเกิน คนตัวเล็กก็ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจกลั้น

องค์เดเมียนยิ้ม ก่อนจะก้มลงเลียทำความสะอาดให้ พระองค์กลืนกินร่างเล็กลงไปทั้งหมด และเริ่มปลุกเร้าคนตรงหน้าอีกครั้ง พระองค์ครอบครองร่างของมิคาเอลเอาไว้ทั้งหมด ทรงขยับมือเป็นจังหวะสอดคล้องกับปากและลิ้นของพระองค์ เพียงไม่นาน ร่างเล็กก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง พระองค์ค่อยๆ สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวเบื้องหลัง ร่างเล็กก็สะดุ้งเบาๆ และพยายามจะถอยหนีแต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้
“เราจะอ่อนโยนต่อเจ้า ไม่ต้องกลัว” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก แต่คนตัวเล็กก็ยังหวาดกลัว พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดไว้ พระองค์จุมพิตร่างเล็กเนิ่นนาน ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์รุกล้ำเข้ามา ก่อนจะเกี่ยวกระหวัดรั้งให้คนตัวเล็กตอบสนอง มิคาเอลจูบตอบพระองค์อย่างว่าง่าย ร่างเล็กค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปในปากของคนตัวใหญ่ พระองค์ก็ดูดกลืนลิ้นอันหอมหวานนั้นอย่างไม่รู้จักอิ่ม

พระองค์พลิกร่างเล็กคร่อมร่างของพระองค์ไว้ ร่างเล็กก็บดเบียดร่างเข้าหาพระองค์อย่างโหยหา พระองค์แตะนิ้วกับลิ้นของพระองค์เพื่อความหล่อลื่น ก่อนจะค่อยๆ สัมผัสกับเบื้องหลังของมิคาเอลอีกครั้ง พระองค์โอบกอดร่างเล็กไว้ จุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่นิ้วเข้าไปช้าๆ ร่างเล็กสะดุ้งเบาๆ พยายามจะขืนตัวออกแต่พระองค์ก็กอดร่างเล็กไว้แน่นหยุดขยับนิ้ว แต่จูบรุกเร้าร่างเล็กมากขึ้น เมื่อร่างเล็กหยุดขัดขืน พระองค์ก็ค่อยสอดนิ้วเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ร่างเล็กก็พยายามจะถอยหนีอีก พระองค์ก็ทรงจูบเร้าอีกครั้ง จนเมื่อนิ้วของพระองค์ถูกฝังอยู่ภายในจนสุด พระองค์ก็ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ จนมิคาเอลต้องร้องครวญครางออกมาด้วยความรัญจวนใจ เมื่อพระองค์ขยับนิ้วเข้าออกจนร่างเล็กคุ้นชิน พระองค์ก็ค่อยๆ เพิ่มนิ้วที่สอง และสามเข้าไปช้าๆ จนเมื่อมิคาเอลคุ้นชินกับนิ้วที่สามของพระองค์ พระองค์ก็เริ่มขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น เพียงไม่นาน ร่างของมิคาเอลก็เกร็งกระตุก เสียงครางอันเร้าอารมณ์ก็ดังขึ้น พร้อมกับของเหลวสีขุ่นที่ถูกปลดปล่อยออกมา มิคาเอลหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ทั้งๆ ที่พระองค์ยังไม่ทันได้สอดใส่ แต่พระองค์ก็ทำให้มิคาเอลปลดปล่อยออกมาแล้วถึงสองครั้ง

พระองค์วางร่างเล็กลง ทรงถอดเสื้อผ้าออก และเอื้อมหยิบเจลหล่อลื่นออกมา ก่อนจะทาบริเวณทางเข้าของร่างเล็ก และชโลมที่ร่างอันตื่นตัว และแข็งแกร่ง ของพระองค์
พระองค์ถูไถร่างของพระองค์กับบริเวณทางเข้าเบื้องหลังของคนตัวเล็ก ลำพังสีที่ตัดกันก็ทำให้พระองค์แทบคลั่งแล้ว พระองค์ค่อยๆ สอดใส่ร่างของพระองค์เข้าไปช้าๆ ร่างเล็กก็พยายามดิ้นหนีด้วยความเจ็บปวดและทรมาน พระองค์จึงกอดร่างเล็กเอาไว้ และพยายามไม่ขยับร่าง ร่างเล็กร้องครางออกมาด้วยความคับแน่น ทั้งๆที่พระองค์สอดใส่เข้าไปได้เพียงส่วนหัวเท่านั้น พระองค์เอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของมิคาเอล ก่อนจะปลุกเร้าร่างเล็กจากด้านหน้าและหลัง แต่คนตัวเล็กก็เกร็งร่างจนบีบรัดร่างของพระองค์จนแน่น
“อย่าเกร็งสิ ผ่อนคลาย ปล่อยให้เราครอบครองเจ้า เราจะทำให้เจ้ามีความสุข” ทรงกระซิบเบาๆ ข้างหู มิคาเอลพยายามจะทำตามที่พระองค์บอก แต่ขนาดขององค์เดเมียน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนตัวเล็กจะคุ้นชินได้ในเร็ววัน พระองค์จึงทั้งจูบริมฝีปาก และปลุกเร้าร่างของมิคาเอลไปพร้อมๆกัน ทุกครั้งที่พระองค์มีโอกาส พระองค์ก็ค่อยๆสอดใส่ร่างของพระองค์ลึกเข้าไปอีก จนกระทั่งร่างเล็กรับร่างทั้งหมดของพระองค์ไว้ ร่างเล็กครางอย่างเจ็บปวดจากความคับแน่น จนพระองค์ต้องรั้งร่างเล็กมากอดและจูบปลอบประโลม เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชินกับความคับแน่นพระองค์จึงค่อยๆ ขยับร่างช้าๆ ร่างเล็กก็ครวญครางเสียงดังด้วยความรัญจวนใจ พระองค์ค่อยๆ ขยับร่างเร็วขึ้น จนร่างเล็กต้องโอบกอดพระองค์ไว้ด้วยความเสียวซ่าน เพียงไม่นานร่างเล็กก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง
   

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 22 ข้อเสนอ

 

มิคาเอลจำไม่ได้ว่าเขาปลดปล่อยออกมากี่ครั้งแล้ว แต่กระนั้นองค์เดเมียนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พระองค์พลิกร่างของมิคาเอลขึ้นก่อนจะให้ร่างเล็กขยับ และกำหนดจังหวะเอง มิคาเอลที่ไม่เคย ก็ทำตัวไม่ถูก จนพระองค์ต้องคอยช่วยสอนให้ มือใหญ่จับที่เอวบางไว้ ก่อนจะยกร่างของมิคาเอลขึ้นลงเป็นจังหวะ เมื่อได้รับการชี้นำร่างเล็ก ก็ขยับตัวตามที่พระองค์ชี้นำ ความรู้สึกเสียวซ่านค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หยุด เอาดื้อๆ จนร่างเล็กครางออกมาอย่างไม่พอใจ พระองค์ถอดถอนร่างออก ก่อนจับร่างเล็กให้คลานหันหลังให้ ก่อนที่พระองค์จะสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง ร่างของพระองค์ฝังตัวเข้าไปภายในของมิคาเอล จนร่างเล็กต้องครางออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม เมื่อพระองค์เห็นดังนั้นพระองค์ก็กระแทกพระองค์เข้ากับร่างเล็กอย่างรุนแรง และรัวเร็ว พระองค์เร่งจังหวะ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด พระองค์ก็พามิคาเอลไปถึงสวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะปลดปล่อยภายในร่างของมิคาเอล ก่อนจะทรงกอดจูบร่างเล็กไว้แนบอก พระองค์รั้งร่างของคนตัวเล็กมานอนบนตัวของพระองค์ ทรงโอบกอดร่างเล็กเอาไว้ตลอดทั้งคืน

 

มิคาเอลตื่นขึ้นในตอนสาย อีกครั้งที่เขาพบตัวเองนอนเปลือยเปล่า ทาบทับอยู่บนร่างขององค์เดเมียน ร่างกายของเขาและเจ้าชายแนบสนิทจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ใบหน้าของคนตัวเล็กซบแนบกับอกกว้าง เสียงหัวใจขององค์เดเมี่ยนเต้นเป็นจังหวะอยู่ใต้ร่างเขา ความรู้สึกบางอย่างทำให้มิคาเอลรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายของเจ้าชายเต็มไปด้วยมัดกลัาม เป็นร่างกายที่ดูสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งร่างกายของนักรบโบราณ ร่างกายของมิคาเอลมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของพระองค์เท่านั้น

 

มิคาเอลรู้สึกถึงฝ่ามือของพระองค์ที่วางอยู่ที่ก้นของเขาราวกับเป็นเจ้าของ ภาพการร่วมรักเมื่อคืนค่อยๆ หวนกลับมาในความทรงจำของเขา จนมิคาเอลหน้าแดงด้วยความเขินอาย ใจหนึ่งเขากลับละอายต่อสิ่งที่เขากระทำเมื่อคืน ตัวยาที่เขาได้รับ ปลุกอารมณ์ของเขา แต่เขาก็รับรู้ทุกอย่าง และจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด เพียงแต่ร่างกายของเขา กลับเร่าร้อน และปรารถนาอยู่ตลอดเวลา และองค์เดเมียนก็เป็นคนที่ช่วยดับความปรารถนาอันแสนทรมานนั้นให้แก่เขา

 

มิคาเอลจำไม่ได้ว่าเขาปลดปล่อยออกไปกี่ครั้ง และไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ที่พระองค์ร่วมรักกับเขา แต่มิคาเอลก็ยอมรับว่าองค์เดเมียนทำให้เขามีความสุขมากเหลือเกิน และออกจะมากเกินไปจนเขารู้สึกผิด

 

องค์เดเมี่ยนมิได้ผิดสัญญา ตลอดการร่วมรักพระองค์อ่อนโยนและทะนุถนอมเขาอย่างดีที่สุด แต่กระนั้นด้วยขนาดที่แตกต่างกันเหลือเกินทำให้มิคาเอลรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก

 

มิคาเอลอยากจะลุกขึ้นไปแต่งตัวและหนีออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหากเขาขยับตัวแม้เพียงน้อยนิด องค์เดเมียนก็คงจะตื่นขึ้นอย่างแน่นอน เขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่นัก เพราะเขายังไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร ต่อหน้าคนๆ นี้ เจ้าชายผู้ฉลาด มีความสามารถ หล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ และช่ำชองเรื่องบนเตียง จนทำให้มิคาเอลรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

 

ในขณะที่มิคาเอลกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ มือของคนตัวใหญ่ก็คลึงเค้นก้นของเขาเบาๆ จนมิคาเอลอดที่ขยับหนีไม่ได้

“อืม… เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ทรงตรัสก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ

มิคาเอลพยายามจะพลิกตัวลงจากร่างของคนตัวใหญ่แต่ก็ถูกกอดเอาไว้

“เจ้าจะหนีเราไปไหนอีก” ทรงถาม ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

“ปล่อยครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวเสียงเบาไม่ยอมสบตากับคนตัวใหญ่

พระองค์คลายอ้อมกอดออก มิคาเอลก็พลิกตัวลงข้างๆ องค์เดเมี่ยนจึงรั้งเข้ามากอดไว้

“เจ้าโดนริชชี่แกล้งน่ะ เขาวางยาเจ้า” ทรงตรัสเพราะรู้ความคิดของอีกฝ่าย มิคาเอลหน้าแดงเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขากระทำลงไปเมื่อคืน

“เจ้ารังเกียจเราหรือเปล่า ที่เราทำกับเจ้าเมื่อคืน” ทรงถาม มิคาเอลหน้าแดง ก้มหน้าอยู่กับอกไม่ยอมสบตา

“เจ้าจำได้หรือเปล่าว่าเจ้ายั่วยวนเรามากแค่ไหน และเจ้าก็ยั่วยวนได้ดีเสียด้วย” ทรงกระซิบ มิคาเอลก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก พระองค์จึงจุมพิตร่างเล็กเบาๆ ที่หน้าผาก

“เจ้าทำให้เราพอใจมาก” องค์เดเมียนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันกว้างขวาง

“ครับ” ไมเคิลกล่าวและตัดสินใจถาม

 

“ผมมีเรื่องจะร้องขอต่อพระองค์ครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ค่อยๆ เงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่นอนอยู่เคียงข้าง

“ว่ามาสิ” ทรงอนุญาต

“ผมอยากจะติดต่อน้องชายของผมครับ ผมคิดว่าเขาคงกำลังเป็นห่วงผมอยู่” มิคาเอลร้องขอ แต่องค์เดเมียนกลับดูไม่พอใจนัก

“การที่เจ้ายอมทำทุกอย่างเมื่อคืน เพียงเพราะเจ้าต้องการติดต่อน้องชายอย่างนั้นหรือ” ทรงถาม

“ริชชี่ บอกว่า ถ้าผมทำให้พระองค์พอใจ พระองค์จะใจดีกับผม ผมก็เลย...” มิคาเอลตอบตามตรง

“บางอย่างเราคงอนุญาต แต่เจ้าที่เพิ่งเข้ามาในวัง และเจ้าก็เป็นนักโทษมาก่อน อยู่ๆ เจ้าก็มาทำดีเพียงเพื่อจะติดต่อคนภายนอก เราตอบตามตรงว่าเรายังไม่ไว้ใจเจ้า” องค์เดเมียนกล่าว

“แต่พระองค์บอกว่าพระองค์ตรวจเช็คประวัติด้านลึกของผมแล้วนี่ครับ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมพระองค์ถึงไม่เชื่อผมล่ะครับ” มิคาเอลกล่าวหา จนองค์เดเมี่ยนที่เห็นคนตัวเล็กทำหน้าเศร้า พระองค์ก็รู้สึกใจหาย

 

“แต่หากเจ้าพิสูจน์ตัวของเจ้าเอง ให้เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดร้าย เมื่อถึงเวลาเราจะเป็นคนพาน้องของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าเอง เราสัญญา” ทรงตรัส โอบกอดร่างเล็กเอาไว้

“แต่ผม...” มิคาเอลอยากจะประท้วง

“เจ้าคงไม่ได้คิดว่าการที่เจ้าร่วมรักกับเราในครั้งนี้ แล้วเจ้าจะได้ทุกอย่างหรอกใช่มั้ย” ทรงดักคอเอาไว้

“ผม...” มิคาเอลเกลียดคนตรงหน้าที่รู้ทันไปหมด

“การร่วมรักกับเรา มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทรงถามอย่างน้อยใจ

“มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่เหมือนพระองค์ ผมไม่เคยร่วมรักกับใคร และไม่เคยต้องการร่วมรักกับใคร ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัวด้วยซ้ำ ผมเป็นแบบนี้มาตลอดกับทุกคน ไม่ใช่แค่พระองค์คนเดียว” มิคาเอลกล่าวออกมา

 

“ทำไมล่ะ เล่าให้เราฟังได้ไหม เราอยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้น” ทรงถาม มองคนตรงหน้า แต่มิคาเอลก็หลบสายตา และทำหน้าเศร้า

“ผมยังไม่พร้อมครับ...” มิคาเอลกล่าวอย่างหนักใจ

“เราจะรอเมื่อเจ้าพร้อม เราอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” ทรงตรัสก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“หากผมตามใจพระองค์ แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะได้พบกับน้องชายล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“นั่นก็แล้วแต่ความประพฤติของเจ้า” ทรงตอบ

“หากพระองค์จะให้ผมทำแบบเมื่อคืนอีก.... ผม...คงทำไม่ได้ เพราะนั่น...ไม่ใช่ผม” มิคาเอลสารภาพหน้าแดง

 

“เรารู้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น เราเพียงต้องการให้เจ้าทำดีกับเราบ้าง และเปิดใจกับเราบ้างก็เท่านั้น ถึงเราจะเอาแต่ใจ แต่เราก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวมากขนาดนั้น เราอยากทำให้เจ้ามีความสุขด้วยเช่นกัน” ทรงตรัส

“ผมจะมีความสุขเมื่อพระองค์ปล่อยผมไป” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

“อันนั้นเราก็ให้ไม่ได้ หากเจ้าไปเราคงจะเสียใจมาก” ทรงตอบ

“พระองค์ก็มีพระสนมตั้งเยอะ แล้วจะมาทุกข์อะไรกับผม ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” มิคาเอลกล่าว

“สนมคนอื่นเราก็พบมาก่อนเจ้านี่ ตอนนี้เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตอบ

“เมื่อคืนก่อนพระองค์ก็ยังนอนกับพระสนมคนอื่นอยู่” มิคาเอลเถียง

“ก็เจ้าไม่ยอมให้เราเข้าใกล้ เราก็มีความปรารถนา แล้วเจ้าจะให้เราทำอย่างไร” ทรงถาม

“ผมไม่รู้หรอกครับว่าปกติเจ้าชายเขาทำกันยังไง แต่คนธรรมดาอย่างผมคงไม่มีทางที่จะรักคนที่มากรักอย่างที่พระองค์ได้หรอกครับ” คนตัวเล็กกล่าว

 

“หากเจ้ารักเรา เราจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงตรัส

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะไม่รักพระองค์” ร่างเล็กกล่าว

“เจ้ายังรักราฟาเอลสินะ” ทรงถามด้วยสีหน้าเศร้าๆ เจ็บปวด

“ผมไม่มีสิทธิ์หรอกครับ ผมรู้ฐานะของผมดี” มิคาเอลตอบเสียงเศร้าไม่ต่างกัน

“เราอยากให้เจ้าให้โอกาสเราบ้าง จะได้ไหม” ทรงถาม ยันตัวขึ้นก้มลงมองร่างเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ

“ผมเป็นแค่สนมพระองค์ มีสิทธิ์ จะทำอะไรกับผมก็ได้อยู่แล้วนี่ครับ ไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องมาขอโอกาสกับผม” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่อยากบังคับเจ้า เราอยากให้เจ้าเต็มใจ เราอยากให้เจ้าต้องการเราด้วยตัวของเจ้าเอง ไม่ใช่เพราะฐานะ หน้าที่ การบังคับ หรือแม้แต่ยาปลุกอารมณ์ เราอยากให้เจ้าเต็มใจ” ทรงตรัส มิคาเอลรับฟังแต่ไม่ได้พูดอะไร

 

“เรามีข้อเสนอให้เจ้า” ทรงตรัส

“ครับ?”

“ข้อแรก เราจะไม่ฝืนบังคับเจ้า ตราบเท่าที่ต่อหน้าคนอื่น เจ้าทำตามคำสั่ง เคารพและเชื่อฟังคำพูดของเรา หากอยู่ตามลำพัง เราจะให้อิสระเจ้า ทำได้ตามใจ” ทรงตรัส

มิคาเอลรับฟัง แต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ

“ข้อสอง เราจะไม่บังคับเจ้า  แต่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เราต้องการร่วมรักกับเจ้า” ทรงตรัสมองเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า จนมิคาเอลหน้าแดง

 

“ผม... ไม่แน่ใจว่าผมจะทำได้” มิคาเอลกล่าว

“เราเองก็พยายามลงให้เจ้ามากแล้ว ใจจริง เราอยากร่วมรักกับเจ้าทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เราอยากอยู่ในตัวเจ้า ครอบครองเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า...” ทรงตรัสได้แค่นั้นมิคาเอลก็เอามือมาปิดปากพระองค์ไว้ ไม่อยากฟังอีก

“พอแล้วครับ ผมตกลง” คนตัวเล็กหน้าแดง คนตัวใหญ่ก็หัวเราะออกมา

 

“พระองค์แกล้งผม” มิคาเอลกล่าวหา องค์เดเมี่ยนรั้งมือของคนตัวเล็กเข้าหา ก่อนจะจุมพิตที่ฝ่ามือเบาๆ

“และหากเจ้าทำได้ตามข้อตกลง เราจะอนุญาตให้น้องชายของเจ้ามาเยี่ยม”

“โทนี่จะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ”มิคาเอลถาม

“นานตราบเท่าที่เจ้าต้องการ หรือจะอยู่ตลอดไปก็ได้” ทรงตอบ

“สัญญานะครับ”มิคาเอลถาม

“เราสัญญา” ทรงตอบ มิคาเอลยื่นนิ้วก้อยออกไปหาคนตัวใหญ่

“เกี่ยวก้อยสัญญานะครับ” มิคาเอลกล่าว คนตัวใหญ่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูแล้วจึงเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากับคนตัวเล็ก

“เราสัญญา”

 

มิคาเอลรู้ดีว่าในตอนนี้ถึงเขาจะดื้อและขัดขืนไป ก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา ตรงกันข้ามในตอนนี้เขาจะต้องเรียนรู้สถานะการณ์ และสภาพแวดล้อมก่อน การที่ทำให้องค์เดเมี่ยนไว้ใจก็น่าจะทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ค่อยถูกใจกับข้อเสนอนัก แต่อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ต้องทนไปก่อน เพื่อหาโอกาสและลู่ทาง เพื่อหนีไปจากที่นี่

 

“ผมมีอีกเรื่องจะขอครับ”มิคาเอลกล่าว

“ว่ามาสิ”

“ผมไม่ชอบอยู่เฉยๆ ผมรู้ว่าในฐานะ... สนมของพระองค์... ผมต้องอยู่แต่ในวิลล่าเล็ก แต่ผมทำงานมาตั้งแต่เด็ก ให้ผมมานั่งเฉยๆ ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ผมอยากทำงานครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเป็นสนมของเรา ทำไมเจ้าจะต้องทำงานด้วย” ทรงถามอย่างไม่เข้าใจ

“ทีพระองค์เป็นเจ้าชาย พระองค์ก็ยังทรงงานเลยนี่ครับ” มิคาเอลตอบ

“นั่นเป็นหน้าที่ของเรา แต่เจ้าที่เป็นสนม เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร” ทรงรั้งร่างเข้ามากอดอีกครั้งอย่างรักใคร่

“ฝ่าบาท! แต่ผมไม่ชอบอยู่เฉยๆ นี่ครับ ถ้าผมทำงาน ผมก็จะได้ไม่ต้องคิดมาก ทั้ง เรื่องโทนี่ ทั้งเรื่องพระองค์ และเรื่องอื่นๆ”มิคาเอลพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวใหญ่ แต่ยิ่งขัดขืนพระองค์ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น แล้วยังพยายามจะจูบเขาอีก

 

“ไหนพระองค์บอกว่าจะไม่ฝืนใจผมไงครับ” มิคาเอลประท้วง

“เราก็แค่จูบ ไม่เห็นเป็นไรเลย เมื่อคืนเจ้ายังยอมให้เราทำมากกว่านี้อีก เจ้าเป็นคนเรียกร้องให้เราทำด้วยซ้ำ” ทรงตรัสหยอกล้อ

“ฝ่าบาท นั่นไม่ใช่ผมสักหน่อย” มิคาเอลหน้าแดงประท้วง

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากของพระองค์ กับริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยน ลิ้นของพระองค์รุกล้ำเข้ามาหยอกล้อ ก่อนจะรั้งให้ลิ้นของคนตัวเล็กตอบสนอง พระองค์จุมพิตเนิ่นนาน ก่อนจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ อย่างไม่เต็มใจนัก มองร่างเล็กตรงหน้าที่ค่อยๆ ลืมตาตื่นจากความฝันอันแสนหวานที่พระองค์มอบให้

______________________________

หวานกันต่อ หุ หุ หุ เรื่องนี้ท่าจะฉาก18+ เยอะนะ

ได้ข่าวว่ารีดเดอร์เรื่องนี้ชอบ

https://www.facebook.com/teddybeararthur/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2016 11:36:48 โดย KanadiaTBear »

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 23 จิบชายามบ่าย

 

องค์เดเมียนอุ้มมิคาเอลมาส่งที่ห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของเหล่าสนมคนอื่น มิคาเอลเอาแต่หน้าแดงก้มหน้าไม่ยอมสบตาใคร

“เราไม่อยากไปทำงานเลย เราอยากอยู่กับเจ้า” ทรงตรัสมองมิคาเอลที่นอนอยู่บนเตียง

“ผม… อยากพักผ่อนครับ” มิคาเอลรีบปฏิเสธ

“เจ้าจะรีบไล่เราไปไหนกัน” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลกล่าวไม่ยอมสบตา

“ให้เรามาหาเจ้าคืนนี้ได้ไหม” ทรงถาม

“ไหนฝ่าบาทบอกว่าแค่อาทิตย์ละครั้งไงครับ” มิคาเอลที่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็หน้าแดงจัด

“เราแค่อยากเห็นหน้าเจ้า ใช่ว่าเราจะต้องร่วมรักกับเจ้าสักหน่อย” ทรงหัวเราะเบาๆ

“แล้วแต่พระองค์สิครับ” มิคาเอลไม่ชอบใจที่องค์เดเมี่ยนเอาแต่หยอกล้อเขา

“เจ้าจะคิดถึงเราหรือเปล่า” ทรงยกมือของคนตัวเล็กมาจุมพิต

“ถ้าพระองค์ยังอยู่ตรงนี้ ผมก็คงไม่คิดถึงหรอกครับ” มิคาเอลเฉไฉ

“แล้วถ้าเราไปแล้วล่ะ เจ้าจะคิดถึงเราไหม” ทรงถาม

“ผม… ขอคิดดูก่อนแล้วกัน สายมากแล้วครับ” มิคาเอลไล่

“เราอยากให้เจ้าใจดีกับเรามากกว่านี้สักหน่อย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเจ้าออกจะน่ารัก” ทรงตรัสและยิ้มกริ่ม

“ฝ่าบาท!!!” มิคาเอลหน้าแดงเมื่อคิดถึงเมื่อคืน และดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมให้เขาลืมมันง่ายๆ เสียด้วย

“เป็นเด็กดีล่ะ เราต้องไปแล้ว” ทรงตรัส ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวเล็ก

 

เมื่อองค์เดเมี่ยนจากไป มิคาเอลก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นจากด้านนอก เขาจึงเดินออกมาจากห้องนอน

“แดเรียล เกิดอะไรขึ้น” มิคาเอลถาม

“เอ่อคุณมิคาเอลค่ะ” แดเรียลพยายามจะเตือน

“แกน่ะเหรอ สนมคนใหม่ หน้าตาก็งั้นๆ” ชายหนุ่มผมสั้นสีทอง ตาสีฟ้า หน้าตาน่ารักเอ่ยขึ้น จากที่ได้ยินจากริชชี่ มิคาเอลคิดว่าคนๆ นี้คือแอนดี้

“อย่าคิดนะว่าเป็นคนใหม่แล้วองค์เดเมียนจะทรงตามใจ เจ้าควรจะหัดรู้จักฐานะของตัวเองด้วย” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น คนๆ นี้ผมสีอ่อน ตาสีเขียว คาดว่าคงเป็น ลูคัส และอีกคนที่เหลือก็คงเป็นมาร์คัสอย่างแน่นอน

“ผมเป็นหนึ่งในพระสนม ‘คนโปรด’ ขององค์เดเมียน ผมคือมาร์คัส ผมขอโทษแทนทั้งสองคนด้วย” มาร์คัสกล่าวทักทายแต่ก็พยายามจะอวดเบ่ง

“ยินดีครับ ผมมิคาเอล ผมเพิ่งมาใหม่ อาจจะยังไม่ค่อยรู้กฎของของที่นี่ เลยไม่รู้ว่ามีการรับน้องด้วย ผมคิดว่าองค์เดเมียนห้ามทะเลาะกันเสียอีก” มิคาเอลกล่าว

 

"มีปาร์ตี้กันทำไมไม่บอกล่ะ มิคาเอล ไม่เห็นชวนผมบ้างเลย” ริชชี่ ถือวิสาสะเดินเข้ามา

“คุณริชชี่” มิคาเอลทัก

“มาร์คัส ลูคัส แอนดี้ รู้จักกับมิคาเอลหรือยังครับ ผมคิดว่า องค์เดเมี่ยนทรงโปรดมิคาเอลไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นพระองค์คงไม่หมั่นมาหามิคาเอลหรอก และผมไม่คิดว่าพระองค์จะพอใจนักหากเกิดอะไรขึ้นกับมิคาเอล จริงไหมครับ มาร์คัส” ริชชี่กล่าวและยิ้มให้ ดักคอทั้งสามคนเอาไว้

“ผมก็แค่มาแนะนำตัว ทำความรู้จักเท่านั้น” มาร์คัสกล่าว

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญออกไปกันได้แล้วสินะครับ” ริชชี่กล่าวไล่พร้อมรอยยิ้ม ทั้งสามจึงกลับออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ขอบคุณครับ คุณริชชี่” มิคาเอลกล่าว

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยคนพวกนี้แค่มาลองเชิงน่ะ ว่าแต่ดีกับองค์เดเมี่ยนหรือยังครับ” ริชชี่ถาม และนั่นก็ทำให้มิคาเอลหน้าแดงก่ำ

“เอ่อ... ครับ”

“ดีแล้วล่ะครับ ผมไม่ชอบให้ใครมาทำให้พระองค์ไม่พอใจนะครับ” ริชชี่ยิ้ม แต่อีกครั้งมิคาเอลรู้สึกหนาววูบ คนๆ นี้น่ากลัวเกินไป ทางที่ดีควรคบเป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู

 

"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ๆ ผ่านมาผมเอาแต่ใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอื่น” มิคาเอลกล่าว ริชชี่ยิ้มออกมา

“ผมไมถือหรอกครับ ไปเดินเล่นในสวนกันดีกว่า ผมสั่งให้คนเตรียมชาเอาไว้แล้ว” ริชชี่ตอบ และชักชวน แต่มิคาเอลกลับลังเลเมื่อคิดถึงชาของริชชี่

“อ้อ ไม่ต้องห่วงครับ อันนี้เป็นชาปกติ ไม่ใช่ชาแบบพิเศษอย่างที่คุณดื่มเมื่อคืนหรอก” ริชชี่ตอบยิ้มๆ แต่มิคาเอลก็หน้าแดงขึ้น แต่ก็ยอมเดินตามริชชี่ไปแต่โดยดี

 

 ในช่วงบ่ายมิคาเอลใช้เวลาไปกับการดื่มชาและพูดคุยกับริชชี่ และในตอนหลังริชชี่ยังแนะนำเขาให้รู้จักกับหนุ่มฝรั่งเศสหน้าหวาน ชื่อฌอน ที่ดูสุภาพและอ่อนโยน และเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักชื่อโจชัวร์ ที่ดูยังไง อายุก็ไม่น่าจะเกิน20 การพูดคุยดำเนินไป โดยมิคาเอลดูจะฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ การสนทนาก็หยุดลง พร้อมกับทั้งสามคนต่างมองมาที่มิคาเอลด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ มิคาเอลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเขาถูกโอบกอดจากด้านหลัง และเมื่อเขาพยายามจะดิ้นให้หลุดและหันหน้าไปดูหน้าคนกระทำ คนตัวใหญ่ก็ก้มลงมาครอบครองริมฝีปากของเขาอย่างเป็นเจ้าของ

 

 

องค์เดเมียนออกมาจากวิลล่าเล็กด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จนเหล่าทหารและองครักษ์ต่างแปลกใจที่พระองค์อารมณ์ดีผิดปกติ เมื่อทรงเสด็จมาที่อาคารที่ทรงงาน พระองค์กลับยิ้มแย้มให้กับผู้คนที่ทักทายพระองค์อย่างเป็นมิตร จนทำให้สาวๆ พากันหัวใจเต้นผิดจังหวะกันไปหลายคน องค์เดเมียนที่ปกติพระพักตร์อันหล่อเหลานั้นมักจะบึ้งตึง แต่วันนี้กลับดูมีความสุข และยิ้มแย้มจนหลายคนตกใจ

 

องค์เดเมียนทรงดูแลเรื่องการนำเข้าส่งออกของประเทศเป็นหลัก และภายใต้การบริหารของพระองค์ทำให้รายได้จำนวนมหาศาลไหลเข้ามาสู่คานาเดีย นอกจากนี้พระองค์ยังมีส่วนร่วมในการจัดการเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศอีกด้วย ดังนั้นพระองค์จึงเป็นหนึ่งในตัวหลักที่ดูแลการใกล้ชิดเกี่ยวกับการจับตัวกลุ่มกบฏมาลงโทษ ด้วยทั้งหน้าที่ และความรับผิดชอบอันมากมาย ทำให้วันนี้เป็นอีกวันที่พระองค์มีงานที่ต้องสะสางจำนวนมาก

 

ในขณะที่พระองค์ทรงงานไปพระองค์ก็อดที่จะคิดถึงคนตัวเล็กไม่ได้ พระองค์ไม่เคยเจอใครที่ขัดใจพระองค์ได้มากเท่าคนๆ นี้ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้พระองค์มีความสุขได้มากเท่านี้มานานมากแล้ว แต่ทำให้พระองค์ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกคือการที่คนตัวเล็กร้องขอจะทำงาน

 

ที่ผ่านมาสนมของพระองค์ต่างก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พึงพอใจ เพื่อหวังสิ่งตอบแทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สมบัติ หรืออภิสิทธ์ในการทำสิ่งต่างๆ แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะมีสนมคนไหนของพระองค์ อยากจะทำงาน

 

พระองค์อาจจะมีสนมหลายคน แต่พระองค์ก็ดูแลสนมของพระองค์เป็นอย่างดีทุกคน

สนมทุกคนจะถูกจัดให้พักในห้องที่ได้จัดไว้ แม้จะเรียกห้อง แต่ก็เป็นห้องที่กว้างมาก ภายในประกอบไปด้วยห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งตามธีมที่สนมแต่ละคนต้องการ มีห้องน้ำเชื่อต่อจากห้องนอน และห้องน้ำแขกแยกกัน ห้องรับแขกที่สามารถจุคนนับ 10 คน แบบสบายๆ โดยเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี นอกจากนี้สนมแต่ละคนยังมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้ สวนอุทยานภายในวิลล่าเล็กทั้งสอง ก็เหมือนสวรรค์บนดิน และรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่สนมทั้งหลายต้องการ พระองค์ก็อนุญาตให้คนหามาให้ สนมทุกคนได้รับการตามใจ และประคบประหงมอย่างดี

แต่สนมคนใหม่ของพระองค์ กลับร้องขอจะทำงาน

 

บางทีพระองค์อาจจะให้มิคาเอลมาช่วยงานพระองค์ก็น่าจะดี เพราะคนตัวเล็กเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ยังพยศกับพระองค์แท้ๆ แต่มาตอนนี้กลับโอนอ่อนตามพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ การเก็บคนตัวเล็กไว้ใกล้ตัวย่อมดีกว่า

 

ในขณะที่พระกำลังจะสั่งออกไปเพื่อเตรียมให้มิคาเอลมาทำงานด้วย แต่แล้วองค์นาธานเนียลก็เสด็จเข้ามา

“เสด็จพี่เดเมี่ยน”

“ว่าอย่างไรนาธานเนียล”

“เสด็จพี่ดูอารมณ์ดีจังนะครับ” องค์นาธานเนียลทักทาย

“ทำไมพี่จะอารมณ์ดีไม่ได้” องค์เดเมียนถาม

“ก็ผมได้ยินมาว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็เข้าหน้าพระองค์ไม่ติด เกิดอะไรขึ้นครับ” องค์นาธานเนียลถาม นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มจากพระเชษฐาคนนี้

 

“พี่มีความสุข มิคาเอลทำให้พี่มีความสุข” องค์เดเมี่ยนตอบเรียบๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ

“มิคาเอลอีกแล้วเหรอครับ ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบเด็กคนนี้สักเท่าไหร่” องค์นาธานเนียลกล่าว และก็รู้สึกเสียใจทันทีที่กล่าวออกมา

“แล้วอย่างไรนาธานเนียล เจ้าคิดว่าเราจะสนใจเหรอ ว่าเจ้าคิดอย่างไร” องค์เดเมียนถามเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ

“ผมขอโทษครับ แต่เสด็จพี่ก็รู้ เพราะเด็กคนนั้น ในตอนนี้ราฟาเอลแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร แล้วยังทำให้ทั้งสองพระองค์ผิดใจกันอีก เรื่องนี้ที่ผมทนไม่ได้” องค์นาธานเนียลตรัส

“แล้วอย่างไร เราก็บอกแล้วว่ามิคาเอลเป็นสนมของเรา หากเจ้าโง่ราฟาเอลไม่พอใจ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเราไม่คิดจะมอบมิคาเอลให้ใคร” องค์เดเมียนตรัสอย่างอารมณ์เสีย เมื่อคิดถึงอดีต

“เสด็จพี่ ผมไม่ได้คิดจะให้พระองค์มอบพระสนมให้ใคร เพียงแต่ผมไม่พอใจกับสิ่งที่เด็กคนนั้นกระทำ แม้กระทั่งหมอพอลก็เห็นด้วยกับผม ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นเป็นพระสนมของเสด็จพี่ แต่เด็กคนนั้นก็ยังคงถามหาราฟาเอล ผมไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะมีค่าคู่ควรกับตำแหน่งสนมที่พระองค์ยกย่องก็เท่านั้น ผมไม่ได้หมายความว่าจะให้พระองค์ยกเขาให้ใคร” องค์นาธานเนียลกล่าว

“มีค่าคู่ควรหรือไม่ เจ้าหมอปากมากนั่นเป็นใคร มาตัดสินใจแทนเรา หรือแม้แต่เจ้า นาธานเนียล ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้ามาตัดสินใจแทนเรา หรือเพราะในตอนนี้เจ้าเป็นกษัตริย์ และเจ้าคิดจะเดินตามรอยเท้าคนๆ นั้น” องค์เดเมียนถามด้วยความโกรธ

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกันนะครับ” องค์นาธานเนียลรู้สึกผิดที่พูดออกมาโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบเสียก่อน จนไปจี้แผลเก่าขององค์เดเมี่ยนเข้าอย่างจัง

“เราถือเจ้าเป็นน้องและเราถือว่าเราเป็นหนี้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่าทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด” องค์เดเมียนโกรธและเดินออกไปจากห้อง

 

พระองค์โกรธที่องค์นาธานเนียลคิดจะมาตัดสินคนที่พระองค์พึงพอใจ โกรธที่องค์นาธานเนียลไม่เคารพในการตัดสินใจของพระองค์ และโกรธที่การสนทนาเมื่อครู่ทำให้พระองค์คิดถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ไม่อยากจะคิดถึง และคิดถึงคนที่พระองค์อยากจะลืม แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ภาพในความทรงจำก็ยังไม่เคยจางหายไป อดีตที่พระองค์ไม่อยากจะจำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพระองค์ก็ไม่เคยลืม

 

“เดสซาเร...” เสียงกระซิบเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน

 

องค์เดเมียนเดินใจลอยกลับเข้าวิลล่า แม้จะมีงานเหลือค้างที่ต้องสะสางแต่พระองค์ก็ไม่มีสมาธิที่จะทำอีกแล้ว พระองค์ตัดสินใจเดินเข้าไปในวิลล่าเล็ก และตรงเข้าไปหามิคาเอล แต่ก็พบห้องที่ว่างเปล่า เพียงเสี้ยววินาทีพระองค์รู้สึกใจหาย แต่แล้วแดเรียลก็เดินออกมา

 

“ฝ่าบาท พระสนมมิคาเอลอยู่ในสวนกับพระสนมริชชี่เพคะ” แดเรียลกล่าว และมันก็ทำให้พระองค์รู้สึกโล่งใจ พระองค์เดินไปตามทาง ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ ในที่สุดพระองค์ก็พบมิคาเอลที่กำลังนั่งหันหลังให้กับพระองค์ สนมทั้งสามคนต่างพร้อมใจกันหยุดพูดคุย เมื่อพระองค์เดินเข้ามาใกล้ ด้วยเพราะแปลกใจที่ไม่เคยเห็นองค์เดเมี่ยนเสด็จมาวิลล่าเล็กเร็วขนาดนี้มาก่อน

 

พระองค์โอบกอดร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะประทับริมฝีปากของพระองค์ กับร่างเล็กเนิ่นนานอย่างเป็นเจ้าของ โดยไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กขัดขืน พระองค์ก็ช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดทั้งๆ ที่ยังครอบครองริมฝีปากของร่างเล็ก ก่อนจะพาร่างเล็กกลับไปยังห้องบรรทม โดยไม่สนใจสายตา ของเหล่าสนมที่มองตามด้วยความอิจฉา

______________________________

ยังไม่ทันข้ามวันเลย องค์เดเมียนจะผิดสัญญาซะแล้วมั้ง

หุ หุ หุ

https://www.facebook.com/teddybeararthur/

ออฟไลน์ Silvan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 266
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-3
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

น่าติดตามมากคะจะรอตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
สงสารทั้งเดเมี่ยน ไมเคิล และราฟาเอลอะ ;__;

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 24 คนไม่รักษาสัญญา

 

องค์เดเมี่ยนอุ้มคนตัวเล็กกลับเข้าไปในห้องบรรทม ริมฝีปากของพระองค์ยังคงประทับจุมพิตอย่างดูดดื่มโดยไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กขัดขืน ลิ้นของพระองค์ล่วงล้ำเข้ามาควานหาความหวานภายในอย่างหิวกระหาย ปลุกเร้าจนคนตัวเล็กไม่อาจจะขัดขืน จึงได้แต่โอนอ่อนตามพระองค์

 

พระองค์วางร่างของมิคาเอลลงลงบนเตียง ก่อนจะทรงทาบทับร่างเล็กเอาไว้ใต้ร่าง พระองค์ยังคงจูบริมฝีปากบางอย่างไม่รู้จักอิ่ม มือใหญ่ของพระองค์ลูบไล้ไปทั่ว ก่อนจะสอดเข้าข้างใต้เสื้อที่มิคาเอลสวมอยู่ ก่อนพระองค์จะค่อยๆ เปิดเสื้อขึ้น พระองค์ยังครอบครองริมฝีปากของมิคาเอลอยู่ นิ้วเรียวยาวของพระองค์ก็ค่อยๆ สัมผัสกับยอดอกสีชมพูเข้ม หยอกล้อจนมันแข็งเป็นไต มิคาเอลครางออกมา เมื่อคนตัวใหญ่บีบที่ยอดอกของเขา จนร่างเล็กต้องแอ่นอกตามมือของคนตรงหน้า ร่างเล็กหอบหายใจ เมื่อคนตัวใหญ่ถอนริมฝีปากออกจากเขา แต่ก็จูบไซร้ลงไปที่ต้นคอ ก่อนเคลื่อนลงต่ำมาหยอกล้อกับยอดอกที่แข็งเป็นไตของเขา มิคาเอลพยายามจะผลักคนตัวใหญ่ออก แต่พระองค์ก็ขบกัดเบาๆ ที่ยอดอกของมิคาเอล จนร่างเล็กเผลอแอ่นอกตามปากของพระองค์ และครางออกมาเสียงดัง

 

พระองค์ค่อยๆ เคลื่อนมือใหญ่ลงไปที่แก่นกายของมิคาเอลที่กำลังตื่นตัว พระองค์สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวผ่านกางเกงผ้า มิคาเอลก็พยายามถอยหนี

 

“ฝ่าบาท!! อย่าครับ… ปล่อยผม…” ร่างเล็กกล่าว พยายามขัดขืนแต่พระองค์ก็ค่อยๆ ถอดกางเกงของมิคาเอลออก ก่อนก้มลงครอบครองร่างที่กำลังตื่นตัวของมิคาเอล โดยไม่ฟังเสียงประท้วงของอีกฝ่าย

 

“ฝ่าบาท …อย่า…” เสียงประท้วงของมิคาเอลเงียบลง ตามมาด้วยเสียงครางออกมา จากความเสียวซ่านที่เจ้าชายมอบให้ เพียงไม่นาน มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมา และองค์เดเมียนก็กลืนกินจนหมดสิ้น

 

คนตัวเล็กหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาจากทางด้านหลัง

 

“ฝ่าบาทได้โปรดเถอะครับ ผม ... ผมเจ็บครับ... ได้โปรดหยุด...” มิคาเอลอ้อนวอนทำท่าจะร้องไห้ องค์เดเมียนจึงค่อยๆ ถอนนิ้วออกอย่างไม่เต็มใจนัก

“เราต้องการเจ้า” ทรงกระซิบเสียงแหบพล่าข้างหูของคนตัวเล็ก ก่อนจะดูดเม้มติ่งหูของร่างเล็กอย่างโหยหา

“ผมเจ็บครับ พระองค์ร่วมรักกับผมทั้งคืน ผมยังเจ็บอยู่เลยครับ ได้โปรด” มิคาเอลร้องขออีกครั้ง แต่องค์เดเมี่ยนกลับเอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอลมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ และทรงตรัส

“เรา ต้องการ เจ้า ... เรากำลังทรมาน เจ้าจะใจร้าย ทรมานเราเชียวหรือ” ทรงตรัส มิคาเอลหน้าแดงเมื่อพระองค์จับมือของเขามาสัมผัสกับของพระองค์ พระองค์กำลังตื่นตัว และแข็งแกร่ง ร่างของพระองค์ขยายใหญ่ขึ้นจนคับแน่นกางเกงที่พระองค์กำลังสวมอยู่ มิคาเอลถอนมือออกเมินหน้าไปทางอื่น

 

พระองค์ลุกขึ้น ก่อนจะทรงเปลื้องผ้าออกต่อหน้าของมิคาเอล เมื่อกางเกงถูกถอดออก ความใหญ่โตของพระองค์ ก็ดีดตีวออกมา ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน พระองค์เดินเข้ามาหามิคาเอลช้าๆ แต่คนตัวเล็กกลับถอยหนี

 

“มิคาเอล เราต้องการเจ้า” ทรงตรัสเสียงแหบพล่า เกือบจะอ้อนวอน

“ผมยังเจ็บอยู่เลยครับ ของพระองค์ใหญ่ขนาดนั้น ผมทนไม่ได้แน่ๆ” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ ถอยหนีไปอีกฟากของเตียง

“หากเจ้าไม่ยอมร่วมรักกับเรา เราก็คงจะทรมานมาก เจ้าไม่สงสารเราบ้างเหรอ ร่างของเราตอบสนองต่อเจ้า ปรารถนาต่อเจ้ามากเพียงนี้” ทรงตรัสก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าหา แต่พอเห็นร่างเล็กที่ดูหวาดกลัว พระองค์จึงทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนแทน

“หากเจ้าไม่อยากร่วมรักกับเรา งั้นเจ้าก็ช่วยทำให้เราปลดปล่อยหน่อยสิ” ทรงเสนอ

“ผม ทำไม่เป็นนี่ครับ” มิคาเอลสารภาพหน้าแดง

“เจ้าก็แค่ทำแบบเดียวกับที่เราทำให้เจ้า” ทรงตอบ ยื่นมือออกไปหาคนตัวเล็กก่อนรั้งเข้ามาหา

“ผม...” มิคาเอลหน้าแดง เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหากเราไม่ปลดปล่อย มันจะทรมานขนาดไหน” ทรงตรัสก่อน รั้งมือของคนตัวเล็กมาสัมผัสกับของพระองค์ พระองค์ครางเบาๆ เมื่อมือของร่างเล็กค่อยๆ ขยับ พระองค์มองใบหน้าหวานที่มีสีชมพูระเรื่อ อย่างพอใจ พระองค์ย่อมยินดีที่รู้ว่าพระองค์เป็นคนแรกที่ร่างเล็กยอมกระทำให้

“ใช้ปากกับลิ้นของเจ้าด้วยสิ” พระองค์ตรัส ร่างเล็กก็ค่อยขยับลงมาใกล้อย่างว่าง่าย ลิ้นเล็กๆ สีชมพู ค่อยแลบออกมาเลียที่ปลายยอดของพระองค์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ทั้งท่าทางและการกระทำของคนตรงหน้า ยิ่งปลุกเร้าพระองค์มากยิ่งขึ้น

 

“อ้าปากสิ” ทรงตรัส มิคาเอลจึงอ้าปากและค่อยๆ ครอบครองพระองค์ช้าๆ แต่ร่างเล็กก็คายออกและสำลัก ด้วยความไม่คุ้นชิน พระองค์ยิ้ม

“ไม่ต้องครอบครองทั้งหมดก็ได้ ใช้ลิ้นของเจ้าไปด้วย อย่างนั้นแหล่ะเด็กดี” ทรงสอนมิคาเอล

“หันร่างของเจ้ามาทางนี้สิ เราจะทำให้เจ้าไปด้วย” ทรงตรัส มิคาเอลมิได้ขัดขืนหันตัวกลับไปหาพระองค์ ร่างเล็กตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง พระองค์สัมผัสร่างเล็กไปด้วย ทุกครั้งที่พระองค์สัมผัสร่างของมิคาเอลก็ขยับตามด้วยเสียวซ่าน ร้องครางเบาๆ ในคอ เพราะในปากก็ยังคับแน่นด้วยร่างของพระองค์อยู่

 

องค์เดเมี่ยนอุ้มมิคาเอลขึ้นในท่ากลับหัว และครอบครองร่างเล็กด้วยปากและลิ้น จนร่างเล็กเสียวซ่านไปหมด และพระองค์ก็ไม่ได้ครอบครองเพียงร่างของเขา แต่พระองค์เลียไปยังส่วนอ่อนไหวด้านหลังด้วย จนมิคาเอลทนไม่ไหวและร้องครางออกมาอย่างเสียวซ่าน

“หากเจ้าหยุดปลุกเร้าเราแบบนี้ แล้วเราจะปลดปล่อยได้อย่างไร” ทรงตรัส ก่อนพระองค์จะค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปเพื่อปลุกเร้าด้านหลัง ปากและลิ้น ก็ครอบครองร่างที่ตื่นตัวด้านหน้า

 

มิคาเอลมิอาจจะสู้ หรือขัดขืนคนตรงหน้านี้ได้เลย ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ องค์เดเมียนที่รออยู่แล้วก็ค่อยจับร่างของมิคาเอลพลิกลง พระองค์ชโลมเจลหล่อลื่นก่อนจะค่อยๆ สอดใส่อย่างทะนุถนอม แต่กระนั้น คนตัวเล็กก็ยังกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

 

“อดทนอีกนิดนะคนดี เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” ทรงตรัสอ่อนโยน กอดจูบมิคาเอลไว้ เมื่อร่างเล็กเริ่มชินพระองค์จึงเริ่มขยับ พระองค์ค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า จนมิคาเอลครางเบาๆ ออกมา ทั้งๆ ที่พยายามจะกลั้นเสียงเอาไว้

“อย่ากลั้นเสียงของเจ้าสิ เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า” ทรงตรัสก้มลงจูบคนตัวเล็ก พระองค์จับขาของมิคาเอลยกขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างเข้าออกช้าๆ ใบหน้าของมิคาเอลช่างเย้ายวน เสียงครางดังขึ้นเมื่อพระองค์ฝังร่างของพระองค์ลงไปจนมิด เร่งจังหวะขึ้น จนกระทั่งร่างเล็กครวญครางอย่างไม่อาจควบคุม ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พระองค์พึงพอใจกับภาพตรงหน้า แต่พระองค์ยังคงแข็งแกร่งอยู่ในร่างของคนตัวเล็ก ไม่นานพระองค์ก็เริ่มขยับอีกครั้ง พระองค์จับให้มิคาเอลคลานเข่า ก่อนจะฝังร่างของพระองค์เข้าไปอีกครั้งอย่างรุนแรง จนมิคาเอลกรีดร้อง พระองค์รั้งร่างเล็กขึ้นมาจูบ และขยับร่างอย่างเชื่องช้า แล้วจึงจับสะโพกเล็กและรั้งร่างมิคาเอลเข้าหาพระองค์เป็นจังหวะ ทุกครั้งที่ร่างกายกระทบกัน มิคาเอลก็ครางออกมาเสียงดัง พระองค์เร่งจังหวะ เพียงไม่นานทั้งสองจึงปลดปล่อยออกมาจนเกือบจะพร้อมกัน

 

มิคาเอลรู้สึกตัวเองด้อยค่าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงเขาก็คงไม่มีทาง ที่จะขัดใจองค์เดเมียนได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิด และละอายอยู่ดี เขารู้สึกว่าร่างกายของเขามันช่างสกปรกเหลือเกิน แล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา พระองค์รั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด พยายามปลอบโยน แต่คนตัวเล็กก็นิ่งเฉยไม่ตอบสนองต่อพระองค์

 

“เจ้าเกลียดเรามากนักหรือ มิคาเอล ทำไมเจ้าจะต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เราสัมผัสเจ้าด้วย” ทรงถามอย่างเจ็บปวด เมื่อคนที่พระองค์รักกลับไม่รักพระองค์

“ผมเป็นสนม ผมคงไม่มีสิทธิ์ หากพระองค์พอใจในร่างกายของผมแล้ว ก็ทรงปล่อยเถอะครับ ผมอยากอาบน้ำ” มิคาเอลกล่าว เขาอยากจะล้างคราบคาวโลกีย์ออกไปเสีย

“มิคาเอล เจ้าจะรักเราบ้างไม่ได้เหรอ” ทรงถาม

“ในเมื่อพระองค์เป็นคนเสนอข้อเสนอกับผม แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวันพระองค์ก็ผิดสัญญาเสียแล้ว แต่ผมก็รู้ฐานะของผมดี อย่างที่ผมบอก ผมในฐานะสนม ผมคงไม่มีสิทธิ์ขัดขืนพระองค์ ร่างกายของผมเป็นของพระองค์ แต่ผมจะไม่มีวันรักพระองค์ ปล่อยผมเถอะครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างเย็นชา พยายามจะขืนตัวออก

 

“เราขอโทษ” ทรงกอดร่างมิคาเอลเอาไว้

“พระองค์ไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมมันก็แค่ของเล่นบนเตียงของพระองค์เท่านั้น แต่ผมจะรอ จะรอจนกว่าพระองค์จะเบื่อผม ถึงตอนนั้นผมจะไปจากที่นี่” มิคาเอลกล่าว

“เราจะไม่มีวันเบื่อเจ้าหรอก ต่อให้นานแค่ไหนเราก็จะรักเจ้าตลอดไป” ทรงกล่าว

“ตลอดไปของพระองค์มันนานแค่ไหนกัน 1 เดือน 1 ปี คำว่าตลอดไปน่ะ มันไม่มีจริงหรอก” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด ผลักร่างขององค์เดเมียนออกก่อนวิ่งเข้าห้องน้ำไป

 

องค์เดเมียนนั่งรออยู่ ในที่สุดมิคาเอลก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“พระองค์ต้องการอะไรครับ หรือยังไม่พอใจกับร่างกายของผม” มิคาเอลกล่าว

“เราขอโทษที่เอาแต่ใจ เราขอโทษที่ฝืนบังคับเจ้า ล่อลวงเจ้า ทั้งๆที่เราสัญญากับเจ้า เราเสียใจที่เราไม่รู้จักห้ามใจ แต่ที่เราบอกรักเจ้า เราไม่ได้โกหก เรารักเจ้าจริงๆ และเราก็ไม่ชอบเลยที่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เรายอมรับผิดทุกอย่าง ยกโทษให้เราได้ไหม” องค์เดเมี่ยนกล่าวเสียงเศร้า มองคนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด

 

“ผมไม่ชอบคนที่ไม่รักษาคำพูด” มิคาเอลกล่าว

“เราขอโทษ เราผิดเอง เราเอาเรื่องส่วนตัวของเรามาลงกับเจ้า ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่อาจสงบลงได้ มีเพียงเจ้าที่ทำให้เราสงบลง ได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถิด” ทรงตรัสขอร้อง

“ผมยกโทษให้ครับ” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมียนจึงเดินเข้าไปกอด ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กไปนอนที่เตียง มิคาเอลผลักคนตัวใหญ่ออก ไม่ยอมให้กอด

“ผมแค่บอกว่ายกโทษให้ แต่ไม่ได้บอกให้พระองค์กอดผมได้สักหน่อย” มิคาเอลดุ

“อย่าใจร้ายกับเรานักเลย วันนี้เราเจอเรื่องแย่ๆ มากพอแล้ว” ทรงตรัสเศร้าๆ มิคาเอลจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้องค์เดเมียนกอดอยู่เนิ่นนาน

 

องค์เดเมียนแปลกใจไม่น้อย ที่คนตัวเล็กคนจะมีอิทธิพลกับพระองค์มากเพียงนี้ ร่างที่บอบบางราวกับผู้หญิง ใบหน้าที่สวยหวาน จนยากจะหาใครมาเทียบเคียง แม้อยู่ท่ามกลางสนมคนอื่น มิคาเอลก็ยังโดดเด่นสะดุดตา พระองค์ยอมรับว่าพระองค์ไม่เคยหลงใหลใครมากเท่านี้มาก่อน แต่แล้วพระองค์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา หากพระองค์ต้องเสียคนๆ นี้ไป พระองค์จะทนได้หรือเปล่า เพียงแค่คิดหัวใจของพระองค์ก็บีบรัดจนพระองค์เจ็บปวด พระองค์รั้งร่างเล็กเข้ามากอดแน่นขึ้นจนคนตัวเล็กตื่นขึ้น

 

“ฝ่าบาท ผมอึดอัด” มิคาเอลประท้วง

“ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม เราให้คนจัดอาหารไว้ที่วิลลาหลัก” ทรงตรัส

“แล้วแต่พระองค์เถอะครับ ทานที่ไหนก็ไม่ต่างกันสำหรับผม” มิคาเอลขืนตัวออก ลุกขึ้นไปแต่งตัว โดยมีองค์เดเมียนจ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ

 

“เจ้างดงามมากรู้หรือเปล่า” ทรงตรัส แต่มิคาเอลกลับดูเศร้าลง

“ทั้งใบหน้า และรูปร่างของผม เป็นเหมือนคำสาปเสียมากกว่า หากผมเลือกได้ ผมยินดีจะมีใบหน้าที่อัปลักษณ์ยังจะดีเสียกว่า” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด จนองค์เดเมียนต้องเดินเข้าไปกอด

“เราสัญญา ว่านับจากนี้จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้อีก เราจะดูแลเจ้าอย่างดี”

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ และผมก็ทำมาตลอด พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาดูแลผม” มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ แต่เราก็อยากเป็นคนที่ดูแลเจ้า” ทรงตรัสและกอดคนตัวเล็กเอาไว้

________________________________

 มาอ่านกันต่อ


รออ่านคอมเมนท์ หุ หุ หุ

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บทที่ 25 ความงามต้องสาป

 

องค์เดเมียนนั่งมองคนตรงหน้า ที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย อย่างเอ็นดู พระองค์สั่งให้พ่อครัวใหญ่เตรียมอาหารเลิศรสหลายชนิดไว้ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กของพระองค์จะไม่เลือกทาน เพราะดูแล้วไม่ว่าอะไร คนตัวเล็กก็ดูมีความสุขกับการทานไปหมด ยิ่งมาที่ของหวาน ที่เชฟทำเค้กนานาชนิดไว้ และยกออกมาวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ คนตัวเล็กก็ทำตาโต ตื่นเต้น และก็ชิมเค้กทุกชนิดที่วางเรียงรายอยู่ จนองค์เดเมียนอดขำไม่ได้

 

“เจ้าทานเยอะ ผิดกับรูปร่างของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมชอบของหวานครับ และผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่กลัวอ้วนด้วย” มิคาเอลตอบ

“ถึงเจ้าจะอ้วนเราก็ไม่ว่าอะไร เราอยากเห็นเจ้าทานเยอะๆ แบบนี้มากกว่า” ทรงตรัสมองคนตัวเล็กกำลังทานบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก

“ผมมีระบบเผาผลาญที่ดีกว่าคนอื่นนะครับ ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” มิคาเอลเฉลย

“เจ้าขอกับเราว่าเจ้าต้องการทำงาน เจ้ายังต้องการอยู่หรือเปล่า” ทรงถามขึ้น

“ครับ” มิคาเอลตอบ

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เจ้าก็เตรียมตัวไปทำงานกับเรา” ทรงตรัส และจิบกาแฟไปด้วย

“จริงเหรอครับ” มิคาเอลถามอย่างดีใจ องค์เดเมียนควักมือเรียกคนตรงหน้าเข้ามาหา ก่อนจะรั้งให้นั่งลงบนตัก

 

“แต่เจ้าจะต้องเป็นเด็กดี และเชื่อฟังเรา เข้าใจไหม” ทรงตรัส

“ผมสัญญาครับ ขอบคุณครับที่ทรงอนุญาต” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมียนจึงรั้งริมฝีปากสีชมพูเข้ามาใกล้ และครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ พระองค์ถอนริมฝีปากออกช้าๆ คนถูกจูบก็หน้าแดง

 

“พระองค์จะให้ผมทำอะไรครับ” มิคาเอลถามขึ้นเมื่อหาเสียงของตัวเองเจอ

“เราไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง เราจะให้เจ้าลองดูก่อนหากเจ้าถนัดด้านไหน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” ทรงตรัส

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลตอบ

 

“ไปห้องนั่งเล่นกันดีกว่า” ทรงตรัสชักชวน ทรงลุกขึ้นและจูงมือพามิคาเอลเข้าไปในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ภายในมีพรมผืนใหญ่หรูหราปูอยู่ตรงกลาง เฟอร์นิเจอร์สีเข้มถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ดูน่าสบาย ผนังด้านหนึ่งมีเตาผิงอันใหญ่กินเนื้อที่ 1 ใน 3 ของผนัง บนเพดานมีโคมระย้าประดับอยู่ ห้องนั่งเล่นดูหรูหราแต่ก็ให้ความรูสึกอบอุ่น ที่มุมห้องยังมีเปียโนขนาดใหญ่อีกด้วย จนมิคาเอลอดเดินเข้าไปดูไม่ได้

 

“เจ้าเล่นเปียโนเป็นหรือเปล่า” ทรงถาม

“ผมเล่นไม่เป็นหรอกครับ แต่ผมชอบเปียโน” มิคาเอลตอบ องค์เดเมียนจึงนั่งลงและเริ่มบรรเลงเพลง มิคาเอลจึงนั่งลงบนเก้าอี้ และฟังเพลงที่พระองค์บรรเลง อย่างเคลิบเคลิ้ม และชื่นชม

 

บทเพลงที่พระองค์บรรเลง เป็นเพลงจังหวะช้าและหวานซึ้ง งดงาม มิคาเอลคิดว่ามันควรจะเป็นเพลงรัก แต่ไม่รู้ทำไมองค์เดเมี่ยนกลับดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน ใบหน้าของพระองค์กลับดูเจ็บปวด ดวงตาสีรัตติกาลกลับดูเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ พระองค์หลับตาลง น้ำที่เอ่อล้นก็หยดลงมา จนพระองค์ต้องหยุดเล่นกลางครัน มิคาเอลตกใจกับภาพที่เห็น องค์เดเมียนทรงร้องไห้!!!

 

องค์เดเมียนลุกขึ้นและหันหลังให้มิคาเอล

“เจ้ากลับไปที่วิลล่าเล็กได้แล้ว เราอยากอยู่ลำพัง” ทรงตรัสอย่างเย็นชาก่อนจะเดินออกไป ทิ้งมิคาเอลไว้ในห้องคนเดียว

 

องค์เดเมียนหยิบคอนยัคชั้นดีออกมาเปิด และรินใส่แก้ว ก่อนจะทรงดื่มจนหมดแก้วและเทเพิ่ม

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลเดินตามมา และเรียกหาพระองค์

“เจ้าต้องการอะไร เราสั่งให้เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าไม่ใช่หรือ” ทรงตรัสเสียงเย็นชา แต่มิคาเอลกลับเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบแก้วและรินของเหลวใส่แก้ว

“ผมจะอยู่เป็นเพื่อน” มิคาเอลตอบ ก่อนจะจิบคอนยัคในมือ ก่อนเดินมานั่งที่โซฟา องค์เดเมี่ยนจึงเดินตามมานั่งข้างๆ พระองค์ดื่มหมดไปอีกแก้ว และเทเพิ่ม

 

“พระองค์ถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงไม่ชอบให้ใครแตะต้องใช่ไหมครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้นมา มองคนตรงหน้าที่ยังคงดื่มคอนยัคในมือไม่หยุด

“เจ้าไม่ต้องการบอกเราไม่ใช่เหรอ เราไม่ใช่ราฟาเอลนี่นะ” ทรงตรัสเย็นชา

“ผมสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุ ทำให้ผมกับน้องต้องไปอาศัยอยู่กับลุง และตลอดเวลาหลายปีที่ผมอยู่กับลุง ผมก็ถูกลุงทำร้ายทุบตีเสมอ” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้าๆ เมื่อคิดถึงอดีต องค์เดเมียนมองคนตรงหน้า และตั้งใจฟังเรื่องราวมากขึ้น

 

“แรกๆ คุณลุงก็เพียงแค่ตีผมเมื่อผมไม่เชื่อฟัง จากมือเปล่า ก็เริ่มค่อยๆ หนักมากขึ้น ในตอนนั้นผมยังเด็ก ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องทน ยิ่งผมร้องขอให้หยุด ผมก็ยิ่งโดนทำโทษมากขึ้น ผมจึงยอมรับชะตากรรมของผม ผมคิดว่าผมคงเคยทำอะไรไว้ ผมถึงต้องตกอยู่ในสภาพนั้น ในตอนนั้น ร่างกายผมมีแต่รอยฟกช้ำ ที่หนักที่สุดคือตอนที่ผมโดนผลักจนตกบันได ทำให้แขนขวาหัก ผมทนเจ็บอยู่หลายวันกว่าที่ลุงจะพาผมไปหาหมอ แต่ก็โชคดีที่แขนผมกลับมาเป็นปกติ” มิคาเอลกล่าว ก่อนจะจิบของเหลวในมือช้าๆ องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าด้วยความสงสาร เพราะคนๆ นี้เคยถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นในตอนที่พระองค์ทรมานมิคาเอล เขาจึงไม่ร้องอ้อนวอน

 

"แล้วทำไมเจ้าไม่บอกใคร" ทรงถาม รู้สึกโกรธขึ้นมา

“ผมยังเด็ก และน้องชายของผมก็ยังเด็กมาก หากเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะถูกส่งไปบ้านเด็กกำพร้า และโอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ผมสัญญากับพ่อและแม่ของผม ว่าจะดูแลโทนี่ให้ดีที่สุด ผมจึงทน” มิคาเอลตอบ

 

“เจ้าต้องอยู่ในสภาพนั้นนานแค่ไหน” ทรงถาม

“พอผมอายุ 16 ผมก็หนีออกมา” มิคาเอลกล่าว ดูเจ็บปวด บางอย่างไม่ถูกต้อง

“ทำไม”

“คุณลุง... พยายามจะขืนใจผม...แต่ผมโชคดีจึงหนีออกมาได้...” มิคาเอลตอบ องค์เดเมียนแม้จะพอเดาเรื่องได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัวที่กระทำ และยิ่งไม่คิดว่าจะเป็นคนในครอบครัว

“ผมหนีออกมาและไม่ได้กลับไปอีก หรืออย่างน้อยก็ไปหาโทนี่ ในตอนนี่คุณลุงไม่อยู่ ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่โทนี่” มิคาเอลบอก

“หลังจากนั้น ผมก็ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนหลายคน... แต่สุดท้าย... เหตุการณ์เดิมๆ ก็เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าใครที่อยู่รอบตัวผม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนที่มีบุญคุณกับผม สุดท้ายเพราะหน้าตาแบบนี้ของผม ก็ทำให้พวกเขาต้องการจะครอบครองผม พวกเขาพยายามจะขืนใจผม และทุกครั้งผมก็ได้แต่หนี ผมเกลียดหน้าตาของตัวเอง มันเป็นหน้าตาที่ถูกสาป และเพราะเหตุการณ์เหล่านั้น มันทำให้ผมเกลียดการถูกสัมผัส เกลียดการร่วมรัก และผมก็เกลียดตัวเอง” มิคาเอลเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด

 

“สุดท้ายผมก็ทำงานได้เงินมากพอที่จะสามารถอยู่เช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่เพียงลำพังได้ แต่การที่ผมอยู่คนเดียว ผมก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะผมมีหน้าตาแบบนี้ ผมไม่ไว้ใจใคร ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ผมสร้างกำแพงขึ้นเพื่อกันทุกคนออกไป แต่มันก็ทำให้ผมโดดเดี่ยว และมันก็ทำให้ผมคิดสั้น ผมพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง การตายมันไม่น่ากลัวเลย หากเทียบกับการที่ต้องทนมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน แต่ผมก็ไม่ตาย สองครั้งแรก เพื่อนบ้านที่อยู่ในอพาร์ทเม้นห้องข้างๆ เข้ามาพบผม และครั้งสุดท้ายโทนี่มาพบผม น้องชายของผมโกรธมาก และเอาแต่ร้องไห้ และบังคับให้ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ผมจึงต้องทำตาม ผมไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในแบบที่ผมตั้งใจ แต่ผมก็เลือกที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆ อันตรายแทน และลึกๆ ผมก็แอบหวังว่า สักวันหนึ่งผมอาจจะตายขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นในตอนที่พระองค์ทรมานผม ผมแอบหวังลึกๆ ว่าพระองค์จะทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริง” มิคาเอลกล่าวก่อนดื่มของเหลวในแก้วจนหมด และรินเพิ่ม

 

"การฆ่าตัวตายไม่ได้ช่วยอะไร ตรงกันข้ามคนที่รักเจ้าที่ต้องทนอยู่ต่อไป คือคนที่ทรมานที่สุด” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“ผมทราบครับ ผมอยู่ในสภาพนั้นมาตลอดหลังจากที่เสียพ่อและแม่ไป ที่ผมยังหายใจอยู่ก็เพียงเพราะโทนี่ ผมมีชีวิตอยู่เพื่อน้องชายของผม” มิคาเอลกล่าว

“เจ้ารักน้องชายมากสินะ” ทรงตรัส

“เขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมคงไม่ทนอยู่มาจนทุกวันนี้หากไม่ใช่เพราะเขา”

“เราเข้าใจความรู้สึกของเจ้า” องค์เดเมี่ยนกล่าว

 

"ทำไมเจ้าจึงเล่าให้เราฟัง” ทรงถาม

“เพราะผมคิดว่าพระองค์กับผมมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน เพลงที่พระองค์เล่น คงมีความหมายบางอย่างสินะครับ ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง พระองค์จะเล่าเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังบ้าง” มิคาเอลตอบ เขาจิบของเหลวอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนมองคนตรงตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ชั่วขณะหัวใจของพระองค์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง รั้งคนตรงหน้าเข้ามากอด มิคาเอลมิได้ขัดขืน และกอดตอบเจ้าชายอย่างอ่อนโยน มือเล็กลูบศรีษะของพระองค์อย่างอ่อนโยน

 

เป็นครั้งแรกที่มิคาเอลตระหนักว่าคนตรงหน้าโดดเดี่ยวมากเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นคนตรงหน้าอย่างจริงจัง หากถอดฐานะเจ้าชายออก ปลดเปลื้องความโหดร้าย และเย็นชา ที่เป็นเกราะของคนตรงหน้า คนๆ นี้ก็เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งที่โดดเดี่ยว และเจ็บปวดกับความสูญเสีย แม้เขากับเจ้าชายจะแตกต่างกันมากมาย แต่ดูเหมือนทั้งเขาและเจ้าชายจะมีประสบการณ์ที่เลวร้ายไม่แตกต่างกันนัก

 

องค์เดเมียนมิได้พามิคาเอลเอลกลับไปที่วิลล่าเล็ก ตรงกันข้ามพระองค์กลับโอบอุ้มคนตัวเล็กเข้าไปในห้องบรรทมแทน

 

“ฝ่าบาท... ผม...” มิคาเอลหน้าแดงเมื่อเห็นเจ้าชายถอดเสื้อผ้าออก ร่างกายกำยำเปลือยเปล่าเดินเข้ามาใกล้ ทรงจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง

“เราชินกับการเปลือยกายนอน เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” ทรงตรัสยิ้มๆ มองคนตรงหน้า

“พระองค์แกล้งผมอีกแล้ว” มิคาเอลประท้วง

“หรือถ้าเจ้าต้องการ เราก็จะร่วมรักกับเจ้า” ทรงเย้าแหย่

“ผมไม่ได้พูดสักหน่อย” มิคาเอลตอบ

“มิคาเอล”

“ครับ”

“ถึงเจ้าจะคิดว่าความงามของเจ้าต้องสาป ถึงแม้เจ้าจะเกลียดใบหน้า และเกลียดตัวของเจ้า แต่เราก็ยังคิดว่าเจ้างดงามที่สุด หากเจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ ก็มอบชีวิตของเจ้าให้กับเรา ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเรา ร่างที่มีลมหายใจของเจ้าย่อมดีกว่าร่างที่ไร้ชีวิตหลายร้อยเท่านัก หากเจ้าจะไม่เห็นค่าของชีวิตของเจ้า ก็มอบชีวิตของเจ้าให้กับเรา ให้เราได้รัก และ ทะนุถนอมเจ้า

I will Love and Cherish you until the day I die" ทรงตรัส รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้และโอบกอดเอาไว้แนบอกตลอดทั้งคืน

___________________________________

มิคาเอลค่อยๆ เปิดเผยอดีตมืดๆ มาเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มมองเห็น พระเอกล่ะนะ แอบเอาเพลงมาให้ฟัง

รักรีดเดอร์ค่ะ

รออ่านคอมเม้นท์นะ

Xoxoxoxo


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด