----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)  (อ่าน 34160 ครั้ง)

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
คือเดเมี่ยนแค่ห่างกายจากมิคาเอลไปไม่เท่าไหร่ ขอเอาคืนกลับเยอะน่ะเนี่ย  :mew3: อย่าบังอาจมาลูบคมเดเมียนน่ะจ้ะ รู้ดีไปหมดหาคนหลอกได้ยาก แต่ดันจับทางคนรักตัวเองไม่ออก  :mew4:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 48 ความกังวล

 

หลังจากองค์เดเมี่ยนอิ่มหนำจาก อาหารเช้า จานโปรด พระองค์ก็สั่งให้คนเตรียมชุดมาให้มิคาเอล ไม่นาน ชุดของมิคาเอลถูกนำเข้ามา กางเกงผ้าสีขาวพอดีตัว กับเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปแขนยาว อวดรูปร่างบอบบางของมิคาเอลอย่างน่ามอง ตรงขอบแขนเสื้อใหญ่ถูกออกแบบให้พับขึ้นประมาณ 3 นิ้ว จะพอดีกับมิคาเอล ชุดนี้ดีไซน์เนอร์ออกแบบในคอลเล็กชั่นของแองเจิล เสื้อโค้ทตัวยาวสีขาวเข้ารูปด้านหลังจึงมีลายปีกของเทวดาอันใหญ่อยู่ด้วย แม้จะดูเข้ากับมิคาเอลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่องค์เดเมี่ยนกลับรู้สึกขัดใจ สีขาวไม่ใช่สีของพระองค์ พอมิคาเอลสวมชุดของแองเจิลแบบนี้ พระองค์ก็รู้สึกว่าพระองค์กลับไม่คู่ควรกับคนตรงหน้าสักนิด พระพักตร์อันหล่อเหลากลับดูหม่นลง

 

มิคาเอลมององค์เดเมี่ยนที่ทรงสวมฉลองพระองค์ด้วยสีดำทั้งชุด ในชุดที่ดูคล้ายกับของเขา หากแต่เป็นสีดำ และขับเน้นความแข็งแกร่ง ความคมเข้ม และความองอาจสมชายออกมาแทน พระองค์มีรูปร่างอันสมบูรณ์แบบไม่ว่าพระองค์จะสวมใส่อะไร ก็ทรงดูดีไปหมด แต่ใบหน้าของพระองค์กลับดูหม่นหมองเมื่อมองมาที่เขา ชุดของเขาที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ นั่นทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสวมชุดแบบนี้หรือเปล่า

 

เหลือผ้าพันคออีกสองผืนวางอยู่ ผืนหนึ่งสีขาว อีกผืนหนึ่งสีดำ มิคาเอลจึงหยิบผืนสีดำขึ้นมาและพันที่คอ พระองค์มองการกระทำของคนตัวเล็กอย่างสนใจ เมื่อมิคาเอลพันผ้าของตัวเองเสร็จ ก็หยิบผืนสีขาวขึ้นและเดินมาหาองค์เดเมี่ยน ก่อนจะเอาผ้าพันที่คอของพระองค์แทน

 

"ผืนนี้เป็นของเจ้าต่างหาก" ทรงตรัสขึ้น

“ผมอยากใช้ผืนของพระองค์มากกว่าครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเหมาะกับสีขาว สีขาวเป็นสีที่เข้ากับเจ้า” ทรงตรัส เอื้อมมือมาไล้ที่ใบหน้าของคนตัวเล็ก

“แต่ผมก็ชอบสีดำที่เป็นสีของพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว

“สีดำก็ดีแต่จะทำให้เจ้าแปดเปื้อน” ทรงตรัส

“ถ้าเป็นสีดำของพระองค์ ผมก็ต้องการให้พระองค์แปดเปื้อนผมครับ”

มิคาเอลตอบมองคนตัวใหญ่

“ให้ผมเป็นสีขาวจุดเล็กๆ ของพระองค์นะครับ” มิคาเอลกล่าวจัดผ้าพันคอให้กับองค์เดเมี่ยน คนตัวใหญ่ก้มลงมาจุมพิตคนตัวเล็กอย่างรักใคร่

“เรารักเจ้า มิคาเอล เจ้าเป็นมากกว่าแค่สีขาวจุดเล็กๆ เจ้าเป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงเราออกมาจากความมืดมิด” ทรงตรัส และกอดร่างเล็กเอาไว้

มิคาเอลโอบกอดตอบพระองค์

 

เมื่อทั้งสองเดินลงมาแมททิวก็แทบจะอยากให้องค์เดเมี่ยนแทงเขาอีกสักแผล นอกจากความเด่นของชุดที่เป็นของดีไซน์เนอร์ชื่อดังแล้ว ทั้งสองคนยังสลับสีผ้าพันคอกัน จนแทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคู่รักกัน จริงอยู่ว่าฝรั่งเศสเปิดรับในเรื่อง การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน แต่ในชนบทแบบนี้ ก็ยังมีคนต่อต้านไม่น้อย และการที่พระองค์ไม่สนใจจะปิดบังความสัมพันธ์เลยแม้แต่น้อย ก็อาจนำปัญหามาได้

 

“ฝ่าบาทจะเสด็จที่ไหนขอรับ กระหม่อมจะให้องครักษ์ตามไปด้วย” แมททิวถามขึ้น

“ไม่จำเป็น เราไม่ต้องการคนติดตาม” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท กระหม่อมยอมให้พระองค์เสด็จลำพังไม่ได้ขอรับ

องค์นาธานเนียลก็ทรงรับสั่งให้ดูแลพระองค์อย่างดี” แมททิวพยายามชี้แจง

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ทรงถาม อย่างไม่พอใจนัก

“ฝ่าบาทครับ พาองครักษ์ไปด้วยเถอะครับ ผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบคราวที่แล้วจะเกิดขึ้นอีก ผมกลัวครับ” มิคาเอลกล่าว

“หากเจ้าต้องการอย่างนั้น เราจะตามใจเจ้า” ทรงตรัส

แมททิวถอนหายใจอย่างโล่งอก และโชคดีที่ทีมองครักษ์ที่เขาเรียกตัวไป มาถึงเมื่อ 15 นาทีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน แมททิวเองก็แปลกใจกับการเปลี่ยนไปขององค์เดเมี่ยน แม้พระองค์จะยังโหดร้าย และแข็งกระด้างกลับคนอื่น แต่พระองค์กลับอ่อนโยน และดีกลับคุณมิคาเอลอย่างไม่น่าเชื่อ อีกใจกลับทำให้เขาคิดถึงคนอีกคนหนึ่ง ที่รักและเคารพองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน หากคนๆ นั้นรู้ว่าพระองค์ทั้งทรงรักและห่วงใย ในตัวของคุณมิคาเอลมากขนาดนี้ คนๆ นั้นจะรู้สึกอย่างไร แต่เขาคงไม่มีสิทธิอะไร แม้ว่าตอนนี้องค์เดเมี่ยนอาจจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ทันทีที่เขากลับไปคานาเดีย เขาคงจะต้องถูกลงโทษสถานหนักโดยไม่ต้องสงสัย  และเขาคงโทษใครไม่ได้ นอกจากโทษตัวเอง ที่ไม่รู้จักเจียมตน

 

ขบวนเสด็จประกอบไปด้วยรถพระที่นั่งอยู่ตรงกลาง นำหน้าและปิดท้ายด้วยรถขององครักษ์ ขับไปตามถนนเพื่อตรงไปยังไร่ไวน์ขนาดใหญ่

“เราสั่งให้คนเอามาให้เจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัสขึ้นพร้อมกับส่งกระเป๋ากล้องให้กลับมิคาเอล

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลรับมา พบว่ามันเป็นกล้องตัวแรกที่องค์เดเมี่ยนซื้อให้ คนตัวเล็กหยิบกล้องออกมาเปลี่ยนเลนส์ แล้วหันกล้องมาหาพระองค์ ก่อนจะถ่ายรูปพระองค์

“เจ้าถ่ายแต่รูปของเรา” ทรงดุ

“ถ้าผมถ่ายคนอื่นแล้วพระองค์จะไม่โกรธเหรอครับ” มิคาเอลย้อนถาม

“เราให้เจ้าถ่ายสถานที่”

“ผมถ่ายสถานที่ ที่พระองค์อยู่ไงครับ”

“จะเอารูปเราไปขายหรืออย่างไร”

“รูปพระองค์ก็น่าจะขายได้เยอะอยู่” มิคาเอลพูดทีเล่นทีจริง

“ยิ่งรูปมุมใกล้ๆ แบบนี้ มีหลายๆ รูป ไปขายให้นิตยสารไปรวมเล่มคงจะได้ไม่น้อย” คนตัวเล็กกล่าว

“ยังไม่ทันไร เจ้าจะขายเราเสียแล้วเหรอ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลจึงหัวเราะ

“ที่จริง ที่ผมมาคานาเดียก็เพื่อมาถ่ายรูปองค์นาธานเนียลนะครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ นาธานเนียลเคยอยู่อเมริกาหลายปี ก็ไม่แปลกที่ใครจะจำได้” องค์เดเมี่ยนตรัส

“สรุปว่าพระองค์คือนายแบบคนนั้นใช่ไหมครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้

“ตอนนั้น นาธานเนียลทำไปเพราะประชดกษัตริย์องค์ก่อนน่ะ” องค์เดเมี่ยนกล่าวขำๆ

“นาธานเนียลไม่เคยใช้ชื่อจริงที่อเมริกา และใช้นามสกุลของพระมารดา ดีแล้วที่เจ้าถ่ายรูปนาธานเนียลไม่ได้ เพราะหากเจ้าเป็นคนถ่ายแล้วสำนักพิมพ์เอาไปเปิดเผยฐานะ มันจะมีปัญหาตามมาทีหลัง”

“แต่เร็วช้าพระองค์ก็ต้องมีรูปถ่ายใหม่ๆ ออกมาบ้างไม่ใช่เหรอครับ”

มิคาเอลแย้ง

“เรื่องนั้นเราสั่งคนไปจัดการต้นตอแล้ว” ทรงตรัสเรียบๆ

“พระองค์ทำอะไรครับ”

“เอาเป็นว่าสำนักพิมพ์นั้น หรือสำนักพิมพ์ไหนก็ไม่กล้าแตะเรื่องนี้อีกก็แล้วกัน” ทรงตรัสเรียบๆ แต่มิคาเอลก็รู้สึกหวาดกลัวกับอิทธิพลของเจ้าชายไม่น้อย

“เจ้ากลัวเราหรือ” ทรงถามรั้งร่างเล็กเข้าไปกอด

“กลัวสิครับ พระองค์ทรงมีอำนาจมากมาย แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับความเฉียบคมของพระองค์”

“แล้วไม่ดีหรือ” ทรงถาม

“ถ้าเกิดวันหนึ่งทรงเบื่อผมขึ้นมา หรือผมทำอะไรให้พระองค์ไม่พอพระทัย ผมก็แย่สิครับ”

“เราไม่เบื่อเจ้าง่ายๆ หรอก เราสัญญา และเราจะให้อภัยในทุกสิ่งที่เจ้าทำเสมอ” ทรงตรัสและจุมพิตคนตัวเล็กเบาๆ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้ เขาพยายามไม่คิดถึงเหล่าสนมทั้งหลายของพระองค์ ในเมื่อเขาเลือกที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาก็ต้องยอมรับในสถานภาพนี้ด้วย

 

ในที่สุดรถก็จอดและองครักษ์ก็เปิดประตูให้ องค์เดเมี่ยนเดินลงไปและรอรับเขาอยู่ ทันทีที่มิคาเอลลงมาจากรถพระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้าไปในอ้อมกอด โดยไม่ใส่ใจสายตาของใคร

“นี่คือ สามีภรรยาตระกูล Dante ครับ ทั้งสองเป็นเจ้าของไร่ไวน์ที่นี่ครับ” แมททิวแนะนำสองสามีภรรยาที่ดูค่อนข้างสูงวัย ทั้งสองทำความเคารพต่อเจ้าชายเดเมี่ยน และกำลังจะทำความเคารพต่อมิคาเอล แต่มิคาเอลก็รีบเข้าไปห้าม

“ไม่ต้องเคารพผมหรอกครับ ผมเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง” มิคาเอลกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเนียงที่รื่นหูสอง สามีภรรยาจึงยิ้มออกมา

“ยินดีต้อนรับสู่ไร่ดังเต้ขอรับ” ชายสูงวัยกล่าว

“สบายดีเหรอ ฟรองซัวร์” ทรงตรัสถาม

“กระหม่อมกับยายแก่ สบายดีขอรับ” ชายสูงวัยกล่าวตอบ หันมามองคู่ชีวิตข้างๆ

“นี่คือคนรักของเรา มิคาเอล” ทรงตรัสแนะนำ มิคาเอลหน้าแดงที่ทรงแนะนำเขาแบบนี้

“คุณมิคาเอลก็สวย องค์เดเมี่ยนก็หล่อ เหมาะสมกันจังเลยเพคะ” ซิลเวียร์กล่าวชม มิคาเอลก็ยิ่งอายมากขึ้นไปอีก

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว

“มาเถอะ มิคาเอล” ทรงตรัสเรียก ส่งพระหัตถ์มาให้จับ มิคาเอลก็เดินเข้าไปหา จับพระหัตถ์ไว้และเดินไปในไร่ไวน์กับพระองค์

 

องค์เดเมี่ยนมองมิคาเอลที่ดูตื่นเต้นกับไร่ไวน์ องุ่นพวงใหญ่ห้อยระย้า ใบไม้ต่างเปลี่ยนสีเป็นสีส้มแดงเป็นภาพที่น่าดู แต่กระนั้นสิ่งที่สะกดสายตาของพระองค์กลับไม่ใช่องุ่นพวกนี้ รอยยิ้มอันสดใสร่าเริงของคนตรงหน้าต่างหากที่ทำให้พระองค์ไม่อาจละสายตาลงได้ แต่คนตัวเล็กเอาแต่ถ่ายรูป จนไม่สนใจพระองค์ จนพระองค์เริ่มรู้สึกไม่พอใจ พระองค์จึงเดินเข้าไปหา และโอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้

 

“ฝ่าบาท ถ้าพระองค์ กอดผมแบบนี้ ผมจะถ่ายรูปได้อย่างไร” มิคาเอลถาม

“เจ้าก็ถ่ายไปตั้งเยอะแล้วนี่ เราไม่ชอบที่เจ้าไม่สนใจเรา” ทรงตรัสอย่างน้อยใจ มิคาเอลอดขำไม่ได้ ที่แมวใหญ่อย่างพระองค์ มาออดอ้อนแบบนี้

“ผมสอนพระองค์ถ่ายรูปเอาไหมครับ” มิคาเอลถาม

“ตกลง” ทรงตรัส และตั้งใจมองกล้องตามที่มิคาเอลบอก แต่ดูเหมือนพระองค์จะไม่ค่อยได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กมากนัก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนตัวเล็กคอยแต่จะทำให้เสียสมาธิ จนพระองค์ต้องก้มลงจุมพิตคนตรงหน้า อย่างไม่อาจหักห้ามใจ มิคาเอลตกใจที่จู่ๆ พระองค์ก็จูบเขา แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน พระองค์จึงเอากล้องไปถือ และมิคาเอลก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ พอหันกลับมาจึงรู้ว่าพระองค์หันกล้องมาถ่าย selfie เอาไว้ตอนที่พระองค์จูบเขา

 “ฝ่าบาท!” มิคาเอลดุุหน้าแดงเมื่อเห็นรูป รูปสุดท้ายพระองค์ยังทำขยิบตาใส่กล้องอีก พระองค์หัวเราะออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มายืนตรงนี้” ทรงตรัส โอบมิคาเอลเข้ามาใกล้ และถ่าย selfie คู่กัน พระองค์เช็ครูป และดูพึงพอใจ

“เราชอบรูปนี้” ทรงตรัส มิคาเอลจึงเข้ามาดู

“ทำไมครับ” คนตัวเล็กถาม

“เพราะรอยยิ้มของเจ้า” ทรงตรัส จุมพิตคนตัวเล็กที่หน้าผากเบาๆ จนมิคาเอลหน้าแดงขึ้นมาอีก

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลหันมากอด พระองค์ไว้ องค์เดเมี่ยนแปลกใจที่อยู่ดีๆ คนตัวเล็กก็หันมากอดแบบนี้ แต่พระองค์ก็กอดตอบ

“เจ้ากังวลอะไรหรือ” ทรงถาม

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่รักพระองค์ และดีใจที่พระองค์ก็รักผม”

มิคาเอลกล่าว

 

เขาโกหก เขารู้สึกรักองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน แต่ลึกๆ เขากลับกังวล ไม่อยากกลับไปคานาเดีย ที่นี่ เวลานี้ พระองค์มีเขาเพียงคนเดียว แต่เมื่อกลับไป พระองค์ยังมีสนมอื่นอีกมาก และเขาก็คงไม่มีสิทธิอันใดจะไปห้าม พระองค์ทรงเมตตากับเขามากขนาดนี้ เขาคงไม่อาจเห็นแก่ตัว เรียกร้องสิ่งใดมากไปกว่านี้ พระองค์เป็นเจ้าชาย และเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ยอมรับการมีคนรักมากกว่าหนึ่ง และพระองค์ก็ทรงให้โอกาสกับเขา ให้จากไปแล้ว แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในอ้อมกอดนี้เอง ดังนั้นเขาจะต้องทำใจยอมรับให้ได้ แต่อย่างไรเสียในตอนนี้ พระองค์ยังอยู่เคียงข้าง พระองค์ยังโปรดปรานเขา พระองค์ยังรักเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่เขาก็ต้องการเก็บเกี่ยวความสุขอันนี้เอาไว้ เขาจะรักพระองค์ให้มากที่สุดในตอนนี้ จะตามใจพระองค์ทุกอย่าง จะทำทุกอย่างให้พระองค์มีความสุขในตอนนี้ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่

คานาเดีย อย่างน้อยเขาก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ว่าทำไมเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาจะพยายามไม่สนใจอดีตที่ผ่านไป ไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เขาจะอยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ เวลานี้ ให้ดีที่สุด อ้อมกอดเล็กๆ กระชับพระองค์แน่นขึ้น และซบใบหน้าหวานกับอกอุ่นอย่างออดอ้อน พระองค์ยิ้ม และกอดตอบ

“เรารักเจ้า และเราสัญญาจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงตรัส ก่อนจะเชยคางของคนตัวเล็กขึ้น และก้มลงจุมพิตเนิ่นนาน

 

 

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 49 ครึ่งทาง

 

หลังจากที่ทั้งสองเดินชมไร่ไวน์ อยู่พักใหญ่ ตลอดเวลาองค์เดเมี่ยนก็ทรงเดินจูงมือมิคาเอลไว้ตลอดและไม่ยอมให้มิคาเอลอยู่ห่าง ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อ เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของทั้งสองลอยดังขึ้นมาเป็นระยะ เหล่าองครักษ์ที่เดินตามมาห่างๆ ต่างพากันแปลกใจ ไม่เคยคิดว่าองค์เดเมี่ยนจะทรงอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้ พลอยทำให้ทุกคนมีสีหน้าเปื้อนยิ้มไปด้วย

 

“ผมพูดจริงๆ นะครับ โทนี่น่ะแย่ที่สุดเลย ในเรื่องทำอาหาร มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมทำอาหารและห่อกระดาษฟอยล์เอาไว้ โทนี่ก็ยังเอากระดาษฟอยล์ไปอุ่นในไมโครเวฟ พระองค์ไม่เห็น ไฟลุกท่วมอยู่ข้างใน ผมนึกว่าไฟจะไหม้เสียแล้ว เจ้าไมโครเวฟตัวนั้นก็โดนโทนี่ฆาตกรรมไปเรียบร้อย” มิคาเอลเล่าวีรกรรมของน้องชายให้องค์เดเมี่ยนฟัง ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อคิดถึงภาพไมโครเวฟผู้โชคร้าย ที่โดนโทนี่ฆาตกรรม

 

“เจ้าคงคิดถึงน้องชายมากสินะ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย

“ครับ แต่ผมก็เข้าใจครับ อีกอย่างโทนี่ก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ถึงไม่มีผม เขาก็คงไม่เป็นไร” มิคาเอลตอบ แต่ใจของเขากลับเป็นห่วงโทนี่มากกว่าสิ่งใด

“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกพูดตรงกันข้ามกับที่เจ้าต้องการเสียที” ทรงถาม

“ผม… ถึงยังไงพระองค์ก็ไม่อนุญาตให้ผมไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”

มิคาเอลตอบเสียงเศร้า

“แต่น้องชายเจ้ามาหาเจ้าได้ไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัส มิคาเอลที่ทำหน้าเศร้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าประหลาดใจ เงยหน้ามององค์เดเมี่ยน

“พระองค์จะอนุญาตให้โทนี่มาเยี่ยมผมหรือครับ” มิคาเอลถามย้ำ

“หากเจ้าต้องการ หลังจากกลับคานาเดีย เราจะทำเอกสารให้” ทรงตรัสเรียบๆ แต่มิคาเอลกลับโผเข้ากอดพระองค์อย่างดีใจ

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท พระองค์ใจดีที่สุดเลย” มิคาเอลพูดขึ้น

“เจ้าคงเป็นคนแรกที่พูดแบบนั้น” ทรงตรัสหัวเราะเบาๆ

“สำหรับผม พระองค์ใจดี และอ่อนโยนที่สุด” มิคาเอลกล่าวเบาๆ ใบหน้าขึ้นสี

“เพราะเราทำกับเจ้าคนเดียวต่างหาก” ทรงตรัส

“คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกมั้งครับ พระองค์ใจดีกับพระสนมทุกคน ผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น” มิคาเอลเอ่ยขึ้น แต่แล้วเขาก็รู้สึกผิดทันทีที่พูดออกมา

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“นี่คือสิ่งที่เจ้ากังวลอย่างนั้นหรือ” ทรงถาม

มิคาเอลหันหน้าหนีไม่ยอมตอบ

“หากเจ้าไม่พูดเราจะรู้ได้อย่างไร” ทรงรั้งร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด และเชยคางให้สบตากับพระองค์

“เจ้าสำคัญต่อเรามากกว่าสนมคนไหน” ทรงตรัส แต่คนตัวเล็กก็ยังนิ่งเฉย

“ตอนที่เรารู้ว่าเราจะกำลังจะเสียเจ้าไป เราทรมานมากอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน เรารักเจ้ามิคาเอล” ทรงตรัส

“ผมก็รักพระองค์ครับ ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิเรียกร้อง เพราะผมเป็นแค่หนึ่งในสนมของพระองค์ เป็นแค่อีกคนหนึ่งที่รักพระองค์ เหมือนกับสนมทุกๆ คนในวิลล่าเล็กนั้น แต่ผมอยากให้พระองค์รู้ว่า ผมกับพระองค์แตกต่างกัน พระองค์เติบโตขึ้นมาในฐานะเจ้าชาย อยู่ในฐานะที่มีสิทธิจะพึงพอใจ และรักใครกี่คนก็ได้ไม่จำกัด และมันก็เป็นหนึ่งในสิทธิที่พระองค์พึงมี ผมเข้าใจในส่วนนั้น แต่ผมก็เติบโตมาในอีกสังคมหนึ่ง สังคมของผมการรักใคร ก็รักได้เพียงคนเดียว การมีคู่ครองก็มีได้เพียงหนึ่งเดียว การมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ถือเป็นการนอกใจ…” มิคาเอลกล่าวยังไม่ทันจบองค์เดเมี่ยนก็พูดขึ้น

“เจ้าจะบอกว่าเรานอกใจเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้ามาทีหลัง ไม่เท่ากับว่าเรานอกใจสนมคนอื่นเพราะเจ้าหรอกหรือ” ทรงถามกลับ

“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ฟังผมก่อน” มิคาเอลรั้งพระองค์ไว้

“เรารู้ว่าเจ้ามาจากสังคมอย่างไร เราไม่พอใจ เพราะเจ้าเอาบรรทัดฐานของสังคมของเจ้ามาตัดสินเรา” ทรงตรัส

“ผมไม่ได้คิดว่าพระองค์นอกใจผม ผมแค่ยังไม่ชินกับสังคมในวัง ไม่ชินกับการเป็นสนมของพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“ในสังคมของเจ้าเราคงเป็นคนเลวมากสินะ” ทรงตรัสอย่างเย้ยหยัน เดินห่างออกไป

“ฝ่าบาท…อย่าไป… ได้โปรด… อย่าเกลียดผม” มิคาเอลกล่าวเสียงเบาน้ำตาคลอ จนองค์เดเมี่ยนต้องหันกลับมา พระองค์มองคนตัวเล็กอย่างเจ็บปวดที่เห็นคนตัวเล็กทำหน้าแบบนั้น

“หากเจ้ารักเรา ก็มาหาเรา” ทรงตรัสยืนรออยู่

“ผมรักพระองค์ได้จริงๆ หรือครับ ทั้งๆ ที่เราต่างกันขนาดนี้” มิคาเอลถาม

“หากเจ้าไม่ต้องการอยู่เคียงข้างเรา เราจะปล่อยให้เจ้าไป แต่สิ่งที่เจ้าร้องขอ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้โดยทันที เจ้าเองก็มีสิ่งที่ต้องแก้ไข เราเองก็เช่นกัน หากเจ้ายอมรับไม่ได้ เราก็จะไม่รั้งเจ้าไว้” ทรงตรัส

“พระองค์หมายความว่าอย่างไร”

“ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นไม่ใช่หรือ ให้เราเป็นข้อยกเว้นของเจ้า และเราจะให้เจ้าเป็นข้อยกเว้นของเรา หากเจ้าปรับตัวเข้าหาเรา เราก็จะปรับตัวเข้าหาเจ้าเช่นกัน” ทรงตรัสและยื่นมือออกไป

“กลับมาหาเรา มิคาเอล” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน คนตัวเล็กเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมๆ กับที่พระองค์เดินกลับมา พระองค์รอรับคนตัวเล็กที่โผเข้ามา และกอดเอาไว้

“เราสองคนอาจจะแตกต่าง เรารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดเวลาเจ้าเห็นเรากับสนมคนอื่น แต่เราก็เจ็บปวดเช่นกันเวลาเจ้าพูดจาร้ายๆ กับเรา เย็นชาต่อเรา หรือพูดไม่ตรงกับใจของเจ้า แต่การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองคงมิอาจทำได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเจ้าพร้อมจะพบกับเราคนละครึ่งทาง เราก็พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อมๆกับเจ้า” ทรงตรัส เอื้อมจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาจุมพิต

“ผมรักพระองค์ครับ ผมจะพยายามครับ” มิคาเอลกระซิบอยู่กับอก ร้องไห้เบาๆ

 

ตลอดมาเขาเอาแต่คิดว่าองค์เดเมี่ยนไม่สนใจความรู้สึกของเขา แต่เขาต่างหากที่เป็นคนไม่สนใจความรู้สึกของพระองค์

“อย่าร้องไห้อีกเลย เราอยากให้เจ้ายิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ เราชอบเวลาเจ้ายิ้มมากกว่า” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก ก้มลงจูบซับน้ำตาให้

“เล่าเรื่องโทนี่ให้เราฟังอีกสิ สรุปว่าโทนี่ฆาตกรรมไมโครเวฟไปกี่เครื่องแล้ว” ทรงตรัสยิ้มๆ มิคาเอลหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ชูนิ้วขึ้น 3 นิ้ว

“งั้นเจ้าคงต้องเล่าเรื่องให้เราฟังด้วยในรถ เดินไปที่รถไหวไหม ให้เราอุ้มไหม” ทรงตรัสถาม คนตัวเล็กส่ายหน้าพยายามเช็ดน้ำตาออก แต่พระองค์ก็ช้อนร่างเล็กขึ้นและพาเดินกลับไปที่รถแทน

“ฝ่าบาท ผมเดินเองได้ครับ” มิคาเอลประท้วง

“เราอยากอุ้มเจ้าไม่ได้เหรอ” ทรงถาม มิคาเอลจึงโอบรอบคอและซบใบหน้ากับไหล่กว้างแทน

“พระองค์ตามใจผมเกินไปแล้ว” มิคาเอลพูดเบาๆ

“เราอยากให้เจ้าเก็บแรงเอาไว้คืนนี้ต่างหาก” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ฝ่าบาท!” คนตัวเล็กหน้าแดง พระองค์ก็หัวเราะออกมา

 

หลังจากเดินในไร่แล้ว ขบวนเสด็จก็มายังโรงบ่มไวน์ มิคาเอลต้องการเข้าไปชมขั้นตอนการผลิตไวน์ ที่มีการบรรยาย ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมด้วย ทำให้องค์เดเมี่ยนที่ไม่ชอบผู้คนต้องจำใจมายืนอยู่เคียงข้างคนตัวเล็ก

“จริงๆ หากเจ้าสนใจ ที่วังก็มีโรงบ่มไวน์อยู่ ไร่ไวน์ในคานาเดียก็มีไม่น้อย หากเจ้าจะลองทำที่วังก็ได้” ทรงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเตรียมอะไรบ้างล่ะครับ ผมอยากทำไวน์ดูบ้าง”

มิคาเอลกระซิบตอบอย่างตื่นเต้น

“เดี๋ยวเราจะให้คนจัดเตรียมสิ่งที่เจ้าต้องใช้ไว้ก็แล้วกัน และเราจะหาคนที่จะสอนเจ้าให้ด้วย” ทรงกระซิบตอบ พร้อมกับจุมพิตที่หน้าผากคนตัวเล็กเบาๆ โดยไม่แคร์สายตาของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จ้องมองมาที่ทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

 

มิคาเอลที่มีใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อน ผมสั้นสีทอง กับรูปร่างบอบบางแบบผู้หญิง ในชุดขาวทั้งชุด ยกเว้นผ้าพันคอบางๆ สีดำเพียงคนเดียวก็เด่นมากแล้ว องค์เดเมี่ยนที่สูง และสง่างาม ใบหน้าที่หล่อเหลาจนนายแบบยังต้องอาย ดวงตาสีดำสนิทคมกริบราวกับตาของนักล่า บวกกับผมยาวสีดำที่ปล่อยลง แล้วยังชุดสีดำที่ดูคล้ายคลึงกับคนตัวเล็กที่ยืนข้างๆ และผ้าพันคอสีขาวที่พันรอบคออีก เพียงลำพังต่างคนต่างโดดเด่นไปกันคนละแบบ แต่พอมายืนคู่กันไม่ว่าใครก็อดมองไม่ได้ และก็แทบจะทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งคู่ ต้องเป็นคู่รัก กันอย่างแน่นอน

 

พอคนตัวใหญ่ก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนตัวเล็ก แทบทุกคน โดยเฉพาะสาวๆ ก็พากันกลั้นใจฟัง แต่พอเห็นคนตัวเล็กทำหน้าตื่นเต้นดีใจ ทุกคนก็แทบไม่สนใจคนบรรยายอีกต่อไป ต่างหันไปมองคู่รักตรงหน้ากันเป็นตาเดียว พอคนตัวใหญ่ก้มลงมากระซิบบางอย่าง ทุกคนก็พยายามเงี่ยหูฟังกันสุดขีด ปิดท้ายด้วยการจุมพิตที่หน้าผากก็ทำเอาสาวๆ กรีดร้องในใจกันถ้วนหน้า

 

"ไปกันเถอะ" ทรงตรัสขึ้น เริ่มทนไม่ได้เมื่ออยู่ดีๆ บริเวณดังกล่าวก็เริ่มมีคนเข้ามามากขึ้นอย่างผิดปกติ มิคาเอลพยักหน้ารับ ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนเดินจูงมือไปในโรงบ่มไวน์ ท่ามกลางสายตาอันเสียดายปนอิจฉามองตามหลังไป

 

องค์เดเมี่ยนสั่งให้องครักษ์ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้พามิคาเอลเดินชมรอบๆ เป็นการส่วนตัว พระองค์ไม่สนใจสายตาของคนที่มองมา แต่พระองค์ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น

 

ที่โรงบ่มไวน์แห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับปราสาท มีประวัติการทำไวน์ที่ยาวนานมาตั้งแต่ ค.ศ.1600 ไวน์ที่ผลิตมีหลายเกรด ตั้งแต่ Appellation d'Origine Controlee (AOC)ซึ่งเป็นไวน์คุณภาพสูงบ่งบอกรายละเอียดของ การผลิต ที่ผลิต การบรรจุขวด การบ่มไวน์อย่างละเอียดบนป้ายฉลาก ซึ่งไวน์ชนิดนี้ก็มีราคาแพงขึ้น ตามอายุของไวน์

 

Vins Delimite de Qualite Superieure (VDQS)เป็นไวน์คุณภาพสูงที่ถูกผลิตในที่ๆ ได้รับการรับรองว่าผลิตไวน์คุณภาพ ซึ่งที่นี่ก็เป็นไวน์จากเบอร์โดซ์ ลักษณะของขวดจะแตกต่างจากขวดไวน์ของที่อื่น ราคาค่อนข้างสูงเช่นกัน

 

Vin de Pays ไวน์ท้องถิ่น ราคาไม่ค่อยแพง เสริฟตามร้านอาหารทั่วไป

 

และ Vin de Table หรือไวน์ธรรมดา คุณภาพปานกลาง รสชาติจะขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่นำมาทำไวน์

 

มิคาเอลฟังอย่างตั้งใจและเดินลงไปชั้นใต้ดินอันเป็นสถานที่ที่ใช้ในการบ่มไวน์ ในชั้นใต้ดินถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน  ส่วนแรกเป็นส่วนของการบ่มไวน์ในถังไม้ ถังไม้จำนวนมากตั้งเรียงรายแต่ละถังมีการตีตรา วันเดือนปีที่ผลิต มิคาเอลยกกล้องขึ้นเก็บภาพหลายภาพ หลังจากเดินชมกันอยู่นาน ไกด์ก็พาไปยังอีกด้านหนึ่ง ภายในมีการจัดแสดงไวน์ชนิดต่างๆ ไล่ตามปีที่ผลิต

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตัวเล็กเดินมองดูไวน์ที่จัดแสดงไว้อย่างสนใจ ก่อนจะหยุดมองไวน์ขวดหนึ่งนานเป็นพิเศษ และถ่ายรูปไวน์ขวดนั้นเอาไว้ พอเดินมาไม่ห่างกันนักก็หยุดมอง ไวน์อีกขวดและถ่ายรูปอีก

“ไวน์สองขวดนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือ” ทรงตรัสถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธ

“มิคาเอล เจ้าโกหกเราอีกแล้ว” ทรงดุ

“คือ ... ไวน์ขวดนี้ผลิตในปีเกิดของผม ส่วนขวดนั้นผลิตในปีเกิดของพระองค์ครับ” มิคาเอลตอบ หน้าขึ้นสีจางๆ พระองค์ได้ยินจึงเดินเข้ามาดูใกล้ๆ และโอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างเอ็นดู

“เจ้ารู้ปีเกิดของเราด้วยหรือ” ทรงถามอย่างสนใจ

“ก็พระองค์อายุมากกว่าผม 7 ปี” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่ยักรู้ว่าเจ้าคิดถึงเรา และยังเอามาเชื่อมโยงกับกับตัวเจ้าแบบนี้” ทรงตรัสก้มหน้าเข้ามาใกล้ มิคาเอลหน้าแดง หลบสายตาของพระองค์

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธ เบี่ยงตัวออกห่างพระองค์

“เจ้าคิดจะหนีไปไหน” ทรงรั้งร่างเล็กเอาไว้ และหยิบไวน์ทั้งสองขวดขึ้นมา จนไกด์ตกใจ

“ขอโทษครับ แต่ไวน์ที่จัดแสดงไว้ไม่ได้มีไว้ขายครับ” ไกด์รีบร้องบอก เพราะต่อให้เป็นนายแบบรูปหล่อแค่ไหนก็ไม่มีทางจะมีเงินหนามาซื้อไวน์เกรด AOC อายุมากกว่า 30 ปี ถึง 2 ขวดได้หรอก

“ไม่มีอะไร ที่เราซื้อไม่ได้” ทรงตรัสเรียบเฉย เย็นชา สีหน้าแสดงความไม่พอใจนัก

“อย่าว่าแต่แค่ไวน์สองขวดนี้ หากเราต้องการ ต่อให้ซื้อทั้งไร่ไวน์ และ โรงบ่มทั้งหมด เราก็ซื้อได้” ทรงตรัสอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ฝ่าบาท อย่าครับ” มิคาเอลพยายามห้าม

 

พอดีที่แมททิวเดินเข้ามาพร้อมกับทายาทเจ้าของโรงบ่มแห่งนี้

“กระหม่อมขออภัย ที่มาต้อนรับช้า กระหม่อมไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา เจ้าชายเดเมี่ยนสบายดีหรือขอรับ” โอนเนอร์กล่าวรีบส่งสัญญาณ ให้ไกด์ดวงตกรีบหลบไป

“เจ้าอบรมคนของเจ้ายังไง เอริค” ทรงถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

ก่อนจะเดินเข้าไปกอด

“ไร่ไวน์ กับ โรงบ่มของผมไม่ได้มีไว้ขายหรอกนะ เดเมี่ยน” เอริคกล่าว

อย่างสนิทสนม

“มิคาเอล นี่คือ เอริค เป็นเพื่อนของเรา และเป็นเจ้าของที่นี่ นี่คือมิคาเอล เป็นคนรักของเรา” ทรงตรัสแนะนำ มิคาเอลจึงยิ้มออกมา และยื่นมือออกไปสัมผัส แต่เอริค กลับจะเข้ามากอดทักทาย องค์เดเมี่ยนที่ยืนอยู่ตรงกลางเห็นก็ล็อกตัวเพื่อนตัวแสบเอาไว้แทน

“อย่าแม้แต่จะคิด” องค์เดเมี่ยนขู่

“ผมก็แค่จะทักทาย เลือกได้ดีนี่ เดเมี่ยน” เอริคกล่าว ก้มหน้าให้มิคาเอลเป็นเชิงทักทาย

“เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้าอยู่ในฐานะอะไร คิดว่าจะให้ใครแตะต้องตัวเจ้าก็ได้หรือ” ทรงตำหนิ

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา พระองค์จึงโอบกอดไว้อย่างหวงแหน และ รักใคร่

 

เอริคแปลกใจที่เดเมี่ยนแนะนำคนๆ นี้ในฐานะคนรัก ไม่ใช่ พระสนม หลังจากเดสเซเร่ เดเมี่ยนไม่เคยแนะนำใครในฐานะนี้ และยังท่าทีที่แสดงออกว่าทั้งรัก ทั้งหวงขนาดนี้ เอริคก็ไม่เคยเห็นเดเมี่ยนทำกับใคร นอกจากเดสเซเร่เพียงคนเดียว

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
สองคนนี้มุมมองต่างกัน เราเข้าใจในตัวมิคาเอลน่ะ เป็นเรา ๆก้อทำใจยากในการที่จะแบ่งชายที่รักกับผู้อื่น  :mew2:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 

บทที่ 50 คนหลายใจ

 

องค์เดเมี่ยนส่งไวน์สองขวดให้แมททิวถือไว้ โอบมิคาเอลไว้ข้างกาย และเดินคั่นตรงกลางระหว่างเพื่อนและคนรัก จากบทสนทนา มิคาเอลจึงเข้าใจว่า คุณเอริคเป็นเพื่อนกับองค์เดเมี่ยนมาตั้งแต่สมัยที่พระองค์เดินทางมาศึกษาที่นี่ และเป็นเพราะในตอนที่พระองค์มาอยู่ที่นี่ พระองค์ไม่เคยบอกใครว่าพระองค์เป็นเจ้าชาย ดังนั้นเอริคจึงติดการพูดคุยแบบธรรมดากับองค์เดเมี่ยน และพระองค์ก็มิได้ถือสา

 

“ไหนๆ ก็มาทั้งที ก็เหมาไวน์ของเพื่อนกลับไปด้วยสิ” เอริคกล่าว

“จัดไวน์ดีๆ มาให้สัก 3 โหลก็ได้ กลับไปคราวนี้ เราคงต้องเอาไวน์ไปขอโทษ ใครหลายคน รวมทั้งนาธาเนียลด้วย” องค์เดเมี่ยนตรัส

“นาธานเนียลสบายดีเหรอ” เอริคถาม

“ก็เหมือนเดิม กบฏยังปราบไม่หมด ปัญหาก็ยังไม่จบสักที” ทรงตอบ

“แล้วคุณหนีมาเที่ยวแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ”

“เราก็คงต้องกลับเร็วๆ นี้แหล่ะ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วใช่ไหมล่ะ” ทรงตรัส และหัวเราะออกมา เอริคก็หัวเราะตามไปด้วย

“ผมขอคุยลำพังด้วยได้ไหม” เอริคถาม องค์เดเมี่ยนจึงหันมาหามิคาเอล

“เจ้าล่วงหน้าไปกับแมททิวก่อน เดี๋ยวเราจะตามไป” ทรงตรัสกับมิคาเอล

 

เมื่อทั้งสองเดินไปลับตาเอริคจึงถามขึ้น

“คุณไม่รักเดสเซเร่แล้วเหรอเดเมี่ยน” เอริคถามขึ้น องค์เดเมี่ยนจึงนิ่งลง

“เดสเซเร่ยังอยู่ในใจเราเสมอ” ทรงตรัส

“คุณรักเด็กคนนั้นสินะ แล้วในใจของคุณจะยังมีที่ให้กับน้องสาวของผมอีกเหรอเดเมี่ยน” เอริคถาม

“11 ปีแล้วสินะที่เธอจากไป เราก็ยังคิดถึงเธออยู่เสมอ ตำแหน่งชายาของเราก็ยังคงเป็นของเดสเซเร่คนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัสเรียบๆ ใบหน้าหม่นลง

“ผมควรจะรั้งเธอไว้ในตอนนั้น” เอริคกล่าว น้ำเสียงดูเจ็บปวด

“เราต่างหากที่ผิด ที่ดูแลเธอไม่ดี ทั้งๆ ที่เธอรักเราและทำทุกอย่างเพื่อเรา” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“ผมขอโทษ ที่ดูเหมือนเห็นแก่ตัว ที่เรียกร้องให้คุณทำแบบนี้ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องการให้การตายของน้องสาวของผมไร้ค่า” เอริคกล่าว

“เราไม่ได้โกรธ และเราก็เข้าใจ เดสเซเร่จากไปเพราะเรา การที่เราจะต้องรับผิดชอบก็ถูกต้องแล้ว” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ผมได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ มาเถอะผมจากเลือกไวน์ให้” เอริคกล่าวตบไหล่และเดินนำหน้าไป

 

หลังจากกลับมา องค์เดเมี่ยนก็เอาแต่นั่งดื่มเพียงลำพังในห้องกะจก

มิคาเอลจึงเดินเข้าไปหา

“ฝ่าบาท”

“ว่าอย่างไร”

“พระองค์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” มิคาเอลถามด้วยความเป็นห่วง

“เราไม่เป็นอะไรหรอก” ทรงตรัส รั้งมิคาเอลเข้าไปกอด

“ถ้าอย่างนั้น ก็ดื่มพอแล้วนะครับ” มิคาเอลแย่งคอนยัคในมือไปถือ ก่อนจะเอาแก้วไปวางบนโต๊ะห่างจากพระองค์ พระองค์มองการกระทำของคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู

“ทำไมเจ้าจึงรักเรา มิคาเอล เรามีอะไรให้คนอย่างเจ้ามารักกัน” ทรงถามขึ้น

“ทำไมพระองค์ตรัสแบบนั้นละครับ” มิคาเอลเดินเข้ามาหา คุกเข่าลงตรงหน้าของพระองค์

“พระองค์ไม่ทรงรักผมแล้วเหรอครับ” คนตัวเล็กย้อนถาม

“เราแค่อยากรู้” ทรงตรัสแต่ดูใจเลื่อนลอย

“พระองค์ถามผม หรือพระองค์ต้องการถามคุณเดสเซเร่กันแน่ครับ”

มิคาเอลถามกลับองค์เดเมี่ยนดูแปลกใจในตอนแรก ที่มิคาเอลรู้

“เจ้าแมททิวปากมาก” ทรงตรัสเบาๆ

“พระองค์ก็หลายใจ!” มิคาเอลกล่าวว่า ก่อนจะซบใบหน้าลงที่ต้นขาของพระองค์ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พระองค์จึงได้รู้สึกตัว รั้งมิคาเอลขึ้นมานั่งบนตัก

“เราขอโทษ เราไม่มีข้อแก้ตัว เราผิดเอง” ทรงตรัส ซบพระพักตร์กับอกของมิคาเอล

“เอริค เป็นเพื่อนของเรา แต่ทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะทำให้เรารู้สึกผิดเสมอ เพราะเราเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องสาวของเอริคต้องจากไป” ทรงตรัสเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อของคนรักเก่า

“แต่พระองค์ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอจากไปนี่ครับ อย่าทรงโทษตัวเองแบบนี้อีกเลยครับ เรื่องมันก็เกิดมานานแล้วด้วย” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนถอนหายใจ

“เราขอโทษ เราคงแย่มากสินะในสายตาของเจ้า ที่เราเป็นแบบนี้” ทรงถาม

“ผมเข้าใจครับ แต่ผมก็ไม่อยากให้พระองค์ทำแบบนี้ ผมรู้ว่าผมอาจจะไม่มีค่าเพียงพอ จะเทียบกับเธอ แต่อย่างน้อยผมก็อยู่ตรงนี้ ผมรักพระองค์ และผมก็อยากให้พระองค์มองเห็นผม ที่เป็นผม ไม่ใช่ตัวแทนของใคร”

มิคาเอลกล่าวช้าๆ ดูไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนตัวเล็กจะพูดความรู้สึกออกมา

แต่มิคาเอลก็พยายาม

“เราถึงได้ถามเจ้า ว่าทำไมเจ้าถึงมารักคนอย่างเรา” ทรงตรัสถาม

“พระองค์เป็นคนที่ทำให้ผมรักไม่ใช่เหรอครับ” มิคาเอลถามกลับ

“ทั้งๆ ที่เราโหดร้าย และหลายใจ เจ้ายังจะรักเราอีกเหรอ” ทรงถาม

“พระองค์ไม่ได้โหดร้าย …”

“แต่เราก็หลายใจ เจ้าเป็นคนพูดเอง”

“ผมบอกว่าผมจะพยายาม พระองค์เองก็บอกว่าจะเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับผมนี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเชื่อคำพูดของเราด้วยหรือ หากเราไม่ทำตามที่พูด เจ้าจะทำอย่างไร”

“ผม… ก็คงเสียใจที่สุด ที่คนที่ผมรักและไว้ใจ มาทำร้ายผม” มิคาเอลกล่าว พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

 

“หากพระองค์ไม่รัก ไม่ต้องการผม ก็บอก ผมจะไป” มิคาเอลตอบ หันหน้าหนี หัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวด พยายามจะลุกหนี แต่พระองค์ก็รั้งเอาไว้ และกอดมิคาเอลแน่นขึ้น

“เดสเซเร่เป็นรักแรกของเรา เราไม่เคยคิดจะรักใครอีกจนมาเจอเจ้า และเราสัญญากับเอริคเอาไว้ ว่าเราจะไม่ให้ใครมาแทนที่เธอ เรารู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่เรายังไม่พร้อมจะตัดใจจากเธอ เราเห็นแก่ตัวแบบนี้ เจ้าจะทนได้หรือ” ทรงตรัสถาม

“หากเจ้าทนไม่ได้ ตอนนี้เราคงพอจะปล่อยเจ้าไปได้”

“พระองค์ไม่มีสิทธิมาตัดสินใจแทนคนอื่น” มิคาเอลแย้ง

“ว่ามาสิ” ทรงรอฟังคำของคนตัวเล็ก

“ในเมื่อพระองค์เห็นแก่ตัว ผมก็ขอเห็นแก่ตัวบ้างได้ไหมครับ”

“ว่ามาสิ”

“ผมไม่ต้องการให้พระองค์มีสนมเพิ่ม” มิคาเอลก้มหน้าพูด

“ให้ผมเป็นสนมคนสุดท้ายของพระองค์ ได้ไหมครับ” คนตัวเล็กร้องขอ

“ตกลง เราจะไม่มีสนมเพิ่ม” ทรงตรัสรับปาก

“ผมจะไม่พูดอะไร เพราะผมมาทีหลัง แต่ผมขอร้อง ผมไม่ต้องการเห็น เพราะผมเจ็บเวลาที่เห็นพระองค์อยู่กับสนมคนอื่น” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

“ตกลง” ทรงตรัสรับคำ

“สุดท้าย ตราบเท่าที่พระองค์ยังคงรักคุณเดสเซเร่ ผมขอให้พระองค์ ให้อิสระกับผม หากวันไหนที่ผมทนไม่ได้ ผมขออิสระที่จะไปจากพระองค์” มิคาเอลร้องขอ แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวด

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตรงหน้า ไม่คิดว่ามิคาเอลจะขอแบบนี้ หากคนตัวเล็กจากไปในตอนนี้ พระองค์คงยังพอทำใจ แต่หากพระองค์รักคนๆ นี้มากขึ้น แล้ววันหนึ่งคนตัวเล็กจากไป แล้วพระองค์จะอยู่ได้อย่างไร

“ไหนเจ้าบอกว่ารักเรา แล้วทำไมเจ้ายังคิดจะไปจากเราอีก” ทรงตรัสเสียงดัง

“ในเมื่อพระองค์ยังรักคนอื่นอยู่ แล้วผมจะอยู่ในฐานะอะไร” มิคาเอลถามกลับ พระองค์นิ่งเงียบ น้ำตาของมิคาเอลก็ค่อยๆ หยดลง คนตัวเล็กลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง ปล่อยองค์เดเมี่ยนไว้ตามลำพัง

 

มิคาเอลร้องไห้ลำพังในห้องบรรทม ไม่นานองค์เดเมี่ยนจึงเดินเข้ามา ทรงนั่งลงข้างๆ

“เราไม่อยากเห็นเจ้าเจ็บปวด” ทรงตรัส กอดร่างมิคาเอลไว้ มิคาเอลลุกขึ้น และหันมาหาพระองค์ ผลักพระองค์ออก

“พระองค์ไม่อยากให้ผมเจ็บปวด แต่พระองค์ก็เป็นคนทำให้ผมเจ็บ ผมถึงไม่อยากรักพระองค์ เพราะผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องเจ็บอยู่ดี ถ้าพระองค์ไม่รักผม ก็ปล่อยผมไป อย่าทำกับผมแบบนี้ ผมก็มีหัวใจ ผมก็เจ็บเป็นเหมือนกัน” มิคาเอลต่อว่าพระองค์ทั้งน้ำตา

“มิคาเอล”

“ถ้าไม่ทรงรักผม ก็อย่ามาทำดีกับผม แค่นี้ผมก็เจ็บมากพอแล้ว”

“เรายอมแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลย เราจะให้อิสระแก่เจ้า เมื่อไหร่ที่เจ้าทนไม่ได้ และไม่ต้องการอยู่กับคนอย่างเราอีก เราจะปล่อยเจ้าไป แต่ถึงเราจะเป็นคนไม่ดีอย่างไร เราก็รักเจ้า เราอยากจะดูแลเจ้า เราอยากให้เจ้ามีความสุข เรารู้ว่าเจ้าพยายามทำเพื่อเรา เรารู้ว่าเจ้ายอมลงให้เรามากแล้ว เราเองก็จะพยายามทำเพื่อเจ้าบ้าง ให้โอกาสคนอย่างเราสักครั้งเถิดนะ อย่าเกลียดเราเลย เราขอโทษ” ทรงตรัส

 

"พระองค์ใจร้ายที่สุด” มิคาเอลต่อว่า

“เรารู้” องค์เดเมี่ยนตรัสขยับเข้าหา

“พระองค์เห็นแก่ตัว”

“เรารู้” พระองค์รั้งมิคาเอลเข้ามาหา

“พระองค์หลายใจ เจ้าชู้” มิคาเอลสะอื้นไห้

“เรารู้ เราเป็นคนไม่ดี และเรายังทำให้เจ้าร้องไห้ และทำให้เจ้าเจ็บปวด” ทรงกอดมิคาเอลเอาไว้

“พระองค์เห็นผมเป็นตัวแทน”

“ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้ และเจ้าก็ไม่ใช่ตัวแทนของใคร เราเองที่ผิด” ทรงตรัสกอดร่างเล็กแนบหัวใจ

“ให้โอกาสเราได้ไหม” ทรงถาม

“ผมเกลียด เกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลต่อว่า

“เราก็เกลียดตัวเราเหมือนกัน แต่เราอยากดีขึ้น เราอยากจะดีพอให้เจ้ารักเรา” ทรงตรัส

“เราขอโทษ เราจะพยายามทำให้ดีกว่านี้”  ทรงตรัสและกอดคนตัวเล็กเอาไว้ จุมพิตหน้าผากบางเบา จูบซับน้ำตาที่ไหลริน

“เราอยู่กับความทุกข์มานาน ถึงเราจะมีสนมมากมาย แต่เราไม่เคยรักใคร เราเหมือนจมอยู่ในความมืด และทรมานอยู่เพียงลำพังมาตลอด แต่การที่เจ้าเข้ามา มันเหมือนกับเป็นแสงสว่างที่ส่องมาถึงเราเป็นครั้งแรก เราปรารถนาจะรักษาแสงสว่างนี้ให้นานที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราควรทำตัวอย่างไร 11 ปี ที่เราอยู่ในสภาพนี้ ไม่ใช่เราไม่อยากเปลี่ยน แต่เราไม่รู้ว่าเราต้องทำอย่างไร เรารู้ว่าเราผิด แต่เราอยากจะแก้ไข เราอยากให้เจ้าเป็นคนช่วยชี้นำ พาเราออกไปจากความมืดมิดนี้จะได้ไหม” ทรงตรัสถาม

มิคาเอลกอดพระองค์ไว้แน่นขึ้น แม้เขาจะเจ็บแต่เขาก็รักคนๆ นี้มากเหลือเกิน แม้จะทรมาน แต่เขาก็จะทน

 

พระองค์กอดร่างของมิคาเอลไว้เนิ่นนานจนคนตัวเล็กหยุดร้องไห้ แล้วพระองค์ก็เอื้อมไปหยิบของบางอย่างออกมาส่งให้

“ในเมื่อเจ้าตัองการมีอิสระที่จะไป เมื่อเจ้าไม่อยากทนอยู่กับเราอีก เราต้องการแน่ใจว่าเมื่อเจ้าไป เจ้าจะไม่ลำบาก บัญชีธนาคาร มีอยู่ 10 ล้าน และเราจะเพิ่มให้เจ้าทุกเดือนที่เจ้ายังอยู่กับเรา และบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน บัตรนี้ผูกกับบัญชีของเรา เราให้เจ้าเก็บไว้ ต่อให้เจ้าไปจากเรา เจ้าก็ยังใช้ได้อยู่” ทรงตรัส แต่มิคาเอลตกใจและส่งกลับคืน

“ผมไม่ต้องการครับ ผมดูแลตัวเองได้”

“เรารู้ แต่เราให้เจ้า เก็บไว้เถอะ อย่างน้อยหากเราทำให้เจ้าผิดหวัง และเราไม่สามารถรั้งเจ้าไว้ได้ เราก็ยังรู้ว่าเจ้าจะไม่ลำบาก อย่างน้อยก็เก็บเอาไว้” ทรงตรัส

“เอาบัตรที่ผูกกับบัญชีของพระองค์มาให้แบบนี้ไม่กลัวผมเอาไปใช้หมดเหรอครับ” มิคาเอลถามหยอกล้อ

“ใช้ไปเถอะ ยังไงก็ไม่หมดหรอก ตำแหน่งเจ้าชายของเราอาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับเจ้าชายคนอื่น แต่ถ้าเรื่องทรัพย์สิน เรามีมากกว่าเจ้าชายทุกคน” ทรงตรัสเรียบๆ

“ไม่กลัวผมจะปอกลอกพระองค์เหรอครับ”

“เรารู้นิสัยของเจ้า ถึงเจ้าจะทำ เราก็ไม่กลัว”

“พระองค์เอาเงินมาซื้อผมไม่ได้หรอกนะครับ” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

“หากเจ้าจะไป ต่อให้เอาทุกอย่างที่เรามีมากองให้เจ้า เราก็รู้ว่า เราก็รั้งเจ้าไม่ได้” ทรงตรัส

“แล้วทำไมพระองค์ยังเอามาให้ผม เงินนี่ ยิ่งทำให้ผมไปจากพระองค์ง่ายขึ้น” มิคาเอลถามอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะเราสัญญาแล้วว่าเราจะให้อิสระต่อเจ้า เราก็แค่เพิ่มการันตีให้เจ้าก็เท่านั้น” ทรงตรัส มิคาเอลถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

“ผมจะทนจนกว่าผมทนไม่ได้จริงๆ ระหว่างนั้นผมจะรักพระองค์ จะทำเพื่อพระองค์ และจะอยู่เคียงข้างพระองค์” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ แต่พระองค์ก็รั้งมิคาเอลเข้าไปกอด

 

“แค่นั้น เราต้องการแค่นั้น”

 

 

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 51 Afternoon Delight

 

หลังจากอยู่ที่ปราสาทมา 1 อาทิตย์เศษ ในที่สุดมิคาเอลก็มีโอกาสเดินชมรอบๆ ปราสาท Chateau de La Belle เป็นชื่อที่องค์เดเมี่ยนตั้งขึ้นใหม่แทนชื่อเดิมหลังจากทำการตกแต่งซ่อมแซม และดัดแปลงใหม่ ในปราสาทมี 147 ห้อง แต่ละห้องต่างตกแต่งอย่างสวยงาม ผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความทันสมัยสะดวกสบายเข้าด้วยกัน โดยพระองค์ต้องการให้คงเอกลักษณ์ของปราสาทเอาไว้

 

มิคาเอลเดินเข้าออกห้องต่างๆ อย่างตื่นเต้นอยู่หลายชั่วโมงอย่างไม่รู้จักเบื่อ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องอาบน้ำห้องหนึ่ง ภายในห้องเป็นพื้นหิน มีหน้าต่างหลายบาน ให้แสงสว่างลอดเข้ามา พรมผืนใหญ่สีครีมถูกปูอยู่กลางห้อง ที่ด้านหนึ่งมีเสาสี่เสา และมีผ้าม่านคลุมล้อมรอบ และถูกเปิดอยู่ครึ่งๆ เผยให้เห็นตรงกลางมีอ่างอาบน้ำแบบฝรั่งเศส มีสี่ขาสีขาวตั้งอยู่ มิคาเอลจำได้ว่าเขาเคยเห็นห้องน้ำห้องนี้มาก่อนในนิตยสารเมื่อนานมาแล้ว

 

ในขณะที่เขากำลังชื่นชมความงามอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงขยับตัวในอ่างน้ำ องค์เดเมี่ยนทรงนั่งเปลือยกายอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ พระองค์หันมามองเขาช้าๆ

“มิคาเอล เจ้ายังไม่เลิกถ่ายรูปอีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

“ครับ” มิคาเอลตอบหน้าแดง เมื่อเห็นคนตรงหน้าที่เปลือยเปล่า

“มานี่สิ” ทรงตรัสเรียกหา มิคาเอลวางกล้องลงที่โต๊ะใกล้ๆ แล้วเดินเข้าไปหา เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ อ่างน้ำ พระองค์เอื้อมมือจับมือเขาไปจุมพิตเบาๆ

“เจ้าชอบที่นี่หรือเปล่า” ทรงตรัสถาม

“ชอบครับ ที่นี่สวยมาก ทุกห้องเลยครับ” มิคาเอลตอบ

“เราดีใจที่เจ้าชอบ” ทรงตรัสและส่งยิ้มให้

“ผมไปรอข้างนอกนะครับ” มิคาเอลหน้าแดงที่เห็นร่างกายอันกำยำ อันเปล่าเปลือยของพระองค์ หลายวันที่ผ่านมา พระองค์อ่อนโยนต่อเขามาก และเอาใจเขาทุกอย่าง แต่พระองค์กลับไม่ยอมแตะต้องเขาเลย นับจากวันที่กลับมาจากไร่ไวน์

“เราอยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อน ได้ไหม” ทรงตรัสถาม มองมาที่มิคาเอลด้วยสายตาที่อ่อนโยน

“พระองค์จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ทำไมเจ้าไม่ลงมาอาบน้ำกับเราล่ะ สระผมให้กับเราได้ไหม” ทรงตรัสถาม

“พระองค์สระเองไม่เป็นเหรอครับ” มิคาเอลถาม

“ปกตินางกำนัลเป็นคนทำให้เรา” ทรงตรัสอย่างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็ไม่แปลกนักในเมื่อพระองค์เป็นเจ้าชาย

“ผมโดนลดระดับกลายเป็นนางกำนัลแล้วหรือครับ”

มิคาเอลถามอย่างเง้างอน

“ถ้าทำให้เรา เราจะสระผมให้เจ้าเป็นการตอบแทน” ทรงตรัสและยิ้มให้

“ก็ได้ครับ” มิคาเอลตอบตกลง

ลุกขึ้นถอดเสื้อออกช้าๆ องค์เดเมี่ยนก็มองอย่างไม่วางตา รอยจูบที่พระองค์ทิ้งไว้จางหายไปหมดแล้ว ผิวนวลเนียนสวยเผยออกมา ยอดอกสีชมพูก็ดูเย้ายวน มิคาเอลปลดกระดุมกางเกงออกโดยไม่ได้สังเกตุเห็นคนตรงหน้าที่จ้องมองมา กางเกงผ้าถูกปลดออกไปพร้อมกับอันเดอร์แวร์สีขาวร่างเปลือยเปล่าปรากฎแก่สายตา แต่คนตัวเล็กก็รีบเดินมาด้านหลังของพระองค์และค่อยๆ ก้าวลงมาในอ่างช้าๆ น้ำในอ่างร้อนกำลังพอเหมาะ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มิคาเอลนั่งลงด้านหลังองค์เดเมี่ยน พิงขอบอ่าง แต่พระองค์ก็เอนกายลงมาพิงร่างของมิคาเอลเอาไว้

 

“ถ้าพระองค์พิงผมแบบนี้ แล้วผมจะสระผมให้พระองค์ได้อย่างไร”

มิคาเอลถาม

“ก็ยังไม่ต้องสระ กอดเราก่อนสักพักก็ได้” พระองค์ตรัส เอื้อมมาจับมือของมิคาเอลมาโอบกอดพระองค์ไว้

“ฝ่าบาท พระองค์เอาแต่ใจอีกแล้ว” มิคาเอลประท้วง

“เราก็เอาแต่ใจเสมอไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัสยิ้มๆ

มิคาเอลจึงไม่อยากโต้เถียงด้วยกอดพระองค์เอาไว้จากด้านหลัง และซบใบหน้าลงกับไหล่กว้าง เนิ่นนาน จนในที่สุดคนตัวเล็กก็คลายอ้อมกอด

“นอนลงสิครับ ผมจะสระผมให้” มิคาเอลกล่าว

พระองค์จึงเอนกายลงทำให้ผมเปียกก่อนลุกขึ้นนั่ง มิคาเอลจึงเทแชมพูลงบนฝ่ามือ และค่อยๆ สระผมให้กับองค์เดเมี่ยน ผมดำยาวสลวย นุ่มราวแคชเมียร์ มิคาเอลสระผมให้พระองค์อย่างเบามือ

องค์เดเมี่ยนก็พูดจาหยอกเย้าอยู่ตลอด เสียงหัวเราะของทั้งคู่จึงดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อล้างผมให้พระองค์จนเสร็จ พระองค์ก็เปลี่ยนให้มิคาเอลมานั่งข้างหน้าพระองค์ เปิดน้ำอุ่นเพิ่มลงในอ่าง และทรงกอดมิคาเอลเอาไว้ คนตัวเล็กหน้าแดงเมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวของพระองค์ พยายามจะขยับหนี แต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้าไปกอดไว้ ก่อนจะจุมพิตที่ต้นคอของคนตัวเล็กเบาๆ

 

“ฝ่าบาท ... อย่าครับ”

มิคาเอลพยายามหาเสียงจนเจอและพยายามจะปฏิเสธพระองค์

“เจ้าเองก็ต้องการเราไม่ใช่เหรอ”

ทรงตรัสถาม เอื้อมมือมาปลุกเร้าที่ด้านหน้า

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธ

“เจ้ายังปากแข็งอีกเหรอ ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็ตื่นตัวขนาดนี้”

ทรงสัมผัสปลุกเร้าเชื่องช้า จนมิคาเอลครางออกมาเบาๆ

“ฝ่าบาท...”

มิคาเอลร้องเรียกเมื่อถูกนิ้วของพระองค์รุกล้ำเข้ามา พระองค์ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ จนคนตัวเล็กเริ่มชิน พระองค์รั้งใบหน้าหวานขึ้น และมอบจุมพิตให้เนิ่นนาน ลิ้นของพระองค์ลุกล้ำเข้ามา หยอกล้อ และเรียกร้อง ปรารถนาร่างเล็ก พระองค์ค่อยๆ รั้งคนตัวเล็กขึ้น และค่อยๆ ปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งลงมาบนร่างที่ตื่นตัวของพระองค์ จนคนตัวเล็กต้องครางออกมา ร่างของมิคาเอลบีบรัดพระองค์จนพระองค์แทบทนไม่ได้ เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชิน พระองค์จึงเริ่มขยับช้าๆ มิคาเอลจับที่ขอบอ่างเอาไว้ และขยับช้าๆ ไปกับการเคลื่อนไหวของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสกระซิบข้างหู พระองค์จับให้มิคาเอลหันหน้ามาหาพระองค์ พระองค์ลุกขึ้นมาครอบครองยอดทับทิมสีชมพูอย่างปรารถนา ดูดกลืน และขบกัดเบาๆ จนคนตัวเล็กครางเสียงดังออกมาอย่างสุดจะกลั้น

 

พระองค์ขยับร่างเชื่องช้า เนิ่นนาน ก่อนพระองค์จะช้อนร่างเล็ก และลุกขึ้น ทั้งที่ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายในร่างของคนตัวเล็ก มิคาเอลกอดเกี่ยวพระองค์เอาไว้แนบแน่น ก่อนพระองค์จะเดินออกมาจากอ่างหยิบผ้าเช็ดตัวมาปูรองไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก และวางมิคาเอลลง พระองค์ยกขาทั้งสองของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะขยับร่างเข้าออกเชื่องช้า มิคาเอลครางออกมาอย่างเสียวซ่าน อ้อนวอนต่อพระองค์

“ฝ่าบาท... ได้โปรด...”

พระองค์รั้งร่างคนตัวเล็กลงมายืน ก่อนพระองค์จะสอดใส่กลับเข้าไป เร่งจังหวะ และขยับเข้าออก ครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนตัวเล็กเกร็งกระตุก บีดรัดพระองค์ และปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์ถอนร่างของพระองค์ออก ก่อนจะช้อนร่างอันเปลือยที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้น หยิบกล้องสะพายที่ไหล่ และเดินเปลือยกายกลับห้องบรรทม โดยไม่สนใจว่าใครจะเห็น เป็นมิคาเอลที่ซบกับอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขินอายที่สุดในชีวิต

 

พระองค์วางมิคาเอลลงบนเตียงใหญ่อย่างแผ่วเบา ประทับริมฝีปากลงมา ด้วยความปรารถนา ครอบครองริมฝีปากล่างเนิ่นนานหิวกระหาย กว่าพระองค์จะถอนริมฝีปากออก ริมฝีปากของคนตัวเล็กก็บวมช้ำจากการจูบ

 

พระองค์ถอยออกมา หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคนตรงหน้า มิคาเอลที่นอนอ่อนระทวยบนเตียง ดูงดงาม และยั่วยวนเป็นที่สุด แต่พอเห็นว่าพระองค์กำลังถ่ายรูปของเขา มิคาเอลก็หยิบหมอนปาใส่พระองค์แล้วก็มุดลงไปใต้ผ้าห่มแทน แต่กระนั้น พระองค์ก็เก็บภาพของคนตัวเล็กไว้ได้ไม่น้อย พระองค์วางกล้องลง และเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กก่อนจะจูบขอโทษคนตัวเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

"ใครให้เจ้าทำหน้ายั่วยวนเราแบบนั้นกัน” ทรงตรัสอย่างไร้เดียงสา

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธเสียงแข็ง

“เราถ่ายรูปสวยๆ ของเจ้าได้หลายรูปทีเดียว” ทรงตรัสอย่างภูมิใจ

“ผมจะลบออกให้หมด” มิคาเอลกล่าว

“เราสั่งห้ามเจ้าลบ หากเจ้าลบ เราจะถ่ายมากกว่านี้” ทรงขู่

“แต่...” มิคาเอลประท้วงเบาๆ

“ไม่มีแต่ นี่เป็นคำสั่ง หากเจ้าไม่เชื่อ เราจะลงโทษเจ้า และจะถ่ายรูปของเจ้าไว้ด้วย” ทรงตรัสขู่ยิ้มๆ ดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอด

“ปล่อยครับ” มิคาเอลพยายามขืนตัวออก เมื่อพระองค์ก้มลงจูบไซร้ที่ต้นคอของเขาอีกครั้ง

“อย่าใจร้ายกับเรานักสิ เราปรารถนาเจ้า”

ทรงตรัสรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ และครอบครองริมฝีปากบางอีกครั้ง โดยที่พระองค์มิได้ฟังเสียงประท้วงของอีกฝ่าย ลิ้นร้อนของพระองค์ก็สอดใส่เข้ามาควานหาความหวานภายใน ดูดดื่ม กลืนกิน จนคนตัวเล็กละลายอยู่ใต้ร่างของพระองค์ พระองค์แยกขาของมิคาเอลออกก่อนจะสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง ความอบอุ่นและคับแน่นทำให้พระองค์ครางออกมาอย่างหฤหรรษ์ ร่างเล็กโอบรัดพระองค์ราวกับถุงมือกำมะหยี่ชั้นดี ไม่ว่าพระองค์จะร่วมรักกับคนตรงหน้ากี่ครั้ง พระองค์ก็รู้สึกไม่เพียงพอ ความปรารถนาที่มีกับคนๆ นี้กลับยิ่งเพิ่มพูน แม้หลายวันที่ผ่านมา พระองค์จะพยายามระงับความต้องการ มิได้แตะต้องคนตัวเล็ก แต่นั่นก็ดีแต่จะทำให้พระองค์ปรารถนาคนตัวเล็กนี้มากขึ้นไปอีก

 

“เรารักเจ้า ...เราปรารถนาเจ้า... เราต้องการเจ้า... ทั้งหมด”

ทรงตรัสเสียงแหบพล่า ขยับร่างเข้าออกเชื่องช้าจนมิคาเอลครวญคราง

“ผม... ผมเป็นของ...พระองค์”

มิคาเอลกล่าวเสียงเบา ครางออกมาอย่างมีความสุข พระองค์เร่งจังหวะขึ้น ขยับร่างเข้าออก ในที่สุดทั้งมิคาเอล และพระองค์ก็ปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์ทิ้งน้ำหนักลงบนร่างของมิคาเอล พยายามหายใจให้ทัน ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายใน ก่อนพระองค์จะขยับร่างขึ้น แต่คนตัวเล็กกลับกอดรั้งพระองค์เอาไว้ จนพระองค์แปลกใจ

“ตัวเราหนัก เจ้าไม่อึดอัดหรือ”

ทรงถามมิคาเอลส่ายหน้า กอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย พระองค์จึงทิ้งน้ำหนักลงข้างๆ และกอดคนตัวเล็กเอาไว้

“เจ้ากังวลอะไรหรือ” ทรงตรัสถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธ

“อย่าโกหกเรา” ทรงดุ

“ผมแค่อยากอยู่แบบนี้อีกสักพัก”

มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนจึงพลิกให้มิคาเอลขึ้นมาอยู่ข้างบน และกอดเอาไว้ คนตัวเล็กก็ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงกระซิบบอกเบาๆ

“ผมทราบครับ ผมก็รักพระองค์”

มิคาเอลตอบ พยายามซึมซับกับช่วงเวลานี้เอาไว้

“เราเพิ่งคุยกับนาธานเนียลเมื่อเช้า นาธานเนียลบอกว่าตอนนี้ทางคานาเดียกำลังยุ่งมาก เรารู้ว่าเราบอกเจ้าว่าเราจะอยู่ที่นี่ 2-3 อาทิตย์ แต่เราทิ้งนาธานเนียลไม่ได้” ทรงตรัส

“องครักษ์บอกผมแล้วครับ” มิคาเอลบอก

“เจ้าแมททิวปากมากอีกแล้วสินะ” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก

“อย่าไปโทษคนอื่นสิครับ ผมต้องการรู้ ดีกว่ามาปิดผม” มิคาเอลตอบ

“เจ้ายังไม่อยากกลับสินะ” ทรงถาม ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็ก

“ผม...” มิคาเอลไม่รู้จะตอบอย่างไร

“หรือเจ้ากลัวว่าเราจะผิดสัญญา” ทรงถาม

“เปล่าครับ พระสนมคนอื่นคงคิดถึงพระองค์มาก ... ผม... ผม...” มิคาเอล

กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้อีก สิ่งที่เขาต้องการล้วนเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว

“เราสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ หรือเจ้าไม่เชื่อใจเรา” ทรงถาม

“ผมรักพระองค์ครับ ผมเพียงแค่กังวล”

 

มิคาเอลไม่กล้าบอกไปว่าเขาไม่อยากให้พระองค์มีคนอื่น แต่หากคิดในทางกลับกัน สนมทั้งหลายที่รอพระองค์กลับมา ต่างก็รักและคิดถึงพระองค์ การที่เขาคิดอยากให้พระองค์มีเพียงเขาคนเดียว ก็ดูจะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน แต่อีกครั้งที่การพูดย่อมง่ายกว่าการกระทำ แม้จะรู้และเข้าใจ แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเจ็บปวดและทรมานไม่ได้ ดังนั้นในตอนนี้ ที่พระองค์มีเพียงแค่เขาคนเดียว เขาก็อยากจะกอดพระองค์ไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าเมื่อกลับไปคานาเดียแล้วอ้อมกอดนี้ จะไปกอดคนอื่นก็ตาม

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
อ่านกี่ทีก้อยังรู้สึกว่าเดเมี่ยนเห็นแก่ตัวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก แต่เราก้อเข้าใจน่ะมันเป็นวิถีของเขาไปแล้วน่ะ การจะเปลี่ยนในทันใดก้อคงเป็นเรื่องยากและเหล่าสนมก้ออยู่กันแบบนี้มานานแล้วน่ะ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 52 เราสองคน

 

มิคาเอลเดินตามองค์เดเมี่ยนกลับเข้าไปในวิลล่า ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แต่ก็พยายามไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พระองค์พามิคาเอลเดินเข้ามาในห้องบรรทม

 

“ทำไมไม่พาผมไปส่งที่ห้องของผมล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“นี่คือห้องของเจ้า นี่คือห้องของเราสองคน” ทรงตรัสเรียบๆ

“พระองค์ หมายความว่าอย่างไรครับ ผมไม่เข้าใจ”

มิคาเอลได้ยิน แต่ไม่เข้าใจในความหมาย

“หมายความว่า เจ้าจะอยู่ที่ห้องนี้ ห้องติดกันเป็นห้องส่วนตัวของเจ้า เจ้าจะทำอะไรในนั้นได้ตามใจ แต่เจ้าจะต้องนอนกับเราในห้องนี้ ทุกคืน”

ทรงตรัส

“แต่นี่เป็นห้องบรรทมของพระองค์ แล้วผมจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

มิคาเอลตกใจ

“เราก็จัดห้องส่วนตัวให้เจ้าแล้วไง และห้องนี้จะไม่ใช่ห้องของเราคนเดียวอีก แต่จะเป็นห้องของเราสองคน” ทรงตรัสรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ และจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ

“แต่…ถ้าพระองค์พาใครมา…” มิคาเอลไม่อยากต่อประโยคให้จบ แค่คิดว่าจะมีใครเข้ามาร่วมเตียงกับพระองค์ในห้องนี้ แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน และจะทนได้อย่างไร

“เราบอกว่านี่เป็นห้องของเราสองคน ไม่ใช่เหรอ จากนี้ไปเจ้าจะเป็นคนเดียวในเตียงของเราในห้องนี้ เราจะสั่งห้ามไม่ให้สนมเข้ามายุ่งย่ามในวิลล่าหลัก เจ้าจะเป็นสนมคนเดียวในวิลล่าหลัก” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท!!! ผม…” มิคาเอลตกใจ แต่ก่อนจะพูดอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามา” ทรงตรัส แมททิวเดินเข้ามา ส่งของบางอย่างให้พระองค์ โค้งคำนับ และเดินออกไป พระองค์เดินเข้ามาหา ก่อนจะเปิดกล่องเครื่องประดับออก แหวนแพลตินัมวงหนึ่งอยู่ในนั้น พระองค์หยิบออกมา

“ในเมื่อเราให้อิสระกับเจ้า เราจะไม่ตีตราเจ้า แต่เจ้าก็ต้องสวมสัญลักษณ์ของเรา คนอื่นจะได้รู้ว่าว่าเจ้าเป็นของเรา ให้เกียรติและเคารพต่อเจ้า เราสั่งให้คนทำแหวนวงนี้เป็นพิเศษเพื่อเจ้า และเราขอให้เจ้าสวมมันไว้ตลอดเวลา” ทรงตรัส เอื้อมจับมือและสวมมันลงไปที่นิ้วนางข้างขวา แหวนสีเงินมีตราสัญลักษณ์บนหัวแหวน สวมพอดีกับนิ้วของมิคาเอล

“ในตอนนี้ เราทำให้เจ้าได้เท่านี้ เราหวังว่าเจ้าคงจะพอเข้าใจ” ทรงตรัส

มิคาเอลกลับร้องไห้ออกมาแทน

“เจ้าร้องไห้ทำไม เราอยากให้เจ้าดีใจ ไม่ใช่ร้องไห้แบบนี้ หรือเจ้าไม่พอใจ” ทรงตรัสถาม

“พระองค์ให้ผมมากเกินไปด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดว่าพระองค์จะทำให้ผมมากขนาดนี้ ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงสั่นเครือ ร่างเล็กโผเข้ากอดพระองค์ไว้ องค์เดเมี่ยนโอบกอดมิคาเอลไว้ จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา

 

“ไหนๆ ก็มาลองเตียงใหม่กันดีกว่า” ทรงตรัสยิ้มๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นพาเดินไปที่เตียง

“หมายความว่าอย่างไรครับ เตียงใหม่” มิคาเอลถามด้วยสีหน้าสงสัย ปล่อยให้พระองค์วางลงบนเตียงอย่างว่าง่าย

“เราสั่งให้เปลี่ยนเครื่องนอนทุกชิ้นในห้องนี้” ทรงตอบเอนกายลงเคียงข้าง

“เพราะฉะนั้น เราคงต้องมาลองดูว่าเตียงใหม่นี่ใช้ได้ไหม” ทรงกระซิบข้างหู จนมิคาเอลหน้าแดง ก่อนพระองค์จะซุกไซร้ลงที่ต้นคอ มืออันซุกซนยังล้วงเข้าไปใต้เสื้อของมิคาเอล ลูบไล้ และหยอกล้อกับยอดอกจนมันแข็งเป็นไต พระองค์ก้มลงจูบที่ยอดอกผ่านผ้า จนมิคาเอลต้องครางออกมา

“ฝ่าบาท... เราเพิ่งกลับมา... อย่าครับ” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ

 

“เราบอกว่าเราจะลองเตียงใหม่ อย่าขัดใจเราสิ”

 ทรงตรัส ลิ้นร้อนๆ เลียจนเสื้อของมิคาเอลเปียกจนลู่ลงแนบกับยอดอกสีชมพูที่แข็งเป็นไต พระองค์ขบกัดเบาๆ อย่างหยอกล้อ มิคาเอลก็ยิ่งครางออกมาเสียงดัง พระองค์เปิดเสื้อของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะครอบครองยอดอกนั้น หยอกล้อจนมิคาเอลร้องครางออกมาเสียงดัง ปรารถนาต่อพระองค์

“ฝ่าบาท... อย่าแกล้งผม...ได้โปรด” มิคาเอลร้องขอ

“เจ้าต้องการให้เราหยุด หรือต้องการให้เราทำต่อล่ะ”

ทรงถาม มิคาเอลหน้าขึ้นสี พระองค์จึงหยุดกระทำ มิคาเอลก็หายใจอย่างหอบเหนื่อย และเรียกร้องเบาๆ

“ฝ่าบาท...”

“ว่าอย่างไร”

พระองค์ขยับหน้าเข้ามาใกล้ริมฝีปาก แต่ไม่ทรงจูบ มิคาเอลจึงเอื้อมมือรั้งพระองค์ก่อนจะจูบพระองค์อย่างแผ่วเบา และกระซิบที่ข้างหู

“ผม...ต้องการ...พระองค์”

องค์เดเมี่ยนยิ้ม ก้มลงครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน มือข้างหนึ่งเลื่อนลงต่ำสัมผัสกับร่างของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา

 

“ร่างกายของเจ้าคงจดจำสัมผัสของเราได้แล้วกระมั้ง เราสัมผัสเจ้าเพียงแผ่วเบา เจ้าก็ตื่นตัวขนาดนี้” ทรงตรัสหยอกล้อ มิคาเอลหน้าแดงอีกครั้ง

“พระองค์ใจร้าย” มิคาเอลต่อว่า

“หากเราใจร้าย เราคงไม่ปรนเปรอเจ้าแบบนี้”

ทรงตรัส ขณะถอดกางเกงของมิคาเอลออก ก่อนจะครอบครองร่างอันตื่นตัวของมิคาเอล

“ฝ่าบาท”

มิคาเอลร้องเรียก ลิ้นของพระองค์กำลังหยอกล้อกับร่างของเขา ก่อนจะครอบครองเขาช้าๆ มือข้างหนึ่งสัมผัสที่ฐาน ขยับไปพร้อมๆ กับปากและลิ้น นิ้วเรียวยาวของพระองค์ก็ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามา มิคาเอลครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้นเมื่อถูกปลุกเร้าทั้งด้านหน้าและหลังแบบนี้ เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลไปสวรรค์ ร่างเล็กปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์เอนกายลงนอนเคียงข้าง มิคาเอลจึงหันมากอดพระองค์ไว้

“แล้วพระองค์ล่ะครับ” มิคาเอลถามหน้าแดง

“เราแค่อยากทำให้เจ้ามีความสุข” ทรงตรัส

“ทรงเบื่อผมแล้วเหรอครับ” มิคาเอลถามอย่างน้อยใจ

“เราจะเบื่อเจ้าได้อย่างไร” ทรงตรัส รั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“หรือพระองค์จะต้องการทำกับสนมอื่น” มิคาเอลถามอย่างน้อยใจ

“เวลาที่เจ้าหึงหวงเรา เจ้าก็ยังน่ารัก” ทรงตรัสยิ้มๆ

จุมพิตที่หน้าผากมิคาเอลเบาๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธเสียงแข็ง

 

พระองค์ลุกขึ้น และปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก ร่างกายกำยำก็ปรากฎแก่สายตา ร่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ออกมาทักทายมิคาเอล พระองค์นอนลงเคียงข้าง

“หากเจ้าต้องการ ก็ปลุกเร้าเราสิ”

ทรงตรัสเอื้อมมือมาเคล้าคลึงบั้นท้ายของมิคาเอล มิคาเอลหน้าขึ้นสี แต่ก็ค่อยๆ ก้มลงปลุกเร้าพระองค์ ริมฝีปากบางจุมพิตที่ปลายยอดแผ่วเบาก่อนจะครอบครองที่ปลายยอดช้าๆ โดยที่องค์เดเมี่ยนยังคงจ้องมองไม่วางตา ริมฝีปากบางอ้าออก และครอบครองพระองค์ช้าๆ แค่ภาพก็ปลุกเร้ามากพอแล้ว ความรู้สึกที่ได้รับ ยิ่งทำให้พระองค์ต้องครางออกมา

 

“เจ้ากลัวว่าเราจะไม่รักเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ” ทรงตรัส

มองคนตัวเล็กขยับ ปลุกเร้าพระองค์ พระองค์ค่อยๆ รั้งร่างเล็กขึ้น จุมพิตร่างเล็กด้วยความปรารถนา

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส วางร่างเล็กให้นอนลง

“เจ้าคือคนๆ เดียวที่เราปรารถนา”

ทรงตรัสแยกขาของมิคาเอลออก ก่อนจะสอดแทรกพระองค์เข้าไป

“มีเพียงเจ้าที่ทำให้เรามีความสุขมากขนาดนี้”

ทรงตรัสขยับร่างอย่างเชื่องช้า

“เรารักเจ้า มิคาเอล ได้โปรดเชื่อเรา”

ทรงเร่งจังหวะขึ้น

“หากมีเจ้าอยู่เคียงข้าง เราก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก เราไม่ต้องการสนมคนไหน เราต้องการเพียงเจ้าคนเดียว”

ทรงกระซิบข้างหู ร่วมรักกับมิคาเอลอย่างเร่าร้อน จนกระทั่งทั้งสองปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

มิคาเอลหลับไปแทบจะทันที องค์เดเมี่ยนรู้ว่าคนตัวเล็กแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะความกังวล พระองค์จึงไม่อยากฝืนร่วมรักด้วย ดูเหมือนคนตัวเล็กยังคงเอาแต่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว พระองค์รู้ว่าพระองค์เป็นสาเหตุที่ทำให้มิคาเอลต้องทุกข์ใจ แม้กระนั้นคนตัวเล็กก็ยังคงรักพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข จนพระองค์รู้สึกผิด

 

องค์เดเมี่ยนลงจากเตียงและห่มผ้าให้กับคนตัวเล็ก จุมพิตที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะแต่งตัวและเดินออกไปจากห้อง พระองค์ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่มิคาเอลก็ตื่นขึ้น เขาไม่ได้หลับแต่เขาอยากรู้ว่าที่พระองค์ตรัสนั้นน่าเชื่อถือขนาดไหน เขาอยากจะเชื่อพระองค์ อยากจะรักพระองค์โดยไม่ต้องกังวลแบบนี้ มิคาเอลแอบมองออกไปก็เห็นพระองค์เรียกหา คุณแมททิว เมื่อคุณแมททิวมาถึง พระองค์ก็เดินนำเข้าไปในวิลล่าเล็ก

 

แม้จะรู้ว่าพระองค์ห่างจากพระสนมทั้งหลายมาทั้งอาทิตย์ แน่นอนว่าเหล่าพระสนมก็คงคิดถึงพระองค์อย่างมาก และพระองค์เองก็คงคิดถึงเหล่าพระสนมไม่น้อย แต่พอมาเห็นเข้าจริงๆ ที่พระองค์แทบจะทนไม่ไหวที่จะกลับไปหาเหล่าพระสนม มิคาเอลก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ทั้งๆ ที่พระองค์เพิ่งจะร่วมรักกับเขาแท้ๆ แต่ในขณะที่ทรงคิดว่าเขาหลับใหล พระองค์ก็รีบเข้าไปหาเหล่าพระสนมทันที ต่อให้พยายามเข้มแข็งแค่ไหน มิคาเอลก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เขาเดินกลับไปที่เตียง และนอนร้องไห้จนหลับไป

 

องค์เดเมี่ยนเดินออกมาจากห้องบรรทม และเรียกหาแมททิว

“ฝ่าบาท เรียกหากระหม่อมหรือขอรับ” แมททิวเดินเข้ามาหา และก็พอจะทราบสาเหตุที่เขาถูกเรียกตัวมา ในเมื่อตอนนี้กลับมาคานาเดียแล้ว และการจะถูกทำโทษจากการที่บังอาจไปหลงรัก พระสนมของพระองค์ ก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ

“ตามมา”

ทรงตรัสเรียบๆ และเดินนำเข้าไปในวิลล่าเล็ก

 

โดยปกติแล้วแมททิวไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในวิลล่าเล็กนี้ หลายปีที่ผ่านมา โอกาสเดียวที่เขามีในการพบกับพระสนมริชชี่ คือตอนที่พระสนมเดินทางไปเยี่ยมมารดา เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น และเขาก็เป็นองครักษ์คนเดียวที่องค์เดเมี่ยนไว้ใจมากพอ ที่จะคอยคุ้มกัน และดูแลพระสนมริชชี่ แต่เขาก็ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง เขาแอบหลงรักพระสนมมาตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยฐานะ เขาจึงไม่เคยกล่าวคำใดออกไป แต่กระนั้นทุกอย่างที่พระสนมริชชี่ต้องการ ขอเพียงเอ่ย เขาก็พร้อมจะทำให้เสมอ

 

องค์เดเมี่ยนเดินนำเข้ามาภายใน และเดินมายังซุ้มริมสระที่ริชชี่มักจะมานั่งอยู่เสมอ เมื่อริชชี่เห็นพระองค์ก็วิ่งเข้ามาหา แต่พอเห็นแมททิว ริชชี่ก็ชะงักลงเล็กน้อย

“ฝ่าบาท ทรงกลับมาแล้ว ผมเป็นห่วงพระองค์มากครับ”

ริชชี่กล่าว องค์เดเมี่ยนยืนนิ่งหันกลับมาที่แมททิว

“คุกเข่า” รับสั่งเรียบๆ แมททิวจึงคุกเข่าลง

“พระองค์พาคนอื่นเข้ามาทำไมครับ” ริชชี่ถาม

“คนๆ นี้บังอาจมาหลงรักสนมของเรา เจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรกับคนๆ นี้” ทรงตรัสถาม

“ฝ่าบาท” ริชชี่ดูตกใจ

“เราควรจะทรมาน แมททิว อย่างไรดี หรือว่า เราควรจะสั่งประหารดี”

 ทรงตรัสถามราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ตอบเรามา ริชชี่” ทรงถามเสียงดัง

“ฝ่าบาท ได้โปรด กระหม่อมผิดเอง หากจะลงโทษ ก็ลงโทษที่กระหม่อม” แมททิวร้องขอ

“หุบปากของเจ้าเสีย แมททิว” ทรงตรัสเสียงดัง และหันกลับมาหาริชชี่

“ว่าอย่างไร ริชชี่ ตอบเรามาสิ ว่าเราควรทำโทษแมททิวอย่างไร” ทรงถามริชชี่ หยิบมีดสั้นขึ้นมา เดินกลับไปหาแมททิว ปักมันลงบนแผลเดิมที่ไหล่ของแมททิวอีกครั้ง แมททิวไม่ได้ส่งเสียงแต่เป็น ริชชี่ที่ร้องออกมา

“ฝ่าบาท อย่าครับ คุณแมททิวกับผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ริชชี่กล่าว พระองค์ถอนมีดออกมาช้าๆ เลือดก็ไหลซึมออกมา

“เจ้าจะยอมรับว่ามีใจกับแมททิวอย่างนั้นเหรอ” ทรงถามเรียบๆ

“ผมเป็นสนมของพระองค์ ผมรักพระองค์คนเดียวเท่านั้น” ริชชี่กล่าว

“ถ้าอย่างนั้นเราจะฆ่าแมททิว เจ้าก็คงไม่เป็นไรสินะ” พระองค์ปักมีดลงที่แผลเดิมอีกครั้งจนบาดแผลฉีกออก และแผลเปิดมากขึ้น แมททิวกัดฟันแน่น ทนรับความเจ็บปวดโดยมิได้ร้องออกมา แต่ริชชี่กลับทนไม่ได้จนเข้ามาขวาง

“ฝ่าบาท ชีวิตทุกชีวิตมีค่า พระองค์จะทำแบบนี้ได้อย่างไร หากพระองค์ไม่ต้องการคุณแมททิว ก็มอบชีวิตของเขาให้กับผม ผมขอล่ะครับ ได้โปรดไว้ชีวิตคุณแมททิวด้วย” ริชชี่คุกเข่าขวางพระองค์ไว้ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อ้อนวอนขอชีวิตขององครักษ์หนุ่ม

 

องค์เดเมี่ยนจึงหยุดถอยออกมา

“ในเมื่อเจ้าขอ เราจะยกแมททิวให้เจ้า” ริชชี่ตกใจ ในเมื่อเขาเป็นสนมแล้วพระองค์จะยกคุณแมททิวให้เขาได้อย่างไร

“ผม...ไม่เข้าใจครับ” ริชชี่เอ่ยขึ้น

“จากวันนี้ไป เจ้าไม่ใช่สนมของเราอีก เจ้ามีอิสระ และมีสิทธิจะรักใครก็ได้ตามแต่ใจเจ้าปรารถนา” ทรงตรัส รั้งร่างริชชี่ขึ้นมา ทรงเช็ดน้ำตาให้

“ฝ่าบาท ทรงไม่ต้องการผมแล้วเหรอครับ พระองค์ทรงโกรธผมเหรอครับ” ริชชี่กล่าวถาม ไม่เข้าใจพระองค์

“เจ้าเป็นคนโปรดของเราเสมอ ริชชี่ และเราก็ไม่ได้โกรธเจ้า เราดีใจที่เจ้า พบคนที่เจ้าพอใจ และเราก็เพียงอยากให้เจ้ามีความสุข” ทรงตรัสอ่อนโยน

“ส่วนเจ้าแมททิว เจ้าเป็นหนี้ชีวิตต่อริชชี่ เจ้าจะต้องดูแลริชชี่ให้ดีด้วย หากเรารู้ว่าเจ้าทำให้ริชชี่เสียใจ คราวหน้าร่างของเจ้าจะพรุนมากกว่านี้” ทรงตรัสเสียงแข็งกระด้าง แต่แมททิวก็รู้ว่าองค์เดเมี่ยนทรงเมตตาเขามากเหลือเกิน

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท กระหม่อมจะดูแล คุณริชชี่อย่างดี” แมททิวตอบ แต่ยังไม่ทันขาดคำ พระองค์ก็บิดมีดจนแผลเหวอะ เลือดไหลออกมามากมาย ก่อนจะชักมีดออกมา

“และแผลนี้ของเจ้า คือโทษที่เจ้ามาปากมากกับมิคาเอล” ทรงตรัสก่อนจะเดินกลับออกไปที่วิลล่าหลัก และก่อนจะไปพระองค์ยังคงสั่งคำสั่งไว้

 

“ไปหาหมอซะ ไสหัวไปอย่ามาให้เราเห็นหน้าสักเดือนสองเดือน แล้วก็ดูแลริชชี่ให้ดี”

 

แมททิวรีบกล่าว ขอบคุณ เจ้าชายของเขา แข็งกระด้าง และโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงอ่อนโยนและห่วงใย

 

 

ออฟไลน์ Pupay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-1
อะแฮ่ม เพิ่งมาตามอ่านค่ะเรื่องยาวมากเลย อัพแบบรัว ตามอ่านหลายคืนทีเดียว อ่านๆพักๆอ่านๆ ฮ่าๆ
เพิ่งเคยอ่านพระเอกแนวนี้เหมือนกันค่ะ อารมณ์เจ้าชายมีสนมมากมาย ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นแต่ส่วนใหญ่ที่ไม่อ่าน
เพราะรับไม่ได้มากกว่ากับการต้องแบ่งคนรักร่วมกับใคร แต่อ่านแล้วชอบ ติดงอมแงมไม่ยอมวาง
เข้าเรื่องนิยาย อ่านมาตอนแรกแอบลุ้นให้คู่กับองค์นาธาเนียล (คิดไปได้เนอะ) แต่มันขัดกับชื่อเรื่องอยู่นะ อิอิ
แต่หัวเรื่องก็เขียนอยู่ว่าเดเมี่ยนนนน เป็นพระเอกจ๊ะ กว่าจะเริ่มรู้สึกรักมันทรมานไมเคิลมากเลย (เกือบนึกชื่อเดิมไม่ออก)
รักนะ แต่ไม่อยากใช้คนรักร่วมกับใคร รักนะ แต่ที่เขาทำตอนแรกมันยากจะอภัย ตอนล่าสุดเนี่ยเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้น
ไล่บรรดาสนมออกจากวิลล่าไป เขียนสนุกค่ะ ชอบ อ่านเพลิน ฉากนองเลือดก็ลื่นไหลดี 55555 แต่ชอบฉากแบบ
บอกรักหวานๆมากกว่า รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ในการเขียนค่ะ

 :กอด1:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 53 หึงหวง

 

มิคาเอลตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานะแบบนี้มาก่อน ตลอดมาเขาไม่เคยรู้สึกรักใครได้มากเท่านี้ ไม่เคยรู้สึกหึงหวงใครแบบนี้ และไม่เคยคิดที่จะทนอยู่กับใครหากเขาไม่มีความสุขแบบนี้ องค์เดเมี่ยนเป็นคนแรก และ คนเดียว ที่ทำให้คนที่เย็นชา ปกปิดความรู้สึกอย่างเขา แสดงความรู้สึกและอารมณ์ออกมา ไรอันเคยล้อเลียนว่าเขาเหมือน snow queen เยือกเย็น เย็นชา และไม่ยอมเปิดเผย แต่เป็นเพราะองค์เดเมี่ยนที่หลอมละลายเขา จนในตอนนี้เขาดูจะห่างไกลกับคำๆ นั้นเสียแล้ว

 

เขาลุกขึ้นแต่งตัวและเดินออกมา และพบว่าองค์เดเมี่ยนทรงงานอยู่ในห้องหนังสือ เขาจึงเดินเข้าไปหา เมื่อเขาเข้าไป องค์เดเมี่ยนก็ยิ้มให้และเรียกให้เข้าไปใกล้

“ตื่นแล้วเหรอ” ทรงตรัส โอบกอดมิคาเอลไว้ และรั้งให้มานั่งบนตัก

มิคาเอลมององค์เดเมี่ยนด้วยสายตาเศร้าๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ลอยออกมาบ่งบอกว่าพระองค์เพิ่งสรงน้ำได้ไม่นาน ฉลองพระองค์ก็ถูกเปลี่ยน พระองค์คงจะเริงรักอยู่กับสนมของพระองค์ก่อนหน้านั้น แค่คิดเขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จนเผลอกอดพระองค์แน่นขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“เจ้ายังเหนื่อยหรือเปล่า หิวไหม” ทรงถามลูบศรีษะคนตัวเล็กที่เอาแต่กอดพระองค์ไว้อย่างเอ็นดู

“ผมไม่เหนื่อยครับ” มิคาเอลตอบเรียบๆ

“พรุ่งนี้เราจะกลับไปทำงาน เจ้ายังอยากไปทำงานกับเราอยู่ไหม” ทรงตรัสถาม

“ครับ” คนตัวเล็กตอบเรียบๆ

“มีอะไรหรือเปล่า” ทรงถาม เมื่อคนตัวเล็กดูเงียบกว่าปกติ

แต่คนตัวเล็กก็ส่ายหน้า

“คืนพรุ่งนี้ มีงานเลี้ยงที่เราต้องไป เจ้าอยากไปกับเราหรือเปล่า”

“ครับ” มิคาเอลตอบอย่างว่าง่าย จนองค์เดเมี่ยนแปลกใจ

“เจ้าอยากจะช่วยเราจำหน้าแขกไหม” ทรงถาม มิคาเอลพยักหน้า และหยิบเอกสารปึกใหญ่ขึ้นมา และเดินไปนั่งอ่านรายละเอียดที่โซฟาตรงมุมห้องแทน คนตัวเล็กอ่านเอกสารไป ก็ถอนหายใจไปด้วย จนองค์เดเมี่ยนอดเป็นห่วงไม่ได้

 

พระองค์เดินมาแย่งเอกสารออกจากมือของคนตัวเล็ก และวางมันลงข้างๆ และคุกเข่าลงตรงหน้าคนตัวเล็ก จนมิคาเอลตกใจ

“มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” ทรงถามอย่างอ่อนโยน

“ฝ่าบาทเดี๋ยวจะทรงเปื้อน พระองค์ไม่ควรจะมาคุกเข่าต่อหน้าคนไร้ค่าอย่างผม” มิคาเอลรีบขอให้พระองค์ลุกขึ้น

“เจ้ามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับเรา บอกเรามาว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร” ทรงตรัส

“ไม่มีอะไรครับ” มิคาเอลยังคงปฏิเสธ

“เราไม่เชื่อ เจ้าไม่รัก ไม่ไว้ใจเราหรอกหรือ” ทรงตรัสพ้อ

“หากผมไม่รักพระองค์ผมคงไม่ต้องเจ็บแบบนี้ หากผมไม่รัก ผมคงไม่ต้องทนอยู่ในสภาพนี้” มิคาเอลตอบ

“การรักเราทำให้เจ้าทรมานมากขนาดนั้นเลยหรือ” ทรงถาม รู้สึกเสียใจที่ได้ยิน

“ต่อหน้าผม พระองค์ก็ทรงทำดีด้วย ลับหลังพระองค์ก็ไปหาสนมอื่น”

มิคาเอลกล่าว อยู่ๆ น้ำตาไหลออกมา

“ใครบอกเจ้ากัน ว่าเราไปหาสนมอื่น” ทรงตรัสถาม

“พระองค์จะโทษคนอื่นทำไม ในเมื่อผมเห็นพระองค์เดินเข้าไปที่วิลล่าเล็ก” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา

“เราไม่เคยรู้ว่าเจ้าขี้หึงแบบนี้” ทรงตรัสยิ้มๆ แปลกใจที่ได้ยิน

“ผมก็ไม่เคยคิด ว่าผมจะเป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะพระองค์ ทรงใจร้าย” มิคาเอลร้องไห้ออกมา และพยายามจะลุกหนี แต่องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นและกอดรั้งเอาไว้

“อย่าร้องไห้สิ คนดี” ทรงปลอบโยน

“พระองค์จะสนใจผมทำไม พระองค์ก็ไปหาสนมของพระองค์สิ” มิคาเอลตัดพ้อ

“สนมคนเดียวที่เราต้องการ อยู่ตรงนี้” ทรงตรัส

“คนโกหก คนหลายใจ” มิคาเอลพูด ผลักพระองค์ออก

“ฟังเราก่อน… เราเข้าไปในวิลล่าเล็กก็จริง” ทรงสารภาพ

มิคาเอลรู้สึกเจ็บที่ได้ยิน

“แต่… เราไม่ได้เข้าไปหาความสุขจากสนมคนไหน เจ้าแมททิวหลงรักริชชี่ เราก็แค่เข้าไปถามความรู้สึกของริชชี่ว่าคิดอย่างไรกับ เจ้าแมททิว และดูเหมือนริชชี่เองก็มีใจ เราก็เลยปลดปล่อยริชชี่จากการเป็นสนมของเรา และให้แมททิวลางาน ทั้งสองคนนั้นจะได้มีเวลาปรับตัวเข้าหากัน แค่นั้นจริงๆ” ทรงตรัส มิคาเอลเงยหน้าขึ้นมององค์เดเมี่ยน อย่างไม่อยากจะเชื่อ พระองค์จึงก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับมิคาเอล

 

“แต่ถ้าแค่นั้นทำไมพระองค์ต้องอาบน้ำ แล้วยังเปลี่ยนชุดอีก”

มิคาเอลยังกล่าวหา พระคิดว่ามิคาเอลยังคงเฉียบคมเกินไป เรื่องเพียงเล็กน้อยก็ยังสังเกตุเห็น ที่พระองค์ต้องอาบน้ำและเปลี่ยนชุด เพราะคราบเลือดที่กระเด็นมาโดนนั่นเอง

“เจ้าแมททิว มันซุ่มซ่ามทำชุดเราเปื้อน (เลือด) เราเลยต้องเปลี่ยนชุดใหม่ เราก็เลยอาบน้ำด้วยก็เท่านั้น ตัวเราหอมแล้ว เจ้าอยากจะลองชิมเราดูไหม” ทรงตรัสหยอกล้อ ทำท่าจะปลดกางเกงออก มิคาเอลหน้าแดงทั้งจากความเขินอาย และรู้สึกผิด ที่กล่าวหาคนตรงหน้า

“ผม… ขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวทำท่าจะร้องไห้อีก

จนองค์เดเมี่ยนรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“เราบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเรารักเจ้า และต้องการเพียงแค่เจ้าคนเดียว” ทรงตรัสอ่อนโยน

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้แน่น

“เราควรจะทำโทษเจ้าอย่างไร ที่เจ้าเอาแต่ปากแข็งแบบนี้” ทรงตรัสหยอกเย้า

“...” คนตัวเล็กไม่ตอบ แต่หน้าแดงเมื่อคิดถึงวิธีลงโทษของพระองค์

“เจ้าหายโกรธเราแล้วใช่มั้ย” ทรงถาม

“ผมไม่ได้โกรธ...” มิคาเอลตอบ

“เราอยากครอบครองเจ้า แต่เรามีงานที่ต้องสะสางเยอะเหลือเกิน เจ้าคงไม่ว่าเราใช่มั้ย” ทรงตรัส

“ผมจะช่วยครับ” มิคาเอลรีบอาสา พระองค์จึงรั้งมากอดและจูบที่หน้าผากอย่างเอ็นดู

 

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาองค์เดเมี่ยนทรงงานหนักทุกวัน แม้ที่ผ่านมาจะมีคนมาทำหน้าที่แทนพระองค์ แต่คนที่มาแทนก็ดูจะมีความสามารถในการบริหารและจัดการ รวมไปถึงการต่อรองได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ที่องค์เดเมี่ยนทำได้ด้วยซ้ำ ทำให้การกลับมาขององค์เดเมี่ยนเป็นที่ยินดียิ่งต่อเหล่าคณะรัฐบาล ทำให้ไม่มีใครกล้าปริปากตำหนิที่พระองค์เกเรไม่มาทำงานแม้เพียงครึ่งคำ

 

นอกจากงานในออฟฟิต องค์เดเมี่ยนยังทรงออกงานเลี้ยงหลายต่อหลายงาน จนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน โดยมิคาเอลจะตามเสด็จไปช่วยทรงงานด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานในออฟฟิต หรือแม้แต่การออกงานกลางคืน

มิคาเอลเรียนรู้งานด้านต่างๆ จากพระองค์ และจากเลขาอาร์ชี่ และมิคาเอลก็ทำได้อย่างดี จนองค์เดเมี่ยนประทานตำแหน่ง ผู้ช่วยส่วนพระองค์ พ่วงท้ายตำแหน่งของพระสนมอีกด้วย งานในออฟฟิตมิคาเอลก็ช่วยแบ่งเบางานของเลขาอาร์ชี่ไปได้หลายส่วน และเวลาที่องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลออกงาน มิคาเอลจะคอยช่วยพระองค์จดจำแขกคนสำคัญต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดปลีกย่อย และตารางงานคร่าวๆ ประหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ก็ไม่ปาน และตั้งแต่องค์เดเมี่ยนกลับมาคราวนี้ พระองค์ก็ดูมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งชื่อของมิคาเอลยังปรากฏขึ้นในรายงานบ่อยครั้ง และมิคาเอลก็เปรียบเสมือนเงาตามตัวองค์เดเมี่ยนอยู่ตลอด ทำให้องค์นาธานเนียลมองมิคาเอลในแง่ที่ดีขึ้นมาก

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์เดเมี่ยนก็มิได้เข้าไปที่วิลล่าเล็กอีกเลย พระองค์นอนร่วมเตียงกับมิคาเอลทุกคืนเหมือนดั่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ แม้พระองค์จะยังมีสนมมากมาย แต่มิคาเอลก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยพระองค์ก็รักษาคำพูด และเขาก็จะพยายามทำตามพระองค์ด้วยเช่นกัน

 

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่มิคาเอลตามเสด็จมาทำงานปกติ แต่จู่ๆ เขาก็ได้รับจดหมายประทับตราขององค์ราฟาเอล มิคาเอลแปลกใจที่ได้รับจดหมายขององค์ราฟาเอล และเขาก็ไม่อยากให้องค์เดเมี่ยนทราบ ด้วยเพราะรู้นิสัยขององค์เดเมี่ยนดี เขาจึงแอบเปิดออกอ่าน

 

“น้องชายของเจ้ากำลังจะมาถึงในอีก 2 วัน เราหวังว่าเราจะยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเรา_ ราฟาเอล”

 

มิคาเอลอ่านจดหมายด้วยหัวใจที่เต้นระทึก โทนี่กำลังจะมาเยี่ยมเขา

มิคาเอลรู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมา องค์เดเมี่ยนที่ทรงงานอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิคาเอล ยิ้มออกมา พระองค์จึงอดสงสัยไม่ได้

“เจ้ายิ้มอะไร” ทรงถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลรีบปฏิเสธ และรีบเก็บจดหมาย แต่องค์เดเมี่ยนก็เร็วกว่า พระองค์เดินมาหาเมื่อเห็นตราประทับที่ซองจดหมายก็ยิ่งทรงโกรธ

“นั่นมันตราประทับของราฟาเอล เจ้าคิดจะนอกใจเราหรืออย่างไร ส่งจดหมายมา” ทรงตรัสเสียงดังด้วยความโกรธ

“ผมเปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธอีกครั้ง แต่ก็ไม่ยอมส่งจดหมายให้ องค์เดเมี่ยนจึงแย่งมาดู

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าไปออดอ้อนราฟาเอลให้พาน้องชายของเจ้ามาหา และสัญญาอะไรที่เจ้าไปให้ไว้กับราฟาเอล”

ทรงตรัสถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด บีบข้อมือของมิคาเอลไว้

“ฝ่าบาท ผมเจ็บ ปล่อยครับ ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอน

องค์เดเมี่ยนจึงปล่อยมือ

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบเรามาเดี๋ยวนี้!!!” ทรงตรัสเร่ง

“องค์ราฟาเอลทรงทราบว่าผมคิดถึงน้องชายตั้งแต่ตอนที่พระองค์ยกผมให้กับองค์ราฟาเอล องค์ราฟาเอลรับปากว่าจะจัดการให้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าองค์ราฟาเอลจะทรงทำให้จริงๆ” มิคาเอลอธิบายตามจริง

“แล้วเจ้าไปสัญญาอะไรกับมัน” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธ

“ผมสัญญาว่าจะทานอาหารค่ำกับองค์ราฟาเอลครับ” สิ้นสุดคำพูด

องค์เดเมี่ยนก็หมดความอดทน

“แล้วอย่างไร เจ้ายังคิดจะไปหามันอีกเหรอ” ทรงตรัสเสียงดัง

“ผมเปล่าครับ แต่องค์ราฟาเอล...” มิคาเอลพยายามจะอธิบาย องค์เดเมี่ยนก็ตรัสสวนขึ้นมา

“ราฟาเอล ราฟาเอล ชื่อของชายอื่น เจ้ายังกล้าเรียกต่อหน้าเราอีกหรือ มานี่” ทรงตรัส และจับต้นแขนของมิคาเอลไว้ พามิคาเอลกลับไปที่วิลล่า

 

“ฝ่าบาท ปล่อยครับ ผมเจ็บ” มิคาเอลอ้อนวอน

เมื่อถูกพระองค์กึ่งดึงกึ่งลากมาตลอดทาง

“ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นของเรา แล้วเจ้ายังจะไปยั่วยวนคนอื่นอีกหรือ” ทรงตรัส

“ผมเปล่าครับ ฝ่าบาท!” มิคาเอลปฏิเสธ พยายามจะเดินให้ทันพระองค์ แต่พระองค์ก็หันกลับมาอุ้มมิคาเอลพาดบ่า และพาไปที่ห้องบรรทม เมื่อเข้ามาพระองค์ก็ปล่อยมิคาเอลลงบนเตียง

 

“เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นเจ้าของเจ้า หรือเจ้าต้องให้เราแสดงให้ดู” ทรงตรัสถาม ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมิคาเอลออก

“ผมเป็นของพระองค์ ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ได้โปรดฝ่าบาท อย่าทำแบบนี้” มิคาเอลร้องขอ หยุดดิ้นรนและกอดองค์เดเมี่ยนไว้

“อย่าคิดว่ากอดเรา แล้วจะทำให้เราหายโกรธ เราจะครอบครองเจ้า ตีตราเจ้า ทำให้เจ้ารู้ และสำนึกว่าเจ้าเป็นของเราคนเดียว” ถึงจะตรัสโหดร้าย แต่พระองค์ก็เย็นลง

 

“ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ผมไม่เคยคิดจะนอกใจพระองค์ ผมต้องการพระองค์คนเดียว แต่พระองค์ทำให้ผมกลัว อย่าทรงโกรธ และลงโทษผมแบบนี้ ผมเป็นของพระองค์ หากพระองค์ต้องการผม ผมก็ต้องการพระองค์เช่นกัน แต่ได้โปรดอย่าใช้กำลังกับผม ผมกลัวครับ” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์เอาไว้แน่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ตามที่พูดจริงๆ องค์เดเมี่ยนจึงพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ ที่ผ่านมาพระองค์พยายามไม่ให้

มิคาเอลเห็นพระองค์ เวลาที่พระองค์ใช้ความรุนแรง และโหดร้าย เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้คนตัวเล็กหวาดกลัวพระองค์ แต่ตอนนี้พระองค์กลับให้ความโกรธเข้าครอบงำจนกระทำรุนแรงกับคนตรงหน้า พระองค์ก็รู้สึกผิดขึ้นมา

 

“เราขอโทษที่ใช้กำลัง เราโกรธ เพราะเราไม่ต้องการให้เจ้าเอ่ยชื่อชายอื่น โดยเฉพาะราฟาเอล” ทรงตรัสอ่อนโยนขึ้น กอดตอบมิคาเอลไว้

“ผมขอโทษครับ ได้โปรดอย่าโกรธผมเลย” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา

“เราโกรธเพราะเรากำลังทำเรื่องให้น้องชายของเจ้า เจ้าเป็นคนของเรา ราฟาเอลทำแบบนี้เป็นการหยามเกียรติของเรา แล้วไหนจะสัญญาอะไรนั่นอีก เราไม่อนุญาต หากเจ้าขัดคำสั่ง เราจะลงโทษเจ้า และเราจะหาเรื่องทำโทษราฟาเอลด้วยที่มายุ่งกับเจ้าอีก” ทรงตรัสเสียงแข็ง

“ผมแค่ดีใจที่จะได้เจอโทนี่ครับ ผมจะทำตามคำสั่งของพระองค์ อย่าทรงโกรธอีกเลยนะครับ” มิคาเอลกล่าวอ้อนวอน

“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า” ทรงตรัสโทษคนตัวเล็กหน้าตาเฉย

“เพราะเรารักเจ้า เราถึงได้ทั้งหึง และหวงเจ้าแบบนี้” ทรงตรัส

“ผม... ขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าว รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

“เจ้าสำนึกผิดก็ดี บอกเราสิ ว่าเราควรทำโทษเจ้าอย่างไร” ทรงตรัสถามก่อนจะครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน

 

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 54 เต้นรำ

 

มิคาเอลยืนอยู่เคียงข้างองค์เดเมี่ยนในงานเลี้ยง ตลอด 2 วันที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนเอาแต่ใจเป็นที่สุด โทนี่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และแม้

มิคาเอลจะบอกแก่องค์เดเมี่ยนมาตลอดสองวันที่ผ่านมาว่าเขาจะไม่ไปหาองค์ราฟาเอล และจะเชื่อฟังคำสั่งขององค์เดเมี่ยน แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเอาแต่ทำโทษเขามาตลอดสองวันเต็มๆ  ร่างของมิคาเอลมีแต่รอยจูบของพระองค์เต็มไปหมด และองค์เดเมี่ยนก็ดูจะมีความสุขกับการทิ้งรอยจูบไว้เสียเหลือเกิน แล้วพระองค์ก็ยังคอยแต่จะถามคำถามน่าอายเหล่านั้นระหว่างร่วมรักกับเขาอีก ยิ่งคิดมิคาเอลก็ยิ่งรู้สึกอับอาย ใบหน้าหวานจึงค่อยๆ ขึ้นสีจางๆ

 

“หากเจ้าต้องการร่วมรักกับเรา เจ้าก็ต้องทนอีกสักพัก จนกว่าเราจะหาโอกาสออกจากงานเลี้ยงได้เสียก่อน” ทรงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลเถียงหน้าแดง

 

"ไมเคิล มิลลส์" เสียงเรียกชื่อดังขึ้น ชื่อที่มิคาเอลไม่ได้ยินมานาน เขาจึงหันตามเสียงไป องค์เดเมี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงมองตามไปด้วย พระองค์จึงพบกับชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งดูไปแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยกับพระองค์ เดินเข้ามาหามิคาเอล และทำท่าจะมากอดมิคาเอล พระองค์จึงเดินเอาตัวเข้าไปขวางไว้

“ฝ่าบาท อย่าเสียมารยาทสิครับ ฝ่าบาทครับนี่คือคุณวิลเลียม แคมพ์เบล เป็นนักธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเพื่อนของผมครับ นี่คือ…” มิคาเอลแนะนำชายหนุ่มให้องค์เดเมี่ยนรู้จัก ในขณะที่เขากำลังจะแนะนำองค์เดเมี่ยน วิลเลี่ยมก็ต่อให้จนจบ

“เจ้าชายเดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เป็นเกียรติขอรับ” วิลเลี่ยมคำนับทักทาย

“คุณวิลเลี่ยมมาได้ยังไงครับ” มิคาเอลถามอย่างสนใจ

“พอดีเพื่อนของผมมาลงทุนที่นี่ ผมก็เลยมาลองดู เผื่อมีโอกาสได้ขยับขยายมาที่นี่บ้าง” วิลเลี่ยมกล่าว มองมาที่มิคาเอลไม่วางตา

“แล้วคุณล่ะไมเคิล มาทำอะไรที่นี่” วิลเลี่ยมถาม

“มิคาเอลเป็นคนรักของเรา และคานาเดียก็มีผู้ลงทุนเยอะแล้ว ทางเราไม่ต้องการผู้ลงทุนอย่างเจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฝ่าบาท!” มิคาเอลหน้าแดงที่ถูกแนะนำตัวแบบนี้ และไม่พอใจที่พระองค์เสียมารยาท

“ไปหยิบแชมเปญมาให้เรา มิคาเอล” ทรงตรัส ตามองคนตรงหน้าไม่กระพริบ

“แต่... ก็ได้ครับ” มิคาเอลอยากปฏิเสธ แต่ก็โดนสายตาดุๆ ของพระองค์ดุใส่จึงจำใจไป

 

“เจ้าต้องการอะไรจากมิคาเอล” ทรงถามขึ้น

“ผมได้ยินมาว่า ไมเคิลหายตัวไป น้องชายของเขาเคยโทรมาหาผม ผมก็แค่สงสัยว่าเขาถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือไม่” วิลเลี่ยมกล่าว

“ถ้าเจ้าไม่อยากมีปัญหาก็กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับคนของเรา” ทรงตรัสอย่างเป็นเจ้าของ

“ไมเคิลเป็นคนมีอนาคต พระองค์ไม่มีสิทธิมากักขังเขาไว้ในประเทศนี้”

วิลเลี่ยมกล่าว

“ผมไม่ได้ถูกกักขังหรอกครับ ผมเต็มใจอยู่เอง” มิคาเอลกล่าว

“โทนี่ดูเป็นห่วงคุณมากนะไมเคิล ทำไมคุณไม่ติดต่อเขาหากคุณไม่ถูกกักขัง ผมจะแจ้งสถานทูตให้ ถ้าคุณต้องการ ผมจะพาคุณกลับอเมริกา”

วิลเลี่ยมกล่าว

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่โทนี่จะมาหาผมพรุ่งนี้ และผมก็ต้องการอยู่ที่นี่” มิคาเอลกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นผมก็วางใจ ผมคงต้องตัดใจสินะ” วิลเลี่ยมกล่าวเบาๆ

องค์เดเมี่ยนรีบดึงมิคาเอลเข้าไปกอด

“คนอย่างเจ้าน่ะ ไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้ว” ทรงตรัสและพามิคาเอลเดินออกมาห่างจากวิลเลี่ยม

 

“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณวิลเลี่ยม มีใจให้ผม” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเสียดายหรือยังไง” ทรงตรัสถามไม่พอใจ

“ฝ่าบาท อย่าทรงพาลสิครับ ผมไม่ได้พูดสักหน่อย” มิคาเอลรีบปฏิเสธ

“เจ้าก็ไม่เคยพูดอะไรตรงกับใจสักอย่าง” ทรงตรัสบ่น

“ผม... รักพระองค์ครับ และผมก็ไม่ได้โกหก” มิคาเอลกล่าวกับพระองค์ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออก รั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด จุมพิตที่หน้าผากเบาๆ

“เต้นรำกับเราสักเพลงนะ” ทรงตรัสถาม ถอยออกมาก่อนโค้งคำนับให้และยื่นมือออกมาหามิคาเอล มิคาเอลหน้าแดงแต่ก็ยื่นมือไปจับมือของพระองค์ไว้ ปล่อยให้พระองค์พาเดินไปที่ฟอร์เต้นรำ

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส เต้นรำกับมิคาเอลกลางฟอร์เต้นรำ โดยที่แขกในงานต่างแหวกทางให้แก่ทั้งสอง

“พระองค์จะรักผมไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” มิคาเอลถาม องค์เดเมี่ยนโอบร่างของมิคาเอลเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่ง จับมือของมิคาเอลไว้ รั้งขึ้นมาจุมพิตเบาๆ อย่างรักใคร่ จับมือของมิคาเอลไว้แนบหัวใจของพระองค์

“ตราบเท่าที่หัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ เราจะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

ทรงตรัสจริงจัง จนมิคาเอลหน้าแดง ทั้งสองเต้นรำกันแนบชิด จนแขกในงานต่างมองด้วยสายตาอิจฉา

“พระองค์ก็ทรงตรัสในตอนนี้ อีกหน่อยหากผมอายุมากขึ้น พระองค์ก็คง...” มิคาเอลเอ่ย

“ต่อให้เจ้าอายุ 70 เจ้าก็ยังคงงดงามในสายตาของเรา และเราก็จะอยู่ตรงนี้ และชราไปพร้อมกับเจ้า” ทรงตรัส มองเข้าไปในดวงตาของของอีกฝ่าย

 “หากเจ้าเจ็บป่วย เราจะนั่งอยู่ข้างเตียงของเจ้า หากเจ้าเดินไม่ไหว เราจะอุ้มเจ้า ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เราก็จะอยู่ตรงนั้น กอดเจ้าเอาไว้ เก็บเจ้าเอาไว้ในอ้อมกอดของเรา เราจะดูแล และปกป้องเจ้า เท่าที่กำลังทั้งหมดที่เรามีจะทำได้ ตราบจนลมหายใจสุดท้าย เราก็จะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส ยกมือของมิคาเอลขึ้นมาจุมพิตอีกครั้ง มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้ หัวใจพองโต มีความสุขจนมิอาจจะเรียบเรียงเป็นคำพูดได้

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว ซบใบหน้ากับอกกว้าง

 

องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลกลับมาที่วิลล่า เมื่อลงจากรถ พระองค์ก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะช้อนร่างของมิคาเอลขึ้น โอบอุ้มร่างเล็กพาเดินเข้ามาในวิลล่า ทรงก้มลงจุมพิตมิคาเอลเนิ่นนาน ด้วยความรักใคร่ พาเดินช้าๆ ไปยังห้องบรรทม พระองค์วางร่างของมิคาเอลลงยืนหน้ากระจกบานใหญ่ พระองค์ยืนอยู่ด้านหลังของคนตัวเล็ก เอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อของมิคาเอลออกช้าๆ และก้มลงจุมพิตที่ต้นคอของคนตรงหน้า

“เจ้างดงามมากกว่าใคร มิคาเอล” ทรงกระซิบข้างหู มิคาเอลพิงกายเข้ากับพระองค์ ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจูบไซร้ที่ต้นคอของเขา พระองค์ถอดเสื้อผ้าของมิคาเอลออกทีละชิ้น จนในที่สุดมิคาเอลก็ยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าของพระองค์

“มองดูเจ้าในกระจกสิ เจ้างดงามที่สุด”

ทรงจูบต้นคอของมิคาเอลแต่สายตายังคงจับจ้องสบตากับมิคาเอลในกระจก คนตัวเล็กหน้าแดงด้วยความเขินอาย

 

มิคาเอลจึงหันกลับมาหาพระองค์ และช่วยพระองค์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น คนตัวเล็กก็คุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ มือเรียวเล็กยกขึ้นมาสัมผัสร่างของพระองค์อย่างแผ่วเบา องค์เดเมี่ยนจ้องมองการกระทำของคนตัวเล็ก เพียงสัมผัสแผ่วเบาจากมือพระองค์ก็แทบคลั่ง แล้วสัมผัสจากปากลิ้นของคนตัวเล็กจะทำให้พระองค์มีความสุขขนาดไหน ร่างเล็กค่อยๆ แลบลิ้นเลียส่วนปลายของพระองค์ ลิ้นเล็กร้อนผ่าวตวัดเลียอย่างไม่แน่ใจในตอนแรก ก่อนคนตัวเล็กจะเริ่มชินและอ้าปากครอบครองพระองค์เข้าไปช้าๆ ลิ้นเล็กยังคงตวัดเลียพระองค์อย่างตั้งใจ จนพระองค์ต้องครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าไปหัดใช้ลิ้นแบบนี้”

ทรงตรัสถามอย่างเอ็นดู มิคาเอล หน้าแดง ไม่ยอมตอบ และยังคงตั้งใจทรมานพระองค์ต่อไป มือเล็กสัมผัสที่ฐานของพระองค์ คนตัวเล็กก็หมุนวนและขยับขึ้นลงพร้อมๆ กัน ลิ้นร้อนๆ ก็เลียตวัดที่ส่วนปลาย จนพระองค์ต้องครางหนักๆ ออกมา ร่างของพระองค์แข็งแกร่งตั้งตระหง่าน ความปรารถนาพลุ่งพล่านจนแทบทนไม่ได้ พระองค์รั้งร่างเล็กขึ้น ก่อนจะอุ้มพาไปที่เตียง

 

พระองค์วางร่างของคนตัวเล็กลงที่ขอบเตียงและคุกเข่าลงต่อหน้า พระองค์แยกขาของมิคาเอลออก ก้มลงค่อยๆ และเล็มคนตัวเล็กทีละนิด ลิ้นของพระองค์สัมผัสคู่แฝดที่อยู่เคียงข้างแก่นกายของคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ ก่อนจะครอบครองมันเข้าไป มิคาเอลตกใจกับความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ความเสียวซ่านมิได้ลดน้อยลงเลย พระองค์ทรมานเขาอยู่นาน กว่าพระองค์จะค่อยๆ ใช้ลิ้นสัมผัสที่ปลายยอดอย่างแผ่วเบา ร่างของมิคาเอลก็สั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ คนตัวเล็กครางออกมาเมื่อพระองค์ใช้ลิ้นเลียหยดน้ำใสๆ ที่หยาดเยิ้มออกมา และพระองค์ยังใช้ลิ้นเลียเข้าไปภายใน คนตัวเล็กครางเสียงดัง ร้องเรียกหาพระองค์

 

พระองค์ใช้ปากครอบครองมิคาเอลไว้ทั้งหมด ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์ยังเกี่ยวกระหวัด หยอกเย้า แนบไปกับเส้นด้านล่าง มิคาเอลเสียวซ่านไปหมด มือขยำผ้าปูที่นอนไว้ ครางออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ แต่พระองค์ก็ยังไม่หยุด พระองค์ยกขาของเขาขึ้น ก่อนจะก้มลงและแลบเลียที่ส่วนอ่อนไหวเบื้องหลัง ยิ่งพระองค์ปลุกเร้า มิคาเอลก็ยิ่งทรมานด้วยความปรารถนา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามาช้าๆ พระองค์ขยับนิ้วอย่างช่ำชอง ภายในของมิคาเอลก็บีบรัดเป็นจังหวะ เมื่อร่างเล็กทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กก็เกร็งกระตุก และปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมา พระองค์มองอย่างพึงพอใจ กลืนกินมิคาเอลลงไปทั้งหมด

 

ร่างเล็กหอบเหนื่อย แต่พระองค์ประคองมิคาเอลให้ลุกขึ้นหันหลังให้พระองค์ ก่อนจะสอดใส่เข้าไปช้าๆ อีกครั้งที่คนตัวเล็กบีบรัดร่างของพระองค์ และครวญครางออกมา พระองค์รั้งมิคาเอลขึ้นมาจูบเพื่อปลอบโยน และเริ่มขยับตัวช้าๆ ร่างของคนตัวเล็กคับแน่นจนพระองค์ครางออกมาด้วยความหฤหรรษ์ แต่พระองค์ก็ไม่ฝืนกระทำ พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า เมื่อคนตัวเล็กเริ่มชิน พระองค์จึงค่อยๆ ขยับเข้าออกเร็วขึ้น มือข้างหนึ่งยังเอื้อมมาปลุกเร้าด้านหน้า มิคาเอลสุดจะกลั้น เมื่อพระองค์ปรนเปรอความสุขให้มากถึงเพียงนี้ ไม่นานมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

 

พระองค์ทิ้งตัวลงนอน จับมิคาเอลมานั่งลงบนร่างของพระองค์ช้าๆ ร่างเล็กค่อยๆ ขยับตามจังหวะของพระองค์ องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นมาครอบครองยอดทับทิมสีชมพูไว้ในปาก หยอกล้อ ขบกัดเบาๆ จนมิคาเอลร้องครางด้วยความเสียงซ่าน มือใหญ่เอื้อมมาจับที่แก่นกายด้านหน้า ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ มิคาเอลครางออกมาเสียงดัง และปลดปล่อยออกมาอีก ก่อนจะฟุบลงกับอกขององค์เดเมี่ยน พระองค์จูบมิคาเอลเนิ่นนาน ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายใน แต่พระองค์ก็ถอดถอนออก กอดมิคาเอลไว้จากด้านหลังก่อนจะซ้อนร่างของพระองค์แนบชิดกับคนตัวเล็ก แยกขาของมิคาเอลออก ก่อนจะสอดใส่เข้าไป ร่างของพระองค์ค่อยๆ จมหายเข้าไป พร้อมๆ กับสติอันลางเลือนของมิคาเอล พระองค์ยังคงขยับร่างอย่างเชื่องช้า ปรนเปรอความสุขแก่มิคาเอลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ร่างเล็กครวญครางอย่างรัญจวน ปล่อยให้พระองค์นำพาไปอย่างมิได้ขัดขืน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนาน

 

จนในที่สุดพระองค์ก็ลุกขึ้นนั่งคุกเข่า รั้งร่างของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ สอดแทรกลงไป และเริ่มขยับ จากเชื่องช้า เนิบนาบ ค่อยๆ เร่งจังหวะเป็นเร่าร้อน ดุดัน หลังจากการร่วมรักอันยาวนาน ทั้งสองก็ค่อยๆ โบยบินขึ้นสรวงสวรรค มิคาเอลบีดรัดพระองค์แนบแน่น ครวญครางออกมา ทั้งองค์เดเมี่ยน และมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมา พร้อมๆ กัน

 

"เรารักเจ้า” ทรงตรัส พลิกร่างมิคาเอลขึ้นด้านบน มิคาเอลก็ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์ เสียงหัวใจของพระองค์ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลาย

“พรุ่งนี้น้องชายของเจ้าก็มาแล้วสินะ” ทรงตรัสถาม

“ครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงโทนี่

 

“เจ้าจะต้องรอเราที่วิลล่าจนกว่าเราจะกลับมาก่อน เข้าใจไหม” ทรงตรัส แต่เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพระองค์ก็ขับกล่อมมิคาเอล ให้หลับไหลไปก่อนที่จะได้ยินคำสั่งขององค์เดเมี่ยน

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


บทที่ 55 การมาถึงของน้องชาย

 

ไมเคิลเฝ้ารอการมาของโทนี่ด้วยใจที่จดจ่อ เขาไม่เคยต้องอยู่ห่างจากโทนี่นานเท่านี้มาก่อน ยิ่งใกล้เวลาที่โทนี่จะมา เขาก็ยิ่งกระวนกระวาย จนเขาต้องมายืนรอรับที่ด้านหน้าของวัง  พร้อมองครักษ์อีกสองคนที่องค์เดเมี่ยนสั่งให้ดูแลเขา ทันทีที่รถจอดลง ไมเคิลก็แทบอยากพุ่งเข้าไปหา ไมเคิลกอดน้องชายเนิ่นนาน ด้วยความคิดถึง

 

"โทนี่” แม้ไมเคิลจะมีประโยคที่อยากพูดมากมาย แต่เขากลับกล่าวออกมาได้เพียงแค่นี้

“พี่ไมเคิล ทำไมพี่ทำแบบนี้ พี่รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน” เสียงต่อว่าแบบเด็กๆ ของโทนี่ดังขึ้น

“พี่ขอโทษ พี่มีเหตุจำเป็น พี่จึงติดต่อเธอไม่ได้ มาเถอะ พี่จะพาไปที่ๆ พัก” ไมเคิลรู้สึกผิด แต่ด้วยความเป็นห่วงน้องชาย เขาไม่คิดจะเล่าความจริงทั้งหมดให้โทนี่ฟัง

“พี่หมายความว่ายังไง ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ แล้วพี่จะให้ผมไปพักที่ไหน” โทนี่ยิงคำถามใส่เป็นชุด

“ใจเย็นๆ ก่อน โทนี่ เดี๋ยวพี่จะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังเอง ตามพี่มาทางนี้” ไมเคิลรู้สึกผิดที่เห็นโทนี่เป็นห่วงเขามากขนาดนี้

 

เขาพาโทนี่มาพักที่ปีกตะวันตกอันเป็นวิลล่าหลังเล็ก ที่มีไว้สำหรับรับรองแขก แม้วิลล่าขององค์เดเมี่ยนจะใหญ่โต แต่เขาไม่อยากเสี่ยงเอาโทนี่ไปพักด้วย ด้วยเพราะกลัวองค์เดเมี่ยนอาจจะใจร้อน มาทำร้ายน้องชายของเขา ไมเคิลรู้ว่าองค์เดเมี่ยนดีกับเขามาก แต่บางครั้งความใจดี และความอ่อนโยนก็จำกัดอยู่ที่ตัวเขา ไม่ได้เผื่อแพร่ไปถึงคนอื่นด้วย

 

เมื่อมาถึงปีกตะวันตก ไมเคิลก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ในแบบฉบับย่อ และตัดฉากอันไม่เหมาะสมออกไป สุดท้ายเรื่องราวจึงคล้ายกับว่า เขาเหมือนชายหนุ่มผู้โชคดี มีเจ้าชายมาตกหลุมรัก และตัดสินใจอยู่กับคนรักในวังแห่งนี้ โดยไม่ได้บอกเลยสักนิดว่าที่ผ่านมาเขาต้องทนทรมาน เจ็บปวดมากเพียงไหน โดนทำร้ายมาเท่าไหร่ และต้องกล้ำกลืนฝืนทนอะไรบ้าง เพราะโทนี่คือคนที่สำคัญที่สุดของไมเคิล ไมเคิลจึงไม่ต้องการทำให้โทนี่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย

 

โทนี่ยังออดอ้อน พูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟัง มิคาเอลก็ยิ้มรับ หัวเราะ และเอ็นดูน้องชายเป็นที่สุด เขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับโทนี่ ตามลำพัง โดยบอกให้องครักษ์ไปรอด้านนอก ไมเคิลพูดคุยกับโทนี่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ได้สนใจเวลาที่ผ่านไป แต่แล้วเสียงผลักประตูให้เปิดออกก็ดังขึ้น องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจ จนมิคาเอลตกใจ แต่พยายามเก็บอาการไว้ และแนะนำ โทนี่กับพระองค์

 

"ฝ่าบาท นี่น้องชายของผม โทนี่ครับ โทนี่ เคารพองค์ชายเดเมี่ยนสิ”

มิคาเอลกล่าว โทนี่พยายามแนะนำตัวกับพระองค์ แต่มิคาเอลก็รู้ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะรู้จักกับใคร และยังไม่ทรงใส่ใจโทนี่แม้แต่น้อย

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเจ้าจะต้องรอเรา”

ทรงตรัสเสียงขุ่น เดินเข้ามาหา คว้าตัวมิคาเอลมาไว้ในอ้อมกอด มิคาเอลหน้าแดงที่พระองค์เอาแต่ใจแบบนี้ต่อหน้าน้องชายของเขา

“ฝ่าบาท ผมบอกแล้วนี่ครับว่าโทนี่จะมาในวันนี้” พูดไม่ทันจบ พระองค์ก็ช้อนร่างของมิคาเอลขึ้นและหันมาพูดกับโทนี่อย่างเย็นชา

“เจ้าจะทำอะไรที่นี่ เราไม่สน แต่มิคาเอลเป็นของเรา” มิคาเอลไม่มีเวลาจะบอกลาโทนี่ด้วยซ้ำ พระองค์ก็เอาแต่ใจ อุ้มพาเขากลับวิลล่า

 

เมื่อมาถึงที่วิลล่าองค์เดเมี่ยนก็ปล่อยมิคาเอลลงและพามาที่ห้องนั่งเล่น และเริ่มตำหนิคนตัวเล็ก

 

“เจ้าขัดคำสั่งเรา” พระองค์ตำหนิ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลประท้วง

“เราบอกให้เจ้ารอเราก่อน แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่ปีกตะวันตกทั้งวันกับน้องชายของเจ้าแบบนี้” ทรงดุ

“ผมไม่ได้เจอโทนี่มาตั้ง 6 เดือน ผมคิดถึงน้องชาย พระองค์ก็ทรงทราบ แล้วทำไมพระองค์ยังทรงทำแบบนี้” มิคาเอลถาม

“เราไม่ชอบใจ เราหรือน้องชายเจ้าสำคัญกว่ากัน” ทรงตรัสถามคำถามที่ยากจะตอบ

“ฝ่าบาทไม่ทรงยุติธรรมเลย ทำไมพระองค์ถามผมแบบนี้” มิคาเอลตัดพ้อ

“เจ้าที่ตามเราไปทำงานทุกวัน ไม่ว่าเราไปไหนเจ้าก็อยู่ตรงนั้น แต่นี่พอน้องชายของเจ้ามา เจ้าก็เอาแต่สนใจแต่น้องชายของเจ้า แล้วจะไม่ให้เราโกรธได้อย่างไร” ทรงตรัส

“โทนี่เป็นน้องของผม เป็นครอบครัวคนเดียวที่ผมมี เขาสำคัญต่อผมมาก พระองค์ก็ทรงรู้ แล้วทำไมพระองค์ถึงไม่เข้าใจ” มิคาเอลถามกลับ

“เพราะการที่เจ้ายังทนอยู่กับเรา ก็เพื่อน้องของเจ้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อตอนนี้เจ้าได้พบเขา เจ้าก็คงบอกกับเขาสินะว่าเราทำร้ายเจ้ามากแค่ไหน ในเมื่อเจ้ามีอิสระที่จะจากไป แล้วเจ้าจะทนเห็นน้องของเจ้ากลับไปได้หรือ ถึงตอนนั้นหากเจ้าเลือกน้องชายของเจ้า เลือกที่จะไปจากเรา แค่คิดเราก็ทนไม่ได้แล้ว แล้วเจ้าจะให้เรารู้สึกอย่างไร” ทรงตรัสแล้วหันหน้าไปทางอื่น

“เจ้าขอให้เรามีเจ้าเป็นคนสุดท้าย ขอให้เราไม่ไปหาสนมอื่น เราก็ทำให้เจ้า เจ้าขออิสระ เราก็มอบให้ ในตอนนี้หากเจ้าเลือกน้องชายของเจ้า แล้วเราจะทำอย่างไร เจ้าจะต้องให้เราทรมานแค่ไหน เจ้าจึงจะพอใจ และเพราะเรารู้ว่าโทนี่สำคัญต่อเจ้า และเรารู้ว่าเจ้ารักน้องมากเพียงใด แล้วเราล่ะ เรามีค่าเพียงแค่ไหนสำหรับเจ้า หากเจ้าจะต้องเลือก เจ้าจะเลือกอยู่ตรงไหน และหากเจ้าต้องการจะไป แล้วเราจะยังรั้งเจ้าไว้ได้อีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

สีหน้าของพระองค์ดูเจ็บปวด

 

“ผม...” มิคาเอลนิ่งไป ไม่ได้ตอบคำถาม

“หากเราต้องเสียเจ้าไปอีก เราคงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น หากเจ้าจะไป เจ้าก็ควรจะฆ่าเราเสียก่อน” ทรงตรัส เดินไปมองนอกหน้าต่าง พยายามจะสงบอารมณ์

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของพระองค์” มิคาเอลกอดพระองค์ไว้จากด้านหลัง พระองค์จับมือของมิคาเอลเอาไว้

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามของเรามา ว่าระหว่างน้องชายของเจ้ากับเรา ใครสำคัญต่อเจ้ามากกว่ากัน” ทรงหันมาถามอีกครั้ง

“ผมตอบไม่ได้ครับ ทั้งสองล้วนสำคัญต่อผม”

“ถ้าอย่างนั้น เราควรทำใจสินะ” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้า เอื้อมพระหัตถ์มาสัมผัสใบหน้าหวาน

“โทนี่เป็นน้องของผม เป็นครอบครัวของผม แต่ผมก็รักพระองค์ ผมไม่อยากเลือกใครทั้งนั้น” มิคาเอลกล่าวอย่างสับสน พระองค์กอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน

“เราก็เป็นครอบครัวของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าจะทิ้งเราไปได้อย่างไร”

ทรงตรัสถาม

“ผม... โทนี่เพิ่งจะมา เขายังอยู่อีก 2 อาทิตย์ ให้เวลาผมคิดบ้างนะครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เจ้าคิดจะไปจากเราจริงๆ สินะ” ทรงถาม

“ผม...” มิคาเอลไม่ได้ตอบ

“ตลอดมาที่เจ้าทำดีกับเรา ทั้งหมดเป็นแค่การโกหกของเจ้าหรอกหรือ” ทรงถามอย่างเจ็บปวด

“ถึงพระองค์ไม่มีผม พระองค์ก็มีคนอื่น” มิคาเอลกล่าว

“หากไม่มีเจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร” ทรงตรัสเสียงเบา ก่อนจะเดินออกไป

 

มิคาเอลนั่งรอองค์เดเมี่ยนทานอาหารค่ำ แต่พระองค์ก็สายมากจน

มิคาเอลต้องไปตาม องค์เดเมี่ยนกำลังนั่งดื่มคอนยัคตามลำพังที่ระเบียง

มิคาเอลจึงเดินเข้าไปหา

 

“ฝ่าบาท ได้เวลาอาหารค่ำแล้วครับ” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่หิว เจ้าไปทานเถอะ” ทรงตรัสเรียบๆ จิบคอนยัคในมืออย่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว

“ผมจะรอทานกับพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“พอเจ้าไป แล้วเราจะทานกับใคร” ทรงถาม น้ำเสียงเย้ยหยัน

“อย่าทรงทำแบบนี้” มิคาเอลคุกเข่าลงตรงหน้า ซบใบหน้ากับต้นขาของพระองค์ พระองค์จึงรั้งขึ้นมานั่งบนตัก และกอดมิคาเอลเอาไว้

"เราไม่เข้าใจ เราจะต้องทำอะไร ทำมากแค่ไหน จึงจะรั้งเจ้าไว้ได้ เราก็พยายามแล้ว ทำทุกอย่างแล้ว แต่เจ้าก็ยังคิดจะไปจากเรา ทำไมเจ้าถึงได้ใจแข็งแบบนี้” ทรงตัดพ้อ

“ฝ่าบาท ผม...”

“เจ้าไม่รักเราบ้างหรอกหรือ” ทรงถาม รู้สึกน้อยใจ

“ผมรักพระองค์ครับ แต่ผมห่วงโทนี่” มิคาเอลตอบ

“เขาโตแล้ว เขาอยู่ได้ เราอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้า” ทรงตรัส

“พระองค์ก็โตแล้ว ทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ” มิคาเอลถามล้อๆ

“หากขาดหัวใจ แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้ รู้สึกผิด

 

“ทำไมไม่ให้น้องเจ้าย้ายมาอยู่คานาเดีย ให้เขาทำงานที่นี่ เจ้าจะได้ไม่ต้องไป” ทรงตรัสเสนอทางเลือก แต่มิคาเอลกลับดูไม่สบายใจ

“อำนาจของพระองค์มีมากเหลือเกิน ผมเกรงว่า” มิคาเอลไม่อยากให้โทนี่มาโดนลูกหลงจากเขา

“อำนาจของเรามีไว้เพื่อเจ้าเช่นกัน หากเราสัญญาว่าเราจะทำดีกับน้องเจ้า เสมือนเขาเป็นตัวเจ้า เจ้าจะยอมให้เขาอยู่ที่นี่ และเจ้าจะอยู่กับเราหรือเปล่า” ทรงถาม

“ผมตัดสินใจแทนโทนี่ไม่ได้ครับ โทนี่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ผมจะลองคุยกับเขาดู” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนกอดคนตัวเล็กไว้

“เราไม่ต้องการเสียเจ้าไป เราจะพยายามทำทุกอย่างให้เจ้ามีความสุข ให้โอกาสเราเถอะนะ” ทรงตรัสอย่างน่าสงสาร

“ผมก็อยากอยู่เคียงข้างพระองค์ครับ ผมขอโทษ”

“เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้น้องของเจ้า เราจะเชิญแขกสำคัญมาในงาน หากเขาสนใจ อยากทำงานอะไร ที่ไหน เรารับรองว่า เขาจะได้งานนั้น”

“ฝ่าบาท ผมไม่เคยบังคับน้อง และผมก็ไม่คิดจะเริ่มด้วย” มิคาเอลรีบยั้งความคิดของพระองค์ไว้

“ตกลง เขาเป็นน้องของเจ้า เราจะไม่เข้าไปยุ่งโดยตรง” ทรงตรัส ยิ้มออกมาจาง เมื่อมีความหวังที่จะรั้งคนๆ นี้เอาไว้

“ไปทานอาหารกันเถอะ” ทรงชักชวน

 

พระองค์ย่อมค้นประวัติของโทนี่มาก่อน แต่วิศวะกรด้านน้ำมัน ไม่มีทางได้งานที่คานาเดีย โปรเจคน้ำมัน เป็นโปรเจคปิดตายมานานแล้ว และแถมคนที่ดูแลด้านพลังงาน ก็เป็นคนที่พระองค์ไม่อยากคุยด้วยที่สุด แต่ถึงอย่างไร พระองค์ก็ทรงจำใจใส่ชื่อลงไปในรายชื่อแขก ลายมือหนักแน่นของพระองค์ บรรจงเขียนชื่อลงไป ราฟาเอล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส และทรงส่งต่อให้แก่ อาร์ชี่ เพื่อนำไปเตรียมการต่อ

 

ปกติงานเลี้ยงที่องค์เดเมี่ยนต้องการจะจัด ต้องใช้เวลาในการเตรียมการอย่างน้อย 3-7 วัน แต่งานนี้พระองค์กลับให้เวลาในการเตรียมงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี ถึงแม้งานจะไม่ได้ใหญ่โตมาก มีแขกเพียง 200-300 คน แต่พออาร์ชี่ไล่รายชื่อดูก็ต้องกุมขมับ แขกที่พระองค์ต้องการเชิญแต่ละคนล้วนเป็นแขกคนสำคัญ ไล่จากนักธุรกิจชื่อดังด้านต่างๆ รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ แต่ที่ทำให้อาร์ชี่ต้องกุมขมับด้วยความกังวล และต้องจัดเตรียมงานตลอด 24 ชั่วโมงคือ แขกสามคนสุดท้ายที่พระองค์ เขียนรายชื่อเพิ่มเข้าไปด้วยลายพระหัตถ์

 

·       เจ้าชายรัชทายาทราฟาเอลเดอลาจูลิโอ คลอเดียส

·       พระชายา นาตาลี เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส

 

·       กษัตริย์ นาธานเนียล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
 :katai1: รักมากมายแค่ไหนแต่ก้อยยังเหมือนมีกำแพงกั้นอยยู่่ดีี มิคาเอลโดนองค์เดเมี่ยยนนอกใจมาหลลายยครั้ง (แม้จะะไมใช่่ในความคิดของเดเมีี่ยนก้อตาม) ดังนั้นตราบใดที่องค์เดเมีีี่ยนยังไม่โละะสนมทั้งหมดออก มิคาเอลก้อยังไม่มั่นใจอยยู่ดี  :m16: และเดเมีี่่่ยยยนโดนแม่ทำร้ายยยเสียยจนคิดว่าตนเองเป็นคนไม่มีค่่่าที่จะะรัก  :mew5: รอดราม่่าต่อไป :katai1:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 56 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว

 

หลังจากที่อาร์ชี่ทำงานหนักในการเนรมิตงานเลี้ยงต้อนรับน้องชายของพระสนมแห่งองค์เดเมี่ยน งานก็ออกมาเป็นที่หน้าพอใจอย่างยิ่ง แต่กระนั้นตัวน้องชายของพระสนมกับไม่ยินดี ยินร้ายกับงานเลี้ยง แถมยังจะออกจะดูไม่ชอบใจกับงานเลี้ยงนัก พระสนมมิคาเอล ต้องคอยรั้งให้อยู่เคียงข้างตลอด จนกระทั่งเมื่อองค์นาธานเนียลและพระชายาเสด็จ น้องชายของพระสนมจึงได้เริ่มพูดคุยกับพระองค์อยู่พักใหญ่ แถมไม่นานจากนั้น

องค์ราฟาเอลก็ยังเสด็จและเข้าร่วมวงสนทนาอีกด้วย

 

มิคาเอลดีใจที่แม้แต่องค์นาธานเนียลก็ดูจะทรงเมตตาโทนี่ไม่ใช่น้อย แถมยังทาบทามให้โทนี่มาทำงานที่คานาเดียอีกด้วย แต่ที่ทำให้มิคาเอลยิ่งแปลกใจมากกว่าคือ การปรากฎตัวขององค์ราฟาเอล และโทนี่เองก็ทำท่าคล้ายกับรู้จักกับเจ้าชายเป็นการส่วนตัวมาก่อน และยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อองค์ราฟาเอลขอเต้นรำกับโทนี่

 

“เจ้าเอาแต่จ้องมองไปทางนั้น เจ้ากำลังห่วงน้อง หรือห่วงคนรักเก่าของเจ้ากัน” องค์เดเมี่ยนตรัสถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ฝ่าบาท ผมเป็นห่วงโทนี่ครับ โทนี่เขาชอบผู้หญิงนะครับ และผมก็กลัวว่า องค์ราฟาเอลจะรังแกน้องผม” มิคาเอลกล่าวยังคงมองโทนี่เป็นระยะ ทำให้องค์เดเมี่ยนโกรธขึ้นมา

“หากเจ้าห่วงนัก ทำไมไม่กลับไปหาราฟาเอลเสียล่ะ ทั้งๆ ที่เจ้าอยู่ตรงนี้ แต่ใจของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน หรือเราไม่มีค่าพอให้เจ้าสนใจ” ทรงตรัสถามด้วยความน้อยใจ

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวเมื่อรู้ว่าทำให้องค์เดเมี่ยนโกรธ กอดองค์เดเมี่ยนเอาไว้ องค์เดเมี่ยนมองไปทางราฟาเอล เมื่อเห็นน้องชายต่างมารดามองมา พระองค์ก็ยิ้มออกมา ตั้งใจก้มลงจุมพิตมิคาเอลอย่างดูดดื่ม องค์ราฟาเอลเห็นก็แทบทนไม่ได้ แทนที่จะเข้ามาหากลับกึ่งดึงกึ่งลากโทนี่ออกไปจากงานเลี้ยงแทน

 

องค์เดเมี่ยนยิ้มอยู่ในใจคนเดียวเมื่อพระองค์ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว ในสายตาขององค์เดเมี่ยนนั้น องค์ราฟาเอลยังอ่อนหัดนัก พระองค์มองสบตากับนาธานเนียลก็เป็นอันเข้าใจกันระหว่างพี่น้องว่า ราฟาเอลพึงพอใจในตัวของโทนี่ และนั่นยิ่งเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับพระองค์ คนอย่างราฟาเอลที่อยากได้อะไร แล้วก็ต้องทำให้ได้ หากลองหมายตาเด็กคนนั้น ยังไงโทนี่ก็คงหนีไปไหนไม่รอด นอกจากองค์เดเมี่ยนจะกำจัดศัตรูหัวใจอย่างราฟาเอลออกไปแล้ว ราฟาเอลก็จะเป็นคนรั้งให้โทนี่อยู่ที่

คานาเดียเอง โดยที่พระองค์ไม่ต้องทำอะไรเลย และในเมื่อโทนี่อยู่ที่

คานาเดีย มิคาเอลก็ย่อมไม่มีทางจากไปด้วยเช่นกัน

 

องค์เดเมี่ยนดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างมากจนมิคาเอลอดสงสัยไม่ได้ แต่พอจะถามองค์เดเมี่ยนก็พาเขาไปเต้นรำแทน

“แล้วคราวนี้ทำไมอยู่ดีๆ พระองค์ก็ดูมีความสุขจังล่ะครับ” มิคาเอลถามขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าไม่อยากให้เรามีความสุขหรอกหรือ” ทรงตรัสถามกลับ ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“เราก็แค่ดีใจ ที่เจ้าหันมาสนใจเรา” ทรงตรัสกลบเกลื่อน

 

ในวันรุ่งขึ้นมิคาเอลก็ตามเสด็จไปทำงานกับองค์เดเมี่ยนตามปกติ แต่แล้วเขาก็ได้รับข่าวที่น่าตกตะลึง องค์ราฟาเอลรับน้องชายของเขาเป็นพระสนม!!!! มิคาเอลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตกใจมาก แต่พอหันไปทางทางองค์เดเมี่ยน พระองค์ก็เผยยิ้มออกมาจางๆ

“พระองค์ทำอะไร” มิคาเอลกล่าวหา

“เราไม่ได้ทำอะไร เจ้าจะมากล่าวหาเราได้อย่างไร” องค์เดเมี่ยนปฏิเสธอย่างอารมณ์ดี

“หากพระองค์ไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมอยู่ๆ องค์ราฟาเอลถึงได้รับสนม

โทนี่เองก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วอยู่ๆ จะมาเป็นสนมขององค์ราฟาเอลได้อย่างไร” มิคาเอลกล่าวแล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อคิดว่าโทนี่อาจจะโดนบังคับ อย่างที่เขาเคยถูกกระทำ

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ มิคาเอล ราฟาเอลไม่เคยมีสนมมาก่อน หากน้องของเจ้าไม่พิเศษจริงๆ ราฟาเอลคงไม่ทำแบบนี้” องค์เดเมี่ยนปลอบ

“แต่ผมไม่ยอมนะครับหากองค์ราฟาเอลจะฝืนบังคับโทนี่” มิคาเอลกล่าวด้วยความเป็นห่วงน้องชาย

“ราฟาเอลไม่เหมือนเราหรอก เขาอ่อนโยนไม่ใช่เหรอ เขาคงไม่บังคับน้องของเจ้าหรอก”

 

องค์เดเมี่ยนไม่เคยคิดว่าพระองค์จะลุกขึ้นมาออกตัวปกป้องน้องชายที่พระองค์ไม่รักคนนี้มาก่อน แอบคิดในใจว่าพระองค์จะต้องเอาคืนราฟาเอลสักหน่อยในอนาคต แต่พระองค์ก็แอบดีใจที่ราฟาเอลทำแบบนี้ เพราะเป็นการปิดประตูเรื่องโทนี่จะไปจากคานาเดียไปเลย หากโทนี่อยู่ มิคาเอลก็คงไม่มีทางหนีไปไหน พระองค์ลุกขึ้นมากอดปลอบมิคาเอลไว้

“บางทีน้องชายของเจ้าเองก็อาจจะมีใจให้ราฟาเอลก็ได้นี่นา และมันก็อาจจะเป็นการดีกับราฟาเอลด้วย เขาจะได้ตัดใจจากเจ้าเสียที” ทรงตรัส

“แต่...”

“เรารู้ว่าเจ้าห่วงโทนี่ แต่เจ้าไม่ควรเข้าไปแทรก” ทรงห้ามเพราะรู้ว่ามิคาเอลกำลังคิดอะไร

“อย่างน้อยผมก็ต้องการรู้ว่า ว่าโทนี่รู้สึกยังไง ผมจะไปหาโทนี่” มิคาเอล

กล่าว องค์เดเมี่ยนอยากจะห้าม แต่ก็เปลี่ยนใจ

“เราจะให้องครักษ์พาเจ้าไป เรายังต้องทำงานต่อ เจ้าเองก็อยากคุยลำพังกับน้องของเจ้าสินะ” ทรงตรัส กลับเป็นมิคาเอลที่รู้สึกผิด

“ผมขอโทษครับ ที่เอาแต่ใจแบบนี้” มิคาเอลกล่าวขอโทษ

“เราเข้าใจ แล้วเราจะลงโทษเจ้าทีหลัง” ทรงตรัสหยอกเย้า รั้งคนตัวเล็กไปกอดอย่างรักใคร่ มือยังเอื้อมมาเคล้าคลึงก้นงามของมิคาเอลอย่างเป็นเจ้าของ จนมิคาเอลหน้าแดง

“ฝ่าบาท...”

“เรารักเจ้า รีบกลับมาหาเราเร็วๆ ล่ะ” ทรงตรัสอย่างไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด

 

เวลาผ่านไป 3 เดือนกว่าแล้ว องค์เดเมี่ยนก็รู้สึกขัดใจกับน้องชายไร้น้ำยาของพระองค์เหลือเกิน ที่เอาแต่ก่อเรื่อง ทำให้มิคาเอลของพระองค์แทบไม่เป็นอันทำอะไร เพราะความห่วงในตัวน้องชายของเขา และสุดท้ายคนอ่อนหัดอย่างราฟาเอล ยังทำให้โทนี่หลุดมือไปอีก และตั้งแต่โทนี่จากไป

มิคาเอลของพระองค์ก็เอาแต่ทำหน้าเศร้า

 

"มิคาเอล” ทรงตรัสเรียก

“ฝ่าบาท” มิคาเอลที่เอาแต่เหม่อลอย หันมามองตามเสียงเรียก

“เจ้าเอาแต่ทำหน้าเศร้าแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เราไม่อยากให้เจ้าเป็นแบบนี้” ทรงตรัส

“ผมสงสารโทนี่ครับ ผมเป็นห่วงเขา” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเอาแต่ทรมานตัวเอง โทนี่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ เจ้าต่างหากที่เราเป็นห่วง” ทรงตรัส มองคนตัวเล็กที่ไม่ยอมทานอะไรจนซูบผอมลง

“เจ้าอยากไปในเมืองไหม เราจะพาไป หรือเจ้าอยากได้อะไร

เราจะหามาให้” ทรงตรัสถามเอาใจ

“ผมไม่อยากได้อะไร และผมก็ไม่อยากจะไปไหน” มิคาเอลตอบ

“เจ้าจำเอริคได้ไหม เขามาเยี่ยมเรา และเขาจะมาทานอาหารค่ำในคืนนี้ เราอยากให้เจ้ามาร่วมทานอาหารด้วยกัน” ทรงตรัสชักชวน

“แล้วแต่พระองค์เถอะครับ” มิคาเอลตอบเศร้าๆ แต่ก็พยายามยิ้มให้พระองค์ จนองค์เดเมี่ยนถอนหายใจออกมา

“เราจะลองดูตารางงาน ถ้าทำได้เราจะลองหาเวลาว่างสักอาทิตย์ แล้วเราจะพาเจ้าไปหาน้องชาย” ทรงตรัส มิคาเอลที่ได้ยินก็หันกลับมามองพระองค์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“จริงหรือครับ พระองค์สัญญานะครับ” มิคาเอลหันกลับมาออดอ้อนพระองค์อีกครั้ง

“เราคงต้องเคลียร์งานอีกพักใหญ่นะ กว่าจะหาเวลาพาเจ้าไปได้

เจ้ารอไหวหรือเปล่า” ทรงตรัส

“ผมรอได้ครับ ขอบคุณครับฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าว

“เรามีข้อแม้นะ เจ้าจะต้องเลิกทำร้ายตัวเองแบบนี้ และต้องเป็นเด็กดี

เชื่อฟังคำของเรา” ทรงตรัส

“ตกลงครับ” มิคาเอลตอบตกลง

เขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าองค์เดเมี่ยนจะพาเขาไปหาน้อง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกรักเจ้าชายองค์นี้เหลือเกิน

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ได้พยายามพิสูจน์ตัวเองกับเขา จากเจ้าชายที่เจ้าชู้ มากรัก พระองค์ก็เปลี่ยนไป หลายเดือนที่ผ่านมา พระองค์ไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในวิลล่าเล็กทั้งสองเลย พระองค์ร่วมรักกับเขาแทบทุกวัน และพระองค์ก็ไม่เคยหันไปมองใครคนอื่น พระองค์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขาทุกอย่าง อีกทั้งยังรักและยกย่องเขา จนบางครั้งมิคาเอลก็รู้สึกว่ามันออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เขาไม่เคยรักใครมากเท่านี้ และไม่เคยถูกรักมากเท่านี้มาก่อน และแม้ว่าเขาจะเป็นห่วงโทนี่ แต่เขาก็ยังตัดสินใจอยู่ที่นี่กับพระองค์ แม้จะรู้สึกผิดต่อโทนี่ แต่เขาก็ไม่อาจจะทำร้ายและไปจากคนที่รักเขามากขนาดนี้ได้

 

"ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลเดินเข้ามากอดองค์เดเมี่ยนไว้ อย่างออดอ้อน จนองค์เดเมี่ยนหัวเราะออกมาเบาๆ

“เมื่อครู่เจ้ายังไม่สนใจเราอยู่เลย ตอนนี้ เจ้ากลับมาออดอ้อนเราแล้วหรือ” ทรงถาม ก่อนจะช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้น และพาไปที่ห้องบรรทม

“ฝ่าบาทจะทำอะไรครับ” มิคาเอลรีบถามเมื่อองค์เดเมี่ยนพาเขามาที่เตียง

“อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำ ตอนนี้เราอยากกินเจ้าเป็นของว่าง” ทรงตรัสหน้าตาเฉย

“ฝ่าบาท อย่าเกเรสิครับ ปล่อย...” มิคาเอลพยายามจะประท้วง แต่ก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อริมฝีปากของพระองค์ประทับลงมาครอบครองริมฝีปากของเขา

“เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เป็นเด็กดี อย่าขัดใจเราสิ” ทรงดุเบาๆ ก่อนจะจูบไซร้ที่ต้นคอของมิคาเอล และทิ้งรอยแดงเอาไว้หลายต่อหลายจุด

 

องค์เดเมี่ยนเดินโอบมิคาเอลเข้ามาที่ห้องอาหารช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ใบหน้าที่ขึ้นสีของมิคาเอล ย่อมอธิบายเหตุผลของการมาสายได้ดี หากแค่นั้นยังไม่เพียงพอ รอยแดงที่ต้นคอของมิคาเอลก็ดูจะเป็นหลักฐานมัดตัวได้ดีเช่นกัน เอริคไม่ค่อยพอใจนักที่เห็นเดเมี่ยนแสดงท่าที รักใคร่มิคาเอลมากมายขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังพามิคาเอลมาร่วมทานอาหารกับเขาอีกด้วย แล้วคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เดเมี่ยนเอาเดสเซเร่ไปไว้ที่ไหน

 

"คุณมาสาย เดเมี่ยน” เอริคกล่าวหา

“ไม่เอาน่า มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียหมด” องค์เดเมี่ยนเดินนำเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างอารมณ์ดี มิคาเอลก้มศรีษะทักทายคุณเอริค

“คุณเอริคสบายดีหรือครับ” มิคาเอลยิ้ม กล่าวถามตามมารยาท

“ผมสบายดี และคงจะรู้สึกดีกว่านี้หากไม่มาเจอสนมอย่างคุณ” เอริคตอบเสียงเบาแค่ให้มิคาเอลได้ยิน และเดินเข้าไปหาองค์เดเมี่ยน

 

 มิคาเอลรู้สึกแย่ที่ได้ยินคำพูดของคุณเอริค เขารู้ว่าคุณเอริคไม่พอใจเพราะ องค์เดเมี่ยนเคยสัญญากับคุณเอริคเอาไว้ว่าจะไม่ยกย่องใครมาแทนที่คุณเดสเซเร่ คนที่มาทีหลังอย่างเขาย่อมไม่มีสิทธิจะพูดอะไร แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึก เมื่อเขาไม่ได้เป็นที่ต้องการในวงสนทนาเขาก็ไม่คิดจะทนอยู่

“ฝ่าบาทครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ผมขอตัวได้ไหมครับ” มิคาเอลกล่าวเมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหาร องค์เดเมี่ยนกลับรั้งมิคาเอลมานั่งลงบนตัก และเอาหน้าผากของพระองค์มาแตะที่หน้าผากของเขา

“ไม่มีไข้นี่นา เจ้าเป็นอะไร ให้เราตามหมอไหม” ทรงถามด้วยความห่วงใย

“ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ ผมแค่อยากพักผ่อน ไม่ต้องตามหมอหรอกครับ” มิคาเอลกล่าว

“งั้นเจ้ากลับไปที่ห้องเถอะ เดี๋ยวเราจะให้คนจัดอาหารไปให้ แล้วก็พักผ่อนซะ” ทรงตรัสอย่างห่วงใย

 

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว ลุกขึ้น คำนับแก่องค์เดเมี่ยน และก้มศรีษะให้คุณเอริค และเดินออกไป

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

 

บทที่ 57 การตัดสินใจ

 

องค์เดเมี่ยนกลับเข้ามาในห้องบรรทมในตอนดึก พระองค์พยายามเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แต่มิคาเอลก็เปิดไฟที่หัวเตียง

“เจ้ายังไม่หลับอีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

“ผมรอพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวลุกขึ้นช้าๆ พระองค์จึงเดินเข้าไปหา

“เจ้าอยากให้เรารักเจ้าหรืออย่างไร” ทรงถามยิ้มๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้า

มิคาเอลก็กอดพระองค์เอาไว้ พระองค์ลูบศรีษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู

 

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส

“ถ้ารักผมก็แสดงให้ผมรู้สิครับ” มิคาเอลออดอ้อนพระองค์

“เราจะแสดงให้เจ้าดูทั้งคืนก็ยังได้” ทรงตรัสอย่างหยอกล้อ ปล่อยให้

มิคาเอลนอนลงก่อนจะทาบทับร่างเล็ก ประกบปากจูบอย่างเร่าร้อน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนาน ก่อนจะรั้งร่างของคนตัวเล็กขึ้นนอนแนบหัวใจของพระองค์ มิคาเอลลูบไล้ที่แผงอกอันล่ำสันของพระองค์ มองที่รอยแผลเป็นหลายจุดของพระองค์ และไล้นิ้วไปตามรอยแผลอย่างห่วงใย

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไม...” มิคาเอลไม่แน่ใจว่าเขาควรจะถามไหม เขาจึงหยุดคำถามไว้แค่นั้น พระองค์ถอนหายใจช้าๆ ราวกับไม่อยากพูดถึงอดีต

“ถ้าพระองค์ไม่อยากจะบอกก็ไม่เป็นไรครับ” มิคาเอลกล่าว

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลังจากที่รู้ว่าเดสเซเร่จากไป เราก็โกรธมาก เราพยายามจะปลงพระชนม์กษัตริย์องค์ก่อน ก็เท่านั้น” ทรงตรัสเรียบๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เป็นมิคาเอลที่ตกใจ

 

“ฝ่าบาท!”

“เราทำไปเพราะความโกรธ แต่องครักษ์ของคนๆ นั้นก็หยุดเราไว้ได้ก่อนจะไปถึงตัวด้วยซ้ำ เราถูกทรมานอยู่เป็นอาทิตย์ รอยแผลพวกนี้เกิดจากตอนนั้น เราควรจะถูกส่งไปที่คุกหลวงแต่นาธานเนียลขอร้องเอาไว้ เป็นเพราะเราในตอนนั้น ทำให้นาธานเนียลที่ต้องการสละตำแหน่ง

องค์รัชทายาท จำเป็นต้องจำยอมรับตำแหน่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ แลกกับชีวิตของเรา เราเป็นหนี้ชีวิตนาธานเนียลหลายครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราปกป้องเขาเสมอ” ทรงตรัสเรียบๆ แต่ก็รู้สึกถึงอ้อมกอดของคนตัวเล็กที่กอดพระองค์แน่นขึ้น

 

“มันนานมาแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก” ทรงตรัส

“ผมรักพระองค์ครับ ผมเพียงรู้สึกว่า ผมอยากจะพบพระองค์ให้เร็วกว่านี้ อยากจะรักพระองค์ให้เร็วกว่านี้” คนตัวเล็กกล่าว กอดพระองค์ไว้

“เราไม่เป็นไรหรอก และในตอนนี้เราก็มีเจ้าที่รัก และห่วงใยเรา แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว” ทรงตรัส

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวเบาๆ ก่อนจะเคลิ้มหลับไป

 

องค์เดเมี่ยนเป็นห่วงมิคาเอลพระองค์จึงสั่งให้เขาหยุดพักอยู่ที่วิลล่าหนึ่งวัน แม้มิคาเอลจะไม่ได้เป็นอะไร เขาเพียงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อาจจะมาจากการนอนไม่พอ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะขัดองค์เดเมี่ยน เขาจึงอยู่พักตามที่องค์เดเมี่ยนสั่ง

 

มิคาเอลนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนอุทยาน แต่แล้วแขกไม่ได้รับเชิญก็เดินเข้ามาหา

“สวัสดี มิคาเอล” เอริคกล่าวทัก

“คุณเอริค องค์เดเมี่ยนยังไม่กลับมาจากทรงงานครับ” มิคาเอลก้มหน้าทักทาย

“ผมไม่ได้มาหาเดเมี่ยน ผมมาหาคุณ”

“มาหาผม ทำไมครับ” มิคาเอลไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตรงหน้า

“คุณรู้เรื่องของน้องสาวของผมหรือเปล่า” เอริคถาม ถือวิสาสะนั่งลง

“ผมพอทราบครับ คุณเดสเซเร่ เป็นคนรักที่องค์เดเมี่ยนต้องการจะอภิเษกสมรสด้วย”

“คุณรู้หรือเปล่า ว่าก่อนเดสเซเร่จะจากไป เดเมี่ยนได้สัญญาต่อเธอ ว่าเดเมี่ยนจะไม่รักใครอีก และเขาไม่คิดจะยกย่องใครมาเป็นชายา เพราะสำหรับเดเมี่ยน เดสเซเร่คือชายาของเขาเพียงคนเดียว” เอริคกล่าว

“ผมทราบครับ และผมก็ทราบว่าพระองค์ยังรักคุณเดสเซเร่อยู่ และผมก็ไม่เคยคิดที่จะให้พระองค์มาแต่งตั้งผมเป็นชายา หากนั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

 

“คุณเป็นคนฉลาด แล้วทำไมคุณยังอยู่กับเดเมี่ยน ที่ผ่านมาเขาก็ยังเห่อคุณ ไหนจะคำหวาน ไหนจะสัญญา แต่อีกไม่นาน เดเมี่ยนก็คงจะเบื่อ และกลับไปหาสนมอื่นอยู่ดี เขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว” เอริคกล่าว มิคาเอลรู้สึกเจ็บที่คนๆ นี้มาจี้ที่แผลของเขาแบบนี้ เขาจึงเงียบไม่ตอบโต้

“เดเมี่ยนไม่มีวันรักคุณอย่างจริงจังหรอก เขายังคงรักเดสเซเร่ และก็จะรักตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง” เอริคกล่าว

“คุณไม่ใช่พระองค์ คุณไม่มีสิทธิมาพูด หากพระองค์ต้องการให้ผมไป ถึงตอนนั้นผมก็จะไปเอง แต่ในตอนนี้พระองค์ยังรักผม ผมก็จะอยู่กับพระองค์” มิคาเอลกล่าวขึ้นเสียงดัง

“รักคุณอย่างนั้นเหรอ เดเมี่ยนไม่เคยรักใครนอกจากเดสเซเร่ ต่อให้เดเมี่ยนทำดีกับคุณมากแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันได้รับความรักที่แท้จริงจากเดเมี่ยนหรอก เขาก็แค่ต้องการร่างกายของคุณก็เท่านั้น คุณมันก็แค่ตัวแทน”

เอริคกล่าว

“คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณไม่เห็น และคุณก็ปิดตาไม่รับรู้อะไร แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไม่ได้รักผม” มิคาเอลเถียงกลับ

“ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ แต่คุณเองก็ควรจะรู้ดีที่สุด พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีหัวใจเพียงหนึ่งดวง เพื่อที่รักคนได้เพียงทีละหนึ่งคน ตราบเท่าที่เดเมี่ยนยังรักเดเซเร่อยู่ เขาก็ไม่มีวันมารักคุณอย่างจริงจังได้หรอก” เอริคกล่าว เหยียบย่ำลงไปที่หัวใจของมิคาเอลอย่างแรง

“คุณไม่มีหลักฐานอะไร พระองค์รักผม และผมก็เชื่อว่าพระองค์รักผมจริงๆ บางทีพระองค์อาจจะทรงตัดใจจากคุณเดสเซเร่แล้วก็ได้”

มิคาเอลกล่าวแต่เอริคกลับหัวเราะ

 

“คุณต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย มิคาเอล คุณคงไม่รู้สินะว่าแหวนที่เดเมี่ยนใส่อยู่ทุกวันไม่เคยถอด มันคือแหวนแทนใจที่เดสเซเร่มอบให้กับเดเมี่ยน หากเดเมี่ยนตัดใจจากเดสเซเร่จริง แล้วทำไมเขาถึงยังใส่แหวนวงนั้นอยู่อีก คุณว่าจริงไหม” เอริคย้อนถาม

“บางทีคุณอาจจะถูก แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้พระองค์ยังต้องการผม และผมก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์ตราบจนกว่าพระองค์จะบอกกับผมด้วยตัวของพระองค์เองว่าทรงไม่ต้องการผมอีก ผมขอตัว” มิคาเอลกล่าว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในวิลล่า

 

เอริคยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้ใจลงไปแล้วที่เหลือ ก็แค่รอเวลาเท่านั้น

 

แม้จะอยากเข้มแข็ง และไม่อยากคิดอะไร แต่คำพูดของเอริคก็ทำให้

มิคาเอลเจ็บปวด จริงอยู่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนทำดีกับเขามาก แต่เวลาเพียงไม่กี่เดือนจะไปเทียบอะไรได้กับเวลามากกว่า 10 ปี ถึงไม่อยากจะยอมรับ แต่สิ่งที่เอริคพูดล้วนมีเหตุผล ตราบเท่าที่พระองค์ยังรักคนอื่นอยู่แล้วพระองค์จะรักเขาได้อย่างไร ในตอนนี้พระองค์อาจจะดีกับเขา แต่ในวันพรุ่งนี้พระองค์ก็อาจจะเบื่อหน่ายในตัวเขา และกลับไปหาสนมคนอื่นอีกก็ได้ คำสัญญาต่างๆ ที่พระองค์มอบให้ ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดลอยๆ หาหลักประกันอะไรไม่ได้ เมื่อใดที่พระองค์เบื่อหน่ายในตัวเขา เมื่อนั้นเขาก็คงหมดความหมาย เพียงแค่คิด หัวใจของเขาก็บีบรัด ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามา

 

มิคาเอลนั่งเศร้าอยู่นาน และใกล้เวลาที่องค์เดเมี่ยนจะกลับมาแล้ว แต่เขายังไม่อยากเจอพระองค์ในเวลานี้ หลายเดือนที่ผ่านมา มิคาเอลมีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งเรื่องของโทนี่ เรื่องขององค์เดเมี่ยน เรื่องของงาน จนเขาแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ความเครียดสะสมทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก ในเมื่อเขายังไม่อยากเจอกับองค์เดเมี่ยน เขาจึงตัดสินใจไปยังสปา บางทีการนวด และการแช่น้ำแร่ อาจจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาแจ้งความต้องการแก่แมททิวให้พาเขาไป แมททิวดูลังเล แต่หลังจากติดต่อกับองค์เดเมี่ยน และพระองค์อนุญาต แมททิวพร้อมกับองครักษ์อีกคนก็พาเขาไปยังสปา

 

มิคาเอลเคยมาที่นี่หนหนึ่งเมื่อหลายเดือนมาแล้ว และเขาก็ไม่อยากคิดมากจึงขอให้นางกำนัลทำแบบที่ทำให้เขาในครั้งก่อน เพียงเพราะว่ามันใช้เวลานาน และเขาก็อยากจะยื้อเวลาที่จะกลับวิลล่าออกไปให้นานที่สุด

 

3 ชั่วโมงผ่านไป มิคาเอลรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เขารู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยในตอนนี้ องค์เดเมี่ยนยังทรงเอ็นดูเขาอยู่ เขาก็จะรักพระองค์ และทำวันนี้ให้ดีที่สุด หากวันข้างหน้า พระองค์ไม่ต้องการเขาแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ในตอนนี้เขาทำได้เพียง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น คิดได้อย่างนั้นมิคาเอลก็รู้สึกดีขึ้น เขาจึงพยายามมองโลกในแง่ดี และจะทำให้องค์เดเมี่ยนมีความสุข

 

อยู่ๆ มิคาเอลก็รู้สึกคิดถึงองค์เดเมี่ยนขึ้นมา คิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่น คิดถึงจุมพิตอันเร่าร้อน คิดถึงสัมผัสที่ทำให้เขาละลาย จนมิคาเอลแทบรอกลับไปหาอ้อมกอดนั้นไม่ไหว เมื่อกลับมาถึงวิลล่า มิคาเอลเดินหาองค์เดเมี่ยนจนทั่วก็ไม่พบ เขาจึงกลับไปที่ห้องบรรทม มิคาเอลเอื้อมมือมาเปิดประตูบานใหญ่ออก คิดอยากจะทำให้องค์เดเมี่ยนประหลาดใจ

แต่มิคาเอลกลับกลายเป็นคนที่ต้องประหลาดใจเสียเอง

 

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้น้ำตาของมิคาเอลไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เจ้าชายที่เขารักจนหมดหัวใจ เจ้าชายที่ทรงบอกรักเขาอยู่เสมอ ในตอนนี้พระองค์นอนเปล่าเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่ บนร่างของพระองค์มีพระสนมโอลิเวียกำลังร่วมรักกับพระองค์อยู่ ข้างๆ ยังมีพระสนมมาร์คัสที่กำลังแลกจูบกับพระองค์อย่างดูดดื่ม มิคาเอลมองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด องค์เดเมี่ยนที่ทรงตรัสกับเขาว่าห้องบรรทมนี้เป็นของเราสองคน ในเตียงนี้ของพระองค์ก็จะมีเขาเพียงคนเดียว กับคำสัญญามากมายที่ทรงให้ไว้ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่คำลวง ในตอนนี้คนที่ให้สัญญากับเขา กลับทำลายทุกอย่างลงอย่างไม่มีชิ้นดี หัวใจของมิคาเอลบีบรัดอย่างเจ็บปวด เขาไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ย มีเพียงน้ำตาที่ไหลริน กับหัวใจที่แตกสลาย และความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

 

มิคาเอลหันหลังกลับและปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ เขาเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บจนไม่อาจจะทานทนได้ เขารู้สึกโง่เขลาที่หลงเข้าข้างตัวเอง แอบคิด แอบหวังว่าพระองค์จะทรงมีใจให้กับเขาจริงๆ หลงเชื่อไปกับคำหลอกลวง และคำหวานที่ทรงตรัส หลงละเมอไปกับความรักจอมปลอมที่ปลอมปนยาพิษ จนทำให้เขาต้องทนทรมานราวกับตายทั้งเป็นอยู่อย่างนี้ เขาควรจะรู้ว่าคนอย่างองค์เดเมี่ยนไม่มีทางจะมารักคนอย่างเขา คนอย่างเขาไม่มีอะไรที่คู่ควรกับพระองค์ คนอย่างเขามันก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง ที่ตอนนี้พระองค์เล่นจนเบื่อหน่ายแล้ว จะทรงโยนทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

แม้จะไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นจริงดังคำกล่าวของ

คุณเอริค หัวใจของพระองค์เป็นของคุณเดสเซเร่ ร่างกายของพระองค์ก็มิใช่ของเขา แต่เป็นของเหล่าสนมต่างๆ คนที่สำคัญตนผิดอย่างเขา ไม่มีสิทธิจะเรียกร้อง ในเมื่อพระองค์เคยกล่าวว่านิสัยของเขาดูคล้ายกับ

คุณเดสเซเร่ เขาก็คงเป็นได้เพียงแค่ตัวแทนปลอมๆ คนหนึ่ง เป็นเพียงเงาของคนรักของพระองค์

 

“เราอยู่ไม่ได้ หากไม่มีเจ้า”

“หากไม่มีเจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร”

“หากขาดหัวใจแล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร”

“เรารักเจ้า”

“ตราบเท่าที่หัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ เราจะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

 

คำหวานที่โป้ปด ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ คำหลอกลวงที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ คำโกหกที่พระองค์ใช้ในการกักขังเขาให้อยู่ที่นี่ หลอกล่อให้เขารัก หว่านล้อมให้เขาหลง สุดท้ายเพียงเพื่อให้พระองค์มาเหยียบย่ำทำลายหัวใจอันด้อยค่าดวงนี้

 

มิคาเอลพาตัวเองไปอีกฝั่งของวิลล่า ขังตัวเองเอาไว้ในห้องนอนห้องหนึ่ง และทิ้งตัวลงบนเตียง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพียงลำพัง หัวใจของเขารู้สึกปวดร้าวไปหมด ราวกับว่ามันได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนเขาไม่รู้จะเก็บรวบรวมมันขึ้นมาได้อย่างไร เขาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาอีก ทรมานอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลำพัง ไม่อาจจะหันหน้าไปหาใครได้

 

ลึกๆ เขารู้สึกอิจฉาคุณเดสเซเร่ขึ้นมาจับใจ ที่แม้เธอจะจากไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังคงรักและคิดถึงเธออยู่เสมอ เขาอยากรู้ว่าหากเขาตายไปเสียในตอนนี้ องค์เดเมี่ยนจะทรงคิดถึงเขาบ้างไหม อีกหนึ่งปีจากนี้ พระองค์จะยังคงจดจำเขาได้อยู่หรือเปล่า หรือเขาจะเป็นได้เพียงแค่หนึ่งในสนมของพระองค์ ที่ไม่ได้มีค่าอันใดแก่การจดจำ
 

มิคาเอลเอาแต่จ้องมองมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ แม้จะเป็นมีดขนาดเล็กแต่หากตัดเส้นเลือดใหญ่เสีย เขาคงไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป แม้ว่าเขาอยากจะหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา แต่มิคาเอลก็ใช้ทุกอย่างที่มีในการหยุดตัวเองเอาไว้ อย่างน้อยถึงแม้จะเจ็บปวดและทรมาน แต่เขาก็อยากจะพบกับองค์เดเมี่ยนอีกสักครั้ง แม้จะรู้ว่าโง่เขลาแต่เขาก็อยากจะอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้ได้ต้องการคำอธิบายใดๆ เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาจะไปจากคานาเดีย ไปจากวิลล่านี้ ไปจากอ้อมกอดของคนที่เขารักจนหมดหัวใจ และไปจากคนที่ทำลายหัวใจของเขาอย่างโหดร้ายและเลือดเย็น

 

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 58 เหตุและผล

 

พระสนมมาร์คัส และพระสนมโอลิเวียได้รับข้อความให้ออกมาพบจากชายนิรนามคนหนึ่ง ข้อความระบุว่า มีวิธีกำจัดมิคาเอลออกไปจากวังอย่างถาวร และนั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะดึงดูดความสนใจแก่พระสนมทั้งสองผู้ที่เคยเป็นที่โปรดปรานทั้งฝั่งชายและฝั่งหญิง ทั้งสองลอบออกมาจากวิลล่าเล็กและมายังจุดนัดหมาย ตามเวลาที่นัดไว้

 

เมื่อมาร์คัสเห็นโอลิเวีย เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ ซึ่งโอลิเวียเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน

“หากพวกคุณต้องการกันมิคาเอลออกไป พวกคุณก็ต้องร่วมมือกัน

ไม่ใช่มาตีกันแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าว

“คุณเป็นใคร” พระสนมโอลิเวียถาม เพราะไม่เคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อน

“ที่พูดมาหมายความว่าอย่างไร” มาร์คัสถามบ้าง

“ผมชื่อเอริค ผมเป็นเพื่อนกับเดเมี่ยน หากคุณสองคนร่วมมือกัน ผมก็มั่นใจว่าพวกคุณสามารถกันมิคาเอลออกไปจากวังนี้ได้อย่างแน่นอน”

เอริคกล่าว

 

มาร์คัสมองมาที่โอลิเวีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเคยเป็นคนโปรดเสมอ แต่ตั้งแต่ที่มิคาเอลเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และในตอนนี้อย่าว่าแต่จะได้ร่วมเตียงกับองค์เดเมี่ยนเลย แม้แต่หน้าของพระองค์เขาก็ยังไม่ได้เห็น ทั้งหมดเป็นเพราะมิคาเอลคนเดียว แม้เขาอยากจะทำอะไรเพื่อเรียกร้อง แต่ในฐานะตอนนี้ ก็ไม่กล้าเสี่ยง แต่หากคนๆ นี้ที่เป็นเพื่อนกับองค์เดเมี่ยนมาช่วยเหลือ บางทีเขาอาจจะสามารถกำจัดมิคาเอลออกไปได้จริงๆ ก็ได้

โอลิเวียเองก็คิดไม่แตกต่างกันนัก

 

“ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบคุณ แตหากมีวิธีที่จะกำจัดมิคาเอล ฉันก็ยินดี”

โอลิเวียกล่าวขึ้นก่อน

“ผมเองก็เช่นกัน” มาร์คัสกล่าว เอริคยิ้มและส่งไวน์ให้กับทั้งสอง

คนละขวด

“ไวน์สองขวดนี้ เป็นไวน์พิเศษ หากดื่มเพียงขวดใดขวดหนึ่ง จะไม่มีผลอะไร แต่ถ้าดื่มด้วยกัน หรือผสมกัน มันก็ไม่ต่างไปจากยาปลุกอารมณ์ขนานแรง ที่แม้แต่เดเมี่ยนก็ทนไม่ได้ และไม่ต้องห่วง เพราะมันไม่มีผลข้างเคียง แต่ในช่วงเวลาที่มันออกฤทธิ คนที่ดื่มมันเข้าไปจะไม่ค่อยมีสติ และไม่เป็นตัวของตัวเอง และนั่นคือโอกาสของพวกคุณ ผมคงไม่ต้องบอกว่าพวกคุณจะต้องทำอย่างไรหรอกมั้ง” เอริคกล่าวยิ้มๆ สนมทั้งสองก็เข้าใจในความหมายเป็นอย่างดี

“พวกคุณก็แค่หาเวลาที่ประจวบเหมาะให้มิคาเอลมาเห็น แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” เอริคกล่าว เพียงเท่านี้เมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านเอาไว้ก็จะงอกเงยขึ้นมา โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

 

แม้เดเมี่ยนกับเขาจะเป็นเพื่อนกัน แต่เดสเซเร่ก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา เป็นดั่งแก้วตา และดวงใจ เขาดูแลและปกป้องเดสเซเร่ราวกับเจ้าหญิงมาตลอด และไม่เคยมีใครดีพอสำหรับน้องสาวของเขา แต่เดสเซเร่ก็กลับมารักเจ้าชายอย่างเดเมี่ยน ในตอนนั้นเดเมี่ยนไม่ได้มากรักและเสเพลเหมือนในตอนนี้ ความเสเพลเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เดสเซเร่จากไป เพราะความเสียใจต่อคนรักที่จากไปนั่นเอง

 

ในตอนนั้นเดเมี่ยนเป็นผู้ชายที่มั่นคงในรักมากกว่าใคร ในสายตาของเดเมี่ยนมีเพียงเดสเซเร่เสมอ และเดเมี่ยนก็ดูแลเดสเซเร่อย่างดี เฉกเช่นที่

เอริคดูแลและให้เกียรติน้องของเอริคเสมอ ยิ่งในตอนที่พ่อของเอริคจากไป เดสเซเร่เสียใจมาก และก็เป็นเดเมี่ยนที่คอยอยู่เคียงข้างปลอบโยนให้

เดสเซเร่ยิ้มออกมาได้อีกครั้ง และนั่นทำให้เอริคยอมรับในความรักของทั้งสอง แต่พอเดเมี่ยนพาเดสเซเร่มาที่คานาเดีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เดเมี่ยนผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเขา ว่าจะดูแลน้องสาวของเขาอย่างดี มิหนำซ้ำยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เดสเซเร่ฆ่าตัวตาย แม้จะเป็นเพื่อน และเอริคก็ไม่เคยพูด แต่เอริคก็ไม่เคยให้อภัยเดเมี่ยนในสิ่งที่เดเมี่ยนได้กระทำ ยิ่งมาในวันนี้ที่เดเมี่ยนกลับละเลยความรักที่เคยมีต่อเดสเซเร่ เอริคก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา และนั่นเป็นแรงผลักที่ทำให้เขากระทำสิ่งต่างๆ อยู่ในขณะนี้

 

องค์เดเมี่ยนกลับมายังวิลล่าตามปกติ พระองค์รู้ว่ามิคาเอลไม่อยู่ เพราะ

แมททิวได้แจ้งกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ว่าคนตัวเล็กต้องการไปที่สปา และพระองค์ก็ไม่คิดจะห้าม ตรงกันข้ามพระองค์ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่คนตัวเล็กหันมาสนใจ และดูแลตัวเอง พระองค์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง แต่แล้วมาร์คัสก็เดินเข้ามา ในมือยังถือไวน์ที่เปิดแล้วพร้อมกับแก้วมาสองใบอีกด้วย

 

“ฝ่าบาท” มาร์คัสร้องเรียกหา

“มาร์คัสเราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจ้าอยู่แต่ในวิลลาเล็ก”

“ก็ผมคิดถึงพระองค์ แล้วมิคาเอลก็ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอครับ ผมได้ไวน์ชั้นดีมา ก็เลยเอามาถวาย” มาร์คัสกล่าวอย่างออดอ้อน นั่งคุกเข่าลงกับพื้น

“ทรงเกลียดผมแล้วเหรอครับ” มาร์คัสถาม

“เราไม่ได้เกลียดเจ้า เอาเถอะ ไหนเจ้าเอาอะไรมาให้เราชิม” ทรงตรัสอย่างเสียไม่ได้ พระองค์ไม่อยากทำร้ายจิตใจของสนมของพระองค์มากเกินไป แค่พระองค์ไม่ไปหา สนมต่างๆ ก็คงจะร้อนใจกันจะแย่แล้ว พระองค์อยากให้เวลาเหล่าสนมในการตัดใจ ก่อนพระองค์จะปลดปล่อยเหล่าสนมทั้งหลายในอีกไม่ช้า

 

มาร์คัสรินไวน์ใส่สองแก้วยื่นแก้วหนึ่งให้พระองค์ และจิบไวน์ในแก้วของตัวเอง พระองค์จึงจิบตาม

“ไวน์ชั้นดีจริงๆ” ทรงตรัส มาร์คัสจึงยิ้มให้

“ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็ดื่มอีกเยอะๆ นะครับ” มาร์คัสรินไวน์เพิ่มให้พระองค์ และยิ้มหวานให้ ไม่นานโอลิเวียก็เดินเข้ามา มีนางกำนัลสองคนเดินตามมาด้วย คนหนึ่งถือแก้วไวน์มาสองใบ อีกคนหนึ่งถือของว่าง ที่เข้ากับไวน์แดงชั้นดี

“เจ้าเองก็ขัดคำสั่งของเราเหรอโอลิเวีย” ทรงตรัสถามอย่างอารมณ์ดีหลังจากดื่มไวน์ไปสองแก้ว

“หม่อมฉันคิดถึงพระองค์เหมือนกันนะเพคะ” โอลิเวียนั่งลงที่ด้านซ้ายของพระองค์ เพราะมาร์คัสได้จับจองที่นั่งทางด้านขวาไปเสียแล้ว

“หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ทรงดื่มไวน์อยู่ หม่อมฉันก็เลยเอาไวน์มาเพิ่ม ลองไวน์ของหม่อมฉันบ้างนะเพคะ” โอลิเวียรินไวน์ใส่แก้วใหม่สองใบ และส่งแก้วใบหนึ่งถวาย โอลิเวียจิบไวน์ในแก้วของตนเองให้พระองค์เห็น พระองค์จึงลองชิมไวน์ที่โอลิเวียเอามาถวาย ไวน์รสชาดละเมียดละไม หอมกำลังดี หวานกำลังพอเหมาะ เป็นไวน์ชั้นเลิศเช่นกัน

 

“ไวน์ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน” ทรงตรัส รู้สึกแปลกใจที่พระองค์รู้สึกมึนเมาทั้งๆ ที่จิบไวน์ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็ทรงดื่มอีกนะเพคะ หม่อมฉันเอาของว่างมาถวายด้วย”

โอลิเวียกล่าว รินไวน์เพิ่มให้พระองค์อีก องค์เดเมี่ยนก็ดื่มลงไปอย่างว่าง่าย เมื่อทรงดื่มไวน์แก้วที่สองของโอลิเวียหมดลง พระองค์ก็รู้สึกพลุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก ความปรารถนากำลังก่อตัวขึ้น สัมผัสของโอลิเวียที่ต้นขาก็เพียงพอจะปลุกเร้า มาร์คัสหยิบผลองุ่นขึ้นมาป้อนพระองค์ แต่พระองค์กลับต้องการมากกว่าผลองุ่น พระองค์อ้าปากรับองุ่น และรั้งมือของมาร์คัสเอาไว้ ลิ้นร้อนของพระองค์หยอกล้ออยู่กลับนิ้วมือเรียวของมาร์คัส ก่อนพระองค์จะครอบครองริมฝีปากเย้ายวนส่งองุ่นเข้าในปากของมาร์คัสอีกครั้ง โอลิเวียเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ที่ตอนนี้ขยายใหญ่คับอยู่ภายในกางเกงผ้า โอลิเวียจึงนั่งคุกเข่าลงและปลุกเร้าพระองค์ด้วยปากลิ้น พระองค์ครางออกมา พระองค์รู้ว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในตอนนี้พระองค์ไม่อาจคิดอะไรได้ ราวกับว่าพระองค์กำลังหลงอยู่ในหมอกควัน ลืมเลือนทุกสิ่ง แม้จะพยายามขืนปฏิเสธ แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ใช่ของพระองค์อีกต่อไป พระองค์รั้งร่างทั้งสองให้ลุกขึ้น และพาไปยังห้องบรรทม

 

พระองค์ตื่นขึ้นในตอนสายด้วยอาการมึนงง เมื่อมองไปข้างกาย พระองค์ก็ต้องตกใจที่คนข้างๆ มิใช่มิคาเอล แต่พระองค์ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ทำไมมาร์คัสและโอลิเวียจึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วมิคาเอลไปอยู่ที่ไหน พระองค์รีบลุกขึ้นจากเตียง แต่งองค์และเดินออกไปจากห้องบรรทม พระองค์เดินหามิคาเอลจนทั่ว ชั่วขณะพระองค์รู้สึกใจหาย แต่ในที่สุดพระองค์ก็มาพบกับมิคาเอล นั่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือ พระองค์รู้สึกโล่งใจ ที่พบคนตัวเล็ก แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่พระองค์ก็จำไม่ได้ แต่กระนั้นพระองค์ก็รู้สึกผิดอย่างยิ่ง พระองค์ทำผิดสัญญาต่อมิคาเอลอย่างไม่น่าให้อภัยที่สุด

 

“มิคาเอลเราหาเจ้าจนทั่ว เจ้าทำอะไรอยู่” ทรงเดินเข้ามาใกล้ จะมากอด แต่คนตัวเล็กก็ขืนตัวออก

“ผมกำลังสะสางงานในส่วนของผมครับ หลังจากนั้น ผมจะไปจากที่นี่”

มิคาเอลตอบเรียบๆ พยายามจะทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด เรียบเฉยที่สุด กลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่กลับเป็นองค์เดเมี่ยนที่ตกใจเมื่อได้ยิน

“ไปจากที่นี่ เจ้าจะไปไหน ทำไม...” พระองค์ถามอย่างไม่เข้าใจ ตกใจกับคำตอบของคนตรงหน้า

“พระองค์ให้อิสระแก่ผมไม่ใช่เหรอครับ ผมจะอยู่ที่นี่ตราบเท่าที่ผมทนได้ แต่ในตอนนี้ผม… ทนไม่ได้อีกแล้ว และผมก็ต้องการจะไปจากที่นี่”

มิคาเอลกล่าวไม่ยอมมองหน้าของพระองค์

“มิคาเอล... เราไม่ให้เจ้าไป” ทรงตรัสรั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด

กลิ่นน้ำหอมของทั้งโอลิเวีย และมาร์คัสยังติดกายขององค์เดเมี่ยน กลิ่นคาวสวาทก็ยังไม่จางหายไป มิคาเอลก็ขืนตัวออก และตบหน้าขององค์เดเมี่ยน

 

“อย่ามาแตะต้องตัวผม คนที่ไม่รักษาคำพูดอย่างพระองค์ ผมเกลียดที่สุด” มิคาเอลกล่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจจะห้าม องค์เดเมี่ยนจึงปล่อย แม้จะยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พระองค์ก็รู้สึกผิด

“เราขอโทษ มิคาเอล ได้โปรด อย่าไป” องค์เดเมี่ยนอ้อนวอน

 

“ผมเพียงแค่ต้องการลาพระองค์เท่านั้น ไม่ว่าพระองค์จะยอมปล่อยผมไปหรือไม่ ผมก็จะไม่อยู่ที่นี่อีก ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผมตั้งแต่แรกแล้ว”

มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

“ที่นี่เป็นที่ของเจ้า เรารักเจ้า มิคาเอล เจ้าอยู่ในใจของเราเสมอ” ทรงตรัส หัวใจของพระองค์บีบรัดอย่างรุนแรง ทรมานกับสิ่งที่ได้ยิน

“พระองค์จะทรงหลอกลวงผมไปอีกนานแค่ไหน คนที่พระองค์รักไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณเดสเซเร่ ผมเป็นได้แค่เงาของเธอ ร่างกายของพระองค์ ก็ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของพระสนมของพระองค์ ผมจะอยู่หรือไม่ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี” มิคาเอลกล่าวและพยายามจะเดินหนีไป ไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น แต่องค์เดเมี่ยนก็รั้งเอาไว้

“มิคาเอล”

“ปล่อยผม ผมไม่รักพระองค์อีกแล้ว ผมเกลียดพระองค์ กลับไปหาพระสนมของพระองค์เถอะครับ” มิคาเอลกล่าวเย็นชา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน

“อย่าไปจากเรา ...อยู่กับเรา... อย่าทิ้งเราไป” ทรงอ้อนวอน กอดมิคาเอลไว้จากด้านหลัง พยายามจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

“ปล่อยครับ ผมจะไปเตรียมตัว แท็กซี่จะมารับผมในอีกหนึ่งชั่วโมง หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น คุณวิลเลี่ยมจะโทรแจ้งสถานทูตอเมริกาทันที”

 

มิคาเอลตอบอย่างเย็นชาค่อยๆ แกะแขนขององค์เดเมี่ยนที่โอบรัดเขาออกช้าๆ ด้วยหัวใจที่แหลกสลายและเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนยืนมองตามหลังมิคาเอลไปด้วยสายตาอันเจ็บปวด อยู่เพียงลำพัง

 

พระองค์รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าครั้งไหน พระองค์รู้ว่าพระองค์ผิดอย่างไม่มีข้อแก้ตัว พระองค์รู้ว่าเป็นอีกครั้งที่พระองค์ทำให้มิคาเอลต้องเสียใจ พระองค์อยากบอกให้คนตัวเล็กรู้ว่าพระองค์รักมิคาเอลมากเพียงไหน พระองค์ไม่เคยเห็นมิคาเอลเป็นตัวแทนของใคร เวลาที่อยู่กับมิคาเอล เป็นเวลาที่พระองค์มีความสุขที่สุด เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวในทุกๆ วันที่พระองค์เฝ้ารอ

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่พระองค์รักมิคาเอลจนหมดหัวใจ แม้พระองค์จะไม่ได้ลืมเดสเซเร่ แต่เดสเซเร่เป็นความทรงจำอันสวยงาม แต่ในตอนนี้ นาทีนี้คนที่เป็นเจ้าของหัวใจของพระองค์ คือคนที่กำลังจะเดินออกไปจากชีวิตของพระองค์ และพระองค์ก็ไม่มีสิทธิโทษใครได้นอกจากตัวของพระองค์เอง แม้จะอยากบอกรัก แม้จะอยากขอโทษ แม้จะอยากอ้อนวอน แต่คนตัวเล็กก็คงไม่รับฟังอีกต่อไป คนที่โง่เขลาที่สุดก็คือพระองค์เอง

 

มิคาเอลกลับมาที่ห้องส่วนตัวที่ติดกับห้องบรรทม ด้วยความเจ็บปวด เขาต้องทนฟังเสียงของพระสนมทั้งสองกำลังตื่น เสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เสียงออดอ้อนเมื่อองค์เดเมี่ยนเดินเข้ามา เสียงทั้งหมดเหมือนตอกย้ำในความโง่งมของเขา

“กลับไปที่ของพวกเจ้าซะ”

องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างเย็นชากับสนมทั้งสอง ก่อนพระองค์ก็ทรงเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของมิคาเอล

 

มิคาเอลจัดกระเป๋าอย่างเรียบง่าย เขาเพียงเลือกเสื้อผ้าธรรมดาไป 2-3 ชุด และของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ต้องการอะไรจากองค์เดเมี่ยน และไม่ต้องการคิดถึงเจ้าชายองค์นี้อีก องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาในห้อง มองดูคนตัวเล็กด้วยความทรมาน

 

"กล้อง 3 ตัวนั้นเป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมคืนให้ครับ ผมไม่ต้องการ” มิคาเอลตอบเรียบๆ หยิบสมุดบัญชีที่แจ้งยอดรวมเงินในบัญชีกว่า $ 20 ล้านและบัตรออกมาวางข้างๆกล้อง

“เงินนั้นเป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมไม่ต้องการเงินของพระองค์ ผมบอกพระองค์แล้วว่าผมดูแลตัวเองได้ ผมคืนให้พระองค์” มิคาเอลกล่าว

“อย่างน้อยเก็บบัตรแพลทินัมกับแหวนเอาไว้ เราขอร้อง” ทรงตรัสขึ้นเมื่อเห็นมิคาเอลกำลังจะถอดแหวนออก

“เรารู้ว่าเจ้าอาจจะเกลียดเราแล้วในตอนนี้ แต่อย่างน้อย... เราไม่อยากให้เจ้าลืมเรา หากเราจะสามารถขออะไรสักอย่างได้จากเจ้า เราอยากให้เจ้าจดจำเราเอาไว้ เพียงเศษเสี้ยวมุมหนึ่งในหัวใจของเจ้า ให้เราอยู่ตรงนั้น ได้โปรด อย่าลืมเรา” ทรงตรัสขอร้องด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้าและเจ็บปวด

“ผมจะเก็บแหวนเอาไว้ แต่ผมไม่ต้องการบัตรของพระองค์” มิคาเอลส่งคืนให้พระองค์ แต่พระองค์ปฏิเสธ

“เก็บเอาไว้ หากเจ้าลำบาก ก็เอามันออกมาใช้ เราขอร้อง” ทรงตรัส

มิคาเอลจึงรับไว้ ยังไงหากเขาไม่ใช้ มันก็เป็นเพียงบัตรเครดิตใบหนึ่งเท่านั้น

 

“ผมลาครับ” มิคาเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดไม่ยอมมองหน้าองค์เดเมี่ยน องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาหา และกอดมิคาเอลเอาไว้ มิคาเอลจึงกอดตอบพระองค์ ...เป็นครั้งสุดท้าย ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์ เขารู้สึกถึงความเปียกชื้น จึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า องค์เดเมี่ยนกำลังร้องไห้ น้ำตาที่ทรงหลั่งออกมาเพื่อเขา มิคาเอลจูบพระองค์อย่างแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้าย มือเล็กปาดเช็ดน้ำตาให้กับพระองค์

 

“...ทรงรักษาตัวด้วย...” มิคาเอลเอ่ยได้แค่นั้น ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของพระองค์ และเดินจากไป

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
นายเอริคตัวเองทำใจกับการสูนเสียยน้องสาวไปไม่ได้และจะะให้เดเมี่่่ยนต้องจมอยู่่กับคนทีี่ตายไปแลล้วตลอดชีวิตเรอะ ตลกลล่่ะะะะะ รอเดเมี่่ยนมาจัดการเถอะะ  :angry2: มิคาเอลนายต้องจากไปเพื่อให้เดเมี่่ยยนได้จัดการกับใจขขขของตัวเองน่่ะ สู้ ๆ จ้า :mew1:

ออฟไลน์ maxtorpis

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-4

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 59 ชดใช้หนี้

 

มิคาเอลจากไปจากวิลล่าแห่งนี้ สองเดือนแล้ว แต่ความเศร้าโศกขององค์เดเมี่ยนก็ไม่ได้ลดน้อยลง พระองค์ยังพยายามจะทำหน้าที่ของพระองค์ แต่ทุกคนรอบข้างต่างรู้ว่าพระองค์ไม่เหมือนเดิม จากเจ้าชายที่เจ้าชู้ เสเพล ในตอนนี้พระองค์กลับไม่แม้แต่จะสนใจมองใคร หลายต่อหลายครั้งพระองค์กลับเหม่อลอย มองไปที่ๆ เคยเป็นโต๊ะของมิคาเอล ไม่เคยมีใครเคยเห็นพระองค์เป็นแบบนี้มาก่อน

 

เมื่อพระองค์กลับมาที่วิลล่าพระองค์ก็ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก ทุกๆ ที่ที่มองไปพระองค์เห็นแต่ภาพซ้อนของมิคาเอล ทุกๆ วันพระองค์เอาแต่ดื่ม แม้แต่องค์นาธานเนียลก็ห้ามไม่ได้ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น พระองค์เอาแต่โทษตัวเอง โทษในความมักมากของพระองค์ โทษในความไม่รู้จักพอ และโทษในความไม่เด็ดขาดของพระองค์เอง แม้จะสายเกินไป แต่พระองค์ก็ตัดสินใจปลดปล่อยสนมทั้งหมด โดยไม่แม้แต่จะคิดซ้ำสอง อีกครั้งที่พระองค์เอาแต่โทษตัวเองที่เห็นแก่ตัว จนทำให้คนที่พระองค์รักต้องเจ็บปวด และเลือกที่จะจากไป แต่คนอย่างพระองค์ไม่สมควรมีใครมารัก พระองค์ต่างหากที่ไม่คู่ควรกับมิคาเอล แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเฝ้าคิดถึงคนตัวเล็กอยู่ทุกวี่วัน

 

หลังจากมิคาเอลจากไป เขาก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาพระองค์อีกเลย แม้ลึกๆ พระองค์จะเฝ้าหวังให้คนตัวเล็กติดต่อกลับมาหาพระองค์ก็ตาม คนตัวเล็กใจแข็งเกินไป มิคาเอลเดินออกจากวิลล่านี้ไป โดยไม่แม้จะหันกลับมามองพระองค์ แม้พระองค์จะอ้อนวอนมากเพียงไหน ก็ไม่อาจจะรั้งมิคาเอลเอาไว้ได้

 

เอริคกลับมาเยี่ยมองค์เดเมี่ยนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เดเมี่ยนดูแตกต่างออกไป ใบหน้าดูอิดโรย และดื่มอย่างหนัก

“เดเมี่ยน” เอริคทักทาย

“เราไม่มีอารมณ์จะเล่นเกมส์ของเจ้า ต้องการอะไร” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่าสนมทั้งสองเอาไวน์มาจากไหน

“ใจเย็นๆ สิเดเมี่ยน ผมก็แค่มาเยี่ยม” เอริคกล่าว

“มาคราวที่แล้วยังทำความเสียหายไม่พออีกเหรอ” องค์เดเมี่ยนถาม

“อย่ามากล่าวหาลอยๆ กับผมสิ” เอริคปฏิเสธ

“11 ปี ที่เราคร่ำครวญหาเดสเซเร่ 11 ปีที่เราร่ำไห้กับการจากไปของเธอ 11 ปีที่เราทรมานจากการสูญเสีย มันยังไม่พออีกหรือ เรารักเดสเซเร่ แต่เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่ว่าเราจะเสียใจมากเพียงไหน เธอก็ไม่กลับมา แต่พอเรามาคิดดูเราจึงได้รู้ว่า เดสเซเร่ไม่ได้ต้องการให้เราคร่ำครวญหา ที่เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะเธอต้องการปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระต่างหาก เธอต้องการให้เราตัดใจเสีย โดยที่เธอยอมเสียสละชีวิตของเธอเพื่อเรา เธอบอกเสมอว่าให้เรามีความสุข แต่เรากลับทรมานตัวเองมาตลอด 11 ปีที่เราทรมานยังไม่สาแก่ใจเจ้าอีกหรือ เอริค” ทรงตรัสถาม

“ผม…” เอริคกลับเป็นฝ่ายที่ประหลาดใจเสียเองเมื่อได้ยินคำพูดขององค์เดเมี่ยน เขาไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อน

 

“เราไม่ได้ลืมเดสเซเร่ แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว แม้ในตอนนี้ คนที่เรารัก คือ มิคาเอล แต่เดสเซเร่ก็ยังอยู่ในใจของเราเสมอ เธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แต่มันก็ไม่ยุติธรรม หากเราจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเราอย่างทรมานเพราะการสูญเสียเธอไป และเราก็ไม่คิดว่า เดสเซเร่ต้องการให้เราทำแบบนั้น” องค์เดเมี่ยนตรัส เอริคกลับนิ่งเฉยเมื่อคิดถึงน้องสาวผู้อ่อนโยน สิ่งที่เดเมี่ยนกล่าว ก็มีเหตุผล คนที่ใจดีและอ่อนโยนอย่างเดสเซเร่ ไม่มีทางยอมเห็นคนที่เธอรักต้องทนทรมานนานนับสิบปีแบบนี้ และดูเหมือนว่าทั้งหมดเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาต่างหาก

“ผมต้องขอโทษด้วย” เอริคกล่าวอย่างสำนึกผิด

“ถ้าเจ้ามีเวลาว่างมากนัก ก็ไปหาคู่ครองซะที เลิกมาตอกย้ำเราได้แล้ว” องค์เดเมี่ยนกล่าวประชด

 

เดสเซเร่เป็นคนที่มองโลกใน่แง่ดีเสมอ ในความเป็นจริงหากเอริคเปิดใจสักหน่อย เขาก็คงจะคิดได้อย่างเดเมี่ยนเมื่อนานมาแล้ว แต่เป็นเพราะเขาเอาแต่มีอคติ และเอาแต่โทษเดเมี่ยนมาตลอด ทำให้ดวงตาของเขามืดบอด และปล่อยให้ความโกรธแค้นเข้าครอบงำ เอริครักน้องมาก เดสเซเร่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ และเป็นทุกสิ่งของเขา เมื่อเดสเซเร่จากไป เอริคก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และที่เขาทำไปทุกอย่างเพียงเพื่ออยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่น้องสาว แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาเอาความโกรธแค้นมาลงกับเดเมี่ยน เอาแต่ทำร้ายเดเมี่ยน และปล่อยให้ความโกรธแค้นกัดกินหัวใจของเขา จนมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวของเขาเอง

 

“ผมเข้าใจแล้ว ผมเสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป หากมีอะไรที่ผมพอจะชดใช้ให้ได้ ผมก็ยินดี” เอริคกล่าวอย่างจริงใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลง และทำหน้าที่ของเพื่อนเสีย” องค์เดเมี่ยนรินคอนยัคใส่แก้วและส่งให้เอริค

“แด่เดสเซเร่ คนที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป” องค์เดเมี่ยนตรัส เอริคดื่มเป็นเพื่อนองค์เดเมี่ยนมาพักใหญ่จึงเริ่มถามคำถามที่คาใจ

 

“ผมไม่เคยเห็นคุณดื่มมากขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากคุณรักเด็กคนนั้นมาก ทำไมไม่ไปตามกลับมา” เอริคถาม คนอย่างเดเมี่ยนหากต้องการก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไป

“จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการอยู่กับเรา พาเขากลับมา เขาก็คงจะต้องทนทรมาน หากเขาทนไม่ได้แล้วตัดสินใจทำแบบนี้เดสเซเร่ เราคงทนไม่ได้” เดเมี่ยนตอบเสียงเศร้า ทั้งๆ ที่คิดถึงคนตัวเล็กแทบขาดใจ และรักมิคาเอลจนหมดหัวใจ แต่พระองค์ก็ไม่มีสิทธิครอบครอง

“จริงๆ เด็กคนนั้นก็รักคุณมากทีเดียว เขายังบอกกับผมว่า เขาจะอยู่กับคุณตราบเท่าที่คุณยังต้องการเขานี่นา” เอริคกล่าวขึ้นลอยๆ

“เจ้าหมายความว่ายังไง แล้วเจ้าไปคุยกับมิคาเอลตั้งแต่เมื่อไหร่” องค์เดเมี่ยนถามอย่างไม่พอใจ

“ก็วันที่เกิดเรื่องนั่นแหล่ะ พอดีผมไปพูดใส่ไฟไว้ พอเด็กคนนั้นมาเห็นคุณกับสนม เขาก็คงจะทนไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ” เอริคสารภาพเมื่อเหล้าเข้าปาก องค์เดเมี่ยนยืนขึ้นช้าๆ มองมาที่เอริค

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราคิดว่าสิ่งที่เราทำต่อมิคาเอล ไม่มีความหมายต่อเขา เราคิดว่าเขาเกลียดเรา เราเอาแต่โทษตัวเองมาตลอด จนกระทั่งวันนี้...” ทรงตรัส ก่อนจะกระชากคอเอริคขึ้นมา และต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง จนเอริคล้มคว่ำลงกับพื้น

“นายทำอย่างนี้ หมายความว่ายังไง เดเมี่ยน” เอริคถามอย่างไม่พอใจ ที่อยู่ดีๆ ก็โดนต่อย

“ไอ้เพื่อนทรยศ Son of bitch!!! มิคาเอลเป็นคนที่ทำให้เรามีความสุขอีกครั้ง แต่เจ้าก็ยังทำให้เขาจากเราไปอีก เราถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นเพื่อนแบบไหนกันแน่” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเหลืออด

“แกก็พอกันเดเมี่ยน ไหนแกบอกว่า จะดูแลเดสเซเร่ยังไง แกดูแลประสาอะไร ถึงทำให้เดสเซเร่ต้องฆ่าตัวตาย” เอริคลุกขึ้นถามคำถามที่อัดอั้นในใจมานานนับสิบปี และต่อยสวนกลับเดเมี่ยน

“แล้วสิบกว่าปีที่ผ่านมาเรายังทรมานไม่พอหรือไง หรือเจ้าจะให้เราต้องทรมานไปตลอดชีวิต เจ้าถึงจะพอใจ ถ้าไม่พอใจก็ฆ่าเราให้ตายตามเดสเซเร่ไปอีกคนก็ได้” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเหลืออด

 

หยิบมีดสั้นที่พกติดตัวออกมา และวางลงบนโต๊ะและเลื่อนส่งไปให้เอริค เอริคก็หยิบมีดขึ้นมา

 

“เรารู้ว่าเราผิดแต่เราก็ทำได้แค่นี้ ไม่มีวันไหนที่เราไม่โทษตัวเองที่ทำให้เดสเซเร่จากไป ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น เอาชีวิตของเราไปก็ได้” องค์เดเมี่ยนตรัส พระองค์ไม่คิดจะตอบโต้ หรือขัดขืน เอริคถือมีด เดินเข้ามาหาช้าๆ แมททิวที่มองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ รีบวิ่งเข้ามาห้าม แต่เขาก็เข้ามาช้าเกินไป มีดสั้นปักลงบนร่างขององค์เดเมี่ยน ไม่มีเสียงอ้อนวอน และไม่มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แมททิวได้สติรีบล็อกตัวของเอริคไว้

 

แต่ก็ถูกคนเจ็บตะคอกใส่

 

“ปล่อย!!! อย่าเข้ามายุ่ง” ทรงตรัสเสียงดัง จนแมททิวต้องปล่อยตัวเอริค และถอยออกไป องค์เดเมี่ยนใช้มือดึงมีดที่ปักอยู่ที่ไหล่ออก เลือดสดๆ ไหลออกมาอย่างมากมาย แล้วพระองค์ก็ส่งมีดเปื้อนเลือดกลับไปให้เอริคอีกครั้ง เอริครับมีดเอาไว้ มือของเขาเปื้อนเลือดของเดเมี่ยนจนเป็นสีแดง

 

“เจ้าแทงพลาด หัวใจของเราอยู่ตรงนี้” ทรงตรัสใช้นิ้วที่เปื้อนเลือด จิ้มลงไปที่หน้าอกข้างซ้าย ตรงตำแหน่งหัวใจของพระองค์ เอริคมองมือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง สลับกับมองคนบ้าบิ่นตรงหน้า เขาก็โยนมีดทิ้งไป

 

“คุณและผมไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” เอริคกล่าว และพยายามจะเดินจากไป

“อ่อนหัด” องค์เดเมี่ยนตรัสเบาๆ แล้วจึงรั้งร่างของเอริคเอาไว้ ก่อนจะต่อยอย่างแรงจนเอริคล้มลงและหมดสติไป

“ไม่ติดค้างอะไรล่ะ เป็นเพราะเพื่อนเฮงซวยอย่างเจ้าที่ทำให้มิคาเอลไปจากเรา อย่าเอามาเหมารวมกับเรื่องเดสเซเร่ son of bitch!” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างอารมณ์เสียกับร่างที่ไร้สติของเอริค พร้อมกับเตะเข้าที่ท้องของเอริคอีกหนึ่งที

 

“มองอะไร! ไปตามหมอมา!” ทรงหันมาสั่งแมททิว ที่ออกจะตกใจกับการกระทำของเจ้าชาย แมททิวรีบเข้ามาพยุงเจ้าชาย องครักษ์อีกคนเข้ามาพยุงเอริค พาแยกไปคนละห้อง

 

"พระองค์ไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ หากคุณเอริคเกิดปลงพระชนม์พระองค์ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไรขอรับ” แมททิวถาม

“เราก็คงไม่ต้องทนทรมานอีก แต่เอริคมันไม่มีน้ำยาหรอก” ทรงตรัส

แมททิววางพระองค์ลงบนเตียง

 

“แมททิว” องค์เดเมี่ยนเรียกหา

“ขอรับ”

“ขอบใจที่เป็นห่วงเรา” ทรงตรัส แมททิวออกจะแปลกใจที่ได้ยิน

“เป็นหน้าที่ของกระหม่อม” แมททิวกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเริ่มเหงื่อตกเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์เดเมี่ยนตรัส ในประโยคต่อมา

“เราไม่สนว่าจะต้องใช้คนมากแค่ไหน จะต้องเสียเงิน หรือเสียอะไรมากเท่าไหร่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา เจ้าจะต้องหาที่อยู่ของมิคาเอลมาให้เราให้ได้ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็เตรียมตัวลงไปนอนเล่นในโลงใต้ดิน 6 ฟุตได้เลย” ทรงตรัสอย่างเรียบเฉย ฟังดูคล้ายกลับการล้อเล่น แต่แมททิวก็รู้ว่าพระองค์หมายความตามนั้นทุกประการ

“กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการขอรับ” แมททิวกล่าวและรีบเรียกประชุมองครักษ์โดยด่วน

 

หลังจากวางแผนแมททิวจึงรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการตามหาอดีตพระสนมมิคาเอล ทีมค้นหาตามสืบค้นที่อยู่ของมิคาเอลทุกวิธีทาง และที่แห่งแรกที่ตรวจสอบคือคอนโดหรูของอดีตพระสนมแห่งองค์ราฟาเอล แอนโทนี่ หรือก็คือน้องชายของพระสนมมิคาเอล แต่ก็ไร้วี่แววของพระสนม

 

องค์เดเมี่ยนก็ทรงรู้ว่า คนฉลาดอย่างมิคาเอลคงไม่มีทางที่จะกลับไปอเมริกาแน่ๆ มิคาเอลรักและห่วงน้องชายมาก และจะไม่มีวันนำเรื่องวุ่นวายมาให้โทนี่ต้องตกใจแน่นอน คนตัวเล็กก็ระวังตัวมากเหลือเกิน จนพระองค์ไม่อาจจะตามรอยได้ว่าคนตัวเล็กของพระองค์ ไปอยู่ณ ที่แห่งใด หรือว่าในตอนนี้ มิคาเอลจะเกลียดพระองค์ขึ้นมาเสียแล้วจริงๆ

 

หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป จากการตรวจสอบทุกวิธีทาง และทำงานอย่างหนัก แต่ทีมค้นหาก็ยังคว้าน้ำเหลว ในทุกๆ วันความอดทนขององค์เดเมี่ยนก็ค่อยๆ หมดลงทีละน้อย แต่เนื่องจากมิคาเอลที่ปกติก็เคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งอยู่แล้ว ในตอนนี้อดีตพระสนมแทบจะอยู่ไม่ติดที่ เดินทางไปมาระหว่างประเทศเป็นว่าเล่น

 

หลายอาทิตย์ก่อนทีมค้นหาได้ข้อมูลว่ามิคาเอลได้เดินทางไปที่ฟินแลนด์ ทางทีมเฉพาะกิจก็รีบตามไป แต่เมื่อไปถึงมิคาเอลก็ได้ออกจากประเทศ และเดินทางไปยังประเทศกรีนแลนด์เสียแล้ว แต่พอตามไปถึงกรีนแลนด์ ก็พบว่าคุณมิคาเอล วกกลับมาที่นอร์เวย์และออกทะเลไปกับเรือหาปลาในทะเลนอร์ทซี แม้ทีมเฉพาะกิจอยากจะตามใจจะขาด เพราะองค์เดเมี่ยนที่กำลังโกรธจัด ทรงขู่จะจับพวกเขาผูกติดกันไปถ่วงทะเลหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็จนใจ เพราะทะเลนอร์ทซี มีอาณาเขตติดกับหลายประเทศ และกว้างใหญ่มาก ที่สำคัญคนที่แมททิวไปติดต่อด้วยยังบอกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณมิคาเอลในการออกทะเลไปกับเรือหาปลา โดยปกติแล้วคุณมิคาเอลจะติดต่อกับเฮลิคอปเตอร์ให้มารับระหว่างทาง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ หรือที่ไหน หากออกทะเลไป ก็ใช่ว่าจะหากันเจอได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำ เรือที่คุณมิคาเอลไปด้วย วิทยุบนเรือก็เสียอีกต่างหาก ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเป็นการปิดประตูการตามหาคุณมิคาเอลในครั้งนั้นไปเลย

 

อาชีพช่างภาพอิสระที่ติดอันดับต้นๆ ของมิคาเอลไม่ได้ได้มาง่ายๆ และมิคาเอลก็ทุ่มเทให้กับอาชีพนี้มานานหลายปี และทำให้เขารู้จักกับผู้คนมากมาย จนตลอดการเดินทางของเขา มักจะมีคนคอยช่วยเหลือเขาเสมอ ทำให้การติดตามตัวของมิคาเอลเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างยากลำบาก และเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดทีมเฉพาะกิจก็สืบค้นมาได้ว่า มิคาเอลเดินทางไปที่เคนย่า ในแอฟริกาเมื่อห้าวันก่อน จึงได้เร่งติดตามไป แต่ในแอฟริกาการติดต่อสื่อสารยังคงทำได้ลำบากมากกว่าในทวีปอื่นมากนัก เบาะแสที่ได้ก็น้อยนิดเสียจนแทบจะเรียกว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ แต่องค์เดเมี่ยนก็ทรงยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม ก็เตรียมตัวไปเป็นอาหารสิงโตเสีย อย่าได้กลับไปให้พระองค์เห็นหน้าอีก

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 60 คนเจ้าวางแผน

 

ตั้งแต่ไมเคิลเดินออกมาจากวิลล่าขององค์เดเมี่ยน เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก เขาเดินทางกลับอเมริกา และกลับไปที่คอนโดของเขา เขาไม่ได้ติดต่อใคร และไม่ได้ต้องการพบใครในตอนนี้ เขาคิดถึงโทนี่แต่ก็ตัดสินใจไม่ไปพบด้วยเหตุผลหลักๆสองข้อ ข้อแรก เขาไม่อยากให้โทนี่เป็นห่วง และข้อสองหากเขาเป็นองค์เดเมี่ยน หากพระองค์คิดจะนำตัวเขากลับไป ที่แรกที่พระองค์จะต้องมาตรวจสอบ คือที่ๆ โทนี่อยู่ ไมเคิลไม่ต้องการให้โทนี่เดือดร้อน แม้จะอยากไปหา แต่ก็ตัดใจไม่ไปพบ

 

ไมเคิลจัดกระเป๋าเดินทางอีกครั้งและในครั้งนี้เขาเอากล้องของเขาติดตัวไปด้วย แค่ชื่อเสียงของเขา ภาพที่เขาถ่ายออกมาก็สามารถนำไปขายได้อย่างไม่ยากนัก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เขามีเงินเก็บมากพอที่จะอยู่อย่างสบายๆ ไปได้หลายปี โดยไม่ต้องทำอะไร แต่เขาไม่ต้องการเช่นนั้น ไมเคิลพยายามจะทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงองค์เดเมี่ยน หากทำได้เขาอยากจะลืมพระองค์เสีย อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ไม่ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ เขาก็จะลืมองค์เดเมี่ยนให้ได้สักวันหนึ่ง

 

ไมเคิลติดต่อไปยังนิตยสารเวลา แต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ต้องห่วงเรื่องรูปถ่าย ทางนิตยสารไม่ต้องการรูปของกษัตริย์แล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไมเคิลใช้ไปก็มีคนจ่ายคืนให้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นแค่ส่งบัตรเครดิตมาคืนทางจดหมายก็พอ เสียงจากทางปลายสายดูหวาดกลัว จนไมเคิลอดสงสัยไม่ได้ว่าองค์เดเมี่ยนไปทำอะไรไว้

 

ไมเคิลติดต่อไปยังนิตยสารหลายที่และเริ่มรับงานถ่ายภาพติดๆ กันหลายงาน แต่ละงานล้วนกระจายไปอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งไมเคิลก็ไม่เกี่ยง และออกจะยินดีกับการได้เดินทางเสียด้วย ไมเคิลพยายามทำงานหนักเพื่อจะได้ไม่คิดถึงคนๆ นั้น แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทำอะไร เขาก็อดคิดถึงองค์เดเมี่ยนไม่ได้

 

เขาเคยมีความสุขเมื่อได้จับกล้อง แต่ในตอนนี้การถ่ายรูป กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดถึงองค์เดเมี่ยนแทบขาดใจ เมื่อไม่มีคนๆ นั้นไม่ว่าจะถ่ายรูปอะไร ไม่ว่ามันจะงดงามตระการตามากแค่ไหน ไมเคิลก็รู้สึกว่ามันดูไม่สวยเลยสักนิด จะมีประโยขน์อะไรหากไม่มีใครอยู่เคียงข้างและร่วมแบ่งปันความสุขด้วย

 

ไมเคิลเดินทางไปฟินแลนด์ และขึ้นเหนือไปที่ Lapland เพื่อไปเก็บภาพของ แสงเหนือ Northern lights อากาศในหน้าหนาวช่างหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจ อากาศที่ติดลบ อุณหภูมิที่ลดลงต่ำ แต่ไมเคิลก็รู้สึกว่าพายุหิมะในใจของเขายังคงหนาวเหน็บมากยิ่งกว่าอุณหภูมิภายนอก

 

ไมเคิลมีโอกาสได้นั่งรถเลื่อนหิมะที่ลากจูงด้วยสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ เขาเก็บภาพไว้หลายภาพ แต่ในใจกลับคิดว่าจะมีความสุขมากแค่ไหน หากองค์เดเมี่ยนจะอยู่ตรงนี้ และร่วมแชร์ประสบการณ์กับเขา พระองค์จะทรงบังคับเลื่อนหิมะแบบนี้ได้ไหม ถ้าทรงอยู่ตรงนี้พระองค์คงจะเข้ามากอดเขาเอาไว้แนบหัวใจของพระองค์ บอกรักเขา และมอบไออุ่นให้กับเขา แต่แล้วภาพที่พระองค์ร่วมรักกับสนมอื่นในห้องนอน ก็ย้อนกลับมา จนไมเคิลรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีก

 

ไมเคิลเคยมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และเขารู้จักผู้คนที่นี่หลายคน เขาพยายามจะฝึกพูดฟินนิช แม้จะพูดได้ไม่มาก แต่ก็พอสื่อสารได้บ้าง เขาได้รับการบอกว่ามีคนมาตามหาเขา ไมเคิลค่อนข้างตกใจ ไม่คิดว่าองค์เดเมี่ยนจะรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่

 

ไมเคิลจึงวางแผนหลอกล่อให้เหล่าองครักษ์สับสน โดยให้คนรู้จักหลายคนไปให้ข้อมูลว่าไมเคิลได้เดินทางไปที่ กรีนแลนด์แล้ว แต่ตัวไมเคิลกลับรีบเดินทางไปที่นอร์เวย์แทน เมื่อไปถึงเขาก็รีบนัดแนะกับคนรู้จักอีกหลายคน เพื่อให้ข้อมูลลวงๆ ว่าไมเคิลออกทะเลไปกับเรือหาปลา แต่งเรื่องให้น่าเชื่อถือ ส่วนตัวเขาก็แอบซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม และเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ กลุ่มที่มาตามหาเขา มากัน 5 คน หนึ่งในนั้นคือ แมททิว ที่เป็นหัวหน้าทีม ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ไมเคิลวางไว้ เขานัดแนะกับคนรู้จักในบาร์ ที่ชาวประมงชอบเข้าไปดื่มกัน ซึ่งเจ้าของร้านเป็นเพื่อนกับเขา จัดฉากมีคนเมามาเอ่ยชื่อเขาต่อหน้าแมททิว ประมาณชาวอเมริกันหน้าสวย ตัวเล็ก จะไปรอดในทะเลหน้าหนาวหรือ เพื่อให้แมททิวสนใจ และมีชาวประมงอีกหลายคนมายืนยันการออกทะเลของไมเคิลไปกับเรือหาปลา และสร้างเรื่องของเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมาปิดท้าย

 

เขาอาจจะไม่ได้มีอำนาจมากเท่าองค์เดเมี่ยน แต่เขาก็มีไหวพริบ และมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ไม่น้อยเช่นกัน หลังจากแมททิวพยายามตรวจสอบอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ถอดใจ และยอมกลับไป สีหน้าดูหนักใจเมื่อต้องพูดคุยโทรศัพท์กับองค์เดเมี่ยน จนไมเคิลอดรู้สึกสงสารไม่ได้

 

เมื่อองครักษ์จากไปไมเคิลก็ขึ้นไปทางเหนือของนอร์เวย์ เพื่อไปเก็บภาพของโรงแรมที่ทำจากน้ำแข็ง Kirkenes Snow Hotel ที่ทั้งโรงแรมทำมาจากน้ำแข็งและจะถูกสร้างใหม่ทุกๆ ปี นับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และไมเคิลก็เก็บภาพเอาไว้หลายต่อหลายภาพ เมื่อถ่ายภาพทุกอย่างที่อยู่ในรายการที่ต้องทำแล้ว ไมเคิลก็ส่งรูปภาพพร้อมกับเมมโมรี่การ์ดไปให้สำนักพิมพ์ แล้วเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป ... แอฟริกา

 

เดือนกว่าแล้วที่ทีมค้นหามิคาเอลทำงานพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนองค์เดเมี่ยนอยากจะสั่งจับทีมค้นหาขังลืมเสียยกทีม หากไม่ติดว่านาธานเนียลบังคับให้พระองค์อยู่ทรงงานที่คานาเดีย จนกว่าจะได้ที่อยู่แน่ชัดของ

มิคาเอลล่ะก็ พระองค์ก็คงจะไปติดตามมิคาเอลด้วยตัวของพระองค์เอง และป่านนี้พระองค์ก็คงจะได้มิคาเอลกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์เสียนานแล้ว เป็นเพราะความโง่เง่าของเจ้าแมททิวที่ไร้ความสามารถแท้ๆ แค่คนๆ เดียวก็ยังพากลับมาหาพระองค์ไม่ได้

 

พระองค์แทบไม่มีสมาธิจะทำอะไร ในตอนนี้ทั้งหัวใจของพระองค์ล่วงหน้าไปที่แอฟริกาเสียแล้ว อีเมล์หลายต่อหลายฉบับถูกพระองค์ละเลย หรือพูดให้ถูกคือพระองค์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของพระองค์ในตอนนี้คือ มิคาเอลเท่านั้น พระองค์ไม่มีเวลามาใส่ใจว่าพวกองครักษ์เอาบัตรแพลตตินัมของพระองค์ไปใช้เท่าไหร่ หรือต่อให้พระองค์จะต้องสูญเสียทุกอย่าง ทั้งเงินทอง เกียรติยศ ฐานันดรที่พระองค์มี เพื่อแลกกับการได้คนตัวเล็กกลับมา พระองค์ก็ยอม

 

จดหมายหลายฉบับจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานสงเคราะห์คนยากจน และ โรงเรียนต่างๆ ส่งมาหาพระองค์แต่ก็อีกครั้งที่พระองค์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ แต่สายตาของพระองค์ก็มาสะดุดมาที่โพสต์การ์ดใบหนึ่ง ที่ถูกวาดด้วยดินสอ ภาพที่วาดก็เป็นเพียงภาพวาดแบบเด็กๆ แต่พระองค์กลับสนใจคำๆ หนึ่ง “มูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย” ในโพสต์การ์ดเขียนเพียงว่า “ขอบคุณสำหรับโรงเรียนใหม่ของหนู พวกเรารักมูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย” โพสต์การ์ดถูกส่งมาจากประเทศคองโกในแอฟริกา

 

พระองค์รีบเรียกอาร์ชี่เข้ามา

“เรามีมูลนิธิชื่อ ทูตสวรรค์คานาเดีย หรือเปล่า”ทรงถามสั้นๆ และรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ

“เท่าที่กระหม่อมทราบ ไม่มีนะขอรับ” อาร์ชี่ตอบ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

“ขอบใจ” ทรงตรัส ก่อนจะเริ่มเปิดจดหมายออกอ่านทีละฉบับ

 

จดหมายแต่ละฉบับเป็นจดหมายขอบคุณจากสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ สถานสงเคราะห์คนยากจน ทุกฉบับล้วนขอบคุณในความน้ำใจงาม และใจกว้างของมูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย ที่เข้ามาช่วยเหลือจนทำให้สถานที่เหล่านั้นพ้นวิกฤต และยังคงสภาพอยู่ได้

 

พระองค์กดเช็คอีเมล์ ตรวจเช็คในรายงานของบัตรเครดิตที่พระองค์มอบให้แก่มิคาเอล หลายเดือนที่ผ่านมาเงินจำนวน 2 ล้านถูกใช้ออกไป แต่เงินทั้งหมดกลับถูกบริจาคให้แก่สถานที่ต่างๆ ที่ส่งจดหมายขอบคุณมาให้พระองค์ โดยที่คนตัวเล็ก ไม่เคยแตะเงินของพระองค์ในการส่วนตัวเลย จดหมายฉบับหนึ่งยังระบุว่าโรงเรียนแห่งใหม่กำลังจะเปิดใช้ในอีก 2 วันข้างหน้า และพระองค์ก็มั่นใจด้วยว่ามิคาเอลจะต้องอยู่ที่โรงเรียนนั้น

 

“เสด็จพี่” องค์นาธานเนียลเดินเข้ามาในห้องทรงงาน แปลกใจที่เห็นองค์เดเมี่ยนยิ้มออกมา

“ว่าอย่างไร” องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างอารมณ์ดี

“มีอะไรน่ายินดีหรือครับ” องค์นาธานเนียลตรัสถาม

“เราได้เบาะแสสำคัญของมิคาเอล” องค์เดเมี่ยนตรัสเรียบๆ

“ผมก็มีของขวัญจะให้พระองค์” องค์นาธานเนียลกล่าวยิ้มๆ เรียกชายหนุ่มอีกคนเข้ามา ชายคนนั้นทำความเคารพองค์เดเมี่ยนอย่างนอบน้อม

“นี่คืออลัน เขาเป็นคนออกแบบและทำแหวนให้กับมิคาเอล”

องค์นาธานเนียลกล่าว

“เราไม่ต้องการสนม เราต้องการมิคาเอลกลับมาเท่านั้น” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฟังก่อนสิครับ” องค์นาธานเนียลติง และบอกให้อลันอธิบาย

“คือแหวนที่ผ... กระหม่อม ...” อลันพูดอย่างติดขัดด้วยความประหม่า

“พูดธรรมดาก็ได้ ว่ามา” องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างตัดรำคาญ

 

“คือแหวนวงนั้น ผมออกแบบให้มันพิเศษกว่าวงอื่นครับ เพราะผมคิดว่าองค์เดเมี่ยนน่าจะทรงรัก และเป็นห่วงพระสนมมาก ผมก็เลยแอบออกแบบฟังชั่นพิเศษลงไป” อลันกล่าว

“อย่าอ้อมค้อมได้ไหม พูดออกมาได้แล้ว” ทรงเร่ง

“แหวนวงนั้นนอกจากจะเป็นเครื่องประดับแล้ว ยังเป็น GPS ด้วยครับ ผมดัดแปลงให้มันดูเหมือนอัญมณีชิ้นหนึ่ง และประดับมันลงไปที่แหวน ถึงจะเล็กแต่ประสิทธิภาพกลับทำได้ยอดเยี่ยมดีมากครับ” อลันกล่าวมาถึงตรงนี้องค์เดเมี่ยนก็นั่งไม่ติดอีก ลุกขึ้นมา กระชากคอเสื้อของอลันพร้อมตะคอกใส่

“มิคาเอลอยู่ที่ไหน” ทรงถามเสียงดัง

“ผมไม่ทราบครับ ผมมิบังอาจสอดรู้ แต่ผมจะติดตั้งให้พระองค์ และสอนวิธีใช้ให้ครับ ผมขอยืมโทรศัพท์มือถือด้วยครับ” อลันรีบบอก หวาดกลัวเจ้าชายเดเมี่ยนเหลือเกิน หากทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ก็อาจจะเสี่ยงโดนขังลืมได้ง่ายๆ

 

องค์เดเมี่ยนส่งโทรศัพท์มือถือของพระองค์ให้แก่อลัน อลันก็เอาไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น แทรกเกอร์มาใส่ไว้ในเครื่อง จากนั้นก็เข้าไปตั้งค่าต่างๆ แล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้แก่พระองค์

 

“หากพระองค์ต้องการรู้ที่อยู่ของพระสนมมิคาเอล พระองค์ก็แค่กดที่ find location ตัว GPS ก็จะส่งสัญญานกลับมาและบอกตำแหน่งของพระสนมครับ” อลันกล่าวอธิบาย เมื่อพระองค์เช็คตำแหน่งดูก็พบว่าการคาดเดาของพระองค์เป็นไปอย่างถูกต้อง คนตัวเล็กอยู่ที่คองโกจริงๆ

 

องค์เดเมี่ยนมองไปที่องค์นาธานเนียลเป็นเชิงขออนุญาต

“เราจะไปตามมิคาเอลกลับมา” ทรงตรัส

“ไปเถอะครับ ผมจะดูแลทางนี้เอง” องค์นาธานเนียลกล่าว ยินดีที่อย่างน้อยพระองค์ก็ทำประโยชน์ให้กับเสด็จพี่เดเมี่ยนได้บ้าง

 

 

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 61 เหมาะสมและคู่ควร

 

ย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน แม้ไมเคิลจะพยายามตัดใจแต่เขาก็ยังทำใจไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจึงเอาแต่ทำงานและหนีความเป็นจริง พยายามกด และเก็บความรู้สึกปวดร้าวภายในเอาไว้ และไม่ยอมแสดงออกมาให้ใครเห็น แต่เขาก็เจ็บเหลือเกิน และเจ็บจนทนแทบไม่ได้ และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ บนสะพานตามลำพังและจ้องมองลงไปในน้ำเบื้องล่าง ที่ไหลเชี่ยวอย่างน่ากลัว

 

“น้ำมันเย็นนะโยม” เสียงหนึ่งดังขึ้น มิคาเอลจึงหลุดออกจากภวังค์ เขารีบปาดน้ำตา และหันมาหาต้นเสียง และเขาก็มาเห็นพระรูปหนึ่ง ยืนมองเขาอยู่ ไมเคิลเคยอ่านเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร และเป็นครั้งแรกที่เขามาเจอกับพระแบบนี้ ทำให้เขาแปลกใจ และทำตัวไม่ถูก

 

“คิดดีแล้วเหรอโยม” เสียงหลวงพ่อกล่าว

“ผมไม่ได้คิดอะไรครับ” ไมเคิลปฏิเสธ

“อาตมาเห็นโยมยืนอยู่ตรงนี้มานานแล้ว และเอาแต่มองลงไปในน้ำ อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตของโยมเถอะ อย่าคิดสั้น คิดให้ยาวๆ” หลวงพ่อกล่าว

“ผม…”

“เดินเป็นเพื่อนไปส่งอาตมาที่วัดหน่อยสิ ไม่ไกลหรอก” เสียงหลวงพ่อกล่าว เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไป

“ยังไงที่ตรงนี้ก็ไม่หายไปไหน ไปส่งอาตมาแล้ว ค่อยกลับมาก็ได้”

“ก็ได้ครับ” มิคาเอลตอบตกลง หลวงพ่อส่งย่ามให้ไมเคิลถือ ไมเคิลจึงรับมาแบบงงๆ ภายในมีอาหารกระป๋องและอาหารหลายอย่าง

“โยมอายุเท่าไหร่แล้ว” หลวงพ่อถาม ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมพระรูปนี้ถึงได้ถามเขา แต่เขาก็ตอบไป

“31 ครับ”

“อยู่มาตั้ง 31 ปีแล้ว อาตมาว่ามันน่าเสียดาย”

“นี่มันชีวิตของผม ผมจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิของผม”

“มันก็ใช่ แล้วโยมไม่สงสาร คนที่โยมทิ้งไว้ข้างหลังบ้างเหรอ ในเมื่อชีวิตเป็นของโยม ทำไมโยมปล่อยให้คนอื่นเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของโยมล่ะ โยมควรจะเป็นคนที่กำหนดชีวิตของโยมเองไม่ใช่เหรอ”

“ผมเจ็บครับ ทรมาน คนที่ผมรัก ทรยศต่อความรักของผม” มิคาเอลสารภาพ

“ไม่มีใครรักเรา เท่าที่เรารักตัวของตัวเองหรอก หากตัวเองยังไม่รัก แล้วผู้หญิงคนไหนจะมารักโยมได้” หลวงพ่อกล่าว ไมเคิลยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก แต่ก็อยากระบายออกมา

 

“ผมเป็นเกย์ครับ คนรักของผมเป็นผู้ชาย ผมคงเป็นคนที่น่ารังเกียจในสายตาของคุณ” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด ทุกครั้งที่เขาสารภาพบาปต่อบาทหลวง เขามักถูกสั่งสอนว่าสิ่งที่เขาเป็นมันผิดมากขนาดไหน

“เกย์ก็คนไม่ใช่เหรอ แล้วมันแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน หากเป็นคนดี ทำดี อาตมาว่าความดีมันไม่มีเพศหรอกโยม” หลวงพ่อกล่าว เป็นไมเคิลที่แปลกใจที่ได้ยิน ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน

“โยมก็ดูจะเป็นคนดี อาตมาจึงบอกว่า มันน่าเสียดาย” หลวงพ่อกล่าว เดินมาหยุดต่อหน้าคนไร้บ้านคนหนึ่ง และกล่าวทักทาย

 

“โยมเป็นอย่างไรบ้าง”

“ผมสบายดี พระสบายดีเหรอ” คนจรจัดถามอย่างคุ้นเคย การอยู่ต่างประเทศทำให้หลวงพ่อชินกับการถูกเรียกห้วนๆ แต่ก็ไม่เคยถือโทษโกรธอะไร เพราะคนที่เรียกก็เรียกขานด้วยความสนิทสนม ไม่ใช่เป็นการไม่เคารพแต่อย่างใด

“อาตมาสบายดี” พลวงพ่อ ควักมือเรียกไมเคิลเข้ามาใกล้

“แบ่งอาหารให้โยมคนนี้หน่อยสิ โยมตัวเล็ก” หลวงพ่อกล่าว

“ผมชื่อไมเคิลครับ” ไมเคิลกล่าว หน้าแดงที่ถูกเรียกแบบนั้น หยิบอาหารกระป๋องส่งให้คนไร้บ้านอย่างไม่เข้าใจ

“ขอบคุณมากนะพระ” คนไร้บ้านกล่าว

“ถ้าไม่อิ่มก็ไปหาอาตมาที่วัดล่ะกัน” หลวงพ่อกล่าวยิ้มๆ และเดินต่อ และหยุดมอบอาหารให้คนไร้บ้านเป็นระยะ จนอาหารในย่าม เหลือเพียงพอสำหรับสองคน หลวงพ่อจึงเดินกลับวัด

“เข้ามาสิโยม” หลวงพ่อเรียกเมื่อมิคาเอลหยุดยืนอยู่หน้าประตู

“ผม…”

“อาตมาจะเลี้ยงอาหารขอบคุณที่โยมช่วยอาตมาทำความดี” หลวงพ่อกล่าว ไมเคิลจึงปฏิเสธไม่ลง เดินเข้าไปภายในวัดที่เป็นคล้ายๆ บ้าน

“ทำไมถึงเอาอาหารตั้งเยอะไปแจกหมดล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“อาตมาอยู่คนเดียว ฉันท์เพียงวันละมื้อ จะเก็บอาหารไว้ทำไมมากมาย อาตมาโชคดีกว่าคนเหล่านั้น อาตมามี อาตมาก็แบ่งปันให้” หลวงพ่อกล่าว

“แล้วคุณจะได้อะไรล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ความสบายใจ ความสุขใจ ยังไงล่ะโยม คนเหล่านั้นลำบาก ของเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขามีความสุข มีกำลังจะต่อสู้ต่อไป อย่างน้อยแม้จะลำบาก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้” หลวงพ่อกล่าวยิ้มๆ จนไมเคิลรู้สึกผิด แต่ก็เก็บคำพูดไว้และคิดตาม

 

“โยมดูก็ไม่ได้ลำบาก โยมยังโชคดีกว่าคนทั่วไปอีกหลายต่อหลายคน คนพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ แล้วโยมจะยอมแพ้ได้อย่างไร มองคนที่แย่กว่าเรา เพื่อให้เรามีกำลังใจ พวกเขายังสู้ไหว ทำไมเราจะสู้ไม่ไหว จริงไหมโยม” หลวงพ่อกล่าว และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” ไมเคิลกล่าวขอบคุณและลากลับ เขารู้สึกว่าเขาโชคดีมากที่มีโอกาสมาเจอกับคนๆ นี้ คนที่จะเปลี่ยนทัศนะการคิด และการใช้ชีวิตของเขาตลอดไป

 

จริงอย่างที่พระได้กล่าวเอาไว้ เขาเป็นคนที่โชคดี และมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากเขาเอาแต่คิดจะฆ่าตัวตาย ในขณะที่มีคนมากมายที่ลำบากมากกว่า เจ็บปวดทรมานมากกว่า พวกเขายังคงต่อสู้ แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้ มิคาเอลเริ่มค้นหาสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างน้อย องค์เดเมี่ยนบอกกับเขาว่า ถ้าลำบากก็ให้เอาบัตรของพระองค์ออกมาใช้ เขาอาจจะไม่ได้ลำบาก แต่มีคนจำนวนมากที่ลำบากกว่าเขา และเขาก็จะเอาเงินนั้นมาช่วยเหลือคนเหล่านั้น

 

ไมเคิลไม่ต้องการใช้ชื่อของเขาในการบริจาคเงิน แต่จะใช้ชื่อขององค์เดเมี่ยนก็ดูจะโจ่งแจ้งเกินไป จึงใช้ชื่อว่า มูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย แทน เขาไม่ได้ให้ที่อยู่ แต่บัตรนั้นผูกที่อยู่เอาไว้กับองค์เดเมี่ยน ทำให้สถานที่ๆ เขาบริจาคเงินไป ส่งจดหมายไปขอบคุณที่วังนั่นเอง

 

ไมเคิลได้รับงานให้ไปถ่ายรูปสัตว์ป่าในเคนย่าพอดี เขาจึงตัดสินใจจะไปที่คองโกต่อเพื่อไปเยี่ยมเด็กๆ ที่เขาได้บริจาคเงินไปเพื่อสร้างโรงเรียนหลังใหม่ แทนอาคารเรียนที่ดูเก่าและกำลังจะพังลงมาได้ทุกขณะ

 

หากฟินแลนด์และนอร์เวย์หนาวเกินไป คองโกก็ร้อนเกินไปเช่นกัน ทั้งความหนาวและความร้อน ล้วนทำให้ไมเคิลรู้สึกปวดหัวขึ้นมา จนกลายเป็นว่าเขาต้องพบยาแก้ปวดเอาไว้ และต้องกินมันเพื่อระงับอาการปวดหลายต่อหลายครั้ง ไมเคิลมีอาการเครียดร่วมด้วยอาการปวดหัวจึงไม่หายไปเสียที

 

แต่ในวันนี้เขาจะเล่นกับพวกเด็กๆ ให้หายเครียดทีเดียว ไมเคิลเช่ารถ ซื้อของเล่น ขนม และอุปการณ์การเรียนมาจนเต็มคันรถ ทันทีที่รถเข้ามาจอด พวกเด็กๆ ก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด จนครูต้องออกมาห้าม และกันเด็กๆ ออกไป แต่มิคาเอลไม่ได้โกรธกลับรู้สึกเป็นสุขที่เห็นพวกเด็กๆ ต่างตื่นเต้นกับของเล่น และขนมต่างๆ ที่เขาเอามาให้ จนไมเคิลเอาแต่ยิ้มไม่หยุด เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขายิ้มได้มากขนาดนี้ เด็กๆ ล้วนหัวเราะชอบใจ และพยายามเข้ามากอดเขา บางคนแค่เพียงอยากจะมาสัมผัสมือของเขา มิคาเอลถูกห้อมล้อมไปด้วยเด็กๆ จนเขาไปไหนไม่ได้

 

ในขณะที่มิคาเอลหัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุขอยู่นั้น สายตาของเขาก็หันไปเห็นร่างอันคุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาใกล้ มิคาเอลแทบไม่อยากเชื่อสายตากับภาพตรงหน้า

 

องค์เดเมี่ยนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่องครักษ์เรียกเด็กๆ ให้ไปรับขนม ที่องค์เดเมี่ยนสั่งให้เตรียมมาแจก เด็กๆ ต่างกรูกันไป ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนและมิคาเอลอยู่กันโดยลำพัง

 

สายตาของคนทั้งคู่สบกันเนิ่นนาน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา

“พระองค์มาทำอะไรที่นี่”

มิคาเอลถามขึ้น เขารู้สึกว่าเสียงของเขาแผ่วเบาเหลือเกิน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา

“เรามาตามคำเชิญของครูใหญ่”

ทรงตรัส มิคาเอลได้ยินก็หันหลังกลับและเดินหนี แต่พระองค์ก็รั้งเอาไว้

“ปล่อยผม! อย่ามาแตะต้องตัวผม”

 มิคาเอลกล่าว พยายามจะแกะคีมเหล็กที่จับเขาอยู่ออก แต่ก็ไม่เป็นผล

“อย่าไป อย่าหนีเราไปไหนอีกเลย” องค์เดเมี่ยนกล่าวอ้อนวอน

“พระองค์ต้องการอะไรจากผม ผมต้องทำอย่างไร พระองค์ถึงจะปล่อยผมไป” มิคาเอลถามทั้งน้ำตา

“เราอยากให้เจ้าฟังเราอธิบายก่อน เรารู้ว่าเราให้อิสระแก่เจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไปจากเรา แต่อย่างน้อย เราขอเวลา 5 นาที ให้เราได้อธิบายกับสิ่งที่เราได้กระทำลงไป” พระองค์ตรัส

“ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ผม… ไม่ได้รักพระองค์อีกแล้ว ผมมีคนรักใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นได้โปรดปล่อยผมไป” มิคาเอลกล่าว

“เจ้ายังใส่แหวนของเราอยู่” ทรงตรัส มิคาเอลจึงถอดมันออกและโยนคืนให้พระองค์ไป

 

“เอาของพระองค์คืนไป” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนรับมาถือไว้

“พระองค์ต้องการอะไรจากผมอีก” มิคาเอลถาม

“เรารักรักเจ้า” ทรงตรัส มิคาเอลหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“เมื่อไหร่พระองค์จะเลิกพูดจาหลอกลวงผมสักที พระองค์ยังโกหกผมไม่พออีกหรือครับ แค่นี้ผมยังเจ็บไม่พออีกหรือครับ พระองค์จะรักผมได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์เองก็ยังใส่แหวนของคุณเดสเซเร่อยู่ คนที่พระองค์รักไม่ใช่ผม แต่เป็นเธอต่างหาก” มิคาเอลถามกลับ พูดกับพระองค์เหมือนเป็นการบอกกับตัวเขาเอง

 

แต่องค์เดเมี่ยนกลับแปลกใจเมื่อมิคาเอลพูดถึงแหวน พระองค์ก้มมองที่แหวนที่พระองค์สวมที่นิ้วก้อย แหวนที่พระองค์สวมไว้ไม่เคยถอดออก

“แหวนวงนี้…” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“เป็นแหวนแทนใจจากคุณเดสเซเร่” มิคาเอลต่อให้

“เป็นแหวนของพระมารดาของเรา” ทรงตรัสพร้อมๆ กับมิคาเอล มิคาเอล

กลับแปลกใจแต่ก็คิดว่าพระองค์ยังโกหกอยู่

“ผมไม่เชื่อ” มิคาเอลปฏิเสธ

“ในวันที่เกิดเรื่องเราถูกวางยา เราทำไปโดยไม่มีสติ และคนที่เรารักในตอนนี้ และนับจากนี้ไป ไม่ใช่เดสเซเร่ เรา รัก เจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสเรียบๆ

“ผมไม่เชื่อ พระองค์โกหก” มิคาเอลกล่าว พระองค์ปล่อยมือ และถอยออกมา แต่สายตาของพระองค์ยังคงจับจ้องมิคาเอลอยู่ ราวกับว่าหากคาดสายตาไป คนตัวเล็กจะหายไปอีก

 

องครักษ์สองคนหิ้วปีกชายคนหนึ่งที่ถูกจับมัดไว้ออกมา นอกจากถูกมัดแล้วยังถูกผ้าคลุมศรีษะไม่ให้มองเห็นอีกด้วย ชายคนนั้นพยายามขัดขืน และส่งเสียงอู้อี้อยู่ภายใต้ผ้า องครักษ์พาชายคนนั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าองค์เดเมี่ยน พระองค์จึงเปิดถุงผ้าออก

 

แสงจ้าทำให้ชายคนนั้นต้องหลับตา แต่ก็ยังส่งเสียงอู้อี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อผ้าเปิดออกมิคาเอลจึงเห็นว่าชายคนนั้นคือเอริค องค์เดเมี่ยนดึงเทปที่ปิดปากของเอริคออกอย่างแรง จนคนถูกมัดต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

 

เอริคทำงานอยู่ในโรงบ่มไวน์ตามปกติ แต่อยู่ดีๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่นับสิบคนเดินบุกเข้ามาในออฟฟิตของเขา เขาตกใจที่เห็นและยิ่งตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่เดินปิดท้ายเข้ามา เป็นเพื่อนจอมซาดิสม์ของเขานั่นเอง และเดเมี่ยนก็ไม่พูดอะไรมาก ออกคำสั่งทันที

“จับตัวไว้”

ทรงตรัสและเขาก็ถูกจับมัดปิดปากปิดตา จนกระทั่งในตอนนี้ เมื่อปากเป็นอิสระ เอริคก็ด่าทอเดเมี่ยนเป็นการใหญ่

 

“เดเมี่ยน ไอ้เพื่อนโรคจิต ไอ้โหด ไอ้ซาดิสต์ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ที่ไหน” เอริคโวยวาย แล้วก็เหมือนคิดขึ้นได้ หันไปมองรอบๆ ตัวกับสถานที่ๆ ไม่คุ้นตา

“หุบปากซะ เอริค ถ้าเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เราจะปล่อยให้เจ้ากลายเป็นอาหารสิงโตอยู่ที่แอฟริกานี่” ทรงตรัส

“พระองค์ทำอะไร ปล่อยคุณเอริคนะครับ”

 มิคาเอลตั้งสติได้จึงถามขึ้นและเดินเข้ามาหา เอริคแปลกใจที่มิคาเอลเข้าข้างเขา ทั้งๆ ที่เขาทำไม่ดีเอาไว้

“พูดความจริงออกมาเอริค แก้ไขในสิ่งที่เจ้าได้กระทำ” ทรงตรัส มิคาเอลเข้าไปห้าม

“ฝ่าบาท ทรงปล่อยคุณเอริคเถอะครับ ผมขอร้อง” มิคาเอลเข้าไปเกาะแขน ขอร้องพระองค์ องค์เดเมี่ยนจึงพยักหน้าให้องครักษ์ตัดเชือกออก เอริคจึงเป็นอิสระ

“ขอบคุณมิคาเอล” เอริคกล่าว มองไปทางเดเมี่ยนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ความจริง เอริค”

ทรงตรัสเสียงดุ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เอริคไม่มีทางเลือกมากนัก จึงสารภาพความจริงทั้งหมดกับมิคาเอล

 

“คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผมเอง ผมเป็นคนเอาไวน์ใส่ยาให้กับสนมของเดเมี่ยนเอง คนที่ได้รับยาเข้าไปก็จะไม่มีสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เดเมี่ยนทำทุกอย่างลงไปเพราะฤทธิ์ของยา แล้วผมก็ไปพูดใส่ไฟกับคุณ ทำให้คุณระแวงเดเมี่ยน ผมโกหกเรื่องแหวน ทั้งหมดเป็นการจัดฉากของผมเอง เดเมี่ยนมันรักคุณจริงๆ” เอริคกล่าว

 

มิคาเอลรับฟังและยิ้มให้เอริค ก่อนจะก้าวเข้ามาหาเอริคช้าๆ ด้วยใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา ก่อนจะต่อยหน้าเอริคจนล้มคว่ำลงกับพื้น มีองค์เดเมี่ยนยืนมองและหัวเราะอย่างชอบใจกับภาพที่เห็น องครักษ์ที่อยู่โดยรอบต่างหันหน้ามองกันและเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา

 

 

องค์เดเมี่ยนและพระสนมมิคาเอลช่างเหมาะสมและคู่ควรกันอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 62 วงกลมอันเป็นนิรันดร์

 

เอริคค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ คิดในใจว่า เขาจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งกับคนสองคนนี้อีกแล้ว เดเมี่ยนนั้นเขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้โหดขนาดไหน แต่มิคาเอลต่างหากที่ทำให้เขาประหลาดใจ มิคาเอลตัวเล็กกว่าเขา หน้าตาก็ออกจะสวยหวานออกขนาดนั้น ไม่คิดว่าจะแปลงร่างเป็นแกลมลิน และโหดได้ไม่ต่างกับเดเมี่ยนแบบนี้ แถมพอต่อยเขาเสร็จ มิคาเอลก็เดินหนีไปเลย ทำให้เดเมี่ยนต้องรีบเดินตามไป

 

“มิคาเอล หยุดก่อน” องค์เดเมี่ยนร้องเรียก

“พระองค์ต้องการอะไรจากผม” มิคาเอลหันมาถาม

“เราขอโทษ เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เจ้าจะใจร้ายไม่ยอมยกโทษให้เราเชียวหรือ” ทรงถาม

“แล้วยังไงครับ คุณเอริคอาจจะเป็นคนจัดฉากในตอนนั้น แต่พระองค์ก็ยังมีสนมอีกไม่รู้ตั้งไม่รู้กี่คน ขาดผมไปเสียคน พระองค์ก็คงไม่เดือดร้อน”

มิคาเอลกล่าวพยายามจะเดินไปขึ้นรถ แต่องค์เดเมี่ยนก็ขวางเอาไว้

“เราไม่มีใคร เราไม่ต้องการใคร เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส

“เดี๋ยวพระองค์กลับไป พระองค์ก็คงจะเรียกพระสนมมาปรนนิบัตรพระองค์บนเตียงอีกอยู่ดี ผมบอกพระองค์แล้วไงครับ ว่าผมกับพระองค์ต่างกันมากเกินไป ผมทนรับกับความมากรักของพระองค์ไม่ได้ ผมถึงได้จากมา ปล่อยผมไปเถอะครับ อย่าทรงทรมานผมอีกเลย” มิคาเอลขอต่อพระองค์

“เจ้ายังรักเราอยู่บ้างหรือเปล่ามิคาเอล ในใจของเจ้ายังมีเราอยู่ในนั้นบ้างไหม หากเจ้ายังจะพอมีที่ให้เราอยู่บ้าง เราก็ขอร้อง ขอให้เจ้าให้โอกาสเราอีกสักครั้ง” ทรงขอร้อง

“ผมไม่มีโอกาสอะไรจะให้พระองค์ เรื่องระหว่างเรามันจบลงแล้ว ปล่อยผมไปเถอะครับ” มิคาเอลตอบ

“เราปลดปล่อยสนมทั้งหมดที่เรามีไปหมดแล้ว เราไม่มีใครอีกแล้ว และเราก็ไม่ต้องการใครอีก เราต้องการเพียงเจ้า รักเพียงแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส +มิคาเอลไม่อยากจะเชื่อ

 

“หากไม่เชื่อก็กลับไปดูด้วยตาของเจ้า เราพูดความจริง ไม่ได้โกหก เราเสียใจ” ทรงตรัส รั้งคนตัวเล็กเข้ากอด มิคาเอลร้องไห้ออกมา พยายามจะผลักองค์เดเมี่ยนออก มือเล็กๆ ทุบที่อกของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยิ่งกอดแนบแน่นขึ้น

“ยกโทษให้เราเถอะ อย่าไปจากเราอีกเลย” ทรงตรัส

และจูบซับน้ำตาของมิคาเอล

“ผมเกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าว ร้องไห้ และกอดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้าคิดถึงคนๆ นี้

“เรารู้ เราขอโทษ เจ้าจะทำโทษเราอย่างไรก็ได้ เรายอมเจ้าทุกอย่าง อย่าไปจากเราอีกเลย” ทรงตรัสกอดร่างเล็กแนบหัวใจของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส

“ผม... ก็รักพระองค์ครับ”

 

แม้จะอยากปฏิเสธ อยากจะหนีไปจากคนๆ นี้แต่หัวใจของเขากลับเรียกร้อง ถวิลหาและยอมศิโรราบต่อคนๆ นี้อย่างหมดหัวใจ มิคาเอลตอบรับ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออกมา ทรงถอดแหวนของพระมารดาออกมาจากนิ้ว แหวนทำจากทองคำขาว มีลวดลายสลักสวยงามเชื่อมต่อกันทั้งวงโดยไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด ต่อเนื่องเป็นวงกลมอันเป็นนิรันดร์ แสดงถึงความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบชั่วนิรันดร พระองค์คลายอ้อมกอด และถอยออกมา ก่อนจะทรงคุกเข่าลงต่อหน้ามิคาเอล

 

“เราอยากจะพาเจ้าไป ในที่ที่โรแมนติกกว่าที่ตรงนี้ แต่เราใจร้อน และเราก็รอเวลานี้มานานเหลือเกิน เราอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า เราอยากให้เจ้าเป็นของเราคนเดียวตลอดไป ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเรา” องค์เดเมี่ยนหยิบแหวนขึ้นมา มิคาเอลก็ตกใจ น้ำตายิ่งไหลออกมาอีก

“มิคาเอล มิลลส์ เจ้าจะเป็นชายาของเราได้ไหม”

 

ทรงตรัสถามคำถาม มิคาเอลตกใจ และดีใจที่ได้ยิน เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่างองค์เดเมี่ยน จะทรงคุกเข่าลงต่อหน้าและขอให้เขาเป็นชายาแบบนี้ มิคาเอลคุกเข่าลงไปกอดพระองค์ไว้ร้องไห้ออกมา พยักหน้าตอบรับ พระองค์สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของคนตัวเล็ก กอดมิคาเอลไว้เนิ่นนาน พระองค์ดีใจเหลือเกินที่พระองค์ได้พบกับมิคาเอล ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์เฝ้าทนทุกข์ทรมาน จนกระทั่งคนๆ นี้เดินเข้ามาในชีวิตของพระองค์ เหมือนกับว่าพระองค์เฝ้ารอคนๆ นี้ มาตลอดชีวิต คนที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป และพระองค์จะไม่มีวันปล่อยมือจากคนๆ นี้อีกอย่างแน่นอน

 

“เจ้าหนีเที่ยวมานานแล้ว กลับบ้านของเรากันเถอะ กลับคานาเดียกันเถอะนะ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลพยักหน้าตอบรับ กอดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียพระองค์ไปอีก สำหรับมิคาเอล เขาได้ถึงบ้านแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงอยู่ในอ้อมกอดนี้ ก็เพียงพอแล้ว อ้อมกอดนี้เป็นดั่งบ้านของเขา เป็นที่ๆ ให้ความอบอุ่น ปลอดภัย และมอบความรักมากมายให้กับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการในชีวิต ล้วนอยู่ในตัวของคนตรงหน้า เพียงมีคนๆ นี้ เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

 

“ผมถึงบ้านแล้วครับ”

 

มิคาเอลกล่าวกับอก พระองค์ยิ้มรับ จุมพิตหน้าผากอย่างแผ่วเบา พระองค์ช้อนร่างของมิคาเอลขึ้น ร่างของทั้งสองเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมดแต่ทั้งคู่ ก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ต่างอิงแอบในอ้อมอกของกันและกัน อย่างโหยหา ความรัก ความคิดถึง ที่ห่างหายจากกันเนิ่นนานหลายเดือน ในตอนนี้คนที่รักที่สุด คิดถึงที่สุด ห่วงใยที่สุด ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดแล้ว

 

คณะขององค์เดเมี่ยนเดินทางกลับมาที่ กินชาซาซึ่งเป็นเมืองหลวงของคองโก และตัดสินใจพักที่โรงแรมในกินชาซาก่อนจะเดินทางกลับคานาเดียในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ว่าที่พระชายามิคาเอลมีอาการไม่สบายขึ้นมา

 

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

องค์เดเมี่ยนถามหลังจากที่มิคาเอลทานยาไปได้ไม่นาน

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ไม่ชินกับอากาศเท่าไหร่ ดูเหมือนผมจะทนหนาวได้ดีกว่าร้อน” มิคาเอลกล่าว นอนอยู่บนเตียงนอนใหญ่

ในห้องสวีทของโรงแรมระดับห้าดาว

“เจ้าอยากอาบน้ำไหม เราจะเตรียมน้ำให้เผื่อเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น” ทรงเสนอ

“อาบฝักบัวก็ได้ครับ” มิคาเอลกล่าว

“งั้นเราจะอาบเป็นเพื่อน” ทรงตรัสยิ้มๆ

 

จนมิคาเอลหน้าแดงด้วยรู้ดีว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่กระนั้นมิคาเอลก็ไม่คิดจะขัดขืน หลายเดือนที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้าคิดถึงองค์เดเมี่ยน ในตอนนี้ที่พระองค์มาอยู่ตรงหน้า เขาเองก็ปรารถนาพระองค์เช่นกัน

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จองค์เดเมี่ยนก็อุ้มมิคาเอลที่เปลือยเปล่ากลับมาที่เตียงอีกครั้ง พระองค์วางมิคาเอลลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กด้วยความคิดถึง

“เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัส

ร่างของพระองค์กำลังตื่นตัว มิคาเอลเห็นก็หน้าแดง

“ร่างกายของเราก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” ทรงกระซิบที่ข้างหู

พร้อมกับขบเม้มที่ติ่งหูเบาๆ จนมิคาเอลเสียวสะท้านไปหมด

“ไหนใครบอกว่าเป็นห่วงที่ผมปวดหัว” มิคาเอลย้อนถาม

พยายามจะผลักร่างของพระองค์ออก

“ก็ห่วงไง เจ้าไม่รู้เหรอว่าการร่วมรัก ช่วยลดอาการปวดหัวได้นะ”

ทรงตรัสด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“คนบ้ากาม” มิคาเอลต่อว่า

“เรารักเจ้าต่างหาก และเจ้าก็น่ารักไปทั้งตัวแบบนี้” พระองค์ตรัส

มือของพระองค์ก็เริ่มลูบไล้ไปที่หน้าอกของมิคาเอล หยอกเย้าจนทัมทิมเม็ดงามแข็งเป็นไต ยั่วยวน จนพระองค์ต้องก้มลงครอบครองยอดอกนั้นช้าๆ ดูดกลืนอย่างหิวกระหาย จนมิคาเอลครางออกมา

 

“เจ้างดงามยิ่งกว่าใคร มิคาเอล” ทรงกระซิบบอก

เลื่อนมือลงต่ำสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวด้านล่าง มิคาเอลก็ครางเบาๆ ออกมาอย่างพอใจ พระองค์ใช้มือใหญ่ลูบไล้ขยับขึ้นลงช้าๆ

“เจ้าบอกว่าเจ้ามีคนรักใหม่แล้ว อย่างนั้นเหรอ” ทรงถาม

หยุดสัมผัสเมื่อคนตัวเล็กตื่นตัวเต็มที่

“ฝ่าบาท ได้โปรด”

มิคาเอลอ้อนวอน ความปรารถนากำลังเข้าครอบงำ

“ตอบเรามาก่อน ว่าคนรักใหม่ของเจ้าเป็นใคร”

ทรงตรัสถามและลุกขึ้นยืนไม่ยอมแตะต้องมิคาเอลอีก จนมิคาเอลต้องลุกขึ้นจากเตียง คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ก่อนจะเอื้อมมือเรียวเล็กมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ และค่อยๆ แลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียอย่างแผ่วเบาที่ปลายยอด ลิ้นเล็กตวัดวนรอบส่วนหัว ปลุกเร้าพระองค์จนหยดน้ำสีใส ค่อยๆ ผุดซึมออกมา

“เจ้าคิดหรือว่าเจ้าทำแบบนี้ แล้วเราจะยกโทษให้”

ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ความปรารถนากำลังพลุ่งพล่านจนพระองค์แทบควบคุมไม่อยู่ แต่แล้วพระองค์ก็ต้องครางออกมา เมื่อมิคาเอลทำใจกล้า ปล่อยให้ร่างอันแข็งแกร่งใหญ่โตของพระองค์ ค่อยๆ ล่วงล้ำลึกเข้าไปในปากขึ้นเรื่อยๆ จนคนตัวเล็กแทบจะครอบครองทั้งหมดของพระองค์ไว้ในปาก ลิ้นเล็กตวัดปลุกเร้าพระองค์ ก่อนจะขยับเข้าออกช้าๆ

 

“เจ้าไปหัดทำแบบนี้มาจากไหน เจ้าทำแบบนี้ให้คนรักใหม่ของเจ้างั้นหรือ”

 

ทรงตรัสถาม พึงพอใจกับการกระทำของคนตัวเล็กเหลือเกิน ออกจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ จนพระองค์เกรงว่าพระองค์อาจจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีก พระองค์จึงรั้งร่างของมิคาเอลขึ้น หันร่างเล็กเข้าหาเตียง ก่อนพระองค์จะฝากฝังร่างของพระองค์เข้าไปอย่างรีบร้อน ด้วยความปรารถนา ความใหญ่โตของพระองค์จมหายเข้าไปในช่องทางรักของมิคาเอลจนหมด ด้วยการกดกระแทกในครั้งเดียว จนมิคาเอลกรีดร้องออกมา

 

“ฝ่าบาท ...ผมเจ็บ...ครับ”

 มิคาเอลประท้วงขึ้นเมื่อถูกลงโทษแบบนี้ พระองค์ฝังร่างแน่นิ่งอยู่ภายในของคนตัวเล็ก ที่อบอุ่น คับแน่น และตอดรัดเป็นจังหวะ พระองค์ก้มลงมาจูบที่ต้นคอขาวเนียนของมิคาเอลจนเป็นรอยแดง รั้งใบหน้าหวานเข้ามาหา และจุมพิตอย่างเร่าร้อน และขยับร่างเข้าออกช้าๆ จนมิคาเอลส่งเสียงครางในลำคอในทุกๆ จังหวะการขยับของพระองค์

 

“ถึงจะเจ็บ แต่เจ้าก็มีความสุขใช่ไหม” ทรงตรัสหยอกเย้า

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลประท้วงเบาๆ

“บอกเราสิ ว่าเจ้าเป็นของใคร”

ทรงถามด้วยเสียงแหบพล่าขยับร่างออกช้าๆ

“ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ผมมีพระองค์คนเดียว

ต้องการพระองค์คนเดียว”

 

มิคาเอลกล่าวอย่างปรารถนา ไม่อยากให้พระองค์ถอนออก พระองค์ได้ยิน ก็ยิ้มอย่างพอใจ กระแทกร่างกลับเข้าไป จนมิคาเอลสะดุ้งเฮือก ภายในบีดรัดพระองค์อย่างรุนแรง เสียงคราง เสียงหอบเหนื่อย เสียงร่างที่กระแทกกระทั้นเป็นจังหวะอย่างดุดัน เสียงร่างกายเสียดสีกันอย่างเร่าร้อน ร่างกายของเขาเร่าร้อนจนแทบทนไม่ได้ สติของมิคาเอลกำลังจะหลุดลอย เพราะความสุขมากมายที่องค์เดเมี่ยนปรนเปรอให้ พระองค์ขยับร่างเข้าออก ทุกจังหวะกระแทกกระทั้นสัมผัสจุดกระสันของมิคาเอลอย่างต่อเนื่อง ไม่นาน มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม ร่างกายสั่นสะท้าน บีบรัดพระองค์แนบแน่น จนพระองค์ต้องครางเบาๆ ออกมา

 

พระองค์ถอดถอนออกอย่างเชื่องช้า ทิ้งตัวลงนอนแล้วจึงรั้งให้มิคาเอลนั่งคร่อมร่างของพระองค์ไว้ ร่างอันแข็งแกร่งของพระองค์เสียดสีกับร่องก้นของมิคาเอลอย่างเย้ายวน พระองค์หยอกล้ออยู่ที่ปากทางเข้าเนิ่นนาน มือข้างหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสกับร่างของมิคาเอล ปลุกเร้า จนมันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ดูร่างของเจ้าสิ มันกำลังแข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว”

ทรงตรัสด้วยเสียงแปล่ง ด้วยความปรารถนา

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าปรารถนาเรามากขนาดนี้”

 

ทรงถาม มิคาเอลไม่ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาทำตัวร่านสวาทแบบนี้ เป็นเพราะองค์เดเมี่ยนที่เอาแต่ปลุกเร้าร่างของเขา จนเขาไม่อาจจะควบคุมร่างกายนี้ได้อีกแล้ว ร่างกายที่ร่านสวาทนี้ คอยแต่จะตอบสนองต่อสัมผัสขององค์เดเมี่ยน โดยที่เขาเองไม่มีโอกาสจะขัดขืนพระองค์ได้เลยสักนิด ร่างกายที่ทรยศกำลังตื่นตัว และปรารถนาพระองค์ขึ้นมาอีก มิคาเอลบดเบียดร่างของเขาเข้ากับพระองค์ ปรารถนาให้พระองค์สอดใส่เอามาอีกครั้ง พระองค์มองคนตรงหน้าอย่างพอใจ

 

“หากเจ้าต้องการ เจ้าก็ช่วยตัวเองสิ”

ทรงตรัสหยอกเย้าอีกครั้ง คนตัวเล็กเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ ขยับขึ้นลงช้าๆ จับให้ตั้งตรง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ กดทับร่างลงมาอย่างเชื่องช้า แต่พระองค์ก็แกล้งคนตัวเล็ก ด้วยการรั้งร่างเล็กเอาไว้ ก่อนจะกระแทกร่างของพระองค์สวนขึ้นไป จนร่างของพระองค์ฝังเข้าไปจนมิด

มิคาเอลร้องครางเสียงดัง หอบหายใจอย่างแรง ใบหน้าหวานบัดนี้ขึ้นสีดูเย้ายวนเป็นที่สุด ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ริมฝีปากบางสีชมพู เผยอออกเล็กน้อย ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์มองอย่างหลงใหล ความปรารถนาพลุ่นพล่าน ร่างของพระองค์แข็งแกร่ง ใหญ่โต ดุจเสาโรมัน ฝากฝังเข้าไปในร่างของมิคาเอลจนหมด ร่างใหญ่โตเต้นตุบๆ อยู่ภายใน จนพระองค์ต้องขยับช้าๆ เพื่อบรรเทาอาการเสียวซ่าน

 

“ฝ่าบาท...ของพระองค์ ...ลึกเหลือเกิน...”

มิคาเอลพูดอย่างยากลำบาก ร่างเล็กตอดรัดเป็นจังหวะ คับแน่น บีบรัดพระองค์จนพระองค์แทบขยับไม่ได้

“เจ้าต่างหากที่คับแน่นเกินไป”

ทรงตรัสหยอกล้อ รั้งร่างเล็กลงมาจูบอย่างดูดดื่ม พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า เสียงครางในลำคอด้วยความพอใจของมิคาเอลก็ดังขึ้นไม่ขาด

“ใบหน้าของเจ้าช่างเย้ายวนมากรู้ไหม”

ทรงตรัส ก่อนจะลุกขึ้นครอบครองยอดอกสีชมพูทั้งสอง พระองค์ทั้งหยอกล้อ และขบกัดเบาๆ กลิ่นกายอันหอมหวาน แม้ไม่ใช้น้ำหอมใดๆ ผิวอันเนียนนุ่ม ยิ่งกว่าสตรีใดที่พระองค์เคยสัมผัส มิคาเอลครางออกมาทุกครั้ง ที่พระองค์ขยับร่าง เสียงหอบเหนื่อยเพราะไม่ชินกับการอยู่ข้างบน พระองค์จึงกอดมิคาเอลไว้ และพลิกตัวขึ้นข้างบนแทน ทั้งๆ ที่ พระองค์ยังคงฝากฝังอยู่ภายใน พระองค์ขยับเข้าออกเชื่องช้าก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างเข้าออกเร็วขึ้น ภายในของมิคาเอลช่างอบอุ่นและคับแน่น เสียงของร่างกระทบกันดังเป็นจังหวะ สอดประสานกับเสียงครางของมิคาเอล เสมือนเสียงดนตรีที่บรรเลงโดยองค์เดเมี่ยน และมีมิคาเอลเป็นดั่งเครื่องดนตรีมีชีวิตชิ้นงาม บรรเลงเพลงรักอันเร่าร้อน เนิ่นนาน จนเมื่อทั้งคู่ไม่อาจจะทานทนได้อีก องค์เดเมี่ยนจึงพามิคาเอลไปเยือนสวรรค์อีกครั้ง มิคาเอลเกร็งตัว ภายในบีบรัดร่างขององค์เดเมี่ยน กอดรัดพระองค์เอาไว้แนบแน่น ก่อนจะปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันมิคาเอลก็รู้สึกถึงความอุ่นวาบ ที่ฉีดพุ่งเข้ามาภายในร่างของเขา พร้อมกับเสียงครางหนักๆ ขององค์เดเมี่ยน พระองค์ทิ้งน้ำหนักตัวลงข้างกายมิคาเอลอย่างหมดแรง

 

ร่างของพระองค์ยังฝากฝังอยู่ภายในมิคาเอลเนิ่นนาน ทรงรั้งร่างเล็กขึ้นมาบนร่างของพระองค์ โอบกอดไว้อย่างรักใคร่ มิคาเอลกอดตอบพระองค์ซบใบหน้าของเขาแนบหัวใจของพระองค์ ซึมซับกับช่วงเวลาแห่งความสุขนี้นานเท่านาน

 

 

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 

 

บทที่ 63 Mile High Club

 

องค์เดเมี่ยนลูบศรีษะคนตัวเล็กอย่างรักใคร่ ทรงจุมพิตหน้าผาก สูดกลิ่นหอมของคนในอ้อมกอดครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ไม่เคยคิดถึงใครมากเท่านี้มาก่อน ไม่เคยปรารถนาใครมากเท่านี้มาก่อน และไม่เคยรักใครมากเท่านี้มาก่อน

 

“เรารักเจ้ามิคาเอล” ทรงตรัส

“ผมก็รักพระองค์ครับ”คนตัวเล็กตอบเหนื่อยๆ แนบศรีษะฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพระองค์ แล้วก็เหมือนคิดอะไรได้ จึงถามองค์เดเมี่ยน

“พระองค์รู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่” มิคาเอลถามขึ้น

“ความลับ” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ฝ่าบาท ใจร้าย” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าต่างหากที่ใจร้าย ไปจากเราแบบนั้น” ทรงตรัส เอื้อมหยิบแหวนตราสัญลักษณ์ขึ้นมาและบังคับสวมให้มิคาเอล

“เราจะทำโทษเจ้าที่ทิ้งเรา เจ้าต้องใส่แหวนวงนี้ไว้ด้วย และห้ามถอดออกอีก เข้าใจไหม” ทรงตรัส “ทำไมต้องให้ผมใส่หลายวงด้วยล่ะครับ”

มิคาเอลถาม นิ้วนางทั้งสองข้างมีแหวนสวมอยู่

“ข้างซ้ายให้เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นของเรา และเราเองก็เป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“แล้วข้างขวาล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าเป็นของเรา” ทรงตรัสโกหกอย่างซึ่งๆ หน้า

แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้สงสัยอะไร อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็ไม่ต้องกังวล เพราะพระองค์ให้มิคาเอลสวมแหวนเอาไว้ หากคนตัวเล็กหายไปอีก พระองค์ก็รู้ว่าจะหาคนตัวเล็กไดัที่ไหน โชคดีเหลือเกินที่ช่างทำแหวนติด GPS เอาไว้ด้วย และก็โชคดีที่คนในวังไปได้ยิน คำโอ้อวด สรรพคุณของแหวนGPS นี้เข้าโดยบังเอิญ และไปพูดคุยกันในวังจนไปเข้าหูองค์นาธานเนียลเข้า องค์นาธานเนียลก็เรียกตัวช่างทำแหวนมาสอบถาม ทั้งปลอบและขู่อยู่นาน จนได้คำตอบที่ต้องการในที่สุด

 

“มิคาเอล สัญญากับเราได้ไหม ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะไม่ไปจากเราอีก” ทรงตรัสถามกอดรัดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน มิคาเอลดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับ

“ผมสัญญาครับ” มิคาเอลตอบ แนบศรีษะกับหัวใจของพระองค์

“ผมรักพระองค์ครับ รักมากเหลือเกิน รักมากจนผมเจ็บปวดทรมานไปหมด” มิคาเอลกล่าว

“เราอยู่นี่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดทรมานอีก เรารักเจ้ามากเช่นกัน จากนี้ไป เราจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเจ็บปวดอีก” ทรงตรัส

“ผมสัญญาครับ ว่าผมจะอยู่กับพระองค์ ให้นานที่สุด ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของผม” มิคาเอลกล่าวกอดพระองค์แนบแน่น เสียงหัวใจของพระองค์เต้นเป็นจังหวะขับกล่อมให้มิคาเอลหลับใหลอย่างเป็นสุข ในอ้อมกอดอันอบอุ่น และมั่นคง

 

เมื่อถึงในตอนเช้าอาการปวดศรีษะของมิคาเอลก็ยังไม่ดีขึ้น มิหนำซ้ำยังมีอาการหนักมากกว่าเดิม แต่มิคาเอลไม่อยากทำให้องค์เดเมี่ยนต้องเป็นห่วง เขาจึงไม่ได้บอกพระองค์ มิคาเอลทานยาแก้ปวดลงไปอีก คณะขององค์เดเมี่ยนเดินทางมาขึ้นเครื่องที่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับคานาเดีย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงบนเครื่อง องค์เดเมี่ยนนั่งเคียงข้างมิคาเอลอยู่ตลอดเวลา ทรงกุมมือของมิคาเอลเอาไว้อย่างรักใคร่ ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนเอริคนั่งมองอย่างอิจฉา มิคาเอลเล่าเรื่องที่เขาเดินทางไปฟินแลนด์ ให้พระองค์ฟัง และบรรยายความงดงามของ แสงเหนือ และความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน และเล่าความน่าทึ่งของโรงแรมน้ำแข็งให้องค์เดเมี่ยนฟัง แต่พอองค์เดเมี่ยนถามเรื่องออกทะเลไปกับเรือหาปลา มิคาเอลก็หัวเราะคิกคัก และเล่าความจริงให้พระองค์ฟัง พอองค์เดเมี่ยนรู้ว่าแมททิวโดนมิคาเอลต้มเสียจนเปื่อย พระองค์ก็มองมาที่แมททิวแบบคาดโทษ

 

“นี่ขนาดหัวหน้าองค์รักษ์ของเรา ยังไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วเราจะมีองครักษ์ไปทำไม มันน่าจะจับขังลืมเสียให้เข็ด” องค์เดเมี่ยนตรัสลอยๆ แต่แมททิวเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศความไม่ปลอดภัย อบอวนลอยมาทางตน เขาจึงขออนุญาตไปตรวจดูความเรียบร้อยในห้องนักบินแทน

“ทำไมพระองค์ ต้องไปขู่คุณแมททิวด้วยล่ะครับ คุณแมททิวไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” มิคาเอลท้วง

 

“เราไม่ได้ขู่สักหน่อย” องค์เดเมี่ยนตรัส

“คนอย่างเดเมี่ยนน่ะไม่ขู่ให้เสียเวลาหรอก มีแต่ทำจริงๆ เลยเสียมากกว่า” เอริคแทรกขึ้นมา

“หุบปากไป เอริค เรายังไม่ยกโทษให้เจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฝ่าบาท อย่าทรงเกเรสิครับ” มิคาเอลท้วง

“เกเรมากๆ เดี๋ยวมิคาเอลไม่รักนะ” เอริคล้อ

“คุณเอริคครับ อย่ายั่วพระองค์สิครับ ผมเองก็ยังไม่หายโกรธนะครับ” มิคาเอลพูดขึ้นยิ้มๆ องค์เดเมี่ยนหัวเราะชอบใจ

 

การเดินทางยาวนาน มิคาเอลดูสีหน้าไม่ค่อยดีนัก องค์เดเมี่ยนจึงตรัสถาม

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า มิคาเอล เจ้าดูหน้าซีดเชียว” ทรงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมแค่เพลียนิดหน่อยน่ะครับไม่ต้องทรงห่วงหรอกครับ” มิคาเอลกล่าวปฏิเสธ ทั้งๆ ที่เขาเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาไม่อยากให้องเดเมี่ยนเป็นห่วง เขาจึงไม่ได้บอกไป

“เราจะพาเจ้าไปให้หมอตรวจดูสักหน่อย เราไม่ชอบอาการแบบนี้ของเจ้าเลย พักผ่อนซะเถอะ ใกล้ถึงแล้วเราจะปลุก” ทรงตรัส

 

อุ้มพามิคาเอลไปยังห้องนอน ที่อยู่ส่วนท้ายของเครื่อง พระองค์วาง

มิคาเอลลงอย่างอ่อนโยนและห่มผ้าให้คนตัวเล็ก พระองค์ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่มิคาเอลกลับรั้งพระองค์เอาไว้

 

“ฝ่าบาทครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

มิคาเอลเอ่ยขึ้น รั้งพระองค์ให้กลับมาหา

“ถ้าอย่างนั้นเราจะอยู่เป็นเพื่อน” ทรงตรัส

 

พระองค์เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ เตียง แต่มิคาเอลก็ยังไม่พอใจ คนตัวเล็กลุกขึ้น เดินไปล็อกประตู และเดินกลับมาหาองค์เดเมี่ยน พระองค์แปลกใจกับการกระทำของคนตัวเล็ก และยิ่งแปลกใจที่คนตัวเล็กหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ และค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตรงหน้าอย่างหลงใหล ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แมวป่าตัวน้อยของพระองค์ กลายมาเป็นแมวยั่วสวาทแบบนี้ องค์เดเมี่ยนนั่งมองมิคาเอลตาไม่กระพริบ มิคาเอลปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด และค่อยๆ ปล่อยให้เสื้อเลื่อนหลุดลงไปช้าๆ ปลดกระดุมกางเกงออกและรูดซิปลง กางเกงผ้าเนื้อบางก็เลื่อนหลุดลงไป มิคาเอลเหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีขาวเพียงตัวเดียว จึงเดินเข้ามาหาองค์เดเมี่ยนที่ตอนนี้ร่างของพระองค์กำลังตื่นตัว ขยายใหญ่จนคับกางเกง

 

“ผมชินกับการนอนไม่ใส่เสื้อครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงหวานหยุดยืนอยู่ห่างจากองค์เดเมี่ยนไม่ถึงฟุต

“เจ้าอยากให้เรานอนเป็นเพื่อนสินะ” ทรงตรัส

การนอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่พระองค์คิดถึงในขณะนี้

“พระองค์นอนเป็นเพื่อนผมนะครับ” มิคาเอลกล่าว

 

เอื้อมมือมารั้งใบหน้าของพระองค์ไว้ ก่อนจะก้มลงจูบพระองค์อย่างแผ่วเบา พระองค์ก็ถือโอกาสรั้งร่างมิคาเอลเข้ามาใกล้ พระหัตถ์ใหญ่กอบกุมก้นงอนงามของมิคาเอลอย่างเป็นเจ้าของ และบีบคลึงเบาๆ

 

“เราคงต้องถอดเสื้อผ้าด้วยกระมั้ง ในเมื่อเจ้าชินกับการนอนไม่ใส่เสื้อนี่นะ” ทรงตรัส

ลุกขึ้นยืนรั้งร่างเล็กเข้ามาแนบชิด จนร่างอันตื่นตัวของพระองค์แนบชิด กับหน้าท้องแบนราบของมิคาเอล คนตัวเล็กหน้าแดง

 

“ใครใช้ให้เจ้ามายั่วยวนเรากันล่ะ” ทรงตรัสถาม

“ผมเปล่าสักหน่อย ผมบอกแล้วไงครับว่าผมแค่ชินกับการเปลือยกายนอน” มิคาเอลเฉไฉ

“งั้นช่วยเราถอดเสื้อผ้าออกด้วยสิ เราก็ชินกับการนอนเปลือยกายเช่นกัน” ทรงตรัส

 

มิคาเอลจึงค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของพระองค์ออก ส่วนพระองค์ก็ปลดกางเกงออกไปพร้อมๆ กัน ร่างของพระองค์เปลือยเปล่า ไร้อาภรใดๆ ปกปิด ความเป็นชายขยายใหญ่ แข็งแกร่ง ตื่นตัวเต็มที่

“เราเปลือยกายแล้วแต่เจ้ายังไม่เปลือยเลย”

ทรงตรัส คุกเข่าลง ก่อนจะให้ปากหยอกล้อกับร่างของมิคาเอลภายใต้อันเดอร์แวร์สีขาวพระองค์ลูบไล้แผ่วเบาผ่านผ้า ก่อนจะใช้ฟันขบกัดเบาๆ หยอกล้อ จนมิคาเอลครางออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว พระองค์ค่อยๆ ปลดอันเดอร์แวร์ออกแล้วจึงครอบครองร่างของคนตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ ทรงหยอกล้อแผ่วเบา พระหัตถ์ใหญ่สัมผัสและขยับช้าๆ ปากและลิ้นก็ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม ร่างของมิคาเอลก็ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นช้าๆ พระองค์ยิ้มใช้ลิ้นตวัดเลียปลายยอด และดูดกลืนอย่างหิวกระหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งสัมผัสที่ร่างและขยับช้าๆ ปากและลิ้นก็ครอบครองมิคาเอลไว้ ลิ้นร้อนตวัดไปตามเส้นด้านใต้ จนคนตัวตัวเล็กเสียวกระสัน ครางออกมาอย่างลืมตัว มือเล็กเอื้อมมา จับที่ศรีษะของพระองค์ไว้ นิ้วมือเรียวขยำเส้นผมนุ่มสีดำสนิทของพระองค์

 

ในขณะที่มิคาเอลกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หยุด จับคนตัวเล็กหมุนตัวหันหลังให้พระองค์ และให้มิคาเอลคว้าจับขอบเตียงไว้ มือหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสร่างของมิคาเอลด้านหน้า ปากของพระองค์ก็มาหยอกล้อที่ช่องทางรักด้านหลัง พระองค์จุมพิตเบาๆ มิคาเอลก็เสียวสะท้านไปหมด จนแทบจะไม่มีแรงยืนอีกต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ลิ้นร้อนของพระองค์ค่อยๆ เลียที่ช่องทางรัก และยังใช้ลิ้นนั้นพยายามจะบุกรุกเข้ามา มืออีกข้างของพระองค์ก็ขยับขึ้นลงช้าๆ อยู่ด้านหน้า มิคาเอลที่ถูกปลุกเร้าพร้อมๆ กันถึงสองทาง ก็ทำได้เพียงร้องครางออกมาอย่างรัญจวนใจ ในวินาทีที่ร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หมุนร่างของมิคาเอลกลับมาหา ใช้ปากครอบครองร่างเล็กเอาไว้ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะควบคุม จนต้องจับพระองค์ไว้ ปลดปล่อยของเหลวออกมา

 

องค์เดเมี่ยนพึงพอใจ พระองค์กลืนกินลงไปทั้งหมด ก่อนจะลุกขึ้นอุ้มร่างของมิคาเอลวางลงบนเตียงนุ่ม ทาบทับร่างของมิคาเอลไว้ จูบคนตัวเล็กอย่างดูดดื่ม พระหัตถ์แกร่งค่อยๆ แยกขาของมิคาเอลออก และยกขึ้น ก่อนจะสอดใส่ร่างอันแข็งแกร่งของพระองค์เข้าไปช้าๆ ปากยังคงประกบจูบแลกลิ้นกับมิคาเอล ร่างของพระองค์ก็ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปจนมิด มิคาเอลเกร็งร่างด้วยความหฤหรรษ์ ครางออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม ภายในร่างของคนตัวเล็กอบอุ่น และคับแน่น จนพระองค์แทบจะทนไม่ไหว พระองค์แน่นิ่งไว้จนคนตัวเล็กเริ่มชิน มิคาเอลเอื้อมมือมากอดพระองค์ไว้ พระองค์จึงเริ่มขยับร่างช้าๆ มิคาเอลก็ครางออกมาอย่างปรารถนา สะโพกของคนตัวเล็กก็ขยับตามจังหวะของพระองค์ไปด้วย ขาเรียวค่อยๆ เกี่ยวรัดร่างของพระองค์เอาไว้ ยกสะโพกตามจังหวะของพระองค์ จนร่างของพระองค์สอดแทรกลึกมากขึ้นอีก มิคาเอลโอบรัดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่น เผยอปากรับจุมพิตจากพระองค์

 

มิคาเอลปรารถนาจะร่วมรักกับองค์เดเมี่ยน ต้องการรักพระองค์ และต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ องค์เดเมี่ยนร่วมรักกับมิคาเอลอย่างอ่อนโยน และทนุถนอม ทรงร่วมรักเนิ่นนาน ปรนเปรอความสุข ความเสียวซ่าน และความหฤหรรษ์ให้แก่มิคาเอลอย่างไม่รู้จบ คนตัวเล็กปลดปล่อยออกมาครั้งแล้ว ครั้งเล่าจนในที่สุดพระองค์ก็สุดจะกลั้นได้อีกต่อไป ทรงเร่งจังหวะ และปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกับคนตัวเล็กใต้ร่างของพระองค์ หลังการร่วมรักอันยาวนาน มิคาเอลก็หลับไปแทบจะทันที ด้วยความอ่อนล้า โดยมีองค์เดเมี่ยนโอบกอดเอาไว้ตลอดเวลา

 

มิคาเอลพบว่าที่ๆ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และหลับสบายที่สุด คือในอ้อมกอดของคนๆ นี้ เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะทำให้เขาผ่อนคลาย และเป็นสุข เขารักองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน และปรารถนาจะใช้เวลาทั้งหมดที่เขามีเหลืออยู่ไปกับการรัก และเอาใจองค์เดเมี่ยนให้ดีที่สุด และมากที่สุด

 

เมื่อใกล้จะถึงพระองค์ก็ปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นขึ้น มิคาเอลงัวเงียตื่นขึ้นช้าๆ ชั่วขณะเขาดูหวาดกลัว แต่องค์เดเมี่ยนก็กอดรั้งเขาไว้ ปลอบโยน

“มิคาเอล ไม่ต้องกลัว เราอยู่นี่แล้ว” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก

“ฝ่าบาท!!” มิคาเอลร้องเรียก กอดพระองค์ไว้แน่น

“เจ้าฝันร้ายหรือ เราอยู่นี่แล้วอย่ากลัวไปเลย” ทรงปลอบ มองคนตัวเล็กที่งัวเงียค่อยๆ ตื่นขึ้น

“ครับ ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย

“แต่งตัวเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงเครื่องก็จะลงจอดแล้ว” ทรงตรัส กอดปลอบโยนมิคาเอลอย่างรักใคร่

“ครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลตอบรับ ยิ้มให้พระองค์

 

เมื่อเครื่องลงจอด องค์เดเมี่ยนก็คอยพยุงมิคาเอลลงมาจากเครื่อง คนตัวเล็กยิ้มหวานให้พระองค์ แต่บางอย่างไม่ถูกต้อง มิคาเอลดูจะสูญเสียการทรงตัว และเมื่อพระองค์หันมามองมิคาเอลอีกครั้ง พระองค์ก็ยิ่งตกใจ เมื่อพระองค์พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากจมูกของมิคาเอล ก่อนมิคาเอลจะโงนเงน จนพระองค์ต้องรีบเข้ามารับก่อนร่างที่หมดสติของมิคาเอลจะล้มลง

 -----------------

 เพราะเป็นไรท์โรคจิต 55555

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
เครียดเลยงานนี้ มาอ่านอีกครั้งก้อยังอดที่จะตกใจกับบรรดาดราม่าของไรท์จริง ๆ น่ะ  :katai1: ลุ้นตลอดว่าจะมีดราม่าอีกไหม  :a5:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

 

บทที่ 64 หากผม…

 

มิคาเอลตื่นลืมตาขึ้นช้าๆ บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ข้างๆ เตียงของเขามีองค์เดเมี่ยนนั่งจับมือเขาอยู่ด้วยความห่วงใย พระพักตร์ของพระองค์ดูเศร้าหมอง จนมิคาเอลรู้สึกเจ็บปวดที่เห็น เขารู้ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องทำหน้าเศร้าแบบนี้

 

“ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียกหาพระองค์ องค์เดเมี่ยนเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างห่วงใย สายพระเนตรบ่งบอกถึงความกังวลอย่างปิดไม่มิด

“มิคาเอล เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงตรัสถามด้วยแววตาอันเจ็บปวด

“ผมไม่เป็นไรครับ เรากลับวิลล่ากันเถอะนะครับ ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาล” มิคาเอลตอบ เตียงคนไข้ กลิ่นของห้องพยาบาล ทำให้เขาคิดถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับพ่อและแม่ของเขา

“เจ้าไม่สบาย เจ้าต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง แล้วเราค่อยกลับวิลล่ากัน” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน เอื้อมพระหัตถ์มาลูบไล้แก้มเนียนอย่างรักใคร่

“ผมดีขึ้นแล้วครับฝ่าบาท ผมอยากกลับบ้าน พาผมกลับบ้านนะครับ”

มิคาเอลขอร้องน้ำตาคลอ

“ตอนที่เจ้าหมดสติไป หมอพอลและทีมแพทย์ได้ทำการตรวจเช็คร่างกายของเจ้าอย่างละเอียด และได้ทำการแสกน MRI ให้กับเจ้า เจ้ากำลังไม่สบาย มิคาเอล” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด หวาดกลัวแทนคนตรงหน้า เกรงกลัวว่าจะเสียคนๆ นี้ไป จนหัวใจของพระองค์ปวดร้าวไปหมด แต่มิคาเอลกลับดูไม่ได้ตกใจ ราวกับว่ารู้อยู่แล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา พระองค์มองคน

ตัวเล็กด้วยแววตาที่เจ็บปวด แต่มิคาเอลก็เอื้อมมือมาจับใบหน้าของพระองค์

“ผมทราบครับ ผมเป็นเนื้องอกในสมอง แม้มันจะไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ขนาดก็ใหญ่พอสมควร และก็ทราบว่าหากผ่าตัด โอกาสเสี่ยงก็มีสูงมาก ผมอาจจะตายได้ และหากผมไม่ตาย ผมก็มีโอกาสที่จะเดินไม่ได้อีก หรืออย่างน้อยที่สุด ผมก็อาจจะสูญเสียความทรงจำบางส่วน หรือทั้งหมด” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ ราวกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“เจ้ารู้ ทำไมถึงไม่บอกเรา” ทรงตรัสถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผมรักพระองค์ครับ ผมอยากรักพระองค์ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมคิดว่าผมจะมีเวลามากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าผมคงเหลือเวลาอีกไม่มาก”

มิคาเอลกล่าวน้ำตาไหลออกมา

“ในตอนแรกที่ผมรู้ ผมไม่คิดจะบอกใคร ผมเกือบจะฆ่าตัวตาย แต่มีคนมาเตือนสติผม ผมจึงพยายามจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ผมถึงอยากช่วยเหลือคนอื่นในตอนที่ผมยังทำได้ และพยายามทำในสิ่งที่ผมต้องการให้มากที่สุด ผมพยายามจะลืมพระองค์ ผมไม่คิดว่าพระองค์จะยังทรงรักผมอยู่ ผมคิดว่า ผมจะตายอยู่เพียงลำพัง…

 

ตอนที่ผมเจอพระองค์ ผมอยากจะหนีไปจากพระองค์ ผมไม่อยากให้พระองค์รู้ ไม่อยากให้พระองค์รักผม เพราะผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน ผมไม่อยากให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกแล้ว ไม่อยากให้พระองค์ต้องเสียใจไปมากกว่านี้ 

 

แต่...ผมก็เห็นแก่ตัว ถึงผมจะมีเวลาเหลือไม่มาก ผมก็อยากจะรักพระองค์ ผมอยากอยู่กับพระองค์ให้นานที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจ ผมขอโทษครับ”

มิคาเอลกล่าว น้ำตาไหลออกมา สะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ จนองค์เดเมี่ยนต้องเข้าไปปลอบ กอดร่างเล็กเอาไว้ จูบซับน้ำตาของคนตัวเล็กที่ไหลริน ทั้งเจ็บปวดและทรมาน ราวกับมีคนมากระชากหัวใจของพระองค์ออกมา เพียงแค่คิดว่าพระองค์จะต้องอยู่โดยไม่มีคนๆ นี้เคียงข้าง หัวใจของพระองค์ก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด ดวงตาที่เคยแข็งกร้าว มาบัดนี้มีน้ำใสๆ คลอหน่วงอยู่ และค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างทรมานที่สุด

 

ตลอดชีวิตของพระองค์ต้องเจอกับเรื่องราวร้ายๆ มาตลอด ไม่ว่าพระองค์จะปรารถนาหรือต้องการสิ่งใด พระองค์ก็ต้องเสียมันไปทุกครั้ง พระองค์อยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดชีวิต ทรมานมาทั้งชีวิตจนกระทั่งมิคาเอลเดินเข้ามาในชีวิตของพระองค์ คนๆ นี้ทำให้หัวใจที่ด้านชาของพระองค์อบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง คนๆ นี้ทำให้พระองค์รู้สึกถึง ความรักอีกครั้ง ตลอดมาพระองค์เฝ้าขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้พระองค์ได้มาเจอคนๆ นี้ ทำให้คนที่ตายไปแล้วทั้งเป็นอย่างพระองค์กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในตอนนี้พระองค์กลับกำลังกร่นด่าคนบนฟ้าที่กลั่นแกล้งทั้งพระองค์และ

มิคาเอลแบบนี้ หรือเป็นเพราะพระองค์ที่เลวทราม ต่ำช้า สวรรค์จึงลงโทษพระองค์ แต่หากเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ปรารถนาจะเป็นคนที่เจ็บ และตายแทนมิคาเอล เพราะหากไม่มีคนๆ นี้ ชีวิตของพระองค์ก็คงไม่มีความหมายอะไรอีก ร่างกายหากปราศจากซึ่งหัวใจ แล้วพระองค์จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร

 

"เราไม่ยอมให้เจ้าไปจากเรา เราบอกแล้วไงว่าเจ้าจะต้องอยู่กับเรา เจ้าสัญญากับเราแล้วไม่ใช่เหรอ เราสั่งให้พาหมอศัลยกรรมสมองที่เก่งที่สุดมาที่คานาเดีย และเมื่อทุกอย่างพร้อม เจ้าจะได้รับการผ่าตัด และได้รับการรักษาที่ดี่ที่สุด เจ้าจะต้องปลอดภัย” องค์เดเมี่ยนตรัส กอดรัดคนตัวเล็กไว้แนบหัวใจ กอบกุมมือของคนตัวเล็กเอาไว้

“ผมไม่ต้องการผ่าตัดครับ” มิคาเอลกล่าว องเดเมี่ยนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม” ทรงถาม

“หากผ่าตัด หากผมตาย... ผมก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่กับพระองค์อีก ผมอยากอยู่กับพระองค์ให้นานกว่านี้ อยากอยู่กับพระองค์ให้นานที่สุด”

มิคาเอลกล่าวน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด

“แต่หากเจ้าผ่าตัด เจ้าก็จะอยู่ได้นานกว่านี้ เจ้าจะได้อยู่กับเราต่อไป”

“แต่ผมก็อาจจะตายก็ได้ หรือผมอาจจะเป็นอัมพาต ผมอาจจะเดินไม่ได้อีก ผมไม่ต้องการเป็นภาระของพระองค์”

“เราจะดูแลเจ้าเอง หากเจ้าเดินไม่ได้เราจะอุ้มเจ้า หากเป็นอัมพาตเราจะอยู่ตรงนี้และดูแลเจ้าอย่างดี เจ้าไม่ใช่ภาระ แต่เป็นแก้วตาและดวงใจของเรา” ทรงตรัส กอดมิคาเอลเอาไว้

“ผมอาจจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดก็ได้ ผมอาจจะสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ทั้งหมด ผมอาจจะจำไม่ได้ว่าผมรักพระองค์มากแค่ไหน ผมไม่ต้องการ ผมอยากจดจำพระองค์ไว้ จดจำทุกอย่างเอาไว้” มิคาเอล

กล่าวอย่างเจ็บปวด

“หากจดจำเราไม่ได้ หากเจ้าลืมรักของเรา เราจะทำให้เจ้ารักเราอีกครั้ง เราจะสร้างความทรงจำอันใหม่ให้กับเจ้า เรารักเจ้ามิคาเอล ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เราก็รักเจ้า ทั้งหมดของเราเป็นของเจ้าคนเดียว ตลอดไป” ทรงตรัส

“ผม... เพียงอยากจะรักพระองค์ในตอนนี้เท่านั้น ตลอดไปไม่มีจริงหรอกครับ ได้โปรดอย่าบังคับผมเลยครับ ให้ผมได้รักพระองค์ในตอนนี้ให้มากที่สุด ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”มิคาเอลกล่าว

“แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับเรา เราต้องการให้เจ้าอยู่กับเรา เราปรารถนาให้เจ้าเป็นชายาของเรา เราอยากแก่ชราไปพร้อมกับเจ้า เราปรารถนาจะรักเจ้าจนลมหายใจสุดท้ายของเรา หากเจ้าจากไป แล้วเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร หากไม่มีเจ้าแล้วเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เจ้าคือความสุขหนึ่งเดียวในชีวิตของเรา” ทรงตรัสอ้อนวอน

 

พอดีกับที่หมอพอลเดินเข้ามา

“ถ้าคนไข้ไม่ต้องการผ่าตัด หมอหรือใครก็บังคับไม่ได้ ถึงอย่างไรในตอนนี้ ทางเราได้ติดต่อไปที่หมอปิแอร์ ที่เชี่ยวชาญในด้านการผ่าตัดสมอง แต่กว่าหมอปิแอร์จะมาได้ก็คงจะอีกหลายวัน กระหม่อมคิดว่าให้ว่าที่พระชายากลับไปพักที่วิลล่าก่อนก็ได้ จากนั้นจึงค่อยๆ คิดและตัดสินใจกันอีกทีก็ยังทัน” หมอพอลกล่าว ตบไหล่องค์องค์เดเมี่ยนเบาๆ ราวกับจะให้กำลังใจ

 

องค์เดเมี่ยนอยู่ดูแลมิคาเอลไม่ยอมห่าง พระองค์โอบกอดมิคาเอลเอาไว้บนตักอย่างทะนุถนอมอยู่แทบจะตลอดเวลา ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มองออกไปด้านนอกที่ขณะนี้หิมะกำลังโปรยปรายลงมา บรรยากาศดูอึมครึม สีพระพักตร์ขององค์เดเมี่ยนยิ่งดูเศร้าหมองจนมิคาเอลใจหาย

“ผมไม่อยากให้ฝ่าบาททำแบบนี้ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เราเจ็บปวด หากเป็นไปได้เราอยากจะเป็นคนที่เจ็บแทนเจ้า ให้เราตายแทนเจ้าเสียยังจะดีกว่า” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท อย่าทรงตรัสแบบนี้สิครับ ผมดีใจที่อย่างน้อยผมก็ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์อีกครั้ง” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์ไว้อย่างรักใคร่

“เราอยากให้เจ้าอยู่ในอ้อมกอดของเราตลอดไป เจ้าสัญญาว่าจะลองคิดดูในเรื่องของการผ่าตัด เราอยากรู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจหรือยัง” ทรงตรัสถาม

“พระองค์จะทรงตรัสว่า ผมควรจะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ใช่ไหมครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างรู้ทัน แม้ในตอนนี้ คนตัวเล็กของพระองค์ก็ยังยิ้มออกมา

“เราไม่เข้าใจ ทำไม ทั้งๆ ที่เจ้าป่วยหนักแบบนี้ แต่เจ้ากลับเอาแต่ยิ้มแย้ม” ทรงถาม

“เพราะผมอยู่กับพระองค์ พระองค์เป็นคนที่ผมรักมากที่สุด ผมดีใจที่พระองค์อยู่ตรงนี้ ดีใจที่พระองค์รักผม ผมไม่ต้องทุกข์จากการคิดถึงพระองค์ ไม่ต้องทรมานจากความเจ็บปวด ที่คิดว่าพระองค์ไม่รักผมแล้ว ผมมีความสุขเพราะผมมีพระองค์อยู่ข้างๆ” มิคาเอลตอบ

“แต่หากเจ้าไม่ยอมผ่าตัด แล้ววันหนึ่งเจ้าจากเราไป ในที่ๆ เราไม่อาจจะตามเจ้าไปได้ แล้วเจ้าไม่คิดถึงใจของเราบ้างหรอกหรือว่าเราจะทุกข์และทรมานมากขนาดไหน” ทรงถาม มิคาเอลกอดพระองค์ไว้

“ผมขอโทษครับ”

“เราขอร้องได้ไหม ทำเพื่อเราได้ไหม มีชีวิตอยู่เพื่อเรา ขอเพียงเจ้ายังหายใจอยู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะดูแลเจ้าเอง” ทรงตรัส มิคาเอลนิ่งเงียบไป

“ได้โปรด มิคาเอล เรารักเจ้า รักมากกว่าสิ่งใด เราคงทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า” ทรงตรัสอ้อนวอน

“แต่การผ่าตัดก็ไม่ได้การันตีว่าผมจะไม่ตายนี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“แต่เจ้าก็รู้ว่าอาการของเจ้าก็หนักขึ้นทุกวัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าการที่เราเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ มันทำให้เราทรมานมากขนาดไหน” ทรงตรัสกอดร่างเล็กเอาไว้

“เรากลัว กลัวว่าวันหนึ่ง เมื่อเราปลุกเจ้าในตอนเช้า แล้วเจ้าจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีก เรากลัวว่าเราจะไม่มีโอกาสได้บอกรักกับเจ้าอีก เรากลัวว่าเราจะไม่มีโอกาสกอดเจ้าแบบนี้อีก และทั้งๆ ที่เรากอดเจ้าเอาไว้ ทำทุกอย่างเพื่อเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ แต่เราก็กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งเราจะเสียเจ้าไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ทรงตรัสน้ำตาของพระองค์ไหลรินออกมาอย่างสุดจะกลั้น มิคาเอลรู้สึกผิดเหลือเกินที่เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องเป็นแบบนี้

“หากผมยอมผ่าตัด พระองค์จะให้สัญญากับผมได้ไหมครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ทำให้องค์เดเมี่ยนหันมามองคนตัวเล็ก

“เรายอมทุกอย่าง” พระองค์ตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด

“ข้อแรก หากผมตาย ผมขอร้องให้พระองค์อย่าทรงโทษตัวเองนะครับ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของพระองค์” มิคาเอลกล่าว พระองค์รับฟัง

“เจ้าจะต้องปลอดภัย” ทรงตรัส

“ข้อสอง หากผมกลายเป็นอัมพาทขึ้นมา... หากผม... ไม่อาจตอบสนองความต้องการของพระองค์ได้อีก ผม... ต้องการให้พระองค์มีสนมใหม่ ผมไม่ต้องการให้พระองค์ผูกมัดอยู่กับผม ผมไม่ต้องการเป็นคนเห็นแก่ตัว ร้องขอให้พระองค์มีเพียงแค่ผม โดยที่ผมไม่สามารถทำให้พระองค์มีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ผมขอร้องขอให้พระองค์รับสนมใหม่ ได้ไหมครับ” มิคาเอลกล่าว สีหน้าดูกังวลและเจ็บปวด

“บอกแล้วไง ว่าเราเป็นของเจ้าคนเดียว เรารักเจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส

“หากพระองค์ไม่ยอมรับ ผมก็จะไม่ตกลงเช่นกัน” มิคาเอลพูดอย่างดื้อดึง

“เรา...ก็ได้... เราจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” ทรงตรัส

“ผมรู้ว่าพระองค์รักผม แต่ผมไม่อยากให้พระองค์ต้องมาทนอยู่ เพียงเพราะพระองค์รู้สึกต้องรับผิดชอบในตัวผม ผมอยากเห็นพระองค์มีความสุข”

มิคาเอลกล่าว

“การได้อยู่กับเจ้า ก็ทำให้เรามีความสุขมากที่สุดแล้ว” ทรงตรัส

 

“ข้อสุดท้าย...” มิคาเอลถอดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออก ส่งคืนแหวนให้แก่พระองค์

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พระองค์ถามอย่างตกใจ

“ผมในตอนนี้ คงไม่สามารถเป็นชายาของพระองค์ได้อีก ผมไม่ต้องการพันธนาการพระองค์ไว้กับผม พระองค์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตของผม ผมปลดปล่อยพระองค์ หากผมตาย ผมต้องการให้พระองค์เปิดใจรับคนๆ ใหม่ที่เข้ามา หลังจากผ่าตัด หากผมกลายเป็นคนพิการ ผมก็ไม่ต้องการเป็นภาระของพระองค์ หากผมไม่มีประโยชน์ต่อพระองค์ ผมก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ผมจะอยู่ที่นี่ตามสัญญา จนกว่าพระองค์จะไม่ต้องการผม แต่ผมไม่ต้องการเป็นชายาของพระองค์ พระองค์ทรงรักมิคาเอลในตอนนี้ แต่หลังการผ่าตัด ผมจะไม่เหมือนเดิมอีก ผมไม่ต้องการเอาเปรียบพระองค์” มิคาเอลพูด น้ำตาไหลริน ทรมานที่สุด เจ็บปวดที่สุด องค์เดเมี่ยนรับแหวนคืน

“เราจะเก็บไว้ให้ เมื่อเจ้าพร้อม เราจะมอบมันคืนแก่เจ้า” ทรงตรัส

“พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” มิคาเอลประท้วง

 

“เรารอเจ้ามาตลอดชีวิต และเราจะรอเจ้าตลอดไป ตราบที่เรายังหายใจ เราจะไม่รักใครอีก เราไม่ได้รักเจ้าเพียงเพราะร่างกายของเจ้า เรารักเจ้า ทั้งหมดของเจัา ทุกอย่างของเจ้า เราเข้าใจว่าเจ้า ไม่ต้องการผูกมัดเรา ไม่ต้องการให้เราทรมานแบบเดสเซเร่ เราสัญญาเจ้าในข้อนั้น แต่เรารักเจ้า ทั้งหมดของเรา เป็นของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะรักไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส รั้งร่างเล็ก เข้ามากอดอย่างอย่างทะนุถนอม และรักใคร่ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้แนบแน่น เนิ่นนาน ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นแนบหัวใจ

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
กำลังจะ happy อยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมิคาเอลจะเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่า

ออฟไลน์ kitty08

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-4
 :mew2: :o12: ไรท์โหดร้ายกว่ามิคาเอลจะมีความสุข  :katai1:

ออฟไลน์ KanadiaTBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


 

บทที่ 65 คนขี้เซา

 

มิคาเอลเงยหน้าขึ้นมององค์เดเมี่ยน มือเล็กเอื้อมขึ้นมาสัมผัสแก้มของพระองค์ พระองค์ซบใบหน้าแนบมือนั้น คนตัวเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจึงหันหน้าเข้าหา นั่งคร่อมร่างขององค์เดเมี่ยนไว้ ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของพระองค์อย่างเย้ายวน แต่องค์เดเมี่ยนกลับรั้งร่างเล็กออกช้าๆ

 

“เจ้าไม่สบาย มิคาเอล เราเกรงว่า…” ทรงตรัสแผ่วเบา

“ผมมีเนื้องอกในสมอง แต่ร่างกายของผมก็ยังคงต้องการพระองค์นะครับ ได้โปรด … กอดผมนะครับ” มิคาเอลอ้อนวอน ค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก ทั้งๆ ที่ยังนั่งคร่อมพระองค์อยู่บนตัก เสื้อถูกถอดออก มือเรียวเล็กรูปไล้ร่างกายของตัวเองอย่างเย้ายวน

“พระองค์ไม่ต้องการผมแล้วเหรอครับ” มิคาเอลถาม มือเรียวเล็กลูบไล้ผ่านยอดอกสีชมพูของเขา จนมันเริ่มแข็งเป็นไต ก่อนจะไล้ลงต่ำมาที่ขอบกางเกง องค์เดเมี่ยนมองตามด้วยความปรารถนา และพยายามยับยั้งตัวเองอย่างยากเย็น

 

“ผมกำลังตื่นตัวครับ… ผม… ต้องการพระองค์” มิคาเอลร้องขอ ค่อยๆ ปลดซิบกางเกงออก เปิดเผยร่างที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นให้พระองค์เห็น โน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูแผ่วเบา ยั่วยวน

“ผมต้องการพระองค์ครับ” มิคาเอลกระซิบ องค์เดเมี่ยนกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่ยอมแตะต้อง มิคาเอลเอื้อมมือลงต่ำ ค่อยๆ สัมผัสร่างของตัวเองช้าๆ ร่างของคนตัวเล็กก็ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาช้าๆ

“ผมอยากให้พระองค์สัมผัสผม ทำให้ผมมีความสุข ร่างกายของผม ตอบสนองต่อพระองค์คนเดียว” มิคาเอลกล่าวอ้อนวอน แม้คนตัวเล็กจะสัมผัส แต่ก็ไม่อาจจะปลดปล่อยออกมาได้ จึงเอาแต่อ้อนวอน ขอความเมตตาจากพระองค์

“องค์เดเมี่ยน ได้โปรด สัมผัสผม ได้โปรด ครอบครองผม ผม… ต้องการพระองค์” คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เย้ายวนเป็นที่สุด น้ำเสียงที่อยากจะปลดปล่อย แต่ทำไม่ได้ ฟังดูทรมานเหลือเกิน

“ฝ่าบาท… ได้โปรด ผมอยากให้พระองค์สัมผัสผม ตรงนี้…” มิคาเอลลูบไล้มาที่ยอดทับทิมทั้งสองอย่างเย้ายวน

“อยากให้พระองค์ ครอบครองผมที่ตรงนี้…” มือเล็กเอื้อมมาสัมผัสกับร่างที่ส่วนหน้า ขยับมันเบาๆ อย่างยั่วยวน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับพระหัตถ์ไปสัมผัสที่ก้นกลมกลึง

“ตรงนี้ก็ต้องการ พระองค์” มิคาเอลกล่าวเสียงอ่อนหวาน รัญจวนใจ

“เจ้าไปหัดยั่วยวนแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ทรงตรัสอย่างหมดความอดทน ร่างของพระองค์ตื่นตัวและขยายใหญ่อยู่ภายใต้กางเกงผ้า จนพระองค์อึดอัด และเจ็บไปหมด

“ผมต้องการพระองค์ ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอนอีกครั้ง

“แต่… เจ้า…” พระองค์ลังเล ด้วยกลัวจะทำร้ายคนตัวเล็ก

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องการพระองค์ นะครับ” คนตัวเล็กกล่าว ก้มลงจูบพระองค์อย่างดูดดื่ม และนั่นก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ยับยั้งพระองค์เอาไว้ องค์เดเมี่ยนยกร่างของมิคาเอลออกจากตัวของพระองค์ และวางร่างเล็กลงบนโซฟาขนาดใหญ่ พระองค์ถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไปอย่างรีบร้อน ก่อนเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

 

พระองค์นั่งลงที่ปลายเท้าของมิคาเอล ทรงจูบไล่จากปลายเท้าของคนตัวเล็ก ลิ้นร้อนแลบเลียขาเรียวสวย ผิวนวลเนียนเสียยิ่งกว่าผิวของสตรีใดที่ทรงเคยได้สัมผัส ฟันของพระองค์ขบกัดลงอย่างแผ่วเบาที่ต้นขาด้านใน รอยแดงถูกทิ้งไว้หลายต่อหลายจุด มิคาเอลร้องครางกับความเสียวซ่านแม้พระองค์จะยังไม่ได้สัมผัสที่ร่างของเขา ร่างกายทุกส่วนตอบสนองต่อสัมผัสขององค์เดเมี่ยน ความเสียวซ่านแผ่กระจายจนมิคาเอลแทบทนไม่ได้ พระองค์แยกขาของคนตัวเล็กออก และแทรกตัวอยู่ตรงกลาง ก้มลงใช้ลิ้นแตะสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่ปลายยอด หยอกเย้า ฟันของพระองค์ก็ค่อยๆ ขบกัดแผ่วเบา เสียงของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นอย่างรัญจวนใจ พระองค์จึงครอบครองของมิคาเอลเอาไว้ ดูดเลียอย่างหิวโหย จนคนตัวเล็กร้องครางออกมา

 

พระองค์ถอนปากออก ใช้ลิ้นเลียปลายนิ้วของพระองค์ก่อนจะยกขาของคนตัวเล็กขึ้น ก้มลงเลียที่ปากประตูอันคับแคบ มิคาเอล ขมิบตอบรับอย่างเสียวซ่าน ลิ้นร้อนพยายามจะชอนไชเข้าไป ไม่นานมิคาเอลก็รู้สึกถึงนิ้วมือใหญ่ของพระองค์ที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในช้าๆ พระองค์ค่อยๆ สอดใส่นิ้วเข้าไป และขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนพระองค์จะกลับมาครอบครองที่ส่วนหน้าของเขาอีกครั้ง ปากและลิ้นขยับขึ้นลงสอดประสานจังหวะกับนิ้วที่บุกรุกเข้ามาเบื้องหลัง มิคาเอลที่ถูกปลุกเร้าพร้อมกันทั้งสองทางก็ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ ความปรารถนาพุ่งขึ้นสูง หายใจอย่างหอบเหนื่อย มือเอื้อมมาจับศรีษะที่ขยับขึ้นลงไว้ ก่อนจะครางเสียงดัง และฉีดพุ่งของเหลวเร่าร้อนเข้าสู่ปากขององค์เดเมี่ยน พระองค์กลืนกินมันจนหมด

 

พระองค์ลุกขึ้นช้าๆ มองคนตรงหน้า ใบหน้าหวานขึ้นสีจนเป็นสีชมพูระเรื่อ หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองดูช่างเย้ายวนยิ่งนัก

“เจ้าต้องการให้เราหยุดไหม” ทรงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมต้องการพระองค์ ได้โปรด” มิคาเอลยกมือขึ้นเรียกร้องให้พระองค์เข้ามาหา องค์เดเมี่ยนแยกขาของมิคาเอลออก และยกขาข้างหนึ่งขึ้น ก้มลงจุมพิตมิคาเอลเนิ่นนาน จนคนตัวเล็กเคลิบเคลิ้ม ร่างของพระองค์ถูไถอยู่ปากทางอย่างเย้ายวน จนมิคาเอลแทบจะมอดไหม้ด้วยความปรารถนา

 

ร่างอันใหญ่โตค่อยๆ แทรกตัวผ่านเข้าไปช้าๆ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์กดร่างเข้าไปจนสุด และแช่ร่าง แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น จุมพิตเร่าร้อนปลุกเร้าให้อารมณ์ของมิคาเอลตะเลิดไปไกล มือใหญ่ยังเอื้อมมาสัมผัสที่ด้านหน้าอีกด้วย มือขยับช้าๆ สอดคล้องกับจังหวะการขยับตัวของพระองค์ เสียงครางอย่างพึงพอใจของมิคาเอลดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวะที่ทรงขยับตัว ร่างของพระองค์ขยับเข้าออกช้าๆ ไม่เร่งรีบ

 

"ฝ่าบาท ผมต้องการ ต้องการมากกว่านี้"

มิคาเอลร้องขอ เขาปรารถนาพระองค์ อยากตักตวงความสุขนี้เอาไว้ อยากร่วมรักกับพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ร่วมรักกับพระองค์อีก ไม่ว่าเขาจะผ่าตัดหรือไม่ หลังจากนี้ไปทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีก แต่เขาจะไม่คิดถึงมัน ในตอนนี้ เวลานี้ เขาจะรักองค์เดเมี่ยนให้มากที่สุด เอาอกเอาใจพระองค์ให้มากที่สุด ร่วมรักกับพระองค์ให้มากที่สุด ก่อนที่เวลาชีวิตของเขาจะหมดลง

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล เรารักเจ้ามากเหลือเกิน”

องค์เดเมี่ยนกระซิบที่ข้างหู พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลอย่างอ่อนโยน เพราะพระองค์ไม่ต้องการทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวด พระองค์รักคนๆ นี้อย่างหมดหัวใจ และปรารถนาให้มิคาเอลมีความสุข แม้พระองค์จะหวาดกลัวแทบขาดใจว่าพระองค์อาจจะสูญเสียคนตัวเล็กไป แต่ในตอนนี้คนตัวเล็กยังอยู่ตรงนี้ อยู่อ้อมกอดของพระองค์ ยังคงเรียกหาพระองค์ ยังคงรักพระองค์ พระองค์ก็จะกอดคนตัวเล็กเอาไว้ ทำทุกอย่างที่คนๆ นี้ปรารถนา จะรักและดูแลคนๆ นี้อย่างดี ตราบจนความตายมาพรากจากกัน

 

พระองค์ขยับร่างเข้าออกเข้าออกเป็นจังหวะ ร่างของพระองค์เสียดสีในจุดที่อ่อนไหวของมิคาเอล จนคนตัวเล็กร้องครางอย่างเร้าอารมณ์ สะโพกเล็กขยับตามพระองค์ด้วยความปรารถนา พระองค์ขยับโยก หมุนวน จนคนตัวเล็กกรีดร้อง ความหฤหรรษ์มากมายที่พระองค์ปรนเปรอ จนมิคาเอลแทบรับไม่ไหว ร่างของพระองค์ขยับเข้าออก กระแทกกระทั้น เป็นจังหวะ

บทเพลงรักอันเร่าร้อน ดุดัน มิคาเอลหอบหายใจ ร่างกายร้อนรุ่มดั่งไฟเผา เสียงครางดังขึ้น เกร็งร่างตอดรัด และกอดพระองค์แนบแน่น จนในที่สุด

มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนถอนตัวออกและลุกขึ้น ช้อนร่างของมิคาเอลและพากลับไปยังห้องบรรทม

 

ตลอดหลายวันมานี้ทั้งองค์เดเมี่ยนและมิคาเอลแทบไม่ได้ก้าวออกมาจากห้องบรรทมเลย ทั้งสองเอาแต่ร่วมรักกัน อิงแอบในอ้อมอกของกันและกัน พร่ำบอกรักแก่กัน และร่วมรักกันอีกครั้ง วนซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ในเช้าวันที่สาม องค์เดเมี่ยนได้รับข้อความจากหมอพอล แจ้งว่าหมอปิแอร์ได้เดินทางมาถึงแล้ว และ ทางโรงพยาบาลจะทำการผ่าตัดให้แก่มิคาเอลทันทีที่มิคาเอลพร้อม พระองค์มั่นใจว่าคนตัวเล็กจะต้องปลอดภัย แต่อีกใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ ร่างเล็กนอนหลับอยู่บนร่างของพระองค์ ทุกสัดส่วนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ใบหน้าหวานซบกับอกอุ่น แนบหัวใจของพระองค์ พระองค์ปลุกคนตัวเล็กเบาๆ

 

“มิคาเอล ตื่นเถอะ เช้าแล้วคนดี”

ทรงตรัสเรียก ไม่มีเสียงตอบรับ ร่างเล็กยังคงนอนนิ่งอยู่บนร่างของพระองค์ ทั้งๆ ที่ปกติ มิคาเอลจะต้องตื่นขึ้นมาแล้วแท้ๆ หัวใจของพระองค์กระตุกวูบ ความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจ รีบพลิกร่างของมิคาเอลนอน และเรียกหาคนตัวเล็กอีกครั้ง

“มิคาเอล! มิคาเอล! มิคาเอลตื่นขึ้นมา!!...เราขอร้อง... ได้โปรดลืมตาขึ้น... ได้โปรด” ทรงเขย่าร่างของคนตัวเล็กเบาๆ ตะโกนร้องเรียก ก่อนจะกลายเป็นเสียงกระซิบ น้ำตาของพระองค์ไหลริน ร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้กับพระองค์

“คนขี้แย” มิคาเอลกล่าวเบาๆ องค์เดเมี่ยนจึงรั้งไปกอดแนบอก

“เจ้าทำให้เราตกใจ” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าว

“ผมได้ยินพระองค์แต่ผมตื่นขึ้นมาไม่ได้ ผมเหนื่อยจังครับ” มิคาเอลกล่าวเบาๆ

“หมอปิแอร์มาแล้ว หากเจ้าพร้อม ก็สามารถผ่าตัดได้ทันที” ทรงตรัส

“ตกลงครับ” มิคาเอลกล่าวตกลง พระองค์จึงยิ้มรับ

“เราจะแจ้งหมอพอลเดี๋ยวนี้” ทรงตรัสอย่างใจร้อน

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลร้องเรียก พระองค์จึงเดินเข้ามาใกล้

“เราอยู่นี่” ทรงตรัส เอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอลไว้

“ผมรักพระองค์ครับ รักมากที่สุด” มิคาเอลกล่าว ด้วยรอยยิ้มที่งดงามที่สุด

“เราก็รักเจ้าเช่นกัน รักมากที่สุด รักจนหมดหัวใจ” ทรงตรัสตอบ ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเนิ่นนาน ก่อนจะรีบไปแต่งตัว มิคาเอลยิ้มให้พระองค์ มองดูพระองค์เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว หนังตาของเขารู้สึกหนักอึ้ง จนเขาไม่อาจจะฝืนลืมตาได้อีก เขาจึงหลับตาลงช้าๆ

 

องค์เดเมี่ยนเดินกลับออกมาจากห้องแต่งตัว เดินตรงมาหาคนตัวเล็กที่กำลังนอนหลับอย่างสงบ หน้าอกกระเพื่อมเป็นจังหวะ ใบหน้าหวานยังคงเปื้อนรอยยิ้มละไม พระองค์นั่งลงเคียงข้าง ปลุกเบาๆ

“ตื่นได้แล้วคนขี้เซา หากเจ้าไม่แต่งตัวเราจะพาเจ้าไปทั้งๆ ที่เจ้าเปลือยแบบนี้” ทรงตรัสหยอกล้อ แต่คนตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้น

“มิคาเอล ตื่นขึ้นมาสิ”

ทรงกระซิบเรียกอีกครั้ง แต่ร่างเล็กก็ยังคงแน่นิ่ง และไม่ว่าพระองค์จะทำอย่างไร ร่างเล็กก็ไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

พระองค์ตกใจและหวาดกลัวเหลือเกิน ทรงสั่งให้เอาเฮลิคอปเตอร์ออก และนำร่างที่ไร้สติของผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจของพระองค์ไปยังโรงพยาบาล ตลอดทางพระองค์เอาแต่เฝ้าภาวนา ขอให้คนตัวเล็กของพระองค์ปลอดภัย

 

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ไมเคิลจะเปฺ็นไรไหมนิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด