พิมพ์หน้านี้ - ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 05:54:31

หัวข้อ: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 05:54:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 1 ไมเคิล มิลลส์ (รีไรท์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 05:57:43
บทที่ 1 ไมเคิล มิลลส์
 

ไมเคิล มิลลส์ ช่างถ่ายภาพอิสระไฟแรง ที่มากความสามารถ และมีพรสวรรค์ในการถ่ายภาพ เขาเดินทางไปมาแล้วทั่วโลกเพื่อเสาะแสวงหาภาพถ่าย ช่างภาพหนุ่มไม่จำกัดการถ่ายภาพ ดังนั้นภาพของเขาจึงมีความหลากหลาย ตั้งแต่ภาพสถาปัตยกรรม ตึกสูงระฟ้าในเมืองใหญ่ ไปจนกระท่อมหลังเล็กของชาวนา ภาพสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ สัตว์เลี้ยง ไปจน สัตว์ป่าหายาก หรือจะเป็นภาพบุคคล ตั้งแต่คนเดินถนน ไปจนถึงผู้นำของประเทศ ภาพปรากฎการธรรมชาติ ตั้งแต่ ฝนตก ไปจน ภูเขาไฟระเบิดปะทุ ไมเคิลก็ถ่ายมาแล้ว จนเขาได้ฉายาว่า Mission impossible เพราะเขาสามารถถ่ายภาพของสิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ รางวัลที่เรียงรายอยู่บนชั้นย่อมเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี

 

ไมเคิลเริ่มจับกล้องมาตั้งแต่ยังเด็ก และก็เป็นพ่อของเขาที่เป็นคนซื้อกล้องตัวแรกให้ในวันเกิดครบ 10 ปี ตั้งแต่นั้นมาเด็กตัวน้อยก็ให้ความสนใจกับการถ่ายภาพมาตลอด แต่เมื่อเด็กชายเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นอายุได้ 12 ปี เขาก็ต้องพบการความสูญเสียครั้งใหญ่ พ่อกับแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทำให้เขาเหลือน้องชายเพียงคนเดียว นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของไมเคิลก็เปลี่ยนไป

 

ในตอนนั้นโทนี่ผู้เป็นน้องชายของเขายังเด็ก ส่วนไมเคิลก็อายุเพียงแค่ 12 ทำให้พวกเขาพี่น้องต้องไปอาศัยอยู่กับลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ในตอนแรกคุณลุงก็ดีกับสองพี่น้องมาก แต่แล้วไมเคิลก็มารู้สาเหตุที่ลุงรับพวกเขาสองพี่น้องมาอยู่ด้วยทีหลัง ลุงหวังจะโกงเงินประกันชีวิตจากพ่อและแม่ของพวกเขา และเป็นเพราะในตอนนั้นทั้งสองพี่น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ ลุงเป็นผู้ปกครอง จึงเป็นคนที่จัดการทุกอย่างแทน กว่าที่ไมเคิลจะรู้ เงินประกันที่ควรเป็นของพวกเขาก็ถูกใช้จ่ายไปจนเหลือเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น และเมื่อวันหนึ่งไมเคิลพูดเรื่องนี้ขึ้น ลุงแท้ๆ ของเด็กชายก็เริ่มทำร้ายร่างกายหลานตัวเอง

 

สุดท้ายเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี ไมเคิลจึงหนีออกจากบ้าน เขาเริ่มทำงานเก็บเงิน และโชคดีที่เขาได้งานเป็นผู้ช่วยช่างถ่ายภาพ ทำให้เด็กหนุ่มได้วกกลับมาในวงการถ่ายรูปอีกครั้ง ไมเคิลตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และคอยเรียนรู้งานต่างๆ จากช่างถ่ายภาพที่เขาทำงานด้วย และด้วยเพราะเด็กหนุ่มเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยน ทำให้หัวหน้ารัก และคอยสอนสิ่งต่างๆ ให้เสมอ ประกอบกับไมเคิลเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว และมีพรสวรรค์ ทำให้ฝีมือในการถ่ายภาพของเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

 

วันหนึ่งไมเคิลมาทำงานปกติ งานในวันนั้นก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขา งานถ่ายแบบวันนั้นมีนายแบบ และนางแบบชื่อดังหลายคน มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกอย่างถูกเซ็ทเรียบร้อยแล้วแต่ตากล้องของงานกลับไม่มาเพราะเกิดอุบัติเหตุ ในกองถ่ายวุ่นวาย พยายามจะจะติดต่อตากล้องสำรอง แต่เพราะเป็นช่วงเวลาวันหยุดยาว จึงไม่สามารถติดต่อใครได้ ในขณะที่กองถ่ายกำลังจะต้องยกเลิก ไมเคิลก็เสนอตัวเป็นช่างภาพจำเป็นให้กับงานชิ้นนั้น เนื่องจากไม่มีอะไรจะเสีย เพราะทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ทางบริษัทจึงยอมให้ผู้ช่วยช่างภาพหนุ่มได้ลองแสดงฝีมือ ไม่มีใครคาดหวัง ทุกคนต่างมองเป็นเรื่องตลก แค่เด็กคนหนึ่งใครจะคิดว่าจะทำอะไรได้ แต่ภาพถ่ายของเด็กหนุ่มที่ทุกคนดูถูก ทุกภาพออกมาล้วนได้อารมณ์ ตรงคอนเซ็ปท์และมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากที่นิตยสารฉบับนั้นวางแผง ภาพถ่ายของไมเคิลก็เป็นที่กล่าวขานกันอย่างกว้างขวาง ด้วยวัยเพียง 18 ปี แต่ก็มีบริษัทมากมายติดต่อเข้ามาให้ไมเคิลไปทำงานด้วย และนั่นก็เป็นก้าวแรกของการเป็นช่างถ่ายภาพมืออาชีพของไมเคิล มิลล์

 

ตลอดเวลาที่ไมเคิลย้ายออกมาอยู่คนเดียว เขาก็ยังคงกลับไปหาน้องชายอยู่เสมอ ไม่เคยขาด โทนี่เป็นเด็กน่ารัก ขี้อ้อน แม้จะดื้อรั้นบ้าง แต่พอมาเจอหน้าหวานๆ ตาใสๆ ของเจ้าตัวเล็กขี้อ้อนเป็นใครก็โกรธไม่ลง ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยลุงของเขาก็ดีกับโทนี่เหมือนลูกแท้ๆ ไมเคิลจึงไม่เคยบอกน้องชายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมเขาถึงได้ออกมาจากบ้านหลังนั้น ตรงกันข้ามเขาเพียงบอกน้องชายว่าบ้านของคุณลุงอยู่ไกลจากที่ทำงานเท่านั้น

 

หลังจากที่ไมเคิลเริ่มมีงานที่มั่นคง เขาจึงเริ่มสนใจศิลปะป้องกันตัว ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเขาได้อีก ตลอดเวลาเกือบ 4 ปีที่ถูกลุงแท้ๆ ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ มันทำให้เขาไม่คิดจะกลับไปอยู่ในสภาพนั้น ไมเคิลไม่ใช่คนที่สูง บวกกับใบหน้าสวยที่ทั้งเขาและน้องชายได้มาจากแม่ เป็นสาเหตุทำให้บางครั้งก็ดึงดูดคนแปลกๆ เข้ามา ทำให้เขาตัดสินใจที่จะศึกษาศิลปะป้องกันตัวอย่างจริงจัง ไมเคิล เรียนทั้ง ยูโด เทควันโด้ คาราเต้ และ มวยไทย ไมเคิลเรียนรู้และฝึกฝนอยู่หลายปี ทั้งฝึกซ้อม และใช้ในชีวิตจริงบ้าง ทำให้เขาเกิดความเชี่ยวชาญพอสมควร

 

จนเมื่อไมเคิลอายุย่างเข้า 20 ปี เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก โทนี่โทรมาร้องไห้บอกกับเขาว่า คุณลุงเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย แม้ไมเคิลจะเคยโกรธ เกลียดและโทษลุงที่ทำร้ายเขา แถมยังเอาเงินของเขาสองพี่น้องไปใช้จ่ายส่วนตัว แต่ยังไงลุงก็ยังเป็นญาติคนเดียวที่สองพี่น้องมี อย่างน้อยที่สุดลุงก็ดูแลโทนี่มาตลอด ไมเคิลจึงรู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

หลังจากที่ทราบข่าวได้เพียงไม่นาน คุณลุงก็จากไป ไมเคิลไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงต้องเป็นคนรับผิดชอบในการดูแลน้องชาย แม้ว่าเงินประกันก้อนนั้นจะหมดไปแล้ว  แต่เด็กหนุ่มก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง โทนี่เป็นคนเรียนเก่ง เขาจึงอยากให้น้องได้เรียนหนังสือจนได้ปริญญา เขามั่นใจในตัวของน้อง เขาเชื่อว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แม้ค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาลัยจะสูงมากก็ตาม

 

เมื่อมีภาระเรื่องเงินเข้ามา ไมเคิลจึงเริ่มรับและทำงานหนักมากขึ้นเพื่อส่งเสียน้องชาย โทนี่เองก็รู้ว่าไมเคิลรักและเป็นห่วงเขามาก ดังนั้น โทนี่จึงตั้งใจเรียนและพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้และหาประสบการณ์ทางด้านพลังงาน ประกอบกับไมเคิลรู้จักคนค่อนข้างกว้างขวาง ทำให้เขาสามารถช่วยเหลือน้องชายได้ในระดับหนึ่ง

 

ตลอดเวลาหลายปีเด็กหนุ่มเอาแต่โหมทำงานหนัก อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับงานและน้องชาย ไมเคิลมีเวลาให้กับตัวเองน้อยมาก เขาจึงไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่างภาพคนเก่งไม่เปิดรับความรักจากใคร เพราะเขารู้ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น ไมเคิลไม่ได้ชอบผู้หญิง รู้ดีแก่ใจว่าผิด เข้าใจดีว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับที่ผู้ชายจะรักกัน แต่อย่างน้อยที่สุดน้องชายของเขาก็ยอมรับในตัวตนที่เขาเป็น และไม่เคยแสดงความรังเกียจ อีกทั้งยังคอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง รุ่นพี่ที่เป็นนักข่าวก็เข้ามาสารภาพรักกับเขา ไรอันเป็นนักข่าวที่ไมเคิลมักจะบังเอิญได้พบปะอยู่บ่อยครั้ง ชายหนุ่มเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีและเป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาสาวๆ หลายครั้งที่พบกันชายหนุ่มก็มักจะถูกรายล้อมด้วยผู้คน แต่ไรอันก็มักจะหาเวลาและข้ออ้างเข้ามาคุยกับเขาเสมอ

“ผมชอบคุณ ไมเคิล คบกับผมได้ไหม” ไรอันถามคำถามที่ทำให้ไมเคิลแปลกใจ

เขาตกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้แสดงออก อีกทั้งยังแปลกใจที่นักข่าวอนาคตไกลอย่างไรอันมาสนใจในตัวเขา ไมเคิลในเวลานั้นยังเต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่เคยมีความรัก เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรักไหม แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจชายหนุ่ม เขาจึงตกลงคบกับไรอัน

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทั้งสองลองคบหาดูใจกันพักใหญ่ ไรอันสุภาพ ให้เกียรติและดีกับไมเคิลเสมอ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นแฟน แต่ไมเคิลก็แทบจะไม่เคยมีเวลาให้กับไรอัน เวลาทั้งหมดของเขาหมดไปกับการทำงานและน้องชาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายาม แต่สำหรับเขาโทนี่ผู้เป็นน้องชายและครอบครัวคนสุดท้ายมาก่อนทุกอย่างเสมอ เมื่อไม่มีเวลาให้แก่กัน ทั้งคู่ก็ห่างกันเรื่อยๆ ในที่สุดความรักของทั้งสองก็มาเจอทางตัน เมื่อวันหนึ่งไมเคิลบังเอิญมาพบว่าไรอันมีอะไรกับคนอื่น เขาไม่ได้โวยวาย ไม่ได้ร้องไห้เสียใจ เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น ภาพที่เห็น ความเชื่อใจ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กัน ถูกทำลายลงด้วยการหักหลัง ความรู้สึกที่เสียไปแล้วก็ยากจะเรียกกลับคืนมา สุดท้ายทั้งคู่จึงเลิกลากันไป

 

เมื่อโทนี่อายุได้ 16 ปี และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไมเคิลจึงเริ่มรับงานที่มีความยาก แต่ได้ค่าตอบแทนที่สูง เพราะงานถ่ายภาพไมเคิลต้องเดินทางอยู่ตลอด เขาเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพ ที่ทางบริษัทผู้จ้างต้องการ ครั้งหนึ่งเขาได้รับจ้างวานให้ไปถ่ายภาพภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ ไมเคิลต้องเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นและเฝ้ารอคอยอยู่หลายวัน เมื่อเกิดการปะทุขึ้น ช่างภาพหนุ่มก็ขึ้นเครื่องบินเพื่อไปเก็บภาพในระยะใกล้ หรือจะเป็นงานอีกชิ้นที่ไมเคิลต้องออกเดินทางตามหาสัตว์ป่าหายาก เขาต้องให้คนพื้นเมืองพาเดินเท้าเข้าไปในป่าลึกในแอฟริกา หลังจากซุ่มตัวรอคอยตามลำพังอยู่หลายวัน กว่าที่ไมเคิลจะสามารถเก็บภาพของกอริลลายักษ์ที่ใกล้สูญพันธุ์มาได้ ไม่เพียงแค่นั้นช่างภาพหนุ่มไฟแรงยังรับงานถ่ายภาพบุคคลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับประเทศ ดารา นักแสดง ตลอดจนบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไมเคิลจึงเก็บสั่งสมประสบการณ์มากมาย จนก้าวขึ้นสู่ทำเนียบของช่างภาพแนวหน้า ที่มีรางวัลต่างๆ เป็นเครื่องค้ำประกัน

 

เมื่อย่างเข้าวัย 31 ปี ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความสามารถของไมเคิลได้อีก ทุกครั้งที่มีการรวมเล่มภาพถ่ายของช่างภาพหนุ่ม หนังสือจะถูกจองและขายหมดไปอย่างรวดเร็ว หนังสือหลายเล่มมีการเรียกร้องให้ตีพิมพ์เพิ่มอีกหลายต่อหลายครั้ง เมื่อถึงจุดนี้ไมเคิลก็เริ่มมีฐานะที่มั่นคง หลังจากที่ส่งเสียน้องชายจนจบปริญญาและช่วยเหลือจนโทนี่ได้เข้าทำงานในบริษัทที่ใหญ่โตมีชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ณ จุดนี้ไมเคิลสามารถรับงานเป็นครั้งคราว ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายได้แล้ว แต่ดูเหมือนไมเคิลจะรักอิสระและเสพติดการผจญภัยไปเสียแล้ว ในระยะหลังๆ ไมเคิลจึงเลือกที่จะรับแต่งานที่ค่อนข้างท้าทายและค่าตอบแทนสูง แทนที่จะเป็นงานง่ายๆ ทั่วไป

 

หลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาจากทริปสองอาทิตย์ในเรือประมงหฤโหดที่ทุกเสี้ยววินาทีคือความเป็นความตาย ไมเคิลก็นั่งดูทีวีอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในคอนโดหรูใจกลางเมืองใหญ่ หลังจากที่เขาเปลื่องทีวีไปช่องแล้วช่องเล่า ดูสารคดีไปหลายเรื่อง ดูข่าวไปเป็นรอบที่สองอย่างเกียจคร้าน เขาไม่ชินกับการอยู่เฉยๆ เสียแล้ว เขาไม่ชอบที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ไมเคิลคิดวางแผนอยากจะรับงานชิ้นใหม่อยู่ในใจเพลินๆ งานชิ้นล่าสุดทำเอาเขาอ่อนล้าไม่ใช่น้อย บางทีงานชิ้นถัดไปเขาก็อยากได้งานที่ไม่ต้องลำบากมากก็คงจะดี ในขณะที่ช่างภาพหนุ่มจมอยู่กับความคิด อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเบอร์โทรไม่คุ้น ไมเคิลจึงไม่รับสายและปล่อยให้เข้าสู่ระบบฝากข้อความแทน เมื่อคนโทรมาวางหูไป สัญญาณเตือนข้อความใหม่ก็กระพริบ คนขี้ระแวงจึงเดินไปเปิดฟังข้อความ

 

“สวัสดีครับคุณไมเคิล ผมจอร์จ จากนิตยสาร “เวลา” ทางเราได้รับคำแนะนำให้ติดต่อคุณ หากต้องการ รูปภาพในกรณี mission impossible เราอยากได้คุณมาร่วมงานกับเราครับ หากคุณไมเคิลสนใจกรุณาติดต่อกลับที่เบอร์ --------- นะครับ ผมหวังว่าเราคงได้ร่วมงานกัน” เสียงบันทึกข้อความเล่นจนจบ

 

“นิตยสารเวลา อย่างนั้นเหรอ น่าสนใจทีเดียว” ไมเคิลพูดกับตัวเองเบาๆ อย่างแปลกใจ นิตยสารฉบับนี้เป็นนิตยสารชื่อดังที่มักจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่สำคัญต่างๆ หลายต่อหลายครั้งยังมีการตีแผ่เกี่ยวกับประวัติเชิงลึกของผู้นำหลากหลายประเทศ ที่สำคัญไมเคิลได้ยินว่าทางนิตยสารเวลายินดีจ่ายค่าตอบแทนในราคาสูง หากสามารถถ่ายรูปที่ทางนิตสารต้องการมาได้ ยิ่งทางนิตยสารต้องการรูปภาพในแบบ mission impossible ไมเคิลก็มั่นใจว่าค่าตอบแทนงานชิ้นนี้ก็ต้องไม่น้อยหน้าชื่อของภารกิจอย่างแน่นอน

 

ไม่รอช้าช่างภาพหนุ่มเปิดฟังข้อความอีกครั้ง ก่อนจะเขียนเบอร์โทรลงกระดาษ และโทรกลับไป

 
_______________________________

 

เพิ่งเปิดตัว ชิวๆ รออ่านคอมเม้นนะ

คิดถึงรีดเดอร์มากกกกกกก

 

 
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล --- บทที่ 2 The Prince Project (รีไรท์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 06:00:27
บทที่ 2 The Prince Project
 

วันนี้ไมเคิลมีนัดทานอาหารเย็นกับน้องชาย ถึงแม้คอนโดจะอยู่ใกล้กันแต่เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับงาน โดยเฉพาะงานของไมเคิลที่ต้องเดินทางอยู่เสมอ ทั้งคู่จึงไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่เมื่อไมเคิลกลับมา พี่ชายผู้แสนจะติดน้องก็จะพยายามหาเวลามาทานอาหารเย็นกับน้องชายแทบทุกวัน

 

ไมเคิลตัดสินใจซื้อวัตถุดิบที่สดใหม่เพื่อไปทำอาหารที่คอนโดของโทนี่ น้องชายตัวดีของเขาไม่ชอบทำอาหาร ส่วนใหญ่เจ้าตัวเล็กก็ดีแต่จะทานอาหารข้างนอก ทำให้ห้องครัวที่ใหญ่โตและมีอุปกรณ์ในการทำอาหารมากมาย ดูจะเสียเปล่า เครื่องครัวต่างๆ แทบไม่ได้ผ่านการใช้งาน อุปกรณ์ที่ดูจะทำหน้าที่หนักที่สุดในครัวดูจะเป็นกาต้มน้ำไฟฟ้า ที่โทนี่ใช้ต้มน้ำชงชาหรือโกโก้ร้อน และไมโครเวฟที่ใช้อุ่นอาหารที่เหลือหิ้วกลับมาจากการทานนอกบ้าน แม้จะเป็นพี่น้องกันแต่ไมเคิลต่างจากโทนี่ เขาชอบทำอาหารทานเองมากกว่า เพราะการทานอาหารข้างนอก บางครั้งมันเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาจจะเป็นอาหารที่ปรุงอย่างเร่งรีบ มีไขมันสูงและไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว หรือรสชาดอาจจะไม่ถูกปาก แต่เจ้าน้องชายตัวดีก็ยังแย้งว่า เป็นคนมีระบบการเผาผลาญที่ดี ทานยังไงก็ไม่อ้วน และถ้ากลัวไม่อร่อยก็เลือกเฉพาะร้านที่มีคนเข้าเยอะๆ มีรีวิวดีๆ หรือร้านประจำแทน

 

ไมเคิลเอือมระอากับความรั้นของโทนี่ แต่เพราะรักน้องมาก พอเจ้าตัวยุ่งออดอ้อนมากๆ เขาก็ใจอ่อน ทิ้งท้ายด้วยรายการอาหารหลายอย่างที่น้องชายตัวดีอยากทาน และเป็นที่มาของสาเหตุที่เขาต้องมานั่งทำอาหารให้อยู่ในตอนนี้ โทนี่ออดอ้อนอยากจะกินเนื้ออบฝีมือพี่ชาย ก่อนหน้าก็ชมนักชมหนาว่าเนื้ออบฝีมือพี่ชายแสนอร่อยที่สุดในสามโลก พอเห็นเจ้าตัวยุ่งอ้อนมากๆ ไมเคิลก็ใจอ่อน และตัดสินใจทำเมนูโปรดให้โทนี่ทานเป็นอาหารเย็น

 

หลังจากเรียนจบ โทนี่ก็ได้งานในเกือบจะทันที เจ้าตัวเล็กทำงานในบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และหลังจากทำงานได้เกือบ 2 ปีน้องชายของเขาก็ดาวน์คอนโด เนื่องจากมีคอนโดสร้างใหม่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของพี่ชาย โทนี่จึงตัดสินใจซื้ออย่างไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยน้องชายสุดที่รักก็ย้ายออกไป อยู่ๆ ไมเคิลก็รู้สึกว่าคอนโดที่เขาอยู่ใหญ่เกินไป เขารู้สึกใจหายที่เห็นน้องชายเติบโตจนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง อีกส่วนหนึ่งเพราะที่ผ่านมาไมเคิลอุทิศตน ทำเพื่อน้องชายมาตลอด แต่อยู่ๆ พอไม่มีโทนี่ เขาก็รู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไป

 

ไมเคิลรักน้องชายมาก โทนี่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ยิ่งไปกว่านั้นโทนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อและแม่ฝากให้เขาดูแลก่อนจะสิ้นใจ โทนี่ยังเด็กในตอนที่พ่อแม่จากไปจึงจำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ไมเคิลจำได้ทุกอย่าง เขาจำคืนที่เกิดเหตุได้ไม่มีวันลืม

 

ในคืนนั้น เป็นคืนวันเสาร์เป็นวันครบรอบแต่งงานของพ่อและแม่ ทั้งคู่เตรียมตัวออกไปทานอาหารค่ำเพื่อฉลองกันลำพัง โดยที่ไมเคิลรับปากจะดูแลโทนี่ให้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน พ่อแต่งตัวด้วยชุดสูทดูภูมิฐาน ส่วนแม่ก็สวมชุดกระโปรงดูสวยมากเป็นพิเศษกว่าทุกวัน ทั้งสองโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยน แม่แกล้งจูบแก้มเขาหลายต่อหลายที จนเขาต้องบอกให้พอ แล้วคนทั้งสองก็ออกไป หากในตอนนั้นเขารู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้กอดพ่อ เขาคงจะเหนี่ยวรั้งและกอดพ่อให้นานที่สุด หากเขารู้ว่านั่นจะเป็นจูบสุดท้ายจากแม่ เขาคงจะปล่อยให้แม่จูบเขาให้นานกว่านั้น

 

ในขณะที่ไมเคิลนั่งดูทีวี โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ในตอนที่เขารับสาย เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับข่าวแบบนั้น ทางโรงพยาบาลโทรแจ้งว่า พ่อกับแม่ของเขาเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ในห้องฉุกเฉิน ไมเคิลจึงรีบพาโทนี่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นไปที่โรงพยาบาล ทันทีที่ไปถึงเขาก็ได้รับแจ้งว่าแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ กรุ๊ปเลือดของแม่เป็นกรุ๊ปที่หายาก ทางโรงพยาบาลมีเลือดไม่เพียงพอ อาการของแม่สาหัสมาก จนทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจไปก่อน

 

ทีมแพทย์พยายามยื้อชีวิตพ่อของเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่สุดท้ายพ่อก็จากไปอีกคน ไมเคิลยังจำได้ว่าเขากอดโทนี่เอาไว้แน่นและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เมื่อรู้ว่าคนที่เขารักทั้งสองคนได้จากไป

 

ไมเคิลมาทราบทีหลังว่าคู่กรณีเป็นคนผิด คู่กรณีขับรถสปอร์ตคันหรู แต่เพราะเมาแล้วขับถึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ด้วยฐานะของคนๆ นั้นที่เป็นลูกชายของเศรษฐีที่มีอิทธิพลทำให้ทางตำรวจไม่อาจเอาเรื่องกับคนผิดได้ นับตั้งแต่นั้นไมเคิลก็เกลียดพวกคนรวยขึ้นมา เพราะคนเหล่านั้นล้วนเห็นแก่ตัวและขี้อวด และหนึ่งในนั้นก็ทำลายครอบครัวเล็กๆ อันอบอุ่นนี้ไปตลอดกาล

 

ไมเคิลทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อเขาคิดถึงเรื่องราวในอดีต จนโทนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อดที่จะเป็นห่วงพี่ชายไม่ได้

“พี่ไมเคิล เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” โทนี่ถามอย่างห่วงใย พี่ชายคนนี้มักเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวเสมอ

“ขอโทษที พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ไมเคิลตอบเลี่ยงๆ

“ใกล้ครบรอบวันที่พ่อกับแม่จากไปแล้ว พี่ไมเคิลเลยคิดมากใช่มั้ยครับ” โทนี่จี้ถูกจุด

“พี่ก็แค่ คิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” ไมเคิลพยายามปฏิเสธ

“ปีนี้พี่จะอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” โทนี่ถาม ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาไมเคิล ไม่เคยอยู่บ้านในช่วงครบรอบการจากไปของพ่อและแม่เลยทำให้โทนี่ต้องไปที่หลุมฝังศพเพียงลำพังทุกปี แต่โทนี่ก็รู้ว่าไมเคิลจะไปที่หลุมศพก่อนหน้าวันเดินทางเสมอ

 

“นั่นแหล่ะที่พี่จะบอก พอดีพี่มีงานเข้ามาและพี่จะออกเดินทางอาทิตย์หน้า” ไมเคิลกล่าวขึ้น ปกติเขาเดินทางบ่อยอยู่แล้ว น้องชายจึงไม่ได้แปลกใจนัก

“พี่จะไปนานแค่ไหนครับ” แม้โทนี่จะรู้ว่าพี่ชายจะไป แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้ ยิ่งรู้ว่านับวันพี่ไมเคิลก็ยิ่งรับงานที่ยากและอันตรายมากขึ้น เขาก็ยิ่งห่วง

“ก็ยังไม่แน่ งานในครั้งนี้ ค่อนข้างยากพอสมควร แต่ถ้าเสร็จเร็วพี่ก็จะรีบกลับ” ไมเคิลบอกเรียบๆ

“พี่จะไปไหนครับ” โทนี่ถาม งานที่พี่ชายทำนั้นยากและอันตรายทุกชิ้น

“ประเทศเล็กๆ ในยุโรปน่ะ ประเทศคานาเดีย” ไมเคิลตอบ พยายามให้รายละเอียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากให้โทนี่ต้องห่วง. 

“ระวังตัวด้วยนะครับ” น้องชายทำหน้าจริงจัง จนคนเป็นพี่รู้สึกผิด

“พี่ไม่เป็นไรหรอก เธอนั่นแหล่ะ โทนี่ โตป่านนี้แล้วยังจะเขี่ยผักออกอีกเหรอ ทานให้หมด” ไมเคิลแกล้งดุน้องชายที่เอาแต่เลือกทาน กลบเกลื่อนเรื่องที่คุยก่อนหน้าอย่างแนบเนียน

“ผมไม่ชอบนี่นา” โทนี่บ่นอุบ เมื่อโดนบังคับให้ทานของที่ตัวไม่ชอบ จนไมเคิลต้องส่ายหน้า มองน้องชายด้วยความเอ็นดู

 

ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน

ไมเคิลโทรกลับไปที่นิตยสารเวลาเพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ และทางบริษัทก็นัดเวลาให้ ไมเคิลเข้ามาคุยรายละเอียดอีกครั้ง เมื่อถึงวันที่นัดไมเคิลก็มายืนอยู่หน้าอาคารของนิตยสารเวลา ก่อนจะเดินเข้าไปแจ้งว่า เขามาพบจอร์จ ผู้ที่เป็นคนดูแลโปรเจคนี้

 

“สวัสดีครับ คุณไมเคิล ผมจอร์จครับเราคุยกันทางโทรศัพท์” คุณจอร์จทักทาย พร้อมยื่นมือมาสัมผัส

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ไมเคิลกล่าวและจับมือทักทาย

“เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะแจงรายละเอียดให้ฟัง” คุณจอร์จกล่าว ไมเคิลจึงนั่งลงตามคำเชิญ

“โปรเจคนี้ เราตั้งชื่อว่า Prince Project บุคคลที่เราต้องการภาพถ่ายคือ กษัตริย์นาธานเนียล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียสครับ” จอร์จกล่าวเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม

“รูปของ กษัตริย์ หรือครับ” ไมเคิลถามซ้ำ ออกจะแปลกใจเล็กน้อย

“ครับ กษัตริย์นาธานเนียล เนี่ย เพิ่งจะขึ้นครองราชได้ไม่นานครับ พระองค์เป็นกษัตริย์ของประเทศเล็กๆ ในยุโรป ชื่อว่า คานาเดีย” จอร์จอธิบายคร่าวๆ

“แล้วยังไงครับ ไม่ใช่ว่าคนที่เป็นกษัตริย์นี่จะมีภาพออกมาเยอะแยะแล้วหรอกเหรอครับ” ไมเคิลถาม ออกจะผิดหวังที่งานชิ้นนี้ดูจะไม่ท้าทายเท่าที่ควร อย่างที่เขาแอบหวังไว้

“ก็นั่นแหล่ะครับ ปัญหา คานาเดียเป็นประเทศที่จะว่าเปิดเสรีก็ใช่ จะว่าปิดก็ใช่อีก” จอร์จกล่าว แต่เมื่อเห็นไมเคิลทำท่างงอยู่ จึงอธิบายต่อ

 

“คืออย่างนี้ครับ คานาเดียเปิดเสรีให้คนเข้าไปในประเทศได้ แต่ก็จัดว่าเป็นประเทศที่เข้าได้ยากมากประเทศหนึ่ง เพราะคานาเดียจำกัดจำนวนคนเข้าประเทศในแต่ละปี และด้วยคานาเดียเป็นประเทศที่สวยงามและร่ำรวย ทำไห้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยากไป” คนตรงหน้ากล่าว แต่ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ กับไมเคิลแม้แต่น้อย

“แล้วมันเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้ยังไงล่ะครับ” ไมเคิลยังคงสงสัย

“คานาเดียน่าสนใจก็จริง แต่กษัตริย์นาธานเนียลน่าสนใจกว่าครับ” จอร์จกล่าว ก่อนจะดึงข้อมูลออกมาโชว์

“นี่คือองค์นาธานเนียลในวันที่ทรงเข้าพิธีราชาภิเษก” จอร์จ โชว์รูปของกษัตริย์หนุ่ม แม้รูปจะถูกถ่ายอยู่ไกลๆ ด้วยกล้องจากมือถือ แต่ก็ดูออกว่ากษัตริย์หนุ่มนั้นหน้าตาดีมากขนาดไหน

 

“และนี่คือรูปเดียวที่เรามี ในตอนที่ องค์นาธานเนียล ยังเป็น เจ้าชายรัชทายาท ในชุดทรงเต็มยศ” จอร์จเอารูปถ่ายอีกรูปมาให้ดู กษัตริย์หนุ่มเมื่อมองดูใกล้ๆ ก็ยิ่งดูหล่อเหลาและสง่างาม

“แต่ประเด็นมันไม่ใช่แค่นั้นครับ ประเด็นมันอยู่ที่รูปเซ็ทนี้ต่างหาก” จอร์จกล่าว พร้อมกับโชว์ นิตยสารแฟชั่นที่ดูจะออกมาหลายปีแล้ว ในหน้ากลาง มีรูปนายแบบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์หรู แต่ที่น่าตกใจคือ นายแบบในนิตยสาร และรูปขององค์นาธานเนียล นั้นหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ ไมเคิลพลิกดูสลับไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจอร์จ

 

“ครับ เหมือนใช่มั้ยครับ” จอร์จกล่าวยิ้มๆ มองปฏิกิริยาของช่างภาพปฏิหาริย์ตรงหน้า

“และนั่นก็ทำให้เราต้องตรวจสอบ และก็พบว่านายแบบในนิตยสารนั้นใช้ชื่อว่า จูปิเตอร์ เขาเป็นนายแบบมือสมัครเล่นคนหนึ่ง แต่ฝีมือไม่ใช่เล่นๆ เลย ผมให้คนตามสืบก็พบว่า เขาจะรับเฉพาะงานที่ใหญ่จริงๆ และรับงานแค่ไม่กี่งานด้วย ทั้งๆ ที่มีคนต้องการให้เขามาเป็นนายแบบจำนวนมาก แต่เขาก็ปฏิเสธไปซะส่วนใหญ่” จอร์จเล่าอย่างเข้มข้น

 

“แล้วคุณจอร์จแน่ใจได้ยังไงว่าองค์นาธานเนียล และ จูปิเตอร์ คือคนเดียวกัน” ไมเคิลถาม

“ผมได้คุยกับคนที่เคยร่วมงานกับจูปิเตอร์ หลายคนพูดตรงกันว่า จริงๆ แล้วจูปิเตอร์เป็นเจ้าชาย และในพระประวัติขององค์นาธานเนียล ก็บอกอยู่ว่าพระองค์มาศึกษาที่อเมริกาอยู่นานหลายปี มีข่าวบางสายก็ว่า องค์นาธานเนียลไม่อยากเป็นกษัตริย์ อยากจะสละตำแหน่ง แต่ผมก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก ถึงตรงนี้คุณไมเคิลเข้าใจแล้วใช่มั้ยครับว่าทำไม ผมถึงต้องการคุณมาร่วมงานด้วย หากเราได้ภาพปัจจุบันขององค์นาธานเนียลมา เราก็จะได้ลองตรวจสอบอีกครั้ง และเราอาจจะมีโอกาส ขอเข้าสัมภาษณ์พระองค์ได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจึงต้องการรูปถ่ายของพระองค์ ก่อนที่จะทำอย่างอื่นได้” จอร์จกล่าวสรุป

 

“เรื่องนี้ ค่อนข้างเสี่ยงนะครับ เพราะถ้าองค์นาธานเนียลไม่อยากถูกถ่ายภาพ ผมอาจจะถูกจับได้ง่ายๆ เลยนะครับ แถมยังจะเอาเรื่องมาผูกกับนายแบบปริศนานี่อีก เรื่องนี้ความเสี่ยงสูงมาก” ไมเคิลรู้ดีว่าเขาจะโก่งค่าตัวได้ยังไง

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ทางเรายินดีจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง รวมไปถึง เรายินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้กับคุณไมเคิล ซึ่งผมรับรองว่าคุณต้องพอใจ” จอร์จกล่าว พร้อมยื่นเอกสารรายละเอียดของค่าตัวให้ไมเคิลพิจารณา เมื่อช่างภาพหนุ่มเห็นก็ยิ้มออกด้วยความพอใจกับความใจกว้างของนิตยสาร

 

"สรุปว่าคุณไมเคิล ตกลงใช่มั้ยครับ”จอร์จกล่าวยิ้มๆ

“ผมต้องการเวลาในการหาข้อมูลสัก 2 อาทิตย์ ก่อนที่ผมจะออกเดินทาง” ไมเคิลกล่าว ต่อรอง

“ไม่มีปัญหาครับ คุณสามารถใช้เวลานานขนาดไหนก็ได้ทางเราไม่ขัดข้อง” ชายหนุ่มยิ้มตอบอย่างยินดี

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ตกลงครับ” ช่างภาพหนุ่มตอบรับงานด้วยความเต็มใจ

 



 

 

_______________________________

ไรท์เตอร์เริ่มบ้าพลังอีกแหล่ะ

 

ขอเสียงรีดเดอร์หน่อยนะ เผื่อปัญญาเกิดไอเดียกระฉูดจะได้ออกตอนใหม่อีกเร็วๆ
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล --- บทที่ 3 คานาเดีย (รีไรท์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 06:02:49
บทที่ 3 คานาเดีย
 

หลังจากที่ไมเคิลรับงานมา เขาจึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์นาธานเนียลและประเทศคานาเดีย ข้อมูลที่หาง่ายที่สุดคงเป็นข้อมูลของประเทศเล็กๆ นี้ คานาเดียเป็นประเทศที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขา มีเพียงด้านทิศตะวันตกของประเทศที่ติดทะเลบางส่วน อากาศโดยรวมแบ่งเป็น 4 ฤดู อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ช่วงนี้คงเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว

 

ด้านประชากรนับว่าคานาเดียมีคนอยู่ไม่มาก เพียงแค่ หนึ่งล้านเศษๆ เท่านั้น ประชากร มีอาชีพหลากหลาย แต่หลักๆ คือการทำเหมือง และ เกี่ยวกับพลังงานสะอาดจำพวก พลังงานลม และแสงอาทิตย์

 

ระบบเศรษฐกิจ คานาเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากประเทศหนึ่ง อัตราการจ้างงานสูง มีรายได้ขั้นต่ำที่นับมาสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง รวมไปถึง อัตราค่าครองชีพที่ถือว่าถูกกว่าประเทศอื่นๆ อีกด้วย

 

การนำเข้าส่งออก คานาเดียนับเป็นประเทศที่ค้าขายอัญมณีเกรดเอ ที่มีชื่อเสียงมากประเทศหนึ่ง อัญมณีขึ้นชื่อคือ เพชรสีแดงที่นับว่าหายากมาก แต่คานาเดียกลับมีเพชรชนิดนี้อยู่ไม่น้อย รวมไปถึงมรกตที่หาได้ยากและมีราคาสูง นอกจากนี้คานาเดียยังพบเพรชสีอื่นๆ และเพชรธรรมดา แซปไฟร์สีน้ำเงินเข้มก็พบได้มาก และเป็นที่ต้องการของตลาด มีคนให้นิยามคานาเดียว่า ในตอนที่พระเจ้าสร้างคานาเดีย พอดีพระเจ้าได้ทำถุงอัญมณีถุงใหญ่ตกลงไปด้วย ทำให้คานาเดียมีอัญมณีมากมาย ราวกับใต้ผืนดินลงไปนั้น มีแต่อัญมณีก็ไม่ปาน

 

เมื่อประมาณ 5 – 6 ปี ที่ผ่านมา คานาเดียเริ่มหาสิ่งอื่นมาทดแทนอัญมณี นั่นคือเรื่องพลังงานสะอาด คานาเดีย เริ่มใช้ พลังงานสะอาดมาตั้งแต่แรก และถือปฏิบัติเคร่งครัดให้เคารพต่อธรรมชาติ จนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี ในด้านนี้จนเป็นที่ยอมรับ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาน้ำมันแพง คานาเดียกลับมีพลังงานเหลือเฝือจากพลังงานลม และแสงอาทิตย์ และคานาเดียก็เริ่มโปรโมตพลังงานเหล่านี้ให้ชาวโลกอิจฉา เพื่อหวังว่าผู้นำชาติต่างๆ จะเอนเอียงความสนใจมาที่พลังงานสะอาดนี้ เพื่อคานาเดียจะได้ผลักดันให้เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งของคานาเดียนั่นเอง

 

การปกครอง คานาเดีย ยังมีระบบกษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ และไม่น่าเชื่อว่า โครงการดีๆ หลายๆ อย่างล้วนเริ่มต้นมาจากกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ กษัตริย์องค์ก่อน มีพระสนมจำนวนมาก ทำให้คานาเดียมีเจ้าชายอยู่หลายพระองค์ ซึ่งนับได้หลักสิบ แต่เจ้าชายที่มีความสำคัญ และมีบทบาทต่อประเทศมากที่สุด จะมี 3 พระองค์ นั่นคือ เจ้าชายนาธานเนียล หรือกษัตริย์องค์ปัจจุบัน เจ้าชายราฟาเอล หรือเจ้าชายรัชทายาท และเจ้าชายเดเมี่ยน ที่เรื่องส่วนตัวนั้น เท่าที่อ่านเจอก็มีแต่คำว่า เสเพล เจ้าชู้เพล์บอย และ มีสนม หรือ นาง/นาย ในฮาเร็มจำนวนมาก ดูจะเป็นเพียงเจ้าชายเพียงคนเดียวที่ไม่แคร์สังคม ชอบทำอะไรตามใจ แต่ดูเหมือนว่าพี่น้องตระกูลนี้ จะขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ทุกคน และนั่นก็รวมไปถึงองค์นาธานเนียล และ องค์ราฟาเอลด้วย

 

อ่านมาถึงตรงนี้ ไมเคิลก็เริ่มไม่ค่อยชอบเจ้าชายพวกนี้เสียแล้ว ในเมื่อมีอำนาจล้นฟ้าขนาดนี้ คงจะใช้อำนาจกันอย่างเพลิดเพลินจนไม่เห็นชาวบ้านตาดำๆ อยู่ในสายตา ดวงตาของไมเคิลฉายแววโกรธออกมาวูบหนึ่ง เมื่อคิดถึงคนที่พรากชีวิตพ่อและแม่ของเขาไป และคนๆ นั้นก็มีเงินทองและอำนาจไม่ต่างไปจากเจ้าชายพวกนี้นัก แต่ไมเคิลก็มีความเป็นมืออาชีพ อย่างน้อยเขาก็ต้องถ่ายรูปของกษัตริย์นาธานเนียลให้ได้ โดยที่ไม่ใช้อคติมาบดบังวิสัยทัศน์

 

ไมเคิลอ่านมาเรื่อยๆ เกี่ยวกับกษัตริย์นาธานเนียล เขาแปลกใจเล็กน้อยที่พระองค์มีพระชายาแล้ว และประกาศว่าจะไม่มีพระสนม น่าแปลกที่กษัตริย์หนุ่มคิดแบบนี้ทั้งๆที่หาก พระองค์ต้องการ ด้วยหน้าตาและฐานะ กษัตริย์รูปงามจะมีสนมเป็นร้อยเป็นพันก็ยังไม่แปลก

 

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ คานาเดียมีเสรีทางด้านความรักและเพศ คานาเดียเปิดรับการแต่งงานระหว่างชายหญิง หญิงหญิง และ ชายชาย ทำให้ไมเคิลรู้สึกว่า คานาเดียเป็นประเทศที่น่าสนใจทีเดียว

งานในครั้งนี้มี ความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ไมเคิลจึงตัดสินใจไม่บอกรายละเอียดของงานชิ้นนี้แก่โทนี่ เพราะไม่ต้องการให้น้องชายเป็นห่วง

 

ก่อนการเดินทางไมเคิลเดินทางไปที่หลุมศพพ่อและแม่ เขาซื้อดอกลิลลี่สีขาวไปด้วย เพราะนั่นเป็นดอกไม้ที่แม่โปรดปราน ไมเคิลยืนอยู่หน้าหลุมศพ ทุกครั้งที่เขาจะเดินทางไปต่างประเทศ เขาจะมาที่นี่เสมอ หลายต่อหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ แต่บางอย่างกลับทำให้เขาแคล้วคลาดเสมอ เขารู้สึกว่าทั้งพ่อและแม่ คอยดูและคอยช่วยเหลือเขาอยู่บนสวรรค์เสมอ

 

"พ่อครับ แม่ครับ ผมมาลาไปทำงานครับ” ไมเคิลกล่าวเบาๆ แตะมือไปที่ป้ายหลุมศพของทั้งสอง ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าหลุมศพอยู่นานก่อนจะเดินทางกลับบ้านไป เพื่อเตรียมตัวเดินทาง

 

ไมเคิลเตรียมทั้งสูทและทักซิโดหลายชุด เพราะงานในครั้งนี้เขาอาจจะต้องเข้าร่วมงานหลายงาน เพื่อหาโอกาสถ่ายภาพขององค์นาธานเนียล ในการเดินทางครั้งนี้เขาไปในนามของนิตยสารเวลา เขาได้รับบัตรประจำตัวนักข่าว บัตรเครดิตที่มีวงเงินในการใช้จ่ายสูงของทางนิตยสารที่ให้เขาไว้ในการใช้จ่ายระหว่างพำนักอยู่ที่คานาเดีย ตั๋วเครื่องบิน และ เอกสารอนุญาตเข้าประเทศคานาเดีย

 

ในตอนเช้าของวันเดินทาง โทนี่อาสาเป็นคนขับรถไปส่งพี่ชายที่สนามบิน แม้ว่าไมเคิลจะเดินทางบ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยชินกับการจะต้องแยกจากกับน้องชาย ยิ่งในครั้งนี้ไมเคิลยิ่งรู้สึกกังวลอย่างประหลาด แต่เขาก็ปัดความคิดเหล่านั้นออกไป

“ระวังตัวด้วยนะครับพี่” โทนี่อดห่วงพี่ชายไม่ได้

“พี่ดูแลตัวเองได้ เธอนั่นแหล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยอย่าเอาแต่ทำงานอย่างเดียวเข้าใจไหม”

ไมเคิลกอดน้องชายอยู่เนิ่นนาน ส่งยิ้มอบอุ่นให้ ก่อนจะร่ำลาและเดินเข้าไปขึ้นเครื่อง

 

 

ไมเคิลนั่งอยู่ในเครื่องมาเกือบ 6 ชั่วโมงแล้ว และในตอนนี้กัปตันก็กำลังประกาศว่าอีกครึ่งชั่วโมงเครื่องจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติคานาเดีย หลังจากเดินทางมาถึงที่โรงแรมที่พักไมเคิลก็เอาของจากในกระเป๋ามาจัด เขายอมรับว่าทริปนี้ทุกอย่างดูจะสะดวกสบายและราบรื่นไปหมด คานาเดียแม้จะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทางนิตยสารเวลา จองห้องพักที่ โรงแรม the Fairmont Le Chateau Frontenac แม้จะเป็นห้องธรรมดา แต่ก็ยังหรูหรามากอยู่ดี

 

ไมเคิลค่อนข้างเหนื่อยกับการเดินทางเขาจึงตัดสินใจที่จะ ทานอาหารค่ำในโรงแรมแทน ช่างภาพหนุ่มจึงแต่งตัวและเดินเข้าไปในห้องอาหาร ภายในถูกจัดตกแต่งอย่างสวยหรูสมกับที่เป็นห้องอาหารของโรงแรมระดับห้าดาว พอมาถึงด้านหน้าก็มีพนักงานต้อนรับยิ้มแย้ม คอยทักทายแขกอยู่ทางตรงทางเข้า

 

“สวัสดีค่ะ คุณมิลลส์ มาเพียงท่านเดียวใช่มั้ยคะ” ไมเคิลแปลกใจเล็กน้อยที่พนักงานต้อนรับรู้ชื่อของเขา แต่เนื่องจากเป็นโรงแรมหรู ระดับห้าดาว ที่มีชื่อเสียงและตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา โรงแรมแห่งนี้ก็ได้รับรางวัลมากมาย จึงอาจจะเป็นนโยบายของโรงแรมก็ได้ในการจดจำชื่อของแขก

“คนเดียวครับ” เขาตอบ

“คือวันนี้ทางร้านอาหาร เรามีแขกคนสำคัญมาใช้บริการ ทำให้ในโซนหน้าต่างฝั่งภูเขาถูกปิด ไม่ทราบว่าคุณมิลลส์สะดวกในโซนทางทิศใต้ฝั่งแม่น้ำหรือเปล่าคะ” พนักงานแจ้งอย่างสุภาพ พร้อมกับชี้ไปทางโซนฝั่งวิวแม่น้ำที่เปิดอยู่

“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งตรงไหนก็ได้” ไมเคิลตอบ อย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็แอบสงสัยว่า แขกวีไอพีคนนั้นเป็นใคร หลังจากพนักงานพาเขามานั่งที่โต๊ะ เขาก็สั่งอาหารมาทานเพียงไม่กี่อย่าง และด้วยความที่เป็นช่างภาพเขาจึงเลือกที่จะนั่งหันหน้าออก เพื่อว่าเขาอาจจะมีโอกาสได้เห็นว่าแขกวีไอพี เป็นใครด้วย

 

ไมเคิลมีผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีฟ้าจาง ใบหน้าคมสันแต่ก็ดูหวาน สวย แปลกตา

ชายหนุ่มนั่งจิบไวน์พลางๆ ขณะรออาหาร ทำให้พนักงานสาวๆ หลายคนแอบส่งสายตา มาทางเขาบ่อยๆ ไมเคิลยิ้มตอบอย่างสุภาพแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร

 

อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกถูกยกมาเสริฟ ไมเคิลมองอาหารน่ากินในจาน แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางโซนวีไอพี

"ฝ่าบาท! ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ อยู่ๆ พระองค์จะมาบอกเลิกกับหม่อมฉันแบบนี้ได้อย่างไร” เสียงผู้หญิงดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมาทางนี้

“ฝ่าบาท อย่าทรงทิ้งหม่อมฉันไปเลยเพคะ” หญิงสาวที่จัดว่าสวยมาก พยายามเกาะแขนอ้อนวอนชายผมสีดำยาวที่ปล่อยสยายเต็มหลัง หญิงสาวดูร้อนใจกับท่าทีของชายหนุ่ม พยายามอย่างที่สุดที่จะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

“เราบอกว่าเราเบื่อเจ้าแล้วยังไง ปล่อยได้แล้ว” ชายผมดำกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมอย่างไร้เยื่อใย

 

แม้จะไม่อยากเห็น และไม่อยากได้ยินแต่ไมเคิลก็นั่งอยู่ตรงนั้น หญิงสาวแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพง เครื่องประดับแต่ละชิ้นล้วนเป็นอัญมณีมีค่า กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ชุดราตรีสีแดงผ่าข้างสูงแบบเกาะอก ที่แทบจะปิดหน้าอกไม่มิด หญิงสาวคงจะสวยเซ็กซี่ไม่น้อยหาก ไม่มีน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม จนมาสคาร่า เริ่มละลายเป็นคราบสีดำออกมา ชายผมผาวสีดำ ที่ดูแล้วก็คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 cm หน้าตาหล่อเหลา แต่ใบหน้ากลับรู้สึกเย็นชา ดวงตาสีดำราวรัตติกาลที่ดูลึกลับและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน เมื่อไมเคิลมองไป ชายผมยาวสีดำสนิทก็หันมาพอดี สายตาของทั้งสองคนก็บรรจบกัน ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่เขาอย่างสนใจ ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แม้เพียงเสี้ยววินาที ไมเคิลก็รู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนที่ชายผมยาวสีดำสนิท จะเดินออกไปจากห้องอาหาร ปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้อยู่ตามลำพัง

 

พนักงานพยายามจะเข้าไปปลอบแต่ก็ถูกหญิงสาวตวาดใส่ ไมเคิลจึงคิดในใจโดยมิได้กล่าวออกมา ‘สมควรแล้วล่ะที่ถูกทิ้ง’

 

หากไมเคิลจำไม่ผิดผู้ชายคนนั้นที่เพิ่งเดินออกไป คือ เจ้าชายเดเมี่ยนอย่างแน่นอน และก็ดูเหมือนว่า เจ้าชายพระองค์นี้ ก็เป็นอย่างที่เขาได้อ่านเจอมาทุกประการ แม้กระนั้น ไมเคิลก็ยังรู้สึกแปลกๆ เมื่อคิดถึง สายตาคม สีดำ คู่นั้น แต่เขาก็พยายามไล่เรื่องไร้สาระออกไป ตอนนี้เขาจะต้องโฟกัสเกี่ยวกับงานเท่านั้น ไม่มีเวลามาเสียกับเรื่องไร้สาระเด็ดขาด

 

ไมเคิลเอาโทรศัพท์ขึ้นมาค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับงานเลี้ยงต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เขาเลือกงานที่คิดว่า กษัตริย์นาธานเนียลน่าจะไป แล้วจึงหารายละเอียด เกี่ยวกับสถานที่และเวลาจัดงาน หลังทานอาหารที่สั่งมาจนอิ่มหนำ ช่างภาพหนุ่มก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องพักอย่างอ่อนล้าจากการเดินทาง

 

ทั้งๆ ที่ไมเคิลออกจะเหนื่อยล้า กระนั้นในระหว่างห้วงความคิด และ ความฝัน สายตาคมสีดำคู่นั้นกลับเข้ามาวนเวียนรบกวนจิตใจของเขา ตลอดทั้งคืน

 ____________________________________

เจอกันล่ะ แบบแว็บๆ นะ

รออ่านคอมเม้นท์นะ

 

รักรีดเดอร์มากกกกกกกกกก

คือจริงๆ แล้วอยู่ทางนี้เหงามาก พอมีคอมเม้นท์มา ไรท์เลยดีใจ

รัก รัก รัก ทุกคนเลย

Xoxo
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล บทที่ 4 งานเลี้ยงสวมหน้ากาก (รีไรท์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 06:26:05
https://www.facebook.com/teddybeararthur

บทที่ 4 งานเลี้ยงสวมหน้ากาก
 

หลังจากไมเคิลค้นหาข้อมูลอยู่ทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกที่จะไปงานเลี้ยงสวมหน้ากากที่จะจัดขึ้น ที่ห้องบอลล์ ของโรงแรม ด้วยเหตุผลที่ว่า หากองค์เดเมี่ยนยังเสด็จมาที่โรงแรมแห่งนี้เมื่อคืน โอกาสที่องค์นาธานเนียลจะเสด็จมาในโรงแรมแห่งนี้ก็น่าจะมีมากเช่นกัน

 

ไมเคิลแอบพกกล้องตัวเล็กที่มีความสามารถไม่เล็กเลยไปด้วย  กล้องตัวนี้มีเลนส์ที่ดีมาก และไมเคิลก็ควักเงินจ่ายไปจำนวนไม่น้อยโดยไม่เสียดาย กล้องสามารถเก็บไว้ในเสื้อได้โดยไม่เป็นที่สังเกตุ และหากองค์นาธานเนียลเสด็จมาในงาน เขาก็มั่นใจว่าจะเก็บภาพของกษัตริย์หนุ่มไว้ได้แน่ๆ

 

ในงานสวมหน้ากากนั้น  มีผู้คนจำนวนมากมาเข้าร่วม โดยประมาณน่าจะไม่ต่ำกว่า 500 คน งานสวมหน้ากากนี้ จัดขึ้นเพื่อการกุศล และนำเงินไปช่วยเหลือมูลนิธิต่างๆ ที่ขาดแคลน ผู้คนที่มาร่วมงานมีหลากหลาย ทั้งทางรัฐบาล นักธุรกิจ ทหาร และตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ด้วย

 

เพราะในงานทุกคนต่างสวมหน้ากาก จึงค่อนข้างยากที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร แต่นั่นกลับเป็นประโยชน์ต่อไมเคิล เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัว เขาเพียงแค่ทำตัวให้ดูดี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาสามารถเข้ามาในงานได้แม้ไม่มีบัตรเชิญก็ตาม

 

ไมเคิลแต่งกายด้วยชุดทักซิโดสีขาว เพื่อให้เข้ากับหน้ากากแมวสีเดียวกันที่เขาซื้อมาจากในเมืองเมื่อตอนเย็น เขาไม่อยากไปในงานเร็วเกินไปนักเพราะส่วนใหญ่พวกแขกคนสำคัญมักจะมาช้า ดังนั้นเขาจึงรอจนเริ่มดึกมากขึ้นสักนิด แล้วจึงเข้าไปในงาน แต่เมื่อไมเคิลเดินเข้ามาในงาน เขาก็กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทีเดียว

 

ไมเคิลสูงระดับปานกลาง รูปร่างเล็กๆ ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ในขณะนี้เขาสวมทักซิโดสีขาว กับหน้ากากแมวสีขาว ประดับด้วยคริสตัล เปิดเผยริมฝีปากบางสีชมพู เมื่อหน้ากากต้องแสงไฟ มันก็ส่องประกายออกมา บวกกับชุดสีขาว ดูแล้วเหมือนกับว่าเขามีออร่าเกิดขึ้นรอบๆ ตัวทีเดียว

 

คนมาใหม่พยายามมองไปรอบๆ ห้องจัดเลี้ยง เพื่อมองหาบุคคลที่คล้ายกับองค์นาธานเนียล ภายในห้องมีขนาดใหญ่ แขกที่มาก็มีมากมาย ทุกคนล้วนสวมใส่หน้ากาก บางคนก็แต่งกายอย่างอลังการ สาวๆ ต่างก็พยายามอวดโฉมเยื้อย่าง ส่งสายตาหาหนุ่มๆ สาวสวยบางคนยังเมียงมองมาทางเขา แต่ไมเคิลก็เพียงส่งยิ้มให้อย่างสุภาพกลับไป เขารู้ว่างานเลี้ยงสวมหน้ากากอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในการตามหากษัตริย์หนุ่ม เพราะทุกคนล้วนปกปิดใบหน้า แต่ไมเคิลก็เชื่อว่าคนอย่างองค์นาธานเนียล ต่อให้คลุมด้วยผ้าขี้ริ้ว กษัตริย์รูปงามคนนั้นก็ยังคงเปล่งประกาย โดดเด่นกว่าใคร ช่างภาพหนุ่มพยายามมองหาคนที่ดูสง่างาม สูงใหญ่ ด้วยความจดจ่อกับการตามหาเป้าหมายเบื้องหน้า ไมเคิลจึงไม่ทันได้ระวัง โดยไม่รู้ตัวว่าเขาตกเป็นเป้าหมายจากคนที่เดินมาจากเบื้องหลัง

 

“ลูกแมวอย่างเจ้า กำลังหลงทางอยู่หรืออย่างไร” เสียงกระซิบดังข้างหู ไมเคิลตกใจหันกลับมามอง แต่เขาก็พบกับอกกว้างบดบังวิสัยทัศน์อยู่ตรงหน้า ชายคนนี้อยู่ในชุดแบบคานาเดีย ทรงทหาร กำมะยี่ มีลวดลาย สีดำ ที่สำคัญชายหนุ่มสูงเสียจนไมเคิลต้องเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่ปรากฎคือชายผมยาวสีดำ สวมหน้ากาก เสือดำ ปิดครึ่งหน้า ริมฝีปากนั้นกำลังยิ้มแย้ม ราวกับเจอของเล่นถูกใจ

 

คนๆ นี้เข้ามายืนใกล้เขาเกินความจำเป็น จนไมเคิลแทบจะสัมผัสถึงไออุ่นจากคนตรงหน้าได้ พอได้สบตากับคนตัวใหญ่ เขาก็รู้ทันทีว่า คนๆ นี้เป็นใคร ดวงตาสีราตรีอันมืดมิด ดวงตาที่ตามไปก่อกวนแม้ในยามที่เขาหลับฝัน

 

“องค์ชายเดเมี่ยน!” ไมเคิลกล่าวเบาๆ ด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามถอยหนี แต่คนตัวใหญ่ก็คว้าจับมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้น จรดริมฝีปาก

“หากรู้ว่าเราเป็นใคร แล้วใยเจ้าจึงถอยหนีกันเล่า” องค์เดเมี่ยนถาม

“ผม...กระหม่อมเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ มิได้มีค่าคู่ควรกับพระองค์ ปล่อยกระหม่อมเถอะขอรับ” ไมเคิลตอบ พยายามจะชักมือกลับ

“พูดธรรมดาเถิดแมวน้อย...คู่ควรหรือไม่ เราเป็นคนตัดสิน นอกเสียจากว่าเจ้าจะรังเกียจเรา” องค์เดเมี่ยนตอบ ไม่เพียงไม่ปล่อย แต่กลับรั้งคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ และโอบกอดอย่างเป็นเจ้าของ

“อย่าครับ” ไมเคิลพยายามผลักคนตรงหน้าออก เมื่อรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้ลงต่ำ และสัมผัสราวกับกำลังสำรวจเรือนร่างของเขา

 

“เป็นลูกแมวที่เล่นตัวเสียด้วย” องค์เดเมี่ยนยอมให้ร่างบางถอยออกห่างแต่ยังคงจ้องมอง ราวกับเสือร้ายที่จ้องมองเหยื่อชิ้นโต ในเมื่อเหยี่อชิ้นนี้อยากจะเล่นกับพระองค์ พระองค์ก็จะเล่นด้วย เจ้าชายตัดสินพระทัย ยังไงคืนนี้ลูกแมวขี้ตื่นตัวนี้จะต้องมาอยู่ในเตียงอุ่นของพระองค์ให้ได้

 

“กระหม่อมขอตัว” ไมเคิลตอบ ก่อนจะพยายามเดินหนีแต่คนตัวใหญ่ก็รั้งตัวไว้อีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าชื่ออะไร” ทรงถาม

“เอ่อ...เจมส์ ครับ” ไมเคิลโกหก

“เจ้าจะโกหกก็ควรจะโกหกให้เนียนหน่อยสิ เอ่อ...เจมส์” องค์เดเมี่ยนหัวเราะกับชื่อปลอมที่ไมเคิลคิดขึ้นมาอย่างกะทันหันจนคนตัวเล็กหน้าแดง

 

“ในเมื่อเจ้าต้องการเป็น เจมส์ ในคืนนี้เราจะเรียกเจ้าว่าเจมส์” ร่างสูงบอก

“เต้นรำกับเราสักเพลงก็แล้วกัน เจมส์” องค์เดเมี่ยนยื่นมือออกมาให้เขา รอคอย ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

 

ไมเคิลลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกไปหาเจ้าชายหนุ่ม องค์เดเมี่ยนรั้งคนตัวเล็ก เข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะพาไปที่ลานเต้นรำ ท่ามกลางสายตาแห่งความอิจฉาที่ส่งมาให้คนตัวเล็ก

 

เจ้าชายโค้งคำนับให้อย่างเป็นทางการก่อนเริ่มเต้นรำ แต่ไมเคิลกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลัง หยอกล้อเขาอยู่ แต่ด้วยความไม่อยากเสียมารยาทไมเคิลจึงโค้งคำนับตอบ เจ้าชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้และรั้งเขาเข้าไปในวงแขน ก่อนจะเป็นคนนำเต้นรำ

 

ไมเคิลเข้างานสังคมบ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเต้นรำกับผู้ชาย และชายคนนี้ยังเป็นถึงเจ้าชายอีกด้วย แต่เพราะองค์เดเมี่ยนเต้นรำเก่งมาก และเป็นคนนำจังหวะทำให้แม้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็สามารถเต้นได้อย่างไม่ติดขัด

 

สายตาของผู้คนโดยรอบต่างหันมามองทั้งคู่ องค์ชายเดเมี่ยนที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ เพิ่งจะบอกเลิกกับแฟนสาวที่คบหากันได้แค่เดือนกว่าๆ ไปเมื่อคืน ข่าวลือ ต่างๆ ก็โหมสะพัด และหนึ่งในข่าวลือ คือ เจ้าชายหนุ่มเจอคนใหม่ และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงดังนั้น เพราะตั้งแต่องค์เดเมี่ยนเสด็จมางานเลี้ยงตั้งแต่ช่วงค่ำ พระองค์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาในงาน เจ้าชายก็เดินตามไปราวกับต้องมนต์สะกด

 

“เราไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน เจ้ามาจากที่ไหน” องค์เดเมี่ยนชวนคุย สายตาคมคู่นั้นเอาแต่จับจ้องมองไมเคิลอยู่ตลอดเวลา จนเขารู้สึกแปลกๆ

“ผมเพิ่งมาถึงคานาเดียเมื่อวานครับ” ไมเคิลตอบสั้นๆ

“เจ้าไม่อยากบอกกับเราเหรอว่าเจ้ามาจากไหน” ทรงถามต่อ อย่างรู้ทัน

“...” ไมเคิลก้มหน้าไม่ตอบ

“จากสำเนียงของเจ้า น่าจะเป็นอเมริกัน” ทรงพูด เมื่อเห็นคนตัวเล็กสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พระองค์ก็มั่นใจว่าเดาไม่ผิด

“อเมริกาสินะ เจ้ามาทำอะไรที่คานาเดีย” ทรงซักถามต่อไป

“ผมมาเที่ยวพักผ่อนครับ” ไมเคิลโกหกอีก

“คนมาพักผ่อน แล้วทำไมถึงเอาชุดแบบทางการ อย่างทักซิโดมาล่ะ” ทรงตั้งข้อสังเกต

 

ไมเคิลเริ่มรู้สึกว่าเจ้าชายองค์นี้ดูจะฉลาดมากกว่าที่เขาคิดไว้และรู้ว่าถ้าเขาปล่อยให้คนตรงหน้าถามต่อ เขาคงถูกเปิดโปงฐานะแน่ๆ และคงไม่ฉลาดนักหากถูกจับตัวส่งออกนอกประเทศทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เจอเป้าหมายที่เขาต้องการถ่ายภาพ

 

“ผมกลายเป็นนักโทษของพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ” ไมเคิลถาม พร้อมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายตรงหน้า สายตาขององค์เดเมี่ยนก็สบกับ ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น

“เจ้าไม่ใช่นักโทษของเรา เราแค่เพียงสนใจในตัวเจ้า และก็ช่วยไม่ได้ที่เจ้าเอาแต่โกหกเรา แถมยังไม่ยอมบอกชื่อกับเราด้วยซ้ำ” ทรงตอบแก้ต่าง

“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย” ไมเคิลเถียง เจ้าชายก็หัวเราะ

“ลูกแมวอย่างเจ้าอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่เจ้าหลอก เสือดำ อย่างเราไม่ได้หรอก” องค์เดเมี่ยนตอบพร้อมกับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น

“ผมไม่ใช่ลูกแมว และผมก็ไม่ได้หลอกพระองค์” ไมเคิลแย้งเสียงเบา องค์เดเมี่ยนยิ้มกว้างก่อนจะกระซิบตอบ

 

“เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าเราน่ะชอบ กิน ลูกแมวอย่างเจ้าเป็นของหวาน”

 

ไมเคิลหน้าแดงวาบ เข้าใจความหมายของคนตรงหน้าอย่างถ่องแท้ เมื่อสายตาที่มองมาของคนๆ นี้ มิได้ปกปิดความปรารถนาเลยแม้แต่น้อย เขาก้มหน้า หลบสายตาคม ก่อนจะหยุดเต้นรำและถอยออกห่าง

 

“ถึงผมจะเป็นแค่ลูกแมวในสายตาของพระองค์ แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมถูกจับกินง่ายๆ หรอกนะครับ” ไมเคิลกล่าวก่อนจะเดินหนีออกมาโดยไม่ยอมรีรอให้เจ้าชายได้ห้ามทัน

 

ไมเคิลย่อมรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของเจ้าชายเดเมี่ยนเป็นอย่างดี เจ้าชายองค์นี้ อันตรายเกินไป เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเขา ย่อมไม่ใช่คู่มือขององค์เดเมี่ยน หากหลวมตัว ลดการ์ดลง เขาคงถูกเสือดำอย่างเจ้าชายเดเมี่ยนจับกิน และลงท้ายก็คงมีสภาพไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาเจอเมื่อคืนอย่างแน่นอน คนที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าชายแบบนั้น คนธรรมดาอย่างเขาก็คงเป็นได้เพียงของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น และเขาก็ไม่มีความคิดจะเป็นของเล่นของใคร

 

เมื่อไมเคิลเดินหนีออกมาจากเจ้าชาย เขาก็เดินมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เขาพยายามจะสงบสติลง ทั้งสายตาคมคู่นั้นและสัมผัสอันจาบจ้วงของคนตัวใหญ่ มันกลับทำให้เขาว้าวุ่น ทุกที่ที่ถูกสัมผัสร้อนวาบราวกับถูกไฟเผา หัวใจของไมเคิลเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะโฟกัสกับสิ่งตรงหน้า

 

แต่ก่อนที่ไมเคิลจะทันได้ตัดสินใจทำอะไร อยู่ๆ เขาก็ถูดฉุดรั้งเข้าไปข้างหลังผ้าม่านยาวติดพื้น ที่ประดับตกแต่งบริเวณหน้าต่าง ไมเคิลตกใจที่ถูกดึงเข้าไปแต่ เมื่อเห็นหน้าคนกระทำก็ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก ภายในค่อนข้างสลัว มีเพียงแสงจากนอกหน้าต่างส่องเข้ามา องค์เดเมี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น ทรงถอดหน้ากากเสือดำออกแล้ว เปิดเผยใบหน้าอันหล่อเหลาให้เห็น ใบหน้าได้รูป เป็นคมสัน รับกับจมูกโด่งเข้ากับรูปหน้า ผมยาวสีดำถูกรวบไว้ด้วยเชือกเป็นหางม้าอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีดำ ลึกลับ น่าค้นหา จับจ้องมาที่ไมเคิล และริมฝีปากที่เลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะจิต

“ฝ่าบาท!!” เสียงของไมเคิลดังได้แค่นั้น ก่อนที่คนตัวใหญ่จะถอดหน้ากากของไมเคิลออก และ ประทับริมฝีปากลงมา ปิดกั้นเสียงประท้วงของคนตัวเล็กกว่าอย่างเป็นเจ้าของ

________________________________

ถ้าใครคิดว่าราฟาเอลมือไวใจเร็วแล้ว ขอบอกว่า เดเมียนนี่ คูณเข้าไปอีก 3-4 เท่า

 

อัพแล้วนะ มาอ่านกัน อ่านเสร็จแล้ว เม้นท์ด้วยนะ

 

รักกกกกกกกกกกกก รีดเดอร์ มากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 4 งานเลี้ยงสวมหน้ากาก
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-07-2016 07:57:30
น่ารัก..อ่าาา เจ้าชาย
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 5 ความปรารถนา รีไรท์
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 20-07-2016 15:20:14
Teddy Bear แห่ง คานาเดีย

 บทที่ 5 ความปรารถนา

 

เจ้าชายหนุ่มครอบครองริมฝีปากของไมเคิลอย่างเป็นเจ้าของ เย้ายวน เรียกร้อง และปรารถนา ความช่ำชองของคนตัวใหญ่ทำให้ คนไร้ประสบการณ์อย่างไมเคิล กลายเป็นดั่งแมวตัวน้อย ที่ต้องยินยอม อ่อนตามไปกับความปรารถนาของเจ้าชายหนุ่ม แม้เขาจะไม่เต็มใจก็ตาม

 

เจ้าชายดูดกลืนริมฝีปากล่างของไมเคิลอย่างหิวกระหาย พระองค์ดูดเม้มจนริมฝีปากบางเริ่มบวมช้ำ ลิ้นร้อนๆ ของเจ้าชายค่อยๆ สอดเข้ามาควานหาความหวานจากคนตัวเล็ก และหยอกเย้าให้อีกฝ่ายตอบสนองต่อลิ้นของพระองค์ เจ้าชายครอบครองริมฝีปากของไมเคิลอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนริมฝีปากอย่างช้าๆ ในชีวิตไมเคิลไม่เคยจูบใครแบบนี้ ร่างกายของเขากลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ความเสียวซ่านค่อยๆ แล่นลงสู่แก่นกายเบื้องล่าง แม้อีกฝ่ายจะยังมิได้แตะต้องเขาด้วยซ้ำ

 

เมื่อเจ้าชายถอนริมฝีปากออก ไมเคิลก็เหมือนจะได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ร่างกายกลับทรยศหักหลัง เข่าของไมเคิลก็ดูจะอ่อนยวบลงจนเขาเกือบจะล้ม โชคดีที่คนตัวใหญ่รั้งเขาไว้ได้ทัน ไมเคิลพยายามหายใจอย่างยากลำบาก ร่างกายรู้สึกแปลก ราวกับไม่ใช่ตัวเขา เมื่อตั้งสติได้ ไมเคิลจึงค่อยๆ ผลักร่างของเจ้าชายหนุ่มออกห่าง แต่แทนที่จะโกรธ องค์เดเมี่ยนกลับยิ้มออกมา

 

“ทั้งๆ ที่ร่างกายของเจ้าปรารถนาเรามากขนาดนี้ เจ้ายังจะปฏิเสธเราอีกเหรอ” ทรงถามยิ้มๆ

ไมเคิลหน้าแดง ด้วยความอับอาย พยายามหาเสียงของตัวเองจนเจอ

“ปล่อยผมไปเถอะครับ อย่าทำแบบนี้” ไมเคิลพยายามขอร้อง เขาไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับคนอย่างองค์เดเมี่ยน คนๆ นี้ หล่อเหลาเกินไป ช่ำชองเกินไป และ อันตรายเกินไป สำหรับคนด้อยประสบการณ์อย่างเขา

 

“ทำไมเราจะต้องทำอย่างนั้นด้วย” ทรงขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เอื้อมมือมาจับใบหน้าของไมเคิลและรั้งเข้ามาใกล้

“เราบอกเจ้าแล้วไง ว่าเราชอบลูกแมวอย่างเจ้าที่สุด” ทรงกระซิบก่อนจะก้มลงจูบไมเคิลอีกครั้ง จูบที่เร่าร้อนยังคงดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน องค์เดเมี่ยนโอบอุ้มไมเคิลขึ้นวางบนขอบหน้าต่าง ก่อนจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ เพื่อมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

 

ไมเคิลถูกอุ้มขึ้นมานั่งตรงเบาะที่ขอบหน้าต่าง ทำให้ตอนนี้ลูกแมวน้อยสูงกว่าพระองค์เล็กน้อย ไมเคิลนั้นงดงามกว่าที่องค์เดเมี่ยนคิดเอาไว้เสียอีก ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาสีฟ้าอ่อน จมูกโด่งเรียวเข้ากับรูปหน้า และริมฝีปากบางที่บวมช้ำจากการจูบ ยิ่งปลุกเร้าความปรารถนาขององค์เดเมี่ยนมากขึ้นอีก

 

ไมเคิลดูจะยังอยู่ในเมฆหมอกของความปรารถนา รสจูบขององค์เดเมี่ยนทำให้เขามัวเมา จนไม่อาจคิดอะไรได้ ด้วยดวงตาสีรัตติกาลคอยจับจ้องมองเขาทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาปรารถนาต่อความน่าเกรงขามนั้น เมื่อร่างกายไร้การควบคุมในด้านเหตุผล อารมณ์ความรู้สึกจึงเข้าครอบงำ มือเรียวค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสใบหน้าคมสันของคนตัวใหญ่ และรั้งให้เข้ามาใกล้และรอคอยอย่างไร้เดียงสา

 

องค์เดเมี่ยนครอบครองริมฝีปากของคนตรงหน้าอีกครั้ง เสียงครางเบาๆ อย่างพึงพอใจดังขึ้นในลำคอ เหมือนดั่งลูกแมวตัวน้อยที่ออดอ้อน และกำลังบอกว่าพึงพอใจ แค่จูบ คนตรงตรงหน้าก็สร้างความหฤหรรษ์ให้มากถึงเพียงนี้ หากได้ร่วมเตียง เสพสม พระองค์จะสุขขนาดไหน แค่คิดองค์เดเมี่ยนก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

 

ทรงครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน ดูดกลืนความหวานครั้งแล้วครั้งเล่า ลิ้นร้อนควานเข้าไปหาความหวานจากคนตรงหน้า ดูดกลืน ความหอมหวานไม่รู้จบ โดยที่คนตัวเล็กก็มิได้ขัดขืน แต่กลับยินยอมพร้อมใจ ทั้งที่ดูอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่ก็ยินยอมจูบตอบพระองค์อย่างหิวกระหายไม่ต่างกัน

 

ทรงช่ำชองการจูบ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทรงต้องการ พระองค์ต้องการมากกว่านั้น

ทรงต้องการทั้งหมด ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของร่างบางตรงหน้า

 

องค์เดเมี่ยนเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อของคนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ ซุกไซร้ต้นคอขาว อีกครั้งที่ไมเคิลครางเบาๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจ เจ้าชายได้ใจ จึงทิ้งรอบจูบไว้ที่ต้นคอของคนตัวเล็ก พระหัตถ์ใหญ่เลื่อนลงต่ำ หมายจะปลดเปลื้องกระดุมกางเกงและสัมผัสกับความตื่นตัวเบื้องล่าง แต่การกระทำของคนใหญ่แบบนั้น ก็ช่วยเรียกสติของไมเคิลให้กลับมาอีกครั้ง

 

ไมเคิลผลักคนตัวใหญ่ที่ไม่ทันระวังตัวจนเซออกไป ก่อนที่เขากระโดดลงจากขอบหน้าต่างและวิ่งหนีออกไปจากงานอย่างไร้เยื่อใย ปล่อยให้เจ้าชายทำได้เพียงมองตามร่างเล็กที่วิ่งหนีไปอย่างทำอะไรไม่ถูก  เป็นครั้งแรกที่องค์เดเมี่ยนปรารถนาคนๆ หนึ่งขึ้นมาอย่างจริงจัง และเป็นครั้งแรกที่องค์เดเมี่ยนโดนปฏิเสธเช่นนี้ พระองค์ก้มลงมองหน้ากากแมวที่ตกอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู และทรงสัญญากับตัวเองว่า จะต้องปราบลูกแมวจอมพยศตัวนี้ให้สยบแทบพระบาทให้ได้

 

แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ในตอนนี้ความปรารถนาของพระองค์กำลังต้องการการปลดปล่อย แม้จะไม่ได้ลูกแมวขี้ตื่นตัวนั้นมาขึ้นเตียงในห้องบรรทม แต่ในงานก็มี ตัวเลือก ให้เลือกมากมาย สุดท้ายองค์เดเมี่ยนก็ทรงเลือกเด็กหนุ่มผมสีชาคนหนึ่ง แม้จะไม่มีความตื่นเต้นในการล่าเหมือนลูกแมวตัวน้อย แต่ก็ยังดีกว่าที่พระองค์จะต้องนอนหนาวในเตียงเพียงลำพัง  เมื่อทรงเลือกเป้าหมาย องค์เดเมี่ยนก็เพียงจ้องมอง ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย ไม่นานเจ้าชายก็ทรงเสด็จออกไปจากงานพร้อมกับหนุ่มน้อยผู้โชคดีคนนั้น

 

ไมเคิลวิ่งออกมาจากงานโดยไม่คิดจะหันกลับไปอีก เขารีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรีบร้อน ด้วยความกลัวว่าหากเขาไม่หนีออกมาจากจุดนั้น เขาคงไม่อาจหลุดพ้นจากองค์เดเมี่ยนได้เป็นแน่

‘ผู้ชายคนนี้ หล่อเหลาเกินไป ช่ำชองเกินไป และ อันตรายเกินไปสำหรับเขา’ ไมเคิลเฝ้าบอกกับตัวเองแบบนั้น

 

เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก ไมเคิลก็รีบถอดเสื้อผ้าออก ความร้อนจากสัมผัสยังคงอ้อยอิ่งอยู่ เขาอยากจะล้าง ทำความสะอาดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป ความปรารถนาที่เขาไม่ควรจะมี ไฟราคะที่เจ้าชายจุดขึ้น เขาไม่ต้องการคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ร่างเปลือยเปล่าของไมเคิลยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ร่องรอยที่คนตัวใหญ่จงใจทิ้งเอาไว้ รอยจูบสีแดงช้ำที่ต้นคอข้างขวา ดูยั่วเย้าอย่างประหลาด ไมเคิลหน้าแดงวาบด้วยความอับอาย ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน ไม่แม้แต่ไรอัน แฟนเก่าที่เขาเคยคบหา เขาไม่เคยปล่อยตัวกับคนแปลกหน้า และยิ่งไม่เคยจูบกับใครในแบบที่เขาจูบเจ้าชายคนนั้น เขาไม่เคยปล่อยให้ความปรารถนาเข้ามาครอบครองจนอยู่เหนือเหตุผล แล้วยิ่งกับองค์เดเมี่ยนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงชั่วโมง ยิ่งไมเคิลคิด เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด ละอายต่อความปรารถนาที่เขามีต่อเจ้าชายผู้สูงศักดิ์คนนั้น

 

รอยจูบที่ต้นคอกลับทำให้ไมเคิลรู้สึกแปลกๆ ยิ่งเมื่อเขาจ้องมอง ความปรารถนาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อหลับตา ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นที่จับจ้อง ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินก็ก่อตัวขึ้นช้าๆ คนตัวเล็กในกระจกเอื้อมมือมาลูบริมฝีปากที่บวมช้ำ รสชาดของจุมพิตยังคงชัดเจนอยู่มาก ความปรารถนา ความดำฤษณาก็ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

 

ไมเคิลเอื้อมมือมาสัมผัสกับส่วนที่ตื่นตัวเบื้องล่างอย่างใจลอย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงรสจูบที่เจ้าชายเดเมี่ยนมอบให้ หลับตา และจินตนาการว่าหากเป็นเจ้าชาย จะทรงสัมผัสเขาอย่างไร เพียงจุมพิต ก็ทำให้ไมเคิลแทบคลั่งแบบนี้ หากทรงทำมากกว่านั้น ไมเคิลก็อยากรู้ว่า พระองค์จะทำให้เขามีความสุขได้มากขนาดไหน มือใหญ่ที่เจนจัดคู่นั้น จะสัมผัสเขาอย่างไร หากเขายินยอม เจ้าชายคงร่วมรักกับเขาตรงหน้าต่างนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไมเคิลรู้สึกใคร่รู้ว่าหากเขายินยอม เจ้าชายจะทำกับเขาเช่นไร จะทรงอ่อนโยนกับเขา หรือจะทรงทำอย่างดุดัน หรือพระองค์จะทรมานให้เขาปรารถนามากขึ้นกันแน่

 

ไมเคิลเร่งจังหวะ ไม่นานของเหลวสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา ร่างในกระจกหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อีกครั้งที่เขารู้สึกผิด และละอายต่อการกระทำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอาแต่คิดถึงเจ้าชายองค์นี้ จนปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำ จนทำให้ไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อกับงาน หากยืดเยื้อเนิ่นนาน เขาก็คงจะกลายเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานคงจะต้องมาเสียเพราะเจ้าชายผู้มากรักคนนั้น เขาตัดสินใจที่จะรีบทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อที่จะได้กลับไปอเมริกา ไปจากคานาเดีย และไปให้ไกลจากผู้ชายที่แสนอันตรายคนนั้น เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมเคิลจึงอาบน้ำและเข้านอน โดยหวังว่าเขาจะไม่ต้องเจอกับดวงตาคู่นั้นในความฝันอีก

 

 

เกือบสว่างแล้ว แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้ ทั้งๆ ที่ทรงร่วมรักกับเด็กหนุ่มมานานนับชั่วโมง เด็กหนุ่มผู้ว่าง่ายก็ทำตามใจเจ้าชายทุกอย่าง และแม้จะทรงปลดปล่อยออกมาหลายครั้ง แต่ความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ก็ยังไม่ลดลง

 

แม้จะไม่อยากยอมรับแต่ก็ทรงรู้ว่าทำไม ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ร่วมรักกับเด็กน้อยคนนี้ แต่ในห้วงความคิดขององค์เดเมี่ยนกลับเอาแต่คิดถึงลูกแมวน้อยสีขาวตัวนั้น ลูกแมวที่ดูไร้เดียงสา อ่อนประสบการณ์ อีกทั้งยังขี้ตื่นตกใจ ทั้งๆ ที่ลูกแมวตัวจ้อยกำลังปรารถนา แต่กลับเลือกที่จะปฏิเสธและวิ่งหนีไปจากอ้อมกอดของพระองค์

 

จริงอยู่ว่าคนตัวเล็กคนนั้นอาจจะเป็นลูกแมว แต่ทรงคิดว่าเขาคงจะเป็นลูกแมวป่าเสียมากกว่า หาใช่แมวบ้านเชื่องๆ ที่พระองค์จะพบได้ทั่วไป และเจ้าชายก็ทรงมั่นพระทัยว่าหากทรงไม่ระวังให้ดี ก็อาจจะโดนคมเขี้ยวและรอยเล็บของลูกแมวตัวนั้นก็เป็นได้

 

แต่เมื่อคิดถึงร่างที่บอบบางน่าทะนุถนอม ผิวที่เนียนละเอียดน่าสัมผัส ริมฝีปากบางเร่าร้อนน่าครอบครอง กับความหวานที่ทำให้ลุ่มหลงอย่างไม่รู้จักอิ่มหนำ ต่อให้ถูกกัด หรือถูกข่วนสักกี่แผล เจ้าชายก็ทรงยอม ขอเพียงได้ครอบครองลูกแมวตัวนั้นสักครั้ง พระองค์ก็คิดว่าคุ้มค่าอยู่ดี

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ พระองค์ก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทรงมองเด็กหนุ่มเปล่าเปลือยข้างๆ ที่กำลังหลับไหลด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนจะค่อยๆ ปลุกเร้าเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้มืออีกครั้ง

 

“อืม... ฝ่าบาท... ผมเหนื่อย...แล้วครับ” เสียงประท้วงเบาๆ ดังขึ้น

“งั้นเจ้าก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเราจะทำให้เอง” ทรงกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะปลุกเร้า และครอบครองเด็กหนุ่มอีกครั้ง และ อีกครั้ง จนเมื่อร่างกายมิอาจทนต่อความเหนื่อยล้าได้อีก พระองค์จึงบรรทมหลับไป

 

ในความฝัน ลูกแมวป่าสีขาวตัวนั้นกำลังคลอเคลียเอาอกเอาใจเจ้าชาย คนตัวเล็กค่อยๆ เปลื้องผ้าออกจนร่างบอบบางเปลือยเปล่า เผยให้เห็นทุกสัดส่วน ผิวขาวเรียบเนียนน่าสัมผัส กำลังจะทำให้องค์เดเมี่ยนคลั่งไคล้ ร่างบางอันเย้ายวน เดินยวนยั่วอยู่ตรงหน้า แต่พอองค์เดเมี่ยนจะเอื้อมมือไปสัมผัสกับผิวเรียบเนียนนั้น ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยร่างกายถูกพันธนาการด้วยบางสิ่งที่มีสีดำและค่อยๆ คืบคลานและกลืนกินพระองค์อย่างเชื่องช้า คนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มบางๆ มาให้อย่างอ่อนโยน ฉับพลันคนตัวเล็กก็สยายปีกเทวดาสีขาวที่งดงามออกมา แสงออร่าอันเจิดจ้าขับไล่เจ้าเมือกสีดำให้หายไป แต่พอองค์เดเมี่ยนจะเอื้อมคว้าจับร่างบางตรงหน้า เทวดาตัวน้อยก็บินหนีจากไป  เจ้าชายพยายามจะฉุดรั้งไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศธาตุ แม้จะทรงร้องเรียกให้เทวดาตัวน้อยกลับมา แต่คนตัวเล็กกลับบินหนีออกไปไกลมากขึ้นทุกที องค์เดเมี่ยนพยายามเฝ้าติดตาม ร้องเรียกหา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรคนตัวเล็กผู้งดงามก็ไม่ยอมกลับมา จวบจนทรงสะดุ้งตื่นขึ้น สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำยามตื่น คือ ชื่อของเทวดาสีขาว คนนั้น

 

“มิคาเอล!!!”



 
 

 

 

_____________________________

อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว ความบ้าส่วนตัวของไรท์ ที่ตัวละครจะชื่อ Michael เพราะ อ่านได้ 2 แบบ มิคาเอล หรือไมเคิล

รีดเดอร์ทำใจกับเดเมี่ยนด้วยนะ คนๆ นี้คือเจ้าชู้จริง เลวจริงอ่ะ ปูเสื่อรอดราม่าเลยดีกว่า ไมเคิลถึงได้กลัว ไม่อยากยุ่งด้วยไง

 

ไรท์แอบมีพล็อทอีกเรื่องเกี่ยวกับลูซิเฟอร์ด้วยอ่ะ อันนั้นคงจะเป็นแฟนตาซีเต็มตัว ไรท์โรคจิตอ่ะ ชอบอะไร ดาร์คๆ พระเอก โหดๆ เอาแต่ใจ น่าจะสนุกดี

 

แฟนเพจ ฝากไลค์ด้วย www.facebook.com/teddybeararthur

 

ไรท์รออ่าน คอมเม้นท์นะ อย่าลืม ว่า คอมเม้นท์มาปัญญาเกิดนะจ๊ะ

อยากอ่านรัวๆ ก็คอมเม้นท์รัวๆ กันมานะ

รักค่ะ
หัวข้อ: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 6 โรงพยาบาล รีไรท์
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 21-07-2016 14:22:12
บทที่ 6 โรงพยาบาล

ไมเคิลตื่นนอนขึ้นอย่างไม่สดชื่นนัก เมื่อคืนเขาเอาแต่ฝันว่าวิ่งหนีเจ้าชายผู้มีดวงตาสีรัตติกาล แต่ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน เจ้าชายคนนั้นก็ตามหาเขาจนเจอทุกครั้งไป ความฝันวนเวียนหลอกหลอน จนไมเคิลสะดุ้งตื่นหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งเช้า

ไมเคิลไม่ชอบใจกับความฝันนัก แต่ก็รู้ว่าเขาคงคิดมากไปเอง คนอย่างองค์ชายเดเมี่ยนไม่จำเป็นต้องไล่ตามใคร มีแต่คนที่ยินยอมพร้อมใจถวายตัวให้กับพระองค์ เหมือนกับในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ไมเคิลกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ ที่บอกว่าหลังจากที่เจ้าชายหนุ่มเลิกลากับแฟนสาวในคืนก่อน แต่ในงานปาร์ตี้สวมหน้ากากเมื่อคืน องค์เดเมี่ยนก็ออกจากงานไปกับเด็กหนุ่มผมสีชาผู้โชคดีแทน

ไมเคิลรู้ดีว่า เรื่องระหว่างเขากับเจ้าชายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ได้มีความหมายอะไร อย่างที่เห็นเจ้าชายแทนที่ไมเคิลด้วยเด็กหนุ่มผมสีชาคนนั้นโดยที่พระองค์แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย คนอย่างองค์ชายเดเมี่ยนไม่มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอย่าง ความรัก หรอก เพราะคนอย่างเจ้าชายเดเมี่ยน เป็นคนที่ไม่มีหัวใจ

แต่แม้ไมเคิลจะรู้เหตุผลทุกอย่าง เข้าใจสถานะการณ์เป็นอย่างดี แต่เขาก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่องค์เดเมี่ยนกอดจูบเขาแบบนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าชายหนุ่มก็ทำแบบนั้นกับทุกคนที่ทรงพึงพอใจ ไมเคิลไล่ความคิดไร้สาระออกไป เขามาคานาเดียเพื่อมาทำงาน ไม่ได้มาตามหาความรักสักหน่อย แล้วความรักระหว่างเจ้าชายกับสามัญชน มันก็มีแต่ในหนังหรือนิยายเท่านั้น ดังนั้นเขาควรจะเลิกคิดเรื่องนี้เสีย

ไมเคิลพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ พอดีเขาพลิกมาเจอตารางกิจกรรมที่น่าสนใจ ในวันนี้จะมีการเปิดอาคารใหม่ของโรงพยาบาลคานาเดีย ซึ่งอาคารแห่งนี้สร้างด้วยทรัพย์สินส่วนพระองค์ของกษัตริย์นาธานเนียล ไมเคิลยิ้มออกมาด้วยความดีใจ หากองค์นาธานเนียลเป็นคนบริจาคเงินสร้าง ก็ควรเป็นกษัตริย์หนุ่มเองที่มาเปิดอาคารอย่างเป็นทางการไม่ใช่หรือ เมื่อตัดสินใจดังนั้น ไมเคิลจึงไปเตรียมตัว เพื่อหวังว่าจะสามารถถ่ายรูปของกษัตริย์แห่งคานาเดียให้ได้ และเขาก็จะได้กลับอเมริกาเสียที

ไมเคิลเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล ก่อนพิธีเปิดจะเริ่มขึ้นหลายชั่วโมง และเขาก็คิดว่าเขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่นานหลังจากที่เขามาถึง ผู้คนจำนวนมากก็ทยอยกันมารอรับเสด็จกันถ้วนหน้า ไมเคิลถือกล้องตัวใหญ่ยืนรออยู่ในตำแหน่งที่คิดว่าดีที่สุด ที่คอของเขาแขวนบัตรนักข่าวเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่สิ่งหนึ่งที่ไมเคิลไม่อาจซ่อนคือตัวของเขาเอง ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นสะดุดตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ตรงไหน ช่างภาพหนุ่มก็ยังโดดเด่นเสมอ ไมเคิลยืนรออยู่หลายชั่วโมงในที่สุดขบวนเสด็จก็มาถึง โดยมีรถตำรวจ นำหน้ามาสองคัน ตามด้วยรถขององครักษ์ ขนาบหน้าและหลังรถยนต์ที่ประทับ และปิดท้ายด้วยรถตำรวจอีกสองคัน

ไมเคิลใช้กล้องถ่ายรูป ส่องดูคนในรถ และถ่ายรูปไปหลายสิบรูป แต่เมื่อคนที่อยู่ในรถออกมา เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อคนๆ นั้นไม่ใช่องค์นาธานเนียล แต่กลับกลายเป็น เจ้าชายราฟาเอล เจ้าชายรัชทายาทแห่งคานาเดีย แม้จะไม่ใช่คนที่เขาหวังจะพบแต่อย่างน้อย ไมเคิลก็คิดว่าไม่เสียหาย ในเมื่อมีโอกาสได้ถ่ายรูปของเจ้าชายใกล้ๆ แบบนี้ อีกทั้งเจ้าชายหนุ่มกลับหันมายิ้มแย้มให้กับกล้องของเขาอีกด้วย จนไมเคิลเริ่มสงสัยว่า จริงๆ แล้วแค่บังเอิญ หรือเจ้าชายราฟาเอล กำลังยิ้มให้เขากันแน่

องค์ราฟาเอลทรงประทับอยู่ในรถพระที่นั่ง เพื่อมาเป็นประธานการเปิดใช้ตึกอย่างเป็นทางการ ทรงมองไปในฝูงชนที่มารอรับเสด็จ แต่แล้วสายตาของเจ้าชายก็มาสะดุดอยู่ที่นักข่าวคนหนึ่ง รูปร่างที่บอบบาง ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนยืนถือกล้องตัวใหญ่ และถ่ายรูปพระองค์อยู่หลายรูป และองค์ราฟาเอลก็ใจดีจึงหันไปมองและยิ้มให้กับเจ้าของกล้องคนนั้น

เมื่อถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ไมเคิลก็ลดกล้องลงและมองดูพิธีเปิดอาคารใหม่ หลังจากมีการตัดริบบิ้นและเปิดอาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางโรงพยาบาลก็เปิดโอกาสให้เจ้าชายและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปชมด้านใน และเนื่องจากไมเคิลมีบัตรนักข่าว ดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในด้วย

โรงพยาบาลแห่งนี้ทุกอย่างล้วนดูทันสมัย และดูแล้วเทคโนโลยีบางอย่างอาจจะล้ำหน้า กว่าที่ๆ ไมเคิลจากมาด้วยซ้ำไป หลายสิ่งหลายอย่างดูแปลกตาทำให้เขาอดที่จะถ่ายภาพเก็บเอาไว้ไม่ได้ ไมเคิลถ่ายภาพเพลิน จนไม่ได้ระวังคนที่อยู่ข้างหลัง เขาเดินถอยหลังเพื่อเก็บภาพ สวนขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางของอาคาร จนไปชนกับใครบางคนเข้า ทันทีที่เขาชนกับคนๆ นั้น ไมเคิลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินตบเท้าเข้ามาใกล้ แต่ทุกเสียงก็หยุดลงเมื่อชายคนที่ไมเคิลเดินชนกล่าวประโยคสั้นๆ ว่า

“เราไม่เป็นไร”

ไมเคิลหันหน้ากลับมาเพื่อขอโทษ คนๆ นั้น แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะคนที่เขาเดินถอยมาชน คือ องค์ราฟาเอล เจ้าชายรัชทายาทแห่งคานาเดีย ไมเคิลตกใจ หน้าซีดลง ก่อนจะกล่าวขอโทษอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“กระหม่อมขอประทานอภัยขอรับ ฝ่าบาท กระหม่อมผิดเองที่ไม่ได้ระวัง ขอพระองค์ให้อภัยกระหม่อมด้วย” ไมเคิลกล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ

“ไม่เป็นไร เรามัวแต่มองดูเจ้าอยู่ เราเองก็ไม่ได้ระวังเช่นกัน” องค์ราฟาเอลกล่าวด้วยสีหน้าใจดี ใบหน้าหล่อเหลาของพระองค์ประดับรอยยิ้มอยู่

“เราคิดว่าเจ้าจะมาทำข่าวเกี่ยวกับเราเสียอีก แต่เราก็แปลกใจที่ พอเจ้าเห็นเราเจ้ากลับชักสีหน้า แล้วตอนนี้เจ้ายังถ่ายรูปสวนหย่อมแทนที่จะถ่ายรูปของเรา” ทรงตรัส ด้วยน้ำเสียงฟังคล้ายน้อยพระทัย
“เอ่อ ... กระหม่อมคิดว่า กษัตริย์นาธานเนียลจะเสด็จ กระหม่อมก็เลยแปลกใจในตอนแรก อีกอย่างกระหม่อมเพิ่งเคยเห็นสวนหย่อมสวยๆ ในอาคารแบบนี้เป็นครั้งแรก กระหม่อมมิได้ตั้งใจละเลยพระองค์” ไมเคิลชี้แจง รู้สึกลำบากใจกับสายตาของคนตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ที่เอาแต่จับจ้องเขา

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงไม่รังเกียจ จะทานอาหารกลางวันกับเราหรอกใช่มั้ย” องค์ราฟาเอลถามด้วยคำถามที่ไมเคิลปฏิเสธไม่ได้
“เอ่อ...” ไมเคิลไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร
“หรือเจ้ารังเกียจ ที่เราเป็นแค่ เจ้าชายรัชทายาท ไม่ใช่กษัตริย์แห่งคานาเดีย” ทรงถาม
“ไม่ใช่ขอรับ กระหม่อม...” ไมเคิลไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่าตกลงก็แล้วกัน” องค์ราฟาเอลกล่าวสรุปเอาดื้อๆ พร้อมกับจูงมือคนตัวเล็กเดินเข้าไปในลิฟต์ เพื่อขึ้นไปบนด่านฟ้าอันเป็นสถานที่จัดงานค็อกเทล

“เรายังไม่รู้จักชื่อของเจ้าเลย” องค์ราฟาเอลถาม
“ไมเคิล ขอรับ” ไมเคิลกล่าวพร้อมกับโชว์บัตรนักข่าวให้องค์ราฟาเอลดู
“ถ้าอย่างนั้น ไมเคิลเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดมากพิธีกับเราหรอก พูดธรรมดาก็ได้ เราไม่ถือ” ทรงบอก และยิ้มให้

เมื่อลิฟต์เปิดออก ชายสูงอายุก็เดินเข้ามากอดองค์ชาย และองค์ชายก็กอดทักทายตอบอย่างสนิทสนม ชายสูงอายุคนนี้คือ แพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาล และควบตำแหน่งหมอประจำของราชวงศ์ ของ เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส อีกด้วย

“ฝ่าบาท!!! มาทางนี้ขอรับ กระหม่อมจะแนะนำทีมแพทย์ให้รู้จัก” หมอพอล กล่าวกับองค์ชาย
เมื่อไมเคิลเห็นองค์ราฟาเอลกำลังยุ่ง เขาจึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศภายในงานไปเรื่อยๆ

“ดูเจ้าจะชอบ ถ่ายภาพนะ ไมเคิล” องค์ราฟาเอลเดินมาข้างหลัง และ พูดใกล้ๆ จนเขาคิดในใจว่า ดูเหมือนเจ้าชายคนพี่และคนน้องจะนิสัยไม่ต่างกันนัก ชอบแอบมาข้างหลังกันทั้งสองคน

“ผมเป็นช่างภาพนี่ครับ ผมก็ต้องถ่ายเก็บไว้เยอะๆ แล้วก็เลือกภาพที่ดีที่สุดออกมา” ไมเคิลอธิบาย
“เราอยากเห็นภาพที่เจ้าถ่าย โชว์ให้เราดูได้ไหม” ทรงถาม ไมเคิลแปลกใจที่เจ้าชายอย่างองค์ราฟาเอลจะมาสนใจภาพที่เขาถ่าย

“ได้ครับ” ไมเคิลเปิดภาพให้องค์ราฟาเอลดูทีละภาพ และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับภาพแต่ละภาพไปด้วย แต่องค์ราฟาเอลยืนมองคนตรงหน้า แทนที่จะมองที่ภาพอย่างที่พระองค์ร้องขอ จนไมเคิลเงยหน้าขึ้นจนมาสบตากับเจ้าชาย

“พระองค์ไม่ได้สนใจภาพสักนิด” ไมเคิลท้วงเบาๆ
“เราสนใจคนถ่ายภาพมากกว่า” ทรงยอมรับ
“ฝ่าบาท ผม...” ไมเคิลพูดได้แค่นั้นเพราะองค์ราฟาเอลก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของไมเคิลแทน
“ฝ่าบาท!!!” ไมเคิลหน้าแดง คิดในใจว่า พี่น้องคู่นี้เหมือนกันจริงๆ ด้วย
“เราขอโทษ เราแค่อดใจไม่อยู่” ทรงตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต มองใบหน้าหวานอย่างหลงใหล

“คนที่นี่มือไว ใจเร็วกันทุกคนหรือเปล่าครับ หรือว่าพระองค์แค่อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่” ไมเคิลถาม
“เรามีของเล่นเยอะแล้ว เราอยากได้คนมารักเรามากกว่า” ทรงตอบ
“พระองค์คงพูดกับทุกคน ที่ทรงถูกใจเสียมากกว่า” ไมเคิลแย้ง ไม่เชื่อ
“และเราก็ไม่ได้ถูกใจใครอย่างที่เราถูกใจเจ้า หากเจ้าจะให้โอกาส เราก็อยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้น” ทรงกล่าว
“ผมมาทำงานครับ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น” คนตัวเล็กกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ด้วยอำนาจและฐานะของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานไปตลอดชีวิตก็ยังได้” องค์ราฟาเอลไม่ยอมแพ้
“ผมคงไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกครับ” ช่างภาพหน้าหวานปฏิเสธยิ้มๆ

“อาหารค่ำ คืนนี้ ตกลงไหม” องค์ราฟาเอลรวบรัด
“คืนนี้คงไม่ได้ ผมมีงานครับ” คนตัวเล็กปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็คืนพรุ่งนี้ หรือคืนไหนที่เจ้าว่าง” เจ้าชายเสนออีก
“ทำไมครับ ทำไมถึงเป็นผม” ร่างบางถาม ไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมถึงไม่เป็นเราล่ะ” ทรงถามกลับ พร้อมรอยยิ้ม จนไมเคิลหัวเราะออกมา ก่อนจะหยิบปากกามาเขียนใส่มือขององค์ราฟาเอล เป็นเบอร์โทรของโรงแรม และเบอร์ห้อง
“ผมพักที่นี่จนกว่างานจะเสร็จ” ไมเคิลตอบ แปลกใจกับตัวเองที่ยอมใจอ่อนกับเจ้าชายแบบนี้
แต่องค์ราฟาเอลที่อ่อนโยน กลับทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“Fairmont Le Chateau Frontenac สินะ เราไปหาเจ้าได้ไหม” ทรงถามออดอ้อน
“ไม่ได้ครับ ผมได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์ดี ผมไม่ต้องการเป็นของเล่นของใคร” ไมเคิลดุ องค์ราฟาเอลจึงหัวเราะเบาๆ
“บางทีข่าวที่เจ้าได้ยินอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้” ทรงตอบยิ้มๆ
“ผมขอกรองข่าวด้วยตัวเองดีกว่าครับ” ไมเคิลตอบอย่างไม่ยอม
“แต่หากเจ้าทำงานเสร็จ แล้วหนีเรากลับไป เราก็แย่สิ” ทรงออดอ้อน
“งานของผมยังไม่เสร็จง่ายๆ หรอกครับ เพราะฉะนั้นยังมีเวลาอีกมาก” ช่างภาพหนุ่มตอบ
“หากทำได้เราก็อยากจะเก็บเจ้าไว้ที่นี่นานๆ เราอาจจะทำให้งานของเจ้ายากขึ้น เจ้าจะได้ทำไม่เสร็จและอยู่ที่นี่นานๆ” ทรงตรัสหยอกล้อ
“แค่นี้งานของผมก็ยาก จนโอกาสสำเร็จมีน้อยแล้วล่ะครับ อย่าแกล้งคนธรรมดาอย่างผมเลย” คนตัวเล็กกล่าวด้วยเสียงอันน่ารัก ออดอ้อน

“เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจมาก ไมเคิล” ทรงตรัสก่อนจะยกมือของไมเคิลขึ้นมาจุมพิตอย่างอ้อยอิ่ง
ไมเคิลหน้าแดงนิดๆ

“เราต้องไปแล้วล่ะ แต่คืนนี้เราจะโทรหาเจ้า” ทรงตรัส ก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาใกล้และจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ
“ฝ่าบาท!!!” ไมเคิลประท้วง
“นี่ถือเป็นค่ามัดจำ ที่เจ้าทำให้เราต้องรอ” ทรงตรัส พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะจากไป 
หัวข้อ: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 21-07-2016 14:25:35
บทที่ 7 การพบกันอีกครั้ง

ไมเคิลกลับมาที่โรงแรมอย่างอารมณ์ดี และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเปิดประตูเข้าไป และพบกับกุหลาบช่อใหญ่วางไว้ที่เตียง ไมเคิลเปิดการ์ดออก และพบว่าเป็นของที่องค์ราฟาเอลส่งมาให้

ไม่นานโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไมเคิลจึงรับสาย
“เจ้าชอบกุหลาบหรือเปล่า” เสียงขององค์ราฟาเอลกล่าวมาตามสาย
“สวยมากครับ ขอบคุณครับฝ่าบาท” ไมเคิลตอบยิ้มๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ว่างมาทานอาหารกับเรา” พระองค์ถามทีเล่น ทีจริง
“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมต้องทำงาน” ไมเคิลบอก
“เจ้าแน่ใจเหรอ ว่า มันไม่ใช่ข้ออ้าง” องค์ราฟาเอลยังไม่ยอมแพ้
“แน่ใจครับ ผมต้องไปเตรียมตัวแล้วล่ะ” ไมเคิลพยายามตัดบท แต่ก็ยังยิ้มแย้มอยู่
“ไมเคิล”
“ครับ”
“เราจะคิดถึงเจ้า ตอนที่เราทานอาหารค่ำคืนนี้ เจ้าจะคิดถึงเราบ้างไหม” ทรงถาม
ไมเคิลหน้าแดงเมื่อได้ยินที่องค์ชายถาม
“ผมขอคิดดูก่อนแล้วกันนะครับ” ไมเคิลตอบ
“เราหวังว่าเจ้าจะคิดถึงเราบ้างนะ” ทรงออดอ้อน
“ผมต้องไปแล้วครับ ฝ่าบาท” ไมเคิลเร่ง ยิ้มๆ
“ก็ได้ ค่ำๆ เราจะโทรไปอีก” ทรงบอกก่อนจะ วางสายไป

ไมเคิลอมยิ้มอยู่คนเดียว เขาไม่ได้หวังว่าองค์ราฟาเอลจะคิดจริงจังกับเขา แต่การที่มีคนมาสนใจแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย

ในคืนนี้ไมเคิลคิดจะลองไปงานเลี้ยงอีกสักหน เขาเชื่อว่า ยังไงเสียองค์นาธานเนียลก็ต้องเสด็จไปงานบ้าง ไม่งานใด ก็งานหนึ่ง
ในวันนี้ไมเคิลแต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำ เรียบๆ เพราะไม่ต้องการเป็นจุดเด่น
เขายังรู้สึกกลัวว่าจะไปเจอกับองค์เดเมียนอีก และยิ่งในงานคืนนี้ ไม่มีการสวมหน้ากากแล้ว แล้วองค์เดเมียนก็ยังเห็นหน้าของเขาแล้วด้วย ยิ่งทำให้ไมเคิลต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ

ไมเคิลแอบภาวนาขอให้องค์นาธานเนียลเสด็จในงาน เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายรูปของพระองค์ แล้วก็จะได้กลับอเมริกา และเจ้าชายทั้งสองพระองค์จะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียที
เมื่อไมเคิลมาถึงในงาน เขาก็อาศัยที่เป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย เขาก็เริ่มทักทายและพูดคุยกับผู้คนหลายๆ คนในงาน

แม้ไมเคิลจะไม่ได้พยายามทำตัวให้เด่น แต่เพราะรูปร่างหน้าตาของไมเคิล
ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาสีฟ้าอ่อน และริมฝีปากสีชมพู ที่ยิ้มให้กับคนรอบข้าง กลับกลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจโดยที่ไมเคิลไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มหลายต่อหลายคนเริ่มเข้ามาห้อมล้อมไมเคิล และทุกคนต่างพยายามอย่างยิ่งยวด ให้ไมเคิลหันมาสนใจตน แต่ไมเคิลก็ยิ้ม และหัวเราะให้กับทุกคน
เขาไม่ได้เลือกใคร และ ไม่มีความคิดจะเลือกใคร ทุกคนในห้องล้วนเป็นเพียงเครื่องพลางกายของไมเคิลเท่านั้น
ไมเคิลรอและรอ หวังว่าองค์นาธานเนียลจะเสด็จ แต่รออยู่นาน ไมเคิลก็ไม่เห็นว่ากษัตริย์นาธานเนียลจะมาสักที เขาจึงเอ่ยปากถามชายคนที่อยู่ข้างๆ

“ป่านนี้แล้ว องค์นาธานเนียลยังไม่เสด็จอีกเหรอครับ”
“องค์นาธานเนียลทรงให้ องค์ชายเดเมี่ยนมาแทนครับ และองค์เดเมี่ยนก็มาตั้งนานแล้วเพียงแต่พระองค์ อยู่ข้างบนน่ะครับ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างดีใจ ที่ไมเคิลพูดกับเขาโดยตรง  แต่ไมเคิลไม่ดีใจด้วย พร้อมกับมองขึ้นไปด้านบน ก็พอดีสบตาเข้ากับ ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นอีกครั้ง และในวันนี้ ดวงตาคู่นั้นก็ดูโกรธเกรี้ยวเหลือเกิน

ไมเคิลตกใจที่องค์เดเมี่ยน สบตามองมาที่เขา เขาจึงรีบกล่าวขอตัวกับทุกคน ด้วยความเร่งรีบ เขาจะต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น เขาคงถูก เสือดำตัวใหญ่ จับกินแน่ๆ ชายหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ในวงสนทนาต่างมองตามไมเคิลที่เดินจากไปอย่างเสียดาย  และไม่เข้าใจว่าทำไม คนตัวเล็กจึงได้รีบร้อนจากไปนัก


องค์เดเมียน มางานเลี้ยงในวันนี้ด้วยความเบื่อหน่าย ตลอดทั้งวัน พระองค์เอาแต่คิดถึงลูกแมวตัวนั้น จนไม่เป็นอันทำงาน พระองค์ทรงโกรธที่ลูกแมวตัวนั้นวิ่งหนีไปจากพระองค์ ไม่เคยมีใครปฏิเสธพระองค์มาก่อน แล้วเจ้าแมวน้อยนั่นเป็นใครจึงได้กล้าดี มายั่วยวน ให้พระองค์ปรารถนา และยังโอนอ่อนตามใจพระองค์ทุกอย่าง แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็หนีพระองค์ไป
ปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำพระองค์ และที่พระองค์ยิ่งหงุดหงิดมากยิ่งกว่าเพราะทั้งๆ ที่พระองค์ร่วมรักกับเด็กหนุ่มผมสีชานั่นไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง แต่ความปรารถนานี้ก็ไม่ได้ทุเลาลงเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อพระองค์มาถึงในงานเลี้ยง ทั้งๆ ที่ปกติพระองค์ออกจะสนุกสนานกับการไล่ล่าเหยื่อ
แต่มาวันนี้พระองค์กลับไม่มีอารมณ์ อยากจะคุยกับใคร
พระองค์เอาแต่ทำหน้าบึ้งตึง จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พระองค์ยืนจิบคอนยัคชั้นดี มองลงไปในงานเบื้องล่างอย่างเบื่อหน่าย และอยากให้งานเลิกเร็วๆ เสียที

แต่แล้วในงานเลี้ยงที่มีแต่ความน่าเบื่อนั้น ก็เปลี่ยนไป เมื่อลูกแมวน้อยตัวนั้นเดินเข้ามา
เจ้าลูกแมวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง แต่เมื่อรู้สึกปลอดภัย เจ้าลูกแมวก็ทำในสิ่งที่พระองค์ไม่พึงพอใจ เจ้าแมวน้อยของพระองค์ กลับยิ้มให้กับชายหนุ่มแทบทุกคนในงาน แล้วยังพูดคุย และยิ้มยั่วยวนให้ชายอื่น ขนาดพระองค์ที่มองอยู่ไกลๆ ยังดูออกเลยว่า พวกผู้ชายเหล่านั้นหวังจะกระทำอะไร กับคนตัวเล็กคนนั้น หากเปลี่ยนเป็นภาพของสัตว์ป่า เหล่าตัวผู้พวกนั้นคงจะพยายามฆ่ากันเพื่อแย่งผสมพันธุ์ กับแมวน้อยของพระองค์ ยิ่งมองดูพระองค์ก็ยิ่งโกรธ โกรธที่เจ้าพวกตัวผู้นั่น คิดอาจจะมาแตะต้อง เหยื่อ ที่พระองค์หมายตา โกรธเจ้าลูกแมวที่ยั่วยวน ชายอื่น ต่อหน้าพระองค์ ทั้งๆ ที่กับพระองค์ กลับวิ่งหนีไปอย่างไม่ใยดี

ความอดทนของพระองค์มาถึงที่สุด เมื่อเจ้าลูกแมวเอนกายเข้าใกล้ชายคนข้างๆ กระซิบกระซาบบางอย่าง แล้วพอเจ้าลูกแมวเงยหน้ามองขึ้นมาเจอพระองค์ เจ้าลูกแมวตัวดี ก็รีบวิ่งหนีออกไป แต่ความอดทนของพระองค์หมดลงแล้ว ยังไงวันนี้พระองค์จะต้องจับแมวจอมยั่วตัวนี้มาไว้ใต้ร่างของพระองค์ให้ได้
เมื่อจับตัวได้ พระองค์จะครอบครอง และร่วมรัก กับลูกแมวตัวนี้ ให้หนำใจ
ไมเคิลรีบหนีออกมาจากงาน คนตัวเล็กกดลิฟต์ถี่ๆ ด้วยหวังว่าลิฟต์จะมาเร็วขึ้นแม้สักวินาทีก็ยังดี
เขารู้ดีว่าหากถูกองค์เดเมี่ยนจับได้ เขาคงไม่อาจรอดพ้น กลายเป็นของเล่นบนเตียงของเจ้าชายแน่ๆ ไมเคิลรู้สึกร้อนรน ลิฟต์เจ้ากรรม ก็มาช้าเสียเหลือเกิน เขาตัดสินใจจะเดินลงบันไดแทน แต่ลิฟต์ ก็เปิดออกมาก่อน

ไมเคิลรีบเข้าไปในลิฟต์และ กดปิดประตู รู้สึกโล่งใจ ที่อย่างน้อยเจ้าชายก็ไล่ตามมาไม่ทัน
แต่ไมเคิลยังไม่ทันจะหายใจได้ทั่วท้อง รองเท้าที่ถูกขัดจนมันวาวก็ยื่นเข้ามาขวางลิฟต์ไว้ไม่ให้ปิด
เมื่อมีสิ่งกีดขวางประตูที่กำลังจะปิด ก็ค่อยๆ เปิดออก และก็เป็นคนๆ ที่ไมเคิล ไม่อยากเจอที่สุด ยืนขวางประตูอยู่ตรงนั้น

“ฝ่าบาท!!!”

"เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า เจ้าจะหนีเราไปได้อีก” องค์เดเมียนกล่าวและเดินเข้ามาในลิฟต์ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ยืนขวางทางออก ของไมเคิลไว้ทั้งหมด จนไมเคิลต้องถอยหลังไปติดกับผนังของลิฟต์ แต่คนตัวใหญ่ก็เดินตามเข้ามา และปิดทางหนีของคนตัวเล็กไว้

“เจ้าคิดจริงๆ เหรอ ว่าเราจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ” องค์เดเมียนกล่าวและเดินเข้ามาใกล้ จ้องมองไมเคิลด้วยดวงตาของผู้ล่า ที่กำลังจับจ้องเหยื่อ
“ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมพระองค์ ต้องไล่ตามผมแบบนี้ด้วย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ไมเคิลรู้สึกกลัวคนตรงหน้าขึ้นมา
“ในตอนแรกเราคิดจะอ่อนโยนต่อเจ้า เพราะเจ้าดูไร้เดียงสา แต่ดูแล้วเจ้าก็คงเล่นละครได้เก่ง มากกว่า” องค์เดเมียนกล่าวจ้องมองร่างของไมเคิล
“ผมไม่ได้ทำอะไร” ไมเคิลปฏิเสธ
“อย่างนั้นหรือ เจ้าทำตัวยั่วยวน ผู้ชายนับสิบรายล้อมตัวเจ้า คนอย่างเจ้า นอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คน” องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาใกล้ หมายจะจูบ แต่ไมเคิลก็ตบหน้าคนตัวใหญ่กว่าที่พูดจาดูถูกเขา
“พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกผมแบบนี้” ไมเคิลยืนประจันหน้ากับคนตัวใหญ่อย่างไม่ยอม

เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้า ตบหน้าพระองค์ พระองค์หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่พระองค์จะรั้งร่างของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้และ ประกบปากจูบ

"อย่าครับ!!! ปล่อยผม!!!” ไมเคิลพยายามผลัก และ พยายามหลบเลี่ยงริมฝีปากของคนตัวใหญ่
ริมฝีปากของเจ้าชายหนุ่มจุมพิตไมเคิลอย่างรุนแรง จนริมฝีปากบางบวมช้ำ
ไมเคิลพยายามจะผลักไส พระองค์ออก แต่องค์เดเมียนก็ไม่ยอมปล่อย ใช้มือของพระองค์รวบมือทั้งสองข้างของไมเคิลไว้เหนือศรีษะ บังคับให้คนตัวเล็กยินยอม พระองค์ยังคงจูบคนตัวเล็กอย่างหนักหน่วง ก่อนจะค่อยๆ หยอกล้อ ล่อลวง   

พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้ามาในปากของคนตัวเล็ก เพื่อลองลิ้มกับความหอมหวานภายใน ด้วยเพราะ องค์เดเมียนคิดว่า คนตรงหน้าเคยยินยอมต่อพระองค์ การที่พระองค์จะกระทำดังเช่นครั้งก่อนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่พระองค์หลงลืมไปว่าคนตรงหน้าหาใช่ลูกแมวบ้านเชื่องๆ ที่พระองค์คุ้นเคย แต่คนตัวเล็กตรงหน้า เป็นดั่งแมวป่า ที่หากพระองค์ไม่ระวัง ร่างเล็กคนนี้ก็พร้อมจะย้อนมาทำร้ายพระองค์ได้ทุกเมื่อ เมื่อไมเคิลเห็นว่าองค์เดเมียนไม่ระวัง คนตัวเล็กจึงกัดลิ้นของเจ้าชาย จนเลือดไหล และผลักพระองค์ออกห่าง องค์เดเมียนจำต้องปล่อยร่างของไมเคิล รับรู้รสเลือดของพระองค์เอง 

แต่ในขณะที่ทรงคิดว่า ร่างเล็กแผลงฤทธิ์จนหมดแล้ว
แต่พระองค์ก็คิดผิด เพราะเมื่อไมเคิลมีโอกาส เขาก็เตะเข้าที่ข้อเท้าของคนตัวใหญ่
องค์เดเมี่ยนที่ไม่ทันได้ระวังพระองค์ และไม่คิดว่าคนตัวเล็กตรงหน้าจะมีฤทธิ์มากขนาดนี้ ไมเคิลจึงสามารถทำให้องค์เดเมี่ยนล้มลงไปกองกับพื้นได้โดยไม่ยากเย็นนัก

องค์เดเมี่ยนที่ยังทรงมึนงงอยู่ ไม่แน่ใจว่า เกิดอะไรขึ้น และกว่าพระองค์จะรู้ตัวพระองค์ ก็ล้มลงกับพื้น และคนตัวเล็กก็รีบกดลิฟต์ให้เปิดแล้ววิ่งหนีไปต่อหน้าพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่อาจจะฉุดรั้งเอาไว้ได้

พระองค์ไดัแต่มองตามคนตัวเล็กวิ่งหนีไปอย่างเจ็บใจ ดูเหมือนพระองค์จะดูถูกคนตัวเล็กคนนี้ไปมากทีเดียว และพระองค์สัญญาว่าคราวหน้า พระองค์จะต้องเอาคืนทั้ง ต้นและ ดอก จากคนตัวเล็กนี้ให้ได้

พระองค์ลุกขึ้น เมื่อประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง สองสาวฝาแฝดก็เดินเข้ามาในลิฟต์ พร้อมกับส่งสายตายั่วยวนมาให้กับองค์ชาย 

ในเมื่อเจ้าลูกแมวหนีพระองค์ไปอีกครั้ง พระองค์จึงจำใจเลือกกระต่ายสาวทั้งสองแทน องค์เดเมียนอ้าแขนออก สองสาวก็พากันเข้าไปซบอกขององค์เดเมียนกันอย่างพร้อมเพรียง
เสียงหัวเราะน่ารัก และท่าทางยั่วยวนออดอ้อน หวังให้องค์เดเมียนพึงพอใจ
หากเป็นคนทั่วไปก็คงรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อมีสองสาวสวยขนาบข้างซ้ายขวา แต่องค์เดเมียนกลับมิได้ใส่ใจนัก พระองค์เพียงแค่คิดว่า สองสาวน่าจะช่วยดับความปรารถนาของพระองค์ลงได้บ้าง

อย่างน้อย สองคน ย่อมต้องดีกว่า คนเดียว

https://www.facebook.com/teddybeararthur/

หัวข้อ: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 8 บาดแผลที่ไม่มีวันหาย
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-07-2016 07:15:26
บทที่ 8 บาดแผลที่ไม่มีวันหาย

ไมเคิลกลับมาถึงห้องพัก ด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้ง ภาพในอดีตย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ชายหนุ่มล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าประตู
อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา แม้จะหนีมาได้แล้ว แต่ไมเคิลก็ยังสั่นด้วยความกลัวอยู่

สาเหตุหลักที่ไมเคิลหนีออกจากบ้านของคุณลุง ไม่ใช่เพียงเพราะคุณลุงทำร้ายเขา
ไมเคิลไม่กลัวที่จะถูกตี หรือถูกทำโทษ มันอาจจะเจ็บ แต่แผลทางกายไม่นานก็หาย
แต่แผลทางใจต่างหาก ที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน มันก็ไม่ยอมจางหายไป

ภาพในอดีตย้อนกลับมาในห้วงความคิดของไมเคิลอีกครั้ง
ในวันนั้น เป็นวันสุดท้ายที่ไมเคิลทนอยู่ในบ้านหลังนั้น  ไมเคิล กำลังทำรายงานอยู่ แม้จะดึกมากแล้ว แต่คุณลุงก็ยังไม่กลับ
ส่วนโทนี่ก็กำลังหลับอยู่ในห้องนอน

ไมเคิลแอบดีใจเล็กน้อยที่คุณลุงไม่อยู่ทำให้เขามีสมาธิในการทำรายงานมากขึ้น
แต่เพียงไม่นาน เสียงรถก็ดังขึ้นและจอดที่โรงจอดรถ คุณลุงของเขากลับมาแล้ว
และวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน คุณลุงของเขา ดื่มเหล้าจนเมากลับมา
ไมเคิลแปลกใจ ที่คุณลุงของเขายังไม่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งๆ ที่เมาอยู่เสมอ

เมื่อคุณลุงเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ ก็ลอยมาแตะจมูก
ไมเคิลเตรียมใจไว้ เขารู้ว่ายังไงคุณลุงของเขาต้องพยายามหาเรื่องเขาแน่ๆ
และก็เป็นไปตามนั้น คุณลุงเริ่มมองหาสิ่งต่างๆ ที่จะสามารถโทษไมเคิล
แม้ว่าไมเคิลจะเป็นคนทำความสะอาด ทำกับข้าว และเลี้ยงน้อง
แต่คุณลุงก็ยังหาเรื่องเขาอยู่ตลอด

“แกมองหน้าชั้นทำไม ไมเคิล” คุณลุงกล่าว
“ผมเปล่าครับ คุณลุง ผมจะเข้านอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“แกนี่ยิ่งโต หน้าตาของแกก็ยิ่งเหมือนแม่ของแกมากขึ้นทุกวัน มีหน้าแบบนี้ แกไม่อายคนเขาเหรอ หน้ายังกับผู้หญิง หรือว่าแกชอบผู้ชาย” คุณลุงถามขึ้น ไมเคิลหน้าแดงวาบ ด้วยความอาย
เขาไม่เคยบอกใครเรื่องนั้น พอถูกจี้เข้า ก็อดแสดงพิรุธไม่ได้ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนพาล มาพาลหาเรื่องด้วย

“อย่าบอกนะ ว่าแกชอบผู้ชายจริงๆ” คุณลุงพูดอย่างเย้ยหยัน
“ผมจะนอนแล้วครับ ดึกมากแล้ว ผมขอตัว” ไมเคิลพยายามหลีกเลี่ยง
“เดี๋ยวสิ ชั้นยังพูดกับแกไม่จบเลย” คุณลุงเดินเข้ามาใกล้และจับแขนของไมเคิลไว้ และออกแรงบีบจนไมเคิลต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“ปล่อยครับ ผมเจ็บ” ไมเคิลอ้อนวอน
“อย่ามาทำสำออยนักเลย ไมเคิล จะว่าไปหน้าตาของแกมันก็น่าสนใจดีนี่ ถ้าหลับหูหลับตาซะหน่อย แกมันก็เหมือนผู้หญิงดีๆ นี่แหล่ะ” คุณลุงกล่าวและเริ่มลวนลามไมเคิล

ไมเคิลพยายามปัดป้อง และพยายามฝืนสู้ แต่คุณลุงที่เป็นผู้ใหญ่ และมีแรงมากกว่าเขา แม้จะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ไมเคิลก็ยังสู้คุณลุงไม่ได้อยู่ดี

คุณลุงฝังใบหน้าลงที่ต้นคอของไมเคิล น้ำตาของเด็กหนุ่มก็ไหลออกมา เขาทั้งหวาดกลัว และขยะแขยงกับการกระทำของคุณลุง มือหยาบใหญ่พยายามล้วงเข้ามาข้างในกางเกงของไมเคิล
ไมเคิลอ้อนวอน แต่คนสูงวัยก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตรงกันข้าม ยิ่งไมเคิลดิ้นรน ทรมาน คนสูงวัยก็ยิ่งดูชอบใจ และยิ่งอยากครอบครองเขามากขึ้น

ในที่สุดไมเคิลก็หยุดดิ้นรน ไมเคิลรู้สึกสิ้นหวัง เขารู้ว่าหลังจากที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ชีวิตของเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก แต่การที่ต้องถูกขืนใจจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆของเขา มันก็ทำให้เด็กหนุ่มสะอื้นไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุม เขาเฝ้าอ้อนวอนขอให้ผู้เป็นลุงหยุดแต่มันก็ดูจะไร้ผล มือหยาบใหญ่พยายามจะล่วงล้ำเข้ามา คนสูงวัยก้มลงจูบเขา สอดลิ้นเข้ามาภายใน และพยายามจะถอดเสื้อผ้าของเขาออก แต่ไมเคิลก็ตั้งสติ ก่อนจะกัดที่ลิ้นของคนสูงวัย อย่างแรง

คุณลุงตบไมเคิล หน้าของเขาชา แต่เขาก็หลุดออกมาจากการเกาะกุมของคนสูงวัยได้ เขารวบรวมแรงทั้งหมดที่มี วิ่งหนีออกไปจากบ้าน เขาวิ่ง และ วิ่ง จนไม่มีแรงที่จะวิ่งต่อไปได้อีก
ไมเคิล ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ไม่มีแม้แต่ รองเท้า เศษแก้วบาดที่เท้าข้างซ้าย แต่ไมเคิลไม่ได้เจ็บเท้าเลยแม้แต่น้อย เพราะบาดแผลที่ลึก และทำให้เขาเจ็บปวดมาจนทุกวันนี้ เป็นแผลที่ไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานมากแล้วก็ตาม

รอยแผล ที่ไมเคิลไม่เคยบอกใคร เป็นรอยแผล ที่บาดลึก แต่ไม่มีใครเห็น
เป็นดั่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ที่ไม่เคยมีใครได้ยิน

และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ไมเคิลปิดกั้นตัวเอง แม้ไมเคิลจะเคยมีแฟนมาบ้าง
แต่ไมเคิลก็ไม่เคยลดกำแพงลงเลย ตราบมาจนถึงตอนนี้ ไมเคิลก็ไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ไรอันนอกใจเขา

ไมเคิลไม่ได้โกรธไรอัน เพราะไมเคิลเข้าใจดี การที่เขาไม่ยอมร่วมรักกับคนรักของตัวเอง เป็นใครก็คงทนไม่ได้ หรือแม้จะฝืนทน แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นไมเคิลจึงไม่คิดจะรักใคร เพราะคงไม่มีใคร คิดที่จะมารักคนอย่างเขานั่นเอง


ไมเคิลร้องไห้อย่างหนักอยู่ตรงประตูนั้น เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเคาะประตู
“ไมเคิล เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตู
“ไมเคิล นี่เราเอง ราฟาเอล เปิดประตูก่อนสิ” น้ำเสียงที่ห่วงใยดังขึ้นอีกครั้ง
ไมเคิลพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งได้ยินเสียงอันอ่อนโยน เขาก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นอีก
“ถ้าเจ้าไม่เปิด เราจะพังเข้าไป” องค์ราฟาเอล ตะโกนอย่างร้อนรน และพระองค์ก็ตั้งท่าจะพังเข้าไป
แต่ประตูก็ถูกแง้มออก พระองค์จึงเดินเข้าไป ทรงเห็นคนตัวเล็กนั่งอยู่ข้างๆประตู เอามือปิดหน้าไว้ และเอาแต่ร้องไห้

“เกิดอะไรขึ้น ไมเคิล เจ้าเป็นอะไร” องค์ราฟาเอลถามด้วยความเป็นห่วง แต่ไมเคิลก็เอาแต่ร้องไห้ พระองค์จึงโอบอุ้มไมเคิลและพาไปที่เตียงแทน

ทรงวางไมเคิลลงบนเตียงก่อนจะเอนกายลงเคียงข้างและโอบกอดไมเคิลเอาไว้ ทรงปลอบโยนจนไมเคิลหยุดร้องไห้ ไมเคิลรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน และตอนนี้เขาก็เพียงอยากมีใครสักคนที่จะคอยปกป้องเขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไมเคิลไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมา เพราะเขาจะต้องเป็นเสาหลักให้กับโทนี่  แต่ในตอนนี้ เวลานี้ เขาอยากจะขออ่อนแอ และอยากให้องค์ราฟาเอลปลอบโยนเขาสักครั้ง เพียงสักครั้งที่เขาไม่ต้องฝืนทำตัวเข้มแข็งทั้งๆ ที่ในใจของเขากำลังร่ำไห้

องค์ราฟาเอลปลอบโยนจนไมเคิลหยุดร้องไห้ พอไมเคิลหยุดร้อง เขาก็ลุกขึ้นนั่ง ถอยห่างจากเจ้าชายหนุ่ม

“ทำไมพระองค์มาอยู่ที่นี่ล่ะครับ” ไมเคิลถาม ทุกอย่างที่ดูบังเอิญเกินไป ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ
“เราขอให้คนของโรงแรม คอยรายงาน เมื่อเจ้ากลับมา แต่พอเราโทรมาหาเจ้า ตั้งไม่รู้กี่รอบ เจ้าก็ไม่ยอมรับสาย เราก็เลยเป็นห่วง” ทรงตอบ
“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” ไมเคิลกล่าวขอบคุณ รู้สึกดีกับคนตรงหน้า
“เรารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้เรามาหาแต่...” เสียงขององค์ราฟาเอลหายไป เพราะไมเคิลจูบที่ริมฝีปากของพระองค์เบาๆ
“อย่างนี้เราไม่เรียกว่าจูบหรอกนะ มานี่สิ เราจะสอนให้” ทรงกล่าวอย่างอารมณ์ดี และพยายามจะดึงร่างของไมเคิลเข้าหา
“ฝ่าบาท!! อย่าสิครับ” ไมเคิลดุ
“แล้วทีเจ้ายังขโมยจูบเราได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้” ทรงถามยิ้มๆ ก่อนจะเองตัวลงนอน
“พระองค์จะทำอะไรครับ” ไมเคิลถามเมื่อเห็นร่างสูงล้มตัวลงนอน
“เจ้าคงไม่ใจร้าย ไล่เรากลับวังหรอกใช่มั้ย ดึกมากแล้ว เราง่วงแล้วล่ะ” ทรงตรัส ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ดูง่วงเลยสักนิด
“ไม่ได้ครับ นี่ห้องของผม พระองค์จะมานอนที่นี่ได้ยังไง” ไมเคิลประท้วง
“เราจะไม่ทำอะไรเจ้า เราสัญญา ให้เราอยู่เถอนะ” ทรงออดอ้อน ไมเคิลมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ แต่ก็อดใจอ่อนไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าอันออดอ้อนของอีกฝ่าย
“ถ้าพระองค์ผิดสัญญา ผมจะไม่พูดกับพระองค์อีกเลย” ไมเคิลขู่ยิ้มๆ

ไมเคิลเปลี่ยนไปใส่ชุดนอน เมื่อเดินกลับมาที่เตียง ร่างสูงก็นอนเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่ม ยื่นมือมาหาเขา ราวกับเชื้อเชิญ ไมเคิลลังเล แต่ก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ องค์ราฟาเอล พระองค์เอื้อมมือมากอดไมเคิลไว้

“เราจะอยู่ตรงนี้ เราจะปกป้องเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าจะร้องไห้ด้วยเพราะเหตุใดๆ เราสัญญาว่ามันจะไม่อาจทำอะไรเจ้าได้อีก เราจะดูแลเจ้าเอง” ทรงกระซิบเบาๆ และโอบกอดไมเคิลเอาไว้ตลอดทั้งคืน เป็นครั้งแรกที่ไมเคิลรู้สึก อบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ในตอนเช้า ไมเคิลตื่นขึ้น เป็นคืนแรกที่เขาหลับสนิท ตลอดทั้งคืน
เขาค่อยๆลืมตาขึ้น องค์ราฟาเอลโอบกอดเขาอยู่จากด้านหลัง
พระองค์ไม่ได้ผิดคำสัญญา ตลอดทั้งคืนพระองค์เพียงแค่กอดเขาเอาไว้เท่านั้น

“ตื่นแล้วเหรอ” ทรงถาม
“ครับ” ไมเคิลตอบ ร่างสูงจูบต้นคอของไมเคิลเบาๆ แต่ไมเคิลก็รีบลุกหนี
“ฝ่าบาท อย่าเกเรสิครับ” ไมเคิลดุเบาๆ
“เจ้าไม่รู้หรอกว่า มันทรมานแค่ไหน ที่เรากอดเจ้าไว้ทั้งคืน แต่ก็แตะต้องเจ้าไม่ได้”
ทรงกล่าวฟังดูน่าสงสาร ไมเคิลรู้สึกผิดขึ้นมา หากเขาเป็นเหมือนคนอื่น เขาก็คงจะไม่มีทางปฏิเสธ องค์ราฟาเอลผู้อ่อนโยนแน่ๆ แต่เขาไม่คิดว่าเขาจะคู่ควรกับเจ้าชายผู้แสนดีอย่างพระองค์
“ผมขอโทษครับ” คนตัวเล็กเหมือนทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีก องค์ราฟาเอล จึงรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอด

“ฝ่าบาท อย่าทำดีกับผมนักเลย นะครับ ถึงจะเป็นพระองค์ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะสามารถทำตามที่พระองค์ปรารถนาได้ ผมคงไม่อาจยอมเป็นของเล่นของพระองค์ได้หรอกนะครับ” ไมเคิลกล่าว
“เราไม่ได้ต้องการเจ้ามาเป็นของเล่นเสียหน่อย เราอยากให้เจ้ารักเราต่างหาก” ทรงตอบยิ้มๆ
“ผม... รักใครไม่เป็นหรอกครับ และผมก็ไม่คิดจะรักใครด้วย” ไมเคิลตอบตามตรง
“ทำไมล่ะ เราไม่เข้าใจ” องค์ราฟาเอลถาม
“ผมมีเหตุผลของผม และผมก็ไม่คิดว่าพระองค์จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ผมขอร้อง อย่าทำดีกับผมอีกเลยนะครับ ปล่อยให้ผมทำงานให้เสร็จ ผมก็จะไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ ที่พระองค์จะมาทำดีกับคนอย่างผม” ไมเคิลกล่าวเสียงเศร้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เราเป็นคนที่รักเจ้าก็ได้ เราสัญญาว่าจะดูแล และปกป้องเจ้าอย่างดี” ทรงให้ทางเลือก
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมไม่คิดจะรักใคร ทรงปล่อยผมไปเถอะครับ” ไมเคิลกล่าว
“เจ้ามีสิทธิ์ที่จะคิดอะไรก็ได้ ส่วนเราเองก็เช่นกัน เราจะไม่บังคับเจ้า แต่เราก็อยากให้เจ้าให้โอกาสเราบ้าง เจ้าไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ เราอยากให้เจ้าคิดดูให้ดีๆ ก่อน เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้ อย่างแน่นอน” ทรงตรัส มองคนตัวเล็กอย่างหลงใหล

ไมเคิลถอนหายใจ เจ้าชายทั้งสองช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คนหนึ่ง แสนดี จน ไมเคิลรู้สึกผิด ในขณะที่อีกคนกลับโหดร้าย จนไมเคิลอยากจะหนีไปให้ไกล แต่ไม่ว่าคนไหน ไมเคิลก็ไม่ต้องการ


หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 9 ความอ่อนโยน
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-07-2016 15:06:43
บทที่ 9 ความอ่อนโยน

องค์ราฟาเอลรั้งร่างของไมเคิลเข้ามาในอ้อมกอด ไมเคิลที่ไม่ได้ระวังตัวจึงถูกองค์ราฟาเอล ดึงเข้าไปในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย
“ฝ่าบาท!! ปล่อยครับ” ไมเคิลพยายามจะลุกออกจากเตียงแต่ร่างสูงก็โอบกอดไว้ไม่ยอมปล่อย
“เราแค่กอดเจ้าเฉย เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ทรงตรัส แต่ไมเคิลก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
“ผมไม่ชอบครับ” ไมเคิลขืนตัวออก
“เจ้ารังเกียจเราหรือ” ทรงมองร่างเล็กที่พยายามจะออกไปจากอ้อมกอดของพระองค์
“ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวผม” ไมเคิลตอบ
“แต่เจ้ายังให้เรากอดเจ้าไว้ทั้งคืนเลยนี่นา” พระองค์ถาม
“เรื่องเมื่อคืนมันไม่เหมือนกันนี่ครับ” ไมเคิลยังคงปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกเรามาจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน เราจะไปจัดการกับคนที่ทำให้เจ้าร้องไห้”
“ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้ก็มีอยู่คนหนึ่งครับ ปล่อยผมได้แล้ว”ไมเคิลเริ่มดุ
“เราอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” ทรงตรัส
“ผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ ผมเป็นแค่ช่างภาพธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ไมเคิลตอบ
“แต่เราสนใจเจ้านี่” ทรงตอบ พลิกพระองค์ขึ้นเหนือร่างของไมเคิล ก่อนจะสบตากับคนตัวเล็กที่อยู่ใต้ร่าง
“เราขอจูบเจ้าได้ไหม” ทรงถาม
“ไม่ได้ครับ” ไมเคิลตอบอย่างยากลำบาก แต่ร่างสูงก็ยังค่อยๆ ก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ
“เราอยากจูบเจ้า” ทรงกระซิบแผ่วเบา ริมฝีปากแนบชิดลงมา ก่อนจะหยุด รอคำตอบ
ไมเคิลไม่ตอบแต่กลับหลับตา ชั่ววินาทีช่างยาวนานเหลือเกิน ในที่สุดริมฝีปากของร่างสูงก็ค่อยๆ สัมผัสริมฝีปากของร่างเล็กอย่างแผ่วเบา ทรงจูบอย่างทะนุถนอม อ่อนโยน จนไมเคิลเผลอจูบตอบ

รสจูบที่หอมหวาน เย้ายวน และสวยงามที่สุดที่ไมเคิลเคยสัมผัส องค์ราฟาเอลยังคงครอบครองริมฝีปากของไมเคิล เนิ่นนาน สัมผัสจากริมฝีปากกลับปลุกเร้าไมเคิล ร่างกายของเขา เร่าร้อน ไมเคิลกำลังปรารถนา คนตรงหน้า อย่างไม่อาจหักห้ามใจ
แต่ไมเคิลก็ผลักร่างสูงออก จนร่างสูงต้องจำใจ ถอนริมฝีปาก อย่างไม่ยินยอมพร้อมใจนัก

“เจ้าไม่ชอบหรือ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ไมเคิลส่ายหน้า
“ปล่อยเถอะครับ อย่าทรงทำแบบนี้” ไมเคิลปฏิเสธอีกครั้ง
องค์ราฟาเอลก้มลงประกบปากจูบอีกครั้ง พระองค์ ดูดเม้มริมฝีปากล่างของไมเคิลจนร่างเล็กส่งเสียงครางเบาๆ อย่างไม่อาจหักห้าม
ร่างสูงยิ้มและจูบซ้ำครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไมเคิลหอบหายใจ เขากำลังหลงใหลกับรสจูบที่คนตรงหน้าปรนเปรอให้ ร่างสูงจูบไมเคิลนานนับชั่วโมง ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆ ใช้ลิ้นหยอกเย้ากับริมฝีปากของไมเคิล จนไมเคิลต้องส่งลิ้นร้อนๆของเขาออกมาสัมผัสกับลิ้นขององค์ราฟาเอลเสียเอง

องค์ราฟาเอลยิ้มอย่างพอใจ พระองค์ยังคงจุมพิตไมเคิลต่อไป มิได้ทำสิ่งอื่นใด นอกจากจูบริมฝีปากของคนตัวเล็ก ตรงหน้า อย่างหลงใหล แม้พระองค์จะรู้สึกถึงความตื่นตัวเบื้องล่างของคนตัวเล็ก แต่พระองค์ก็มิได้ฉวยโอกาสแต่อย่างใด มือของพระองค์ สอดประสานกับมือของไมเคิลไว้

ไมเคิลรู้สึกค่อยๆสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละนิด เขากำลังปรารถนาองค์ราฟาเอล ความตื่นตัวเบื้องล่างของเขา สัมผัสกับความตื่นตัวของพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่มีทีท่าจะทำมากกว่าจูบ และในขณะที่ไมเคิลคิดว่าพระองค์กำลังจะทำมากกว่านั้น พระองค์ก็หยุด และถอนริมฝีปากของพระองค์ออกช้าๆ อย่างแสนเสียดาย

ทรงกระซิบเสียงแหบพร่า ด้วยความปรารถนา
“เราคงทนได้แค่นี้ หากมากกว่านี้เราคงห้ามตัวเองไม่ให้แตะต้องเจ้าไม่ได้”
ไมเคิล พยายามรวบรวมสติ เขาไม่เคยรู้สึกวาบหวามอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก่อน องค์ราฟาเอลอยู่ๆ ก็เข้ามาทำให้เขาหวั่นไหวมากขนาดนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนและไมเคิลก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถรู้สึกแบบนี้ได้

องค์ราฟาเอลโอบกอดไมเคิลไว้หลวมๆ พระองค์นอนหันหน้า มองไมเคิลอย่างหลงใหล มือใหญ่ของพระองค์ไล้ใบหน้าของร่างเล็ก ก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน

“ผมขอโทษครับ” ไมเคิลกล่าว
“เจ้าขอโทษ เรื่องอะไร” ทรงถาม
“ปกติ คงมีแต่คนคอยเอาอกเอาใจพระองค์ แต่ผมกลับไม่ยอมแล้วพระองค์ก็ยังทรงต้องการ...” ไมเคิลพยายามอธิบาย แต่กลับหน้าแดงขึ้นเสียเอง
องค์ราฟาเอลหัวเราะเบาๆ 
“เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ เราถึงได้สนใจในตัวเจ้าอย่างไร” ทรงประทับรอยจูบที่หน้าผากอีกครั้ง
“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่เราจูบเจ้า”ทรงตรัสและมองลงต่ำ
“อย่างน้อยเจ้าก็พอใจในรสจูบของเรา”  ทรงต่อจนจบ ไมเคิลยิ่งหน้าแดงขึ้นอีก

“ฝ่าบาท ผม...” ไมเคิลลังเลที่จะต่อจนจบ
“ว่ามาสิ”
“ผม... ไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน” ไมเคิลหน้าแดง แต่องค์ราฟาเอลก็พอจะเดาได้ แม้จะไม่อยากจะเชื่อนักก็ตาม
“ผมกลัวการร่วมรัก ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัวผม ผมไม่คิดว่าพระองค์ควรจะเสียเวลากับคนอย่างผม ผมเชื่อว่าคงมีคนมากมายที่พร้อมและยินดีเป็นของพระองค์ ต่างจากผม ที่ผมทำให้พระองค์ไม่ได้” ไมเคิลกล่าวอย่างเศร้าสร้อย และเจ็บปวด
“คน...คนอย่างผมไม่คู่ควรกับพระองค์เลยสักนิดเพราะฉะนั้น ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะครับ”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจเราไม่ใช่เหรอ” ทรงถาม
“ที่เราจูบเจ้า เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจใช่มั้ย” ทรงถามอ่อนโยน มองที่คนตัวเล็ก ไมเคิลหน้าแดง
“เราถือว่านั่นเป็นคำตอบก็แล้วกัน” องค์ราฟาเอลพูดยิ้มๆ
“แต่...” ไมเคิลพยายามจะทักท้วง
“ในตอนนี้ เราพอใจแค่นี้” ทรงตอบ ใช้มือใหญ่ไล้ใบหน้าของไมเคิลเบาๆ
“ทำไมครับ” ไมเคิลไม่เข้าใจคนตรงหน้า
“เอาเป็นว่าเราเอ็นดูเจ้าก็แล้วกัน ดูแล้วเจ้าคงผ่านเรื่องร้ายๆมามาก แต่เราจะไม่ถาม เราจะรอให้เจ้าบอกกับเราด้วยตัวเอง เมื่อเจ้าพร้อม” ทรงบอก
“ขอบคุณครับ” ไมเคิลตอบ หัวใจของเขารู้สึกพองโต รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าคงไม่ทำงานในวันนี้ ใช่ไหม” ทรงถาม
“เอ่อ...” ไมเคิลไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร
“พักสักวันจะเป็นไร เราอยากใช้เวลากับเจ้า” องค์ราฟาเอลถามออดอ้อน
“แต่... ผมต้องทำงานนี่ครับ” ไมเคิลประท้วง
“งั้นก็พักครึ่งวันก็ได้” พระองค์ยังออดอ้อนไม่เลิก พระองค์มองร่างเล็กด้วยสายตาอันเว้าวอน
“ก็ได้ครับ แต่แค่ครึ่งวันเท่านั้นนะครับ” ไมเคิลกล่าว
“ตกลง” องค์ราฟาเอลยิ้มกว้าง จนไมเคิลรู้สึกดีใจตามไปด้วยไม่ได้
“เจ้าอยากไปไหนล่ะ เราจะตามใจเจ้า” ทรงเสนอ
“ที่ไหนก็ได้ครับ แล้วแต่พระองค์ ผมยังไงก็ได้”ไมเคิลตอบ


หลังจากที่องค์ราฟาเอลโทรสั่งการทุกอย่างแล้ว ไมเคิลก็พบตัวเองนั่งอยู่ในรถสปอร์ตขององค์ราฟาเอล
รถหรูขับออกไปนอกเมือง และขึ้นไปบนเขา ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ องค์ราฟาเอลจอดรถและเดินลงมาเปิดประตูใหแก่ไมเคิล

“ที่ไหนครับเนี่ย” ไมเคิลถามขึ้น ไม่ค่อยไว้ใจร่างสูงเท่าไหร่นัก
“บ้านพักส่วนตัวของเรา” ทรงตอบ เมื่อเห็นไมเคิลทำท่าไม่เข้าใจพระองค์จึงอธิบาย
“บางครั้งเราไม่อยากอยู่ในวัง เราจะมาที่นี่”พระองค์ยื่นมือให้ไมเคิล
ไมเคิลจับมือขององค์ราฟาเอลเดินออกจากรถและตามองค์ราฟาเอลเข้าไปภายใน

ภายในบ้านหลังใหญ่กลับมีการตกแต่งที่เรียบง่าย บ้านทั้งหลังทำจากไม้ เมื่อมองออกไปด้านนอกวิวที่เห็นกลับทำให้ลืมหายใจเลยทีเดียว
เนื่องจากตัวบ้านอยู่บนเขาทำให้รอบทิศเป็นกระจกสามารถมองวิวได้อย่างสะดวก ไมเคิลเห็นเมืองคานาเดีย อยู่ไกลๆ รอบด้านมีภูเขาล้อมรอบหลายลูก บางลูกยังมีหิมะปกคลุมอยู่

พระองค์สั่งให้คนตั้งโต๊ะอาหารตัวเตี้ยในห้องกระจก ภายในห้องนั้นรอบด้านเป็นกระจกใสทำให้เห็นวิวได้รอบทิศ แม่แต่หลังคาก็เป็นกระจกเช่นกัน
โต๊ะอาหารตัวเตี้ยถูกจัดตกแต่ง มีเบาะรองนั่งอยู่รอบ ดูให้บรรยากาศเป็นกันเอง

องค์ราฟาเอลพาไมเคิลมานั่งบนเบาะที่นั่งข้างๆ พระองค์ และชี้ชวนให้ชมวิวตรงหน้า
พระองค์ชี้ชวนให้ดูยอดเขาที่เรียงต่อกัน สามยอด ซึ่งเรียกว่า Three Brothers Mountain เป็นยอดเขาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของคานาเดีย หลายคน เปรียบยอดเขาทั้งสามนี้กับเจ้าชายทั้ง 3 พระองค์ ที่เป็นเสาหลักของคานาเดียอีกด้วย

ไมเคิลหยิบกล้องออกมาเก็บภาพ สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทำให้องค์ราฟาเอลยิ้มออกมาด้วย
เมื่อไมเคิลหันกลับมา เขาจึงถ่ายรูปขององค์ราฟาเอลเอาไว้หลายรูป

"สอนเราถ่ายรูปบ้างสิ" ทรงกล่าว พระองค์ลุกขึ้นมายืนข้างหลังคนตัวเล็กก่อนจะโอบไมเคิลเอาไว้
“ฝ่าบาท!! ปล่อยครับ” ไมเคิลพยายามจะขืนตัวออก แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมปล่อย
“สอนเราถ่ายรูปก่อนสิ” พระองค์ยื่นหน้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหู
“ถ้าทรงกอดผมแบบนี้ ผมจะสอนได้ยังไงกันครับ” ไมเคิลรู้สึกว่าหน้าของเขากำลังแดง ใจที่เต้นรัว ไม่เป็นจังหวะ และไม่เข้าใจว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกแบบนี้

องค์ราฟาเอลถอนหายใจ ก่อนจะยอมปล่อยร่างเล็กตรงหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก ไมเคิลส่งกล้องให้เจ้าชายถือ และอธิบายวิธีการใช้กล้องพื้นฐานให้ฟัง แต่องค์ราฟาเอลก็ดูจะไม่ได้ฟังอะไรมากนักตรงกันข้าม พระองค์ หันกล้องมาหาไมเคิล และเริ่มถ่ายรูปของคนตัวเล็ก ไมเคิลในตอนแรกที่เอามือปัดป้อง แต่องค์ราฟาเอลก็พูดจาหยอกเย้าจนคนตัวเล็กยิ้มออกมา พระองค์จึงถ่ายรูปเก็บไว้หลายรูป

พระองค์ขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้จนสัมผัสร่างของคนตรงหน้าได้ พระองค์ก็รั้งไมเคิลเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะประทานจุมพิต อันยาวนานให้แก่คนตรงหน้า โดยที่ร่างเล็กมิได้ขัดขืน และรอรับจุมพิตนั้นจากพระองค์ อย่างเต็มหัวใจ
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 10 ลอบเข้าวัง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-07-2016 22:55:09
บทที่ 10 ลอบเข้าวัง

หลังจากใช้เวลาในช่วงเช้าไปกับการพูดคุย หยอกล้อ กับไมเคิล ในที่สุดองค์ราฟาเอลก็จำใจต้องพา คนตัวเล็กมาส่งที่โรงแรม แม้พระองค์จะไม่อยากกลับ แต่คนตัวเล็กก็พยายามไล่พระองค์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนสุดท้ายพระองค์จึงยอมกลับไปแต่โดยดีโดยแลกกับจุมพิต อันยาวนานอีกครั้ง

ไมเคิลตัดสินใจที่ลองเสี่ยงอีกครั้ง แม้คานาเดียจะเป็นประเทศที่สวยงาม แต่เขาไม่อยากอยู่ที่คานาเดียอีกแล้ว และหลังจากพูดคุยกับองค์ราฟาเอล ไมเคิลจึงรู้ว่าองค์นาธานเนียลไม่ได้ออกนอกวังมาพักใหญ่แล้ว ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย ซึ่งจุดนี้ทำให้ไมเคิลไม่มีทางเลือกมากนัก

หากต้องการลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ เมื่อต้องการรูปกษัตริย์ ไมเคิลจึงต้องเข้าวัง
แต่การที่จะเข้าไปในวังนั้น จำเป็นต้องได้รับอนุญาตและต้องมีเหตุผลที่มากพอ แต่ไมเคิลไม่มีทั้งสองอย่าง เขามีเพียงอย่างเดียวนั่นคือ ความบ้าบิ่น

ไมเคิลตัดสินใจจะแอบเข้าไปในวังด้วยตัวเอง  โดยแอบหวังว่าเขาจะสามารถเก็บภาพขององค์นาธานเนียลได้เสียที และหากเขาเก็บภาพได้แล้วเขาก็จะกลับอเมริกาทันที เขาได้รับประสบการณ์ที่เลวร้ายจากที่นี่มากพอแล้ว

ไมเคิลสวมชุดสีดำทั้งตัว เสื้อผ้าเข้ารูปเพื่อความคล่องตัว เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปใกล้มากเพราะเขามีกล้องที่สามารถซูมได้ไกล โดยที่คุณภาพไม่ได้ด้อยลง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง ปัญหาอยู่ที่เขาจะต้องหาองค์นาธานเนียลให้เจอต่างหาก
การจะหาคนๆ เดียว ในวังที่มีขนาดใหญ่ ก็ใช่จะทำได้ง่ายๆ อีกทั้ง ไมเคิลยังต้องคอยระวังไม่ให้โดนจับได้อีก ทำให้งานนี้โหดหินมากทีเดียว
อย่างไรก็ตามไมเคิลไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างไรเสีย เขาจะต้องถ่ายรูปขององค์นาธานเนียลให้ได้

ไมเคิลเช่ารถเพื่อขับไปที่วัง ยิ่งขับเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า อาณาเขตของวังนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ไมเคิลขับรถมาจอดอยู่ข้างกำแพงด้านทิศใต้ เขาจอดรถ ดับเครื่อง เปิดไฟกระพริบ และแกล้งทำเป็นว่ารถเสีย ไมเคิลเปิดฝากระโปรงรถขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตุ ไมเคิลมองไปรอบๆ เพื่อหาทางเข้าไปในวัง

กำแพงทิศใต้ อยู่ในจุดที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก และนั่นเป็นเหตุผลให้ไมเคิลเลือกกำแพงด้านนี้นั่นเอง ไมเคิลมองไปรอบๆ และพยายามจะหาทางเข้าไป พอดีเขาไปเจอประตูเล็กๆ เข้า

ไมเคิลลองเปิดประตู แต่ก็พบว่ามันล็อกอยู่ เขาจึงเอาอุปกรณ์บางอย่างออกมา มองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นใคร ไมเคิลจึงค่อยๆ สะเดาะกลอนประตู
เพราะเขาต้องเดินทางไปในที่ๆ อันตรายอยู่ตลอด ดังนั้นทักษะต่างที่เป็นประโยชน์ต่อไมเคิล เขาจะพยายามเรียนรู้มาทั้งหมด และวิธีสะเดาะกุญแจนี้ เขาก็เรียนรู้มาจาก ช่างทำกุญแจคนหนึ่งที่เขาพบในแอฟริกาใต้ ไมเคิลช่วยเหลือชายคนนั้น เขาจึงสอนไมเคิลในการสะเดาะกุญแจเป็นการตอบแทน หลังจากนั้นหลายปี ไมเคิลก็ฝึกฝนจนชำนาญ ประตูธรรมดาแทบจะไม่มีความหมายสำหรับไมเคิล

ใช้เวลาไม่นาน ไมเคิลก็สามารถเปิดประตูเข้าไปได้ เมื่อเข้ามาภายในวัง รอบด้านเป็นสวนป่า ต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากถูกปลูกเพื่อบดบังวิสัยทัศน์จากภายนอก และเพิ่มความเป็นส่วนตัวของคนภายใน

ไมเคิลลอบเดินเข้าไปช้าๆ เขาพยายามหาตำแหน่งที่เหมาะสม และมาสะดุดตาที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีกิ่งก้านสาขา ทำให้ง่ายต่อการปีน ไวเท่าความคิด ไม่ช้าชายหนุ่มก็ปีนขึ้นไปแอบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เขานั่งลง และรอคอย

ไมเคิลหยิบเอากล้องออกมา และส่องดูรอบๆ เขาก็พบกับวิลล่าหลังใหญ่ ไม่ห่างไปมากนัก ก็มีอาคารลักษณะคล้ายกับวิลล่า แต่มีขนาดที่เล็กกว่าตั้งอยู่ ไมเคิลไม่แน่ใจนักว่าเป็นวิลล่าของใคร อย่างน้อยเขาจะต้องรอดูให้แน่ใจเสียก่อน ไมเคิลจึงนั่งนิ่งๆ อยู่บนต้นไม้ ส่องกล้องไปที่วิลล่า และรอคอย


องค์เดเมียนตื่นขึ้นในตอนบ่าย ร่างของกระต่ายสาวทั้งสองนอนเปลือยกายหลับอยู่ข้างๆ พระองค์ พระองค์ขยับลุกขึ้นออกจากเตียงโดยไม่ได้ ให้ความสนใจกับกระต่ายทั้งคู่นัก เมื่อคืนก็เป็นอีกครั้งที่พระองค์ร่วมรักกับสองสาวอย่าง เร่าร้อน ทั้งสองคนต่างพยายามถวายงานอย่างเต็มที่ และทั้งคู่ก็ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม

เมื่อทั้งสามคนมาถึงที่วิลล่า สองสาวก็ค่อยๆ เปลื้องผ้าออก และเริ่มกอดจูบกันเอง แต่ก็ส่งสายตามายั่วยวนเจ้าชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เจ้าชายนั่งลงที่เก้าอี้ติดผนังด้านหนึ่ง
สองสาวจึง เดินยั่วยวนเข้ามาหา คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ก่อนจะค่อยๆ ปลดกางเกงของพระองค์ออก เมื่ออาภรณ์ปกปิดเลื่อนหลุดออก ความเป็นชายของพระองค์ก็ปรากฎแก่สายตา สองสาวหัวเราะคิกคัก อย่างตื่นเต้น ก่อนจะผลัดกันใช้ปากครอบครอง พระองค์ เมื่อได้รับการปลุกเร้า ร่างของพระองค์ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนสองสาวตาโต ด้วยความตื่นเต้นกับความใหญ่โตและแข็งแกร่งของพระองค์ เจ้าชายปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก เปิดเผยร่างกายอันกำยำ จนเกือบสมบูรณ์แบบ รอยแผลเป็นหลายแห่งบนร่างของพระองค์ที่ทำให้เจ้าชายไม่สมบูรณ์แบบ รอยแผลเหล่านั้นเป็นแผลเก่า แต่ก็บ่งบอกว่าแผลเหล่านั้นเป็นแผลที่บาดลึก เพราะแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานรอยแผลก็ยังเด่นชัดอยู่

สองสาวเชื้อเชิญองค์ชายมาที่เตียงนุ่ม กระต่ายน้อยคนหนึ่งนอนลง แยกขาและเชื้อเชิญพระองค์
ส่วนอีกคนใช้ปากโลมเล้าให้กับสาวอีกคน เพื่อเตรียมพร้อมให้กับเจ้าชาย
พระองค์ครอบครองทั้งสองสาวสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งสองสาวไปสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน และพระองค์ก็ปลดปล่อยออกมาหลายครั้ง แต่ความรู้สึกที่ไม่อิ่มหนำยังคงอยู่
ไม่ว่าจะทำอย่างไรพระองค์ก็ลบภาพของเจ้าลูกแมวออกไปไม่ได้

พระองค์เดินเปลือยเปล่าออกมาด้านนอกระเบียง จิบกาแฟที่นางกำนัลเอามาถวายมองออกไปข้างนอกอย่างเบื่อหน่าย
ในห้วงความคิด พระองค์ยังคิดถึง คนตัวเล็กคนนััน
ในชีวิตน้อยครั้งนักที่พระองค์จะถูกทำให้ล้มทั้งยืน แบบที่คนตัวเล็กกระทำกับพระองค์ แม้ภาพลักษณ์ของพระองค์จะเป็นนักรัก เสเพล แต่พระองค์ก็ถูกฝึกมาแบบทหาร พระองค์เชี่ยวชาญการใช้อาวุธต่างๆ และยิ่งการต่อสู้มือเปล่า พระองค์ก็ไม่เป็นรองใคร คิดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กจะมีพิษสงรอบตัว จนถึงขนาดล้มพระองค์ลงได้
พระองค์คิดไปเรื่อยเปื่อยมองออกไปรอบๆ แต่แล้วสายตาของนักล่าอย่างพระองค์ก็สะดุด กับบางสิ่งที่ดูไม่ปกติจากบนต้นไม้ที่ห่างจากวิลล่าไปไม่มาก

ในเสี้ยววินาทีพระองค์เห็นแสงสะท้อนออกมาจากต้นไม้นั้น แต่เมื่อจ้องมองอีกครั้งกลับไม่เห็นอะไร สองสาวตื่นแล้ว และต่างพากันเดินเปลือยเปล่าออกมาออดอ้อนพระองค์ พระองค์จึงเดินกลับเข้าไปข้างใน


ไมเคิลที่กำลังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องไปที่วิลล่าหลังใหญ่ แต่แล้วอยู่ดีๆ คนที่เขาไม่คิดจะเจอก็เดินออกมาที่ระเบียง อีกทั้งยัง เปลือยเปล่า ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ปกปิด
ไมเคิลที่อยู่ในที่ลับตา จึงลอบมองพิจารณาคนตัวใหญ่ตรงหน้า ร่างกายขององค์ชายกำยำ สูงใหญ่ หน้าท้องที่แบนราบ กล้ามท้องเป็นลอนซิกแพค ทั้งร่างมีแต่มัดกล้าม แต่พระองค์กลับมีรอยแผลเป็นอยู่แทบจะทั่วร่างกาย บางส่วนจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังมีหลายแผลที่ยังเด่นชัดอยู่ ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมองค์เดเมียนถึงได้มีรอยแผลเป็นพวกนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นถึงเจ้าชาย และไมเคิลรู้ดีว่ารอยแผลเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่น่าจะเกิดจากการถูกทรมานเสียมากกว่า แล้วใครกันเล่าจะกล้าดีมาทำร้ายพระองค์ได้ขนาดนี้

ไมเคิลละจากรอยแผลพวกนั้น ก่อนจะมองลงต่ำ ทุกสัดส่วนของพระองค์ล้วนมีแต่มัดกล้าม งดงามราวรูปสลัก และพอดีกับที่พระองค์หันหน้ามาทางไมเคิลพอดี แก่นกายที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็หันมาทักทายไมเคิลด้วย จนไมเคิลหน้าแดง และเกือบจะทำกล้องหลุดมือ พอดีเลนส์ของกล้องไปกระทบแสงแดดจนมีแสงสะท้อน
ไมเคิลตกใจจึงรีบเก็บกล้อง และ นั่งนิ่งสงบลงอีกครั้ง

ไมเคิลแอบหวังว่าองค์เดเมียนจะไม่เห็นเขา แต่พระองค์ก็เอาแต่จ้องมองมาทางเขาอยู่นาน จนกระทั่งมีสองสาวที่เปลือยเปล่าไม่ต่างจากพระองค์เดินออกมาออดอ้อนพระองค์ พระองค์จึงเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง ไมเคิลถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาจะแอบอยู่ตรงนี้สักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย จากนั้นเขาจะต้องรีบออกไปจากในส่วนของวังด้านทิศใต้ให้เร็วที่สุด โดยหวังอย่างยิ่งว่าองค์เดเมียนจะไม่รู้ว่าเขาแอบอยู่ตรงนี้

หลังจากบำเหน็จรางวัลแก่กระต่ายสาวทั้งสองอย่างใจกว้างแล้ว องค์เดเมียนก็ไล่ให้ทั้งสองกลับไป อย่างไม่ใยดีนัก หลังพระองค์แต่งตัวเสร็จ พระองค์ยังติดใจกับแสงที่มาจากต้นไม้นั่น ทรงสั่งให้ทหารของวังตรวจสอบกำแพงโดยรอบพระราชวังอย่างเร่งด่วน โดยที่พระองค์ยังคงจับตามองที่ต้นไม้ต้นนั้นอยู่ตลอดเวลา

ไม่นานก็มีรายงานเข้ามาว่า มีรถยนต์มาจอดเสียอยู่ทางด้านกำแพงทิศใต้ แม้โอกาสจะเป็นไปได้ แต่มันก็ดูจะบังเอิญเกินไป พระองค์ย่อมไม่ประมาท ราชวงศ์กำลังตกเป็นเป้าหมาย พระองค์ไม่มีวันยอมให้ใครกล้าดีมาก่อเหตุในพระราชวังนี้แน่ๆ โดยเฉพาะหากคนร้ายคิดจะแตะต้องนาธานเนียล น้องชายร่วมบิดา อันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันให้อภัยมันผู้นั้นเป็นอันขาด

น้อยคนนักที่จะรู้ แต่หากปราศจากองค์นาธานเนียล ก็คงจะไม่มีเจ้าชายที่ชื่อ เจ้าชายเดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เช่นกัน และด้วยเหตุนี้องค์เดเมี่ยนผู้เย็นชา ผู้ไม่เคยไว้หน้า หรือใส่ใจใคร กลับยอมถวายชีวิตของพระองค์เพื่อน้องชายคนนี้ และพระองค์ก็ทรงรักน้องชายคนนี้มากยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองอีกด้วย

และเมื่อพระองค์คิดว่ามีคนกำลังคิดจะปองร้ายต่อองค์นาธานเนียล พระองค์ก็เริ่มเดือดดานด้วยความโกรธ ดวงตาคมคู่นั้นจ้องมองไปที่ต้นไม้นั้นอย่างใจเย็น รอคอยให้คนร้ายปรากฎตัว ราวกับเสือดำที่หลบซ่อนตัวอย่างดีเยี่ยม จ้องมองเหยื่อตรงหน้าอย่างใจเย็น รอจนเหยื่อตายใจ ก่อนจะตระครุบ และฆ่าเหยื่อ อย่างเลือดเย็น

ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานก็สิ้นสุดลง เมื่อคนร้ายในชุดดำกำลังไต่ลงมาจากต้นไม้ช้าๆ พระองค์คลี่ยิ้มออก รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา รอยยิ้มของนักล่า ที่เย็นชา และเลือดเย็น ไวเท่าความคิดพระองค์ก็ก้าวเข้าไปหาคนร้ายอย่างเงียบเชียบ โดยไม่ให้คนร้ายได้รู้ตัว แม้การฆ่าอาจจะง่ายกว่ามาก แต่การจับเป็นมาทรมาน ก็คงจะทำให้พระองค์รู้สึกดีไม่ใช่น้อย
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 11 มัจจุราชสีดำ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-07-2016 22:58:07
บทที่ 11 มัจจุราชสีดำ

ไมเคิลหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้นานหลายชั่วโมง เมื่อเขาไม่เห็นใคร และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น ไมเคิลจึงค่อยๆ ปีนลงมาจากต้นไม้อย่างระมัดระวัง เขาจะต้องออกไปจากวังให้ได้ก่อนที่จะมีคนมาเห็น เมื่อเท้าแตะพื้นไมเคิลก็พยายามจะเดินกลับไปทางกำแพงที่เขาเดินเข้ามา แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อยู่ๆ องค์เดเมียนก็มายืนขวางทางของไมเคิล

ไมเคิลในตอนนี้แต่งกายด้วยชุดเข้ารูปสีดำ สวมหมวกปิดบังใบหน้า ทำให้องค์เดเมียนจำไมเคิลไม่ได้ ไมเคิลตกใจที่เห็นคนตัวใหญ่มายืนขวางทางอยู่ในระยะประชิด และองค์เดเมียนก็ดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าที่เขาเคยเห็นเสียอีก ต่างกันที่ในครั้งนั้นแม้พระองค์จะดูโกรธเกรี้ยว แต่ก็ยังพอมีความเมตตาเหลืออยู่ แต่ในตอนนี้ ไมเคิลรู้สึกเหมือนถูกสายตานั้น สะกดไว้ ความกลัวเข้าเกาะกิน ดวงตานั้น เป็นดวงตาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ หากจำเป็น

“เจ้าช่างกล้ามากนักนะ ที่บังอาจลักลอบเข้ามา เจ้าคงรนหาที่ตายใช่ไหม”

เจ้าชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา ไมเคิลไม่ตอบอะไร เขากระชับหมวกให้ปิดใบหน้ามากยิ่งขึ้น ไม่ต้องการให้คนตัวใหญ่เห็นใบหน้า เพราะไม่ต้องการให้พระองค์รู้ว่าเป็นเขา
การที่จะหนีได้ อย่างน้อยเขาจะต้องทำให้คนตัวใหญ่ติดตามเขาไปไม่ได้
ไมเคิลตั้งท่าจะสู้ แต่เขาก็รู้ว่าโอกาสที่จะชนะนั้นมีน้อยเหลือเกิน เพราะคนตรงหน้าตั้งใจเต็มที่ ที่จะจับเขาให้ได้ หรือร้ายที่สุดเขาคงโดนจับตายอยู่ตรงนี้ ดวงตาที่เย็นชา และเลือดเย็น จ้องมองมาที่เขา

แม้จะโกรธเกรี้ยวแต่คนตรงหน้ากับไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพระองค์กับนิ่งและระวังตัวมากเป็นพิเศษ ไมเคิลกลับเป็นฝ่ายที่ร้อนรนเสียเอง เขาไม่มีเวลาที่จะเสีย เพราะหากองค์ชายรู้ตัว เหล่าทหารและองครักษ์ ก็คงจะตามมาในไม่ช้า และหากเขาถูกรุมล้อม นั่นก็เป็นการปิดตายทางหนีของเขาไปเลย

ไมเคิลไม่ลังเล เขาจึงรีบเข้าจู่โจม การที่ไมเคิลตัวเล็กกว่ามาก เขาจึงต้องเล็งที่จุดตายเท่านั้นจึงจะล้มคนตรงหน้าได้
ไมเคิลหวังจะชกเข้าที่กกหูของคนตัวใหญ่ แต่พระองค์ก็ปัดหมัดของไมเคิลออกไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อพระองค์ไม่ประมาท ก็เป็นการยากที่จะล้มคนตรงหน้า

ไมเคิลจึงเตะเข้าที่ขาขององค์เดเมียน แต่มันก็ดูไร้ประโยชน์ องค์เดเมียนฉีกยิ้มอย่างเลือดเย็น
และก็เป็นจังหวะที่ไมเคิลรอคอย เขาหวังให้คนตรงหน้าดูถูกเขา และลดความระมัดระวังลง
เสี้ยววินาที ไมเคิลกระโดดสูงหวังที่จะเตะก้านคอของคนตรงหน้า คนตัวใหญ่แม้จะลดการ์ดลงแต่ก็ไม่ได้ประมาท พระองค์จึงหลบการเตะของไมเคิลได้อย่างฉิวเฉียด
ปลายเท้าของไมเคิลเฉียดใบหน้าของพระองค์ไปจนเป็นรอยถลอกแดง

เจ้าชายหนุ่มเอามือลูบหน้า เลือดซึมออกมา พระองค์จึงลิ้มรสเลือดของพระองค์เอง นานเท่าไหร่แล้วที่พระองค์ไม่ได้ลิ้มรสเลือดของพระองค์จากการต่อสู้

“ไม่เลวนี่ แต่ถ้าทำได้แค่นี้ก็เตรียมตัวตายได้แล้ว” องค์เดเมียนกล่าว และก่อนที่ไมเคิลจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หมัดที่หนักหน่วงขององค์เดเมียนก็ต่อยมาที่ท้องของไมเคิล เขารู้สึกจุกขึ้นมา ร่างเล็กก็ค่อยๆ ทรุดตัวลง องค์เดเมียนเดินเข้ามาใกล้ ทุกฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ไมเคิลเหมือนได้ยินเสียงของพญามัจจุราชที่กำลังก้าวเดินเข้ามาปลิดชีวิตของเขา เจ้าชายหนุ่มมองคนตัวเล็กอย่างเย็นชา ก่อนจะเตะเข้าที่ใบหน้าของไมเคิล คนตัวเล็กไม่มีแม้แต่โอกาส ร่างเล็กหมดสติล้มลง พร้อมๆ กับ ทหารวังที่เดินทางมาถึง

องค์เดเมียนเดินเข้ามาใกล้ ใช้เท้าเขี่ยหมวกออกจากใบหน้าของคนร้าย และก็เป็นพระองค์เองที่ตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม แวบหนึ่งพระองค์รู้สึกผิดขึ้นมา แต่หากคนๆ นี้เป็นคนร้ายที่หวังมาทำร้ายน้องชายของพระองค์ พระองค์ก็ปล่อยไปไม่ได้
เด็กหนุ่มคนนี้พยายามหลอกล่อพระองค์ให้ลุ่มหลง และอาจจะมาแว้งกัด และพยายามทำลายราชวงศ์ก็เป็นได้ หรือไม่เด็กหนุ่มก็อาจจะเป็นหนึ่งในแกนนำ ของกลุ่มต้านราชวงศ์ก็เป็นได้ อาจจะดีแล้วที่พระองค์รู้ตัวเสียก่อนและจับตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ได้

หน้าที่ย่อมต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด แต่แม้จะทรงบอกกับพระองค์เองแบบนั้น แต่หน้าอกของพระองค์กลับรู้สึกเจ็บขึ้นมา อย่างไร้สาเหตุ แต่พระองค์ก็รีบไล่ความรู้สึก ไร้สาระออกไป

“เอาตัวไปขังไว้ เราจะเป็นคนสอบสวนด้วยตัวเอง ห้ามใครแตะต้อง” ทรงสั่งทหารของวัง


องค์เดเมียนเดินกลับเข้าไปในวิลล่า ทั้งๆ ที่ พระองค์ควรจะดีใจที่จับคนร้ายได้ แต่บางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง พระองค์กลับรู้สึกเจ็บปวด
และไม่เข้าใจทำไมลูกแมวของพระองค์ จึงต้องเป็นคนร้ายด้วย

พระองค์หยิบกระเป๋าสะพายของเด็กหนุ่มออกมาดู กล้องถ่ายรูปราคาแพงอยู่ข้างใน รูปถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ มีแต่สถานที่ ที่นาธานเนียลควรจะไป แต่เพื่อความปลอดภัย พระองค์ หรือราฟาเอลจึงไปแทน รูปถ่ายมีทั้งรูปของพระองค์และรูปของราฟาเอล เต็มไปหมด พระองค์ เลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ ก็พบว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อพบว่ารูปบางส่วนถูกถ่ายที่บ้านพักตากอากาศของราฟาเอลบนเขา พระองค์รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอีกครั้ง ทั้งๆ ที่พระองค์เอาแต่คิดถึง และปรารถนาคนตัวเล็ก แต่คนตัวเล็กกลับไปหลงระเริง ออดอ้อน อยู่กับ ราฟาเอล

ยิ่งเห็นรูปของคนตัวเล็กที่ถูกถ่ายก็ทรงรู้ว่าใครเป็นคนถ่าย และรูปที่ถูกซูมเข้าใกล้เรื่อยๆ จนมารูปสุดท้าย ที่คนตัวเล็กมีสีหน้าเย้ายวนอย่างนั้น พระองค์ก็ยิ่งโกรธมากขึ้น กล้องราคาแพงถูกโยนทิ้งกระแทกพื้นจนแตกหัก

พระองค์โกรธ ราฟาเอล ที่บังอาจมายุ่งกับของที่พระองค์หมายตา น้องชายต่างมารดาที่พระองค์ไม่ค่อยถูกชะตานัก ทั้งๆ ที่มารดาของราฟาเอลเป็นเพียงหญิงธรรมดา ที่โชคดีจนได้แต่งตั้งเป็นสนม ทั้งๆ ที่ราฟาเอลมีเลือดของกษัตริย์เพียงครึ่งเดียว แต่ราฟาเอลกลับได้ทุกอย่างไปเสมอ ทั้งตำแหน่ง ฐานะขององค์รัชทายาท ความไว้วางใจจากนาธานเนียล และยังมีผู้คนสนับสนุนราฟาเอลจำนวนมาก รวมไปถึงเหล่าประชาชนหน้าโง่ ที่ยังรักใคร่ราฟาเอลกันเหลือเกิน

แล้วพระองค์ล่ะ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นเจ้าชายองค์โต พระมารดาของพระองค์ก็เป็นถึงเจ้าหญิง ทั้งๆ ที่พระองค์ควรจะเป็นกษัตริย์แท้ๆ แต่พระองค์กลับไม่มีอะไรเลย นอกจากฐานะเจ้าชายจอมปลอมนี้ และคำตราหน้าว่าเป็นเจ้าชายต้องสาป เจ้าชายที่ไม่มีวันได้เป็นกษัตริย์ ต่อให้ราชวงศ์สูญสิ้น พระองค์ก็ไม่มีสิทธิ์จะนั่งบังลังก์ เป็นที่นินทาของผู้คน

แต่พระองค์ก็ไม่เคยสนใจ กับบังลังก์ ราชสมบัติ สิ่งเหล่านั้นล้วนเล็กน้อยสำหรับพระองค์ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ ต่างออกไป เด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนเหยื่อที่พระองค์หมายตา เป็นดั่งรางวัลของการล่า พระองค์ไม่มีวันยอมเสียไปให้ ราฟาเอลอีก ไม่ว่าพระองค์จะต้องการ เด็กหนุ่มคนนี้หรือไม่ แต่ราฟาเอลจะไม่มีวันได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปครอบครองอย่างเด็ดขาด

พระองค์จะครอบครองเด็กหนุ่มคนนี้ พระองค์จะเป็นเจ้าชีวิต และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็กหนุ่ม และเมื่อไหร่ที่พระองค์เบื่อ พระองค์ก็จะทำลายเด็กหนุ่มคนนี้เสีย

และคนที่บังอาจมาปั่นหัว ยั่วยวนพระองค์อย่างเด็กหนุ่มคนนี้ ก็สมควรที่จะถูกลงโทษแล้วไม่ใช่หรือ และยังไม่ได้รวมกับความผิดที่หวังจะทำร้ายนาธานเนียลอีก ยิ่งคิดพระองค์ก็ยิ่งบันดานโทสะ

พระองค์เทของที่อยู่ในกระเป๋าของเด็กหนุ่มออกมา อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ในการถ่ายภาพ แต่พระองค์ก็เจอของที่พระองค์ต้องการ พาสปอร์ตเล่มสีน้ำเงินตกลงมา ระบุ United States of America พระองค์เปิดออกดู

“ไมเคิล มิลลส์ อย่างนั้นเหรอ”

เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการ พระองค์ก็โยนพาสปอร์ตเข้าไปในกองไฟ
เมื่อคิดจะทรยศหักหลัง กับพระองค์ ก็ควรจะเตรียมใจไว้
และเมื่อคิดจะลองดีกับพระองค์ ก็ควรควรจะเตรียมใจทิ้งชีวิตเอาไว้ด้วย
พระองค์ไม่เคยรู้สึกโกรธมากขนาดนี้มานานมากแล้ว และอารมณ์โกรธนี้พระองค์ก็ต้องการหาที่ลง และบังเอิญว่าที่ตรงนี้ก็มีเครื่องระบายอารมณ์ที่น่าสนใจอยู่ด้วย
เจ้าชายหนุ่มเดินไปยังสถานที่คุมขังนักโทษช้าๆ ความโกรธ ความผิดหวัง ความดำมืดค่อยๆ ครอบงำพระองค์ ในทุกย่างก้าว ที่ก้าวเดินไป

ไมเคิลค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นช้า หลังจากถูกสาดด้วยน้ำเย็น ความรู้สึกเจ็บที่หน้า และท้อง ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา มือและเท้าของเขาถูมัดเอาไว้กับเก้าอี้ ไมเคิลหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ และทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เขาลักลอบเข้ามาในวัง แต่ก็ถูกองค์เดเมียนจับตัวได้ ไมเคิลไม่เคยตกต่ำถึงขั้นนี้มาก่อนเลยในชีวิต

ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ พญามัจจุราช กำลังนั่งรอเขาอยู่ตรงหน้า เขากำลังจะถูกพิพากษาโดยพญามัจจุราชตรงหน้าคนนี้สินะ หากเขาเป็นอะไรไป โทนี่คงจะต้องร้องไห้มากมายอย่างแน่นอน ไมเคิลรู้สึกผิดต่อน้องชาย ครอบครัวคนเดียวที่เขามี คนๆ เดียวที่เขารักมากยิ่งกว่าสิ่งใด

ไมเคิลเพียงหวังว่า ความตายจะมาอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว อย่างน้อย เขาก็รู้ว่าพ่อกับแม่ก็กำลังรอคอยเขาอยู่ แม้จะรู้สึกผิดต่อโทนี่ แต่อย่างน้อยการได้พบกับ พ่อและแม่อีกครั้งก็ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก

ไมเคิลรู้ว่าการลักลอบเข้าวัง จะมีโทษหนัก และยิ่งรู้ว่า เจ้าชายเดเมียนผู้ขึ้นชื่อในความโหดร้ายคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ๆ เพราะฉะนั้นไมเคิลตัดสินใจที่จะไม่ร้องขอ เพราะ เจ้าชายต้องสาปคนนี้ ไร้ซึ่งหัวใจ และคงไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

เมื่อตัดสินใจดังนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง มัจจุราชสีดำตรงหน้า และหวังว่า เขาจะได้รับความตายอย่างรวดเร็ว จากมัจจุราชคนนี้
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 12 การสอบสวน
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-07-2016 23:00:46
บทที่ 12 การสอบสวน

องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาในห้องสอบสวน ร่างเล็กถูกพันธนาการอยู่กับเก้าอี้ ใบหน้าข้างซ้ายเขียวช้ำ คนตัวเล็กยังคงหมดสติอยู่ เมื่อทรงเห็น หัวใจของพระองค์ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พระองค์อยากจะแก้มัดให้ อยากจะดูแล ทะนุถนอม ความโกรธของพระองค์ลดลง ไปหลายส่วน แต่คนตรงหน้าเป็นนักโทษ และพระองค์ก็ต้องการข้อมูลของคนตรงหน้า แม้อยากจะอ่อนโยน พระองค์ก็ทำไม่ได้ ด้วยหน้าที่จำเป็นต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด

พระองค์ เทน้ำใส่ในแก้ว ก่อนสาดใส่หน้าของคนตัวเล็กตรงหน้า เพื่อเรียกสติของคนตรงหน้า ร่างเล็กค่อยๆ ได้สติ และลืมตาขึ้นช้า พระองค์นั่งอยู่เบื้องหน้า และมองคนตัวเล็กอย่างใจเย็น
ร่างเล็กดูสับสนเล็กน้อย แต่เพียงไม่นาน ก็มองมาที่พระองค์

โดยปกติแล้ว คนทั่วไป เมื่อตกอยู่ในสภาพนี้ ต่างก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดา หากไม่ลนลานหาทางหนี ก็จะรีบร้องขอความเมตตาจากพระองค์ แต่คนๆ นี้กลับนิ่งเฉย และสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาสีฟ้า จ้องมองมาที่พระองค์อย่างรอคอย ดูแล้วไม่ใช่สายตาของคนสิ้นหวังจนเสียสติ แต่กลับเป็นสายตาของการตัดสินใจที่แน่วแน่ และยอมรับในโชคชะตา

“เจ้าเป็นใคร และต้องการอะไร” ทรงถาม
“ผมชื่อ ไมเคิล ผมมาจากอเมริกา ผมเป็นช่างภาพ” ไมเคิลตอบตามตรง
“เจ้าต้องการอะไรในวังนี้ เจ้ากล้าดียังไงจึงบุกเข้ามา” ทรงถาม
“ผมแค่ต้องการภ่ายภาพของกษัตริย์นาธานเนียล” ไมเคิลตอบ
“โกหก!!! หากแค่รูปถ่าย ทำไมเจ้าถึงได้กล้าดีบุกเข้ามาในวัง” ทรงถามเสียงดัง
“ผมพูดความจริง ผมแค่ต้องการภาพถ่ายเท่านั้น” ไมเคิลตอบสายตายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าคิดเหรอว่า เราจะเชื่อคำพูดของเจ้า ยอมรับมาซะว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร” ทรงเดินเข้ามาใกล้ และถามเสียงดัง

"ผมไม่ได้เป็นสายให้ใคร ผมเพียงต้องการรูปถ่ายเท่านั้น” ไมเคิลตอบเสียงเรียบ
องค์เดเมียนง้างมือขึ้น และตบหน้าไมเคิลอย่างแรง รอยมือสีแดงปรากฏที่หน้าของคนตัวเล็ก
หน้าของไมเคิลหันไปตามแรงขององค์เดเมียน

“บอกความจริงมาซะ ไม่งั้นเจ้าจะเจ็บตัวมากกว่านี้” องค์เดเมียนตะโกนเสียงดังใส่หน้าของคนตัวเล็ก แต่คนตรงหน้ากลับก้มหน้านิ่ง ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าเกรงกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พระองค์กลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดเสียเอง

พระองค์สามารถทำร้ายคนตรงหน้าได้มากกว่านี้ หากกระดูกกรามหักจากหมัดของพระองค์ก็จะทำให้ทรมานมาก แต่พระองค์เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น แต่หากร่างเล็กไม่ให้ความร่วมมือ พระองค์ก็จะไม่มีทางเลือกอีก

"ต่อให้พระองค์ทำมากกว่านี้ ผมก็ไมมีอะไรจะบอกอีก ผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่งเท่านั้น” ไมเคิลตอบ
“อย่ามาโกหก บอกมาว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร!!”
“ผมไม่ใช่สายลับ ผมเป็นแค่ช่างภาพเท่านั้น” ไมเคิลบอกอีกครั้ง สายตาที่แน่วแน่ ไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวดนั้นทำให้องค์เดเมียนไม่พอใจนัก พระองค์ตบหน้าของไมเคิลอีกครั้ง จนปากของไมเคิลมีเลือดไหลออกมา แต่คนร่างเล็ก ก็ไม่มีเสียงร้องออกมา ไม่มีการร้องขอความเมตตา มีเพียงสายตาที่แน่วแน่ และมองตรงกลับมาหาพระองค์เท่านั้น

“ผมไม่มีอะไรจะบอกพระองค์ ผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่ง ต่อให้พระองค์ทรมานผมมากแค่ไหน ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ต่อให้พระองค์ฆ่าผม ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูด” ไมเคิลพูดออกมาอย่างยากลำบาก

"เราจะได้เห็นกัน เราไม่อยากจะทำร้ายเจ้าแต่เจ้าก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้กับเรา ในเมื่อเราให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้าปฏิเสธก็อย่ามาโทษเราก็แล้วกัน"

องค์เดเมียนกล่าวด้วยเสียงเย็นชา พระองค์สั่งให้ทหารจับไมเคิลยืนขึ้น และมัดแขนทั้งสองข้างแยกออกจากกัน

“เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมาว่าเจ้าเป็นสายให้กับใคร บอกความจริงมาซะ” องค์เดเมียนถามย้ำ ทรงภาวนาในใจ ขอให้ร่างเล็กบอกความจริงกับพระองค์

“ผมบอกกับพระองค์ไปแล้ว ว่าผมเป็นแค่ ช่างภาพธรรมดาคนหนึ่ง ผมเพียงต้องการถ่ายภาพขององค์นาธานเนียลเท่านั้น ผมไม่ได้เป็นสายลับ แต่พระองค์ก็ยังไม่เชื่อผมอยู่ดี และไม่ว่าอย่างไร พระองค์ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี เพราะฉะนั้น พระองค์อยากจะทำอะไรก็เชิญเถอะครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
ไมเคิลกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย และยอมรับในชะตากรรม ไมเคิลหลับตาลง รอคอยการลงทัณฑ์ ในอาญชากรรมที่เขาไม่ได้ก่อ

องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และไม่เข้าใจ ไม่มีแม้แต่คำร้องขอความเมตตาจากพระองค์ เจ้าชายหยิบแส้ออกมา ก่อนจะสะบัดแส้ใส่หลัง ของคนตัวเล็กอย่างไร้ความปราณี

แส้หนังฟาดใส่หลังของคนตัวเล็กอย่างแรง จนเสื้อขาด และเลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผล คนตัวเล็กกัดฟันแน่น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา แม้กระนั้นร่างเล็กกลับไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าอย่างใจหาย แต่เสียงแส้กระทบหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง และ อีกครั้ง

ทุกครั้งที่แส้หนังฟาดใส่หลังของคนตรงหน้า องค์เดเมียนเองกลับเป็นคนที่รู้สึกเจ็บปวด หลังของคนตรงหน้ามีแต่รอยแผลที่แตกยับ น้ำตาที่ไหลริน แต่ร่างเล็กกลับกัดฟันแน่น จนริมฝีปากมีเลือดไหลออกมา แต่กระนั้นร่างเล็กก็ไม่ร้องขอ ไม่อ้อนวอน ไม่ครวญครางด้วยความเจ็บปวด อย่างที่ควรกระทำ พระองค์ไม่อาจทนทรมานคนตรงหน้าได้อีก แส้หนังฟาดลงบนร่างของคนตัวเล็ก เป็นครั้งที่ สิบ แรงฟาดแรงจนร่างเล็กสะท้านด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหมดสติไป

ทันทีที่ร่างเล็กหมดสติ องค์เดเมี่ยนก็ทิ้งแส้และเดินเข้าไปหาอย่างไม่อาจยับยั้ง พระองค์ประคองร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะใช้มีดตัดเชือกที่พันธนาการร่างเล็กออก ไม่เข้าใจในการกระทำของพระองค์ รู้เพียงแค่พระองค์ไม่อาจเห็นร่างเล็กเจ็บปวดได้อีกต่อไป

พระองค์โอบอุ้มร่างเล็กออกไปจากที่คุมขัง ท่ามกลางสายตาที่ไม่เข้าใจของเหล่าทหาร ทั้งๆ ที่ปกติเจ้าชายเดเมี่ยนผู้ไร้ความปราณี ไม่เคยอ่อนข้อให้กับใคร พระองค์เป็นดั่งผู้รักษากฎเหล็ก เป็นดั่งพญามัจจุราชสีดำ ผู้ไม่เคยลังเลที่จะมอบความตายแก่เหล่านักโทษคนไหน โดยเฉพาะนักโทษที่บังอาจมาคิดร้ายต่อกษัตริย์นาธานเนียล แต่พระองค์กลับโอบอุ้มนักโทษคนนี้ออกไป ด้วยใบหน้าที่แสดงความห่วงใย จนเหล่าทหารต่างพากันแปลกใจในการกระทำยิ่งนัก

องค์เดเมียนพาไมเคิลกลับไปที่วิลล่า เหล่านางกำนัลต่างพากันตกใจ ที่องค์เดเมียนพานักโทษเข้ามาที่วิลล่า แถมองค์เดเมี่ยนยังดูเป็นห่วงเป็นใยมากอีกด้วย

“ให้คนไปตามหมอพอลมา” ทรงสั่งเรียบๆ ก่อนจะพาคนตัวเล็กไปยังหัองนอนแขกในวิลล่าหลัก

เป็นที่รู้กันว่าองค์เดเมี่ยน ผู้เย็นชา ไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยเห็นใครอยูในสายตา และไม่เคยแสดงความห่วงใยต่อใคร นอกจากองค์นาธานเนียลพระองค์เดียว คนที่จะมาที่วิลล่าหลักของพระองค์ได้คือเหล่าสาวสวย และเด็กหนุ่มหน้าหวาน หรือ รางวัลจากการล่าของพระองค์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมาและไป สลับหน้าไปเรื่อย เพื่อตอบสนองความปรารถนาขององค์เดเมียนเท่านั้น บุคคลที่มาล้วนแต่มาเพื่อเป็นของเล่นบนเตียงขององค์เดเมียน

แต่ในวันนี้องค์เดเมี่ยนกลับพาเด็กหนุ่มที่หลับไหลไม่ได้สติเข้ามาในวิลล่า แม้เด็กหนุ่มจะหน้าตางดงาม แต่บาดแผลฉกรรจ์ที่หลังก็ดูสาหัสมิใช่น้อย ดูยังไงก็คงไม่น่าจะใช่รางวัลจากการล่า เพื่อตอบสนองความปรารถนาของพระองค์

องค์เดเมี่ยนวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือ เลือดจากบาดแผลไหลจนเปื้อนผ้าปู องค์เดเมียนพลิกร่างเล็กให้นอนคว่ำเพื่อจะได้รักษาบาดแผล พระองค์ฉีกเสื้อที่ขาดของร่างเล็กออก

“เอาผ้ากับน้ำอุ่นมา” พระองค์สั่งนางกำนัล เมื่อได้รับผ้าชุบน้ำอุ่นมาพระองค์ก็ค่อยๆ เช็ดซับเลือดออกจากหลังของร่างเล็กด้วยพระองค์เอง ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน

ร่างเล็กสะท้านเมื่อพระองค์สัมผัสโดนแผล
“พระองค์...ต้องการอะไร...จากผม” ร่างเล็กเอ่ยเสียงเบา พยายามข่มความเจ็บปวด แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ
“นอนเฉยๆ เราจะให้หมอมาดูเจ้า” องค์เดเมียนกล่าวเสียงเรียบ
“ทำไม? ในเมื่อพระองค์เป็นคนที่ทำกับผมแบบนี้ แล้วพระองค์จะมารักษาผมทำไม” ไมเคิลถามอย่างไม่เข้าใจ
“เงียบซะ อย่าทำให้เราเปลี่ยนใจ” องค์เดเมี่ยนเองก็ไม่เข้าใจในการกระทำของพระองค์นัก
“ถ้าพระองค์คิดจะฆ่าผม ทำไมพระองค์ไม่ลงมือเสียล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องมารักษาผม ผมเตรียมใจไว้แล้ว” ไมเคิลร้องขอความตาย

“เราบอกให้เงียบซะ!” ทรงสั่งอีกครั้ง พร้อมกับกดที่แผลอย่างแรง จนร่างเล็กเจ็บสะท้าน
“หากเจ้าตาย มันจะมีความหมายอะไร เราต้องการข้อมูลจากเจ้า” พระองค์ได้ยิน พระองค์พูดแบบนั้น แม้ว่าในตอนนี้ข้อมูลนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว
“ผมไม่มีอะไรจะสารภาพ ผมบอกพระองค์ไปแล้วว่าผมเป็นแค่ช่างภาพคนหนึ่ง” ไมเคิลกล่าว
“เรื่องนั้น เราจะเป็นคนตัดสินเอง ในตอนนี้เจ้าคือนักโทษของเรา ไม่ว่าเจ้าจะชอบใจหรือไม่ เจ้าก็ต้องยอมรับ” พระองค์กล่าวเสียงดัง

หมอพอลเดินเข้ามาในห้องเมื่อเห็นคนตัวเล็กที่หลังแตกยับไปด้วยรอยแส้ หมอพอลก็รู้สึกไม่พอใจนักที่เจ้าชายองค์โตกลับโหดร้ายกับคนที่ไม่มีทางสู้แบบนี้ หมอพอลจึงเดินเข้ามาทักทายองค์เดเมียน

“ฝ่าบาท พระองค์ต้องการให้กระหม่อมทำอะไร หากพระองค์ต้องการให้กระหม่อมทรมาน หรือ จบชีวิตของคนไข้ กระหม่อมคิดว่าพระองค์คงน่าจะทำได้ดีกว่ากระหม่อม” หมอพอลกล่าวประชด
“หมอพอล เจ้าควรจะรู้จักที่ของตัวเองบ้าง อย่าคิดว่านาธานเนียลโปรดเจ้า แล้วเราจะทำอะไรเจ้าไม่ได้นะ” องค์เดเมียนตรัส
“กระหม่อมย่อมรู้ฐานะของกระหม่อมดี และแม้จะไม่น่าเชื่อนัก แต่หากพระองค์ต้องการให้กระหม่อมรักษาเด็กคนนี้ พระองค์ก็ได้โปรดถอยออกมาด้วยขอรับ” หมอพอลกล่าว แม้จะขัดใจ แต่องค์เดเมียนก็จำยอมลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง พระองค์รู้ดีว่าหมอพอลไม่ค่อยชอบพระองค์ พระองค์เองก็ไม่ได้โปรดหมอปากกรรไกรคนนี้เท่าไหร่นัก เพียงแต่หมอพอล คือหมอที่ดีที่สุดของคานาเดีย และพระองค์ก็ต้องการให้ร่างเล็กได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเท่านั้น

พระองค์เดินออกมาจากห้องด้วยความขัดใจ แต่เมื่อพระองค์ออกมา พระองค์ก็พบกับคนที่พระองค์ไม่อยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง ที่กำลังเดินอย่างอุกอาจเข้ามาในวิลล่าของพระองค์

ทรงแอบสบถในใจ ...นี่มันวันโลกาวินาศอะไร ทำไมมีแต่พวกแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในวิลล่า
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 13 ศึกสองพี่น้อง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 24-07-2016 10:18:33
บทที่ 13 ศึกสองพี่น้อง

“เสด็จพี่เอาไมเคิลไปไว้ที่ไหน” องค์ราฟาเอล ถามขึ้นอย่างอารมณ์เสีย

หลังจากที่พระองค์กลับมาที่วัง พระองค์ก็เอาแต่ทรงงาน แต่แล้วพระองค์ก็มาทราบทีหลังว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาในวัง ในตอนแรกพระองค์ก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคนร้ายบุกรุกเข้ามาในส่วนของวิลล่าทิศใต้
คงมีแต่คนร้ายที่คิดสั้นเท่านั้นถึงได้กล้าบุกเข้าไปในทางทิศนั้น ที่เป็นวิลล่าขององค์เดเมียน แต่พอทรงรู้ว่าคนร้าย ชื่อ ไมเคิล มิลลส์ พระองค์ก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยได้อีกต่อไป พระองค์จึงรีบมาที่วิลล่าทิศใต้ ที่ๆ พระองค์แทบไม่เคยย่างกรายเข้ามา

“ไมเคิล ไม่ใช่คนร้าย ผมยืนยันได้ ผมมารับตัวเขา เสด็จพี่เอาไมเคิลไปไว้ที่ไหน” องค์ราฟาเอลถามอย่างร้อนใจ
“หนวกหู เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร คิดจะมาสั่งเรา” องค์เดเมียนกล่าว
“ผมรู้ว่าเสด็จพี่พาไมเคิลมาที่นี่ พระองค์เอาเขาไปไว้ที่ไหน”องค์ราฟาเอลรู้สึกโกรธ แต่ก็พยายามระงับความโกรธไว้
“คนๆ นั้นเป็นนักโทษของเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์” องค์เดเมียนตอบ
“ไมเคิลเป็นคนรู้จักของผม ผมมารับเขากลับ” องค์ราฟาเอลประท้วง
“คนรู้จักของเจ้าบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตวิลล่าของเรา และตอนนี้เขาก็เป็นนักโทษของเรา เจ้าไม่มีสิทธิ์” องค์เดเมียนตอบ
“พระองค์ส่งคนไปตามหมอ พระองค์ทำอะไร ไมเคิล” องค์ราฟาเอลถามอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องนั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า กลับไปซะ” องค์เดเมียนไล่

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังเถียงกันอยู่ หมอพอลก็เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง เมื่อองค์ราฟาเอลเห็น พระองค์จึงเดินตรงไปที่ห้องที่หมอเดินออกมา โดยมีองค์เดเมียนเดินตามไปติดๆ

องค์ราฟาเอลเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นไมเคิลถูกผ้าพันแผลพันรอบหลัง เลือดยังคงซึมออกมา ใบหน้าของคนตัวเล็กเขียว และบวมช้ำ นอนหมดสติอยู่บนเตียง องค์เดเมียนที่เดินตามมาจึงเข้าขวางไม่ยอมให้องค์ราฟาเอลเข้าใกล้คนตัวเล็กมากไปกว่านี้

"กลับไปซะ ราฟาเอล” องค์เดเมียนเตือน แต่องค์ราฟาเอลกลับโกรธกับการกระทำของผู้ที่เกิดก่อน พระองค์ต่อยหน้าองค์เดเมียนอย่างเต็มแรง จนพระองค์เซไปหลายก้าว องค์เดเมียนตั้งสติได้ก็ต่อยสวนกลับไปที่องค์ราฟาเอลบ้างก่อนที่ทั้งคู่จะแลกหมัดกันอยู่หลายนาที

“หยุดเดี๋ยวนี้!!!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้น และทั้งสองก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสองพระองค์ถึงได้ทำตัวไม่สมกับฐานะแบบนี้!” องค์นาธานเนียลตวาดใส่
เจ้าชายทั้งสองพระองค์จึงแยกออกจากกัน และลุกขึ้น
“คนที่ออกหมัดก่อนไม่ใช่เรา” องค์เดเมียนกล่าว
“แต่พระองค์มาลงกับคนที่ไม่มีทางสู้อย่างไมเคิล” องค์ราฟาเอลเถียง
“พอได้แล้ว ทั้งสองคน เกิดอะไรขึ้น” องค์นาธานเนียลถาม

“เด็กคนนี้บุกเข้ามาในวัง ในอาณาเขตของวิลล่าของเรา เราจับตัวได้ เราจึงสอบสวนก็เท่านั้น” องค์เดเมียนกล่าว กลับเป็นองค์นาธานเนียลที่แปลกใจ หากเป็นนักโทษจริงดังว่า แล้วทำไมเด็กหนุ่มจึงถูกพามารักษาตัวในวิลล่าแบบนี้
“ไมเคิลเป็นคนรู้จักของผม เขาไม่ใช่คนร้าย ผมเป็นพยานได้” องค์ราฟาเอลกล่าว
“เจ้าจะรู้อะไร ในเมื่อเจ้าหลงใหลในตัวเด็กนั่น ถึงขนาดพาไปที่บ้านตากอากาศบนเขาของเจ้า” องค์เดเมียนกล่าว องค์ราฟาเอลตกใจที่องค์เดเมียนรู้ จึงไม่กล่าวอะไรอีก
“เราแค่ต้องการจะแน่ใจว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่สายลับจริงๆ ก็เท่านั้น และในเมื่อเขาบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของวิลล่าของเรา ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์ในการสอบสวน” องค์เดเมียนทิ้งท้าย

องค์นาธานเนียลรับฟัง และรับสั่งต่อองค์ราฟาเอล
“ราฟาเอล เจ้ากลับไปวิลล่าก่อน”
“เสด็จพี่ นี่ไมเคิลพึ่งถูกจับตัวได้ เขายังโดนทรมานขนาดนี้ ผมเกรงว่า...” องค์ราฟาเอลเกรงกลัวว่าองค์เดเมียนจะลงมือหนักจนไมเคิลอาจจะเสียชีวิตได้ ด้วยความที่พระองค์ไม่เคยไว้หน้าใคร และ ไม่เคยปราณีใครมาก่อน
“พี่รับรองว่าไมเคิลจะไม่เป็นไร” องค์นาธานเนียลรับปาก องค์ราฟาเอลจึงกล่าวลาไปทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจนัก

“ผมต้องการคำอธิบายครับ” องค์นาธานเนียลเอ่ยขึ้นเมื่อราฟาเอลจากไป
“ก็ไม่มีอะไร พี่ก็แค่เจอเด็กคนนี้ในงานเลี้ยงหลายครั้ง และพี่ก็ถูกใจ ก็เท่านั้น”
“ดูเหมือนราฟาเอลเองก็ถูกใจในตัวเด็กคนนี้ไม่น้อยนะครับ” องค์นาธานเนียลเอ่ย
“ราฟาเอลได้ทุกอย่างไป ทั้งตำแหน่ง ฐานะ และอื่นๆ พี่ไม่ได้สนใจ แต่ของบางอย่างที่พี่อยากได้ พี่ก็ไม่คิดจะยอมยกให้ใครง่ายๆ เช่นกัน” องเดเมียนกล่าว ด้วยน้ำเสียงเกือบจะเย็นชา
“ผมแค่ไม่ต้องการให้คนๆ เดียวมาเป็นชนวนให้เกิดการแตกแยก ยังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน”
“อย่างนั้นเจ้าก็จงไปบอกกับราฟาเอลเถิด เจ้าก็รู้ว่าพี่ทำทุกอย่างเท่าที่ เจ้าชายจอมปลอมอย่างพี่จะทำได้เพื่อประเทศนี้ พี่ไม่เคยเรียกร้องอะไร ชีวิตของพี่ ก็ให้แก่เจ้าได้ เจ้าก็รู้ดี แต่หากเรื่องเพียงแค่เด็กคนนี้คนเดียวจะทำให้เกิดปัญหา พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” องค์เดเมียนพูดอย่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“เสด็จพี่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ถึงอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นเจ้าชายที่เพียบพร้อม และเป็นพี่ของผมเสมอ แต่อย่างน้อยผมอยากจะขอร้อง อย่าทำร้ายเด็กคนนีัมากไปกว่านี้”
องค์นาธานเนียลกล่าว
“พี่สัญญา” องเดเมียนกล่าวรับปาก องค์นาธานเนียล จึงกลับไป


เมื่อแขกทั้งหลายต่างพากันออกไปจากวิลล่าแล้ว องค์เดเมียนจึงเดินเข้าไปในห้องนอนแขกอีกครั้ง หมอพอลทิ้งโน้ตเอาไว้ ชี้แจงตัวยาที่ต้องให้แก่คนไข้ และแจงว่าจะกลับมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ในวันรุ่งขึ้น 

พระองค์มองคนตัวเล็กตรงหน้า อย่างไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เจ็บขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ร้องขอให้พระองค์หยุด ทั้งๆ ที่อ่อนแอเพียงนี้ ทำไมยังกล้าดีกับพระองค์นัก หรือเพราะร่างเล็กถือตัวว่าเป็นคนโปรดของราฟาเอล จนไม่เห็นพระองค์ในสายตา
น่าแปลก ที่พระองค์กลับรู้สึกห่วงใยคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ทรงไล้ใบหน้าของคนตัวเล็ก ก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ

อีกครั้งที่พระองค์แปลกใจกับการกระทำของพระองค์เอง พระองค์ไม่ใช่คนอ่อนโยน พระองค์ไม่เคยทำแบบนี้กับใคร แต่บางสิ่งบางอย่างของคนตรงหน้ากลับทำให้พระองค์หวั่นไหว
เมื่อเห็นคนตัวเล็กใกล้ๆ ความปรารถนาก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีก แต่พระองค์ย่อมไม่อาจครอบครองคนตรงหน้า อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ อย่างน้อยพระองค์ก็จะรอจนกว่าบาดแผลของคนตรงหน้าจะดีขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น พระองค์จะครอบครองคนๆ นี้ ให้สมกับที่ทำให้พระองค์ต้องรอคอยมาเนิ่นนาน

พระองค์ก้าวออกมาจากในห้อง สั่งกำชับให้นางกำนัลดูแลคนตัวเล็กอย่างดี แล้วพระองค์ก็เดินเข้าไปในวิลล่าเล็ก ทันทีที่พระองค์เดินเข้าไป บรรดาหนุ่มหน้าหวานก็เข้ามาออดอ้อนพระองค์ เด็กหนุ่มเหล่านี้คือสนมของพระองค์
ในตอนนี้ พระองค์มีสนมชายอยู่ 8 คน และ สนมหญิงอีก 10 คน โดยทั้งสองฝ่ายถูกแยกให้อยู่ในวิลล่าเล็กคนละฝั่ง ภายในวิลล่าเล็กนี้ มีลักษณะคล้ายวงกลม ภายในมีห้องนอนหลายต่อหลายห้อง โดยทุกห้องหันหน้าเข้าสู่สวนสวยขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง

เด็กหนุ่มทั้ง 8 ล้วนงดงามราวตุ๊กตา แตกต่าง หลากหลาย และล้วนแต่เป็นที่พึงพอใจขององค์เดเมียน ทุกคนล้วนอยากสนองต่อความปรารถนาของพระองค์

"ฝ่าบาท พระองค์อยากจะเลือกใครดีครับ” ริชชี่เอ่ยถาม ริชชี่เป็นหนุ่มลูกครึ่งเอเชีย ผมดำแต่ตาสีฟ้า และนับว่าเป็นคนโปรดคนหนึ่งขององค์เดเมียน
“ผมคิดถึงพระองค์” เรียวพูดขึ้น หน้าแดงนิดๆ เรียวเป็นคนญี่ปุ่น เดินทางมาเที่ยวที่คานาเดีย และก็ไม่ได้กลับไปอีก ปกติเรียวจะเงียบๆ และ ขี้อาย แต่ในวันนี้ เด็กหนุ่มกับพยายามเสนอตัว
“ผมก็ปรารถนาพระองค์เช่นกัน” มาร์คัส กล่าวพร้อมกับค่อยๆ เปลื้องผ้าออกและเดินเข้าไปหาองค์เดเมียน เด็กหนุ่มชาวอิตาเลียนคนนี้ไม่เคยอาย ที่จะแสดงความปรารถนาต่อพระองค์

องค์เดเมียนโอบอุ้มมาร์คัส และพาเดินไปยังห้องนอนใหญ่ มาร์คัสออดอ้อนและและจุมพิตองค์ชายอย่างดูดดื่ม แต่องค์เดเมี่ยนก็ถอนริมฝีปาก ก่อนจะหันมาตรัส

“ริชชี่ เรียว เจ้าสองคนตามมาด้วย”

พระองค์วางมาคัสลงบนเตียงใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองคุกเข่าต่อหน้าเจ้าชาย ก่อนปลุกเร้าพระองค์ด้วยปาก พระองค์ครางหนักๆ ด้วยความปรารถนา ทรงถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะทรงครอบครองมาร์คัส ที่กำลังเฝ้ารอพระองค์อย่างใจจดจ่อ
พระองค์ฝังร่างของพระองค์อย่างแรง จนมาร์คัสร้องครางด้วยความเสียวซ่าน ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ฝากฝังอยู่ภายใน ก่อนพระองค์จะเริ่มขยับช้าๆ

ริชชี่ ขยับเข้ามาใกล้กับมาคัส ที่กำลังครวญครางอยู่ใต้ร่างของพระองค์ ริชชี่มองพระองค์ราวกับขออนุญาต พระองค์พยักหน้า มาร์คัสก็ปลุกเร้าริชชี่ด้วยปากลิ้น จนริชชี่ร้องครางเบาๆ ออกมา เรียวที่ยังเขินอายกับกิจกรรมบนเตียงในลักษณะนี้ เขานั่งมองพระองค์อยู่เงียบ องค์เดเมียนจึงเรียกให้เข้ามาใกล้ พระองค์จุมพิตคนขี้อายก่อนที่จะใช้มือมือใหญ่สัมผัสปลุกเร้า เพียงไม่นาน คนขี้อายก็ตื่นตัว พระองค์สอดใส่นิ้วของพระองค์เข้าไปสำรวจช้าๆ เรียวที่ห่างหายไปนานจึงสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะเริ่มครางออกมาอย่างไม่อาจกั้น เพียงไม่นาน เรียวก็ปลดปล่อยออกมา พร้อมๆ กับมาร์คัส
องค์เดเมียนถอดถอนร่างออกจากมาร์คัส ก่อนที่พระองค์ จะล้มลงนอน จับร่างอันบอบบางของเรียวมานั่งคร่อมพระองค์ เรียวค่อยๆ กดร่างของเขาลงไปครอบครองร่างขององค์เดเมียนก่อนจะขยับโยก

ริชชี่กำลังครวญครางเมื่อถูกมาร์คัสปลุกเร้า องค์เดเมียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าสวย ก่อนจะรั้งมาจุมพิต เมื่อเรียวปลดปล่อยอีกครั้งพระองค์จึงครอบครองริชชี่ ที่เอาแต่เรียกหาองค์เดเมียน ราวกับต้องมนต์ ใบหน้าสวยหลับตาลง ครางออกมา มือเล็กโอบร่างขององค์เดเมียนไว้ รอรับความสุขสมที่เจ้าชายหนุ่มมอบให้

เด็กหนุ่มทั้งสามต่างผลัดกันให้เจ้าชายหนุ่มครอบครอง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เด็กหนุ่มทั้งสามปลดปล่อย แต่องเดเมียนกลับดูไม่พึงพอใจ ไม่ว่าจะทรงครอบครองทั้งสามกี่ครั้งความปรารถนาต่อร่างเล็กที่นอนเจ็บอยู่ก็มิได้บรรเทาลงสักนิด ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่พระองค์ร่วมรักกับสนมทั้งสาม พระองค์ก็เอาแต่คิดถึงร่างเล็กคนนั้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ จนเมื่อร่างกายได้รับการกระตุ้นที่มากพอ พระองค์จึงปลดปล่อยออกมา องค์เดเมียนทรงครอบครองเด็กหนุ่มทั้งสามจนเช้า ก่อนที่ทั้งสี่จะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้กระนั้นในความฝันของพระองค์กลับมีแต่ เด็กหนุ่มที่ชื่อไมเคิลคนนั้นวนเวียน หลอกหลอน พระองค์ อยู่ตลอดเวลา


หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 14 unrequited love
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 24-07-2016 10:21:45
บทที่ 14 Unrequited Love

ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ และความเจ็บปวดก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา จนไมเคิลต้องครางออกมาเบา ไมเคิลมองไปรอบๆ ห้องนอนขนาดใหญ่ การตกแต่งหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้สีเข้ม ที่ผนังฝั่งปลายเตียงมีเตาผิงขนาดใหญ่ ที่ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่น เขามองไปรอบๆ จนสายตามาหยุดที่หญิงสาวสูงวัย ที่กำลังยกอาหารเข้ามา ซึ่งเขาเชื่อว่าหญิงคนนี้คงเป็นนางกำนัลขององค์เดเมี่ยน เธอรูปร่างท้วมนิดๆ ดูอบอุ่นและใจดี

“คุณตื่นแล้ว ทานอะไรสักหน่อยนะคะ แล้วจะได้ทานยา” นางกำนัลกล่าวขึ้น
“ผมอยู่ที่ไหน” ไมเคิลอดถามไม่ได้
“คุณอยู่ในวิลล่าหลักขององค์เดเมียนค่ะ ดิฉันเป็นนางกำนัลของพระองค์ ชื่อ แดเรียล พระองค์ทรงให้ดิฉันดูแลคุณ” นางกำนัลแดเรียลกล่าว
“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ พระองค์ต้องการอะไรจากผม” ไมเคิลยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด องค์เดเมียนจับตัวเขา แล้วก็ทรมานเขา แต่แล้วตอนนี้พระองค์กลับพาเขามารักษาตัวในวิลล่า และมีนางกำนัลมาคอยดูแลเขาอีก
“คงมีแต่องค์เดเมียนที่จะให้คำตอบได้ค่ะ ทานซะหน่อยนะคะ” แดเรียลส่งซุปให้กับชายหนุ่ม

ไมเคิลรับซุปมา แต่ก็ยังถามคำถามต่อ
“แล้วองค์เดเมียนล่ะครับ ผมจะพบพระองค์ได้เมื่อไหร่”
“พระองค์ยังบรรทมอยู่ค่ะ คุณต้องรอในห้องนี้ แล้วองค์เดเมี่ยนจะเสด็จมาหาเอง” แดเรียลกล่าวและยิ้มให้
“ทานซะนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเอายามาให้” แดเรียลกล่าวก่อนจะออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงไมเคิลก็ได้ยินเสียงล็อกประตูจากด้านนอก เขาจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่แขกของวิลล่านี้ แต่เขาคือนักโทษต่างหาก

แต่ตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแอเกินไป ทุกครั้งที่ขยับความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา อีกทั้งเขายังรู้สึกเหมือนมีไข้อีกด้วย ไมเคิลตัดสินใจ เขาจะต้องแข็งแรงให้มากกว่านี้ก่อน จากนั้นเขาจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ไมเคิลมองซุปในชามที่ส่งกลิ่นหอม เขาจึงกินซุปหอมกรุ่น ที่แดเรียลเอามาให้ แม้จะเป็นเพียงแค่ซุป แต่กลับอร่อยมาก ไมเคิลจึงกินไปจนหมด ไม่นานแดเรียลก็กลับมาพร้อมกับยาของไมเคิล ยาแคปซูลหลายเม็ดถูกส่งมาให้ไมเคิล เขาไม่เกี่ยงงอน กินยาลงไปก่อนจะล้มตัวลงพักผ่อนอีกครั้ง

องค์เดเมียนตื่นขึ้นในตอนสาย แต่ก็ถือว่าพระองค์ตื่นเช้ามากแล้ว เพราะพระองค์หลับไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น พระองค์ชำระล้างร่างกายก่อนจะเดินกลับไปยังวิลลาหลักอีกครั้ง

โดยไม่ได้คิด ร่างกายของพระองค์ก็พาพระองค์มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนแขก พระองค์เปิดประตูเข้าไป และพบว่าคนตัวเล็กยังคงหลับใหลอยู่ พระองค์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าเบาๆ ร่างเล็กขยับตัว และค่อยๆ ลืมตาขึ้น

"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" ทรงถาม แต่แทนที่ร่างเล็กจะตอบ กลับพยายามจะถอยหนีออกห่างจากพระองค์ จนพระองค์ต้องใช้ร่างของพระองค์ทาบทับเอาไว้ แต่ร่างเล็กก็ยังอ่อนแอ บาดแผลยังเจ็บอยู่ จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คนตัวใหญ่จึงผ่อนน้ำหนักออกจากร่างเล็ก

“อย่าดื้อกับเรา ทำตามที่เราบอก” ทรงพยายามตรัสอย่างอ่อนโยน
“พระองค์ต้องการอะไรจากผม ผมบอกพระองค์แล้วว่าผมไม่ใช่สายลับ ผมไม่ได้คิดร้ายต่อราชวงศ์” ไมเคิลตอบแต่แล้วก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อคนตัวใหญ่ประกบปากลงมา ครอบครองริมฝีปากของเขาไว้ ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์ลุกล้ำเข้ามา ควานหาความหวานภายใน ก่อนพระองค์จะรั้งลิ้นร้อนๆ ของคนตัวเล็กกลับเข้าหาพระองค์และดูดกลืนลิ้นนั้นอย่างเป็นเจ้าของ

จูบของพระองค์ทำให้ไมเคิลรู้สึกล่องลอย ตัวยาที่ไมเคิลกินลงไปทำให้เขารู้สึกง่วงงุน และไม่มีสติเต็มร้อยนัก บวกกับไข้ที่รุมเร้า แม้ไม่เต็มใจ และอยากขัดขืน แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ จึงปล่อยให้คนตัวใหญ่ครอบครองเขาเนิ่นนาน จนพระองค์พึงพอใจ และถอนริมฝีปากออกช้าๆ
ไมเคิลหอบหายใจ เพราะการกระทำของคนตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม

“พระองค์ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมพระองค์ถึงทำกับผมแบบนี้” ไมเคิลถามอย่างไม่เข้าใจ
“เราต้องการเจ้า ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ จิตวิญญาณ ทั้งหมดของเจ้า เราต้องการให้เจ้าเป็นของเรา ต้องการเรา ให้เราเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าปรารถนา เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าต้องการ และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเจ้า” ทรงตอบด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แต่ก็แฝงความโหยหา และอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงครอบครองริมฝีบางเย้ายวนนั้นอีกครั้ง จุมพิตที่แสนหวานดำเนินต่อไป โดยที่ไมเคิลมิได้ขัดขืนด้วยเพราะฤทธิ์ของยาที่ทานเข้าไป

แต่ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับหมอพอลที่เดินเข้ามา ทำให้องค์เดเมียนต้องถอนริมฝีปากออกอย่างไม่เต็มใจนัก ไมเคิลหน้าแดงด้วยความเขินอาย และรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เจ้าชายมาเอาเปรียบแบบนี้

“ฝ่าบาท! ถึงกระหม่อมจะไม่ได้เขียนระบุไว้ แต่คนไข้ก็ยังเจ็บหนักอยู่ ยังไงพระองค์ก็ไม่ควรจะฉวยโอกาสแบบนี้ ถ้าบาดแผลอักเสบขึ้นมา ก็ยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะรักษาหาย กระหม่อมห้ามกิจกรรมบนเตียงกับคนไข้อย่างน้อย 1 อาทิตย์” หมอพอลร่ายยาว
“หุบปากของเจ้าได้แล้ว ต้องการอะไร” องค์เดเมียนโมโหหมอปากมากคนนี้เหลือเกิน
“กระหม่อมมาเปลี่ยนผ้าพันแผล เชิญเสด็จออกไปข้างนอกด้วยขอรับ” หมอพอลกล่าว  องค์เดเมียนโกรธและขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเดินออกไป พร้อมกับกระแทกประตูปิดอย่างอารมณ์เสีย

“ขอบคุณครับ” ไมเคิลกล่าวขอบคุณหมอพอล หลังจากที่หมอพอลเปลี่ยนผ้าพันแผลให้
“มันก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ” หมอพอลกล่าว
“ผมขอบคุณ คุณหมอเรื่ององค์เดเมียนด้วยครับ” ไมเคิลหน้าแดงอีกครั้ง
“ผมไม่ทราบหรอกว่าคุณเป็นใคร แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าเป็นเพราะคุณ ที่ทำให้เจ้าชายทั้งสองพระองค์ที่เป็นเสาหลักของประเทศต้องมาทะเลาะกัน” หมอพอลกล่าวเรียบๆ
“ผมขอโทษครับ” ไมเคิลหน้าเสีย น้ำตาจู่ๆ ก็ไหลออกมาเมื่อคิดถึง เจ้าชายอีกพระองค์
“แต่ผมไม่ได้เลือกที่จะอยู่ในที่ตรงนี้ ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมองค์เดเมียนถึงมารักษาผม ทั้งๆ ที่พระองค์ควรจะฆ่าผมเสียด้วยซ้ำ” ไมเคิลกล่าวเสียงเศร้า
“เพราะองค์เดเมียนพอใจในตัวคุณ และองค์ราฟาเอลก็ทรงต้องการคุณด้วยเช่นกัน” หมอพอลพูด
“แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับองค์เดเมียน...ผมเป็นแค่นักโทษคนหนึ่งก็เท่านั้น”
“แล้วองค์ราฟาเอลล่ะ” หมอพอลถาม
“ผม... ไม่มีสิทธิ์ ... ยังไงผมก็ไม่คู่ควร” ไมเคิลตกใจ แต่ก็กล่าวออกมาอย่างคนที่กำลังจะตัดใจ
“พระองค์ฝากผมมาบอกว่า พระองค์เป็นห่วงคุณ และพระองค์จะพยายามช่วยเหลือคุณ” หมอพอลกล่าว ไมเคิลที่ได้ยินก็รู้สึกหัวใจพองโต แต่แล้วก็เหมือนโดนฉุดกระชากหัวใจออกมาเมื่อได้ยินคนสูงวัยกล่าว

“แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะหนีไปจากองค์เดเมียนได้หรอก เพราะฉะนั้นคุณควรจะตัดใจจากองค์ราฟาเอลเสีย” หมอพอลกล่าวก่อนจะลุกขึ้น
“ผมรู้ฐานะตัวเองดีครับ ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เพราะคนอย่างคุณที่หวังขุดทอง โดยเอาแต่ยั่วยวนทั้งเจ้าชายเดเมียน แต่ก็ยังมาหว่านเสน่ห์กับองค์ราฟาเอล คนอย่างคุณ ไม่ว่าเจ้าชายพระองค์ไหน คุณก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น” หมอพอลกล่าวเรียบๆ และเดินออกไป ทิ้งให้ไมเคิลสะอื้นไห้อยู่ตามลำพัง

ไมเคิลเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เขาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าชายทั้งสองต้องทะเลาะกัน หมอพอลรู้ว่าเขาหลงรักองค์ราฟาเอลทั้งๆ ที่เขาไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาก็รู้ว่าเจ้าชายราฟาเอลผู้อ่อนโยนคนนั้นกำลังเป็นเจ้าของหัวใจของเขา แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในฐานะนักโทษของเจ้าชายอีกพระองค์หนึ่ง และพระองค์ก็แสดงเจตนาชัดเจนว่าพระองค์คงไม่มีวันปล่อยเขาไป
หรือต่อให้วันหนึ่งองค์เดเมียนปล่อยเขาไป คนอย่างเขาก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะรักเจ้าชายอย่างองค์ราฟาเอล

ไมเคิลไม่ได้ต้องการสิ่งใด ในตอนนี้เขาเพียงอยากจะกลับไปอเมริกา เพื่อกลับไปหาน้องชายเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่มีโอกาสที่จะออกไปจากวังแห่งนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องลองหนีไปให้ได้ ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เขาจะต้องแข็งแรงให้เร็วที่สุด

เมื่อเข้าในวันที่ 5 ไมเคิลก็รู้สึกดีขึ้น เขาเริ่มขยับตัวได้บ้าง แม้จะยังเจ็บอยู่ ทุกๆวันองค์เดเมียนจะเสด็จมาหาเขาเสมอ และวันนี้ก็เช่นกัน ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาเดินเข้ามาในห้อง แดเรียลกำลังยกอาหารกลางวันมาให้ไมเคิล
“ฝ่าบาท” ไมเคิลทักทาย ก้มหน้าลงต่ำไม่ยอมสบตาคู่นั้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงถามและนั่งลงบนเตียง แย่งจานอาหารจากแดเรียลไป
“ผม... ดีขึ้นมากแล้วครับ” ไมเคิลตอบ มองคนตรงหน้า ที่กำลังตักซุปมาป้อนเขา
“ผม... ทานเองได้ครับ” ไมเคิลพูดขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่ทำท่าจะป้อน
“หากเราจะป้อนเจ้า เจ้าก็ต้องกิน อย่าขัดใจเรา” ทรงตรัสเบาๆ

ไมเคิลจึงอ้าปากรับซุป เพราะไม่ชินกับการถูกป้อน ซุปจึงหยดลงข้างริมฝีปาก แดเรียลจึบหยิบผ้าส่งให้ องค์เดเมียนวางถ้วยซุปลง ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ทรงละเลย ต่อผ้าในมือนางกำนัล แต่ทรงรั้งใบหน้าของไมเคิลเข้ามาใกล้ และเลียที่มุมปากของไมเคิลแทน ก่อนจะประทานจุมพิตอันดูดดื่มให้ ไมเคิลไม่กล้าขัด เพราะเขาเริ่มรู้จักเจ้าชายตรงหน้าดีขึ้น หากเขาขัดใจพระองค์ พระองค์ก็จะใช้กำลังบังคับ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับในสิ่งที่พระองค์กระทำต่อเขา

ไมเคิลไม่ได้ขัดขืนแตก็ไม่ได้ตอบสนอง และพระองค์ก็ไม่ชอบใจนัก เมื่อทรงถอนจุมพิตออก คนตรงหน้าก็น้ำตาไหลออกมา
“เจ้าเกลียดเราหรือ” ทรงถาม
“ผมไม่มีสิทธิ์นี่ครับ ผมเป็นเพียงแค่นักโทษ” ไมเคิลกล่าวทั้งน้ำตา
“เจ้ารักราฟาเอลสินะ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด ไมเคิลไม่ตอบ เพียงแต่ก้มหน้าหลบสายตา
“ราฟาเอลพยายามจะขอตัวเจ้าจากนาธานเนียล ราฟาเอลก็คงมีใจให้เจ้าเช่นกัน” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด ไมเคิลน้ำตาไหลออกมาที่ได้ยินชื่อของเจ้าชายอีกพระองค์
“เจ้าคงอยากจะไปอยู่กับราฟาเอลสินะ ในเมื่อราฟาเอล ออกจะอ่อนโยนกับเจ้า ต่างจากเรา” ทรงพูดอย่างน้อยใจ เอื้อมมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน
“แต่เราจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปหรอกนะ ต่อให้เจ้าร้องไห้มากแค่ไหน ต่อให้เจ้าเกลียดเรา เราก็จะเก็บเจ้าไว้ที่นี่ ตลอดไป หรืออย่างน้อย ก็จนกว่าลมหายใจสุดท้ายของเรา” ทรงตรัสอย่างเศร้าสร้อย และเย็นชา
“ทำไมครับ ในเมื่อพระองค์ก็ไม่ได้รักผม พระองค์ต้องการอะไรจากผม” ไมเคิลถามทั้งน้ำตา
“เราต้องการทุกอย่างของเจ้า” ทรงตอบเรียบๆ
“ผมไม่ได้รักพระองค์ และจะไม่มีวันรักพระองค์” ไมเคิลกล่าวอย่างหนักแน่น
“เรารู้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเรา ยังไงก็ไม่มีใครรักเราอยู่ดี” ทรงตรัสก่อนจะประทับจูบอันหนักหน่วงลงบนริมฝีปากบางอีกครั้ง

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรักเรา เราเพียงต้องการร่างกายของเจ้า และเราก็จะทำให้ร่างกายของเจ้าขาดเราไม่ได้”


หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 15 หนี
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 24-07-2016 10:25:00
บทที่ 15 หนี

ไมเคิลสะอื้นร้องไห้ อยู่เพียงลำพัง หลังจากองค์เดเมียนจากไป
เขาไม่เข้าใจองค์เดเมียน ในบางครั้งพระองค์ก็โหดร้าย เย็นชา แต่ในบางครั้งพระองค์ก็อ่อนโยน และแสนดี และบางครั้งพระองค์กลับดูโศกเศร้าเสียเหลือเกิน

ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเขา ในเมื่อพระองค์จะเลือกใครก็ได้ ขอเพียงเอ่ยปาก ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนสยบแทบเท้าของพระองค์ เขาไม่เข้าใจทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำไมพระองค์จะต้องมาปรารถนาเขาด้วย

ในเมื่อบาดแผลที่หลังของไมเคิลดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะหนี ด้วยเขากลัวว่าหากอยู่นานกว่านี้ พระองค์คงจะต้องใช้กำลังฝืนบังคับเอาเปรียบเขาแน่ๆ
ไมเคิลจึงเริ่มสำรวจรอบๆ ห้อง หลังจากตรวจเช็คที่หน้าต่าง และพบว่ามันไม่ได้ล็อคแน่นหนามากนัก หากเขาสามารถสะเดาะกุญแจเปิดออก เขาก็น่าจะสามารถหนีออกไปได้ง่ายขึ้น

องค์เดเมียนโดยปกติจะเสด็จไปประชุมในช่วงบ่ายเป็นเวลาหลายชั่วโมง และไมเคิลก็น่าจะมีเวลามากพอที่จะหนีไปได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงนั้นหนีไปจากวัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมเคิลจึงเฝ้ารอเวลา องค์เดเมียนจะเข้ามาหาเขาก่อนจะเสด็จเสมอ
และในที่สุดพระองค์ก็เดินเข้ามาในห้อง พระองค์เดินเข้ามาใกล้ไมเคิล ก่อนจะนั่งลงเคียงข้าง
“เราจะไปประชุม เจ้าเป็นเด็กดีล่ะ” ทรงตรัสเรียบๆ แต่กลับรั้งร่างเล็กเข้าไปกอด ทั้งๆ ที่ปกติพระองค์ไม่เคยอ่อนโยนกับเขาแบบนี้
“เราตรวจเช็คประวัติของเจ้าแล้ว และเราก็พบว่าเจ้าไม่ได้โกหกเรื่องที่เจ้าเป็นเพียงช่างภาพ เราขอโทษที่ทำร้ายเจ้า และเราก็ดีใจที่เจ้าอาการดีขึ้นมากแล้ว” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน แต่ไมเคิลกลับไม่ตอบอะไร
“เราหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะให้อภัยแก่สิ่งที่เรากระทำ” ทรงตรัสเบาๆ และค่อยๆ คลายอ้อมกอด
“ผมรู้ว่าพระองค์ทำไปด้วยหน้าที่ ผมไม่ได้โกรธแต่ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมขอให้พระองค์ปล่อยผมไป” ไมเคิลกล่าวอย่างมีความหวัง
“ทำไม การอยู่กับเรามันทำให้เจ้าทรมานมากนักเหรอ หรือเจ้าอยากจะไปอยู่กับราฟาเอล” องค์เดเมียนตรัสอย่างไม่พอใจ
“ผมแค่ต้องการกลับบ้าน น้องชายของผมรออยู่” ไมเคิลกล่าว
“เราไม่อนุญาต นับจากนี้ไป ที่นี่คือบ้านของเจ้า” ทรงตรัส
“แต่ผม...” ไมเคิลพยายามจะร้องขอ แต่คนตัวใหญ่ไม่ยอมให้ไมเคิลพูดอะไรอีก
“จากนี้ไป เจ้าไม่ใช่ไมเคิลอีกต่อไป เจ้าคือมิคาเอล เราจะให้เจ้าเป็นสนมของเรา และเจ้าจะต้องเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น” ทรงตรัส
“ผมไม่ยอมรับ ผมไม่อยากเป็นสนมของพระองค์” ไมเคิลปฏิเสธ
“เราไม่ได้ถามเจ้า นี่เป็นคำสั่ง และเจ้าก็ขัดไม่ได้” ทรงลุกขึ้นยืนและตรัสอย่างเย็นชา
“ทำไมพระองค์ต้องใจร้ายกับผมแบบนี้ด้วย ผมไปทำอะไรให้พระองค์ พระองค์ถึงได้โกรธ และเกลียดผมนัก” ไมเคิลถามอย่างอัดอั้น
“เปล่าเลย เราไม่ได้เกลียดเจ้า เราปรารถนาเจ้าอย่างที่เราไม่เคยปรารถนาใครมาก่อน ไม่ว่าเราจะร่วมรักกับใคร ไม่ว่าหญิงหรือชาย ก็ไม่อาจดับความปรารถนานี้ลงได้ ทุกครั้งที่เราเข้าใกล้เจ้า เราก็ถูกไฟปรารถนานี้เผาไหม้ เจ้าตามไปหลอกหลอนเราในความฝันทุกค่ำคืน ทุกๆ วันเราเฝ้ารอที่จะมาเห็นหน้าเจ้า เราผิดที่ทำร้ายเจ้า เราจึงต้องการรอให้เจ้าหายดี แต่ทุกวันที่ผ่านไปมันกลับเชื่องช้าจนเราแทบจะคลั่งตายเพราะความปรารถนาในตัวเจ้า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่เราสัญญาว่าเราจะดูแลเจ้าอย่างดีที่สุด” ทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ผมไม่ต้องการ” ไมเคิลพูดเสียงเบา น้ำตาไหลออกมา “ผมไม่ได้รักพระองค์ ไม่อยากเป็นทาสของพระองค์ ผมแค่อยากไปจากที่นี่”
“เราจะให้เจ้าทุกอย่าง ยกเว้นการปล่อยเจ้าไป เราทำไม่ได้” ทรงพูดตามตรง
“ผมไม่ต้องการอะไรจากพระองค์ ผมแค่ต้องการไปจากที่นี่ ได้โปรดปล่อยผมไป” ไมเคิลร้องขอ
“ที่นี่ คือ บ้าน ของเจ้า” ทรงตรัส อย่างเด็ดขาด ไมเคิลจึงไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าพูดไปก็ไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นมา องค์เดเมียนที่ตัดสินใจไปแล้ว ย่อมไม่มีใครมาเปลี่ยนพระทัยได้
น้ำตาของคนตัวเล็กไหลริน จนองค์เดเมี่ยนใจหาย พระองค์เดินเข้ามากอดไมเคิลไว้ แต่ร่างเล็กกลับปฏิเสธ และผลักไสพระองค์
“ผมเกลียด เกลียดพระองค์ ปล่อยผม” ไมเคิลดิ้นออกมาจากอ้อมกอดคนตัวใหญ่ มือเล็กตบไปที่หน้าขององค์เดเมียนอย่างแรง องค์เดเมียนจึงปล่อยคนตัวเล็ก มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และเจ็บปวด
“เจ้าควรจะรู้ว่าเราไม่มอบตำแหน่งสนมให้กับใครง่ายๆ แต่เราเลือกเจ้า และเจ้าควรจะดีใจ การที่เจ้าทำแบบนี้มันเป็นการดูถูกเรา” ทรงตรัส
“ผมไม่ต้องการเป็นสนมของพระองค์ เพราะผมไม่อยากอยู่ที่นี่ ผมอยากกลับอเมริกา ผมอยากกลับบ้าน ที่ๆ ผมจากมา” ไมเคิลตอบตามตรง แต่องค์เดเมียนก็เมินเฉยต่อคำร้องขอ “สายแล้ว เราต้องไปประชุม เมื่อเรากลับมาเราหวังว่าเจ้าจะอารมณ์เย็นลง” ทรงตรัสเรียบๆ ก่อนจะออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่หมองหม่น

เมื่อองค์เดเมียนจากไปไมเคิลก็เริ่มหาทางหนี เขามองไปรอบ ในที่สุดก็โชคดีเจอคลิปหนีบกระดาษ ไมเคิล ค่อยๆแกะมันออก และเริ่มไขกุญแจที่หน้าต่าง แม้จะใช้เวลามากกว่าปกติ แต่ในที่สุดไมเคิลก็ทำสำเร็จ เขารีบเปิดหน้าต่างและรีบปีนออกไปโดยเร็ว
เมื่อออกมาจากวิลล่าไมเคิลก็รีบวิ่งตรงไปที่กำแพง และไขกุญแจประตูออกไป

ในขณะที่เขาคิดว่ากำลังจะออกไปได้ อยู่ๆ สัญญานเตือนก็ดังขึ้น ไมเคิลรีบวิ่งออกไปโดยไม่หันออกไปมอง เขาวิ่งไปตามถนนหวังว่าจะมีรถผ่านมา แต่ก็ไม่เห็นรถสักคัน เขาจึงวิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านไปหลายสิบนาที ไมเคิลก็ได้ยินเสียงรถกำลังขับมา
ชายหนุ่มยิ้มออกด้วยความหวังแต่แล้วก็เหมือนกระชากความหวังสุดท้ายไป เมื่อเห็นว่ารถสปอร์ตแลมโบกีนี่สีแดงที่ขับมา และคนที่อยู่ในรถก็คือคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด กำลังขับตรงมาที่เขา


หลายวันมาแล้วที่องค์เดเมียนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เพราะภาพของคนตัวเล็กที่เอาแต่เย้ายวนพระองค์ในความฝัน หลายวันมาแล้วที่พระองค์ร่วมรักกับเหล่าสนมของพระองค์ แต่ไม่ว่าพระองค์จะร่วมรักกับใครก็ไม่อาจระงับ หรือบรรเทาความปรารถนาของพระองค์ลงได้เลยแม้แต่น้อย
คนๆ เดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของพระองค์กลับเป็นเพียงคนๆ นั้น

ทุกๆ วันที่พระองค์ตื่นขึ้น พระองค์จะรีบไปหาคนตัวเล็ก ที่ทำให้พระองค์ทั้งดีใจ และ เสียใจในเวลาเดียวกัน หลายต่อหลายครั้งที่พระองค์เข้าไปในห้องนั้น คนตัวเล็กก็เอาแต่ร้องไห้ หรือทำหน้าเศร้า และไม่ว่าพระองค์จะทำอะไร คนตัวเล็กก็ไม่เคยยินดี หรือดีใจเลย พระองค์ย่อมรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ พระองค์รู้ว่าเด็กหนุ่มมีใจให้กับน้องชายต่างมารดาของพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังแอบหวังว่าเด็กหนุ่มจะหันมามองเห็นพระองค์บ้าง พระองค์ไม่ใช่คนอ่อนโยนและยิ่งไม่ใช่คนที่จะทำอะไรหวานๆ ให้คนอื่น อย่างเช่นราฟาเอล พระองค์หยาบกระด้าง และเย็นชา
แต่กระนั้น ในทุกวันพระองค์ก็ยังเสด็จมาหาเด็กหนุ่มทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่พระองค์ก็รู้ว่าพระองค์มีใจให้กับคนๆ นี้ แม้ว่าคนๆนี้จะเกลียดพระองค์ก็ตาม

ไมเคิลไม่เคยยิ้มให้พระองค์เลยสักครั้ง ตลอดเวลาหลายวัน เมื่อพระองค์เข้ามาหา ไมเคิลก็เอาแต่ทำหน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เย็นชา และ ไม่ยอมตอบสนองต่อพระองค์
ไมเคิลไม่ได้ขัดขืนที่พระองค์กอดหรือจูบ แต่เขากลับทำตัวเหมือนตุ๊กตา นิ่งเฉย เย็นชา ตลอดมาไม่เคยมีใครทำกับพระองค์เยี่ยงนี้ ทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มไม่อาจจะขัดขืนพระองค์ได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำให้พระองค์เจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เจอ

เมื่อไปทำงาน ราฟาเอล ก็เอาแต่ตามรังควานพระองค์ไม่เลิก  อีกทั้งยังเอาเรื่องไปบอกนาธานเนียลให้ใหญ่โต ยืนยันจะเอาตัวไมเคิลไปจากพระองค์ แต่พระองค์ก็ยืนยันไปหลายสิบหน ว่า ไมเคิลเป็นของพระองค์ แต่ราฟาเอลก็ยังไม่ยอมถอดใจ จนพระองค์ยิ่งรำคาญน้องชายคนนี้มากขึ้นอีกหลายเท่า แต่เพราะนาธานเนียลขอไว้ พระองค์จึงระงับความโกรธ และไม่ต่อยหน้าคนอวดดี และวุ่นวายคนนี้

หลังจากที่พระองค์สืบประวัติในเชิงลึกของไมเคิล พระองค์ก็พบว่าไมเคิลไม่ได้เป็นกบฏ และเป็นเพียงช่างภาพคนหนึ่งตามที่เขาพูดทุกอย่าง และนั่นก็ทำให้พระองค์ดีใจยิ่งนัก พระองค์ตัดสินใจ จะยกย่องและแต่งตั้งไมเคิลให้เป็นสนมของพระองค์  ทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มควรจะดีใจกับตำแหน่งที่ได้ แต่ตรงกันข้าม คนตัวเล็กกลับร้องไห้และปฏิเสธพระองค์ แถมยังบอกว่าเกลียดพระองค์ แม้พระองค์จะรู้ แต่พอได้ยินคำพูดจากปาก พระองค์ก็อดเสียใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่พระองค์พยายามทำดีกับคนตัวเล็ก แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นความเกลียดชังแทน
พระองค์เสียใจและยอมรับในสิ่งที่พระองค์กระทำ พระองค์ไม่โทษใครนอกจากตัวของพระองค์เอง

แต่จู่ๆ สัญญาณเตือนที่เพิ่งติดตั้งได้ไม่นานก็ดังขึ้น เหล่าทหารรายงานว่าไมเคิลพยายามหนีไปจากวัง หัวใจของพระองค์ก็เหมือนกำลังถูกบีบ พระองค์คงทนไม่ได้หากพระองค์จะต้องเสียคนตัวเล็กไป พระองค์จึงสั่งปิดถนนรอบวังทันที และพระองค์ก็รีบขับรถออกไป และไม่นานพระองค์ก็พบตัวของไมเคิล แต่แทนที่คนตัวเล็กจะหยุด เขากลับวิ่งหนีพระองค์

ถนนด้านหนึ่งติดกำแพงวัง อีกด้านเป็นทางชันลงเขา ดังนั้นไมเคิลจึงทำได้เพียงแค่วิ่งไปข้างหน้าเท่านั้น และแม้จะไม่มีประโยชน์ที่จะวิ่งหนี แต่ไมเคิลก็ไม่อยากถูกจับได้ แม้เพียงน้อยนิด เขาก็อยากจะไปไกลจากเจ้าชายคนนี้ แต่เจ้าชายก็ขับรถมาตัดหน้าและขวางทางเขาเอาไว้ ไมเคิลหยุดและหันกลับวิ่งไปอีกทาง
องค์เดเมียนจอดและเดินลงมาจากรถ

“มิคาเอล หยุดเดี๋ยวนี้!” ทรงสั่งด้วยเสียงอันทรงอำนาจ แม้จะอยากหนีไป แต่ไมเคิลก็ต้องหยุด
“กลับมาหาเรา เดี๋ยวนี้!” ทรงตรัส ไมเคิลกลับหยุดนิ่งไม่ยอมหันกลับไป พระองค์จึงเดินเข้ามาหาไมเคิล แต่พระองค์ก็หยุดห่างจากคนตัวเล็กไปหลายก้าว
“มิคาเอล กลับมาหาเรา” ทรงเอ่ยขึ้นราวกับอ้อนวอน
“ผมไม่อยากกลับไปกับพระองค์ ผมอยากกลับบ้าน” ไมเคิลกล่าว
“คานาเดียคือบ้านของเจ้า วังนี้คือบ้านของเจ้า วิลล่าของเราคือบ้านของเจ้า” ทรงกล่าว
“ผมจะกลับอเมริกา ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด พระองค์จะมากักขังผมไว้ได้อย่างไร” ไมเคิลถาม
“เราไม่ได้กักขังเจ้า เราต่างหากที่ถูกเจ้าพันธนาการเอาไว้” ทรงตรัส
“ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ทำอะไร” ไมเคิลปฏิเสธ และหันกลับมา
“เรารู้ แต่เจ้าก็ทำให้เจ้าชายคนนี้ เอาแต่คิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งยามหลับ และยามตื่น” ทรงตรัส ทรงขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก
“ทำไม ในเมื่อพระองค์แค่ต้องการร่างกายของผม” ไมเคิลเอ่ย
“เราไม่เคยต้องอ้อนวอนใครให้อยู่ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นของเราทั้งนั้น เราอาจจะไม่ใช่เจ้าชายรัชทายาท อาจจะไม่อ่อนโยนเท่าราฟาเอล แต่เราก็อยากจะดูแลเจ้า อย่างน้อยเราก็รู้ใจของเราว่า เราต้องการเจ้า และเราก็คงทนไม่ได้หากเจ้าจะจากไป” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน ทรงเอื้อมมือมารั้งร่างเล็กเข้าไปกอด
“ได้โปรด อย่าไปจากเรา” ทรงกระซิบ

ในขณะที่ไมเคิลเอาแต่ร้องไห้ ทั้งๆ ที่อยากจะหนีไป แต่ก็ทำไม่ได้ เขาเสียใจที่เดินทางมาที่นี่ ในนาทีที่เขาถูกรั้งร่างเข้าไปกอด เขาก็รู้ว่าเจ้าชายเดเมียนจะไม่มีวันที่จะปล่อยเขาไป แม้จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่มีวันที่จะหนีไปจากเจ้าชายคนนี้ได้
พระองค์ช้อนร่างคนตัวเล็ก พากลับไปที่รถ ก่อนจะขับรถกลับวัง

หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 15 หนี
เริ่มหัวข้อโดย: meeoldly ที่ 26-07-2016 06:43:27
สนุกมากกกกกกก

อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 16 ผมคือมิคาเอล 18+++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 26-07-2016 19:42:04
บทที่ 16 ผมคือมิคาเอล

องค์เดเมียนขับรถกลับเข้าไปในวังทันทีที่รถจอด ราฟาเอลก็เสนอหน้าออกมา
“ไมเคิล เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” องค์ราฟาเอลรีบเดินเข้ามาหา พยายามจะรั้งคนตัวเล็กเข้าไปปกป้อง ไมเคิลยิ่งเห็นองค์ราฟาเอลก็ยิ่งเจ็บปวด น้ำตาที่แห้งไปแล้วก็ไหลรินอีกครั้ง

เพียงเอื้อมมือองค์ราฟาเอลก็จะสัมผัสไมเคิล แต่พระองค์ก็ล้มลงไปจากแรงต่อยของพระเชษฐา
“เราเตือนเจ้าแล้วราฟาเอล เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ของๆ เรา เจ้าคิดว่าใครก็แตะต้องได้อย่างนั้นหรือ” องค์เดเมียนกล่าวอย่างหมดความอดทน
องค์ราฟาเอลลุกขึ้น และ พยายามจะเข้ามาสวนกลับองค์เดเมียนแต่ก็เป็นไมเคิลที่เข้ามาขวางไว้

“ไมเคิล” องค์ราฟาเอลเอ่ย
“ผมไม่ใช่ไมเคิลอีกแล้วครับ นับจากวันนี้ผมคือ มิคาเอล สนมขององค์เดเมียน” ไมเคิลกล่าวช้าๆ
“ได้โปรดอย่าทะเลาะกันเพราะคนอย่างผมเลยครับ ผมไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น” ไมเคิลพูดขึ้น ในใจเจ็บปวด แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าหากยังไม่ยอมตัดสัมพันธ์กับองค์ราฟาเอล เขาก็คงไม่มีวันตัดใจจากพระองค์ได้
“ทำไม” องค์ราฟาเอลเอ่ยถาม แต่กลับเป็นองค์เดเมียนที่เข้าใจสถานะการณ์ตรงหน้าดี พระองค์จึงรั้งมิคาเอลเข้ามาในอ้อมกอด และกล่าวกับน้องชายต่างมารดา
“เพราะมิคาเอลตัดสินใจที่จะเลือกเรายังไง ดังนั้นเจ้าก็ควรจะตัดใจเสีย ราฟาเอล” องค์เดเมียนกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นและพากลับวิลล่าทิ้งให้องค์ราฟาเอล ยืนอยู่ตามลำพัง

ไมเคิลร้องไห้ออกมา แต่องค์เดเมียนก็กอดร่างเล็กแน่นขึ้นราวกับจะปลอบโยนคนตรงหน้า
“ร้องออกมาเถอะ เราจะอยู่ตรงนี้และซับน้ำตาให้กับเจ้าเอง” องค์เดเมียนกล่าวเบาๆ วางร่างเล็กลงกับเตียงใหญ่ในห้องบรรทม ก่อนจะทรงทอดกายลงเคียงข้าง และกอดมิคาเอลเอาไว้
ร่างเล็กร้องไห้ยาวนาน จนหลับไปในอ้อมกอดขององค์เดเมี่ยน

เป็นครั้งแรกที่พระองค์นอนโอบกอดคนๆ หนึ่งโดยที่พระองค์ไม่ได้ร่วมรักด้วย พระองค์รู้สึกสงสารคนตรงหน้า พระองค์รู้ว่า คนตรงหน้ารักราฟาเอล และการที่คนตัวเล็กเลือกพระองค์ก็ไม่ใช่เพราะ มิคาเอลต้องการพระองค์ แต่เพราะต้องการให้ราฟาเอลตัดใจ แต่อย่างน้อยมิคาเอลก็เลือกพระองค์ แม้จะไม่ได้มาจากความรัก ไม่ได้มาจากความเต็มใจ แต่สำหรับเจ้าชายอย่างพระองค์ เพียงแค่นี้พระองค์ก็พอใจแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรักพระองค์ พระองค์เป็นพระโอรสที่ไม่มีใครต้องการ แม้พระองค์จะเกิดจากพระชายา แต่เสด็จพ่อของพระองค์ก็ไม่ได้รักเสด็จแม่ของพระองค์ การที่พระองค์เกิดมาล้วนมาจากเหตุผลทางการเมือง มิใช่ความรัก เสด็จพ่อของพระองค์ทรงรักเพียงแค่พระสนม หรือ พระมารดาของนาธานเนียลเท่านั้น และยิ่งหลังจากที่เสด็จแม่ของพระองค์ก่อเหตุ คิดจะปลงพระชนม์พระมารดาของนาธานเนียล และตัวนาธานเนียล พระองค์ก็กลายเป็นคนที่ถูกลืม

ในตอนนั้นพระองค์อายุเพียง 4 ขวบกว่าๆเท่านั้น พระองค์รักนาธานเนียลเหมือนน้องแท้ๆ มาตั้งแต่ต้น แต่เสด็จแม่ของพระองค์ต่างหากที่เกลียดชังนาธานเนียล และก็เป็นพระองค์เองที่ยับยั้งการก่อเหตุลอบปลงพระชนม์ทั้งพระสนม และนาธานเนียลในครั้งนั้น เสด็จแม่ของพระองค์วางยาพิษในอาหารที่จะนำไปถวายแก่สองแม่ลูก นาธานเนียลที่คอยตามติดพระองค์ไม่ห่าง คอยเลียนแบบ ทำตามพระองค์ทุกอย่าง ทำให้พระองค์รักน้องคนนี้มาก พอรู้ว่าเสด็จแม่คิดจะฆ่านาธานเนียล พระองค์จึงรีบไปที่วิลล่าของสองแม่ลูก และทำจานอาหารตกแตก มันควรจะจบแค่นั้น หากสุนัขทรงเลี้ยงไม่เข้ามาเลียอาหารที่ตกลงพื้นและสิ้นใจในแทบจะทันที

แม้จะอยากปฏิเสธแต่อาหารนั้นก็ถูกสืบสวนว่าส่งมาจากพระชายา สุดท้ายเสด็จแม่ของพระองค์ก็ถูกจับได้ และถูกปลดจากฐานะ และถูกคุมขังไว้ชั่วชีวิตในคุกหลวง ซึ่งนั่นก็ทำให้ฐานะขององค์เดเมียนเปลี่ยนแปลงไปด้วย จากองค์รัชทายาท พระองค์ก็ถูกปลดให้กลายเป็นเพียงเจ้าชายธรรมดา และหมดสิทธิ์ในราชบัลลังก์ในทุกกรณี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์สนใจ สิ่งที่ทำร้ายพระองค์มากที่สุดคือ เสด็จแม่ของพระองค์โทษองค์เดเมี่ยนที่เป็นสาเหตุทำให้ แผนล้มเหลว และทำให้พระนางถูกขังและทรมาน เด็กชายตัวน้อยที่ถูกพระมารดา ปฏิเสธ ขับไส และสาปแช่ง โยนความผิดทั้งหมดให้พระองค์รับไว้ เมื่อหันมามองทางเสด็จพ่อ ก็ถูกรังเกียจเพราะพระองค์เป็นลูกของหญิงชั่ว พระองค์เติบโตขึ้นมาด้วยสายตาที่ถูกเหยียดหยาม และเกลียดชัง ยิ่งพระสนม ที่กลายมาเป็นพระชายา และนาธานเนียลดีเท่าไหร่ พระองค์ก็ถูกเกลียดมากขึ้นเท่านั้น พระองค์เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว ลำพัง เป็นเจ้าชายที่ไม่มีใครต้องการ ตำแหน่งที่มีกลับเสมือนเป็นตราบาปที่พระองค์ไม่ได้ก่อ ที่จะติดตัวพระองค์ไปจนวันตาย ตราบจนวันนี้ พระองค์ที่เติบใหญ่ แต่รอยแผลก็ไม่ได้จางหายไป การถูกเกลียดกลายเป็นเรื่องปกติของพระองค์ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พระองค์ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตลอดมา สิ่งที่พระองค์ปรารถนามากที่สุด พระองค์ก็จะเสียมันไปเสมอ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด นับครั้งไม่ถ้วนที่ถาโถมเข้ามา จนพระองค์ไม่คิดจะหวังในสิ่งใด พระองค์เย็นชาต่อทุกสิ่ง ไม่คิดจะรักใคร เพราะจะมีใครกล้ามารักเจ้าชายที่ต้องสาปอย่างพระองค์ ตลอดมาพระองค์จึงเฉยชา ไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด

ตราบจนในตอนนี้ ที่คนตัวเล็กก้าวเข้ามาทำลายกำแพงที่พระองค์บรรจงสร้างลงจนหมด คนๆ นี้เป็นคนแรกที่เลือกพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะรู้ว่า พระองค์คงไม่มีวันได้รับความรักกลับจากคนตัวเล็กนี้ แต่พระองค์ก็สัญญากับตัวเองว่าพระองค์จะดูแลคนๆ นี้ให้ดีที่สุด

พระองค์มองคนตัวเล็กที่กำลังหลับใหล ก่อนก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ โอบกอดคนตัวเล็กแนบแน่น ราวกับพระองค์กลัวว่าจะมีคนมาแย่งคนตัวเล็กไปจากพระองค์
มิคาเอลค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเห็นองเดเมี่ยนที่กอดเขาอยู่ ก็พยายามขืนตัวออก
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” ทรงถามด้วยความเป็นห่วง พระองค์คลายอ้อมกอดออก
“ผมไม่เป็นไรครับ ปล่อยผมเถอะครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา
“เจ้ารังเกียจเราเหรอ ที่เรากอดเจ้า” ทรงถาม
“ผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะรังเกียจพระองค์” คนตัวเล็กตอบ
“เจ้าคงเกลียดเรามากสินะ เพราะเรา ทำให้เจ้ากับราฟาเอลต้องตกอยู่สถานะการณ์แบบนี้”ทรงตรัสอย่างรู้สึกผิด
“ไม่หรอกครับ ไม่ว่ายังไงผมกับองค์ราฟาเอลก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี” คนตัวเล็กกล่าวเสียงเศร้า
“เป็นเราไม่ได้เหรอ ให้เรารักเจ้าแทนไม่ได้เหรอ” ทรงถาม
“ทำไมครับ คนอย่างผมไม่มีอะไรดีพอจะให้พระองค์มารัก ทั้งๆ ที่ผมเอาแต่ร้องไห้หาองค์ราฟาเอลแต่ก็กลับมานอนกอดกับพระองค์” ไมเคิลรู้สึกสมเพชตัวเอง
“เราต่างหากที่ดูเหมือนจะไม่มีค่าให้เจ้ารัก” ทรงตรัสเบาๆ
“ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่พระองค์จะเลือกใครก็ได้ แล้วทำไมต้องเป็นผม”
“เพราะหากไม่ใช่เจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร” ทรงตอบพร้อมก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเบาๆ
“เราเป็นคนเจ้าชู้ เรารู้ แต่ตั้งแต่เจอเจ้า ไม่ว่าเรากอดใคร ก็ไม่มีความหมาย คนๆ เดียวที่อยู่ในความคิดของเรา ก็คือเจ้า” ทรงสารภาพ
“ทุกคืน ทุกวัน เราก็เอาแต่ฝันถึงเจ้า จนเราแทบจะทำอะไรไม่ได้ เราปรารถนาเจ้า ต้องการเจ้า และอยากครอบครองเจ้า” ทรงตอบตามตรง

“เราสัญญากับเจ้าว่าเราจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงกล่าว พร้อมกับจุมพิตเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“อย่าครับ” คนตัวเล็กพูดได้แค่นั้นเมื่อคนตัวใหญ่ประกบปากทาบทับริมฝีปากบางอันเย้ายวน พระองค์ค่อยๆ จุมพิตอย่างอ่อนโยน จนคนตัวเล็กค่อยๆ ยอมโอนอ่อนแต่โดยดี พระองค์จูบริมฝีปากล่าง และขบเม้มเบาๆ จนร่างเล็กต้องครางเบาๆ ออกมา  พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปสำรวจภายในเพื่อค้นหาความหอมหวาน พระองค์ดูดดื่ม กลืนกินความหอมหวานนั้น อย่างหิวกระหาย ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์พัวพันกับลิ้นอันหอมหวานของคนตัวเล็ก พระองค์ค่อยๆ ดูดกลืนลิ้นนั้นอย่างดูดดื่ม จุมพิตอันเย้ายวนดำเนินไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ พระองค์มองคนตรงหน้าที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน

“เจ้ารังเกียจที่เราจูบหรือเปล่า” ทรงถามยิ้มๆ มิคาเอลก็เป็นฝ่ายที่หน้าแดง
“เราปรารถนาเจ้า ให้เราสัมผัสเจ้าได้ไหม” ทรงถาม มองตรงเข้าไปในดวงตาของคนตัวเล็ก
“ผม...” มิคาเอลไม่รู้จะตอบอย่างไร เขารู้ว่ายังไง หากพระองค์ต้องการ เขาก็ขัดไม่ได้อยู่ดี
“เราจะหยุดหากเจ้าไม่ต้องการ” ทรงตอบ ก่อนจะค่อยๆ จุมพิตร่างเล็กอีกครั้ง พระองค์จูบอย่างหยอกล้อและไซร้ลงที่ต้นคอขาวของคนตรงหน้า มิคาเอลถูกปลุกเร้าจนต้องครางเบาๆออกมา องค์เดเมียนจึงค่อยๆปลดกระดุมเสื้อออกก่อนจะไซร้ใบหน้าอันหล่อเหลาลงต่ำ พระองค์หยอกล้อกับยอดทับทิมสีชมพูทั้งสองก่อนจะกลืนกิน ปลุกเร้าให้มิคาเอลตอบสนองมากยิ่งขึ้น

“เจ้างดงามที่สุด มิคาเอล” ทรงกระซิบคำรักก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำ พระองค์ฝังใบหน้ากับแก่นกายของเขาผ่านกางเกงผ้า
“เจ้ากำลังตื่นตัว มิคาเอล” ทรงตรัสก่อนจะก้มลงจุมพิตกับส่วนอ่อนไหว มิคาเอลสะท้านด้วยความเสียวซ่าน แม้จะปรารถนาแต่ก็พยายามปฏิเสธ
“ฝ่าบาท ... อย่าครับ...ผม...”มิคาเอลพยายามจะฝืนความรู้สึก องค์เดเมียนเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามเสีบงแหบพล่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากให้เราหยุด” มิคาเอลหน้าแดง เขากำลังปรารถนาอยากจะปลดปล่อยแต่ก็หวาดกลัวต่อคนตรงหน้า
“เจ้ากำลังตื่นตัวแบบนี้ ทำไมไม่ให้เราช่วยเจ้าล่ะ” ทรงถามคนตัวเล็กตรงหน้า
“ผม... ผม...” ไมเคิลแทบจะไม่อาจพูดอะไรได้อีก ความช่ำชองของคนตรงหน้าทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน องค์เดเมียนเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา
“เราสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่ต้องการ เราจะหยุด เมื่อเจ้าปลดปล่อย” ทรงตรัส พร้อมกับปลดกางเกงของคนตรงหน้าออกช้าๆ ทรงสบตากับร่างเล็กตลอดเวลา มันทำให้มิคาเอลรู้สึกหวาบหวิวอย่างบอกไม่ถูก กางเกงค่อยๆ ถูกปลดออก มิคาเอลหน้าแดงและพยายามถอยหนี องค์เดเมียนจึงรั้งร่างเล็กมานั่งที่ตักของพระองค์ ก่อนจะจุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ลูบไล้ร่างเปลือยเปล่าของคนตัวเล็กไปทั่ว แต่กลับไม่สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก พระหัตถ์ของพระองค์จงใจไม่สัมผัสกับแก่นกายของคนตัวเล็ก แต่กลับไล้ผ่านไปมา และสัมผัสเพียงแผ่วเบาราวกับไม่ตั้งใจ แต่นั่นกลับทำให้ร่างเล็กตรงหน้าหอบหายใจหนักขึ้นอีก

มิคาเอลกำลังปรารถนาอย่างไม่อาจจะหักห้ามได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครปลุกเร้าเขาได้มากขนาดนี้ มิคาเอลหอบหายใจรู้สึกขัดใจ ที่พระองค์ไม่ยอมสัมผัสเขา
“เจ้ายังอยากให้เราหยุดหรือเปล่า” ทรงกระซิบถาม พร้องกับขบเม้มติ่งหูของคนตัวเล็กเบาๆ
“ฝ่าบาท..” มิคาเอลพูดได้แค่นั้น ร่างกายทรยศต่อเขา สมองด้านเหตุผลไม่ยอมทำงาน ความปรารถนาเข้าครอบงำ
“เจ้าต้องการให้เราช่วยหรือเปล่า” ทรงกระซิบถามอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียก
“ตอบเราสิว่าเจ้าต้องการ” ทรงย้ำถาม
“ครับ...ได้โปรด” มิคาเอลได้ยินเสียงของเขาตอบออกไป

องค์เดเมียนยินดี เอื้อมพระหัตถ์สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา จนคนตัวเล็กครางออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะยังไม่พอใจ จึงร้องเรียกหาเจ้าชายอีกครั้ง
“ฝ่าบาท” ร่างเล็กประท้วง พระจึงก้มลงจูบที่ต้นคอของคนตัวเล็ก และสัมผัสร่างของมิคาเอล ร่างเล็กก็ครางออกมาอย่างไม่อาจกั้น พระองค์สัมผัสร่างเล็กอย่างอ่อนโยน และค่อยๆ ขยับเป็นจังหวะช้าๆ ร่างเล็กก็ผวาเหนี่ยวรั้งพระองค์ไว้ และขยับตามจังหวะของพระองค์ ร่างเล็กหลับตาลงและปล่อยให้พระองค์นำพาไป เมื่อร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์กลับหยุดลงเอาดื้อๆ จนร่างเล็กต้องลืมตาขึ้นมอง

พระองค์วางร่างเล็กลงบนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าหวานตอนนี้กำลังเป็นสีชมพูจัด ลมหายใจที่หอบกระชั้น ริมฝีปากที่บวมช้ำจากการจูบเผยอออกเล็กน้อย ร่างเล็กตรงหน้าช่างยั่วยวนพระองค์เหลือเกิน

พระองค์วางร่างเล็กลงนั่งตรงขอบเตียง ก่อนพระองค์จะลงไปคุกเข่าต่อหน้าร่างเล็ก คนตัวเล็กทีีใบหน้าเป็นสีชมพูจัดอยู่แล้ว ในตอนนี้ยิ่งอายมากขึ้นไปอีก เมื่อใบหน้าของคนตัวใหญ่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงฟุต ด้วยสัญชาตญาณคนตัวเล็กพยายามหนีบขาเข้าหากัน แต่องค์เดเมียนก็ก้มลงจูบที่หัวเข่าทั้งสองข้างของเขาเพียงแผ่วเบา ก่อนที่พระองค์ จะเงยหน้าขึ้น รั้งใบหน้าหวานให้เข้ามาใกล้ก่อนจะจุมพิตร่างเล็กอีกครั้ง พระองค์จุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม และปรารถนา มือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้ร่างของคนตัวเล็กไปทั่ว ก่อนจะค่อยๆไล้ลงมาที่ต้นขาช้าๆ พระองค์จูบลงมาที่ต้นคอ และจูบไซร้ลงต่ำไปที่ยอดอก พระองค์ดูดกลืนความหวานจนหมดสิ้น ก่อนจะ ใช้พระหัตถ์ใหญ่จับที่เข่าและแยกออกจากกันช้าๆ โดยที่คนตัวเล็กไม่อาจขัดขืน

พระองค์ค่อยๆ ก้มหน้าลงและครอบครองแก่นกายของคนตัวเล็กช้าๆ สติของคนตัวเล็กก็เหมือนจะหลุดลอยไป ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไมเคิลไม่เคยสัมผัสมาก่อน ลิ้นร้อนๆ นั้นที่ตวัดเกี่ยวรัดและหยอกล้อในส่วนปลายยอด พระองค์ดูดกลืนเขา จนมิคาเอลต้องครางออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น
มือใหญ่สัมผัสร่างของเขาเป็นจังหวะสอดคล้องกับปากและลิ้นของพระองค์ มิคาเอลรู้สึกล่องลอย แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาทางด้านหลัง จนมิคาเอลต้องลืมตาขึ้นและพยายามถอยหนี ชั่วครู่หนึ่งเขารู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
ภาพในอดีตย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง

องค์เดเมียนจึงถอนนิ้วออกก่อนจะสัมผัสแต่เพียงภายนอก พระองค์ใช้ปากและลิ้นจนทำให้คนตัวเล็กเคลือบเคลิ้มอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะเร่งจังหวะ เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลมาส่งยังสวรรค์ ร่างเล็กร้องครางออกมาเสียงดัง ปลดปล่อยออกมาในปากขององค์เดเมียน พระองค์ก็กลืนกินไปจนหมด ก่อนจะค่อยๆ ถอนปากออกจากร่างของคนตัวเล็ก

https://www.facebook.com/teddybeararthur/
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 17 ตายทั้งเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 27-07-2016 01:56:41
บทที่ 17 ตายทั้งเป็น

ไมเคิลหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามรวบรวมสติ มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจในตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมให้ใครกระทำกับเขามากขนาดนี้ ไม่เคยมีใครแตะต้องเขาอย่างที่องค์เดเมียนกระทำหรืออีกในนัยหนึ่งคือ ไมเคิลไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องเขาแบบนี้ เมื่อได้สติ เขาจึงดึงผ้ามาปกปิดร่างกาย ก่อนจะถอยห่างจากคนตรงหน้า ภาพในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับมาทำร้ายเขา

อีกทั้งไมเคิลยังรู้สึกสมเพชตัวเองนัก ทั้งๆที่เขายังร้องไห้เสียใจเพราะเจ้าชายพระองค์หนึ่ง แต่แล้วกลับมาออดอ้อนกับเจ้าชายอีกพระองค์ คำพูดของหมอพอลดังก้องขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าชายพระองค์ไหน คนอย่างเขาก็ไม่คู่ควรทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เขาปฏิเสธ บอกว่าไม่ แต่การกระทำของเขาในตอนนี้มันจะต่างจากโสเภณีตรงไหนกัน เขาออดอ้อน และร้องขอให้เจ้าชายช่วยปลดปล่อยเขา ทั้งยังทำตัวราวกับโสเภณีร่านสวาท ความรู้สึกผิด และความสับสนต่างรุมเร้า แล้วจู่ๆ น้ำตาของคนตัวเล็กก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

องค์เดเมียนที่อยู่ตรงนั้น ยิ่งไม่เข้าใจ พระองค์พยายามจะเข้าไปปลอบ แต่ร่างเล็กกลับถอยหนีและหวาดกลัวพระองค์ ร่างเล็กร้องไห้ออกมาจนพระองค์รู้สึกผิด
“เจ้ารังเกียจเรามากขนาดนี้เลยเหรอ มิคาเอล เจ้าเกลียดเรามากจนทนให้เราแตะต้องไม่ได้เชียวหรือ” ทรงถามอย่างเจ็บปวด และ เริ่มเย็นชา ทั้งๆ ที่พระองค์สารภาพความในใจทั้งหมดแก่คนตรงหน้า แต่ร่างเล็กกลับรังเกียจพระองค์มากถึงเพียงนี้
“หากเป็นราฟาเอล เจ้าคงยินดีกว่านี้สินะ” ทรงตรัสเสียงเบา มองร่างเล็กตรงหน้าอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ร่างเล็กร้องไห้เพียงลำพัง

พระองค์เดินออกไปจากห้องบรรทม ก่อนเดินไปยังวิลล่าเล็ก ใบหน้าโกรธเกรี้ยวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มีเพียงริชชี่ ที่เดินเข้ามาหาพระองค์ ก่อนจะกอดพระองค์ไว้
“ฝ่าบาท มีอะไรให้ผมรับใช้ได้บ้างครับ” ริชชี่ถาม
“แค่อยู่เป็นเพื่อนเราก็พอ” ทรงตรัสเบาๆ จนริชชี่แปลกใจ ปกติ องค์เดเมียนไม่เคยเป็นแบบนี้
“ฝ่าบาท ทำไมพระองค์จะต้องไปสนใจแมวตัวนั้นของพระองค์ด้วยล่ะครับ ทั้งๆ ที่แมวตัวนั้นไม่รู้จักที่ของตนและทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดแบบนี้”ริชชี่กล่าวอย่างเป็นห่วง
“ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงเรา แต่มันไม่ใช่ความผิดของมิคาเอลหรอก เราต่างหากที่ผิดเอง” องค์เดเมียนกล่าว และอีกครั้งที่ริชชี่แทบไม่เชื่อหู คนอย่างองค์เดเมียน ไม่เคยปกป้อง หรืออ่อนโยนแบบนี้กับใคร แม้แต่กับเขาที่เป็นคนโปรด อยู่ดีๆ ริชชี่ก็เกิดรู้สึกไม่พอใจในตัวคนๆ นี้ขึ้นมา

ริชชี่รินคอนยัคชั้นดีให้องค์เดเมียน ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า ปลุกเร้าพระองค์ เพื่อหวังให้พระองค์จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม องค์เดเมียน รั้งร่างริชชี่ขึ้นมา ก่อนจะให้ริชชี่นั่งลงบนตักของพระองค์ พระองค์ฝังร่างของพระองค์กับร่างของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มก็ร้องครางออกมา ก่อนจะขยับโยกอย่างเชื่องช้า และค่อยๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น

ริชชี่ปรารถนาให้องค์เดเมียนกลับมาเป็นคนเดิม แม้ผู้คนมากมายจะหวาดกลัวพระองค์ แต่ริชชี่ก็รู้ว่าพระองค์เป็นคนที่อ่อนโยนคนหนึ่ง แม้ผู้คนจะตราหน้าว่าพระองค์โหดร้าย แต่หากตามใจพระองค์ ทำให้พระองค์พอใจ องค์เดเมียนก็จะยิ่งใจดีกลับมากยิ่งกว่า

ริชชี่ย่อมรู้ดีเพราะเขาเดินทางมาที่คานาเดียเพื่อมาทำงานส่งเงินไปรักษาแม่ที่ป่วย พ่อของริชชี่เสียชีวิตไปนานแล้ว ริชชี่เหลือเพียงแม่ที่เป็นคนไทย ซึ่งหมอตรวจพบว่าแม่ของเขาเป็นมะเร็ง ถึงแม้จะเป็นมะเร็งที่รักษาได้แต่ค่าใช้จ่ายที่สูง ลำพังเพียงเขาคนเดียวย่อมไม่มีทางหาเงินมากขนาดนั้นมารักษาแม่ได้  คนรู้จักของเขาแนะนำให้มาทำงานที่คานาเดีย ริชชี่จึงเดินทางมาที่นี่ ทั้งๆ ที่ห่วงผู้เป็นแม่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่แล้วเขาก็โชคดีมาพบกับองค์เดเมียน และพระองค์ก็รับเขาเป็นสนมของพระองค์ นอกจากพระองค์จะดีกับเขามากแล้ว พระองค์ยังให้แม่ของเขามาอยู่ที่คานาเดีย และได้รับการรักษาอย่างดีจนหาย และพระองค์ยังอนุญาตให้ริชชี่ออกไปพบแม่ได้เดือนละครั้งภายใต้การดูแลขององครักษ์อีกด้วย หากไม่มีพระองค์เขาคงจะต้องเสียแม่ไปแล้วแน่ๆ ดังนั้น ริชชี่จึงพยายามทำทุกอย่างให้กับเจ้าชายเดเมียน โดยไม่เกี่ยงงอนแม้แต่น้อย

ในตอนหัวค่ำองค์เดเมียนสั่งให้ตั้งโต๊ะอาหาร และทรงสั่งให้แดเรียลไปบอกกับมิคาเอลให้มาทานอาหารค่ำกับพระองค์
มิคาเอลที่แต่งตัวในแบบคานาเดียกำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ชุดที่ใส่เป็นชุดที่องค์เดเมียนเลือกให้ ตราประทับรูปเสือดำประดับอยู่ที่หน้าอกซ้าย ดวงตาที่บวมช้ำบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนัก ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันเมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงหน้า พระองค์อยากเข้าไปกอด แต่ก็ทรงยั้งตัวเองเอาไว้
“นั่งลงสิ” ทรงสั่ง มิคาเอลจึงนั่งก้มหน้าไม่ยอมสบตาคนตรงหน้า
“เราจะประกาศเรื่องรับเจ้าเป็นสนมของเราในวันพรุ่งนี้ จากนี้ต่อไป เจ้าจะต้องสวมใส่สัญลักษณ์ของเราเสมอ และเราสั่งให้นางกำนัลจัดห้องพักของเจ้าไว้ในวิลล่าเล็กแล้ว” ทรงกล่าวเรียบเฉยเย็นชา

มิคาเอลไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเพียงรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้ขัดขืน และไม่ได้ยินดี
“หากเราเรียกหาเจ้า เจ้าก็ต้องมาหาเรา และทำตามที่เราต้องการ” ทรงกล่าว
“ผมรู้สถานะของผมครับ” ร่างเล็กกล่าว “แต่ผมปฏิเสธที่จะร่วมรักกับพระองค์” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ
“เจ้าเป็นสนม การร่วมรักกับเราก็เป็นหน้าที่ของเจ้า” ทรงตอบอย่างไม่พอใจ
“ผมปฏิเสธที่จะร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์จะลงโทษผมก็เชิญ” มิคาเอลกล่าว
“เจ้าเป็นสนม เจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”ทรงตรัสเสียงกร้าว
“ผมไม่ได้ต้องการเป็นสนม ผมไม่ต้องการเป็นของพระองค์” มิคาเอลตอบ
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้าร่วมรักกับใครมาแล้วกี่คน ในตอนนี้เจ้าเป็นของเรา หากเราต้องการเจ้า เจ้าก็ต้องยอม” องค์เดเมียนขึ้นเสียง

ทรงโกรธที่ร่างเล็กทั้งดื้อรั้น เอาแต่ใจ นอกจากจะไม่ยอมตามใจพระองค์แล้ว ร่างเล็กยังเอาแต่ทำให้พระองค์รู้สึกเจ็บเสมอ ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเคยร่วมรักกับคนอื่นมาแล้ว และก็คงจะเคยร่วมรักกับราฟาเอลมาแล้ว แต่ร่างเล็กกลับยังเอาแต่ปฏิเสธพระองค์

“ผมยอมถูกทำโทษ ยอมถูกเฆี่ยนตี ยังจะดีเสียกว่า ผมจะไม่ร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์บังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย” มิคาเอลกล่าว
“เจ้าจะกล้าดีเกินไปแล้ว เจ้าเป็นเพียงสนม เจ้าควรจะรู้จักที่ของเจ้าไม่ใช่มาอวดดีกับเราแบบนีั”

องค์เดเมียนโกรธคนๆ นี้เหลือเกิน ทั้งๆ ที่พระองค์ทำดีด้วย แต่คนตรงหน้ากับไม่เห็นความดีของพระองค์ ตรงกันข้ามกลับเอาความใจดีของพระองค์มาใช้ในการทำร้ายพระองค์อีก ในเมื่อพระองค์ทำดีกับคนตัวเล็กแต่คนตัวเล็กไม่เห็นค่า พระองค์ก็จะไม่ใจดีด้วยอีก
องค์เดเมียนลุกขึ้นและเดินตรงเข้ามาหามิคาเอล มิคาเอลจึงยืนขึ้น เงยหน้ามองคนตัวใหญ่ พระองค์เงื้อมือขึ้น แต่มิคาเอลกลับหลับตาลง ราวกับรอคอยการลงโทษจากคนตรงหน้า
คนตัวใหญ่ยั้งมือเอาไว้ ก่อนจะทุบลงบนโต๊ะเสียงดัง

“เจ้าต้องการอะไร” ทรงถามลอดไรฟัน พยายามจะระงับความโกรธที่มีต่อคนตรงหน้า
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากพระองค์ ผมเพียงอยากให้พระองค์ ปล่อยผมไป” มิคาเอลตอบ
“เจ้ายังคิดอีกเหรอว่าเจ้าจะไปจากเราได้ เราบอกเจ้าแล้วไง นับจากวันนี้เจ้าคือ ของๆ เรา เจ้าเป็นสนม เป็นสมบัติของเรา เราสั่งให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ต้องทำ หากเราต้องการเจ้า เจ้าก็ต้องตอบสนองเรา” ทรงตรัสเสียงดัง
“ผมยอมตายดีกว่า” ไมเคิลกล่าว และนั่นก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายองค์เดเมียนโกรธคนตรงหน้า และเสียใจที่คนๆ นี้กล้ามาทำแบบนี้

พระองค์รู้สึกเจ็บปวดที่ร่างเล็กที่ควรจะเป็นสนมของพระองค์เริงรักกับชายอื่น แต่กลับยอมตายแทนที่จะร่วมรักกับพระองค์
“ก็ได้ หากเจ้าอยากตายนัก เราก็จะทำให้เจ้าตายด้วยความปรารถนาจากเรา เราจะทำให้เจ้าขาดใจตายหากไม่ได้ร่วมรักกับเรา และเราจะทำให้ร่างกายของเจ้าขาดเราไม่ได้” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงกระด้าง ด้วยความโกรธ ตรงเข้ามาหาร่างเล็ก

มิคาเอลรู้สึกกลัวคนตรงหน้าขึ้นมา พยายามจะถอยหนี แต่องค์เดเมียนก็คว้าจับข้อมือไว้ ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กพาดบ่าและพาเข้าไปในห้องบรรทม มิคาเอลพยายามดิ้น แต่คนตัวใหญ่กลับรั้งเขาไว้แน่นยิ่งขึ้น
“ปล่อยผม ผมเกลียดพระองค์ คนอย่างพระองค์ไม่มีหัวใจ คนใจร้าย คนอย่างพระองค์ก็สมควรแล้วที่ไม่มีใครรัก!!!” มิคาเอลกล่าว

องค์เดเมียนโยนร่างของมิคาเอลลงบนเตียง มิคาเอลรีบถอยหนีแต่คนตัวใหญ่กลับจับข้อเท้าและดึงเข้าหาพระองค์
“ปล่อยผม!!! อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำผม!!!” มิคาเอลร้องอ้อนวอนขอให้องค์เดเมี่ยนหยุด
องค์เดเมียนฉีกเสื้อผ้าของมิคาเอลออก ก่อนจะใช้ร่างของพระองค์ตรึงคนตัวเล็กเอาไว้ใต้ร่าง

“ในเมื่อเราทำดีกับเจ้าแล้วเจ้าไม่ชอบ เจ้ากลับเอาความใจดีของเรากลับมาทำร้ายเรา ต่อจากนี้ไปเราก็จะไม่ทำดีกับเจ้าอีก” ทรงตรัสอย่างเย็นชา
“ฝ่าบาท!! อย่าทำกับผมแบบนี้ ผมขอร้อง ปล่อยผม ได้โปรด อย่า!!” มิคาเอลอ้อนวอน น้ำตาไหลรินออกมา สะอื้นไห้ และหวาดกลัว
“เจ้าจะเล่นละครทำไม เจ้ามีอะไรกับผู้ชายมาแล้วกี่คน เราอยากจะรู้นักว่า เวลาที่เจ้าแยกขาออกให้ราฟาเอล เจ้าขัดขืนราฟาเอลบ้างหรือเปล่า หรือว่าเจ้าทนไม่ไหว และอ้อนวอนให้ราฟาเอลสมสู่กับเจ้า” องค์เดเมียนกล่าวอย่างโหดร้าย ก่อนจะบดริมฝีปากของคนใต้ร่าง

"ผมเปล่า... ปล่อยผม...ผมเกลียดพระองค์... คนใจร้าย” มิคาเอลร้องไห้ พยายามผลักไสคนตรงหน้า แต่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ คนตัวใหญ่รวบมือมือของมิคาเอลไว้ ก่อนจะจูบประทับลงบนริมฝีปากบาง อย่างเป็นเจ้าของ

“จำเอาไว้ ว่าเราเป็นเจ้าของเจ้า และเจ้าเป็นของเรา เจ้ามีหน้าที่ตอบสนองความต้องการของเรา เจ้าที่เป็นแค่ของเล่นบนเตียง อย่าได้คิดสำคัญตัวผิด” ทรงตรัสอย่างหยาบกระด้าง พระองค์จูบลงบนต้นคอเนียน และทิ้งรอยเอาไว้หลายรอย พระหัตถ์ใหญ่เอื้อมลงมา สัมผัสกับแก่นกายของมิคาเอลปลุกเร้าคนตัวเล็กให้ตื่นตัว

มิคาเอลที่เอาแต่ร้องไห้อ้อนวอนให้คนตัวใหญ่หยุด สีหน้าที่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่องค์เดเมี่ยนก็ไม่ยอมหยุด พระองค์ยกขาของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วสัมผัสกับความอ่อนไหวเบื้องหลัง และค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปภายใน

มิคาเอลสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกนิ้วของคนตัวใหญ่ล่วงล้ำเข้ามา เขาทำหน้าเจ็บปวดและร้องออกมา แต่องค์เดเมียนก็ไม่หยุดพระองค์ยังคงขยับนิ้วเข้าออกจนคนตัวเล็กเริ่มชิน แต่พระองค์ก็สอดนิ้วเพิ่มเข้าไปอีก

“ปล่อยผม... ได้โปรด... อย่าทำแบบนี้” มิคาเอลร้องขอ แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ คนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด น้ำตาของมิคาเอลไหลรินออกมา เขาทรมานเหลือเกิน เขาไม่อยากอยู่ในสภาพนี้ ภาพความหลังในอดีต ตามมาหลอกหลอน และคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้มิคาเอลหวาดกลัว แต่สุดท้ายมิคาเอลก็หยุดขัดขืน เพราะเขารู้ว่า องค์เดเมียนคงไม่มีทางปล่อยเขาไป ความเจ็บปวด ความทรมานเกาะกินหัวใจของมิคาเอล น้ำตาที่ไหลริน ไม่ได้ช่วยอะไร เขาจึงหลับตา และปล่อยให้คนตัวใหญ่เอาเปรียบเขา ด้วยสำนึกตนว่าไม่ว่าอย่างไร เขาคงไม่มีทางขัดขืนคนตรงหน้าได้ เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในวินาทีนั้น มิคาเอลก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ของคำว่า ตายทั้งเป็น
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 18 ด้วยความจำยอม 20+++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 27-07-2016 01:59:36
บทที่ 18 ด้วยความจำยอม

องค์เดเมียนโกรธคนตัวเล็กเหลือเกิน ทั้งๆ ที่พระองค์ทำดีด้วยทุกอย่าง แต่คนตัวเล็กก็ยังปฏิเสธพระองค์ และยังคงยืนกรานจะไม่ร่วมรักกับพระองค์ พระองค์ไม่เข้าใจทั้งๆ ที่พระองค์พยายามอ่อนโยนกับคนๆ นี้ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กก็เอาแต่ทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวด หากเปลี่ยนเป็นราฟาเอล คนตัวเล็กคงจะยินยอมพร้อมใจ โดยไม่เกี่ยงงอน ต่างจากคนอย่างพระองค์ที่คนๆ นี้ไม่ต้องการ

แต่พระองค์จะไม่ยอมให้คนตัวเล็กปฏิเสธ ในเมื่อคนตัวเล็กทำร้ายพระองค์ได้ ทำไมพระองค์จะทำร้ายคนๆ นี้บ้างไม่ได้ อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นถึงเจ้าชาย หากพระองค์ต้องการใคร พระองค์ย่อมต้องได้มา

พระองค์ปลุกเร้าร่างเล็ก ทรงจูบปิดปากที่คอยแต่จะพูดจาคำร้ายๆ ให้พระองค์เจ็บปวด ลิ้นร้อนของพระองค์สอดใส่และควานหาความหวานของคนตรงหน้า บังคับให้ร่างเล็กตอบสนอง แต่อีกครั้งที่ร่างเล็กเอาแต่ร้องไห้ และปฏิเสธพระองค์

พระองค์จึงจูบไซร้ที่ต้นคอขาวเนียน ทรงจูบและทิ้งรอยสีชมพูไว้หลายจุด มือใหญ่ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ และสัมผัสกับความตื่นตัวของร่างเล็ก แม้จะตื่นตัว แต่มิคาเอลก็ไม่ยินยอม จนพระองค์ต้องบังคับ พระองค์ยกขาเรียวของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วล่วงล้ำเข้าไป ร่างเล็กกลับสะดุ้งและร้องออกมาอย่างไม่คุ้นชิน และพระองค์ก็แปลกใจในความคับแน่นของร่างเล็ก แต่ด้วยความช่ำชองของพระองค์เพียงไม่นานร่างเล็กก็เริ่มคุ้นชิน พระองค์จึงเริ่มสอดนิ้วเพิ่มเข้าไป ร่างเล็กทำสีหน้าเจ็บปวดเมื่อนิ้วที่สามรุกล้ำเข้าไป

ในที่สุดคนตัวเล็กก็หยุดขัดขืน แต่สีหน้าของคนตัวเล็กกลับดูเจ็บปวด จนพระองค์รู้สึกสงสารขึ้นมา แต่ในเมื่อร่างเล็กไม่ยอมรับในความอ่อนโยนที่พระองค์มอบให้ พระองค์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใจดีกับคนตัวเล็กอีก พระองค์หยิบเจลหล่อลื่นมาชโลม ก่อนจะฝังร่างของพระองค์กับร่างของคนตัวเล็ก

มิคาเอลกรีดร้องอย่างเจ็บปวด บางอย่างไม่ถูกต้อง ร่างเล็กน้ำตาไหลริน สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด มือกำผ้าปูที่นอนจนแน่น และพยายามกลั้นเสียงเอาไว้
ร่างเล็กหลับตาแน่น ราวกลับไม่อยากรับรู้ความจริง ราวกลับต้องการให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
ความเจ็บปวด คือสิ่งเดียวที่พระองค์เห็นจากใบหน้าหวาน

พระองค์แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น เพื่อให้ร่างเล็กได้คุ้นชินกับขนาดของพระองค์ พระองค์ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน แต่ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าก็ไม่ได้โกหก ร่างเล็กกำลังเจ็บปวดจากความเห็นแก่ตัวของพระองค์

พระองค์รู้สึกผิดขึ้นมา ที่ฝืนบังคับร่างเล็กให้ร่วมรักกับพระองค์ หากพระองค์รู้มาก่อน พระองค์จะอ่อนโยนกว่านี้ ทรงก้มลงจุมพิตร่างเล็ก แต่ร่างเล็กกลับเบี่ยงหน้าหนี ไม่ต้องการความสงสารจากคนตัวใหญ่

“ผม...เกลียด...เกลียด...พระองค์” ร่างเล็กกล่าวออกมาอย่างเจ็บปวด และคนที่ได้ยินก็เจ็บปวดไม้แพ้กัน พระองค์ค่อยๆ ขยับร่างช้าๆ แต่มิคาเอลก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด มิคาเอลเจ็บปวดทั้งกาย และ ใจ ทรมานทั้งใจ และ กาย

องค์เดเมียนโอบกอดร่างเล็กเอาไว้หวังจะช่วยปลอบโยน พระองค์ขยับร่างเข้าออกช้าๆ
ความคับแน่น ทำให้พระองค์รู้สึกดีจนแทบทนไม่ไหว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิด หลังจากพยายามอยู่นานในที่สุด มิคาเอลก็เริ่มคุ้นชินกับพระองค์

แม้จะไม่ต้องการ แต่เพราะความช่ำชองขององค์เดเมี่ยน ก็ทำให้ร่างเล็กค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น พระองค์ก้มลงจุมพิตที่ต้นคอ ขบเม้มเบาๆ ร่างเล็กครางเบาๆออกมา
“อย่าเกร็งสิ เด็กดี ยอมรับเรา” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน
“ผม...เกลียด...พระองค์” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา
“เรารู้ แต่เรารักเจ้า” ทรงกระซิบตอบ ประทับจุมพิตบนริมฝีปากบาง ไม่อยากได้ยินคำพูดของร่างเล็กอีก

ลิ้นร้อนสอดใส่ควานหาความหวานจากร่างเล็ก พระองค์ดูดกลืนความหอมหวาน ก่อนจะพลิกร่างเล็กขึ้นคร่อมพระองค์ พระองค์ลุกขึ้นนั่ง ร่างของพระองค์ยังคงสอดแทรกอยู่ภายใน โอบกอดร่างของมิคาเอลไว้ ร่างเล็กนิ่วหน้าจากความคับแน่น พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้าหาและจุมพิตดูดดื่ม ลิ้นของพระองค์หยอกล้อร่างเล็ก เกี่ยวกระหวัดลิ้นของร่างเล็กให้ตอบสนองต่อพระองค์
พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า จนคนตรงหน้าหอบหายใจ อย่างรัญจวน เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลไปยังสรวงสวรรค์ มิคาเอลปลดปล่อยออกมา อย่างไม่อาจหักห้าม พระองค์จูบร่างเล็กเบาๆ ร่างของพระองค์ยังคงแข็งแกร่ง ฝังตัวอยู่ภายในร่างของมิคาเอล

คนตัวเล็กเริ่มชินกับความคับแน่น พระองค์จึงยกร่างของมิคาเอลออก ก่อนจับให้ร่างเล็กคุกเข่า พระองค์ค่อยๆ สอดใส่จากทางด้านหลัง ร่างเล็กก็ต้องครางออกมา เมื่อคนตัวใหญ่ค่อยๆ สอดใส่เข้ามาอีกครั้ง ร่างอันใหญ่โตของพระองค์ ค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างของคนตัวเล็ก ด้วยท่วงท่านี้ ร่างของพระองค์เข้าไปได้ลึกยิ่งขึ้น ร่างเล็กร้องครางอย่างเสียวซ่าน มือจิกผ้าปูไว้ด้วยความรัญจวน เมื่อร่างเล็กคุ้นชิน พระองค์ก็เริ่มขยับกายช้าๆ รั้งร่างเล็กขึ้นมาจุมพิต ก่อนจะทรงจะขบกัดที่ต้นคอ จนมิคาเอลต้องร้องครางออกมา

ร่างเล็กแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจขัดขืนพระองค์ เจ้าชายเดเมียนทรงช่ำชองเรื่องบนเตียงจนทำให้ ร่างเล็กไปถึงสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนานหลายชั่วโมง ร่างเล็กได้แต่โอนอ่อนตามแต่พระองค์จะนำพาไป ความเจ็บปวดหายไป เหลือเพียงความรัญจวนใจและความปรารถนาเท่านั้น

พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลหลายต่อหลายท่า ก่อนพระองค์จะวางร่างเล็กลงและทรงทาบทับร่างเล็กอีกครั้ง ร่างเล็กจิกมือกับผ้าปู ร่างกายที่ทรยศขยับตามจังหวะของคนตัวใหญ่อย่างไม่อาจหักห้าม องค์เดเมียนขยับโยกช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น จนในที่สุดพระองค์ก็ส่งมิคาเอลไปสวรรค์อีกครั้ง ก่อนพระองค์จะปลดปล่อยออกมาภายในร่างของมิคาเอล

องค์เดเมียนกอดและจูบมิคาเอลอย่างหลงใหล พระองค์ไม่เคยมีความสุขมากเท่านี้มาก่อนเลย ทรงรั้งร่างเล็กขึ้นมานอนบนร่างของพระองค์ ร่างเล็กซบใบหน้ากับอกกว้าง และหลับไปในแทบจะทันที

องค์เดเมียนจ้องมองร่างเล็กที่หลับไหลอยู่กับอกของพระองค์ ยังไม่อยากจะเชื่อว่าว่าร่างเล็กไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน ทั้งๆ ที่ท่าทีอันเย้ายวน จนทำให้ทั้งพระองค์ และราฟาเอลหลงใหล อีกทั้งมิคาเอลเองก็ไม่ใช่เด็กๆ ร่างกายอันเย้ายวนนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี แต่ชายหนุ่มกลับไร้ประสบการณ์ พระองค์ที่ผ่านเรื่องบนเตียงมาอย่างโชกโชนย่อมรู้ดีว่าใครเสแสร้ง และใครที่ไร้ประสบการณ์

อีกทั้งความคับแน่นของคนตัวเล็กอีกเล่า ร่างเล็กช่างคับแคบจนพระองค์แทบจะสอดใส่ไม่เข้า หากไม่มีเจล พระองค์คงไม่มีทางผ่านช่องทางอันคับแคบนั้นได้แน่นอน เพียงแค่คิดพระองค์ก็รู้สึกถึงความตื่นตัวเบื้องล่างขึ้นมาอีก

พระองค์ลูบไล้ร่างเล็กอย่างรักใคร่ ทรงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของมิคาเอล อย่างหลงใหล ในชีวิตพระองค์ไม่เคยปรารถนาใครมากเท่านี้มาก่อน แต่พระองค์ก็รู้ว่าพระองค์คงไม่อาจฝืนกระทำต่อมิคาเอลได้อีก อย่างน้อยมิคาเอลก็คงต้องการพักผ่อน และพักฟื้นสักระยะ

พระองค์โอบกอดร่างเล็กเอาไว้แนบหัวใจ เป็นครั้งแรกที่พระองค์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา คนๆนี้ ทำให้พระองค์รู้จักกับทั้งความสุข และ ความทุกข์ ในเวลาเดียวกัน พระองค์ได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้พระองค์ไม่ต้องเสียคนตรงหน้าไป หัวใจของพระองค์เจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อคิดถึงความหลัง แต่พระองค์ก็เก็บซ่อนมันไว้ ไม่ยอมให้ใครรู้
พระองค์โอบกอดร่างของมิคาเอลเอาไว้จนเช้า

มิคาเอลตื่นขึ้นในตอนเช้า และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็พบว่าเขานอนทาบทับองค์เดเมี่ยนอยู่ ร่างกายของเขาและของพระองค์ต่างเปลือยเปล่าแนบชิดกัน ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ย้อนกลับมาในความคิดของมิคาเอล เขาจึงพยายามจะลุกขึ้น และถอยห่างจากคนใจร้ายคนนี้
แต่เมื่อเขาขยับตัวความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่ จนร่างเล็กต้องร้องออกมา

องค์เดเมี่ยนที่อยู่ข้างใต้ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับโอบกอดร่างเล็กเอาไว้
“เจ้าควรจะอยู่เฉยๆ เราจะให้คนตามหมอมาให้” ทรงตรัสก่อนจะจุมพิตคนตรงหน้าเบาๆ
“ปล่อยผม! อย่ามาแตะต้องตัวผม ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าว และ พยายามจะผลักคนตรงหน้าออกไป
“เจ้าก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ยังไงเจ้าก็ขัดขืนเราไม่ได้ เจ้าเป็นของเรา” ทรงตรัส น้ำตาของมิคาเอลไหลออกมา เขาเจ็บปวดเหลือเกิน ทั้งกาย และใจ
“พระองค์ยังต้องการอะไรจากผมอีก”มิคาเอลกล่าวถามทั้งน้ำตา เมื่อพระองค์เห็นจึงรั้งร่างเข้ามากอดหวังจะปลอบโยน แต่ร่างเล็กกลับข่วนใบหน้าของพระองค์จนเลือดไหล บาดแผลห่างจากดวงตาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ปล่อยผม” มิคาเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำไมเจ้าถึงได้เกลียดเรานัก ทั้งๆ ที่เรารักเจ้า” ทรงถามด้วยสีหน้าที่ดูเจ็บปวด ทรงปล่อยมิคาเอล คนตัวเล็กจึงหยิบผ้ามาปกปิดร่าง และฝืนลุกขึ้น
“ผมไม่ต้องการความรักจากพระองค์ เก็บความรักจอมปลอมของพระองค์ไว้เถอะ” มิคาเอลกล่าว
“มิคาเอล ...”
“ผมหวังว่าพระองค์จะพอใจกับร่างกายของผม ในเมื่อผมขัดขืนพระองค์ไม่ได้ ผมหวังว่าพระองค์คงจะมีความสุขที่รังแก คนที่ไม่มีทางสู้อย่างผมได้ แต่พระองค์อย่าคิดว่าการที่พระองค์ครอบครองร่างกายของผมแล้ว ผมจะต้องทำตามที่พระองค์สั่ง ผมสาบานว่าผมจะไปจากพระองค์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าคิดว่าการที่พระองค์บอกรักผมแล้ว ผมจะต้องรักพระองค์ตอบ ผมสาบานตราบที่ผมยังหายใจ ผมจะไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่พระองค์กระทำกับผม ผมเกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

องค์เดเมียนไม่ได้พูดอะไรอีก ทรงมองคนตรงหน้า และเดินเข้ามาหา โอบอุ้มร่างเล็กที่มีเพียงผ้าปูคลุมร่าง และพามิคาเอลไปที่ห้องที่วิลล่าเล็ก

"เรารู้ว่าเจ้าเกลียดเรา เราจะไม่เรียกร้องความรักจากเจ้า แต่เราจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป ตราบเท่าที่เรายังหายใจ เราจะรักเจ้า ไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส และวางร่างเล็กที่เฉยชาลงบนเตียง ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 19 เพื่อนใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-07-2016 02:40:29
บทที่ 19 เพื่อนใหม่

องค์เดเมียนสั่งให้แดเรียลดูแลมิคาเอลอย่างดี และสั่งให้ตามหมอพอลมาดูอาการของมิคาเอลด้วย ส่วนพระองค์ก็เสด็จไปหาองค์นาธานเนียลเพื่อแจ้งความประสงค์ ที่จะรับมิคาเอลเป็นสนม และองค์นาธานเนียลก็ทรงแปลกใจอีกครั้ง ที่เด็กคนนั้นกลับมีอิทธิพลกับเสด็จพี่ของพระองค์มากเพียงนี้
“พี่รักมิคาเอล” ทรงสารภาพ “แต่มิคาเอลรักราฟาเอลไม่ใช่พี่”
“ราฟาเอลก็ดูเสียใจมากนะครับ” องค์นาธานเนียลกล่าวขึ้น
“เจ้าคิดจะให้พี่มอบมิคาเอลให้ราฟาเอลหรืออย่างไร” องค์เดเมียนถามอย่างเจ็บปวด
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่ไม่อยากให้คนๆ เดียวมาเป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ต้องผิดใจกัน” องค์นาธานเนียลกล่าว
“แล้วอย่างไร เจ้าควรจะบอกกับราฟาเอลให้ตัดใจ มิคาเอลเป็นของพี่” องค์เดเมี่ยนกล่าวและเป็นจังหวะเดียวกับที่ราฟาเอลเดินเข้ามา

"พระองค์หมายความว่าอย่างไรที่ทรงตรัสว่า มิคาเอลเป็นของพระองค์” องค์ราฟาเอลถาม มองคนเกิดก่อนด้วยความไม่พอใจ
“ก็หมายความว่ามิคาเอลเป็นของเรายังไง” องค์เดเมี่ยนตอบ รู้สึกขัดใจที่ราฟาเอลเข้ามาสอดรู้
“พระองค์คงไม่ได้ฝืนบังคับไมเคิลหรอกนะ” ราฟาเอลถามเมื่อเห็นรอยเล็บที่ใบหน้าขององค์เดเมียน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าควรจะตัดใจได้แล้ว” ทรงตอบ
“ไมเคิลมีความหลังในอดีต และเขาก็กลัวการถูกบังคับ พระองค์คงไม่ได้ฝืนใจไมเคิลหรอกใช่มั้ย” องค์ราฟาเอลถาม แต่องค์เดเมี่ยนก็นิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับร้อนรน และเริ่มเข้าใจคนตัวเล็กมากยิ่งขึ้น

“พี่ก็แค่จะมาบอกให้รู้ว่าพี่รับมิคาเอลให้เป็นสนมแล้วแค่นั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่กลับล่ะ” องค์เดเมียนกล่าวกับองค์นาธานเนียล และเมินเฉยต่อราฟาเอล และแม้องค์ราฟาเอลจะไม่พอใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ องค์นาธานเนียลได้แต่ส่ายหน้า ลึกๆ พระองค์ไม่พอใจในตัวของมิคาเอลนักที่เป็นต้นเหตุทำให้สองพี่น้องต้องทะเลาะกัน
แต่พระองค์ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ราฟาเอล อย่างที่เสด็จพี่เดเมียนกล่าว เจ้าคงต้องตัดใจเสีย” องค์นาธานเนียลกล่าว
“หากมิคาเอลมีความสุขผมจะไม่ขัดขวางเลย แต่นี่ดูก็รู้ว่ามิคาเอลไม่มีความสุขสักนิด เสด็จพี่เดเมียนที่เอาแต่ใจ มีแต่จะทำให้มิคาเอลต้องเจ็บปวด และผมก็ทนไม่ได้” องค์ราฟาเอลกล่าว

“แต่มิคาเอลก็เป็นสนมของเสด็จพี่เดเมี่ยนดังนั้นพระองค์มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้โดยที่เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง” องค์นาธานเนียลกล่าว มองน้องชาย ด้วยความเป็นห่วง
“ตัดใจซะเถอะ ราฟาเอล พี่เชื่อว่าคนอย่างเจ้ายังมีคนที่คู่ควรมากกว่ามิคาเอลอยู่” องค์นาธานเนียลตรัส ปลอบโยนน้องชาย
“ผมไม่ยอมรับหรอกนะครับ และผมจะแย่งมิคาเอลกลับมา” ราฟาเอลกล่าวและเดินออกไป
องค์นาธานเนียลไม่สบายใจเลยที่เห็นทั้งพี่ และน้องของพระองค์ ผิดใจกันแบบนี้ ความรู้สึกไม่พอใจค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย

หมอพอลเดินทางมาดูแลอาการของมิคาเอลอีกครั้ง มิคาเอลหน้าแดงด้วยความอับอายต่อผู้เป็นหมอ

“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้ามาดูแล “สนม” ขององค์เดเมียน” หมอพอลกล่าวอย่างเย็นชา เขาย่อมรู้ว่าองค์เดเมี่ยนมีสนมหลายต่อหลายคน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาก็คงเคยเกิดขึ้นมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็เป็นแค่หนึ่งในของเล่นบนเตียงของพระองค์
“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว
“ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นครับ พระสนม” หมอพอลกล่าว แต่มิคาเอลกลับรู้สึกถึงความเหยียดหยันในน้ำเสียง

“ผมขอแนะนำว่ากรุณางดการร่วมรักอย่างน้อยสักอาทิตย์ แต่ถ้าคุณทนไม่ไหว ก็ควรบอกกับองค์เดเมียนให้อ่อนโยนกับคุณหน่อยก็แล้วกัน” หมอพอลกล่าว
“ผมไม่ได้…ครับ” มิคาเอลอยากจะปฏิเสธ แต่ก็กลืนคำพูดลงคอ เขารู้สึกเจ็บปวดที่โดนดูถูกแบบนี้ แต่ในฐานะอย่างเขา ที่ไม่ต่างจากนางบำเรอก็คงไม่มีเกียรติอะไรให้ใครนับถืออยู่ดี
“คุณหมอครับ… องค์ราฟาเอล…เป็นอย่างไรบ้างครับ” มิคาเอลอดถามถึงเจ้าชายอีกพระองค์ไม่ได้
“ผมขอโทษเถอะนะครับ พระสนม แต่ในฐานะอย่างคุณในตอนนี้ ผมคิดว่าคุณควรเลิกคิดถึงองค์ราฟาเอลได้แล้ว คุณที่เป็นขององค์เดเมี่ยน คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยนามของชายอื่นด้วยซ้ำไป หรือแค่องค์เดเมี่ยนยังตอบสนองความร่านของคุณไม่พอ” หมอพอลกล่าวอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้มิคาเอลร้องไห้ เจ็บปวดกับคำพูดอันโหดร้าย และหลับไป

องค์เดเมียนเมื่อกลับมาถึง ก็เข้ามาหามิคาเอล ทรงมองคนตัวเล็กหลับไหลอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร พระองค์ไม่รู้ พระองค์จึงได้ทำผิดต่อคนตรงหน้า พระองค์นั่งลงข้างเตียงมองคนตัวเล็กอยู่เงียบๆ ใบหน้าที่กำลังหลับใหลดูสงบนัก แต่พระองค์ก็รู้ว่าคนตรงหน้า คงไม่มีทางยอมยกโทษให้พระองค์ง่ายๆ แต่กระนั้น พระองค์ก็คิดจะทำทุกอย่างให้คนๆ นี้ พระองค์เอื้อมจับมือของมิคาเอลเอาไว้ นั่งลงเคียงข้าง รอคอยให้คนตัวเล็กตื่นเพื่อจะกล่าวขอโทษ

มิคาเอลลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง และพบว่าองค์เดเมียนทรงจับมือของเขาไว้และทรงบรรทมอยู่ข้างๆ มิคาเอลมองคนตัวใหญ่อย่างเจ็บปวด คนๆ นี้ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้
อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ไหว ร่างเล็กสะอื้นไห้เบาๆ รู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

องค์เดเมียนรู้สึกตัวจึงลืมตาขึ้น และเห็นร่างเล็กกำลังร้องไห้ พระองค์จึงตรงเข้าไปกอดไว้ แต่คนตัวเล็กกลับดิ้นหนีปฏิเสธพระองค์
“ปล่อยผม!!! ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา
“เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าเจ้าไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน เราไม่รู้ว่าเจ้ากลัว เราขอโทษ ได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถอะ” ทรงกล่าวพยายามกอดคนตัวเล็กเอาไว้
“ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลกล่าว หยุดดิ้นและร้องไห้ออกมา
“เรารู้ว่าเจ้าเกลียดเรา แต่เรารักเจ้า เราขอโทษ” องค์เดเมียนกอดร่างเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พระองค์รู้สึกผิดที่เห็นคนตัวเล็กร้องไห้แบบนี้
“หากมีสิ่งใดที่เราทำให้เจ้าได้ เราจะทำ ขอเพียงเจ้าหยุดร้องไห้ เราจะให้เจ้าทุกอย่าง” ทรงตรัส
“ออกไป ...ออกไป! ... ผมอยากอยู่คนเดียว” มิคาเอลตะโกนออกมา องค์เดเมียนลังเลอยู่ แต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี

2 อาทิตย์แล้วที่มิคาเอลเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เขาแทบไม่แตะต้องอาหาร และไม่ยอมให้องค์เดเมียนเข้าใกล้ แม้องค์เดเมียนจะพยายามง้อและขอโทษนับครั้งไม่ถ้วน แต่ร่างเล็กก็ไม่ยอมใจอ่อน

เสียงประตูถูกเคาะ มิคาเอลจึงเดินไปเปิดแต่ก็พบว่าคนที่เคาะประตูเป็นชายหนุ่มหน้าสวย ผมดำตาสีฟ้า แทนที่จะเป็นองค์เดเมียนอย่างทุกวัน
“สวัสดีครับ คุณมิคาเอล ผมเป็นหนึ่งในสนมขององค์เดเมียน ผมริชชี่ครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัว
“คุณต้องการอะไร หรือว่าองค์เดเมี่ยนส่งคุณมา” มิคาเอลถาม
“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ” ริชชี่ถามอย่างสุภาพ จนมิคาเอลจำต้องยอมให้เขาเข้ามา
มิคาเอลพาริชชี่เข้ามาในส่วนของห้องรับแขก ริชชี่จึงนั่งลง

"คุณต้องการอะไร ริชชี่" มิคาเอลถาม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนโปรดขององค์เดเมียน
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับองค์เดเมียน” ชายหนุ่มถาม
“นั่นมันมันเรื่องของผม คุณไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่าย” มิคาเอลตอบ
“หากคุณยังไม่รู้ผมก็อยากให้คุณรู้ว่า ว่าทั้งผมและคุณ ต่างเป็นสนมขององค์เดเมียน ไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม และการที่คุณทำให้องค์เดเมียนต้องทุกข์ใจแบบนี้ ผมทนไม่ได้ พระองค์ไม่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่พระองค์พบคุณ ในฐานะสนม คุณมีหน้าที่ทำให้พระองค์มีความสุข ไม่ใช่ทรมานพระองค์แบบนี้” ริชชี่กล่าวเรียบๆ

“ผมไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ ไม่ได้ต้องการ... องค์เดเมียนบังคับผม”มิคาเอลกล่าว
“ผมเสียใจที่ได้ยินแบบนั้น แต่องค์เดเมียนรักคุณ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยรักใคร พระองค์ไม่เคยทรงห่วงใยใครเท่าคุณ แต่คุณก็ยังเอาแต่ทำร้ายพระองค์ และนั่นทำให้ผมก็ไม่พอใจ” ริชชี่กล่าว
“ผมไม่ได้ต้องการให้พระองค์มารักผมสักนิด ผมอยากไปจากที่นี่” มิคาเอลกล่าว
“แต่คุณก็ต้องอยู่ไม่ใช่เหรอ ตราบเท่าที่พระองค์ต้องการ คุณจะไปไหนไม่ได้ คุณต้องอยู่ที่นี่ และเป็นของพระองค์อยู่ดี” ริชชี่กล่าว
“คุณไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้ ผมรู้ดี” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้าๆ

“ที่ผมจะบอกคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ องค์เดเมียนทรงใจดีกว่าที่คุณเห็นหลายเท่านัก” ริชชี่บอก
“พระองค์คงจะดีกับคุณคนเดียวมากกว่า ในเมื่อคุณเป็นคนโปรดของพระองค์” มิคาเอลกล่าว
“ผมว่าผมเป็นแค่คนที่พระองค์เคยโปรดมากกว่า ตั้งแต่คุณเข้ามา พระองค์ก็ไม่สนใจใครนอกจากคุณ พระองค์เพียงร่วมรักกับสนมอื่น เพื่อเป็นตัวแทนของคุณก็เท่านั้น อย่างที่ผมบอก คุณกำลังทรมานพระองค์ ด้วยการทรมานตัวของคุณเอง แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น” ริชชี่พยายามอธิบาย
มิคาเอลจึงนิ่งฟัง
“องค์เดเมียนทรงรักคุณ ถึงคุณจะไม่ได้รักพระองค์แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะดีกับพระองค์ ตามใจพระองค์ คุณควรทำหน้าที่ของสนมที่ดี ผมรู้ว่าองค์เดเมียนทรงใจดี หากคุณตามใจพระองค์” ริชชี่กล่าว
“ผมทำไม่ได้ ผม…”
“คุณไม่มีอะไรที่อยากได้บ้างเหรอ” ริชชี่ถามขึ้น
“คุณหมายความว่าอย่างไร” มิคาเอลถาม
“สิ่งที่คุณต้องการ คนที่คุณรักที่สุด หรือ อะไรก็ตามที่คุณต้องการ ผมเข้าวังมาตั้งแต่ตอนที่ผมอายุได้ 20 ผมมาทำงานที่คานาเดียเพื่อส่งเงินไปรักษาแม่ของผม ผมไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ผมไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก เงินที่หาได้ก็ไม่พอค่ารักษา แต่ผมโชคดีที่ได้พบกับองค์ชายเดเมียน พระองค์พระราชทานเงินก้อนใหญ่เพื่อรักษาแม่ของผม และพาแม่ของผมมาอยู่ที่นี่ และยังทรงพระราชทานบ้านหลังใหญ่ ให้กับแม่ของผมด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังอนุญาตให้ผมออกไปหาแม่ได้ด้วย หากไม่มีพระองค์ผมคงเสียแม่ของผมไปนานแล้ว เราสองแม่ลูกเป็นหนี้พระองค์” ริชชี่กล่าวอย่างจริงใจ
“ผมเข้าใจแต่ผมไม่เหมือนคุณ ผมดูแลตัวเองได้ น้องชายของผมก็แข็งแรงดี และเขาก็มีหน้าที่การงานที่ดี…”มิคาเอลพยายามปฏิเสธ
“คุณคิดว่าน้องชายคุณ จะไม่เป็นห่วงคุณหรอกหรือ คุณได้ติดต่อเขาบ้างหรือเปล่า ผมว่าป่านนี้น้องของคุณคงจะเป็นห่วงคุณจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วมั้ง และการเป็นสนม คุณก็อาจจะต้องเป็นสนมไปอีกหลายปี หรืออาจจะตลอดชีวิต ผมว่ามันคงไม่ยุติธรรมกับน้องชายของคุณนักที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ” ริชชี่ใส่ไฟอันสุดท้ายลงไป

มิคาเอลหยุดคิด คนๆ นี้มีเหตุผล เพราะเขารู้ว่าป่านนี้ โทนี่คงจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย และนั่นทำให้พี่ชายอย่างเขารู้สึกผิดขึ้นมา

“ผมต้องทำอย่างไร ผมถึงจะติดต่อกับน้องชายของผมได้”
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 20 สนมคนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-07-2016 02:42:48
บทที่ 20 สนมคนที่ 9

“ผมคิดว่าคุณควรเริ่มจากเรียนรู้กฏต่างๆของการเป็นสนมดีไหมครับ” ริชชี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ครับ” มิคาเอลตอบรับ
“องค์ราฟาเอลมีทั้งสนมหญิงและสนมชาย สนมหญิง 10 คนอยู่ที่วิลล่าเล็กอีกด้านของวิลล่าหลัก ส่วนวิลล่าเล็กนี้มีสนมทั้งหมด 8 คน และคุณก็เป็นพระสนมคนที่ 9 สนมแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองที่หากไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามก้าวก่ายกัน โดยทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาสวนอุทยานตรงกลางที่เป็นของส่วนรวม ทั้งนี้ ในส่วนของวิลล่าเล็กจะถือเป็นส่วนต้องห้ามนอกจากองค์เดเมี่ยน จะไม่มีชายใดเข้ามาได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต และเหล่าสนมก็ต้องอยู่แต่ในวิลล่าเล็กนี้ ห้ามออกไปนอกจากได้รับอนุญาต” ริชชี่พามิคาเอลออกมาจากในห้อง และพาเดินชมรอบๆ วิลล่าเล็กถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและมีทางเข้าเพียงทางเดียว มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินไป สำหรับคนแค่ 9 คน ตรงกลางมีสระน้ำขนาดใหญ่หลายสระเชื่อมติดกัน งดงาม น้ำในสระจะอุ่นตลอดทั้งปี น้ำในสระเป็นน้ำแร่ที่ผันมาจากน้ำพุร้อนบนเขา สระน้ำมีหลากหลายระดับ มีต้นไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม รอบนอกเป็นสวนสวย ดูไปแล้วคล้ายกับสวรรค์บนดินก็ไม่ปาน

“ภายในวิลล่านี้ได้รับการตกแต่งและดูแลอย่างดี หากคุณต้องการอะไรคุณสามารถบอกกับนางกำนัลของคุณได้ เธอจะหาสิ่งที่คุณต้องการมาให้ ทางนี้คือห้องบรรมทม ในเวลาที่องค์เดเมียนมาประทับในวิลล่าเล็ก และผมก็บอกได้ว่าพระองค์ทรงโปรดคุณมาก ห้องของคุณจึงอยู่ข้างกับห้องบรรทมแบบนี้ ห้องของผมอยู่อีกฝั่งทางด้านซ้าย” ริชชี่กล่าวยิ้มๆ เมื่อเห็มมิคาเอลหน้าแดงที่เห็นห้องบรรทม

"สนมอีก 7 คนประกอบไปด้วย มาร์คัส, ลูคัส, แอนดี้, ฌอน, เรียว, แมทและ โจชัวร์ ถ้าผมเป็นคุณผมจะระวัง มาร์คัส ลูคัส และ แอนดี้ เอาไว้ ทั้งมาร์คัสและลูคัส เป็นพี่น้องกัน สองคนนี้ชอบหาเรื่องคนอื่น ส่วนแอนดี้ ก็สนิทกับทั้งสองคนก็เลยชอบผสมโรงไปด้วย” ริชชี่กล่าวอย่างเป็นห่วง
“ผมดูแลตัวเองได้ ขอบคุณครับ” มิคาเอลตอบเรียบๆ ริชชี่จึงยิ้มตอบ
“องค์เดเมี่ยนทรงห้ามทะเลาะกัน ดังนั้นการทะเลาะกันถือว่ามีความผิด โดยเฉพาะคนที่ลงมือก่อนนะครับ สถานที่อาจจะใหญ่ แต่พอเอาคนหลายๆแบบเข้ามาอยู่ด้วยกัน บางทีมันคับแคบพอสมควร ผมคิดว่าคุณเป็นคนฉลาด ผมคงไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้” ริชชี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่ค่อยแปลกใจแล้วว่าทำไมคุณถึงได้เป็นคนโปรด คุณริชชี่” มิคาเอลกล่าวชม ชายคนนี้นอกจากจะงดงามแล้วยังฉลาด ช่างเอาอกเอาใจเพียบพร้อมจนมิคาเอลคิดว่า เขาไม่มีอะไรจะเทียบกับคนๆนี้ได้เลยสักนิด
“ผมแค่ทำตามที่แม่ของผมสอนน่ะครับ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมเข้าใจว่าทุกคนล้วนอยากให้องค์เดเมียนมาสนใจ และบางครั้งมันก็มีการกระทบกระทั่งกัน องค์เดเมียนก็ทรงพยายามจะดูแลทุกคนอย่างดี แต่หากคนหนึ่งไม่เชื่อฟัง การลงโทษก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อคงไว้ซึ่งกฏที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคารพ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ทำตามใจกันหมด” ชายหนุ่มตอบ

“องค์เดเมี่ยนคงรักคุณมากสินะครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้
“ผมรักพระองค์ฝ่ายเดียวต่างหากครับ พระองค์ไม่เคยรักใคร คุณเป็นคนแรก เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะเลิกทำร้ายคนที่ผมรักสักทีนะครับ” ริชชี่ยิ้ม แต่มิคาเอลกลับรู้สึกเหมือนถูกขู่มากกว่า
“ผมจะให้นางกำนัลพาคุณไปเข้าสปา เตรียมคุณเข้าถวายพระองค์ในคืนนี้” ริชชี่กล่าวและยิ้มอ่อนโยนราวกลับสิ่งที่กล่าวเป็นเรื่องธรรมดา
“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะยอม” มิคาเอลประท้วง
“คุณไม่อยากติดต่อน้องชายของคุณหรอกเหรอ มิคาเอล หากคุณไม่เอาอกเอาใจพระองค์ คุณคิดเหรอจะคุณจะได้เจอน้องชายอีก” ริชชี่กล่าวและยิ้มออกมา แต่มิคาเอลกลับรู้สึกว่าคนๆ นี้น่ากลัวกว่าที่เห็น

มิคาเอลไม่มีทางเลือกมากนัก สำหรับเขา โทนี่ต้องมาก่อนเสมอ และตอนนี้โทนี่คงกำลังเป็นห่วงเขามากแน่ๆ อย่างน้อยเขาต้องลองขอต่อองค์เดเมี่ยน เพื่อจะได้ติดต่อกับโทนี่

มิคาเอลถูกพามายังห้องสปาในส่วนของพระสนมโดยเฉพาะ เมื่อเข้ามานางกำนัลสองคนจึงช่วยกันปลดเสื้อผ้าของมิคาเอลออก ร่างกายเปลือยเปล่าก็ปรากฏสู่สายตาของนางกำนัลทั้งสอง ผิวที่เรียบเนียนละเอียดราวกับผู้หญิง มีเพียงขนอ่อนๆ ที่แขนและขาเท่านั้น จนนางกำนัลทั้งสองพากันชมไม่หยุดปาก

รอยแผลที่หลังหายดีแล้ว และจางลงมากแต่ก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่นางกำนัลทั้งสองจึงขอให้มิคาเอลนอนลงก่อนจะเอาน้ำมันอัลมอนด์มานวดให้ มิคาเอลแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกนวด แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายไม่ใช่น้อย เทียนหอมถูกจุด กลิ่นอ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกทำให้เขายิ่งรู้สึกผ่อนคลาย มิคาเอลปล่อยให้นางกำนัลนวดไปเรื่อยๆ เมื่อนวดเสร็จนางกำนัลก็แว็กซ์ขนของมิคาเอลออกทั้งหมด มิคาเอลหน้าแดง ขนทุกเส้นถูกกำจัดจนหมด รวมไปถึงส่วนกลางของร่างกายของเขาด้วย ในตอนนี้เขาไม่ได้แตกต่างไปจากทารกแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น นางกำนัลก็พาเขาไปเข้าห้องไอน้ำ ก่อนจะขัดผิวของเขาจนมิคาเอลรู้สึกแสบผิวไปจนหมด เมื่อขัดจนพอใจนางกำนัลก็เอาช็อกโกแลตมาพอกตัวเขาไว้ เพื่อความชุ่มชื้น เมื่อครบเวลา ในที่สุดมิคาเอลก็ได้รับอนุญาติให้อาบน้ำล้างเอาช็อกโกแลตออก และปิดท้ายด้วยการลงไปแช่ในน้ำแร่จากน้ำพุร้อน

มิคาเอลที่ปกติเอาแต่ทำงาน มาในตอนนี้ที่ถูกประคบประหงบราวกับไข่ในหินก็รู้สึกแปลกๆ ยิ่งหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะไร เขาก็ไม่รู้ว่าหากจะต้องอยู่ในสภาพนี้ไปตลอด เขาจะทนได้ไหม การเป็นสนมอาจจะจะดูสบายสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเขาที่ทำงานมาตั้งแต่เด็กกลับรู้สึกว่ามันทรมาน และไร้สาระเหลือเกิน ยิ่งคิดว่าเขาจะต้องมาเอาอกเอาใจองค์เดเมี่ยน เขาก็ยิ่งรู้สึกขัดเขิน ปกติเขาก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นมากนัก คนๆ เดียวที่เขาอุทิศตนให้คือ โทนี่ เพียงคนเดียว

ที่ผ่านมาในฐานะไมเคิล เขาไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ ในตอนที่คบกับไรอัน ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าเขาจะยอมให้ไรอันจับมือด้วยซ้ำไป มากสุดที่ไรอันเคยกระทำกับเขาก็แค่จูบ และเป็นแบบนั้นเสมอมา ไม่ว่าเขาจะคบกับใครก็ตาม จนกระทั่งมาที่คานาเดียแห่งนี้ ที่องค์ราฟาเอลก็ฉวยโอกาสจูบเขาหลายต่อหลายครั้ง จนเขาเผลอมีใจกับพระองค์ และองค์เดเมียนที่เอาแต่ใจ ฝืนบังคับให้เขาร่วมรักด้วย

แต่หากจะสารภาพตามตรงแม้เขาจะหวาดกลัว และโกรธกับสิ่งที่องค์เดเมียนกระทำต่อเขา พระองค์ใจร้าย ไม่ยอมฟังเขา ให้กำลังบังคับ ขืนใจเขาอย่างเห็นแก่ตัว
แต่มิคาเอลก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้พระองค์จะใจร้าย แต่พระองค์ก็ทำให้เขามีความสุขมากเช่นกัน

แม้ไม่อยากจะยอมรับนัก แต่องค์เดเมียนก็ทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่เคยได้รับจากใคร แต่มันก็เป็นเพียงความสุขทางกาย หาใช่ความสุขทางใจไม่ เขาก็ยังไม่คิดจะรักใครอยู่ดี
ในวันหนึ่งเมื่อพระองค์ทรงเบื่อหน่ายในตัวเขา เขาก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไป และในตอนนั้นร่างกายนี้ก็คงจะสกปรก และมีมลทินเกินกว่าที่จะมีใครมาต้องการเขา เมื่อนั้นบางทีเขาอาจจะหันเข้าหาพระเจ้า และถวายตนต่อพระองค์ และหวังว่าเวลาที่เหลืออยู่จะเพียงพอที่จะล้างบาปทั้งหมดที่เขาได้ก่อไว้

มิคาเอลขึ้นจากน้ำ โดยมีนางกำนัลเตรียมผ้ารอ เขาถูกพากลับไปที่ห้อง โดยมีริชชี่นั่งรออยู่ ชายหนุ่มยิ้มหวานให้เมื่อเห็นเขาเดินกลับเข้ามา

“ผมเตรียมชุดที่คิดว่าองค์เดเมี่ยนจะชอบเอาไว้ให้แล้ว” ริชชี่กล่าวยิ้มหวานให้
“ขอบคุณครับ” มิคาเอลหน้าแดงอีกครั้ง แต่ก็ตอบขอบคุณไป
“ผมจะให้คุณเตรียมตัวก็แล้วกัน มีอะไรก็ให้คนไปเรียกผมได้นะครับ” ริชชี่กล่าวและเดินออกไป

มิคาเอลเดินเข้ามาในห้องนอน และพบกับชุดที่ริชชี่เตรียมไว้ให้ ชุดที่ดูเรียบๆ กางเกงสีดำ กับเสื้อเชิ้ตแขนกว้างสีขาวเพียงแต่ผ้าทั้งสองชิ้นที่บางเบาจนแทบจะมองทะลุได้ โดยเฉพาะเสื้อสีขาวที่เป็นผ้าไหมละเอียด แม้จะดูปกปิดมิดชิดแต่กลับเปิดเผย ยั่วยวนเสียยิ่งกว่าไม่ใส่อะไรเลย มิคาเอลมองตัวเองในกระจก ใบหน้าเป็นสีชมพูจัด ชุดที่เขากำลังใส่ มันเหมือนกับมีป้ายประกาศว่า ‘ได้โปรด ร่วมรักกับผมด้วยเถิด’ อยู่ด้วย

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะถอดชุดออกและเปลี่ยนไปใส่ชุดอื่น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มิคาเอลจึงเดินไปแง้มประตูออกดู
“คุณมิคาเอลคะ คุณริชชี่ขอเข้าพบค่ะ” แดเรียลกล่าว
“เอ่อ ... ผม... เดี๋ยวผมออกไป” มิคาเอลตอบ แต่ริชชี่ก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องนอน
“คุณงดงามกว่าที่ผมคิดเสียอีก มิน่าล่ะ องค์เดเมียนถึงได้เอาแต่คิดถึงคุณ” ริชชี่กล่าวชมเมื่อเห็นมิคาเอลในชุดซีทรู กลับเป็นมิคาเอลที่หน้าแดงเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมอง
“ผมกำลังจะเปลี่ยนออกครับ ผมไม่กล้าใส่ชุดแบบนี้หรอกครับ” มิคาเอลสารภาพ
“น่าเสียดายออก องค์เดเมี่ยนต้องชอบแน่ๆ เชื่อผมเถอะ” ริชชี่ขยิบตาให้
“แต่ชุดแบบนี้ มันมากเกินไป ผม...” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ
“คุณต้องการให้องค์เดเมียนพอใจไม่ใช่เหรอ หากคุณต้องการให้พระองค์อนุญาตให้คุณติดต่อน้องชายล่ะนะ” ริชชี่กล่าว
“ผม... ผมไม่ชินกับเรื่องแบบนี้” มิคาเอลสารภาพ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ยังอีกนานกว่าองค์เดเมี่ยนจะกลับเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้ ผมให้คนทำอาหารพิเศษมาให้ คุณควรทานอะไรบ้าง จะได้มีแรงตอบสนององค์เดเมียนได้นานๆ” ริชชี่กล่าว พร้อมกับหัวเราะเบาๆ แต่มิคาเอลก็หน้าแดง
“ผมล้อเล่นน่ะ แดเรียลบอกผมว่าคุณไม่ยอมทานอะไร ผมก็เลยเอาอาหารมาให้ก็เท่านั้น” ริชชี่ยิ้ม
พร้อมกับสั่งให้คนยกอาหารเข้ามาให้
อาหารน่าตาน่ากินหลายชนิดวางอยู่ตรงหน้า ริชชี่ทานอาหารเป็นเพื่อน และคอยชวนให้มิคาเอลทานด้วยกัน จนมิคาเอลยอมทานอาหารไปไม่น้อย
“คุณตื่นเต้นหรือเปล่า” ริชชี่ถามคนตรงหน้า
“ครับ” มิคาเอลตอบตามตรง เขาไม่เคยคิดที่จะยอมเสนอตัวให้ใครมาก่อน สุดท้ายเขาก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ ยิ่งใกล้เวลาที่องค์เดเมียนจะกลับ เขาก็ยิ่งประหม่า
“บางทีพระองค์อาจจะไม่มาก็ได้นี่ครับ พระองค์อาจจะไปข้างนอกก็ได้” มิคาเอลกล่าว
“ถ้าเป็นวันอื่นก็ไม่แน่ แต่ผมให้คนส่งจดหมายไปให้พระองค์แล้ว ยังไงวันนี้พระองค์ก็ต้องมา เชื่อผมสิ” ริชชี่กล่าว แต่นั่นก็เป็นการตัดความหวังของมิคาเอลไป
“ถ้าคุณประหม่ามากๆ อยากจะลองชาของผมไหมล่ะ มันช่วยให้ผ่อนคลายดีทีเดียว” ริชชี่เสนอก่อนจะสั่งให้คนชงชามาให้

นางกำนัลของริชชี่ถือถ้วยชาเข้ามา กลิ่นของมันหอมกรุ่นน่าชิม มิคาเอลรับถ้วยชามาจากริชชี่ จิบชาเรื่อยๆ และคุยกับริชชี่ไปด้วย แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาจนกระทั่ง ไม่อาจครองสติได้อีก ริชชี่ที่รู้อยู่แล้วก้าวเข้ามารับแก้วชาไปถือ ส่งแก้วชาพิเศษนั้นให้นางกำนัล ก่อนจะประคองร่างที่ไร้สติของมิคาเอลไปที่ห้องบรรทม
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 21 ของขวัญ 20+++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-07-2016 02:45:44
บทที่ 21 ของขวัญ

2 อาทิตย์แล้วที่องค์เดเมี่ยนไม่ได้เจอหน้ามิคาเอล ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จไปหา ร่างเล็กก็เอาแต่ปฏิเสธพระองค์ ไม่ยอมให้พระองค์เข้าไปในห้องด้วยซ้ำไป จนหลายวันที่ผ่านมาพระองค์แทบอยากจะทำลายประตูบ้าๆ นั่นทิ้งไปซะ แต่พระองค์ก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่พระองค์มี ในการบังคับร่างของพระองค์ ให้ถอยออกมาจากห้องของมิคาเอล

แต่กระนั้นทุกคนรอบกายพระองค์ก็โดนลูกหลงกันถ้วนหน้า พระองค์ร่วมรักกับสนมทุกคนภายใน 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่คนๆ เดียวที่พระองค์ต้องการมากที่สุด กลับไม่ยอมให้พระองค์เห็นแม้แต่หน้า ความอดทนของพระองค์กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าเสือดำอย่างพระองค์ จะถูกลูกแมวมาปั่นหัว จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไปมากขนาดนี้ แต่แม้จะโกรธแค่ไหน พอคิดถึงใบหน้าที่เอาแต่ร้องไห้ พระองค์ก็ใจอ่อนทุกครั้งไป หรือพระองค์จะหลงรักลูกแมวตัวนี้มากจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วหรืออย่างไร

ทุกวันที่พระองค์มาทรงงาน พระองค์ก็เอาแต่คิดถึงคนๆนั้น ทั้งๆที่คนๆ นั้นแทบจะไม่เคยพูดจาดีๆ กับพระองค์สักครั้ง พระองค์ก็เริ่มสงสัยในตัวเอง หรือพระองค์จะเป็นพวกนิยมความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พระองค์ก็ยังคงเอาแต่คิดถึงคนตัวเล็กอยู่ดี

แล้วจู่ๆ ในตอนเย็นพระองค์ก็ได้รับจดหมายจากริชชี่ บอกกับพระองค์ว่า มีของขวัญ จะถวายพระองค์ ขอให้พระองค์มาที่วิลล่าเล็กในคืนนี้ด้วย องค์เดเมี่ยนรู้ดีว่าริชชี่เป็นคนคอยควบคุมสนมในวิลล่าเล็กให้อยู่ในระเบียบ เด็กคนนี้เป็นคนฉลาดแต่บางครั้งก็ชอบทำตลกร้ายกับสนมคนอื่น โดยเฉพาะหากมีสนมคนไหนที่ทำให้ริชชี่ไม่พอใจมากๆ สนมคนนั้นมักอยู่ในวิลล่าได้ไม่นาน สุดท้ายพระองค์ก็ต้องเลือก และปลดสนมคนนั้นออกไป

พระองค์หวังว่าริชชี่คงไม่ได้คิดทำอะไรกับมิคาเอล เพราะหากมิคาเอลเป็นอะไรขึ้นมา ต่อให้เป็นริชชี่ พระองค์ก็ไม่คิดจะให้อภัย พระองค์ยังเหลืองานค้างอยู่อีกไม่น้อยแม้จะอยากกลับวิลล่า แต่ก็ยังกลับไม่ได้ พระองค์จึงรีบทำงานให้เสร็จ แต่กระนั้นเวลาก็ยังล่วงเลยมาจนถึงช่วงหัวค่ำ
เมื่อทรงกลับมาที่วิลล่าพระองค์ก็ทรงชำระล้างร่างกายเปลี่ยนชุดและเข้าไปในวิลล่าเล็ก
เมื่อเข้ามาภายใน ริชชี่ ก็ยืนรอต้อนรับพระองค์อยู่

“ฝ่าบาท ทรงกลับเร็วกว่าทุกวันนะครับ” ริชชี่ยิ้มทักทายอย่างเคย
“เจ้าทำอะไร ริชชี่” ทรงถามคนตรงหน้าอย่างรู้ทัน ริชชี่ก็ทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย หากเป็นคนทั่วไปก็คงคิดว่าริชชี่ผู้น่าสงสาร กำลังถูกองค์เดเมี่ยนดุ แต่พระองค์รู้ว่ามันเป็นละครฉากหนึ่ง
“พระองค์พระทัยร้ายขึ้นทุกวันเลยนะครับ ผมก็แค่เตรียมของขวัญไว้ให้พระองค์ก็เท่านั้น” คนหน้าสวยพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร
“ริชชี่ เจ้าทำอะไร” ทรงถามอ่อนโยนลง คนตรงหน้าจึงเข้ามากอดพระองค์ และจูงมือพระองค์ไปที่ห้องบรรทม

“ของขวัญของผมอยู่ข้างในครับ พระองค์เข้าไปก็จะเข้าใจเอง” ริชชี่กล่าวพร้อมกับ เขย่งจูบองค์เดเมียนเบาๆ ยิ้มให้และเดินจากไป ปล่อยพระองค์ยืนอยู่หน้าห้องบรรทมเพียงลำพัง

พระองค์เปิดประตูห้องเข้าไปช้าๆ ภายในเปิดไฟเพียงสลัว มีเทียนหอมจุดอยู่ทั่วห้อง เมื่อพระองค์เดินเข้ามาใกล้ พระองค์ก็เห็นร่างของมิคาเอลนอนระทวยอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานมีสีชมพูเข้ม ดูเหมือนกำลังทรมานจากความปรารถนา ดวงตาสีฟ้าอ่อนค่อยๆ ลืมขึ้น มองมาที่พระองค์ ร่างเล็กดูล่องลอยและไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แต่เพราะความมึนเมาจากฤทธิ์ของยา ทำให้มิคาเอลมิอาจลุกจากเตียง มิคาเอลคุกเข่าอยู่บนเตียง ก่อนจะรู้สึกวิงเวียนจนต้องวางมือทั้งสองลงบนเตียง จนอยู่ในสภาพคลานเข่า ก้นอันงอนงามภายใต้ผ้าซีทรูที่ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไร เปิดเผยยั่วยวนพระองค์ ส่วนเสื้อชิ้นบนที่เป็นสีขาวพอต้องแสงไฟ พระองค์ก็เห็นทุกสัดส่วนของคนตรงหน้า เป็นเสื้อผ้าที่ยั่วยวนและเหมาะสมกับคนตรงหน้าเหลือเกิน

ร่างของมิคาเอลร้อนลุ่มไปหมด เขารู้สึกแปลกๆ ความปรารถนาอยากจะปลดปล่อย ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และไวต่อสัมผัส มิคาเอลลืมตาขึ้นช้าๆ และก็เป็นองค์เดเมียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ร่างสูงสง่างาม ใบหน้าคมสัน ราวกับรูปสลักของพระเจ้า ผมดำสีดำยาวปล่อยสยายไปถึงกลางหลัง ดวงตาสีดำ ราวกับรัตติกาลจ้องมองมาที่เขา ริมฝีปากรูปกระจับ ที่ทำให้เขาลุ่มหลงมัวเมาจากจุมพิตที่พระองค์เคยมอบให้ และปากนั้นที่เคยครอบครองทั้งหมดของเขา จนทำให้เขาปลดปล่อยออกมา

มิคาเอลพยายามจะลุกขึ้น เพื่อเข้าไปหาคนตรงหน้า ความปรารถนานี้มีเพียงคนๆ นี้เท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แต่เรี่ยวแรงที่มีกลับหายไปหมด จนเขาต้องทรุดมาคลานเข่าเข้าไปหาคนตรงหน้า ความปรารถนาครอบงำมิคาเอลจนหมดสิ้น

"ฝ่าบาท...” ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนหวานราวกับลูกแมว ที่ต้องการความสนใจ

แม้พระองค์จะไม่พอใจนักที่ริชชี่มายุ่งกับลูกแมวของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยอมรับว่าพระองค์พอใจกับภาพตรงหน้าไม่น้อย พระองค์เดินเข้าไปที่เตียง มิคาเอลก็คลานเข้ามาหา ก้นงอนงามส่ายไปมาเป็นจังหวะ เป็นภาพที่น่าดูมากทีเดียว จนพระองค์อดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปสัมผัสกับก้นงอนของคนตรงหน้า ร่างเล็กไม่เพียงไม่ขัดขืน กลับครางเบาๆ กับสัมผัสของพระองค์

แต่ดูเหมือนสัมผัสเพียงแค่นั้นจะไม่เพียงพอ คนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่า โอบรอบคอพระองค์ และค่อยๆ จูบพระองค์ แม้จะไร้ประสบการณ์แต่พระองค์ก็พึงพอใจ

“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ทรงถามร่างเล็กเสียงแหบพล่า คนตัวเล็กยั่วยวนพระองค์จนพระองค์แทบทนไม่ได้
“ผม... ต้องการ... พระองค์” ร่างเล็กตอบอย่างทรมาน อยากให้พระองค์ช่วยปลดปล่อย
“เจ้าถูกริชชี่แกล้งวางยาเจ้า หากเรากอดเจ้า เจ้าจะไม่โกรธเราหรอกเหรอ” ทรงถาม
“ผม ต้องการพระองค์ ได้โปรด ร่วมรักกับผม” ร่างเล็กกล่าวอีกครั้ง พร้อมกับจูบคนตรงหน้าอย่างยั่วยวนอีกครั้ง
“ได้โปรด ฝ่าบาท ผม ... ผม ปรารถนา... พระองค์” มิคาเอลอ้อนวอนน่ารัก จนองค์เดเมียนมิอาจจะอดกลั้นได้อีกต่อไป
“เราก็ต้องการเจ้า ต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด” องค์เดเมี่ยนกล่าว ก่อนจะรั้งร่างเล็กขึ้นมาจุมพิต ร่างเล็กจุมพิตตอบพระองค์อย่างโหยหา ยินยอมพร้อมใจทุกอย่าง พระองค์รู้สึกผิดเล็กน้อยที่กำลังเอาเปรียบคนตรงหน้า และแอบรู้สึกเสียดายที่มิคาเอลยามปกติกลับไม่เป็นอย่างนี้

พระองค์ปลดกระดุมเสื้อของคนตรงหน้าออกช้าๆ พระองค์ไม่ต้องการรีบร้อน ยิ่งร่างเล็กต้องรอนานแค่ไหน ความปรารถนาต่อตัวพระองค์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และนั่นหมายถึง พระองค์ก็สามารถตักตวงความสุข จากคนตรงหน้าได้มากขึ้นด้วย

พระองค์จุมพิตที่ต้นคอขาวเนียนของคนตรงหน้าอย่างเย้ายวน ร่างเล็กก็ครางเบาๆ ในคออย่างพึงพอใจ โอบกอดพระองค์ไว้แนบแน่น พระองค์จูบไล้ไปที่ต้นคออีกข้าง และทิ้งร่องรอยไว้ ผิวเนียนของมิคาเอลหอมกรุ่น จนพระองค์อยากจะกลืนกินคนตัวเล็กเสียทั้งตัว พระองค์ค่อยๆ จูบลงต่ำ จนมาพบกับยอดทับทิมเม็ดงามที่แข็งจนชูชันขึ้นมา ยั่วยวนให้พระองค์ครอบครอง พระองค์ก้มลงดูดเลียยอดทับทิมนั้นผ่านเสื้อผ้าไหมที่บางเบา ร่างเล็กก็แอ่นอกขึ้น ส่งเม็ดทับทิมนั้นเข้าปากของพระองค์ พระองค์ขบกัดเบาๆ จนร่างเล็กสะท้านจนต้องเอามือมากอดพระองค์ไว้ ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์หยอกเย้ากับเม็ดทัมทิมทั้งสองอยู่นาน และพระองค์ก็สังเกตว่าคนตัวเล็กต้องการมากกว่านั้น ร่างเล็กแอ่นร่างเข้าหาพระองค์ เรียกร้องให้พระองค์สนใจกับส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเบื้องล่าง คนตัวเล็กร้องเรียกหาพระองค์ราวกับคนละเมอ โอบกอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฝ่าบาท… ฝ่าบาท… ได้โปรด… ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียกพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังต้องการแน่ใจ
“เรียกชื่อของเรา มิคาเอล” ทรงสั่ง ร่างเล็กลืมตาขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่ หยุดสัมผัสเขา
“ฝ่าบาท … เดเมี่ยน …ได้โปรด” มิคาเอลเรียกชื่อพระองค์ อ้อนวอน พระองค์จึงยิ้มออกมา

“เจ้าต้องการอะไร มิคาเอล” ทรงถามร่างเล็ก
“ผม… ต้องการ… พระองค์” มิคาเอลตอบ
“เจ้าอยากให้เราทำอะไรล่ะ” ทรงถามย้ำ
“สัมผัส...ผม ...ครอบครอง...ผม...ร่วมรัก... กับผม... ได้โปรด” ร่างเล็กกล่าวอย่างโหยหาความปรารถนาเข้าครอบงำ
“เด็กดี” ทรงยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออกจนหมด ร่างของคนตัวเล็กกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ พระองค์จึงเลื่อนกายลงต่ำ ก่อนจะก้มจนเข้าหาร่างของมิคาเอล แต่พระองค์ก็ หยุด ก่อนจะสัมผัส มิคาเอลเรียกหาพระองค์และอ้อนวอนอีกครั้ง
“ฝ่าบาท… ได้โปรด … ผม … ต้องการ… พระองค์…ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอน
องค์เดเมียนยิ้มออกมา ก่อนจุมพิตที่ปลายยอดเบาๆ ร่างเล็กก็สะท้านด้วยความเสียวซ่าน ครางออกมา พระองค์แลบลิ้นเลียส่วนหัวที่ตอนนี้มีหยดน้ำใสๆ ซึมออกมา ก่อนที่พระองค์จะใช้ลิ้นเลียและรุกล้ำในรอยแยกส่วนหัว มิคาเอลร้องออกมาอย่างพึงพอใจ องค์เดเมียนเอื้อมมือมาจับร่างของมิคาเอลไว้อย่างแผ่วเบา ขยับมือช้าๆ ก่อนจะก้มลงใช้ลิ้นของพระองค์เลียไปที่เส้นด้านใต้ร่างของมิคาเอล ร่างเล็กครางออกมาเสียงดัง เพราะพระองค์ช่ำชองเกินไป และเพราะคนตัวเล็กปรารถนามากเหลือเกิน คนตัวเล็กก็ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจกลั้น

องค์เดเมียนยิ้ม ก่อนจะก้มลงเลียทำความสะอาดให้ พระองค์กลืนกินร่างเล็กลงไปทั้งหมด และเริ่มปลุกเร้าคนตรงหน้าอีกครั้ง พระองค์ครอบครองร่างของมิคาเอลเอาไว้ทั้งหมด ทรงขยับมือเป็นจังหวะสอดคล้องกับปากและลิ้นของพระองค์ เพียงไม่นาน ร่างเล็กก็ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง พระองค์ค่อยๆ สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวเบื้องหลัง ร่างเล็กก็สะดุ้งเบาๆ และพยายามจะถอยหนีแต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้
“เราจะอ่อนโยนต่อเจ้า ไม่ต้องกลัว” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก แต่คนตัวเล็กก็ยังหวาดกลัว พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดไว้ พระองค์จุมพิตร่างเล็กเนิ่นนาน ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์รุกล้ำเข้ามา ก่อนจะเกี่ยวกระหวัดรั้งให้คนตัวเล็กตอบสนอง มิคาเอลจูบตอบพระองค์อย่างว่าง่าย ร่างเล็กค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปในปากของคนตัวใหญ่ พระองค์ก็ดูดกลืนลิ้นอันหอมหวานนั้นอย่างไม่รู้จักอิ่ม

พระองค์พลิกร่างเล็กคร่อมร่างของพระองค์ไว้ ร่างเล็กก็บดเบียดร่างเข้าหาพระองค์อย่างโหยหา พระองค์แตะนิ้วกับลิ้นของพระองค์เพื่อความหล่อลื่น ก่อนจะค่อยๆ สัมผัสกับเบื้องหลังของมิคาเอลอีกครั้ง พระองค์โอบกอดร่างเล็กไว้ จุมพิตร่างเล็กอย่างดูดดื่ม ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่นิ้วเข้าไปช้าๆ ร่างเล็กสะดุ้งเบาๆ พยายามจะขืนตัวออกแต่พระองค์ก็กอดร่างเล็กไว้แน่นหยุดขยับนิ้ว แต่จูบรุกเร้าร่างเล็กมากขึ้น เมื่อร่างเล็กหยุดขัดขืน พระองค์ก็ค่อยสอดนิ้วเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ร่างเล็กก็พยายามจะถอยหนีอีก พระองค์ก็ทรงจูบเร้าอีกครั้ง จนเมื่อนิ้วของพระองค์ถูกฝังอยู่ภายในจนสุด พระองค์ก็ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ จนมิคาเอลต้องร้องครวญครางออกมาด้วยความรัญจวนใจ เมื่อพระองค์ขยับนิ้วเข้าออกจนร่างเล็กคุ้นชิน พระองค์ก็ค่อยๆ เพิ่มนิ้วที่สอง และสามเข้าไปช้าๆ จนเมื่อมิคาเอลคุ้นชินกับนิ้วที่สามของพระองค์ พระองค์ก็เริ่มขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น เพียงไม่นาน ร่างของมิคาเอลก็เกร็งกระตุก เสียงครางอันเร้าอารมณ์ก็ดังขึ้น พร้อมกับของเหลวสีขุ่นที่ถูกปลดปล่อยออกมา มิคาเอลหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ทั้งๆ ที่พระองค์ยังไม่ทันได้สอดใส่ แต่พระองค์ก็ทำให้มิคาเอลปลดปล่อยออกมาแล้วถึงสองครั้ง

พระองค์วางร่างเล็กลง ทรงถอดเสื้อผ้าออก และเอื้อมหยิบเจลหล่อลื่นออกมา ก่อนจะทาบริเวณทางเข้าของร่างเล็ก และชโลมที่ร่างอันตื่นตัว และแข็งแกร่ง ของพระองค์
พระองค์ถูไถร่างของพระองค์กับบริเวณทางเข้าเบื้องหลังของคนตัวเล็ก ลำพังสีที่ตัดกันก็ทำให้พระองค์แทบคลั่งแล้ว พระองค์ค่อยๆ สอดใส่ร่างของพระองค์เข้าไปช้าๆ ร่างเล็กก็พยายามดิ้นหนีด้วยความเจ็บปวดและทรมาน พระองค์จึงกอดร่างเล็กเอาไว้ และพยายามไม่ขยับร่าง ร่างเล็กร้องครางออกมาด้วยความคับแน่น ทั้งๆที่พระองค์สอดใส่เข้าไปได้เพียงส่วนหัวเท่านั้น พระองค์เอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของมิคาเอล ก่อนจะปลุกเร้าร่างเล็กจากด้านหน้าและหลัง แต่คนตัวเล็กก็เกร็งร่างจนบีบรัดร่างของพระองค์จนแน่น
“อย่าเกร็งสิ ผ่อนคลาย ปล่อยให้เราครอบครองเจ้า เราจะทำให้เจ้ามีความสุข” ทรงกระซิบเบาๆ ข้างหู มิคาเอลพยายามจะทำตามที่พระองค์บอก แต่ขนาดขององค์เดเมียน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนตัวเล็กจะคุ้นชินได้ในเร็ววัน พระองค์จึงทั้งจูบริมฝีปาก และปลุกเร้าร่างของมิคาเอลไปพร้อมๆกัน ทุกครั้งที่พระองค์มีโอกาส พระองค์ก็ค่อยๆสอดใส่ร่างของพระองค์ลึกเข้าไปอีก จนกระทั่งร่างเล็กรับร่างทั้งหมดของพระองค์ไว้ ร่างเล็กครางอย่างเจ็บปวดจากความคับแน่น จนพระองค์ต้องรั้งร่างเล็กมากอดและจูบปลอบประโลม เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชินกับความคับแน่นพระองค์จึงค่อยๆ ขยับร่างช้าๆ ร่างเล็กก็ครวญครางเสียงดังด้วยความรัญจวนใจ พระองค์ค่อยๆ ขยับร่างเร็วขึ้น จนร่างเล็กต้องโอบกอดพระองค์ไว้ด้วยความเสียวซ่าน เพียงไม่นานร่างเล็กก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง
   
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 22 ข้อเสนอ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 31-07-2016 11:28:56
บทที่ 22 ข้อเสนอ

 

มิคาเอลจำไม่ได้ว่าเขาปลดปล่อยออกมากี่ครั้งแล้ว แต่กระนั้นองค์เดเมียนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พระองค์พลิกร่างของมิคาเอลขึ้นก่อนจะให้ร่างเล็กขยับ และกำหนดจังหวะเอง มิคาเอลที่ไม่เคย ก็ทำตัวไม่ถูก จนพระองค์ต้องคอยช่วยสอนให้ มือใหญ่จับที่เอวบางไว้ ก่อนจะยกร่างของมิคาเอลขึ้นลงเป็นจังหวะ เมื่อได้รับการชี้นำร่างเล็ก ก็ขยับตัวตามที่พระองค์ชี้นำ ความรู้สึกเสียวซ่านค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หยุด เอาดื้อๆ จนร่างเล็กครางออกมาอย่างไม่พอใจ พระองค์ถอดถอนร่างออก ก่อนจับร่างเล็กให้คลานหันหลังให้ ก่อนที่พระองค์จะสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง ร่างของพระองค์ฝังตัวเข้าไปภายในของมิคาเอล จนร่างเล็กต้องครางออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม เมื่อพระองค์เห็นดังนั้นพระองค์ก็กระแทกพระองค์เข้ากับร่างเล็กอย่างรุนแรง และรัวเร็ว พระองค์เร่งจังหวะ ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด พระองค์ก็พามิคาเอลไปถึงสวรรค์อีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะปลดปล่อยภายในร่างของมิคาเอล ก่อนจะทรงกอดจูบร่างเล็กไว้แนบอก พระองค์รั้งร่างของคนตัวเล็กมานอนบนตัวของพระองค์ ทรงโอบกอดร่างเล็กเอาไว้ตลอดทั้งคืน

 

มิคาเอลตื่นขึ้นในตอนสาย อีกครั้งที่เขาพบตัวเองนอนเปลือยเปล่า ทาบทับอยู่บนร่างขององค์เดเมียน ร่างกายของเขาและเจ้าชายแนบสนิทจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ใบหน้าของคนตัวเล็กซบแนบกับอกกว้าง เสียงหัวใจขององค์เดเมี่ยนเต้นเป็นจังหวะอยู่ใต้ร่างเขา ความรู้สึกบางอย่างทำให้มิคาเอลรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายของเจ้าชายเต็มไปด้วยมัดกลัาม เป็นร่างกายที่ดูสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งร่างกายของนักรบโบราณ ร่างกายของมิคาเอลมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของพระองค์เท่านั้น

 

มิคาเอลรู้สึกถึงฝ่ามือของพระองค์ที่วางอยู่ที่ก้นของเขาราวกับเป็นเจ้าของ ภาพการร่วมรักเมื่อคืนค่อยๆ หวนกลับมาในความทรงจำของเขา จนมิคาเอลหน้าแดงด้วยความเขินอาย ใจหนึ่งเขากลับละอายต่อสิ่งที่เขากระทำเมื่อคืน ตัวยาที่เขาได้รับ ปลุกอารมณ์ของเขา แต่เขาก็รับรู้ทุกอย่าง และจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด เพียงแต่ร่างกายของเขา กลับเร่าร้อน และปรารถนาอยู่ตลอดเวลา และองค์เดเมียนก็เป็นคนที่ช่วยดับความปรารถนาอันแสนทรมานนั้นให้แก่เขา

 

มิคาเอลจำไม่ได้ว่าเขาปลดปล่อยออกไปกี่ครั้ง และไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ที่พระองค์ร่วมรักกับเขา แต่มิคาเอลก็ยอมรับว่าองค์เดเมียนทำให้เขามีความสุขมากเหลือเกิน และออกจะมากเกินไปจนเขารู้สึกผิด

 

องค์เดเมี่ยนมิได้ผิดสัญญา ตลอดการร่วมรักพระองค์อ่อนโยนและทะนุถนอมเขาอย่างดีที่สุด แต่กระนั้นด้วยขนาดที่แตกต่างกันเหลือเกินทำให้มิคาเอลรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก

 

มิคาเอลอยากจะลุกขึ้นไปแต่งตัวและหนีออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหากเขาขยับตัวแม้เพียงน้อยนิด องค์เดเมียนก็คงจะตื่นขึ้นอย่างแน่นอน เขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่นัก เพราะเขายังไม่รู้ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร ต่อหน้าคนๆ นี้ เจ้าชายผู้ฉลาด มีความสามารถ หล่อเหลา เจ้าเสน่ห์ และช่ำชองเรื่องบนเตียง จนทำให้มิคาเอลรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

 

ในขณะที่มิคาเอลกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ มือของคนตัวใหญ่ก็คลึงเค้นก้นของเขาเบาๆ จนมิคาเอลอดที่ขยับหนีไม่ได้

“อืม… เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ทรงตรัสก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ

มิคาเอลพยายามจะพลิกตัวลงจากร่างของคนตัวใหญ่แต่ก็ถูกกอดเอาไว้

“เจ้าจะหนีเราไปไหนอีก” ทรงถาม ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

“ปล่อยครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวเสียงเบาไม่ยอมสบตากับคนตัวใหญ่

พระองค์คลายอ้อมกอดออก มิคาเอลก็พลิกตัวลงข้างๆ องค์เดเมี่ยนจึงรั้งเข้ามากอดไว้

“เจ้าโดนริชชี่แกล้งน่ะ เขาวางยาเจ้า” ทรงตรัสเพราะรู้ความคิดของอีกฝ่าย มิคาเอลหน้าแดงเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขากระทำลงไปเมื่อคืน

“เจ้ารังเกียจเราหรือเปล่า ที่เราทำกับเจ้าเมื่อคืน” ทรงถาม มิคาเอลหน้าแดง ก้มหน้าอยู่กับอกไม่ยอมสบตา

“เจ้าจำได้หรือเปล่าว่าเจ้ายั่วยวนเรามากแค่ไหน และเจ้าก็ยั่วยวนได้ดีเสียด้วย” ทรงกระซิบ มิคาเอลก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก พระองค์จึงจุมพิตร่างเล็กเบาๆ ที่หน้าผาก

“เจ้าทำให้เราพอใจมาก” องค์เดเมียนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันกว้างขวาง

“ครับ” ไมเคิลกล่าวและตัดสินใจถาม

 

“ผมมีเรื่องจะร้องขอต่อพระองค์ครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ค่อยๆ เงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่นอนอยู่เคียงข้าง

“ว่ามาสิ” ทรงอนุญาต

“ผมอยากจะติดต่อน้องชายของผมครับ ผมคิดว่าเขาคงกำลังเป็นห่วงผมอยู่” มิคาเอลร้องขอ แต่องค์เดเมียนกลับดูไม่พอใจนัก

“การที่เจ้ายอมทำทุกอย่างเมื่อคืน เพียงเพราะเจ้าต้องการติดต่อน้องชายอย่างนั้นหรือ” ทรงถาม

“ริชชี่ บอกว่า ถ้าผมทำให้พระองค์พอใจ พระองค์จะใจดีกับผม ผมก็เลย...” มิคาเอลตอบตามตรง

“บางอย่างเราคงอนุญาต แต่เจ้าที่เพิ่งเข้ามาในวัง และเจ้าก็เป็นนักโทษมาก่อน อยู่ๆ เจ้าก็มาทำดีเพียงเพื่อจะติดต่อคนภายนอก เราตอบตามตรงว่าเรายังไม่ไว้ใจเจ้า” องค์เดเมียนกล่าว

“แต่พระองค์บอกว่าพระองค์ตรวจเช็คประวัติด้านลึกของผมแล้วนี่ครับ แล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมพระองค์ถึงไม่เชื่อผมล่ะครับ” มิคาเอลกล่าวหา จนองค์เดเมี่ยนที่เห็นคนตัวเล็กทำหน้าเศร้า พระองค์ก็รู้สึกใจหาย

 

“แต่หากเจ้าพิสูจน์ตัวของเจ้าเอง ให้เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดร้าย เมื่อถึงเวลาเราจะเป็นคนพาน้องของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าเอง เราสัญญา” ทรงตรัส โอบกอดร่างเล็กเอาไว้

“แต่ผม...” มิคาเอลอยากจะประท้วง

“เจ้าคงไม่ได้คิดว่าการที่เจ้าร่วมรักกับเราในครั้งนี้ แล้วเจ้าจะได้ทุกอย่างหรอกใช่มั้ย” ทรงดักคอเอาไว้

“ผม...” มิคาเอลเกลียดคนตรงหน้าที่รู้ทันไปหมด

“การร่วมรักกับเรา มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทรงถามอย่างน้อยใจ

“มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่เหมือนพระองค์ ผมไม่เคยร่วมรักกับใคร และไม่เคยต้องการร่วมรักกับใคร ผมไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัวด้วยซ้ำ ผมเป็นแบบนี้มาตลอดกับทุกคน ไม่ใช่แค่พระองค์คนเดียว” มิคาเอลกล่าวออกมา

 

“ทำไมล่ะ เล่าให้เราฟังได้ไหม เราอยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้น” ทรงถาม มองคนตรงหน้า แต่มิคาเอลก็หลบสายตา และทำหน้าเศร้า

“ผมยังไม่พร้อมครับ...” มิคาเอลกล่าวอย่างหนักใจ

“เราจะรอเมื่อเจ้าพร้อม เราอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” ทรงตรัสก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“หากผมตามใจพระองค์ แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะได้พบกับน้องชายล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“นั่นก็แล้วแต่ความประพฤติของเจ้า” ทรงตอบ

“หากพระองค์จะให้ผมทำแบบเมื่อคืนอีก.... ผม...คงทำไม่ได้ เพราะนั่น...ไม่ใช่ผม” มิคาเอลสารภาพหน้าแดง

 

“เรารู้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น เราเพียงต้องการให้เจ้าทำดีกับเราบ้าง และเปิดใจกับเราบ้างก็เท่านั้น ถึงเราจะเอาแต่ใจ แต่เราก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวมากขนาดนั้น เราอยากทำให้เจ้ามีความสุขด้วยเช่นกัน” ทรงตรัส

“ผมจะมีความสุขเมื่อพระองค์ปล่อยผมไป” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

“อันนั้นเราก็ให้ไม่ได้ หากเจ้าไปเราคงจะเสียใจมาก” ทรงตอบ

“พระองค์ก็มีพระสนมตั้งเยอะ แล้วจะมาทุกข์อะไรกับผม ผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” มิคาเอลกล่าว

“สนมคนอื่นเราก็พบมาก่อนเจ้านี่ ตอนนี้เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตอบ

“เมื่อคืนก่อนพระองค์ก็ยังนอนกับพระสนมคนอื่นอยู่” มิคาเอลเถียง

“ก็เจ้าไม่ยอมให้เราเข้าใกล้ เราก็มีความปรารถนา แล้วเจ้าจะให้เราทำอย่างไร” ทรงถาม

“ผมไม่รู้หรอกครับว่าปกติเจ้าชายเขาทำกันยังไง แต่คนธรรมดาอย่างผมคงไม่มีทางที่จะรักคนที่มากรักอย่างที่พระองค์ได้หรอกครับ” คนตัวเล็กกล่าว

 

“หากเจ้ารักเรา เราจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงตรัส

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะไม่รักพระองค์” ร่างเล็กกล่าว

“เจ้ายังรักราฟาเอลสินะ” ทรงถามด้วยสีหน้าเศร้าๆ เจ็บปวด

“ผมไม่มีสิทธิ์หรอกครับ ผมรู้ฐานะของผมดี” มิคาเอลตอบเสียงเศร้าไม่ต่างกัน

“เราอยากให้เจ้าให้โอกาสเราบ้าง จะได้ไหม” ทรงถาม ยันตัวขึ้นก้มลงมองร่างเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ

“ผมเป็นแค่สนมพระองค์ มีสิทธิ์ จะทำอะไรกับผมก็ได้อยู่แล้วนี่ครับ ไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องมาขอโอกาสกับผม” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่อยากบังคับเจ้า เราอยากให้เจ้าเต็มใจ เราอยากให้เจ้าต้องการเราด้วยตัวของเจ้าเอง ไม่ใช่เพราะฐานะ หน้าที่ การบังคับ หรือแม้แต่ยาปลุกอารมณ์ เราอยากให้เจ้าเต็มใจ” ทรงตรัส มิคาเอลรับฟังแต่ไม่ได้พูดอะไร

 

“เรามีข้อเสนอให้เจ้า” ทรงตรัส

“ครับ?”

“ข้อแรก เราจะไม่ฝืนบังคับเจ้า ตราบเท่าที่ต่อหน้าคนอื่น เจ้าทำตามคำสั่ง เคารพและเชื่อฟังคำพูดของเรา หากอยู่ตามลำพัง เราจะให้อิสระเจ้า ทำได้ตามใจ” ทรงตรัส

มิคาเอลรับฟัง แต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ

“ข้อสอง เราจะไม่บังคับเจ้า  แต่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เราต้องการร่วมรักกับเจ้า” ทรงตรัสมองเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า จนมิคาเอลหน้าแดง

 

“ผม... ไม่แน่ใจว่าผมจะทำได้” มิคาเอลกล่าว

“เราเองก็พยายามลงให้เจ้ามากแล้ว ใจจริง เราอยากร่วมรักกับเจ้าทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เราอยากอยู่ในตัวเจ้า ครอบครองเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า...” ทรงตรัสได้แค่นั้นมิคาเอลก็เอามือมาปิดปากพระองค์ไว้ ไม่อยากฟังอีก

“พอแล้วครับ ผมตกลง” คนตัวเล็กหน้าแดง คนตัวใหญ่ก็หัวเราะออกมา

 

“พระองค์แกล้งผม” มิคาเอลกล่าวหา องค์เดเมี่ยนรั้งมือของคนตัวเล็กเข้าหา ก่อนจะจุมพิตที่ฝ่ามือเบาๆ

“และหากเจ้าทำได้ตามข้อตกลง เราจะอนุญาตให้น้องชายของเจ้ามาเยี่ยม”

“โทนี่จะอยู่ได้นานแค่ไหนครับ”มิคาเอลถาม

“นานตราบเท่าที่เจ้าต้องการ หรือจะอยู่ตลอดไปก็ได้” ทรงตอบ

“สัญญานะครับ”มิคาเอลถาม

“เราสัญญา” ทรงตอบ มิคาเอลยื่นนิ้วก้อยออกไปหาคนตัวใหญ่

“เกี่ยวก้อยสัญญานะครับ” มิคาเอลกล่าว คนตัวใหญ่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูแล้วจึงเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากับคนตัวเล็ก

“เราสัญญา”

 

มิคาเอลรู้ดีว่าในตอนนี้ถึงเขาจะดื้อและขัดขืนไป ก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา ตรงกันข้ามในตอนนี้เขาจะต้องเรียนรู้สถานะการณ์ และสภาพแวดล้อมก่อน การที่ทำให้องค์เดเมี่ยนไว้ใจก็น่าจะทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ค่อยถูกใจกับข้อเสนอนัก แต่อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ต้องทนไปก่อน เพื่อหาโอกาสและลู่ทาง เพื่อหนีไปจากที่นี่

 

“ผมมีอีกเรื่องจะขอครับ”มิคาเอลกล่าว

“ว่ามาสิ”

“ผมไม่ชอบอยู่เฉยๆ ผมรู้ว่าในฐานะ... สนมของพระองค์... ผมต้องอยู่แต่ในวิลล่าเล็ก แต่ผมทำงานมาตั้งแต่เด็ก ให้ผมมานั่งเฉยๆ ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ผมอยากทำงานครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเป็นสนมของเรา ทำไมเจ้าจะต้องทำงานด้วย” ทรงถามอย่างไม่เข้าใจ

“ทีพระองค์เป็นเจ้าชาย พระองค์ก็ยังทรงงานเลยนี่ครับ” มิคาเอลตอบ

“นั่นเป็นหน้าที่ของเรา แต่เจ้าที่เป็นสนม เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร” ทรงรั้งร่างเข้ามากอดอีกครั้งอย่างรักใคร่

“ฝ่าบาท! แต่ผมไม่ชอบอยู่เฉยๆ นี่ครับ ถ้าผมทำงาน ผมก็จะได้ไม่ต้องคิดมาก ทั้ง เรื่องโทนี่ ทั้งเรื่องพระองค์ และเรื่องอื่นๆ”มิคาเอลพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดคนตัวใหญ่ แต่ยิ่งขัดขืนพระองค์ก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น แล้วยังพยายามจะจูบเขาอีก

 

“ไหนพระองค์บอกว่าจะไม่ฝืนใจผมไงครับ” มิคาเอลประท้วง

“เราก็แค่จูบ ไม่เห็นเป็นไรเลย เมื่อคืนเจ้ายังยอมให้เราทำมากกว่านี้อีก เจ้าเป็นคนเรียกร้องให้เราทำด้วยซ้ำ” ทรงตรัสหยอกล้อ

“ฝ่าบาท นั่นไม่ใช่ผมสักหน่อย” มิคาเอลหน้าแดงประท้วง

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส ก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากของพระองค์ กับริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยน ลิ้นของพระองค์รุกล้ำเข้ามาหยอกล้อ ก่อนจะรั้งให้ลิ้นของคนตัวเล็กตอบสนอง พระองค์จุมพิตเนิ่นนาน ก่อนจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ อย่างไม่เต็มใจนัก มองร่างเล็กตรงหน้าที่ค่อยๆ ลืมตาตื่นจากความฝันอันแสนหวานที่พระองค์มอบให้

______________________________

หวานกันต่อ หุ หุ หุ เรื่องนี้ท่าจะฉาก18+ เยอะนะ

ได้ข่าวว่ารีดเดอร์เรื่องนี้ชอบ

https://www.facebook.com/teddybeararthur/
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 23 จิบน้ำชายามบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 31-07-2016 11:33:02
บทที่ 23 จิบชายามบ่าย

 

องค์เดเมียนอุ้มมิคาเอลมาส่งที่ห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของเหล่าสนมคนอื่น มิคาเอลเอาแต่หน้าแดงก้มหน้าไม่ยอมสบตาใคร

“เราไม่อยากไปทำงานเลย เราอยากอยู่กับเจ้า” ทรงตรัสมองมิคาเอลที่นอนอยู่บนเตียง

“ผม… อยากพักผ่อนครับ” มิคาเอลรีบปฏิเสธ

“เจ้าจะรีบไล่เราไปไหนกัน” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลกล่าวไม่ยอมสบตา

“ให้เรามาหาเจ้าคืนนี้ได้ไหม” ทรงถาม

“ไหนฝ่าบาทบอกว่าแค่อาทิตย์ละครั้งไงครับ” มิคาเอลที่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็หน้าแดงจัด

“เราแค่อยากเห็นหน้าเจ้า ใช่ว่าเราจะต้องร่วมรักกับเจ้าสักหน่อย” ทรงหัวเราะเบาๆ

“แล้วแต่พระองค์สิครับ” มิคาเอลไม่ชอบใจที่องค์เดเมี่ยนเอาแต่หยอกล้อเขา

“เจ้าจะคิดถึงเราหรือเปล่า” ทรงยกมือของคนตัวเล็กมาจุมพิต

“ถ้าพระองค์ยังอยู่ตรงนี้ ผมก็คงไม่คิดถึงหรอกครับ” มิคาเอลเฉไฉ

“แล้วถ้าเราไปแล้วล่ะ เจ้าจะคิดถึงเราไหม” ทรงถาม

“ผม… ขอคิดดูก่อนแล้วกัน สายมากแล้วครับ” มิคาเอลไล่

“เราอยากให้เจ้าใจดีกับเรามากกว่านี้สักหน่อย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเจ้าออกจะน่ารัก” ทรงตรัสและยิ้มกริ่ม

“ฝ่าบาท!!!” มิคาเอลหน้าแดงเมื่อคิดถึงเมื่อคืน และดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมให้เขาลืมมันง่ายๆ เสียด้วย

“เป็นเด็กดีล่ะ เราต้องไปแล้ว” ทรงตรัส ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวเล็ก

 

เมื่อองค์เดเมี่ยนจากไป มิคาเอลก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นจากด้านนอก เขาจึงเดินออกมาจากห้องนอน

“แดเรียล เกิดอะไรขึ้น” มิคาเอลถาม

“เอ่อคุณมิคาเอลค่ะ” แดเรียลพยายามจะเตือน

“แกน่ะเหรอ สนมคนใหม่ หน้าตาก็งั้นๆ” ชายหนุ่มผมสั้นสีทอง ตาสีฟ้า หน้าตาน่ารักเอ่ยขึ้น จากที่ได้ยินจากริชชี่ มิคาเอลคิดว่าคนๆ นี้คือแอนดี้

“อย่าคิดนะว่าเป็นคนใหม่แล้วองค์เดเมียนจะทรงตามใจ เจ้าควรจะหัดรู้จักฐานะของตัวเองด้วย” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น คนๆ นี้ผมสีอ่อน ตาสีเขียว คาดว่าคงเป็น ลูคัส และอีกคนที่เหลือก็คงเป็นมาร์คัสอย่างแน่นอน

“ผมเป็นหนึ่งในพระสนม ‘คนโปรด’ ขององค์เดเมียน ผมคือมาร์คัส ผมขอโทษแทนทั้งสองคนด้วย” มาร์คัสกล่าวทักทายแต่ก็พยายามจะอวดเบ่ง

“ยินดีครับ ผมมิคาเอล ผมเพิ่งมาใหม่ อาจจะยังไม่ค่อยรู้กฎของของที่นี่ เลยไม่รู้ว่ามีการรับน้องด้วย ผมคิดว่าองค์เดเมียนห้ามทะเลาะกันเสียอีก” มิคาเอลกล่าว

 

"มีปาร์ตี้กันทำไมไม่บอกล่ะ มิคาเอล ไม่เห็นชวนผมบ้างเลย” ริชชี่ ถือวิสาสะเดินเข้ามา

“คุณริชชี่” มิคาเอลทัก

“มาร์คัส ลูคัส แอนดี้ รู้จักกับมิคาเอลหรือยังครับ ผมคิดว่า องค์เดเมี่ยนทรงโปรดมิคาเอลไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นพระองค์คงไม่หมั่นมาหามิคาเอลหรอก และผมไม่คิดว่าพระองค์จะพอใจนักหากเกิดอะไรขึ้นกับมิคาเอล จริงไหมครับ มาร์คัส” ริชชี่กล่าวและยิ้มให้ ดักคอทั้งสามคนเอาไว้

“ผมก็แค่มาแนะนำตัว ทำความรู้จักเท่านั้น” มาร์คัสกล่าว

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญออกไปกันได้แล้วสินะครับ” ริชชี่กล่าวไล่พร้อมรอยยิ้ม ทั้งสามจึงกลับออกไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ขอบคุณครับ คุณริชชี่” มิคาเอลกล่าว

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยคนพวกนี้แค่มาลองเชิงน่ะ ว่าแต่ดีกับองค์เดเมี่ยนหรือยังครับ” ริชชี่ถาม และนั่นก็ทำให้มิคาเอลหน้าแดงก่ำ

“เอ่อ... ครับ”

“ดีแล้วล่ะครับ ผมไม่ชอบให้ใครมาทำให้พระองค์ไม่พอใจนะครับ” ริชชี่ยิ้ม แต่อีกครั้งมิคาเอลรู้สึกหนาววูบ คนๆ นี้น่ากลัวเกินไป ทางที่ดีควรคบเป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู

 

"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ๆ ผ่านมาผมเอาแต่ใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอื่น” มิคาเอลกล่าว ริชชี่ยิ้มออกมา

“ผมไมถือหรอกครับ ไปเดินเล่นในสวนกันดีกว่า ผมสั่งให้คนเตรียมชาเอาไว้แล้ว” ริชชี่ตอบ และชักชวน แต่มิคาเอลกลับลังเลเมื่อคิดถึงชาของริชชี่

“อ้อ ไม่ต้องห่วงครับ อันนี้เป็นชาปกติ ไม่ใช่ชาแบบพิเศษอย่างที่คุณดื่มเมื่อคืนหรอก” ริชชี่ตอบยิ้มๆ แต่มิคาเอลก็หน้าแดงขึ้น แต่ก็ยอมเดินตามริชชี่ไปแต่โดยดี

 

 ในช่วงบ่ายมิคาเอลใช้เวลาไปกับการดื่มชาและพูดคุยกับริชชี่ และในตอนหลังริชชี่ยังแนะนำเขาให้รู้จักกับหนุ่มฝรั่งเศสหน้าหวาน ชื่อฌอน ที่ดูสุภาพและอ่อนโยน และเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักชื่อโจชัวร์ ที่ดูยังไง อายุก็ไม่น่าจะเกิน20 การพูดคุยดำเนินไป โดยมิคาเอลดูจะฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ การสนทนาก็หยุดลง พร้อมกับทั้งสามคนต่างมองมาที่มิคาเอลด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ มิคาเอลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเขาถูกโอบกอดจากด้านหลัง และเมื่อเขาพยายามจะดิ้นให้หลุดและหันหน้าไปดูหน้าคนกระทำ คนตัวใหญ่ก็ก้มลงมาครอบครองริมฝีปากของเขาอย่างเป็นเจ้าของ

 

 

องค์เดเมียนออกมาจากวิลล่าเล็กด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จนเหล่าทหารและองครักษ์ต่างแปลกใจที่พระองค์อารมณ์ดีผิดปกติ เมื่อทรงเสด็จมาที่อาคารที่ทรงงาน พระองค์กลับยิ้มแย้มให้กับผู้คนที่ทักทายพระองค์อย่างเป็นมิตร จนทำให้สาวๆ พากันหัวใจเต้นผิดจังหวะกันไปหลายคน องค์เดเมียนที่ปกติพระพักตร์อันหล่อเหลานั้นมักจะบึ้งตึง แต่วันนี้กลับดูมีความสุข และยิ้มแย้มจนหลายคนตกใจ

 

องค์เดเมียนทรงดูแลเรื่องการนำเข้าส่งออกของประเทศเป็นหลัก และภายใต้การบริหารของพระองค์ทำให้รายได้จำนวนมหาศาลไหลเข้ามาสู่คานาเดีย นอกจากนี้พระองค์ยังมีส่วนร่วมในการจัดการเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศอีกด้วย ดังนั้นพระองค์จึงเป็นหนึ่งในตัวหลักที่ดูแลการใกล้ชิดเกี่ยวกับการจับตัวกลุ่มกบฏมาลงโทษ ด้วยทั้งหน้าที่ และความรับผิดชอบอันมากมาย ทำให้วันนี้เป็นอีกวันที่พระองค์มีงานที่ต้องสะสางจำนวนมาก

 

ในขณะที่พระองค์ทรงงานไปพระองค์ก็อดที่จะคิดถึงคนตัวเล็กไม่ได้ พระองค์ไม่เคยเจอใครที่ขัดใจพระองค์ได้มากเท่าคนๆ นี้ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำให้พระองค์มีความสุขได้มากเท่านี้มานานมากแล้ว แต่ทำให้พระองค์ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกคือการที่คนตัวเล็กร้องขอจะทำงาน

 

ที่ผ่านมาสนมของพระองค์ต่างก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พึงพอใจ เพื่อหวังสิ่งตอบแทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ทรัพย์สมบัติ หรืออภิสิทธ์ในการทำสิ่งต่างๆ แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะมีสนมคนไหนของพระองค์ อยากจะทำงาน

 

พระองค์อาจจะมีสนมหลายคน แต่พระองค์ก็ดูแลสนมของพระองค์เป็นอย่างดีทุกคน

สนมทุกคนจะถูกจัดให้พักในห้องที่ได้จัดไว้ แม้จะเรียกห้อง แต่ก็เป็นห้องที่กว้างมาก ภายในประกอบไปด้วยห้องนอนขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งตามธีมที่สนมแต่ละคนต้องการ มีห้องน้ำเชื่อต่อจากห้องนอน และห้องน้ำแขกแยกกัน ห้องรับแขกที่สามารถจุคนนับ 10 คน แบบสบายๆ โดยเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี นอกจากนี้สนมแต่ละคนยังมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้ สวนอุทยานภายในวิลล่าเล็กทั้งสอง ก็เหมือนสวรรค์บนดิน และรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่สนมทั้งหลายต้องการ พระองค์ก็อนุญาตให้คนหามาให้ สนมทุกคนได้รับการตามใจ และประคบประหงมอย่างดี

แต่สนมคนใหม่ของพระองค์ กลับร้องขอจะทำงาน

 

บางทีพระองค์อาจจะให้มิคาเอลมาช่วยงานพระองค์ก็น่าจะดี เพราะคนตัวเล็กเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ยังพยศกับพระองค์แท้ๆ แต่มาตอนนี้กลับโอนอ่อนตามพระองค์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ การเก็บคนตัวเล็กไว้ใกล้ตัวย่อมดีกว่า

 

ในขณะที่พระกำลังจะสั่งออกไปเพื่อเตรียมให้มิคาเอลมาทำงานด้วย แต่แล้วองค์นาธานเนียลก็เสด็จเข้ามา

“เสด็จพี่เดเมี่ยน”

“ว่าอย่างไรนาธานเนียล”

“เสด็จพี่ดูอารมณ์ดีจังนะครับ” องค์นาธานเนียลทักทาย

“ทำไมพี่จะอารมณ์ดีไม่ได้” องค์เดเมียนถาม

“ก็ผมได้ยินมาว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็เข้าหน้าพระองค์ไม่ติด เกิดอะไรขึ้นครับ” องค์นาธานเนียลถาม นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มจากพระเชษฐาคนนี้

 

“พี่มีความสุข มิคาเอลทำให้พี่มีความสุข” องค์เดเมี่ยนตอบเรียบๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ

“มิคาเอลอีกแล้วเหรอครับ ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยชอบเด็กคนนี้สักเท่าไหร่” องค์นาธานเนียลกล่าว และก็รู้สึกเสียใจทันทีที่กล่าวออกมา

“แล้วอย่างไรนาธานเนียล เจ้าคิดว่าเราจะสนใจเหรอ ว่าเจ้าคิดอย่างไร” องค์เดเมียนถามเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ

“ผมขอโทษครับ แต่เสด็จพี่ก็รู้ เพราะเด็กคนนั้น ในตอนนี้ราฟาเอลแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร แล้วยังทำให้ทั้งสองพระองค์ผิดใจกันอีก เรื่องนี้ที่ผมทนไม่ได้” องค์นาธานเนียลตรัส

“แล้วอย่างไร เราก็บอกแล้วว่ามิคาเอลเป็นสนมของเรา หากเจ้าโง่ราฟาเอลไม่พอใจ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเราไม่คิดจะมอบมิคาเอลให้ใคร” องค์เดเมียนตรัสอย่างอารมณ์เสีย เมื่อคิดถึงอดีต

“เสด็จพี่ ผมไม่ได้คิดจะให้พระองค์มอบพระสนมให้ใคร เพียงแต่ผมไม่พอใจกับสิ่งที่เด็กคนนั้นกระทำ แม้กระทั่งหมอพอลก็เห็นด้วยกับผม ทั้งๆ ที่เด็กคนนั้นเป็นพระสนมของเสด็จพี่ แต่เด็กคนนั้นก็ยังคงถามหาราฟาเอล ผมไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะมีค่าคู่ควรกับตำแหน่งสนมที่พระองค์ยกย่องก็เท่านั้น ผมไม่ได้หมายความว่าจะให้พระองค์ยกเขาให้ใคร” องค์นาธานเนียลกล่าว

“มีค่าคู่ควรหรือไม่ เจ้าหมอปากมากนั่นเป็นใคร มาตัดสินใจแทนเรา หรือแม้แต่เจ้า นาธานเนียล ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้ามาตัดสินใจแทนเรา หรือเพราะในตอนนี้เจ้าเป็นกษัตริย์ และเจ้าคิดจะเดินตามรอยเท้าคนๆ นั้น” องค์เดเมียนถามด้วยความโกรธ

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกันนะครับ” องค์นาธานเนียลรู้สึกผิดที่พูดออกมาโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบเสียก่อน จนไปจี้แผลเก่าขององค์เดเมี่ยนเข้าอย่างจัง

“เราถือเจ้าเป็นน้องและเราถือว่าเราเป็นหนี้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่าทุกอย่างย่อมมีขีดจำกัด” องค์เดเมียนโกรธและเดินออกไปจากห้อง

 

พระองค์โกรธที่องค์นาธานเนียลคิดจะมาตัดสินคนที่พระองค์พึงพอใจ โกรธที่องค์นาธานเนียลไม่เคารพในการตัดสินใจของพระองค์ และโกรธที่การสนทนาเมื่อครู่ทำให้พระองค์คิดถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ไม่อยากจะคิดถึง และคิดถึงคนที่พระองค์อยากจะลืม แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่ภาพในความทรงจำก็ยังไม่เคยจางหายไป อดีตที่พระองค์ไม่อยากจะจำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพระองค์ก็ไม่เคยลืม

 

“เดสซาเร...” เสียงกระซิบเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน

 

องค์เดเมียนเดินใจลอยกลับเข้าวิลล่า แม้จะมีงานเหลือค้างที่ต้องสะสางแต่พระองค์ก็ไม่มีสมาธิที่จะทำอีกแล้ว พระองค์ตัดสินใจเดินเข้าไปในวิลล่าเล็ก และตรงเข้าไปหามิคาเอล แต่ก็พบห้องที่ว่างเปล่า เพียงเสี้ยววินาทีพระองค์รู้สึกใจหาย แต่แล้วแดเรียลก็เดินออกมา

 

“ฝ่าบาท พระสนมมิคาเอลอยู่ในสวนกับพระสนมริชชี่เพคะ” แดเรียลกล่าว และมันก็ทำให้พระองค์รู้สึกโล่งใจ พระองค์เดินไปตามทาง ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ ในที่สุดพระองค์ก็พบมิคาเอลที่กำลังนั่งหันหลังให้กับพระองค์ สนมทั้งสามคนต่างพร้อมใจกันหยุดพูดคุย เมื่อพระองค์เดินเข้ามาใกล้ ด้วยเพราะแปลกใจที่ไม่เคยเห็นองค์เดเมี่ยนเสด็จมาวิลล่าเล็กเร็วขนาดนี้มาก่อน

 

พระองค์โอบกอดร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะประทับริมฝีปากของพระองค์ กับร่างเล็กเนิ่นนานอย่างเป็นเจ้าของ โดยไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กขัดขืน พระองค์ก็ช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดทั้งๆ ที่ยังครอบครองริมฝีปากของร่างเล็ก ก่อนจะพาร่างเล็กกลับไปยังห้องบรรทม โดยไม่สนใจสายตา ของเหล่าสนมที่มองตามด้วยความอิจฉา

______________________________

ยังไม่ทันข้ามวันเลย องค์เดเมียนจะผิดสัญญาซะแล้วมั้ง

หุ หุ หุ

https://www.facebook.com/teddybeararthur/
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 23 จิบน้ำชายามบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: Silvan ที่ 31-07-2016 12:23:18
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

น่าติดตามมากคะจะรอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: ----The dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 21 ของขวัญ 20++++
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 31-07-2016 16:29:48
สงสารทั้งเดเมี่ยน ไมเคิล และราฟาเอลอะ ;__;
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 24 คนไม่รักษาสัญญา 18 +++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 31-07-2016 22:25:32
บทที่ 24 คนไม่รักษาสัญญา

 

องค์เดเมี่ยนอุ้มคนตัวเล็กกลับเข้าไปในห้องบรรทม ริมฝีปากของพระองค์ยังคงประทับจุมพิตอย่างดูดดื่มโดยไม่เปิดโอกาสให้คนตัวเล็กขัดขืน ลิ้นของพระองค์ล่วงล้ำเข้ามาควานหาความหวานภายในอย่างหิวกระหาย ปลุกเร้าจนคนตัวเล็กไม่อาจจะขัดขืน จึงได้แต่โอนอ่อนตามพระองค์

 

พระองค์วางร่างของมิคาเอลลงลงบนเตียง ก่อนจะทรงทาบทับร่างเล็กเอาไว้ใต้ร่าง พระองค์ยังคงจูบริมฝีปากบางอย่างไม่รู้จักอิ่ม มือใหญ่ของพระองค์ลูบไล้ไปทั่ว ก่อนจะสอดเข้าข้างใต้เสื้อที่มิคาเอลสวมอยู่ ก่อนพระองค์จะค่อยๆ เปิดเสื้อขึ้น พระองค์ยังครอบครองริมฝีปากของมิคาเอลอยู่ นิ้วเรียวยาวของพระองค์ก็ค่อยๆ สัมผัสกับยอดอกสีชมพูเข้ม หยอกล้อจนมันแข็งเป็นไต มิคาเอลครางออกมา เมื่อคนตัวใหญ่บีบที่ยอดอกของเขา จนร่างเล็กต้องแอ่นอกตามมือของคนตรงหน้า ร่างเล็กหอบหายใจ เมื่อคนตัวใหญ่ถอนริมฝีปากออกจากเขา แต่ก็จูบไซร้ลงไปที่ต้นคอ ก่อนเคลื่อนลงต่ำมาหยอกล้อกับยอดอกที่แข็งเป็นไตของเขา มิคาเอลพยายามจะผลักคนตัวใหญ่ออก แต่พระองค์ก็ขบกัดเบาๆ ที่ยอดอกของมิคาเอล จนร่างเล็กเผลอแอ่นอกตามปากของพระองค์ และครางออกมาเสียงดัง

 

พระองค์ค่อยๆ เคลื่อนมือใหญ่ลงไปที่แก่นกายของมิคาเอลที่กำลังตื่นตัว พระองค์สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวผ่านกางเกงผ้า มิคาเอลก็พยายามถอยหนี

 

“ฝ่าบาท!! อย่าครับ… ปล่อยผม…” ร่างเล็กกล่าว พยายามขัดขืนแต่พระองค์ก็ค่อยๆ ถอดกางเกงของมิคาเอลออก ก่อนก้มลงครอบครองร่างที่กำลังตื่นตัวของมิคาเอล โดยไม่ฟังเสียงประท้วงของอีกฝ่าย

 

“ฝ่าบาท …อย่า…” เสียงประท้วงของมิคาเอลเงียบลง ตามมาด้วยเสียงครางออกมา จากความเสียวซ่านที่เจ้าชายมอบให้ เพียงไม่นาน มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมา และองค์เดเมียนก็กลืนกินจนหมดสิ้น

 

คนตัวเล็กหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาจากทางด้านหลัง

 

“ฝ่าบาทได้โปรดเถอะครับ ผม ... ผมเจ็บครับ... ได้โปรดหยุด...” มิคาเอลอ้อนวอนทำท่าจะร้องไห้ องค์เดเมียนจึงค่อยๆ ถอนนิ้วออกอย่างไม่เต็มใจนัก

“เราต้องการเจ้า” ทรงกระซิบเสียงแหบพล่าข้างหูของคนตัวเล็ก ก่อนจะดูดเม้มติ่งหูของร่างเล็กอย่างโหยหา

“ผมเจ็บครับ พระองค์ร่วมรักกับผมทั้งคืน ผมยังเจ็บอยู่เลยครับ ได้โปรด” มิคาเอลร้องขออีกครั้ง แต่องค์เดเมี่ยนกลับเอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอลมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ และทรงตรัส

“เรา ต้องการ เจ้า ... เรากำลังทรมาน เจ้าจะใจร้าย ทรมานเราเชียวหรือ” ทรงตรัส มิคาเอลหน้าแดงเมื่อพระองค์จับมือของเขามาสัมผัสกับของพระองค์ พระองค์กำลังตื่นตัว และแข็งแกร่ง ร่างของพระองค์ขยายใหญ่ขึ้นจนคับแน่นกางเกงที่พระองค์กำลังสวมอยู่ มิคาเอลถอนมือออกเมินหน้าไปทางอื่น

 

พระองค์ลุกขึ้น ก่อนจะทรงเปลื้องผ้าออกต่อหน้าของมิคาเอล เมื่อกางเกงถูกถอดออก ความใหญ่โตของพระองค์ ก็ดีดตีวออกมา ตั้งตระหง่านดุจเสาหิน พระองค์เดินเข้ามาหามิคาเอลช้าๆ แต่คนตัวเล็กกลับถอยหนี

 

“มิคาเอล เราต้องการเจ้า” ทรงตรัสเสียงแหบพล่า เกือบจะอ้อนวอน

“ผมยังเจ็บอยู่เลยครับ ของพระองค์ใหญ่ขนาดนั้น ผมทนไม่ได้แน่ๆ” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ ถอยหนีไปอีกฟากของเตียง

“หากเจ้าไม่ยอมร่วมรักกับเรา เราก็คงจะทรมานมาก เจ้าไม่สงสารเราบ้างเหรอ ร่างของเราตอบสนองต่อเจ้า ปรารถนาต่อเจ้ามากเพียงนี้” ทรงตรัสก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าหา แต่พอเห็นร่างเล็กที่ดูหวาดกลัว พระองค์จึงทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนแทน

“หากเจ้าไม่อยากร่วมรักกับเรา งั้นเจ้าก็ช่วยทำให้เราปลดปล่อยหน่อยสิ” ทรงเสนอ

“ผม ทำไม่เป็นนี่ครับ” มิคาเอลสารภาพหน้าแดง

“เจ้าก็แค่ทำแบบเดียวกับที่เราทำให้เจ้า” ทรงตอบ ยื่นมือออกไปหาคนตัวเล็กก่อนรั้งเข้ามาหา

“ผม...” มิคาเอลหน้าแดง เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าหากเราไม่ปลดปล่อย มันจะทรมานขนาดไหน” ทรงตรัสก่อน รั้งมือของคนตัวเล็กมาสัมผัสกับของพระองค์ พระองค์ครางเบาๆ เมื่อมือของร่างเล็กค่อยๆ ขยับ พระองค์มองใบหน้าหวานที่มีสีชมพูระเรื่อ อย่างพอใจ พระองค์ย่อมยินดีที่รู้ว่าพระองค์เป็นคนแรกที่ร่างเล็กยอมกระทำให้

“ใช้ปากกับลิ้นของเจ้าด้วยสิ” พระองค์ตรัส ร่างเล็กก็ค่อยขยับลงมาใกล้อย่างว่าง่าย ลิ้นเล็กๆ สีชมพู ค่อยแลบออกมาเลียที่ปลายยอดของพระองค์อย่างกล้าๆ กลัวๆ ทั้งท่าทางและการกระทำของคนตรงหน้า ยิ่งปลุกเร้าพระองค์มากยิ่งขึ้น

 

“อ้าปากสิ” ทรงตรัส มิคาเอลจึงอ้าปากและค่อยๆ ครอบครองพระองค์ช้าๆ แต่ร่างเล็กก็คายออกและสำลัก ด้วยความไม่คุ้นชิน พระองค์ยิ้ม

“ไม่ต้องครอบครองทั้งหมดก็ได้ ใช้ลิ้นของเจ้าไปด้วย อย่างนั้นแหล่ะเด็กดี” ทรงสอนมิคาเอล

“หันร่างของเจ้ามาทางนี้สิ เราจะทำให้เจ้าไปด้วย” ทรงตรัส มิคาเอลมิได้ขัดขืนหันตัวกลับไปหาพระองค์ ร่างเล็กตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง พระองค์สัมผัสร่างเล็กไปด้วย ทุกครั้งที่พระองค์สัมผัสร่างของมิคาเอลก็ขยับตามด้วยเสียวซ่าน ร้องครางเบาๆ ในคอ เพราะในปากก็ยังคับแน่นด้วยร่างของพระองค์อยู่

 

องค์เดเมี่ยนอุ้มมิคาเอลขึ้นในท่ากลับหัว และครอบครองร่างเล็กด้วยปากและลิ้น จนร่างเล็กเสียวซ่านไปหมด และพระองค์ก็ไม่ได้ครอบครองเพียงร่างของเขา แต่พระองค์เลียไปยังส่วนอ่อนไหวด้านหลังด้วย จนมิคาเอลทนไม่ไหวและร้องครางออกมาอย่างเสียวซ่าน

“หากเจ้าหยุดปลุกเร้าเราแบบนี้ แล้วเราจะปลดปล่อยได้อย่างไร” ทรงตรัส ก่อนพระองค์จะค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปเพื่อปลุกเร้าด้านหลัง ปากและลิ้น ก็ครอบครองร่างที่ตื่นตัวด้านหน้า

 

มิคาเอลมิอาจจะสู้ หรือขัดขืนคนตรงหน้านี้ได้เลย ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ องค์เดเมียนที่รออยู่แล้วก็ค่อยจับร่างของมิคาเอลพลิกลง พระองค์ชโลมเจลหล่อลื่นก่อนจะค่อยๆ สอดใส่อย่างทะนุถนอม แต่กระนั้น คนตัวเล็กก็ยังกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

 

“อดทนอีกนิดนะคนดี เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” ทรงตรัสอ่อนโยน กอดจูบมิคาเอลไว้ เมื่อร่างเล็กเริ่มชินพระองค์จึงเริ่มขยับ พระองค์ค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า จนมิคาเอลครางเบาๆ ออกมา ทั้งๆ ที่พยายามจะกลั้นเสียงเอาไว้

“อย่ากลั้นเสียงของเจ้าสิ เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า” ทรงตรัสก้มลงจูบคนตัวเล็ก พระองค์จับขาของมิคาเอลยกขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างเข้าออกช้าๆ ใบหน้าของมิคาเอลช่างเย้ายวน เสียงครางดังขึ้นเมื่อพระองค์ฝังร่างของพระองค์ลงไปจนมิด เร่งจังหวะขึ้น จนกระทั่งร่างเล็กครวญครางอย่างไม่อาจควบคุม ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง พระองค์พึงพอใจกับภาพตรงหน้า แต่พระองค์ยังคงแข็งแกร่งอยู่ในร่างของคนตัวเล็ก ไม่นานพระองค์ก็เริ่มขยับอีกครั้ง พระองค์จับให้มิคาเอลคลานเข่า ก่อนจะฝังร่างของพระองค์เข้าไปอีกครั้งอย่างรุนแรง จนมิคาเอลกรีดร้อง พระองค์รั้งร่างเล็กขึ้นมาจูบ และขยับร่างอย่างเชื่องช้า แล้วจึงจับสะโพกเล็กและรั้งร่างมิคาเอลเข้าหาพระองค์เป็นจังหวะ ทุกครั้งที่ร่างกายกระทบกัน มิคาเอลก็ครางออกมาเสียงดัง พระองค์เร่งจังหวะ เพียงไม่นานทั้งสองจึงปลดปล่อยออกมาจนเกือบจะพร้อมกัน

 

มิคาเอลรู้สึกตัวเองด้อยค่าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงเขาก็คงไม่มีทาง ที่จะขัดใจองค์เดเมียนได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิด และละอายอยู่ดี เขารู้สึกว่าร่างกายของเขามันช่างสกปรกเหลือเกิน แล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา พระองค์รั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด พยายามปลอบโยน แต่คนตัวเล็กก็นิ่งเฉยไม่ตอบสนองต่อพระองค์

 

“เจ้าเกลียดเรามากนักหรือ มิคาเอล ทำไมเจ้าจะต้องร้องไห้ทุกครั้งที่เราสัมผัสเจ้าด้วย” ทรงถามอย่างเจ็บปวด เมื่อคนที่พระองค์รักกลับไม่รักพระองค์

“ผมเป็นสนม ผมคงไม่มีสิทธิ์ หากพระองค์พอใจในร่างกายของผมแล้ว ก็ทรงปล่อยเถอะครับ ผมอยากอาบน้ำ” มิคาเอลกล่าว เขาอยากจะล้างคราบคาวโลกีย์ออกไปเสีย

“มิคาเอล เจ้าจะรักเราบ้างไม่ได้เหรอ” ทรงถาม

“ในเมื่อพระองค์เป็นคนเสนอข้อเสนอกับผม แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวันพระองค์ก็ผิดสัญญาเสียแล้ว แต่ผมก็รู้ฐานะของผมดี อย่างที่ผมบอก ผมในฐานะสนม ผมคงไม่มีสิทธิ์ขัดขืนพระองค์ ร่างกายของผมเป็นของพระองค์ แต่ผมจะไม่มีวันรักพระองค์ ปล่อยผมเถอะครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างเย็นชา พยายามจะขืนตัวออก

 

“เราขอโทษ” ทรงกอดร่างมิคาเอลเอาไว้

“พระองค์ไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมมันก็แค่ของเล่นบนเตียงของพระองค์เท่านั้น แต่ผมจะรอ จะรอจนกว่าพระองค์จะเบื่อผม ถึงตอนนั้นผมจะไปจากที่นี่” มิคาเอลกล่าว

“เราจะไม่มีวันเบื่อเจ้าหรอก ต่อให้นานแค่ไหนเราก็จะรักเจ้าตลอดไป” ทรงกล่าว

“ตลอดไปของพระองค์มันนานแค่ไหนกัน 1 เดือน 1 ปี คำว่าตลอดไปน่ะ มันไม่มีจริงหรอก” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด ผลักร่างขององค์เดเมียนออกก่อนวิ่งเข้าห้องน้ำไป

 

องค์เดเมียนนั่งรออยู่ ในที่สุดมิคาเอลก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“พระองค์ต้องการอะไรครับ หรือยังไม่พอใจกับร่างกายของผม” มิคาเอลกล่าว

“เราขอโทษที่เอาแต่ใจ เราขอโทษที่ฝืนบังคับเจ้า ล่อลวงเจ้า ทั้งๆที่เราสัญญากับเจ้า เราเสียใจที่เราไม่รู้จักห้ามใจ แต่ที่เราบอกรักเจ้า เราไม่ได้โกหก เรารักเจ้าจริงๆ และเราก็ไม่ชอบเลยที่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เรายอมรับผิดทุกอย่าง ยกโทษให้เราได้ไหม” องค์เดเมี่ยนกล่าวเสียงเศร้า มองคนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด

 

“ผมไม่ชอบคนที่ไม่รักษาคำพูด” มิคาเอลกล่าว

“เราขอโทษ เราผิดเอง เราเอาเรื่องส่วนตัวของเรามาลงกับเจ้า ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่อาจสงบลงได้ มีเพียงเจ้าที่ทำให้เราสงบลง ได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเถิด” ทรงตรัสขอร้อง

“ผมยกโทษให้ครับ” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมียนจึงเดินเข้าไปกอด ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กไปนอนที่เตียง มิคาเอลผลักคนตัวใหญ่ออก ไม่ยอมให้กอด

“ผมแค่บอกว่ายกโทษให้ แต่ไม่ได้บอกให้พระองค์กอดผมได้สักหน่อย” มิคาเอลดุ

“อย่าใจร้ายกับเรานักเลย วันนี้เราเจอเรื่องแย่ๆ มากพอแล้ว” ทรงตรัสเศร้าๆ มิคาเอลจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้องค์เดเมียนกอดอยู่เนิ่นนาน

 

องค์เดเมียนแปลกใจไม่น้อย ที่คนตัวเล็กคนจะมีอิทธิพลกับพระองค์มากเพียงนี้ ร่างที่บอบบางราวกับผู้หญิง ใบหน้าที่สวยหวาน จนยากจะหาใครมาเทียบเคียง แม้อยู่ท่ามกลางสนมคนอื่น มิคาเอลก็ยังโดดเด่นสะดุดตา พระองค์ยอมรับว่าพระองค์ไม่เคยหลงใหลใครมากเท่านี้มาก่อน แต่แล้วพระองค์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา หากพระองค์ต้องเสียคนๆ นี้ไป พระองค์จะทนได้หรือเปล่า เพียงแค่คิดหัวใจของพระองค์ก็บีบรัดจนพระองค์เจ็บปวด พระองค์รั้งร่างเล็กเข้ามากอดแน่นขึ้นจนคนตัวเล็กตื่นขึ้น

 

“ฝ่าบาท ผมอึดอัด” มิคาเอลประท้วง

“ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม เราให้คนจัดอาหารไว้ที่วิลลาหลัก” ทรงตรัส

“แล้วแต่พระองค์เถอะครับ ทานที่ไหนก็ไม่ต่างกันสำหรับผม” มิคาเอลขืนตัวออก ลุกขึ้นไปแต่งตัว โดยมีองค์เดเมียนจ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ

 

“เจ้างดงามมากรู้หรือเปล่า” ทรงตรัส แต่มิคาเอลกลับดูเศร้าลง

“ทั้งใบหน้า และรูปร่างของผม เป็นเหมือนคำสาปเสียมากกว่า หากผมเลือกได้ ผมยินดีจะมีใบหน้าที่อัปลักษณ์ยังจะดีเสียกว่า” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด จนองค์เดเมียนต้องเดินเข้าไปกอด

“เราสัญญา ว่านับจากนี้จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้อีก เราจะดูแลเจ้าอย่างดี”

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ และผมก็ทำมาตลอด พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาดูแลผม” มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ แต่เราก็อยากเป็นคนที่ดูแลเจ้า” ทรงตรัสและกอดคนตัวเล็กเอาไว้

________________________________

 มาอ่านกันต่อ


รออ่านคอมเมนท์ หุ หุ หุ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 25 ความงามต้องสาป
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 03-08-2016 10:04:35
บทที่ 25 ความงามต้องสาป

 

องค์เดเมียนนั่งมองคนตรงหน้า ที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย อย่างเอ็นดู พระองค์สั่งให้พ่อครัวใหญ่เตรียมอาหารเลิศรสหลายชนิดไว้ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กของพระองค์จะไม่เลือกทาน เพราะดูแล้วไม่ว่าอะไร คนตัวเล็กก็ดูมีความสุขกับการทานไปหมด ยิ่งมาที่ของหวาน ที่เชฟทำเค้กนานาชนิดไว้ และยกออกมาวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ คนตัวเล็กก็ทำตาโต ตื่นเต้น และก็ชิมเค้กทุกชนิดที่วางเรียงรายอยู่ จนองค์เดเมียนอดขำไม่ได้

 

“เจ้าทานเยอะ ผิดกับรูปร่างของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมชอบของหวานครับ และผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่กลัวอ้วนด้วย” มิคาเอลตอบ

“ถึงเจ้าจะอ้วนเราก็ไม่ว่าอะไร เราอยากเห็นเจ้าทานเยอะๆ แบบนี้มากกว่า” ทรงตรัสมองคนตัวเล็กกำลังทานบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก

“ผมมีระบบเผาผลาญที่ดีกว่าคนอื่นนะครับ ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” มิคาเอลเฉลย

“เจ้าขอกับเราว่าเจ้าต้องการทำงาน เจ้ายังต้องการอยู่หรือเปล่า” ทรงถามขึ้น

“ครับ” มิคาเอลตอบ

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เจ้าก็เตรียมตัวไปทำงานกับเรา” ทรงตรัส และจิบกาแฟไปด้วย

“จริงเหรอครับ” มิคาเอลถามอย่างดีใจ องค์เดเมียนควักมือเรียกคนตรงหน้าเข้ามาหา ก่อนจะรั้งให้นั่งลงบนตัก

 

“แต่เจ้าจะต้องเป็นเด็กดี และเชื่อฟังเรา เข้าใจไหม” ทรงตรัส

“ผมสัญญาครับ ขอบคุณครับที่ทรงอนุญาต” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมียนจึงรั้งริมฝีปากสีชมพูเข้ามาใกล้ และครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ พระองค์ถอนริมฝีปากออกช้าๆ คนถูกจูบก็หน้าแดง

 

“พระองค์จะให้ผมทำอะไรครับ” มิคาเอลถามขึ้นเมื่อหาเสียงของตัวเองเจอ

“เราไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง เราจะให้เจ้าลองดูก่อนหากเจ้าถนัดด้านไหน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” ทรงตรัส

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลตอบ

 

“ไปห้องนั่งเล่นกันดีกว่า” ทรงตรัสชักชวน ทรงลุกขึ้นและจูงมือพามิคาเอลเข้าไปในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ภายในมีพรมผืนใหญ่หรูหราปูอยู่ตรงกลาง เฟอร์นิเจอร์สีเข้มถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว ดูน่าสบาย ผนังด้านหนึ่งมีเตาผิงอันใหญ่กินเนื้อที่ 1 ใน 3 ของผนัง บนเพดานมีโคมระย้าประดับอยู่ ห้องนั่งเล่นดูหรูหราแต่ก็ให้ความรูสึกอบอุ่น ที่มุมห้องยังมีเปียโนขนาดใหญ่อีกด้วย จนมิคาเอลอดเดินเข้าไปดูไม่ได้

 

“เจ้าเล่นเปียโนเป็นหรือเปล่า” ทรงถาม

“ผมเล่นไม่เป็นหรอกครับ แต่ผมชอบเปียโน” มิคาเอลตอบ องค์เดเมียนจึงนั่งลงและเริ่มบรรเลงเพลง มิคาเอลจึงนั่งลงบนเก้าอี้ และฟังเพลงที่พระองค์บรรเลง อย่างเคลิบเคลิ้ม และชื่นชม

 

บทเพลงที่พระองค์บรรเลง เป็นเพลงจังหวะช้าและหวานซึ้ง งดงาม มิคาเอลคิดว่ามันควรจะเป็นเพลงรัก แต่ไม่รู้ทำไมองค์เดเมี่ยนกลับดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน ใบหน้าของพระองค์กลับดูเจ็บปวด ดวงตาสีรัตติกาลกลับดูเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ พระองค์หลับตาลง น้ำที่เอ่อล้นก็หยดลงมา จนพระองค์ต้องหยุดเล่นกลางครัน มิคาเอลตกใจกับภาพที่เห็น องค์เดเมียนทรงร้องไห้!!!

 

องค์เดเมียนลุกขึ้นและหันหลังให้มิคาเอล

“เจ้ากลับไปที่วิลล่าเล็กได้แล้ว เราอยากอยู่ลำพัง” ทรงตรัสอย่างเย็นชาก่อนจะเดินออกไป ทิ้งมิคาเอลไว้ในห้องคนเดียว

 

องค์เดเมียนหยิบคอนยัคชั้นดีออกมาเปิด และรินใส่แก้ว ก่อนจะทรงดื่มจนหมดแก้วและเทเพิ่ม

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลเดินตามมา และเรียกหาพระองค์

“เจ้าต้องการอะไร เราสั่งให้เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าไม่ใช่หรือ” ทรงตรัสเสียงเย็นชา แต่มิคาเอลกลับเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบแก้วและรินของเหลวใส่แก้ว

“ผมจะอยู่เป็นเพื่อน” มิคาเอลตอบ ก่อนจะจิบคอนยัคในมือ ก่อนเดินมานั่งที่โซฟา องค์เดเมี่ยนจึงเดินตามมานั่งข้างๆ พระองค์ดื่มหมดไปอีกแก้ว และเทเพิ่ม

 

“พระองค์ถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงไม่ชอบให้ใครแตะต้องใช่ไหมครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้นมา มองคนตรงหน้าที่ยังคงดื่มคอนยัคในมือไม่หยุด

“เจ้าไม่ต้องการบอกเราไม่ใช่เหรอ เราไม่ใช่ราฟาเอลนี่นะ” ทรงตรัสเย็นชา

“ผมสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุ ทำให้ผมกับน้องต้องไปอาศัยอยู่กับลุง และตลอดเวลาหลายปีที่ผมอยู่กับลุง ผมก็ถูกลุงทำร้ายทุบตีเสมอ” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้าๆ เมื่อคิดถึงอดีต องค์เดเมียนมองคนตรงหน้า และตั้งใจฟังเรื่องราวมากขึ้น

 

“แรกๆ คุณลุงก็เพียงแค่ตีผมเมื่อผมไม่เชื่อฟัง จากมือเปล่า ก็เริ่มค่อยๆ หนักมากขึ้น ในตอนนั้นผมยังเด็ก ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องทน ยิ่งผมร้องขอให้หยุด ผมก็ยิ่งโดนทำโทษมากขึ้น ผมจึงยอมรับชะตากรรมของผม ผมคิดว่าผมคงเคยทำอะไรไว้ ผมถึงต้องตกอยู่ในสภาพนั้น ในตอนนั้น ร่างกายผมมีแต่รอยฟกช้ำ ที่หนักที่สุดคือตอนที่ผมโดนผลักจนตกบันได ทำให้แขนขวาหัก ผมทนเจ็บอยู่หลายวันกว่าที่ลุงจะพาผมไปหาหมอ แต่ก็โชคดีที่แขนผมกลับมาเป็นปกติ” มิคาเอลกล่าว ก่อนจะจิบของเหลวในมือช้าๆ องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าด้วยความสงสาร เพราะคนๆ นี้เคยถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นในตอนที่พระองค์ทรมานมิคาเอล เขาจึงไม่ร้องอ้อนวอน

 

"แล้วทำไมเจ้าไม่บอกใคร" ทรงถาม รู้สึกโกรธขึ้นมา

“ผมยังเด็ก และน้องชายของผมก็ยังเด็กมาก หากเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะถูกส่งไปบ้านเด็กกำพร้า และโอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ผมสัญญากับพ่อและแม่ของผม ว่าจะดูแลโทนี่ให้ดีที่สุด ผมจึงทน” มิคาเอลตอบ

 

“เจ้าต้องอยู่ในสภาพนั้นนานแค่ไหน” ทรงถาม

“พอผมอายุ 16 ผมก็หนีออกมา” มิคาเอลกล่าว ดูเจ็บปวด บางอย่างไม่ถูกต้อง

“ทำไม”

“คุณลุง... พยายามจะขืนใจผม...แต่ผมโชคดีจึงหนีออกมาได้...” มิคาเอลตอบ องค์เดเมียนแม้จะพอเดาเรื่องได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัวที่กระทำ และยิ่งไม่คิดว่าจะเป็นคนในครอบครัว

“ผมหนีออกมาและไม่ได้กลับไปอีก หรืออย่างน้อยก็ไปหาโทนี่ ในตอนนี่คุณลุงไม่อยู่ ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่โทนี่” มิคาเอลบอก

“หลังจากนั้น ผมก็ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนหลายคน... แต่สุดท้าย... เหตุการณ์เดิมๆ ก็เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าใครที่อยู่รอบตัวผม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนที่มีบุญคุณกับผม สุดท้ายเพราะหน้าตาแบบนี้ของผม ก็ทำให้พวกเขาต้องการจะครอบครองผม พวกเขาพยายามจะขืนใจผม และทุกครั้งผมก็ได้แต่หนี ผมเกลียดหน้าตาของตัวเอง มันเป็นหน้าตาที่ถูกสาป และเพราะเหตุการณ์เหล่านั้น มันทำให้ผมเกลียดการถูกสัมผัส เกลียดการร่วมรัก และผมก็เกลียดตัวเอง” มิคาเอลเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด

 

“สุดท้ายผมก็ทำงานได้เงินมากพอที่จะสามารถอยู่เช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่เพียงลำพังได้ แต่การที่ผมอยู่คนเดียว ผมก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะผมมีหน้าตาแบบนี้ ผมไม่ไว้ใจใคร ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ผมสร้างกำแพงขึ้นเพื่อกันทุกคนออกไป แต่มันก็ทำให้ผมโดดเดี่ยว และมันก็ทำให้ผมคิดสั้น ผมพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง การตายมันไม่น่ากลัวเลย หากเทียบกับการที่ต้องทนมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน แต่ผมก็ไม่ตาย สองครั้งแรก เพื่อนบ้านที่อยู่ในอพาร์ทเม้นห้องข้างๆ เข้ามาพบผม และครั้งสุดท้ายโทนี่มาพบผม น้องชายของผมโกรธมาก และเอาแต่ร้องไห้ และบังคับให้ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ผมจึงต้องทำตาม ผมไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในแบบที่ผมตั้งใจ แต่ผมก็เลือกที่จะเอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆ อันตรายแทน และลึกๆ ผมก็แอบหวังว่า สักวันหนึ่งผมอาจจะตายขึ้นมาจริงๆ ดังนั้นในตอนที่พระองค์ทรมานผม ผมแอบหวังลึกๆ ว่าพระองค์จะทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริง” มิคาเอลกล่าวก่อนดื่มของเหลวในแก้วจนหมด และรินเพิ่ม

 

"การฆ่าตัวตายไม่ได้ช่วยอะไร ตรงกันข้ามคนที่รักเจ้าที่ต้องทนอยู่ต่อไป คือคนที่ทรมานที่สุด” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“ผมทราบครับ ผมอยู่ในสภาพนั้นมาตลอดหลังจากที่เสียพ่อและแม่ไป ที่ผมยังหายใจอยู่ก็เพียงเพราะโทนี่ ผมมีชีวิตอยู่เพื่อน้องชายของผม” มิคาเอลกล่าว

“เจ้ารักน้องชายมากสินะ” ทรงตรัส

“เขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมคงไม่ทนอยู่มาจนทุกวันนี้หากไม่ใช่เพราะเขา”

“เราเข้าใจความรู้สึกของเจ้า” องค์เดเมี่ยนกล่าว

 

"ทำไมเจ้าจึงเล่าให้เราฟัง” ทรงถาม

“เพราะผมคิดว่าพระองค์กับผมมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน เพลงที่พระองค์เล่น คงมีความหมายบางอย่างสินะครับ ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง พระองค์จะเล่าเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังบ้าง” มิคาเอลตอบ เขาจิบของเหลวอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนมองคนตรงตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ชั่วขณะหัวใจของพระองค์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง รั้งคนตรงหน้าเข้ามากอด มิคาเอลมิได้ขัดขืน และกอดตอบเจ้าชายอย่างอ่อนโยน มือเล็กลูบศรีษะของพระองค์อย่างอ่อนโยน

 

เป็นครั้งแรกที่มิคาเอลตระหนักว่าคนตรงหน้าโดดเดี่ยวมากเพียงใด และเป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นคนตรงหน้าอย่างจริงจัง หากถอดฐานะเจ้าชายออก ปลดเปลื้องความโหดร้าย และเย็นชา ที่เป็นเกราะของคนตรงหน้า คนๆ นี้ก็เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งที่โดดเดี่ยว และเจ็บปวดกับความสูญเสีย แม้เขากับเจ้าชายจะแตกต่างกันมากมาย แต่ดูเหมือนทั้งเขาและเจ้าชายจะมีประสบการณ์ที่เลวร้ายไม่แตกต่างกันนัก

 

องค์เดเมียนมิได้พามิคาเอลเอลกลับไปที่วิลล่าเล็ก ตรงกันข้ามพระองค์กลับโอบอุ้มคนตัวเล็กเข้าไปในห้องบรรทมแทน

 

“ฝ่าบาท... ผม...” มิคาเอลหน้าแดงเมื่อเห็นเจ้าชายถอดเสื้อผ้าออก ร่างกายกำยำเปลือยเปล่าเดินเข้ามาใกล้ ทรงจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง

“เราชินกับการเปลือยกายนอน เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม” ทรงตรัสยิ้มๆ มองคนตรงหน้า

“พระองค์แกล้งผมอีกแล้ว” มิคาเอลประท้วง

“หรือถ้าเจ้าต้องการ เราก็จะร่วมรักกับเจ้า” ทรงเย้าแหย่

“ผมไม่ได้พูดสักหน่อย” มิคาเอลตอบ

“มิคาเอล”

“ครับ”

“ถึงเจ้าจะคิดว่าความงามของเจ้าต้องสาป ถึงแม้เจ้าจะเกลียดใบหน้า และเกลียดตัวของเจ้า แต่เราก็ยังคิดว่าเจ้างดงามที่สุด หากเจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ ก็มอบชีวิตของเจ้าให้กับเรา ใช้ชีวิตอยู่เพื่อเรา ร่างที่มีลมหายใจของเจ้าย่อมดีกว่าร่างที่ไร้ชีวิตหลายร้อยเท่านัก หากเจ้าจะไม่เห็นค่าของชีวิตของเจ้า ก็มอบชีวิตของเจ้าให้กับเรา ให้เราได้รัก และ ทะนุถนอมเจ้า

I will Love and Cherish you until the day I die" ทรงตรัส รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้และโอบกอดเอาไว้แนบอกตลอดทั้งคืน

___________________________________

มิคาเอลค่อยๆ เปิดเผยอดีตมืดๆ มาเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มมองเห็น พระเอกล่ะนะ แอบเอาเพลงมาให้ฟัง

รักรีดเดอร์ค่ะ

รออ่านคอมเม้นท์นะ

Xoxoxoxo

หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 26 ไปทำงานวันแรก 18+++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 03-08-2016 22:47:33
บทที่ 26 ไปทำงานวันแรก

 

มิคาเอลรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ในวันนี้เป็นวันแรกที่เขาจะเริ่มทำงานให้กับองค์เดเมี่ยน และยังเป็นวันแรกที่เขาได้ออกมาจากวิลล่าในฐานะพระสนมขององค์เดเมียนอีกด้วย

 

มิคาเอลสวมชุดที่องค์เดเมี่ยนเตรียมไว้ให้ ชุดสีดำสไตล์ราชวงค์ของคานาเดีย เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว คลุมทับด้วยเสื้อกั๊กตัวยาวมีลวดลายงดงาม ด้านหน้าถูกถักร้อยด้วยเชือก ดูไปแล้วคล้ายกับคอร์เซ็ท ที่โอบรัดเข้ากับร่างกายของเขา ในส่วนที่เว้า ก็เว้า ในส่วนที่โค้ง ก็โค้ง จนองค์เดเมี่ยนจ้องมองตาไม่กระพริบ  และเอ่ยปากชมไม่หยุด และหากชุดของเขายังเด่นไม่พอ องค์เดเมี่ยนยังทรงประทานสายสร้อยที่มีตราสัญลักษณ์เสือดำของพระองค์ให้เขาสวมใส่ สร้อยทั้งเส้นทำจากทองคำ ประดับอัญมณี จนทำให้มิคาเอลยิ่งโดดเด่นมากขึ้นไปอีก

 

เมื่อเดินทางมาถึงที่อาคารทรงงาน มิคาเอลเดินเยื้องมาด้านหลังองค์เดเมี่ยนเล็กน้อย เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่พระองค์ มิคาเอลก้มหน้าลงเล็กน้อย และเดินตามองค์เดเมี่ยนไปอย่างเชื่อฟัง ตามข้อตกลงที่เขาได้ทำไว้กับพระองค์ แต่กระนั้น ผู้คนที่พบเห็นก็ยังพากันโจษจันความงามของสนมคนใหม่ขององค์เดเมียน นาม มิคาเอล

 

พระองค์สั่งให้คนจัดโต๊ะทำงานของมิคาเอลไว้ในห้องทรงงานของพระองค์ เมื่อพระองค์มาถึง เลขาของพระองค์ก็รายงานสิ่งที่พระองค์ต้องกระทำอันยาวเหยียด และแอบตำหนิพระองค์ที่หนีกลับไปก่อนเมื่อวานด้วย มิคาเอลรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

 

"ที่สำคัญในคืนนี้ มีงานเลี้ยงที่พระองค์จะต้องเข้าร่วมด้วยนะขอรับ และนี่เป็นรายละเอียดโดยย่อและรูปถ่ายของแขกคนสำคัญที่พระองค์จะต้องจดจำ” เลขาของพระองค์วางเอกสารปึกใหญ่ลงตรงหน้าพระองค์

“แขกมีตั้งหลายร้อย เจ้าคิดว่าเราเป็นคอมพิวเตอร์หรือยังไง” ทรงตรัสประชด

“กระหม่อมเตรียมข้อมูลไว้ให้ตั้งแต่2 อาทิตย์ที่แล้ว พระองค์นั่นแหล่ะ ที่ทรงไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมคงจะใช้วิธีติดกล้องสแกนหน้าของแขกก็แล้วกัน” เลขากล่าว

“เครื่องสแกนห่วยๆ ของเจ้า ช้าจะตายกว่าจะรู้ผลแขกคนอื่นก็เข้ามาทักแล้ว” ทรงตรัสตำหนิ

“นี่ก็เป็นรุ่นล่าสุดแล้วนะขอรับ” เลขายังไม่ยอม

 

มิคาเอลที่มองดูทั้งสองคนเถียงกันจึงถือวิสาสะหยิบเอกสารขึ้นไปพลิกดู พบว่าแขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนที่เขารู้จัก เนื่องจากเขาต้องตามไปถ่ายรูป คนมีชื่อเสียงมากมาย การหาข้อมูล การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งจำเป็น มิคาเอลจึงมีความสามารถในการจดจำใบหน้าของคนได้อย่างรวดเร็ว และแขกที่จะมาร่วมงานก็เป็นคนที่มิคาเอลรู้จักเสียส่วนใหญ่จากการหาข้อมูลในอดีต

 

"ผมรู้จักคนส่วนใหญ่ในรูปพวกนี้ มีเพียงแค่ สิบกว่าคนที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งผมแน่ใจว่าก่อนงานจะเริ่ม ผมสามารถจดจำรายละเอียดได้ทั้งหมด” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ทั้งสองจึงหันมามอง คุณเลขาจึงพลิกเปิดไปหน้าท้ายๆ ก่อนชี้ในเชิงถามว่าใคร

“คนๆ นี้คือนักธุกิจใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ออกงานบ่อยนัก แต่มีธุรกิจด้านการเงินที่ใหญ่โต และมีอิทธิพลมากคนหนึ่งในยุโรป คุณ อาร์เธอร์ แมคฟาร์แลนด์” มิคาเอลตอบ แต่คุณเลขาก็พลิกเปิดและถามไปเรื่อยๆ อีกหลายคน แต่มิคาเอลก็ตอบได้หมด องค์เดเมี่ยนมองด้วยความพอใจในความสามารถของคนตรงหน้า

 

“พอได้แล้วอาร์ชี่ ถ้าเจ้าห่วงนักก็ติดกล้องสแกนไปด้วยก็ได้ แต่เราจะพามิคาเอลไปงานกับเรา” องค์เดเมี่ยนกล่าว แต่เป็นมิคาเอลที่ตกใจ

“ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องพาผมไปในงานก็ได้นี่ครับ ผมดูผ่านกล้องของพระองค์ก็ได้” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าอยากทำงานไม่ใช่เหรอมิคาเอล และนี่คืองานของเจ้า เราจะสั่งให้คนเตรียมชุดไว้ให้เจ้า” ทรงตรัส แม้มิคาเอลอยากจะประท้วงแต่ก็กลืนคำพูดลงคอ เขารู้ว่าอย่างไรเสียพระองค์ก็ไม่ฟังอยู่ดี

 

ตลอดช่วงเช้ามิคาเอลจึงเอาแต่ทบทวนข้อมูลของรายชื่อแขก พอตอนบ่ายเขาก็จดจำรายละเอียดได้ทั้งหมด องค์เดเมี่ยนดูพอใจในตัวของมิคาเอลมิใช่น้อย และสั่งให้อาร์ชี่สอนงานเลขาให้แก่มิคาเอล และเมื่อพระองค์ทรงงานเสร็จในตอนหัวค่ำ พระองค์จึงพามิคาเอลกลับมาที่วิลล่า

 

แต่เมื่อกลับมาถึงพระองค์ก็รั้งร่างของคนตัวเล็กเข้ามากอด

“ทำไมเจ้าไม่บอกเราว่าเจ้ามีความสามารถมากขนาดนี้” ทรงตรัส และ ประทานจุมพิตให้แก่คนตัวเล็ก แต่มิคาเอลกลับปฏิเสธ และพยายามผลักพระองค์ออก

“ก็พระองค์ไม่เคยถามนี่ครับ ผมก็คิดว่าพระองค์สนแค่ร่างกายของผม” มิคาเอลตอบหนีออกจากอ้อมกอดของคนตัวใหญ่

“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” มิคาเอลตอบและเดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยที่ไม่เห็นสายตาขององค์เดเมี่ยนที่มองมาที่เขา

 

มิคาเอลรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาไม่เคยทำงานที่นั่งโต๊ะแบบนี้มาก่อน ชั่วโมงที่ยาวนานทำให้เขารู้สึกเหนื่อย เขาค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออก จนร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำฝักบัว สายน้ำอุ่นที่ราดรดผ่านร่างกาย ทำให้เขารู้สึกดี และผ่อนคลาย แต่แล้วเขาต้องตกใจที่ถูกโอบกอดเอาไว้จากด้านหลัง

 

“ฝ่าบาท!! พระองค์เข้ามาทำไมครับ ผมกำลังอาบน้ำอยู่” มิคาเอลตกใจ และเริ่มเขินอายที่ร่างกายเปลือยเปล่าของเขาปรากฎแก่สายตาของคนตรงหน้า มิคาเอลจึงหันหลังให้พระองค์

“เราก็อยากอาบน้ำเช่นกัน” ทรงตรัส

“พระองค์รอให้ผมอาบให้เสร็จก่อนก็ได้นี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“ห้องอาบน้ำออกจะใหญ่ เราอาบด้วยคนจะเป็นไรไป” พระองค์เอื้อมไปเปิดฝักบัวเพิ่มอีกสองตัว สายน้ำฝักบัวไหลเพิ่มมาจากด้านบนและด้านข้าง

“ผมอาบเสร็จแล้วครับ ผมออกไปก่อนนะครับ” มิคาเอลพยายามเดินเลี่ยงออกไป แต่องค์เดเมี่ยนก็รั้งเขาเอาไว้

“เจ้าจะอาบเสร็จแล้วได้อย่างไร เราจะอาบให้เจ้าก็แล้วกัน” ทรงตรัสรั้งร่างมิคาเอลเข้ามาใกล้

“อย่าครับ ฝ่าบาท ปล่อยผม ผมอาบเองได้” มิคาเอลพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของคนตัวใหญ่ แล้วก็รู้สึกถึงความเย็นจากของเหลวที่พาดผ่านไหล่ของเขา องค์เดเมี่ยนบีบสบู่เหลวใส่เขา พร้อมกับกดที่เซนเซอร์ น้ำจากฝักบัวก็ไหลน้อยลง ทำให้น้ำไม่ล้างสบู่ออกจากตัวของมิคาเอล

“ฝ่าบาท อย่าแกล้งสิครับ” มิคาเอลประท้วง

“อยู่เฉยๆ สิ เราจะฟอกสบู่ที่หลังให้” ทรงตรัส และใช้มือใหญ่ถูสบู่ไปทั่วแผ่นหลัง เพียงสัมผัสธรรมดาพระองค์ ก็ทรงช่ำชองมากเกินไปแล้ว พอผิวที่ลื่นไปด้วยสบู่ ถูกมือใหญ่ของพระองค์สัมผัส ความรู้สึกแปลกใหม่ เย้ายวน รัญจวนใจก็เกิดขึ้น โดยที่มิคาเอลมิได้ยินยอมพร้อมใจ

 

มือใหญ่ของพระองค์ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังก่อนจะไล้ไปที่แขนทั้งสองข้าง ก่อนพระองค์จะโอบกอดจากด้านหลัง และเอื้อมมาฟอกสบู่ที่ด้านหน้าของคนตัวเล็ก มิคาเอลรู้สึกหมดแรงเอาดื้อๆ จนต้องเอนกายพิงร่างกับอกกว้างของพระองค์ ทุกๆ ที่ ที่พระองค์สัมผัส กลับร้อนรุ่ม ไฟปรารถนาค่อยๆ ก่อตัวขึ้นช้าๆ โดยที่มิคาเอลมิอาจขัดขืนได้

 

มือของพระองค์ลูบไล้ไปที่ทับทิมเม็ดงามทั้งสองเม็ด ก่อนจะหมุนวนจนมันแข็งเป็นไต มือเล็กพยายามจะรั้งมือของคนตัวใหญ่ไว้ให้หยุด แต่มันก็ดูจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ในสมองกลับว่างเปล่า ไม่อาจจะคิดอะไรได้ ทำได้เพียง โอนอ่อนไปกับสัมผัสที่พระองค์มอบให้

 

พระองค์ก้มลงขบเม้มติ่งหูของคนตัวเล็กเบาๆ จนคนตัวเล็กต้องครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้น จากนั้นพระองค์ก็ค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำไปสัมผัสกับส่วนอ่อนไหว ที่กำลังตื่นตัวเบื้องล่าง มิคาเอลรวบรวมสติสุดท้ายที่เหลืออยู่ พยายามปัดป้องการสัมผัสจากพระองค์ แต่พระองค์ก็ก้มลงจูบคนตัวเล็กอย่างดูดดื่ม จนคนตัวเล็ก ตกอยู่ในความฝันอีกครั้ง มือใหญ่ของพระองค์ ค่อยๆ สัมผัสร่างที่ตื่นตัวของมิคาเอล ทรงขยับช้าๆ จนคนตัวเล็กครางออกมา ก่อนจะเริ่มขยับเร็วมากขึ้น มิคาเอลร้องครางออกมา และเผลอไปกดเซนเซอร์เข้า น้ำฝักบัวก็ไหลออกมาอีกครั้ง และเพียงไม่นานมิคาเอลก็ปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมา

 

คนตัวเล็กยืนหอบหายใจ พยายามรวบรวมสติ และพยายามเข้าใจกับสถานะการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น น้ำฝักบัวไหลผ่านร่างของเขา และล้างคราบสบู่ออกจนหมด ร่างเล็กหันหน้ามาหาคนตัวใหญ่ที่กำลังก้มหน้าลงมา หมายจะจูบ แต่มิคาเอล ก็ตบหน้าคนตัวใหญ่อย่างแรง และเดินออกไปจากห้องอาบน้ำอย่างหัวเสีย องค์เดเมียนเดินตามออกมา นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวอย่างหมิ่นเหม่ เดินเข้ามาหามิคาเอล

“เจ้าจะไปไหน” ทรงถาม เมื่อเห็นมิคาเอลที่สวมชุดคลุมอาบน้ำกำลังจะเดินออกไปจากห้องบรรทม

“ผมจะกลับห้องของผมที่วิลล่าเล็ก” มิคาเอลตอบ

“เราไม่ให้ไป เจ้าต้องไปงานเลี้ยงกับเรา” ทรงตรัส

“พระองค์ไม่รักษาสัญญา คนฉวยโอกาส” มิคาเอลกล่าวหา

“เราก็แค่สัมผัสเจ้า เจ้าก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัส มิคาเอลหน้าแดง

“ผมไม่ชอบ ผมไม่ต้องการให้พระองค์ทำแบบนี้ ตามข้อตกลงพระองค์จะร่วมรักกับผมแค่อาทิตย์ละครั้ง แต่นี่พระองค์คอยแต่จะเอาเปรียบผม” มิคาเอลกล่าว

“เราบอกว่าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งต่างหาก และเมื่อกี้เราก็แค่สัมผัสเจ้า เราไม่ได้ร่วมรักกับเจ้าสักหน่อย” ทรงตรัสแย้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่ตกลง ผมยกเลิกข้อเสนอของพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่อนุญาต หากเจ้าผิดสัญญา เราก็จะใช้กำลังบังคับเจ้า และเราจะไม่มีวันยอมให้เจ้าพบน้องชายอีก” ทรงตรัสอย่างไม่ยอม

“พระองค์ใจร้าย คนไม่มีหัวใจ ผมไม่น่าไว้ใจพระองค์เลย ผมน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างพระองค์ รักใครไม่เป็น คำพูดของพระองค์ก็เชื่อถือไม่ได้” มิคาเอลกล่าวหา น้ำตาค่อยๆ ไหลเมื่อคิดว่าจะไม่ได้พบกับโทนี่อีก องค์เดเมียนก็รู้สึกผิดขึ้นมา แต่ในสายตาของคนตัวเล็ก พระองค์เป็นเพียงคนใจร้ายที่ไม่มีหัวใจ พระองค์ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา แม้พระองค์จะอยากอ่อนโยนกับคนตรงหน้า แต่พระองค์กลับได้ยินเสียงของพระองค์พูดขึ้นมา

“ใช่สิ ในเมื่อเราไม่ใช่ราฟาเอลผู้เป็นที่รักของเจ้า การถูกเราสัมผัสมันคงทรมานมากสินะ” ทรงตรัสออกมาอย่างเย็นชา

“คนอย่างพระองค์ไม่มีอะไรเทียบกับองค์ราฟาเอลได้หรอก การที่ไม่มีใครรัก คนที่โหดร้ายอย่างพระองค์ มันก็ถูกต้องแล้ว” มิคาเอลพูดออกไปโดยไม่คิด และเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

 

องค์เดเมี่ยนมีสีหน้าที่โกรธกริ้ว หันหลังกลับ และเดินออกไปจากห้อง พร้อมกับกระแทกประตูปิดเสียงดัง และมิคาเอลก็ยังได้ยินเสียงข้าวของตกแตกตามมา

________________________________________

 

องค์เดเมี่ยนนี่ก็นะ ไม่รู้จักพอจริงๆ โดนโกรธซะแล้ว

รออ่านคอมเม้นท์นะ



 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 26 ไปทำงานวันแรก 18+
เริ่มหัวข้อโดย: meeoldly ที่ 04-08-2016 02:28:14
 o13 o13 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 27 เหตุเกิดในงานเลี้ยง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 04-08-2016 08:23:51
บทที่ 27 เหตุเกิดในงานเลี้ยง

 

มิคาเอลมาในงานเลี้ยงกับองค์เดเมียนด้วยความไม่เต็มใจนัก ตลอดเวลาองค์เดเมียนคอยแต่รั้งร่างของเขาไว้ข้างกายไม่ยอมให้ห่าง โดยที่เขามีหน้าที่ในการบอกรายละเอียดของแขกในงานแต่ละคนให้กับองค์ชาย และมิคาเอลก็ทำได้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง จนในที่สุดพระองค์ก็ปิดกล้องสแกน และถอดหูฟังออก องค์เดเมี่ยนกำลังหงุดหงิด และมิคาเอลก็รู้ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์โกรธ เวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และคนข้างๆ ก็ดูจะหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะ

 

“ผมขอโทษครับ ที่ผมพูดไม่ดีกับพระองค์” มิคาเอลกล่าวขอโทษคนตัวใหญ่

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในเมื่อเจ้าพูดความจริง” ทรงตรัสอย่างเย็นชา

“ผมขอโทษครับ ผมพูดโดยไม่คิด” ร่างเล็กกล่าว

“เรารู้ตัวดี ว่าเราเป็นคนที่น่ารังเกียจสำหรับเจ้า หากเจ้ามีทางเลือก เจ้าคงไม่มีทางเลือกที่จะอยู่กับเรา” ทรงตอบเสียงเย็นชา ทรงไม่แม้แต่จะมองหน้าคนตัวเล็ก

“แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกไม่ใช่เหรอครับ ผมก็ยังเป็นสนมของพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“เราพยายามทำดีกับเจ้ามาตลอด แต่เจ้ากลับเย็นชากับเรา ปฏิเสธเรา ร้องไห้ทุกครั้งที่เราสัมผัสเจ้า ในสายตาของเจ้า เราคงเป็นเพียงสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการสินะ” พระองค์ตรัส

“พระองค์ต้องการให้ผมทำอะไร พระองค์จึงจะยกโทษให้ผม” มิคาเอลถาม

“เราน่าจะถามเจ้ามากกว่าว่า จะต้องให้เราทำอย่างไร เจ้าจึงจะยอมรับเรา” ทรงตรัสเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปทักทายแขกที่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง มิคาเอลรู้ว่าเธอเป็นนางแบบชื่อดังที่เคยคบหากับองค์เดเมี่ยนมาก่อน ทั้งสองกอด และจูบกัน ต่อหน้าของมิคาเอล ต่อให้ไม่คิดอะไร มิคาเอลก็รู้สึกหน้าชา กับสิ่งที่องค์เดเมี่ยนกระทำ

 

ทั้งๆ ที่พระองค์บอกรักเขา แต่พระองค์ก็สามารถหันไปร่วมรักกับคนอื่นได้อย่างเสรี โดยที่เขาไม่มีสิทธิจะห้ามใดๆ ชั่วขณะเขาจึงเมินหน้าไปทางอื่น และเดินถอยออกมาจากตรงนั้น เขาก็เป็นได้เพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง เมื่อพระองค์ไม่ต้องการ เขาก็หมดความหมาย แต่แล้วมิคาเอลก็เดินมาพบกับคนที่เขาไม่อยากพบมากที่สุด แม้หัวใจของเขาจะร่ำร้องหาคนๆ นี้มาตลอดก็ตาม

 

 

องค์ราฟาเอลได้ยินข่าวว่าองค์เดเมียนอนุญาตให้มิคาเอลไปทำงานด้วย และยังจะพามิคาเอลไปในงานเลี้ยงคืนนี้ แม้พระองค์จะรู้ว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ์ แต่อย่างน้อยพระองค์ก็อยากจะเห็นหน้าของคนๆ นี้อีกสักครั้ง และเมื่อพระองค์มาถึงที่งานเลี้ยง พระองค์ก็มองหาคนตัวเล็กที่พระองค์เอาแต่คิดถึงทุกวี่วัน จนในที่สุดสายตาของพระองค์ก็มาพบกับคนที่พระองค์มองหา ร่างเล็กถูกพระเชษฐาของพระองค์รั้งไว้ข้างกายตลอดเวลา แต่ในขณะที่พระองค์กำลังถอดใจ พระเชษฐาก็ละทิ้งมิคาเอลไปกอดจูบกับนางแบบชื่อดัง ปล่อยให้มิคาเอลยืนอยู่ลำพัง พอมิคาเอลเห็นภาพตรงหน้า เขาก็เดินเลี่ยงออกมาอีกทาง องค์ราฟาเอลที่เห็นทุกอย่าง ก็เดินเข้าไปดักหน้าของมิคาเอลไว้

 

“องค์ราฟาเอล!!!” มิคาเอลอุทานด้วยความตกใจ

“สวัสดี ไมเคิล” องค์ราฟาเอลทัก

“ผม… บอกแล้วไงครับ ว่าผมไม่ใช่ไมเคิลอีกแล้ว” ร่างเล็กตอบอย่างเจ็บปวด หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอย่างแรง

“เจ้าสบายดีเหรอ” ทรงถามอย่างเหินห่าง

“ผมสบายดีครับ องค์เดเมียนดูแลผมอย่างดี” มิคาเอลตอบด้วยเสียงเศร้าๆ รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทาง

 

“เรา คิดถึง เจ้า” ทรงตรัสออกมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำหน้าเศร้า เมื่อพระองค์เย็นชากับเขา มิคาเอลกลับน้ำตาเอ่อล้นออกมา ก่อนน้ำตาใสๆ จะหยดลง

“ผมก็คิดถึงพระองค์ครับ แต่ผมเป็นขององค์เดเมียน ผมไม่มีสิทธิ์ และผมไม่มีค่าคู่ควรให้พระองค์มาคิดถึงหรอกครับ” มิคาเอลตอบพยายามหันหน้าไปทางอื่น

“เรารู้ว่าเจ้าเป็นของเสด็จพี่ แต่เราก็ยังคิดถึงเจ้าอยู่เสมอ” ทรงตรัส ร่างเล็กน้ำตาคลอ

 

“เต้นรำกับเราสักเพลงได้ไหม” ทรงถาม

“ผม...” มิคาเอลตกใจที่องค์ราฟาเอลถามขึ้นแบบนี้ เขาที่เป็นสนมขององค์ชายเดเมี่ยน การจะให้ชายอื่นแตะต้องย่อมมีความผิด แต่คนตรงหน้ากลับส่งสายตาเว้าวอนมาให้ จนมิคาเอลไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ในใจร่ำร้องอยากเข้าไปหาอ้อมกอดของคนๆ นี้ แต่ความคิดด้านเหตุผลเป็นฝ่ายที่รั้งเขาเอาไว้

 

“เราจะรับผิดชอบเอง” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน เอื้อมมือมาจับที่มือของมิคาเอลขึ้นมาจูบเบาๆ และจูงมือคนตัวเล็ก ไม่ยอมให้คนตรงหน้าปฏิเสธ

 

องค์ราฟาเอลพามิคาเอลมาที่ลานเต้นรำ ก่อนโอบรอบเอวและเต้นนำมิคาเอลไปกับทบทเพลงที่บรรเลงอยู่ สายตาขององค์ราฟาเอลจับจ้องมาที่มิคาเอลตลอดเวลา ทรงแย้มพระสรวล และพร่ำบอกว่าพระองค์คิดถึงคนตรงหน้ามากเพียงใด มิคาเอลแม้ได้ได้ตอบรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ ยิ้มตอบรับพระองค์ มิคาเอลหลงลืมความจริงไปชั่วขณะ เขาแทบไม่อยากเชื่อว่า เขาจะมีโอกาสได้มาอยู่ในอ้อมกอดของคนๆ นี้อีกครั้ง แม้ว่ามันเป็นเพียงชั่วคราว แต่เขาก็ยินดี

และแอบภาวนาในใจขอให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ให้ยาวนานขึ้นอีกสักนิด แม้เพียงเศษเสี้ยววินาที เขาก็รู้สึกยินดีมากแล้ว

 

องค์ราฟาเอลที่ปกติก็เป็นที่จับตามองอยู่แล้ว ปกติเจ้าชายหนุ่มก็แทบจะไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษ แต่ในวันนี้พระองค์กลับเต้นรำคู่กับเด็กหนุ่มหน้าหวาน ยิ่งไปกว่านั้นองค์ราฟาเอลยังยิ้มแย้มออกมา อย่างกว้างขวาง สายตาของพระองค์เอาแต่จับจ้องไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า ราวกับพระองค์ได้สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาโดยมีเพียงแค่พระองค์กับเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ปาน แต่บางอย่างกลับไม่ถูกต้อง เมื่อพิจารณาเด็กหนุ่มที่เต้นรำกับพระองค์ หลายคนก็เริ่มสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ที่ต้นแขนของเสื้อที่เด็กหนุ่มสวมอยู่ อีกทั้งยังสวมสร้อยทองอันมีตราสัญลักษณ์ของเจ้าชายเดเมี่ยนอีกด้วย

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่ว พระสนมคนใหม่ขององค์เดเมี่ยน กลับเต้นรำยั่วยวนอยู่กลับองค์รัชทายาทราฟาเอล

 

องค์เดเมี่ยนที่เย็นชามองหามิคาเอล ไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กหายไปไหน พระองค์มองหาไปรอบห้องก็ไม่พบ จนกระทั่งสายตาของพระองค์มาสะดุดอยู่ที่ฟลอร์เต้นรำ พระองค์ก็เห็นคนตัวเล็กของพระองค์กำลังเต้นรำอยู่กับราฟาเอล

 

รอยยิ้มของคนตัวเล็กที่พระองค์ไม่เคยได้รับ

ในตอนนี้มิคาเอลกลับยิ้มอย่างหวานซึ้งให้กับราฟาเอล

ใบหน้าที่มีความสุขของคนตัวเล็กที่พระองค์ไม่เคยได้เห็น

ในตอนนี้มิคาเอลกลับดูมีความสุขเมื่ออยู่กับชายอื่น

เสียงหัวเราะที่พระองค์ไม่เคยได้ยิน

ในตอนนี้คนตัวเล็กของพระองค์ก็กำลังหัวเราะอยู่กับน้องชายของพระองค์

สายตาที่อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรักที่มิคาเอลมองไปที่ราฟาเอล

พระองค์ก็ไม่เคยได้สัมผัส

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่พระองค์พยายามทำดีกับคนๆ นี้ แต่สิ่งที่พระองค์ได้รับกลับมาคือความเจ็บปวด คำกล่าวหาของคนตัวเล็กยังดังก้องว่า พระองค์โหดร้าย ไม่มีหัวใจ หากร่างกายนี้ไร้ซึ่งหัวใจ แล้วทำไมพระองค์จึงได้รู้สึกเจ็บปวดทรมานอย่างนี้ พระองค์รู้สึกเหมือนถูกกระชากหัวใจออกมา และโดนเหยียบย่ำ อย่างไม่ใยดี และความเจ็บปวดที่พระองค์ได้รับก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ พระองค์ดูสงบนิ่งลง และสงบนิ่งมากเกินไป สายตาจ้องมองไปที่ทั้งคู่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาช้าๆ

 

มิคาเอลจ้องมององค์ราฟาเอล อย่างไม่อยากเชื่อสายตาในใจกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็พังทลายลง เมื่อเขาถูกองค์เดเมี่ยนฉุดกระชากออกมา จากอ้อมกอดขององค์ราฟาเอล จนมิคาเอลล้มลงกับพื้น

“เสด็จพี่ อย่าทำอะไรมิคาเอล ผมเป็นคนขอให้เขาเต้นรำกับผมเอง” องค์ราฟาเอลกล่าว

“เจ้าคิดจะหยามเกียรติเราไปถึงไหนกัน” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็ปลดปล่อยมิคาเอลเสีย พระองค์เองก็มีสนมตั้งมากมาย และทั้งๆ ที่พระองค์พามิคาเอลมาในงานแต่พระองค์กลับไปกอดจูบกับคนอื่น พระองค์นั่นแหล่ะที่คิดจะหยามเกียรติของมิคาเอลไปถึงไหน” องค์ราฟาเอลตอบโต้อย่างไม่ยอม

“มิคาเอลเป็นของเรา เจ้าไม่มีสิทธิมาแตะต้อง!!! จำเอาไว้” องค์เดเมี่ยนตรัส พร้อมกับต่อยหน้าขององค์ราฟาเอลอย่างจัง จนร่างสูงล้มลง แต่แทนที่องค์ราฟาเอลจะหยุด พระองค์กลับลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะต่อยสวนพระเชษฐา จนกลายเป็นการต่อสู้ของพี่น้องเพื่อแย่งชิงคนตัวเล็ก จนเหล่าองครักษ์หลายคนต่างกรูกันเข้ามาห้ามเจ้าชายของตน

 

องค์รักษ์สามคนพยายามรั้งองค์ราฟาเอลเอาไว้และพยายามรั้งให้ออกห่างจากเดเมียน และพระสนม องครักษ์อีกสามคนรั้งองค์เดเมี่ยนไว้ไม่ให้ตามเข้าไปทำร้ายองค์ราฟาเอลอีก แต่องค์เดเมี่ยนก็ระงับโทสะไว้ได้ในที่สุด

 

“ปล่อย!!!” องค์เดเมี่ยนสั่ง และสะบัดการเกาะกุมขององครักษ์ออก

“เจ้าควรจะรู้จักที่ของเจ้า ราฟาเอล มิคาเอลเป็นของเรา ตัดใจซะ!!!” ทรงตรัสอย่างแข็งกระด้าง

 

มิคาเอลที่เป็นสาเหตุหลักของการทะเลาะของเจ้าชายทั้งสองพระองค์ ได้แต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิอาจทำอะไรได้ เขาย่อมรู้ดีว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขา  แต่เขาก็ไร้ซึ่งความสามารถที่จะหยุด เจ้าชายทั้งสองพระองค์ เขารู้สึกผิดเหลือเกิน รู้สึกผิดต่อองค์ราฟาเอลผู้ที่เขารัก และรู้สึกผิดต่อองค์เดเมี่ยนที่รักเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกทางที่เลือกล้วนเจ็บปวด น้ำตาใสๆ ค่อยๆ เอ่อล้น ก่อนจะหยดลง

 

มิคาเอลเจ็บปวดที่เห็นสายตาที่ห่วงใยขององค์ราฟาเอลที่มองมาที่เขา

เจ็บปวดที่รู้ว่าเขาไม่มีทางเป็นของพระองค์

เจ็บปวดที่รู้ว่าองค์เดเมียนจะไม่มีวันปล่อยเขาไป ไม่ว่าเขาจะร้องขอ หรืออ้อนวอนเพียงใด

และเจ็บปวดที่รู้ว่า ทั้งๆ ที่เขารักเจ้าชายพระองค์หนึ่ง แต่เขากลับต้องเป็นของเล่นของเจ้าชายอีกพระองค์

 

องค์เดเมียนหันมาทางมิคาเอล พระองค์เจ็บปวดที่เห็นคนตัวเล็กร้องไห้ และก็รู้ว่าน้ำตานั้นไม่ได้หลั่งออกมาเพื่อพระองค์ แต่หลั่งออกมาเพื่อราฟาเอล

พระองค์รู้ดีว่าคนตัวเล็กมิได้รักพระองค์ คนๆ นี้ได้มอบหัวใจของเขาให้กับน้องชายของพระองค์ไปแล้ว และพระองค์ก็รู้ว่าพระองค์คงไม่มีวันได้รับความรักจากคนๆ นี้ แต่คนที่ไม่มีใครรักอย่างพระองค์ไม่ต้องการความรัก พระองค์ยินดีให้คนตัวเล็กเกลียดพระองค์ ดีกว่าที่พระองค์จะต้องสูญเสียคนๆ นี้ไปทั้งหมด พระองค์เดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก

พร้อมกับคว้าข้อมือของคนตัวเล็ก ที่ยังเอาแต่ร้องไห้ และกระชากให้ลุกขึ้นเดินตามพระองค์ไป

 

แม้หัวใจจะปวดร้าว แต่อย่างน้อย คนๆ นี้ก็ยังเป็นของพระองค์

___________________________


เฟสบุ๊ค  "Teddy bear แห่ง คานาเดีย" นะคะ

 

แอบคิดว่าจะโดนรีดเดอร์รอดักตบไหม. 555

ความโรคจิตของไรท์เริ่มออกมาอีกแหล่ะ

รักรีดเดอร์นะ วันนี้หยุดเดี๋ยวรีบอัพให้

 

รออ่านคอมเม้นท์
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 28 การลงโทษ 20++++++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 04-08-2016 08:30:50


Drama warning

โปรดอย่าอ่านถ้าใจไม่ถึงพอ

เราเตือนคุณแล้ว!!!

 

บทที่ 28 การลงโทษ

 

มิคาเอลนั่งเงียบตลอดทางกลับมาที่วิลล่า น้ำตาหยุดไหลแล้ว แม้ใบหน้าที่ยังดูเศร้าหมอง แต่พระองค์ก็รู้ว่าคนข้างๆ กำลังโกรธ ร่างเล็กเม้มปาก ไม่ยอมพูดอะไร เมื่อกลับมาถึงวิลล่าพระองค์ก็จับข้อมือของมิคาเอลและดึงรั้งให้เดินตามพระองค์ ด้วยขนาดร่างกายที่แตกต่าง แม้องค์เดเมี่ยนจะเดินธรรมดา แต่มิคาเอลกลับต้องเร่งฝีเท้า เพื่อตามคนตรงหน้าให้ทัน เขาเจ็บที่ข้อมือขวา พระองค์บีบมันแน่น จนเขาเจ็บแม้แขนข้างนี้จะเคยหักเมื่อนานมาแล้ว แต่เพราะเขาไม่ได้รับการรักษาโดยทันที ทำให้แม้ผ่านมานานแล้วเขาก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ในบางครั้ง และในตอนนี้ที่ถูกมือขององค์เดเมียนบีบอย่างแรง ราวกับคีมเหล็ก มิคาเอลก็รู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก

 

พระองค์เดินนำร่างของมิคาเอลเข้าไปในวิลล่าเล็ก และพามิคาเอลกลับไปที่ห้องของเขา เมื่อเข้ามาถึงในห้องนอน พระองค์ก็ผลักมิคาเอลไปที่เตียง ร่างเล็กล้มลงบนเตียง เขาลุกขึ้นช้าๆ ลูบที่แขน รอยแดงปรากฎเห็นอย่างเด่นชัด แต่เขาก็มิได้พูดอะไรออกมา

 

“เจ้าคิดจะหยามเกียรติเราไปถึงเมื่อไหร่กัน” ทรงถาม และพยายามจะระงับความโกรธ มิคาเอลมิได้ตอบโต้ แต่นั่งนิ่งเงียบเฉย

“เจ้ารู้ฐานะของตัวเองหรือเปล่า หรือเจ้ารู้แต่ก็ยังกระทำ” ทรงตวาดเสียงดัง ร่างเล็กก็ยังนิ่งเฉยไม่ตอบโต้

“ตอบเรามา มิคาเอล!!” ทรงตวาดอีกครั้ง

“ผมไม่มีอะไรจะพูด พระองค์อยากลงโทษผมอย่างไรก็เชิญ” มิคาเอลกล่าว เขารู้ดีว่าเขาทำผิด เขาจึงไม่คิดจะแก้ตัว

 

“ทำไม… เจ้ายอมถูกลงโทษ เพียงเพื่อเจ้าจะได้อยู่ในอ้อมกอดของราฟาเอลอย่างนั้นเหรอ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่ปวดร้าว

“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว พระองค์อยากทำอะไรก็ทรงทำเถอะครับ ผมจะไม่อ้อนวอน และไม่ขัดขืน ผมยอมรับในความผิดทุกอย่าง” มิคาเอลตอบ ก้มหน้าลง

 

องค์เดเมียนมองคนตรงหน้าด้วยความทรมาน พระองค์ทั้งรัก และทั้งโกรธคนตรงหน้า พระองค์มีอำนาจมากมาย แต่มันกลับไร้ประโยชน์ ต่อหน้าคนๆ นี้ พระองค์เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจ เป็นเพียงชายคนหนึ่ง ที่ต้องการให้คนที่พระองค์รัก หันกลับมามองพระองค์บ้าง พระองค์ยอมแลกทุกอย่างที่พระองค์มี เพียงเพื่อจะให้คนๆ นี้มองมาที่พระองค์แบบที่มองราฟาเอลสักครั้ง หัวใจพระองค์บีบรัดอย่างเจ็บปวด จนพระองค์แทบทนไม่ได้

 

“เจ้าเกลียดเรามากสินะ” ทรงตรัสขึ้น เดินเข้ามาหาคนตรงหน้า

“ผมเป็นสนมของพระองค์ ไม่ว่าอย่างไร ผมก็เป็นของพระองค์” มิคาเอลกล่าวออกมาเหมือนกับเป็นการบอกตัวเองเสียมากกว่า น้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา แต่คนตัวเล็กก็ปาดน้ำตาออก และพยายามจะไม่ร้องไห้

“ทำไม เจ้าถึงไม่คิดจะรักเราบ้าง เราทำอะไร เจ้าถึงได้เกลียดเรานัก” ทรงตรัส

“ผมบอกพระองค์ไปแล้วนี่ครับ ว่าผมไม่คิดจะรักพระองค์ พระองค์เป็นเจ้าของผม พระองค์จะทรมานผม ใช้กำลังบังคับ หรือทำอะไรกับผมก็ได้ ผมจะไม่ขัดขืน แต่พระองค์บังคับใจให้ผมรักพระองค์ไม่ได้ สิ่งเดียวที่ผมเป็นเจ้าของ และผมจะไม่มีวันมอบให้พระองค์ คือหัวใจดวงนี้ของผม” มิคาเอลตอบ เงยหน้ามองคนตรงหน้า

“ไม่ว่าเราจะทำอะไร เจ้าก็ยังเกลียดเราอยู่ดี ไม่ว่าเราจะรักเจ้ามากแค่ไหน เจ้าก็ยังไม่คิดจะรักเรา สิ่งเดียวที่เจ้ามอบให้เราคือความเจ็บปวด ไม่ว่าเราจะทำอะไร เจ้าก็ไม่เคยเห็นเราในสายตา แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่เราจะต้องทำดีกับเจ้า” ทรงตรัสอย่างปวดร้าว หัวใจของพระองค์ เหมือนกำลังจะสลาย ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ความรู้สึกหมดหวังในความรักจากคนตรงหน้า ทำให้พระองค์เสียใจ แต่แม้คนตรงหน้าจะไม่รักพระองค์ พระองค์ก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนๆนี้จากไป

ในเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะทำดีด้วย พระองค์ก็ไม่คิดจะทำดีด้วยอีก

 

“ถอดเสื้อผ้าออกซะ” ทรงสั่งเสียงกระด้าง มิคาเอลตกใจที่พระองค์สั่งแบบนี้ เขาจึงนิ่งเฉย แต่พระองค์ ก็เดินเข้าหา และบีบที่ข้อมือของเขาอีกครั้ง บังคับให้เขาลุกขึ้น พระองค์ถอยออกไปนั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง

“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกซะ” ทรงตรัสก่อนจะจ้องมองมาที่คนตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

 

มิคาเอลมองคนตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อออกช้าๆ พยายามไม่สบกับสายตาคมของพระองค์ที่จ้องมองมาที่เขา มิคาเอลถอดเสื้อออก ตามด้วยกางเกงผ้า ในตอนนี้เขาเหลือเพียงอันเดอร์แวร์เข้ารูปสีขาวเท่านั้น แต่องค์เดเมียนก็ดูยังไม่พอใจ

 

“ถอดออกซะ” ทรงตรัสสั่ง มิคาเอลไม่มีทางเลือกจึงถอดมันออก อย่างไม่เต็มใจนัก เขาก้มหน้าลงไม่สบตาคนตรงหน้า เอามือมาปกปิดร่างของเขาเอาไว้

 

องค์เดเมียนปลดกางเกงออก และนั่งลง และเรียกให้มิคาเอลเข้ามาใกล้

“คุกเข่าลง” ทรงสั่งอย่างเย็นชา

“ผม...” มิคาเอลรู้ว่าพระองค์ต้องการอะไร แต่การกระทำของคนตรงหน้าช่างเย็นชานัก พระองค์ต้องการทำให้เขาเจ็บปวด ทั้งๆ ที่เขาเคยคิดว่าพระองค์อ่อนโยน แต่ในตอนนี้คนตรงหน้ากลับไม่ต่างไปจากปิศาจที่โหดร้าย สมกับคำร่ำลือเกี่ยวกับความโหดร้ายของพระองค์ เมื่อใครทำให้พระองค์โกรธ พระองค์ก็พร้อมจะบดขยี้คนๆ นั้น อย่างไร้ซึ่งความเมตตา  มิคาเอลไม่มีทางเลือกเขาจึงคุกเข่าลง

“ในเมื่อเจ้าไม่เห็นค่าของเรา เราคงไม่จำเป็นต้องทำดีกับเจ้า ในเมื่อเจ้าบอกว่าร่างกายของเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเราย่อมสามารถทำอะไรกับเจ้าก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ทรงถามอย่างเย็นชา ห่างเหิน มิคาเอลรู้สถานะของตัวเองดี เขาจึงตอบรับ

“ครับ...”

“อ้าปาก” ทรงสั่ง มือใหญ่จับที่ศรีษะของมิคาเอลไว้ รั้งใบหน้าหวานเข้ามาใกล้ และบังคับให้ครอบครองพระองค์ น้ำตาของมิคาเอลไหลริน เขารู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่เขาถูกบังคับให้กระทำ

“เจ้าร้องไห้ทำไม ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ใช่หรือ ในเมื่อเจ้าต้องการมอบเพียงร่างกายของเจ้าให้กับเราไม่ใช่หรือ ทำหน้าที่ของเจ้าซะ ครอบครองให้หมด” ทรงสั่งอย่างโหดร้าย กดศรีษะของมิคาเอลเข้าใกล้ จนร่างเล็กสำลัก แม้กระนั้นพระองค์ก็ไม่ยอมหยุด พระองค์ยังคงฝืนบังคับให้มิคาเอลครอบครองพระองค์ต่อไป จนร่างของพระองค์ตื่นตัว

 

"หากเจ้าคิดจะใช้ร่างกายของเจ้าเพื่อแลกกับการเจอกับน้องชายของเจ้าล่ะก็ เจ้าก็ต้องหัดทำให้ดีกว่านี้” ทรงตรัสอย่างเย็นชา พระองค์โยนเจลหล่อลื่นให้ มิคาเอลจึงหยิบขึ้นมา

“หากเจ้าไม่อยากจะเจ็บก็ใช้ซะ” ทรงตรัส มองคนตรงหน้าที่ดูไร้เดียงสา และทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง มิคาเอลเปิดฝาออก ก่อนจะใช้มันกับความใหญ่โตของพระองค์

“มานี่สิ”ทรงเรียกให้เขาลุกขึ้น ก่อนพระองค์จะรั้งร่างมิคาเอลให้หันหน้าเข้าหาพระองค์และ นั่งลงบนความใหญ่โตของพระองค์ ร่างเล็กกรีดร้อง เมื่อร่างของพระองค์สอดแทรก ล่วงล้ำเข้ามา จนร่างเล็กต้องกอดพระองค์เอาไว้แน่น ปกติพระองค์จะร่วมรักกับมิคาเอลอย่างอ่อนโยน แต่ในวันนี้พระองค์กลับแตกต่าง โหดร้ายและเย็นชา เป็นการร่วมรักที่เห็นแก่ตัวโดยไม่สนใจความรู้สึกของมิคาเอล ร่างเล็กหยุดนิ่งเจ็บปวด น้ำตาไหลรินออกมา ความเจ็บปวดมากกว่าทุกครั้งเพราะเจ้าชายมิได้ปลุกเร้าเขา พระองค์เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัวและโหดร้ายที่สุด แม้มิคาเอลอยากจะถอนตัวออก แต่พระองค์ก็รั้งร่างเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้ถอยหนี ยิ่งดิ้น ความเจ็บปวดก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงกอดเจ้าชายเอาไว้

 

เมื่อเบื้องล่างเริ่มคุ้นชินพระองค์ก็จับที่เอวของคนตัวเล็กให้ขยับขึ้นลงช้าๆ มิคาเอลร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่เพียงไม่นานความหฤหรรษ์รัญจวนใจก็ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ จากเสียงร้องที่เจ็บปวดก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางออกมา

 

"ไหนเจ้าบอกว่ารักราฟาเอลเสียนักหนา แต่เจ้าก็ยังครวญครางแบบนี้เวลาที่เราอยู่ในตัวเจ้า ทั้งๆ ที่ทำเป็นหวงตัว แต่เจ้ามันก็ร่านสวาท ไม่ต่างจากโสเภณีสักนิด” องค์เดเมี่ยนได้ยินเสียงของพระองค์ตรัสออกไปแบบนั้น

 

ร่างเล็กตรงหน้าดูเจ็บปวด หากเป็นปกติ พระองค์คงจะจุมพิตปลอบโยน แต่ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ต้องการความรักของพระองค์ หัวใจที่ไร้ความหมายของพระองค์ไม่มีค่าอันใดต่อคนตรงหน้า พระองค์ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของพระองค์ หยุดยั้งพระองค์ไว้ไม่ให้จูบคนตรงหน้า

 

น้ำตาไหลอาบแก้มของคนตัวเล็ก มิคาเอลเสียใจที่หลงคิดว่าคนตรงหน้ามีอะไรที่คล้ายคลึงกับเขา เสียใจที่เคยคิดว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนกับคนๆ นี้ได้บ้าง แต่ในตอนนี้มิคาเอลกลับเกลียดคนตรงหน้าเหลือเกิน เขาพยายามจะกั้นเสียงเอาไว้ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้องค์เดเมียนไม่พอใจ

 

พระองค์อุ้มมิคาเอลขึ้น ทั้งๆ ที่พระองค์ยังฝังร่างอยู่ภายในตัวเขา มิคาเอลจำต้องโอบกอดองค์เดเมียนเอาไว้เพื่อไม่ให้ตก ทรงขยับร่างเข้าออกช้าๆ และเร่งจังหวะ ก่อนจะเดินไปที่เตียง พระองค์ถอดถอนร่างออก จับมิคาเอลให้คลานเข่า แล้วพระองค์ก็กระแทกร่างของพระองค์กลับเข้าไปในร่างของมิคาเอลอีกครั้ง ร่างเล็กผวากรีดร้องอีกครั้ง มือทั้งสองกำผ้าปูเอาไว้พยายามจะกลั้นเสียงเอาไว้ แต่ยิ่งเขาพยายามเท่าไหร่ องค์เดเมียนก็ยิ่งกระแทกร่างเข้ามารุนแรงมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายมิคาเอลจึงต้องยอมจำนนต่อพระองค์ มิอาจขัดขืน ได้แต่ปล่อยให้พระองค์นำพาไป

 

แต่พระองค์ก็โหดร้ายเหลือเกิน คำพูดถากถาง ดูถูก ลอยเข้าหูคนตัวเล็กอยู่ตลอดเวลา

“ไหนเจ้าบอกว่า เจ้าไม่ชอบการถูกสัมผัสอย่างไร มิคาเอล เจ้าที่ร้องครางแบบนี้ จะต่างจากโสเภณีตรงไหนกัน” ทรงตรัส ก่อนจะพาร่างของมิคาเอลมายืนหน้ากระจก พระองค์หันหน้าของคนตัวเล็กเข้าหากระจก ก่อนจะฝังร่างของพระองค์เข้าไปในร่างเล็กอีกครั้ง

 

"ดูเจ้าในกระจกสิ ใบหน้าของเจ้ามันออกจะร่านขนาดนี้” ทรงตรัส และขยับร่างเข้าออกช้าๆ

“มองดูสิเจ้ากำลังดูดกลืนร่างของเราเข้าไป ไหนเจ้าบอกว่าเกลียดการร่วมรักอย่างไร เจ้ากำลังตอดรัดร่างของเราราวกับคนร่านสวาท ตอบเราสิ ว่าเจ้าชอบให้เรากระแทกใส่รูของเจ้า” ทรงตรัส แต่ร่างเล็กที่มองตัวเองในกระจกเห็นสิ่งที่พระองค์กระทำ บวกกับคำพูดที่โหดร้าย น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจจะห้าม เจ็บปวด ทรมานเหลือเกิน

 

พระองค์ไม่ยอมให้เขาปลดปล่อย ทุกครั้งที่เขากำลังจะหลั่งออกมา พระองค์ก็หยุด บางครั้งก็ถอดถอนออกกลางครัน ยิ่งทำให้คนตัวเล็กทรมานมากยิ่งขึ้น พระองค์ให้มิคาเอลยืนเกาะที่ขอบเตียงไว้ และพระองค์ก็กระแทกร่างของพระองค์เข้าจากทางด้านหลัง ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น เมื่อพระองค์กำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็ถอนร่างออก เมื่อพระองค์ถอยออกห่างร่างเล็กก็ทรุดร่างลงนั่งกับพื้น พระองค์ใช้มือสัมผัสร่างของพระองค์ ก่อนจะปลดปล่อยออกมาใส่ใบหน้าหวาน ที่นั่งอยู่กับพื้น

 

"ดูเจ้าสิ บอกกับเราทีว่าสภาพของมันจะต่างจากโสเภณีตรงไหน” ทรงตรัส นั่งลงที่เตียงมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบคาวของพระองค์ มิคาเอลไม่เคยเลยในชีวิต ที่จะถูกกระทำ และโดนดูถูกมากเพียงนี้

 

“พระองค์พอใจหรือยังครับ” มิคาเอลถามอย่างปวดร้าว แต่พระองค์ก็ใช้เท้าเปล่าของพระองค์สัมผัส กับร่างของมิคาเอลที่ยังตื่นตัวอยู่ การร่วมรักที่ยาวนาน แต่พระองค์ไม่ยอมให้คนตัวเล็กปลดปล่อย แม้แต่ครั้งเดียว ร่างของคนตัวเล็กจึงยังตื่นตัวอยู่

 

“อย่าครับ” มิคาเอลพยายามถอยห่าง

“สัมผัสร่างของเจ้าสิ” ทรงตรัสเสียงเย็นชา

“แสดงโชว์ให้เราดูหน่อยจะเป็นไรไป” ทรงตรัสอย่างโหดร้าย

“ทำตามที่เราบอก!!!” ทรงสั่งเสียงดัง จนมิคาเอล ต้องเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของเขาและขยับมือช้าๆ เขาพยายามหลับตาลง เพื่อไม่ต้องเห็นคนตรงหน้า

“มองมาที่เรา... เราสั่งให้มองมาที่เรา!!!” ทรงตรัสเสียงดังบังคับให้ร่างเล็กสบตา

 

สายตาคมจับจ้องการกระทำของเขา แม้มิคาเอลจะพยายามแต่เขาก็ไม่อาจปลดปล่อยออกมา แต่องค์เดเมี่ยนกับยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

“ดูเหมือนร่างกายของเจ้า จะต้องการมากกว่าการสัมผัสแต่เพียงแก่นกายของเจ้าแล้วสินะ” ทรงตรัสเย็นชา หยิบขวดเจลหล่อลื่นและสอดใส่เข้าไปในร่างของคนตัวเล็ก คนตัวเล็กผวา ร้องออกมา เมื่อสิ่งแปลกปลอมล่วงล้ำเข้ามา พระองค์ขยับขวดเจลเป็นจังหวะ และเร่งจังหวะเร็วขึ้น ก่อนพระองค์จะกดขวดเจลให้จมหายเข้าไป ไม่ช้าร่างเล็กก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีก จึงปลดปล่อยออกมา พร้อมกับขวดเจลที่ค่อยๆ เลื่อนหลุดออกไป

 

พระองค์ลุกขึ้น มองดูคนตรงหน้า

“เมื่อเราทำดีกับเจ้าและเจ้าไม่เห็นค่า จากนี้ไปเราจะเลิกทำดีกับเจ้า ในเมื่อเจ้าอยากเป็นของเล่นบนเตียง เราก็จะทำให้เจ้าเป็นของเล่นของเรา” ทรงตรัสเย็นชาก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้มิคาเอลนอนสะอื้นไห้อยู่ที่พื้นในห้องนอนตามลำพัง

_________________________________

บทนีไรท์ว่าเดเมี่ยนโหดมาก ใจร้ายที่สุด แต่ก็คิดว่าเดเมี่ยนก็เหลืออดแล้วล่ะนะก็มิคาเอลไปเล่นหูเล่นตากับราฟาเอลซะขนาดนั้น เดเมี่ยนไม่โกรธก็เกินไป แถมเวลาอยู่กับราฟาเอลก็ดูมีความสุขเกินทั้งๆ ที่เดเมียนก็พยายามทำดีด้วยแล้ว แต่เดเมียนเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง เลยออกมาเป็นแบบนี้

ส่วนตัวไรท์สงสารเดเมียนนะ ชีวิตผิดหวังมาตลอด และหมั่นไส้ราฟาเอลที่ไม่ยอมรับความจริงสักทีชอบเข้ามายุ่งทั้งๆ ที่ควรจะเลิกคิดได้แล้ว

 

คาดว่าหลังจากอ่านบทนี้รีดเดอร์เกลียดเดเมียนกันแน่เลย

 ถ้าไม่อยากค้าง สามารถตามไปอ่านในเว็ปธัญได้ค่ะ

รออ่านคอมเม้นท์

หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 28 บทลงโทษ 20++++++++
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 04-08-2016 11:08:32
อ่านๆไป สงสารเดเมี่ยนมากขึ้นแม้ว่าเดเมี่ยนจะชั่ว เลว สารพัดการกระทำที่ไม่ดีต่อมิคาเอล  :z6:เอ้ ยังไง เอาใจช่วยเดเมี่ยนคนปากร้ายอย่างเงียบๆ
ปล แอบหวังว่าราฟาเอลจะเป็นคู่ตุนาหงันกับโทนี่  o13 o13
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 29 คำสั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 05-08-2016 11:02:51
บทที่ 29 คำสั่ง

 

องค์เดเมี่ยนสวมเพียงเสื้อคลุมและเดินออกมาจากห้องของมิคาเอล สนมหลายคนอยากเข้าไปหา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวก็ไม่มีใครกล้า พระองค์จึงเดินออกไปจากวิลล่าเล็ก พระองค์รู้สึกผิด และเจ็บปวดที่ทำกับคนตัวเล็กแบบนั้น แต่มิคาเอลก็ไม่ได้มอบทางเลือกให้พระองค์มากนัก ตลอดเวลาที่พระองค์ร่วมรักกับคนตัวเล็ก พระองค์ก็เจ็บปวด หากก่อนหน้านี้คนตัวเล็กยังไม่เกลียดพระองค์ ในตอนนี้ พระองค์ก็คงจะถูกเกลียดขึ้นมาจริงๆ แล้ว

 

ของเหลวสีอำพันถูกยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว พระองค์หวังอยากให้มันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้กับพระองค์ลงบ้าง หากจะลืมเลือนความเจ็บปวดได้สักนิดก็คงจะดี ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงคงจะได้ลงในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างแน่นอน และพระองค์ก็ต้องระงับข่าวนี้เสีย แต่เรื่องก็คงจะไปถึงหูนาธานเนียลอย่างไม่ต้องสงสัย และพระองค์มั่นใจว่าพระองค์จะต้องชดใช้กับการกระทำของพระองค์ด้วย

การทะเลาะกันระหว่างพี่น้องก็เรื่องหนึ่ง แต่การทะเลาะกันระหว่างพี่น้องในที่สาธารณะเป็นสิ่งผิด และพระองค์ก็มั่นใจว่านาธานเนียลต้องไม่พอใจมากๆ แน่

 

พระองค์ดื่มคอนยัคจนหมดขวด แอลกอฮอล์ราคาแพงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา พระองค์ยังคงเจ็บปวด และซ้ำร้ายพระองค์ดื่มจนร่างกายของพระองค์ แทบจะไม่รู้จักคำว่ามึนเมาอีกแล้ว แม้คอนยัคจะหมดไปแต่สติก็ยังคงอยู่

 

ร่างกายของพระองค์จะพาพระองค์กลับไปหาคนตัวเล็กอีกครั้ง ร่างเล็กร้องไห้จนหลับไปกับพื้น ร่างเปลือยเปล่านอนขดอยู่ พระองค์อุ้มร่างเล็กขึ้นไปวางบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้ พระองค์หยิบผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดใบหน้า และเช็ดตัวให้กับคนตัวเล็กที่ยังหลับไม่ได้สติ ก่อนจะสวมชุดนอนให้ แต่คนตัวเล็กก็ละเมอออกมา

 

“ปล่อย!!! อย่า.. ทำ….ผม… ปล่อย” คนตัวเล็กละเมอร้องออกมา แม้ในยามหลับฝัน พระองค์ก็เป็นได้เพียงแค่ฝันร้ายของคนๆ นี้ องค์เดเมียนนั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าหวานที่เป็นสีชมพูเรื่อ คนตัวเล็กกำลังมีไข้ เพราะการกระทำของพระองค์ พระองค์ก้มลงจูบหน้าผากของคนตรงหน้าเบาๆ

 

“เราขอโทษ … เรารักเจ้า…” ทรงกระซิบ โดยมิได้หวังให้คนตัวเล็กได้ยิน คนที่โหดร้ายอย่างพระองค์ ไม่สมควรมีใครมารัก และคนอย่างพระองค์ไม่สมควรจะรักใคร เพราะพระองค์ก็คอยแต่จะทำให้คนที่พระองค์รักต้องเจ็บปวด แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงรักคนๆ นี้มากเหลือเกิน

 

ร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น แต่เมื่อเห็นองค์เดเมียนมิคาเอลก็ตกใจ และพยายามถอยหนี หัวใจของพระองค์บีบรัดกับภาพที่เห็น

“เรากำลังจะไปแล้ว… นอนพักผ่อนซะ” ทรงตรัส ก่อนจะลุกขึ้นและเดินจากไป ปล่อยให้มิคาเอลอยู่ตามลำพัง

 

 

ในตอนเช้าพระองค์เดินทางไปเข้าเฝ้าองค์นาธานเนียล เมื่อไปถึงพระองค์ก็พบว่าราฟาเอลได้มาเข้าเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว และนาธานเนียลก็ดูโกรธมาก

 

“พี่คงไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะมั้ง ราฟาเอลคงบอกเจ้าหมดแล้ว” องค์เดเมียนพูดประชด

“ผมเป็นคนเรียกราฟาเอลมาเอง เขาไม่ได้มาฟ้องผม ถึงผมจะไม่ได้ไปงานแต่ข่าวที่เกิดขึ้นในงานก็ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง” องค์นาธานเนียลกล่าว

องค์เดเมี่ยนจึงไม่พูดอะไรอีก

“ผมเข้าใจว่าทั้งสองพระองค์พึงพอใจในตัวของเด็กคนนั้น แต่การที่ทั้งสองพระองค์ทะเลาะกันในครั้งนี้มันกระทบหลายด้าน งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุน แต่ทั้งสองพระองค์กลับทำตัวไม่น่าเชื่อถือแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน” องค์นาธานเนียลตำหนิ

“พี่ผิดเอง ที่อารมณ์ร้อนเกินไป”องค์เดเมี่ยนยอมรับ

“พระองค์ผิดที่ไม่ควบคุมอารมณ์ แต่ราฟาเอลเจ้าไม่ได้มีหน้าที่จะไปอยู่ในงาน ตอบพี่มาว่าทำไมเจ้าจึงไปอยู่ที่นั่น” องค์นาธานเนียลหันมาถามองค์ราฟาเอลที่นิ่งเงียบอยู่

 

“ผมอยากพบกับมิคาเอลครับ” ราฟาเอลตอบ และคำตอบก็ทำให้องค์เดเมี่ยนกัดฟันกรอด

“มีตรงไหนของคำว่าพระสนมของเราที่สมองช้าๆ ของเจ้าไม่เข้าใจราฟาเอล เจ้าตั้งใจจะยั่วโมโหเราอยู่แล้วใช่มั้ย” องค์เดเมียนหันมาตะโกนใส่หน้าองค์ราฟาเอล

“คนอย่างพระองค์น่ะไม่คู่ควรกับมิคาเอลหรอก พระองค์ดีแต่จะทำให้มิคาเอลต้องเจ็บปวด” องค์ราฟาเอลเถียงกลับอย่างไม่ยอม

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ถึงมาพูดกับเราแบบนี้ เจ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากเรานักหรอก คนอย่างเจ้าที่เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า แล้วมาทำเป็นว่า ไม่คิดจะรับสนม แล้วเจ้าจะเอามิคาเอลไปทำอะไร มิคาเอลเป็นของเรา เราร่วมรักกับมิคาเอลทุกวัน จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าไว้ซะ” องค์เดเมียนกล่าวเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

 

องค์ราฟาเอลทำท่าจะเถียงตอบแต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อองค์นาธานเนียลโยนดาบสองเล่มลงบนพื้นต่อหน้าเจ้าชายทั้งสอง เฉียดทั้งสองพระองค์ไปนิดเดียว

 

“ถ้าอยากอยากจะฆ่ากันนักก็หยิบดาบขึ้นมา” องค์นาธานเนียลกล่าวด้วยเสียงเย็นชา เฉียบขาด ทั้งสองพระองค์จึงหยุดแบบไม่ต้องคิดเพราะรู้จักองค์นาธานเนียลดีว่าพระองค์กำลังโกรธ

“ถ้าไม่คิดจะหยิบดาบขึ้นมา ก็อย่าให้ผมรู้ว่าทั้งสองพระองค์ทะเลาะกันเพราะเด็กมิคาเอลอีก เพราะหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแม้แต่ครั้งเดียว ผมจะเป็นคนประหารมิคาเอลด้วยมือของผมเอง” องค์นาธานเนียลตรัสอย่างเย็นชา แต่ก็พอที่จะทำให้เจ้าชายทั้งสองพระองค์แอบกังวลอยู่ไม่น้อย

 

“ราฟาเอล พี่ขอสั่งห้ามเจ้าเด็ดขาด ห้ามเจ้าเข้าใกล้มิคาเอลอีก หากเจ้าฝ่าฝืน เจ้าจะต้องถูกลงโทษ” ทรงตรัสเด็ดขาด

“เสด็จพี่ ผม…” องค์ราฟาเอลพยายามจะประท้วง แต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อถูกองค์นาธานเนียลใช้สายตาตำหนิมองมา

 

“ส่วนพระองค์ ผมต้องการให้พระองค์แก้ไขสิ่งที่พระองค์ทำพลาดไปเมื่อคืน คานาเดียต้องการนักลงทุน ผมไม่สนวิธี แต่พระองค์จะต้องทำให้แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงเมื่อคืน อย่างน้อย 50% ลงทุนกับคานาเดียให้ได้ หากทำไม่ได้ผมจะลงโทษสนมของพระองค์แทน” องค์นาธานเนียลสั่ง องค์เดเมี่ยนตกใจเพราะแขกส่วนใหญ่ที่มาในงานก็มาเป็นคู่ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาลำพัง 50%ไม่เท่ากับว่าพระองค์ต้องจับมือทุกคนในงาน มาเซ็นสัญญาอย่างนั้นเหรอ

 

“ผมหมดเรื่องแล้ว เชิญเสด็จทั้งสองพระองค์” องค์นาธานเนียลกล่าวไล่ เบื่อหน่ายกับทั้งสองคน

 

องค์เดเมี่ยนกำลังจะเข้าไปทรงงาน แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น และยิ่งแปลกใจที่เป็นเบอร์ที่วิลล่าโทรเข้ามา พระองค์จึงรับสาย

“ว่ายังไง”

“ฝ่าบาท!!! พระสนม... พระสนมมิคาเอลหายไปเพคะ” แดเรียลกล่าวมาตามสาย เสี้ยววินาทีใจของพระองค์กระตุกวูบ คนตัวเล็กกำลังจะหนีพระองค์ไป

 

องค์เดเมียนรีบกลับออกไปที่รถ และขับออกไปที่สนามบินโดยไม่ต้องคิดมาก พระองค์นึกเสียใจในสิ่งที่พระองค์กระทำ แอบภาวนา ขอให้พระองค์พบคนตัวเล็กด้วย

 

พระองค์เดินทางมาที่ด่านตรวจคนออกจากประเทศ พระองค์มั่นใจว่ามิคาเอลยังไม่ได้ไปไหน เพราะมิคาเอลไม่มีพาสปอร์ต แต่เพื่อความไม่ประมาท พระองค์ จึงสั่งการออกไปให้คนค้นหา หากเจอตัวก็ให้จับกุมตัวของมิคาเอลไว้ และสั่งให้ทหารวังหลายนายประจำการตามจุดต่างๆ ในสนามบิน

 

พระองค์เดินทางกลับมาที่วัง และสั่งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยตรวจดูกล้องวงจรปิดทุกจุดทั่ววัง ตั้งเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงในที่สุดพระองค์ก็ได้ข้อมูลมากพอ จากกล้องวงจรปิดหลายตัว มิคาเอลหลบหนีออกจากวิลล่าเล็กในเวลาประมาณ ตี4 เขาใช้การสะเดาะกุญแจและออกไปจากวิลล่าได้อย่างง่ายดาย แต่แทนที่จะหนีออกไปอย่างที่เคย มิคาเอลกลับยืนรออย่างใจจดจ่อ ไม่นาน พระองค์เห็นรถขยะขับผ่านมา ร่างเล็กแอบอยู่ บวกกับความมืด คนขับจึงมองไม่เห็น และมิคาเอลก็แอบขึ้นรถขนขยะออกไป

 

แม้จะโกรธแต่พระองค์ก็แอบทึ่งกับคนๆ นี้ไม่ได้ พระองค์รู้สึกเหมือนโดนลูบคมอีกครั้ง คนๆ นี้เหมือนจะท้าทายระบบรักษาความปลอดภัยในวัง และดูเหมือนเขาจะทำได้ง่ายๆ เสียด้วย จนพระองค์อยากจะให้คนตัวเล็กมาเป็นคนทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยเสียจริงๆ

 

พระองค์สัญญากับตัวเองว่า หากพามิคาเอลกลับมาได้พระองค์จะดูแลคนๆ นี้ให้ดีกว่าเดิม ก่อนที่พระองค์จะขึ้นรถและขับไปที่จุดทิ้งขยะ

 

คานาเดียจัดเป็นประเทศที่มีอัตราการก่ออาญกรรมที่ต่ำมาก สาเหตุหนึ่งมาจากคานาเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่เหตุผลหลักที่ไม่ค่อยมีใครคิดที่จะทำผิดเพราะทุกๆ สถานที่ในคานาเดียมีกล้องวงจรติดอยู่เต็มไปหมด โอกาสที่จะทำความผิดและไม่ถูกจับได้นั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจึงเหมือนกับได้ไม่คุ้มเสีย ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำผิด และอีกครั้งที่องค์เดเมียนสั่งตรวจสอบ กล้องวงจรปิดโดยรอบแลนด์ฟิลด์แห่งนี้ อีกครั้งที่มิคาเอล ทำให้พระองค์ทึ่ง

 

คนตัวเล็กเดินออกไปที่ถนนใหญ่ และโบกรถ โดยเลือกรถบรรทุกขนาดใหญ่แทนที่จะเป็นรถส่วนตัว เพราะรถเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะขับออกนอกประเทศด้วย คนตัวเล็กของพระองค์ฉลาดเกินไป หลังจากยืนโบกรถอยู่นานหลายชั่วโมง ในที่สุดก็มีรถบรรทุกจอดรับมิคาเอลขึ้นไป รถบรรทุกคันนี้เป็นรถขนส่งอาหารกระป๋องชนิดหนึ่ง ซึ่งจะขับข้ามชายแดนในหลายประเทศ และทันทีที่ได้ทะเบียนของรถ พระองค์ก็สั่งให้ติดต่อไปยังบริษัทแม่เพื่อขอพิกัดของรถบรรทุกคันดังกล่าว การได้พิกัดของรถจะไม่มีความหมายเลยหากรถบรรทุกได้ออกนอกประเทศไปแล้ว เพราะคนตัวเล็กเพียงต้องการออกไปนอกประเทศเท่านั้น หลังจากนั้น เขาสามารถติดต่อสถานฑูต เพื่อขอหนังสือเดินทางใหม่ได้ และแม้พระองค์จะมีอำนาจมากมาย แต่การก้าวก่ายในประเทศเพื่อนบ้าน ก็ยังทำได้จำกัด พระองค์เฝ้าภาวนา ขอให้ทัน

______________________________

นายเอกลุยสุดๆ ฤทธิ์เยอะจริงๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 30 stay with me
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 05-08-2016 11:05:59

 

 

บทที่ 30 Stay with me

 

ไมเคิลขดตัวอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์หลังรถบรรทุกมากว่า 8 ชั่วโมงแล้ว คนขับรถใจดีเพียงพอจะให้เขาอาศัยไปด้วย และจะบอกเขาทันทีที่ข้ามพรมแดนออกนอกประเทศคานาเดีย แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขากำลังถูกไข้รุมเร้า เขารู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เขารู้ว่าเขากำลังมีไข้ขึ้นสูง ปวดศรีษะมากเหลือเกิน และยังไอไม่หยุด ทุกอย่างรอบตัวดูพล่ามัวและเขาคิดว่าเขากำลังจะหมดสติในไม่ช้า เขารู้สึกว่าอาการของเขาคงไม่ใช่แค่หวัดธรรมดา 

 

คานาเดียในตอนนี้เริ่มอุ่นขึ้นมากแล้วแต่อากาศในตอนเช้าก็ยังหนาวเย็น แม้ไมเคิลจะพยายามจะแต่งตัวให้อบอุ่นแล้ว แต่เนื่องจากเขาที่มีไข้อยู่ก่อนหน้า ในตอนนี้เขายิ่งอาการหนักเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่จากที่คำนวญแล้วเขาคิดว่าอีกไม่นาน เขาก็น่าจะข้ามพรมแดนได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็สามารถหาทางกลับอเมริกาได้ง่ายขึ้น แม้องค์เดเมี่ยนจะเป็นเจ้าชาย แต่เขาก็ไม่คิดว่าพระองค์จะสามารถทำอะไรได้มากนัก เมื่อไมเคิลออกมาจากคานาเดียแล้ว

 

แต่ในระหว่างที่ไมเคิลกำลังต่อสู้กับพิษไข้ และพยายามฝืนมีสติ รถบรรทุกก็หยุดลง ไมเคิลพยายามฝืนลุกขึ้น และมองออกไปภายนอก แต่ประตูของตู้คอนเทนเนอร์ก็ค่อยๆ เปิดออก ไมเคิลดีใจและคิดว่าเขาได้ข้ามพ้นชายแดนแล้ว แต่ความหวังก็ดับวูบลง เมื่อเห็นหน้าคนที่กำลังเปิดประตู

 

หลังจากที่ติดต่อไปยังบริษัทแม่ของรถบรรทุกที่จอดรับมิคาเอล แม้จะเสียเวลาไปไม่ใช่น้อยเนื่องจากบริษัทนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในคานาเดีย รถบรรทุกเพียงขับเข้ามาในคานาเดียเพื่อส่งของ จากนั้นจึงเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป แต่ในที่สุดองค์เดเมี่ยนก็ได้พิกัดของรถบรรทุกคันดังกล่าว โดยปกติแล้วในรถจะมีวิทยุสื่อสารติดตั้งอยู่ ใช้สำหรับสื่อสารกับทางบริษัทแม่ แต่ไม่ว่าจะพยายามติดต่อไปเท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ อันเนื่องมาจากพิกัดของรถบรรทุกคันดังกล่าวอยู่ในหุบเขาทำให้ไม่มีสัญญาณตอบรับ และพิกัดล่าสุดก็อยู่ห่างจากชายแดนไปไม่มากนัก

 

องค์เดเมี่ยนทรงร้อนพระทัย ตัดสินใจสั่งให้เอาเฮลิคอปเตอร์ออก และมุ่งหน้าไปที่เป้าหมายทันทีแม้กระนั้นการเดินทางก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่ทันใจ พระองค์มองที่หน้าจอ เพื่อตรวจดูตำแหน่งของรถบรรทุกคันดังกล่าวเป็นระยะ และก็นับว่ายังโชคดีของพระองค์ที่การจราจรที่จะข้ามชายแดนค่อนข้างติดขัดพอสมควร

 

การจราจรที่ติดขัดอยู่แล้วยิ่งกลายเป็นอัมพาตเมื่อองค์เดเมี่ยนสั่ง ให้เอา            ลงจอดบนถนน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้ามาปิดการจราจรแทบไม่ทัน แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวาย แต่องค์เดเมียนกลับไม่สนใจสิ่งใด สายตาของพระองค์กลับจดจ้องอยู่ที่รถบรรทุกคันสีแดง ที่มีพระสนมของพระองค์อยู่ภายในเท่านั้น ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์แตะพื้น แม้จะยังไม่ทันจอดสนิทดี พระองค์ก็เปิดประตูออก และก้าวเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงของเหล่าองครักษ์ จนเหล่าองครักษ์ต้องรีบตามพระองค์ไป พระองค์เดินตรงมาที่รถบรรทุกคันดังกล่าว

 

องครักษ์ของพระองค์สั่งให้คนขับรถบรรทุกออกมาจากรถ และคนขับก็รู้จักใบหน้าขององค์เดเมียนดี เมื่อออกมาจากรถ เข่าก็ทรุดลงไปกองกับพื้นโดยไม่อาจต้านทาน

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว ทรงเมตตาด้วย” คนขับรีบอ้อนวอน เขาไม่รู้ว่าทำอะไรผิด แต่การที่ถูกทั้งตำรวจ และองครักษ์ รวมทั้งตัวเจ้าชายเดเมียนล้อมรถของเขาไว้แบบนี้ย่อม ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน

“หุบปากของเจ้าซะ ไปเปิดประตูเดี๋ยวนี้” ทรงสั่งเฉียบขาด แต่แม้คนขับอยากจะไปใจจะขาด แต่เขาก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ ไม่ทันใจองค์เดเมียน

“ชักช้า เอากุญแจมา” ทรงสั่งอีกครั้ง คนขับรีบส่งกุญแจให้มือไม้สั่น พระองค์จึงรับมา ก่อนที่พระองค์จะเป็นคนเดินไปเปิดตู้คอนเทนเนอร์ด้วยพระองค์เอง

 

แต่ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก อาหารกระป๋องจำนวนมากก็พาพากันกลิ้งลงมาจากรถบรรทุกจนทำให้ องครักษ์ต้องเข้ามากันให้องค์เดเมี่ยนถอยออกไป ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ องครักษ์กำลังกังวลกับความปลอดภัยขององค์ชาย และบดบังวิสัยทัศน์ของพระองค์ มิคาเอลก็ได้โอกาส กระโดดลงจากรถบรรทุกและวิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้า องค์เดเมียนเห็นคนตัวเล็กกระโดด และพยายามวิ่งหนี จึงผลักองครักษ์ออกให้พ้นทาง ก่อนจะวิ่งตามคนตัวเล็กไป

 

มิคาเอลในตอนนี้ ไม่คิดอะไรอีกแล้ว นอกจากจะพยายามจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของชายแดนเท่านั้น แต่อาการป่วยของเขา ก็ทำให้เขาวิ่งได้ช้ากว่าปกติ บวกกับคนที่วิ่งตามมาก็สูงถึง 197 ซม ขายาวๆ ของพระองค์ก็ก้าวตามเขาเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็พบว่าตัวเองเสียหลัก และกำลังจะล้มลง ในขณะที่เขาหลับตา เกร็งตัว กัดฟันรอรับความเจ็บปวด แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็พบว่า เขานอนอยู่บนร่างขององค์เดเมียน พระองค์กอดเขาเอาไว้และพลิกตัวของพระองค์ กระแทกพื้นแทนเขา

 

“เราจับตัวเจ้าได้แล้ว มิคาเอล” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน และยิ้มให้

 

“ฝ่าบาท...” เสียงของมิคาเอลเบาหวิว และมีสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นหน้าของพระองค์ แต่บางอย่างไม่ถูกต้อง ร่างเล็กหน้าไร้สีเลือด ก่อนจะหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์

 

มิคาเอลได้สติอีกครั้งและพบว่าเขาอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ โดยมีองค์เดเมียนนั่งอยู่ข้างๆ สายตาที่พระองค์มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย พระองค์หยิบหูฟังมาสวมให้ ก่อนจะทรงถาม

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของพระองค์อ่อนโยน และห่วงใยคนตรงหน้าเหลือเกิน

“ผมหนาวครับ” มิคาเอลกล่าว เขาหนาวสั่นแม้จะมีผ้าห่มคลุมอยู่ก็ตาม องค์เดเมียนปลดเข็มขัดนิรภัยออก ทรงถอดเสื้อโค้ทของพระองค์ออกและใช้มันคลุมร่างของคนตัวเล็ก ก่อนจะรั้งร่างของคนตัวเล็กมานั่งตัก และกอดเอาไว้

“เรากำลังพาเจ้าไปโรงพยาบาล อดทนอีกนิดนะคนดี เข้มแข็งไว้” น้ำเสียงของพระองค์อ่อนโยนจน มิคาเอลรู้สึกผิด ความอบอุ่นของคนตัวใหญ่ค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น ก่อนที่มิคาเอลจะหมดสติไปอีกครั้ง

 

องค์เดเมียนเดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งมิคาเอลถูกพาเข้าไป กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วแต่หมอก็ยังไม่ออกมา พระองค์เกลียดโรงพยาบาล เกลียดกลิ่นของโรงพยาบาลและที่สำคัญ ทรงเกลียดบรรยากาศของโรงพยาบาล

 

เมื่อนานมาแล้ว พระองค์ก็เคยมายืนอยู่ที่หน้าห้องแห่งนี้มาก่อน และนั่นยิ่งทำให้พระองค์รู้สึกกังวล พระองค์เฝ้าภาวนาในใจขอให้คนตัวเล็กปลอดภัย ขออย่าให้คนตัวเล็กต้องเป็นอะไรไปเลย

 

มิคาเอลไข้ขึ้นสูงถึง 43 องศาและมีอาการช็อคจนหมดสติ และยังหนาวสั่น พระองค์เป็นห่วงคนตัวเล็กยิ่งนัก ยิ่งเวลาผ่านไป ความกลัวก็ค่อยๆ เกาะกินหัวใจของพระองค์มากขึ้น หากคนตัวเล็กเป็นอะไรไป พระองค์จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

 

หลังจากรออยู่นาน ในที่สุดหมอพอลก็เดินออกมา องค์เดเมียนรีบเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ากังวล และห่วงใยคนป่วยอย่างเห็นได้ชัด จนหมอพอลแปลกใจ

“มิคาเอลเป็นอย่างไรบ้าง เขาปลอดภัยหรือเปล่า หมอพอล” ทรงถามอย่างเป็นห่วง

“ใจเย็นก่อนฝ่าบาท พระสนม มีอาการของปอดอักเสบ เบื้องต้นมีไข้ขึ้นสูง และไอ ที่สำคัญมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง หากมาช้ากว่านี้อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ตอนนี้ พระสนมพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่คงต้องพักผ่อนอีกพักใหญ่” หมอพอลกล่าว องค์เดเมี่ยนดูโล่งอก และทรงกระทำในสิ่งที่หมอพอลไม่เคยเห็นทรงกระทำมาก่อน

“ขอบใจ ขอบใจมาก หมอพอล” ทรงตรัส

“หากพระองค์ต้องการเข้าเยี่ยมกระหม่อมแนะนำให้พระองค์เปลี่ยนชุด เพราะพระสนมยังอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ” หมอพอลกล่าว

“นำทางไปสิ” ทรงตรัส หมอพอลยอมรับว่าไม่เคยเห็นองค์เดเมี่ยนเป็นแบบนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าชายหนุ่มเป็นคนที่เอาแต่ใจและไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่เคยห่วงใยใคร และไม่เคยรักใครมาก่อน อย่างน้อยก็นานมากแล้ว และไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเปลี่ยนแปลงพระองค์ได้มากขนาดนี้

 

องค์เดเมี่ยนรับฟังที่หมอพอลกล่าวทุกอย่างและทรงเข้าไปในห้องพักฟื้นของมิคาเอล ทรงนั่งลงเคียงข้าง และกุมมือของมิคาเอลเอาไว้ ตลอดเวลา พระองค์เอาแต่โทษตัวเองที่ทำให้มิคาเอลตกอยู่ในสภาพนี้ หากพระองค์ไม่ใจร้อนฝืนบังคับให้คนตัวเล็กร่วมรักอย่างโหดร้าย คนตัวเล็กก็คงไม่หนีไป และคงไม่ป่วยหนักแบบนี้

 

พระองค์แทบไม่ได้หลับเลย ตลอดทั้งคืนพระองค์คอยแต่จ้องมองคนตรงหน้าอย่างเป็นห่วง จนกระทั่งในตอนเช้าที่พระองค์เคลิ้มหลับไป มิคาเอลค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็นองค์เดเมียนหลับอยู่ข้างๆ แม้ยามหลับพระองค์ก็ยังกุมมือของเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย

มิคาเอลขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ปลุกองค์เดเมี่ยนให้ตื่นขึ้น

“เจ้ารู้สึกตัวแล้ว” ทรงตรัสอย่างยินดี รั้งมือของคนตัวเล็กมาจูบเบาๆ

“ฝ่าบาท” มิคาเอลเอ่ย เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรทำตัวอย่างไร แต่ก่อนที่มิคาเอลจะได้กล่าวอะไร

“เราขอโทษ” องค์เดเมี่ยนตรัส “เราผิดเองที่ใช้กำลังบังคับเจ้าแบบนั้น” องค์เดเมี่ยนกล่าวออกมาอย่างสำนึกผิด มิคาเอลทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ไม่โกรธผมเหรอครับที่ผม... หนี” มิคาเอลถามอย่างไม่แน่ใจ

“ต่อให้เจ้าหนีเราไปไหน เราก็จะตามเจ้ากลับมา” ทรงตรัสกุมมือของมิคาเอลไว้

“ผม.. อยาก...กลับไปหาน้องชาย” มิคาเอลกล่าวน้ำตาคลอ

“โทนี่สบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ทรงตรัส และวางรูป ที่ถูกถ่ายและบันทึกวันและเวลาเอาไว้ มิคาเอลหยิบรูปขึ้นมาดู ด้วยความตกใจ

“พระองค์ทำอะไร” ไมเคิลถามอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นรูปของน้องชายหน้าคอนโดและหน้าที่ทำงาน และอีกหลายสถานที่ ที่โทนี่ไป

“เราก็แค่ให้คนจับตาดูน้องชายของเจ้า เราบอกกับเจ้าแล้วนี่ว่าเราต้องแน่ใจว่าเจ้าไม่มีภัยต่อราชวงศ์” ทรงตรัส แต่มิคาเอลกลับรู้สึกสิ้นหวัง พระองค์มีหูตาไปทั่ว ถึงขนาดส่งคนไปตามสืบข้อมูลของเขา และของโทนี่ที่อเมริกา

 

ที่ๆ คนตัวเล็กต้องการไปคือ ที่ๆ โทนี่อยู่ แต่การที่พระองค์เอารูปของโทนี่มาให้ดูแบบนี้ ก็เท่ากับบอกกับเขาว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะหนี เพราะตราบที่พระองค์รู้ว่าโทนี่อยู่ที่ไหน พระองค์ย่อมตามหาเขาเจออย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมเข้าใจแล้วครับ หากพระองค์สัญญาว่าโทนี่จะปลอดภัย ผมสัญญาว่าจะไม่หนีอีก” มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ว่าเจ้าเกลียดเรา มิคาเอล เราจะไม่ร้องขอให้เจ้ารักเรา เราจะไม่ห้ามเจ้า หากเจ้าจะรักราฟาเอล เราเพียงต้องการให้เจ้ายังคงอยู่กับเรา ข้อตกลงยังเหมือนเดิม เพียงแต่เราจะขอเวลาเจ้า อาทิตย์ละ 1 วัน ภายใน 1 วัน ให้เราได้รักเจ้า และใน 1 วันนั้น เราอยากจะขอให้เจ้าทำดีกับเราบ้าง ถึงจะเป็นละครฉากหนึ่ง แสร้งว่าเจ้ามีใจให้เราบ้าง เราก็ยินดี และเราสัญญาว่าเราจะพยายามอ่อนโยนต่อเจ้า แค่นี้...เจ้าจะทำให้เราได้ไหม” ทรงตรัสเสียงเศร้า กุมมือของมิคาเอลไว้ มิคาเอลยังนิ่งเฉยไม่ตอบ

“เราจะไม่แตะต้องเจ้าในอีก 6 วันที่เหลือ เราสัญญาว่าเราจะไม่ทำอะไร ที่เจ้าไม่ต้องการ” ทรงตรัส

“ตกลงครับ” มิคาเอลตอบรับ แม้จะยังโกรธ และไม่ไว้ใจ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก องค์เดเมียนจึงจุมพิตที่มือของมิคาเอลเบาๆ จุมพิตที่แสดงถึงสัญญา

“เจ้ายังป่วยอยู่ พักผ่อนซะเถอะ” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน มิคาเอลจึงหลับตาลงอย่างว่าง่าย

 

 

ย่างเข้าในวันที่ 4 มิคาเอลที่เอาแต่นอนพักผ่อนมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาและองค์เดเมียนก็ทรงนั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาไม่ห่าง หลายคนที่รู้จักเจ้าชายหนุ่มล้วนแปลกใจ ที่พระสนมทำให้เจ้าชายเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เจ้าชายเดเมี่ยนผู้โหดร้าย ผู้ไม่เคยห่วงใยใคร และไม่เคยทำดีกับใคร แต่ตอนนี้กลับนั่งกุมมือของพระสนมอยู่ข้างเตียงและคอยดูแลพระสนมเป็นอย่างดี

อาการของมิคาเอลดีขึ้นมาก แม้จะยังอ่อนแออยู่และยังต้องพักผ่อนอีกสักระยะ แต่ในที่สุดคุณหมอก็อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่วังได้

________________________________

ไปไม่รอดอีกล่ะ พอดีว่าป่วยหรอกนะ

หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 31 Business Trip ตอนที่ 1 London
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 05-08-2016 11:09:02
บทที่ 31 Business Trip ตอนที่ 1 London

 

อาทิตย์กว่าแล้วที่มิคาเอลออกจากโรงพยาบาล และแม้เขาจะอ้อนวอนให้พระองค์อนุญาตเขาให้กลับไปช่วยงานอีก แต่พระองค์ก็ยังเอาแต่บอกให้เขาพักผ่อน ตลอดเวลาหลังจากที่มิคาเอลกลับมา องค์เดเมียนก็พยายามทำดีกับมิคาเอลทุกอย่าง พระองค์เสด็จมาหาเขาทุกวัน โดยบางครั้งจะมาทานอาหารค่ำด้วย หรือบางครั้งก็เพียงมาพบหน้าเขาเท่านั้น และวันนี้พระองค์ก็เสด็จมาหาอีกครั้ง

 

“ฝ่าบาท” มิคาเอลทักทาย ใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยินดียินร้ายกับพระองค์

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงถามด้วยความห่วงใย

“ผมหายแล้วครับ แล้วผมก็อยากทำงาน” มิคาเอลบ่นเบาๆ

“แดเรียลรายงานว่าเจ้า พยายามจะทำความสะอาดงั้นเหรอ” ทรงถามยิ้มๆ

“ผมเบื่อนี่ครับ” มิคาเอลตอบ

“เจ้าอยากไปทำงานจริงๆ หรือ” ทรงถาม

“ครับ พระองค์อนุญาตให้ผมไปทำงานด้วยนะครับ” มิคาเอลอ้อนวอนขอ พระองค์เอื้อมมือมาหาคนตรงหน้า และสัมผัสใบหน้าของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา ตลอดเวลาอาทิตย์กว่าที่ผ่านมาพระองค์ทำงานหนักทุกวัน เพื่อชดเชยกับช่วงเวลาที่เสียไป ระหว่างที่มิคาเอลเข้าโรงพยาบาล

“ครับ พระองค์อนุญาตให้ผมไปทำงานด้วยนะครับ” มิคาเอลอ้อนวอนขอ พระองค์เอื้อมมือมาหาคนตรงหน้า และสัมผัสใบหน้าของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา ตลอดเวลาอาทิตย์กว่าที่ผ่านมาพระองค์ทำงานหนักทุกวัน เพื่อชดเชยกับช่วงเวลาที่เสียไป ระหว่างที่มิคาเอลเข้าโรงพยาบาล รวมทั้งพระองค์กำลังทำโปรเจคเพื่อให้เหล่านักลงทุนแห่กันมาเซ็นสัญญา ตามคำสั่งขององค์นาธานเนียล

 

“ถ้าอย่างนั้น เราจะให้แดเรียลจัดกระเป๋าให้เจ้า” ทรงตรัสเบาๆ พร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับแดเรียล

“จัดกระเป๋า ทำไมครับ” มิคาเอลถามอย่างไม่เข้าใจ

“เราจะให้เจ้าเดินทางไปประชุมกับเรา” ทรงตรัส

“พระองค์จะเดินทางไปที่ไหนครับ” มิคาเอลถาม

“เจ้าพูดภาษาอะไรได้บ้าง” ทรงถาม

“ผม... อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน และ เยอรมัน ได้นิดหน่อยครับ” มิคาเอลตอบ

“ดีถ้างั้นเราก็จะไปทัวร์ยุโรปกัน” ทรงตรัส

“เดี๋ยวครับ พระองค์หมายความว่าอย่างไร ทัวร์ยุโรป” มิคาเอลตกใจ

“เราต้องเดินทางไปประชุมในประเทศต่างๆ เพื่อดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในคานาเดีย” ทรงตรัสราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต กลับเป็นมิคาเอลที่ตกใจ ที่จู่ๆ เขาจะต้องตามเสด็จแบบนี้

“พระองค์จะพาผมไปทำไมครับ ผมคงทำอะไรไม่ได้มาก” มิคาเอลพยายามประท้วง

“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก แค่เจ้าพูดได้หลายภาษาก็ช่วยเหลือเราได้มากแล้ว” ทรงตรัส มิคาเอลเห็นว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะต่อต้าน จึงตัดสินใจนิ่งเสีย

“แล้วเราจะไปที่ไหนบ้างครับ”มิคาเอลถาม

“เริ่มแรกก็คงต้องไปที่อังกฤษก่อนในอีก 2 วัน จะมีการจัดประชุมเกี่ยวกับเศรษฐกิจของยุโรปขึ้นที่นั่น และเราเป็นตัวแทนของคานาเดีย จากนั้นเราจะไปรัสเซีย เราต้องไปติดต่อทางธุรกิจกับนักลงทุนที่นั่น หลังจากนั้นก็สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เยอรมันนี อิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศสซึ่งมีการประชุมขึ้นอีกงานที่เราต้องไป” ทรงตอบ มิคาเอลยิ่งหน้าเสีย

“เราจะไปกันนานขนาดไหนครับ” มิคาเอลถาม

“เราคิดว่าน่าจะใช้เวลา 3 – 4 อาทิตย์ล่ะนะ” องค์เดเมียนตอบ

“ผมต้องไปจริงๆ เหรอครับ” มิคาเอลถามเสียงอ่อย องค์เดเมียนนั่งลงและดึงมิคาเอลเข้ามาหา ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาพระองค์เอาแต่ทรงงาน จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่พระองค์ก็ยังหาเวลาและเสด็จมาหามิคาเอลทุกวัน แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังหักห้ามพระองค์และไม่แตะต้องคนตรงหน้า แต่ทั้งๆ ที่พระองค์ต้องการให้คนตัวเล็กดีใจที่พระองค์คิดจะพาเขาไปต่างประเทศด้วย แต่คนตัวเล็กนอกจากจะไม่ดีใจแล้ว แถมยังทำหน้าเหมือนไม่อยากจะไปเสียอีก

 

“เราคิดว่าเจ้าอยากจะออกจากวังเสียอีก ใช่ว่าเราจะเอาแต่ทำงาน เราจะพาเจ้าไปเที่ยวด้วย เจ้าจะยังไม่อยากไปอีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

“ผม… แล้วแต่พระองค์เถอะครับ” มิคาเอลตอบ รู้ว่าเถียงไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา องค์เดเมี่ยนทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย แต่ก็ทรงกอดคนตัวเล็กเอาไว้

“เราอยากให้เจ้ามีความสุข ... เราอยากทำให้เจ้ามีความสุข” ทรงตรัส ก่อนจะจูบที่ต้นคอของคนตัวเล็กเบาๆ จนมิคาเอลขืนตัวออก

“อย่าครับฝ่าบาท” คนตัวเล็กประท้วงเบาๆ

“เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัสอย่างออดอ้อน กอดร่างมิคาเอลเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย

“ให้เราค้างด้วยได้ไหม” ทรงถาม มิคาเอลอยากปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้กล่าวออกมา

“เจ้ายังโกรธเราสินะ” ทรงตรัส

“ผมมีสิทธิ์โกรธพระองค์ด้วยเหรอครับ” มิคาเอลถาม

“เจ้ามีสิทธิ์ แต่เราอยากให้เจ้ายกโทษให้เรา” ทรงตอบ และยังคงกอดมิคาเอลไว้

“ทำไมผมถึงควรจะยกโทษให้พระองค์ด้วย พระองค์ไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาสัญญา และยังใช้กำลังบังคับผม แล้วพระองค์ก็ยังกักขังผมไว้ที่นี่ พระองค์เพียงทำดีกับผมนิดหน่อย แล้วพระองค์คิดว่ามันเพียงพอที่จะให้ผมยกโทษให้พระองค์แล้วเหรอครับ” มิคาเอลถามกลับ กลับเป็นองค์เดเมียนเองที่ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอีก

 

“เราขอโทษ” ทรงตรัส ก่อนจะปล่อยร่างเล็ก

“เจ้า... คงเกลียดเรามากสินะ” ทรงตรัส แต่มิคาเอลก็นิ่งเฉยไม่ตอบ

“ผมอยากพักผ่อนแล้วครับ” มิคาเอลกล่าวขึ้น พยายามไล่คนตัวใหญ่ออกไป

“เราจะมารับเจ้าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” ทรงตรัส ก่อนจะออกมาจากห้องของคนตัวเล็กอย่างไม่เต็มใจนัก

 

พระองค์อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยมีใครขัดใจพระองค์ แต่คนตัวเล็กก็ดูเหมือนจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้พระองค์เจ็บปวดก็ไม่ปาน และทันทีที่พระองค์เดินออกมาจากห้องของมิคาเอล เหล่าสนมต่างพยายามเสนอตัวต่อพระองค์ และพระองค์ก็มิได้ร่วมรักกับใครมาเป็นอาทิตย์แล้ว บวกกับความผิดหวัง พระองค์จึงเรียก โจชัวร์ และฌอนมาปรนนิบัติพระองค์

 

ในตอนเช้ามิคาเอลตื่นขึ้น เขาชอบบรรยากาศของสวนในยามเช้ากลิ่นดอกไม้อ่อนๆ โชยมาตามลม ทำให้รู้สึกสดชื่นมิใช่น้อย อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาชอบบรรยากาศในยามเช้าก็เพราะ โดยปกติเวลานี้ ทุกคนยังคงหลับใหล ไม่มีใครมารบกวนเขานั่นเอง

 

แต่วันนี้ต่างออกไป มิคาเอลได้ยินเสียงประตูห้องบรรทมเปิดออก พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของสนมสองคนที่กำลังเดินออกมา โจชัวร์และฌอน เดินออกมาในสภาพกึ่งเปลือย แม้ไม่คิดอะไร แต่ทั้งๆ ที่เมื่อคืนองค์เดเมี่ยนเพิ่งจะร้องขอต่อมิคาเอล ให้พระองค์ค้างด้วยแท้ๆ แต่พอเขาปฏิเสธ พระองค์ก็ไม่เสียเวลาหาคนมาแทนที่เขาเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังไม่ใช่แค่คนๆ เดียวเสียด้วย

 

คนอย่างองค์เดเมี่ยนต่อให้พูดจาหวานแค่ไหน ต่อให้บอกว่ารักเขาสักกี่หน มิคาเอลก็มิอาจทำใจเชื่อลมปากของพระองค์ได้ หากเขาเผลอมีใจให้พระองค์ เขาก็คงไม่ต่างจากพระสนมเหล่านี้ ที่วันๆ คอยแต่เฝ้ารอให้พระองค์มาหา และเฝ้าภาวนาให้พระองค์เลือกตัวเอง ในขณะที่สนมทำได้เพียงเฝ้ารอพระองค์ องค์เดเมี่ยนกลับมีตัวเลือกมากมาย ทั้งจากกพระสนม ทั้งชาย และ หญิง และเหล่าชาย หญิงทั่วไป ที่พร้อมถวายตัวเมื่อเจ้าชายหนุ่มปรารถนา อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้

 

องค์เดเมียนเดินออกมาจากห้องบรรทม ใบหน้าหล่อเหลามีเคราขึ้นเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอน ทันทีที่พระองค์เห็นมิคาเอล พระองค์ก็เดินเข้ามาหา

“มิคาเอล” ทรงเดินเข้ามากอด แต่มิคาเอลก็ผลักพระองค์ออกไป ไม่ยอมให้พระองค์แตะต้องตัว

“เจ้าจะไปไหน” ทรงตรัสถาม ไม่พอใจนักที่คนตัวเล็กปฏิเสธพระองค์ 

“พระองค์จะมาสนใจผมทำไมครับ ทำไมพระองค์ไม่ไปสนใจ พระสนมของพระองค์เสียล่ะครับ” มิคาเอลตอบก่อนจะเดินหนี องค์เดเมียนแปลกใจที่มิคาเอลโกรธ

“ทำไมเจ้าจะต้องโกรธเราด้วย ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการให้เราอยู่กับเจ้า เราก็ปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพังแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเจ้ายังต้องการอะไรอีก” ทรงตรัสถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผม ไม่ได้โกรธ พระองค์จะทำอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม” มิคาเอลตอบและเดินหนี องค์เดเมี่ยนจึงเดินตาม

“หากเราไม่รู้มาก่อน เราคงคิดว่าเจ้ากำลังหึงหวงเราเสียอีก มิคาเอล เราไม่เข้าใจ” ทรงตรัส หัวใจของพระองค์รู้สึกพองโตขึ้น เมื่อมิคาเอลได้ยินก็หันมาตอบ

“ทำไมผมจะต้องหึงหวงพระองค์ด้วย ผมไม่ได้รักพระองค์สักหน่อย ผมรักองค์ราฟาเอลต่างหาก” มิคาเอลตอบเสียงดัง องค์เดเมี่ยนได้ยินดังนั้นจึงหยุดเดินตาม

“นั่นสินะ” ทรงตรัสด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

“ไปเตรียมตัวซะเถอะ เราจะออกเดินทางในอีก 1 ชั่วโมง” ทรงตรัสเบาๆ ก่อนจะทรงเดินจากไป

 

หลังจากที่เดินทางมาถึงอังกฤษ คณะขององค์เดเมี่ยนก็เข้าพักที่โรงแรมหรูในกรุงลอนดอน โดยองค์เดเมียนได้สั่งจอง Penthouse เอาไว้สำหรับ พระองค์ และมิคาเอล

 

มิคาเอลที่เอาแต่ทำหน้าบึ้ง และไม่ยอมพูดกับพระองค์จนในที่สุดพระองค์ก็ตรัสขึ้น

“เราต้องการให้วันนี้เป็นวันที่เจ้าต้องตามใจเรา” ทรงตรัสขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป

“และเราต้องการให้เจ้า เลิกทำหน้าบึ้งแบบนี้สักที” ทรงตรัส แต่มิคาเอลก็ยังนิ่งเฉยไม่ตอบโต้อะไร

 

“เราจะไปตรวจเช็คเรื่องการประชุมในวันพรุ่งนี้ เมื่อเรากลับมา เราหวังว่าเจ้าเลิกโกรธเราเสียที ตกลงไหม” ทรงถาม มิคาเอลจึงพยักหน้าเบาๆ พระองค์จึงจุมพิตที่หน้าผากของมิคาเอล ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

 

มิคาเอลพยายามจะสงบสติอารมณ์ลง เขารู้ว่าที่ผ่านมาองค์เดเมี่ยนพยายามทำดีกับเขาแล้ว ตลอดเวลาอาทิตย์กว่า พระองค์มิได้ล่วงเกินเขามากไปกว่าการกอดและจุมพิตอันแผ่วเบาเท่านั้น และคงจะไม่ฉลาดนักหากจะขัดใจพระองค์จนทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่าที่คิด ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นสนมขององค์เดเมี่ยนอยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขัดขืน มิคาเอลจึงเดินไปในห้องน้ำ ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก และอาบน้ำ แล้วจึงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมานั่งรอองค์เดเมียน

 

ไม่นานองค์เดเมียนก็เดินกลับเข้ามา พระองค์แปลกใจที่เห็นมิคาเอลนั่งรอพระองค์ในชุดคลุมเท่านั้น แต่พระองค์ก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเล็ก พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ไปสัมผัสใบหน้าของมิคาเอล มิคาเอลจึงเงยหน้าขึ้นมองพระองค์ แก้มเนียนเป็นสีชมพูจัด ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองพระองค์

“เจ้าเห็นเราเป็นคนบ้ากามขนาดนั้นเลยเหรอ” ทรงถามยิ้มๆ เป็นมิคาเอลที่หน้าแดงจัด

“ก็พระองค์ต้องการให้ผมตามใจ…” มิคาเอลถาม

“จริงอยู่ว่าเราต้องการเจ้าแต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องการเจ้าในตอนนี้สักหน่อย เราแค่อยากให้เจ้าเลิกทำหน้าบึ้งเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าต้องการ เราก็คงไม่ขัดหรอกนะ” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ฝ่าบาท! พระองค์แกล้งผม” มิคาเอลประท้วงลุกขึ้นยืน พระองค์จึงรั้งร่างของมิคาเอลเข้าไปกอด มิคาเอลขืนตัวเล็กน้อย

“เจ้าเคยมาลอนดอนหรือเปล่า”ทรงถาม

“เคยครับ 2-3 ครั้ง ผมมาถ่ายรูป” มิคาเอลตอบ

“งั้นก็ดี เราจะให้เจ้าเป็นคนพาเราเที่ยวก็แล้วกัน” ทรงตรัส

“เอ๋...” มิคาเอลแปลกใจ

“เราเคยมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้เที่ยวชม เจ้าเป็นช่างถ่ายรูปน่าจะรู้จักที่เที่ยวที่น่าสนใจไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัส

“ผมก็พอทราบบ้างครับ” มิคาเอลพูด เขารู้สึกคิดถึงกล้องขึ้นมาเมื่อพระองค์พูดถึงอาชีพเก่าของเขา ประตูถูกเปิดออก พร้อมด้วยองครักษ์สามคนเดินขนของเข้ามา

______________________________

พักดราม่า ไปเที่ยวกัน
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 32 Business Trip ปลาในอควาเรียม
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 05-08-2016 23:37:33
บทที่ 32 Business trip ตอนที่ 2 ปลา ใน อควาเรี่ยม

 

องครักษ์ทั้งสามวางของลง ก่อนจะทำความเคารพต่อองค์เดเมียน และเดินออกไป องค์เดเมียนเดินมาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่องครักษ์วางไว้ ก่อนจะส่งมันให้กับมิคาเอล

 

“เราหวังว่าเจ้าจะชอบ” ทรงตรัส มิคาเอลเดินเข้ามารับจากมือขององค์เดเมียน กล้องรุุ่นล่าสุดจากแบรนดดัง และเป็นแบรนดเดียวกับที่เขาเคยมีอีกด้วย มิคาเอลมองกล้องในมือสลับกับคนตรงหน้า อย่างไม่เชื่อสายตา

 

“เจ้าชอบหรือเปล่า” ทรงถาม

“ค… ครับ นี่มันรุ่นล่าสุด ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลเอ่ยขอบคุณ และลองใช้กล้องในมืออย่างตื่นเต้น องค์เดเมียนนั่งลงที่เตียง มองคนตัวเล็กอย่างสนใจ

“เลนส์อยู่ในกระเป๋า” ทรงตรัส และชี้ไปที่กระเป๋าใบใหญ่ มิคาเอลเปิดออก เขาก็พบว่าในนั้นเต็มไปด้วยเลนส์ทุกแบบที่มีออกวางจำหน่าย และยังเป็นเลนส์อย่างดีอีกด้วย

“นี่มัน มากเกินไป ผม…” มิคาเอลแทบจะไม่มีคำพูด ไม่คิดว่าองค์เดเมียนจะใจดีกับเขาขนาดนี้

“เจ้าชอบกล้องมากขนาดนั้นเชียวหรือ มิคาเอล” ทรงถามยิ้มๆ

“ผมขอโทษครับ คือ พ่อของผมเป็นคนสอนให้ผมหัดถ่ายรูปน่ะครับ กล้องตัวแรก พ่อก็เป็นคนซื้อให้ผม” มิคาเอลกล่าว เขาลองใส่เลนส์ลงไปแล้วหันกล้องมาทางองค์เดเมียน ก่อนจะกดชัตเตอร์หลายครั้งแล้ว จึงลองดูรูปที่ถ่าย แต่ก็ถอดเลนส์ออกและเปลี่ยนเลนส์ใหม่ แล้วจึงถ่ายรูปองค์เดเมียนอีกครั้ง

 

องค์เดเมียนมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู มิคาเอลนั่งลงกับพื้น เล่นของเล่นที่พระองค์ซื้อให้อย่างมีความสุข

 

"แต่งตัวสิ เจ้าต้องพาเราไปเที่ยว แล้วก็ไปลองใช้กล้องตัวใหม่ของเจ้าด้วย” ทรงตรัส

“จริงเหรอครับ พระองค์ยอมให้ผมออกไปข้างนอกได้จริงๆ หรือครับ” มิคาเอลหันมาถาม อย่างคาดหวัง

“จริงสิ เราจะโกหกเจ้าทำไม แต่เราจะไปในฐานะสามัญชน เราให้องครักษ์เตรียมเสื้อผ้าเอาไว้แล้ว” องค์เดเมียนตรัส ก่อนจะลุกขึ้น มิคาเอลจึงวางกล้องลงก่อนจะเดินเข้ามาหา

 

คนตัวเล็กเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าองค์เดเมียน ก่อนจะเงยหน้ามององค์เดเมียนช้าๆ ใบหน้าหวานตอนนี้กำลังค่อยๆ กลายเป็นสีชมพู ก่อนจะค่อยๆ โอบรอบคอขององค์เดเมียน และเขย่งขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากขององค์เดเมียนอย่างแผ่วเบา

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้น จนองค์เดเมียนยิ้มออกมา

“เราดีใจที่เจ้าชอบ” พระองค์เอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าหวาน ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากบาง ที่เย้ายวนพระองค์ มิคาเอลมิได้ขัดขืนอย่างที่เคย กลับเผยอปากออกเล็กน้อย และรอรับจุมพิต อย่างเต็มใจ พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นของคนตัวเล็ก และดูดกลืนความหวานอย่างโหยหา จุมพิตดำเนินต่อไปเนิ่นนาน ก่อนพระองค์จะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย มิคาเอลลืมตาขึ้นอย่างฝันๆ แอบอิงอยู่แนบกายองค์เดเมียน เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงเพราะจุมพิตของคนตรงหน้า

 

“หากเจ้าไม่หยุดยั่วยวนเราล่ะก็ เราคิดว่าเราคงจะต้องร่วมรักกับเจ้าแทนการออกไปเที่ยวข้างนอกล่ะนะ” ทรงตรัสหยอกล้อ แต่มิคาเอลก็รู้ว่าพระองค์ต้องทำจริงแน่ๆ

“ผมจะไปแต่งตัวครับ” ร่างเล็กพยายามรวบรวมสติ ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกมาและเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวแทน

 

ชุดที่องค์เดเมียนเตรียมไว้ เป็นแบบสไตล์สบายๆ ไม่เป็นทางการ มิคาเอลสวมเสื้อยืดสีเทาอ่อน ยีนส์สีดำ และเสื้อคลุมสีเทาเข้ม และรองเท้าผ้าใบสีดำ มิคาเอลหยิบหมวกสีน้ำตาลขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เมื่อออกมาเขาก็พบว่าองค์เดเมียนทรงแต่งตัวเสร็จแล้วเช่นกัน พระองค์แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดสีขาวคอวี ที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่โผล่พ้นออกมา ทรงสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินคลาสสิก รองเท้าหนังสีดำ และเสื้อแจ็คเก็คหนังสีดำ ผมสีดำถูกปล่อยลง มิได้มัดรวบไว้อย่างเคย

 

มิคาเอลมองคนตรงหน้าอย่างชื่นชม แม้จะทรงชุดที่ธรรมดาสามัญ แต่พระองค์ก็ยังเด่นสะดุดตา สง่างาม หาที่ติไม่ได้ ร่างกายที่สูงและกำยำ เต็มไปด้วยมัดกล้าม เมื่อพระองค์มายืนอยู่ข้างๆ เขากลับรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงเด็กที่โตไม่เต็มที่เท่านั้น

 

“เจ้าไม่ชอบใจอะไรเหรอ” ทรงตรัสถาม

“เปล่าครับ ... ผมรู้ว่าผมตัวเล็ก แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกจนผมมาเจอพระองค์” มิคาเอลกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก องค์เดเมี่ยนหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอก เราว่าเจ้าขนาดกำลังพอเหมาะให้เรากอดพอดี” ทรงตรัสหยอกล้อ

“ผมไม่ใช่หมอนข้างสักหน่อย” มิคาเอลประท้วง

“ตัวเล็กก็มีประโยชน์ของตัวเล็กนี่..” ทรงตรัส มิคาเอลจึงตั้งใจฟังประโยชน์ของคนตัวเล็ก

“เราจะได้อุ้มเจ้าได้ง่ายๆ” ทรงตรัสต่อให้จบ มิคาเอลก็หน้าแดง

“ผมไม่ได้อยากให้อุ้มสักหน่อย” คนตัวเล็กประท้วง แต่พระองค์ก็อุ้มมิคาเอลขึ้นอยู่ดี

“เราอุ้มเจ้าไม่ดีตรงไหน” ทรงถามล้อๆ

“คนฉวยโอกาส”

“ถึงเจ้าจะตัวเล็ก แต่เจ้าก็พิษสงรอบตัว เจ้าทำให้เราล้มทั้งยืนมาแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร ในสายตาของเรา เจ้าก็สมบูรณ์แบบอยู่ดี” ทรงตรัส และจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ มิคาเอลหน้าแดงจากคำพูดของพระองค์

“ไปกันเถอะ” ทรงยิ้ม และชักชวน

 

มิคาเอลถูกขอร้องกึ่งบังคับให้เป็นคนพาองค์เดเมียนเที่ยว มิคาเอลจึงพาองค์เดเมียนมาที่สถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมากัน โดยมิคาเอลพาพระองค์ไปที่โบสถ์เซ็นต์พอล ซึ่งนับว่าเป็นไฮไลต์ของการมาเที่ยวชมลอนดอน แต่ดูเหมือนองค์เดเมียนก็มิได้ให้ความสนใจกับสถานที่มากนัก มิคาเอลถ่ายรูปเพียงไม่กี่รูป เจ้าชายก็ดูเบื่อหน่าย เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมากมายรายล้อม จนองค์เดเมียนเริ่มหงุดหงิด แต่มิคาเอลก็เห็นว่าพระองค์กำลังพยายามที่จะไม่พูดอะไรออกมา

 

“เราไปกันดีกว่าครับ” มิคาเอลชวน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะมาถึง

“เราคิดว่าเจ้าอยากจะถ่ายรูปเสียอีก” ทรงตรัสถาม

“คุณไม่ชอบ สถานที่ๆ คนเยอะใช่ไหมครับ” มิคาเอลถามขึ้น องค์เดเมียนถอนหายใจ

“ถูก เราไม่ชอบคนพลุกพล่าน ในงานเลี้ยงก็อีกเรื่อง แต่ที่แบบนี้ เราอึดอัด” ทรงสารภาพตามจริง

“ถ้าอย่างนั้นคุณอยากไปไหนครับ” มิคาเอลถามขึ้น

“ขอเป็นที่ๆ เจ้าอยู่ ที่ไหนก็ไม่สำคัญ” ทรงตรัส

“ครับๆ ที่ๆ ผมอยู่” มิคาเอลล้อเลียนองค์เดเมียน มองดูเจ้าชายที่ดูเหมือนจะเมานักท่องเที่ยว ก่อนจะจูงมือ องค์เดเมียนออกมาจากจุดที่คนพลุกพล่าน

 

องค์เดเมียนถือโอกาสจับมือของมิคาเอลเอาไว้ไม่ยอมปล่อยแม้จะเดินออกมาจากจุดที่คนพลุกพล่านแล้วก็ตาม มิคาเอลพาองค์เดเมียนมาเรียกแท็กซี่ และบอกจุดหมายปลายทางกับแท็กซี่ เพียงไม่นาน แท็กซี่ก็พาทั้งสองมาถึงที่หมาย

 

“Sea Life London Aquarium งั้นหรือ น่าสนใจจริงๆ” องค์เดเมียนกล่าว

“ถ้าคุณไม่ชอบ เราไปที่อื่นก็ได้นะครับ” มิคาเอลกล่าว

“ไม่เป็นไร เราอยากเข้าไปชม ที่คานาเดียไม่มี อควาเรี่ยม” ทรงตรัส

“ใช่ไหมครับ” มิคาเอลเห็นด้วยและยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก องค์เดเมียนรู้สึกยินดีที่เห็นคนตัวเล็กยิ้มออกมา พระองค์จึงยิ้มตอบ

 

ทั้งคู่เดินชมสัตว์น้ำที่ว่ายอยู่ภายใน มิคาเอลดูตื่นเต้นไม่น้อย จนองค์เดเมี่ยนอดที่จะยิ้มและมองคนตัวเล็กแทนที่จะมองปลาหายากในตู้กระจก มิคาเอลหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ปลากระเบนราหู ที่กำลังว่ายเข้ามาใกล้ และค่อยๆ ถอยออกมาห่างจากตู้กระจกที่ละนิดเพื่อให้ได้ภาพมุมกว้าง จนกระทั่งถอยมาชนกับองค์เดเมียนที่ยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“เจ้าไม่ระวังตัวแบบนี้เสมอหรือ เวลาที่เจ้าถ่ายรูป” ทรงตรัสถาม พร้อมกับกอดคนตรงหน้าเอาไว้

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าว อยากจะขืนตัวออกแต่องค์เดเมียนก็กอดเขาไว้แน่น

“เดี๋ยวมีคนมาเห็นนะครับ ที่นี่ไม่ใช่คานาเดีย ผู้ชายกอดกัน มันจะดูไม่ดี” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่สนหรอกว่าใครจะมองเราไม่ดี เราก็ไม่เคยเป็นคนดีอยู่แล้วนี่” ทรงตรัส

“พระองค์ไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย พระองค์ก็แค่เอาแต่ใจมากเกินไปก็เท่านั้น” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับพระองค์แบบนี้ โดยปกติ คนทั่วไปมักจะมองว่าพระองค์โหดร้าย เห็นแก่ตัว เป็นดั่งแกะดำของราชวงศ์

“ผมเชื่อว่าโดยเนื้อแท้ พระองค์เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ทำไม พระองค์ถึงได้ชอบให้คนคิดว่าพระองค์เป็นคนไม่ดี” มิคาเอลกล่าว

“ยังไง”

“ก็ทั้งๆ ที่พระองค์ทำสิ่งต่างๆ ให้กับคานาเดียอย่างมากมาย การที่คานาเดียเป็นประเทศหนึ่งที่ร่ำรวยก็มาจากการกระทำของพระองค์ พระองค์ทำหน้าที่ของเจ้าชายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่พระองค์มิได้เอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาปะปน หรือแม้แต่ตอนที่พระองค์จับผมได้ แม้พระองค์จะทรมานผม แต่พระองค์ก็ทำทุกอย่างตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด คานาเดียควรจะภูมิใจที่มีเจ้าชายอย่างพระองค์ แต่พระองค์กลับปิดกั้นตัวเอง พระองค์เอาแต่รับความผิดทั้งหมดมาที่พระองค์เอง และมอบความดีความชอบทั้งหมดให้กับองค์นาธานเนียลแทน” มิคาเอลกล่าวช้าๆ แต่คำพูดของคนตัวเล็กกลับทำให้องค์เดเมียนรู้สึกประหลาดใจ

“ไม่เคยมีใครมองเราอย่างที่เจ้ามองหรอกนะ” ทรงตรัส

“ผมก็บอกอยู่นี่ไงครับว่าพระองค์เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง คนอื่นก็ไม่ได้เปิดตามองดูพระองค์อย่างจริงจัง คนอื่นก็เอาแต่เกรงกลัวเกราะที่พระองค์สร้างขึ้น”

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่เกรงกลัวเราหรอกหรือ” ทรงถาม จับมิคาเอลหันหน้าเข้าหาพระองค์

“พระองค์น่าเกรงขามที่สุดครับ แต่ก็ทรงอ่อนแอ และทรงโดดเดี่ยวที่สุดด้วยเช่นกัน” มิคาเอลตอบ พร้อมกับเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของเจ้าชายอย่างแผ่วเบา

 

หัวใจขององค์เดเมี่ยนกระตุกวูบ นานเท่าไหร่แล้วที่พระองค์ไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสพร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือของคนตัวเล็กที่สัมผัสใบหน้าของพระองค์ พระองค์ซบใบหน้ากับฝ่ามือของคนตัวเล็ก ก่อนจะรั้งมือมาจูบเบาๆ

“ไม่เคยมีใครพูดกับเราแบบนี้มาก่อน จะพูดให้ถูกคือ ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของเรามาก่อน” ทรงตรัสเศร้าๆ

“ก็พระองค์เอาแต่ใจตัวเอง ใครจะอยากอยู่ใกล้ล่ะครับ” มิคาเอลถอนมือกลับ และเดินหนี เข้าไปในอุโมงค์

“แล้วถ้าเราไม่เอาแต่ใจ เจ้าจะยอมอยู่ข้างๆ เราหรือเปล่า” ทรงเดินตามมา

“ผมเป็นสนมของพระองค์ ผมก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ” มิคาเอลตอบ

“หากเราไม่ใช่เจ้าชาย และเจ้าไม่ใช่สนมของเรา หากเราเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่ง เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งที่รักเจ้า เจ้าจะรักเราบ้างไหม” ทรงหยุดยืนและเอ่ยถาม มองไปที่คนตัวเล็กที่นิ่งเงียบไป

“พระองค์ไม่ใช่สามัญชน พระองค์ยังคงเป็นเจ้าชายที่มีอำนาจมากมาย และผมก็ยังเป็นนักโทษของพระองค์ ผมก็ยังคงเป็นเหมือนกับปลาพวกนี้ แม้จะได้รับการดูแลอย่างดี แต่ผมก็ยังมีค่าเพียงให้พระองค์เชยชมไปพร้อมๆ กับปลาตัวอื่นในตู้กระจก ลำพังผมคนเดียวก็ยังไม่มีความหมายมากพอที่จะทำอควาเรี่ยมด้วยซ้ำ วันนี้พระองค์อาจจะทรงโปรดปรานผม แต่สักวันพระองค์ก็คงจะพบปลาตัวใหม่ พบสนมคนใหม่ที่ดีกว่า งามมากกว่า ถึงตอนนั้น ผมก็คงจะหมดความหมายสำหรับพระองค์ แล้วความรักของผมมันจะมีค่าตรงไหนกัน อย่าทรงถามหาในสิ่งที่พระองค์ไม่ต้องการเลยครับ” มิคาเอลกล่าวและเดินต่อไป ทิ้งให้องเดเมี่ยนยืนอยู่ลำพัง

 

มิคาเอลยืนรอองค์เดเมียนอยู่ด้านหน้าทางออก ดวงตาของมิคาเอลแดงเหมือนเพิ่งร้องไห้ พระองค์จึงเดินเข้าไปหา

“มิคาเอล เรา…”

“ผมขอโทษครับ แต่เราอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยครับ พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ผมอยากขึ้น London Eye ครับ” มิคาเอลกล่าวเปลี่ยนเรื่อง และยิ้มให้พระองค์

“ตกลง” พระองค์ตรัส และเอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอล และเดินจูงมือกันไปที่ London Eye มิคาเอลจับมือของพระองค์ไว้อย่างเต็มใจ โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมา ราวกับว่าทั้งสองได้สร้างโลกส่วนตัวเล็กๆ ขึ้นมา

 

เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ทั้งสองขึ้นไปนั่งในชิงช้าสวรรค์ที่ค่อยๆลอยสูงขึ้น ร่างเล็กอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่ ในขณะที่ลำแสงสุดท้ายกำลังจะหายไป ริมฝีปากของคนทั้งสองก็ค่อยๆ โน้มเข้าหากัน ริมฝีปากของทั้งสองแตะกันอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน หอมหวาน ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นจุมพิตที่เต็มไปด้วยความรัก และความปรารถนา

_________________________

หรือมิคาเอลจะใจอ่อน คู่นี้ ทิฐิสูง ปากแข็งกันทั้งคู่ แต่ก็เริ่มหวานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 33 Business Trip คำสารภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 08-08-2016 08:50:06
บทที่ 33 Business trip ตอนที่ 3 คำสารภาพ

 

องค์เดเมี่ยนโทรเรียกองค์รักษ์ให้เอารถมารับ ตลอดเวลาพระองค์ยังคงจับมือของมิคาเอลเอาไว้ไม่ปล่อย มิคาเอลเองก็ไม่ได้ขัดขืน ใบหน้าหวานเป็นสีชมพูระเรื่อ นั่งนิ่งไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

 

องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัว เพื่อขึ้นไปที่ชั้นเพนท์เฮาท์ ลิฟต์กระจกค่อยๆ เลื่อนขึ้น เมื่อองค์เดเมียนไม่คิดจะปล่อยมือ มิคาเอลจึงจูงมือพระองค์มาชมวิวที่กระจกขณะที่ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นไป พระองค์ออบกอดร่างเล็กเอาไว้จากด้านหลังก่อนจะก้มลงจูบที่ต้นคอของคนตัวเล็ก อย่างโหยหา มิคาเอลก็มิได้ขัดขืน ปล่อยให้พระองค์ทิ้งรอยไว้ที่ต้นคอ และแอบอิงพระองค์ไว้

 

“ที่เจ้าว่าง่ายแบบนี้ เพราะข้อตกลงอย่างนั้นหรือเพราะเจ้าคิดรักเราขึ้นมาบ้างกันแน่” ทรงถามขึ้น

“แล้วแต่พระองค์เถอะครับ” มิคาเอลตอบ เขารู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน จุมพิตของเจ้าชาย ทำให้เขามัวเมา พระองค์อุ้มมิคาเอลขึ้นพาเดินออกมาจากลิฟต์ และเดินเข้าไปในห้องนอน

“เราปรารถนาเจ้า” ทรงตรัส ก่อนจะวางร่างเล็กลงยืน และก้มหน้าลงมาจุมพิตก่อนจะค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออก มิคาเอลมิได้ขัดขืน ยินยอมให้พระองค์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมด ก่อนจะให้ร่างเล็กนั่งลงที่เตียง พระองค์นั่งคุกเข่าต่อหน้าร่างเล็ก

“เราจะบูชาเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสเสียงแหบพล่า ก่อนจะก้มลงจูบที่หัวเข่าของมิคาเอลเบาๆ

“ฝ่าบาท” พอพระองค์พูดแบบนั้น มิคาเอลรู้สึกเขินอายขึ้นมา พระองค์เป็นเจ้าชายกลับมานั่งคุกเข่าต่อหน้าเขา พระองค์ค่อยๆแยกเข่าของมิคาเอลออกช้าๆ ก่อนจะรั้งร่างของมิคาเอลเข้ามาหา พระองค์ใช้ลิ้นของพระองค์หยอกล้อกับส่วนปลายยอดของคนตัวเล็ก มิคาเอลก็ครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้น คนตัวใหญ่ก็ยิ่งได้ใจ ใช้ลิ้นเลียจากฐานขึ้นมาที่ปลายยอดช้าๆ มิคาเอลเสียวซ่านจนต้องเอื้อมมือไปจับรั้ง ใบหน้าของพระองค์ไว้ แต่เรี่ยวแรงก็หายไปหมด ไม่มีแรงจะขัดขืนการกระทำของคนตรงหน้า ได้แต่ร้องครางออกมาต่อการกระทำของพระองค์

 

องค์เดเมียนค่อยๆ ครอบครองร่างของมิคาเอลช้าๆ ปลายลิ้นตวัดเลีย หยดน้ำใสๆ ก็ค่อยๆผุดขึ้นมา พระองค์จึงกลืนกินมันลงไป พระองค์ครอบครองร่างของมิคาเอลไว้ในปาก ดูดกลืนอย่างโหยหา ก่อนจะใช้ปลายลิ้นตวัดที่ปลายยอดและพยายามแทรกลิ้นเข้าไป มิคาเอลผวาร้องครางอย่างเสียวซ่าน

“อาาาา ฝ่าบาท อย่าครับ” มิคาเอลพยายามจะผลักพระองค์ออก แต่ดูเหมือนอีกครั้งที่ร่างกายของเขากลับทรยศ องค์เดเมียนใช้มือสัมผัสกับร่างของเขา และใช้ปากและลิ้นครอบครอง เร่งจังหวะ จนในที่สุด มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมา องค์เดเมียนก็กลืนกินมันลงไปทั้งหมด

 

แต่พระองค์ก็มิได้หยุดเพียงเท่านั้น พระองค์ยกขาของมิคาเอลขึ้นก่อนจะทรงปล่อยให้มิคาเอลล้มนอนลง พระองค์จึงแยกขาของมิคาเอลออกและเริ่มปลุกเร้าอีกครั้ง พระองค์สอดนิ้วเข้าไปช้าๆ อย่างทนุถนอม แต่ร่างเล็กก็ยังดูหวาดกลัวไม่น้อย พระองค์จึงลุกขึ้นมาจุมพิตคนตัวเล็ก เพื่อปลอบโยน นิ้วของพระองค์ยังคงขยับเข้าออกช้าๆ ไม่ช้ามิคาเอลก็ครางออกมา พระองค์พึงพอใจ แต่มิคาเอลกลับเขินอาย จนต้องเอามือปิดปาก เพื่อกลั้นเสียงเอาไว้

 

"อย่ากลั้นเสียงสิ เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะทรงเพิ่มนิ้วเข้าไปอีก มิคาเอลก็ส่งเสียงออกมา พระองค์จึงยิ้มให้ พร้อมกับก้มลงจุมพิตอย่างดูดดื่ม

 

พระองค์ช่ำชองมากเกินไป จนคนอ่อนประสบการณ์อย่างมิคาเอลมิอาจจะขัดพระทัยได้เลยสักนิด ยิ่งพระองค์อ่อนโยน มิคาเอลก็ยิ่งถลำลึกเข้าไปสู่ความปรารถนามากยิ่งขึ้น มิคาเอลได้ยินเสียงครางของตัวเอง ก็ยิ่งเขินอาย แต่ความปรารถนาที่พระองค์มอบให้ ทำให้เขาไม่อาจจะขัดขืนได้ จึงทำได้เพียงตอบสนองต่อความต้องการของพระองค์ทุกอย่าง

 

“เจ้ากำลังตื่นตัวอีกแล้ว” ทรงตรัสขึ้น

“เจ้าต้องการเราหรือเปล่า มิคาเอล” ทรงถาม และถอดถอนนิ้วของพระองค์ออก มิคาเอลก็ส่งเสียงประท้วงเบาๆ

“ฝ่าบาท” เสียงที่แหบพล่า ฟังดูราวกับไม่ใช่เสียงของเขา พระองค์ลุกขึ้นก่อนจะค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกช้าๆ มิคาเอลลุกขึ้นมองมาที่พระองค์ แววตาเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา ต้องการให้คนตัวใหญ่ครอบครอง และมิคาเอลก็ทำในสิ่งที่องค์เดเมียนมิได้คาดคิด ร่างเล็กลุกขึ้นจากเตียง และเดินมาหาพระองค์ ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้า มิคาเอลใช้มือเรียวเล็กสัมผัสที่ร่างของพระองค์อย่างแผ่วเบา พระองค์จ้องมองการกระทำของคนตรงหน้า มิคาดคิดว่าคนตัวเล็กจะยอมทำแบบนี้กับพระองค์ แต่ร่างเล็กก็อ้าปากและครอบครองพระองค์ช้าๆ ลิ้นร้อนๆ ค่อยๆ เกี่ยวรัดร่างของพระองค์ แม้คนตรงหน้าจะอ่อนประสบการณ์ แต่พระองค์ก็พึงพอใจ พระองค์เงยหน้า และครางหนักๆ ออกมา ร่างของพระองค์ เต้นตุบๆ ด้วยความปรารถนา ลิ้นของร่างเล็กก็แลบเลีย จนหยดน้ำใสๆ ไหลซึมออกมา จนพระองค์ต้องรั้งร่างเล็กให้ลุกขึ้น ด้วยทรงเกรงกลัวว่าพระองค์จะปลดปล่อยออกมา ก่อนจะได้ร่วมรักกับคนตรงหน้า

 

พระองค์อุ้มมิคาเอลขึ้นและแยกขาของคนตัวเล็กให้โอบรอบพระองค์ไว้ ก่อนค่อยๆ ลดร่างของคนตัวเล็กลงบนร่างของพระองค์ช้าๆ มิคาเอลกรีดร้องออกมา เมื่อร่างของพระองค์ล่วงล้ำเข้าไป แต่มิคาเอลก็กอดพระองค์ไว้แนบแน่น

“เจ็บมากไหม” ทรงตรัสถาม แล้วจึงทรงจุมพิตไปทั่วใบหน้าหวาน อย่างทรงห่วงใย ก่อนจะประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของคนตัวเล็ก อย่างรักใคร่ มิคาเอลจูบตอบพระองค์อย่างเต็มใจ ไม่นานความเจ็บก็หายไป และความเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่ พระองค์จึงเริ่มจับร่างของมิคาเอลขยับช้าๆ ร่างเล็กโอบรอบคอพระองค์ไว้แน่น ร่างของพระองค์ขยับเข้าออกเป็นจังหวะ มิคาเอลครวญครางออกมาอย่างเร่าร้อน จนพระองค์ยิ้มอย่างพึงพอใจ

“เจ้ารู้ไหมว่าเสียงของเจ้าเร้าอารมณ์มากแค่ไหน มิคาเอล” ทรงตรัสหยอกล้อ

“ฝ่าบาท... ได้โปรด... อาาาา...ได้โปรด”

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสก่อนวางมิคาเอลลงหน้ากระจก ทรงถอดถอนร่างออก ก่อนจะจับให้มิคาเอลหันหน้าเข้าหากระจก แล้วพระองค์จึงค่อยๆ สอดใส่เข้าไปอีกครั้ง พระองค์ขยับช้าๆ เป็นจังหวะ ไม่นาน มิคาเอลก็ร้องครวญครางขึ้นอีกครั้ง

“มิคาเอล... ลืมตาดูสิ เราอยากให้เจ้าเห็น มองดูตัวเจ้าในกระจกสิ ว่าเจ้างดงามเพียงใด” ทรงกระซิบที่ข้างหูมิคาเอล มิคาเอลจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูตัวเขาในกระจก

“พระองค์บอกว่า… ผม … ร่านสวาท…” มิคาเอลทวนคำที่ทรงเคยตรัส

“เราต่างหากที่ปรารถนาเจ้ามากมายขนาดนี้” ทรงฝังร่างเข้าไปจนหมด มิคาเอลก็ร้องครางออกมา “เจ้าทำให้ร่างของเราแข็งดุจหินแบบนี้ เจ้าทำให้เราหลงใหลในตัวเจ้าจนเราแทบไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว” ทรงตรัส ถอดถอนร่างออกช้าๆ และสอดใส่เข้าไปอีก ซ้ำๆ จนมิคาเอลร้องครางออกมา

“ฝ่าบาท … ได้โปรด… อย่า…ทรมาน… ผม” ร่างเล็กหอบหายใจ อ้อนวอน

“เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร มีเพียงเจ้าที่ทำให้เราคลั่งแบบนี้” ทรงตรัสก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น

“ฝ่าบาท!! ผม… ผมก็… แค่…โสเภณี… สำหรับ… พระองค์…” มิคาเอลตัดพ้อ

“เจ้าคือเจ้าของหัวใจของเราต่างหาก” ทรงตรัสก่อนจะพามิคาเอลไปสรวงสวรรค์อีกครั้ง

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส ถอดถอนร่างออกและพาร่างเล็กไปที่เตียง

“พระองค์ก็แค่ปรารถนาร่างกายของผมเท่านั้น” มิคาเอลกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน

“เราต้องการทุกอย่างของเจ้า” ทรงตรัสก่อนจะสอดแทรกร่างเข้ามาอีกครั้ง มิคาเอลครางเสียงดังอย่างมิอาจกลั้น โอบกอดพระองค์ไว้แน่น พระองค์ขยับโยกช้าๆ มิคาเอลก็ขยับร่างตามจังหวะของพระองค์ พระองค์พลิกร่างของมิคาเอลขึ้นข้างบน และพระองค์ก็เร่งจังหวะ ก่อนทั้งสองจะปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

ร่างของพระองค์ยังคงฝากฝังภายใน และพระองค์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอดถอนออก มิคาเอลจะขยับตัว พระองค์ก็กอดรั้งเอาไว้

“อยู่เฉยๆ ก่อน เราขอกอดเจ้าอีกสักพัก” ทรงตรัสอ่อนหวาน มิคาเอลจึงไม่มีทางเลือกนอกจาก ซบอยู่กับอกของพระองค์

“ถึงเจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่คิดจะรักเรา แต่เราก็ยังรักเจ้าอยู่ดี แม้เจ้าจะคิดว่าเราจะเบื่อเจ้า แต่เราก็รู้ว่าเราจะไม่มีวันเบื่อเจ้า เราอยากให้เจ้าให้โอกาสเราสักครั้ง” ทรงตรัส

“คำพูดลอยๆ ใครก็พูดได้ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีหัวใจ ผมแค่ไม่อยากเจ็บ แต่ถึงอย่างไรผมก็เป็นสนมของพระองค์อยู่ดี พระองค์ไม่จำเป็นต้องขอโอกาสกับผม เพราะยังไงผมก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี” คนตัวเล็กกล่าว

“ที่เจ้ายังอยู่กับเราก็เพราะน้องของเจ้าไม่ใช่หรือ หากวันหนึ่งเราไม่มีเหตุผลให้เจ้าอยู่ เจ้าก็คงหนีเราไปอีกสินะ” ทรงตรัสอย่างน้อยใจ

“พระองค์แบล็กเมล์ผม แล้วยังมาพูดแบบนี้ได้อีกเหรอครับ” มิคาเอลเริ่มโกรธ

“อย่าเพิ่งโกรธเราสิ”

“ปล่อยได้แล้วครับ ผมอยากอาบน้ำ” มิคาเอลฝืนลุกขึ้นยืน แต่ก็เสียหลักจนองค์เดเมียนต้องเข้ามาประคอง

“เราไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เจ้าออกจะดีกับเราตลอดทั้งวัน แล้วทำไมอยู่ดีๆ เจ้าถึงได้เย็นชากับเราขึ้นมาอีก” ทรงถาม

“ผมก็แค่ทำตามสัญญาที่ตกลงกับพระองค์ไว้ พระองค์คงไม่ได้คิดว่าผมจะรักพระองค์ขึ้นมาจริงๆ ใช่ไหมครับ” มิคาเอลตอบด้วยเสียงเย็นชา

“เรา... เข้าใจแล้ว... เราจะไปนอนอีกห้องก็แล้วกัน เจ้าจะได้ไม่ต้องฝืนทนอยู่กับคนที่เจ้ารังเกียจอย่างเรา” ทรงตรัสออกมาอย่างเจ็บปวด ทั้งๆ ที่เป็นคนๆ นี้ ทำให้พระองค์มีความสุขมากเหลือเกิน แต่คนๆ เดียวกันก็ทำให้พระองค์เจ็บปวดแทบขาดใจ

“ทำไมครับ ทำไมพระองค์ต้องทำเป็นเหมือนว่ารักผมด้วย” มิคาเอลถาม

“เราไม่ได้แกล้งทำ เรารักเจ้า”

“ผมไม่ต้องการความรักของพระองค์ หยุดทำดีกับผมได้แล้ว” มิคาเอลกล่าว น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา

“เจ้าเคยพูดว่า เราบังคับให้เจ้ารักเราไม่ได้ เจ้าก็บังคับให้เราหยุดรักเจ้าไม่ได้เช่นกัน” ทรงตรัสและเดินเข้าไปหาคนตัวเล็ก และทรงคุกเข่าลงต่อหน้าคนตัวเล็ก

“อย่าร้องไห้อีกเลย เราไม่อยากเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เราขอโทษที่เอาแต่ใจ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำกับเจ้ามันเป็นการเห็นแก่ตัว เราจะไม่ฝืนบังคับ ให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการ ขอเพียงเจ้าหยุดร้องไห้ ไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าต้องการ เราจะหามาให้” ทรงตรัสปลอบโยน

“สิ่งที่ผมต้องการ พระองค์ให้ผมไม่ได้ และสิ่งที่พระองค์มอบให้ ผมก็ไม่ต้องการ” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา พระองค์เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกจากแก้ม ก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“ได้โปรดอย่าโกรธ อย่าเกลียดเรานักเลย มิคาเอล แค่นี้เราก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว แม้เจ้าจะอยู่กับเราตรงนี้ แต่เรากลับรู้สึกว่าเจ้ากลับไม่เคยอยู่กับเรา เราถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อรั้งเจ้าเอาไว้ เพราะเราคงทนไม่ได้หากเราต้องสูญเสียเจ้าไปทั้งหมด สงสารเราบ้างเถอะ อย่าใจร้ายกับเรานักเลย” ทรงตรัสอ้อนวอน

“หากผมทำให้พระองค์เจ็บขนาดนั้น แล้วทำไมพระองค์ไม่เลิกรักผมเสียล่ะครับ ผมไม่มีค่าพอให้ใครมารักหรอก” มิคาเอลกล่าว

“หากการหยุดรักใครสักคนมันง่ายขนาดนั้น แล้วทำไมเจ้าถึงไม่หยุดรักราฟาเอล แล้วหันมารักเราบ้างล่ะ” ทรงตรัสอย่างน้อยใจ มิคาเอลจึงนิ่งเงียบไป

“ถ้าผมรักพระองค์ แล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอครับ พระองค์ก็ยังทรงมีพระสนมคนอื่นอยู่ ทุกคนล้วนปรารถนาพระองค์ ทุกคนล้วนรักพระองค์ ผมก็เป็นได้แค่ หนึ่งในสนมของพระองค์ ไม่ได้เป็นคนๆ เดียวที่พระองค์รัก เป็นได้แค่อีกคนหนึ่งที่รักพระองค์ พระองค์โปรดปรานผมในตอนนี้ แต่อีกหน่อยพระองค์ก็คงจะเจอคนที่พระองค์โปรดปรานมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่คิดจะรักพระองค์ ผมไม่อยากเจ็บ เพราะฉะนั้นพระองค์ได้โปรดหยุดทำดีกับผมเถอะนะครับ อย่าให้ผมต้องรักพระองค์เลย อย่าให้ผมต้องทรมานมากไปกว่านี้ อย่าทำร้ายผมมากไปกว่านี้เลยครับ” มิคาเอลสารภาพ

“เราจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ เราจะพิสูจน์ให้เจ้าดู เราจะรักเจ้า และเราจะทำให้เจ้ารักเราให้ได้” องค์เดเมียนตรัส อย่างตัดสินใจ

“ฝ่าบาท!! ผม...” มิคาเอลอยากจะประท้วงแต่พระองค์ก็ประทับริมฝีปากลงมาแทน

“เจ้าอยากอาบน้ำใช่มั้ย เราจะไปเตรียมน้ำให้เจ้า” ทรงตรัสก่อนจะเดินเข้าไปเปิดน้ำใส่อ่างในห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี  แม้คนตัวเล็กจะยังเย็นชาต่อพระองค์แต่อย่างน้อยพระองค์ก็มั่นใจว่า ทุกอย่างที่คนตัวเล็กทำนั้นเป็นเพียงเกราะที่คนตัวเล็กสร้างขึ้นมา และต่อให้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน พระองค์ก็จะทำให้คนๆ นี้หันมามองพระองค์ และรักพระองค์ให้ได้

________________________________

แอบดราม่าแต่ไม่ดราม่านะ รอลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 34 Business Trip ล่องเรือ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 08-08-2016 08:56:49
บทที่ 34 Business Trip ตอนที่ 4 ล่องเรือ

 

หลังจากการประชุมที่ลอนดอนจบลง คณะขององค์เดเมียนก็เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ตามแผนกำหนดการณ์ที่ทำไว้ และตลอดเวลา 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาแทบทุกวันจึงหมดไปกับการประชุม และการพบปะเชิงธุรกิจ องค์เดเมียนทรงพระปรีชาสามารถ พระองค์พูดได้เชี่ยวชาญหลายภาษา ทำให้ตลอดเวลาที่ทรงติดต่อธุรกิจ พระองค์จะเป็นคนคุยด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านล่าม และbusiness trip ในครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีนักลงทุนจำนวนมาก ต้องการมาลงทุนในคานาเดีย และนักธุรกิจหลายต่อหลายคนก็ได้เซ็นสัญญา และหลายคนก็คิดจะมาดูงานก่อน จะเซ็นสัญญา

 

องค์เดเมียนทรงงานหนักมาตลอด 3 อาทิตย์ และทรงคอยโทรรายงานความคืบหน้าแก่องค์นาธานเนียลตลอด และองค์นาธานเนียลก็ทรงพอพระทัยกับผลงานของพระเชษฐาอย่างมากเช่นกัน

ซึ่งในขณะนี้คณะก็ได้เดินทางมาที่ปารีส และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของbusiness trip ในครั้งนี้ ก่อนที่คณะจะเดินทางกลับคานาเดีย

 

การประชุมอันยาวนานจบลง อีกครั้งที่องค์เดเมียนทำการนำเสนอคานาเดียได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าพระองค์จะต้องพูดภาษาฝรั่งเศสแต่พระองค์ก็สามารถพูดได้อย่างสวยงาม และนำเสนอได้อย่างดีเยี่ยม และอีกครั้งที่มีนักลงทุนจำนวนมากสนใจและต้องการเข้ามาลงทุน

 

ตลอดเวลามิคาเอลคอยช่วยเหลืองานอย่างใกล้ชิด แต่แม้จะใกล้ชิด และอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา แต่มิคาเอลกลับเย็นชาและไม่ยอมทำดีกับองค์เดเมียนอีกเลยนับตั้งแต่ในวันที่ไปเที่ยวในลอนดอน

 

“พรุ่งนี้ก็จะกลับวังแล้ว เจ้าจะยังใจร้ายไม่พูดกับเราอีกเหรอ” ทรงถาม

“พระองค์ต้องการอะไรครับ” มิคาเอลถาม

“เราอยากให้เจ้าเลิกโกรธเราสักที”

“ผมไม่ได้โกรธพระองค์”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำดีกับเราบ้าง พูดหวานๆ กับเราบ้างจะเป็นไรไป”

“พรุ่งนี้เราก็กลับวังแล้วนี่ครับ พระองค์อยากได้คำหวาน ก็ทรงกลับไปหาสนมของพระองค์สิครับ”

“สนมของเราก็อยู่ตรงนี้”

“สนมคนนี้ พูดหวานไม่เป็นหรอกครับ”

“มิคาเอล ถึงเราจะบอกว่าเราจะไม่บังคับเจ้า แต่การที่เจ้าเย็นชากับเราแบบนี้เราก็ไม่ชอบใจนักหรอกนะ”

“ถ้าทรงไม่ชอบใจ จะสั่งปลดผมออกจากตำแหน่งผมก็ไม่ว่าหรอกครับ”

“เราปรารถนาเจ้า” ทรงตรัส “3 อาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้ร่วมรัก เจ้าจะทรมานเราไปถึงไหนกัน” มิคาเอลนิ่งเงียบก่อนจะกล่าวขึ้น

“ก็พระองค์ไม่ได้เรียกใช้วันของพระองค์นี่ครับ” มิคาเอลกล่าวหน้าแดง

“เราไม่ได้อยากบังคับเจ้า เราอยากให้เจ้าต้องการเราด้วยตัวของเจ้าเอง แต่เจ้าก็ใจแข็งเกินไป” ทรงตรัสพ้อ และเดินเข้ามาใกล้

“ไหนๆ ก็มาปารีสทั้งที เจ้าจะไปเดทกับเราได้ไหม” ทรงถามยิ้มๆ

“พระองค์ไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ วันนี้ก็เป็นวันเสาร์ ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่คนทั้งนั้น” มิคาเอลกล่าว

“เราเคยอยู่ที่ปารีสมาก่อน ตอนที่เรามาเรียนที่นี่” ทรงตรัส มิคาเอลแปลกใจที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับตัวเอง ทั้งๆ ที่ปกติพระองค์พูดถึงตัวเองน้อยมาก

“เพราะพระองค์เคยอยู่ที่นี่มาก่อนนี่เอง พระองค์ถึงพูดฝรั่งเศสได้คล่องขนาดนั้น” มิคาเอลกล่าว

“เราพูดได้หลายภาษา เพราะเราต้องติดต่อคนมาก เจ้าเองก็พูดได้ไม่น้อย” ทรงตรัสชม ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมามิคาเอลเริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยงานของพระองค์มากขึ้น และมิคาเอลก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

“ตอนที่พระองค์มาเรียนที่นี่พระองค์เรียนเกี่ยวกับอะไรครับ” มิคาเอลถาม

“เรามี ดีกรี PhD ด้านบริหารธุรกิจ และเราก็เรียนภาษาที่หลากหลาย” ทรงตรัสเรียบๆ มิคาเอลกลับเป็นคนที่ตกใจ องค์เดเมียนมีด็อกเตอร์ดีกรี แต่พระองค์กลับไม่เคยอวดอ้างใดๆ

“เราถูกกษัตริย์องค์ก่อนบังคับให้เรียนน่ะ ใช่ว่าเราจะตั้งใจ” ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเล็กน้อย มิคาเอลแปลกใจที่ทรงแทนคำเรียกพระราชบิดาแบบนั้น

“ทำไมพระองค์ไม่เคยกล่าวถึงพระราชบิดาเลยล่ะครับ” มิคาเอลถามขึ้นด้วยความสงสัย แต่องค์เดเมียนกลับไม่พอใจ

“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า! คนๆ นั้นไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง” ทรงตรัสเสียงดัง

“ผม... ขอโทษครับ” มิคาเอลหน้าเสีย กล่าวขอโทษเสียงเบา

“เรา... ขอโทษ... ไปเปลี่ยนชุดเถอะ เย็นแล้ว เราจะพาเจ้าไปเที่ยว” ทรงพยายามระงับความโกรธ และตรัสเปลี่ยนเรื่อง

“ครับฝ่าบาท” มิคาเอลตอบรับ

 

องค์เดเมียนพามิคาเอลขึ้นรถสปอร์ตเปิดประทุนขับมาตามถนนในกรุงปารีสตลอดทาง องค์เดเมียนนิ่งเงียบจน มิคาเอลรู้สึกอึดอัด ใบหน้าของพระองค์เรียบเฉย เย็นชา และดูเหมือนพระองค์จะทรงจมอยู่ในความคิดของพระองค์

 

“จริงๆ แล้วถ้าพระองค์ไม่พอพระทัย เรากลับโรงแรมก็ได้นะครับ” มิคาเอลกล่าวขึ้น ทรงถอนหายใจออกมา

“เราขอโทษ เราไม่ได้มาปารีสนานมากแล้ว พอดีมันทำให้เราคิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา” ทรงตรัสเรียบๆ   

“ครับ ผมถึงบอกไงครับ ว่าเราไม่จำเป็นต้องไปก็ได้”

“เราสั่งคนให้เตรียมทุกอย่างไว้แล้ว” ทรงตรัส

 

พระองค์ขับรถลัดเลาะมาตามถนน ในที่สุดก็ขับมาถึงที่หมาย เรือลำใหญ่ถูกประดับตกแต่งอย่างปราณีตสวยงาม จอดเทียบท่าอยู่ ภายในเรือมีกัปตันยืนรอต้อนรับอยู่ องค์เดเมียนเดินลงมาเปิดประตูให้กับมิคาเอล และทรงจูงมือของมิคาเอลเดินไปที่เรือ

 

"เราจะไปล่องเรือกันเหรอครับ" มิคาเอลถาม

“เราคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ วิวปารีสในเวลากลางคืนก็งดงามมากทีเดียว” ทรงตรัส

“นี่เป็นครั้งแรกของผมในปารีสครับ” มิคาเอลสารภาพ

“งั้นเจ้าก็น่าจะชอบมาเถอะ” ทรงจูงมือของมิคาเอลและเดินขึ้นเรือไป กัปตันเข้ามาทักทายก่อนจะพาองค์เดเมียนและมิคาเอลไปที่โต๊ะอาหาร ที่ถูกจัดเอาไว้ บนดาดฟ้าของเรือ องค์เดเมียนเลื่อนเก้าอี้ให้มิคาเอลก่อนที่จะทรงนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพียงไม่นาน เรือก็ค่อยเคลื่อนตัวออกจากท่า ล่องไปตามแม่น้ำเซน บริกรเปิดแชมเปญ และรินใส่แก้วให้กับองค์เดเมียนและพระสนม อาหารเรียกน้ำย่อยถูกนำมาเสริฟ แต่ดูเหมือนมิคาเอลจะไม่ค่อยสนใจอาหารสักเท่าไหร่ แต่กลับสนใจกับวิวสองข้างทางเสียมากกว่า

“ถ้าอยากจะไปถ่ายรูป เราก็ไม่ว่าหรอก” ทรงตรัส มองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ขอบเรือ และเริ่มถ่ายรูป

ภาพของหอไอเฟลค่อยๆ ปรากฎแก่สายตา พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีส้มทองอร่ามไปทั่ว นับว่าเป็นภาพที่งดงามมากเหลือเกิน องค์เดเมียนเดินตามมายืนด้านหลัง ดื่มแชมเปญและมองคนตัวเล็กอยู่เงียบ มิคาเอลถ่ายรูป ไปเรื่อยๆ และตรวจเช็ครูปเป็นระยะๆ

 

“ให้เราดูบ้างสิ” ทรงตรัส มิคาเอลจึงอวดรูปที่ถ่ายให้พระองค์ดู นอกจากรูปวิวแล้วมิคาเอลยังถ่ายรูปพระองค์เอาไว้หลายต่อหลายภาพ เมื่อทรงเห็น ก็ทรงยิ้ม และมิคาเอลก็หน้าแดง

“ผมก็แค่คิดว่าใบหน้าของพระองค์เป็นเอกลักษณ์ดีน่ะครับ เป็นโครงหน้าที่สมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดายที่พระองค์ไม่ค่อยยิ้ม” มิคาเอลบอก

“งั้นเจ้าก็ยิ่งกว่าเรา เพราะเราแทบไม่เคยเห็นเจ้ายิ้มเลย” ทรงตรัส

“ผมเป็นช่างภาพ ไม่จำเป็นต้องยิ้มนี่ครับ นายแบบต่างหากที่ต้องยิ้ม” มิคาเอลเถียง

“ยิ้มให้เราบ้างก็ได้นี่” ทรงตรัสเอนหน้าเข้ามาใกล้ จนมิคาเอลถอยออกด้วยความตกใจ แต่ก็เสียหลักจนจะล้ม องค์เดเมียนจึงรั้งเข้ามากอดแทน

“เจ้าอยากจะตกลงไปในแม้น้ำหรืออย่างไร” ทรงถาม

“ก็พระองค์...” มิคาเอลกล่าวไม่ทันจบ คนตัวใหญ่ก็ก้มลงมาประทับริมฝีปากกับคนตัวเล็ก

“พระองค์ ฉวยโอกาสอีกแล้ว” มิคาเอลต่อว่า องค์เดเมียนก็หัวเราะออกมา

“ก็เจ้าทำหน้าเหมือนอยากให้เราจูบนี่นา” ทรงตรัส

“ผมเปล่าสักหน่อย”

“ไหนเจ้าบอกว่าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังเราไง” ทรงตรัส

“คนฉวยโอกาสแบบพระองค์ ทำดีด้วยก็ได้ใจ” มิคาเอลหาข้ออ้าง

“ก็เจ้าไม่ยอมให้โอกาสกับเรา เรามีโอกาสก็ต้องรีบฉวยสิ มาเถอะ เชฟรอแล้ว ทานอาหารก่อน รูปค่อยถ่ายตอนขากลับก็ได้นี่” ทรงตรัสพร้อมกับประคองร่างเล็กกลับมานั่งที่โต๊ะ

 

นอกจากบรรยากาศที่โรแมนติกแล้ว องค์เดเมียนยังสั่งให้เชฟชื่อดังมาเป็นคนปรุงอาหารให้อีกด้วย อาหารทุกจานล้วนอร่อยเลิศรส แชมเปญหลายขวดหมดไป มิคาเอลเริ่มมึนเมา พระองค์จึงเห็นคนตัวเล็กยิ้มให้พระองค์มากขึ้น

 

"มองอะไรครับ" มิคาเอลถามองค์เดเมียนที่เอาแต่จ้องมองมาที่เขา

“เจ้างดงามมากเวลาที่เจ้ายิ้ม รู้ไหม” ทรงตรัส

“ผมว่าพระองค์ก็จะหล่อเหลามากกว่านี้ถ้าพระองค์ยิ้มมากขึ้น” มิคาเอลกล่าวลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพระองค์ ก่อนจะนั่งลงบนตักของคนตัวใหญ่และใช้มือจับใบหน้าของพระองค์ และใช้นิ้วจับริมฝีปากของพระองค์ให้ฉีกยิ้มออก แล้วมิคาเอลก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าคิดว่าเราตลกมากนักเหรอ” ทรงถามยิ้มๆ เริ่มจักจี้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักของพระองค์ คนตัวเล็กก็หัวเราะเสียงดัง และอ้อนวอนให้พระองค์หยุด

“ฝ่าบาท… พอแล้ว… ผม ยอมแล้ว… ครับ” มิคาเอลหัวเราะจนเหนื่อย พระองค์จึงหยุด

“เจ้ายอมจริงๆ หรือเปล่า” ทรงถาม แต่มิคาเอลที่กำลังมึนเมา ก็ทำในสิ่งที่พระองค์มิได้คาดคิด คนตัวเล็กโอบรอบคอของพระองค์ ก่อนจะก้มลงจุมพิตพระองค์อย่างอ่อนโยน และโหยหา จุมพิตเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง และเรียกร้องจากคนบนตักของพระองค์ ทำให้พระองค์แปลกใจมิใช่น้อย ร่างเล็กค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ สบตากับพระองค์

“ผม…ขอโทษครับ ผมคงดื่มมากเกินไปแล้ว” มิคาเอลกล่าวขึ้นใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นสีแดง สติค่อยๆ กลับมาและพยายามจะลุกขึ้นหนี แต่พระองค์ก็ไวกว่ารั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอดไว้

“เราว่าเจ้ายังดื่มไม่พอต่างหาก” ทรงตรัสก่อนรั้งร่างเล็กเข้าใกล้ และครอบครองริมฝีปากของร่างเล็กอีกครั้ง

 

ร่างเล็กพยายามขืนตัวออกในตอนแรก แต่เมื่อลิ้นของพระองค์สอดแทรกเข้ามา หยอกล้อ และเรียกร้อง มิคาเอลที่เย็นชาก็ค่อยๆ ละลาย และโอนอ่อนต่อคนตรงหน้า พระองค์จูบเรียกร้องจากคนตรงหน้า ลิ้นร้อนของพระองค์สอดแทรกเข้ามาสัมผัสแผ่วเบากับริมฝีปากบาง ก่อนพระองค์จะครอบครองริมฝีปากล่างของคนตัวเล็ก ทรงดูดกลืน และขบกัดเบาๆ จนคนตัวเล็กต้องครางออกมา พระองค์ค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานจากภายใน ลิ้นของพระองค์ค่อยๆ เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของคนตรงหน้า ให้สอดลิ้นเข้ามาในปากของพระองค์ คนตัวเล็กยังอ่อนประสบการณ์แต่ก็ยินยอมพร้อมใจ ทำตามที่พระองค์ชี้นำ ลิ้นเล็กๆ สอดเข้าหาพระองค์ ช้าๆ อย่างไม่แน่ใจในตอนแรก แต่ด้วยการชี้นำของคนมากประสบการณ์ มิคาเอลก็ค่อยๆ ใช้ลิ้นได้ดีขึ้น เรียกร้อง หยอกเย้า และยั่วยวน จนพระองค์แทบทนไม่ได้

 

หากไม่ติดว่าคนตัวเล็กยังไม่เปิดกว้างในเรื่องบนเตียง พระองค์ก็คงจะครอบครองคนตัวเล็กเสียตรงนี้ แต่ร่างเล็กของพระองค์ยังไม่พร้อม พระองค์จึงอดกลั้นถอดถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะส่งสายตาบอกบริกร เพียงไม่นาน เรือก็กลับลำ และเร่งความเร็วเพื่อกลับไปเทียบท่าอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 35 ปกป้อง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 10-08-2016 00:43:26
 

 

บทที่ 35 ปกป้อง

 

องค์เดเมี่ยนสั่งให้กัปตันเอาเรือเทียบที่ท่าเรือใกล้หอไอเฟลแทน และทรงสั่งให้องครักษ์นำรถมารับ เพราะดูแล้วคนตัวเล็กยังอยากเที่ยวชมปารีสในยามค่ำคืนต่อ และเนื่องจากเป็นวันสุดท้ายพระองค์จึงไม่อยากขัดใจ

มิคาเอล อีกทั้งมิคาเอลที่กำลังมึนเมานิดๆ กลับว่าง่าย และร่าเริงอย่างไม่น่าเชื่อ จนพระองค์พร้อมจะทำทุกอย่างให้คนตัวเล็กคนนี้

 

พระองค์พามิคาเอลเดินชมเมืองไปทั่ว ตลอดเวลามิคาเอลจับมือของพระองค์ไว้ ยิ้มและหัวเราะร่าเริงอย่างที่พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน จนพระองค์เอาแต่เหม่อมองคนตรงหน้า มิได้สนใจสิ่งใดรอบตัวนัก มิคาเอลที่กำลังมึนเมามิได้หวงตัวต่อพระองค์ ตรงกันข้าม คนตัวเล็กกลับขโมยจูบพระองค์หลายต่อหลายครั้ง แล้วก็หัวเราะชอบใจ แต่พอพระองค์จะจูบคืนคนตัวเล็กก็วิ่งหนีไม่ยอมให้พระองค์จูบ

 

พระองค์วิ่งตามร่างเล็กที่หัวเราะร่าเริงมาในมุมเงียบๆ ในสวนสาธารณะ พระองค์รั้งร่างบางเข้ามากอดก่อนจะประทานจุมพิตให้คนตัวเล็ก มิคาเอลไม่ได้ขัดขืน และยังยินยอมพร้อมใจจูบตอบพระองค์ แต่เสียงที่ไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้น

 

“วิปริต! ผู้ชายจูบกัน กูจะอ้วก” เสียงของผู้ชายในวัย ประมาณ 20 ต้นๆ ดังขึ้นอยู่ด้านหน้า ข้างๆ ยังมีชายอายุไล่เลี่ยกันอีก 2 คน ทั้งสามคนมีท่อนเหล็กในมือ

“ดูไอ้คนตัวเล็กสิ หน้ามันหวานยังกะผู้หญิง วิปริตผิดเพศจริงๆ”

“ไอ้พวกผิดเพศ แบบนี้อยู่ไปก็รกโลกไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้ตุ๊ด! คนอย่างพวกแกมันอุบาท” เสียงของผู้ชายดังขึ้นมาอีกจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็มีชายอีกสามคน กำลังเดินล้อมเข้ามา ทุกคนล้วนมีอาวุธในมือ

 

มิคาเอลหน้าเสีย ไม่ใช่เพราะสถานะการณ์ แต่คำพูดที่ได้ยินกลับทำให้คนตัวเล็กรู้สึกรังเกียจตัวเอง แต่องค์เดเมี่ยนก็กระชับคนตัวเล็กเข้ามาใกล้

“พวกแกต้องการอะไร” ทรงตรัสถาม

“คนวิปริตอย่างแก ดูมีเงินนี่ เอามาแบ่งกันใช้หน่อยเป็นไร” ชายคนแรกกล่าวขึ้น

“ถ้าอยากได้ก็ลองเข้ามาดู มิคาเอลอย่าอยู่ห่างเรา” ทรงตรัส แต่ดูเหมือนมิคาเอล จะไม่ค่อยมีสตินัก คำพูดเหยียดหยามยังก้องอยู่

“ทำเป็นปากดี ไอ้พวกผิดเพศอย่างพวกแกน่ะ ไม่ควรออกมาเสนอหน้าให้รกหูรกตา”

 

องค์เดเมี่ยนยืนกั้นให้มิคาเอลยืนอยู่เบื้องหลังและค่อยๆถอยออกข้างๆ หากมีเพียงพระองค์ลำพัง พระองค์จะไม่กังวลกับพวกข้างถนนนี้เลย แต่พระองค์ต้องการให้คนตัวเล็กปลอดภัย และไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น รวมทั้งพวกสวะพวกนี้ยังมีอาวุธ พระองค์ต้องปกป้องคนตัวเล็กให้ดีที่สุด

 

“ส่งของมีค่ามาซะดีๆ อย่ามาทำเป็นเก่งเลย 2 ต่อ 6 ยังไงแกก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนไอ้หน้าหวานนั่นก็ตัวถ่วงชัดๆ” ชายอีกคนกล่าวขึ้น

องค์เดเมี่ยนก้าวมาข้างหน้าและตั้งท่ารับสถานะการณ์ ชายคนแรกก็พุ่งเข้ามาและฟาดท่อนเหล็กใส่ พระองค์เบี่ยงตัวหลบและพลิกตัว และถีบเข้าที่เข่าของชายเคราะห์ร้ายอย่างแรง ชายคนนั้นก็ล้มฟาดพื้นไป

 

พระองค์หยิบท่อนเหล็กขึ้นมา และฟาดลงไปที่หน้าของคนร้ายจนสลบไป คนร้ายอีก 5 คนที่เหลือเห็นก็รีบเข้ามาหมายจะรุมพระองค์แต่ก็ดูเหมือนจะขัดแข้งขัดขากันเองมากกว่า พระองค์จึงฉวยโอกาสจัดการคนร้ายไปได้อีกสองคน แต่พอเห็นเพื่อนโดนจัดการไปต่อหน้า คนร้ายจึงผลัดกันเข้ามากันคนด้าน

 

มิคาเอลที่ยืนอยู่ด้านหลังองค์เดเมี่ยนก็มองดูด้วยความเป็นห่วง แต่อย่างน้อยองค์เดเมี่ยนก็มีทักษะการป้องกันตัวที่สูงและยังไม่เพี้ยงพร้ำแม้จะเป็น 6 ต่อ1 ก็ตาม เท่าที่เห็น เหมือนกับพระองค์เป็นฝ่ายจัดการคนร้ายอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่พระองค์ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

 

คนร้ายทางด้านซ้ายฟาดท่อนเหล็กเข้าใส่พระองค์ พระองค์ก็หลบออก จนคนร้ายพลาดการโจมตี พระองค์ถีบคนร้ายเข้าใส่คนร้ายอีกคนหนึ่งจนเสียหลัก ก่อนที่พระองค์จะตามเข้าไปซ้ำ จนคนร้ายทั้งสองไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

 

พระองค์เงยหน้าขึ้นมองคนร้ายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาช้าๆ  คนร้ายพยายามจะฟาดท่อนเหล็กใส่พระองค์ พระองค์ก็หลบและใช้เท้าเตะใส่มือคนร้าย จนท่อนเหล็กหลุดมือออกไป คนร้ายตกใจที่กลายเป็นถูกต้อนจนมุมเสียเอง เมื่อเข้าตาจน คนร้ายจึงหยิบมีดพกที่เป็นมีดผีเสื้อออกมาควง แต่แทนที่คนร้ายเข้ามาโจมตีพระองค์ คนร้ายที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากมิคาเอลนัก จึงหันปลายมีดและกระโจนเข้าใส่มิคาเอลแทน

 

เพียงเสี้ยววินาที มิคาเอลตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป คนร้ายกระโจนเข้ามาหา โดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัว หยดเลือดสีแดงหยดลงพื้น แต่มิคาเอลไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด องค์เดเมี่ยนเอาตัวของพระองค์เข้ามาขวางไว้ เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากที่ท้องของพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็จับศรีษะของคนร้ายกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงจนคนร้ายสลบไป แต่พระองค์ก็ทรุดลงไปกับพื้นเช่นกัน

 

มิคาเอลที่ได้สติก็รีบเข้าไปประคองพระองค์ไว้

“ฝ่าบาท!!!” มิคาเอลร้องเรียกหาอย่างตกใจ

“เราไม่เป็นไร อย่าร้องไห้สิ” ทรงตรัส แม้พระองค์กำลังเจ็บ แต่พระองค์กลับเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้กับมิคาเอลแทน

“ฝ่าบาท!!! ผมขอโทษครับ เป็นเพราะผม พระองค์ถึงเจ็บแบบนี้ ผมขอโทษ” มิคาเอลร้องไห้ปานจะขาดใจ

“แผลแค่นี้ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ทรงตรัส

 

แต่เลือดก็ไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด คนร้ายบิดมีดหลังจากที่แทงพระองค์ ทำให้แผลเปิดใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น เลือดไหลออกมาอย่างน่ากลัว มิคาเอลหยิบโทรศัพท์ของพระองค์ออกมาและรีบโทรหา911 และองครักษ์ เพียงไม่นาน ทั้งองครักษ์ รถพยาบาลและตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ องค์เดเมี่ยนถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน พระองค์เสียเลือดมากจนทรงหมดสติไป

 

มิคาเอลยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขาเดินไปเดินมาหลายรอบแล้ว ภาพเมื่อตอนที่พ่อและแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุย้อนกลับมา ความกลัวร้อยแปดเข้าครอบงำ มิคาเอลกังวลเหลือเกินเฝ้าสวดอ้อนวอนขอให้องค์เดเมี่ยนปลอดภัย ที่ผ่านมามิคาเอลต้องคอยปกป้องตัวเองมาตลอด ไม่เคยเลยในชีวิตที่จะมีใครยอมเสี่ยงชีวิตมาปกป้องเขาแบบนี้ ยิ่งคิดมิคาเอลก็ยิ่งรู้สึกผิดหากเขาไม่เอาแต่เหม่อลอย และไม่ระวังตัว องค์เดเมี่ยนก็คงจะไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้

 

คำพูดร้ายๆ ที่พวกคนร้ายพูดดูถูกนั้น มิคาเอลอยู่กับมันมาตลอด ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้มิคาเอลจะรู้ว่าเขาเป็นเกย์ แต่เขาที่ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวคาทอลิกย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่เขาเป็น มันน่ารังเกียจมากแค่ไหน แม้เขาจะรู้ และพยายามจะเปลี่ยนตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ทำไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น และเพราะบาปของเขา พลอยทำให้องค์เดเมี่ยนต้องมาเจ็บแบบนี้

 

แม้มิคาเอลจะไม่อยากยอมรับ แต่หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนคอยดูแล และอ่อนโยนกับเขามากเหลือเกิน แม้เขาจะไม่ได้ต้องการจะรักใคร โดยเฉพาะเจ้าชายที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้เสเพล แม้ปากจะบอกว่าจะไม่มีวันรักพระองค์ แต่หัวใจของเขากลับกำลังทรยศ แม้จะหาเหตุผลมากมายมาอ้าง แต่ดูเหมือนหัวใจที่เย็นชาของเขา กำลังละลายเพราะความอ่อนโยนของพระองค์ ยิ่งพระองค์ใช้ตัวของพระองค์มารับมีดแทนเขา มิคาเอลก็ยิ่งมีความรู้สึกให้กับพระองค์มากยิ่งขึ้น เสื้อของมิคาเอลเปื้อนคราบเลือดขององค์เดเมี่ยนเต็มไปหมด ยิ่งคิดคนตัวเล็กก็ยิ่งเป็นห่วงพระองค์ อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม

 

องครักษ์คนหนึ่งขององค์เดเมี่ยนเฝ้ามองมิคาเอลอยู่ห่างๆ ด้วยคำสั่งขององค์เดเมี่ยนให้ดูแลพระสนมให้ดียิ่งกว่าชีวิตอันด้อยค่าของเขา ทำให้เหล่าองครักษ์ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

 

องครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาหามิคาเอลก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับมิคาเอล

“พระสนมไม่ต้องห่วงหรอกครับ องค์เดเมี่ยนจะต้องทรงปลอดภัย” องครักษ์กล่าวอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณครับ คุณแมททิว” มิคาเอลกล่าว รับผ้าเช็ดหน้ามา พอดีองครักษ์อีกคนเดินกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษใบหนึ่ง ก่อนจะส่งให้แก่แมททิว แมททิวรับมาและส่งต่อให้กับมิคาเอล

“พระสนมไปล้างตัวและเปลื่ยนเสื้อก่อนเถอะครับ” แมททิวกล่าวพร้อมยื่นถุงให้ ภายในมีเสื้อและกางเกงตัวใหม่ให้มิคาเอลไปเปลี่ยน

“แต่...” มิคาเอลพยายามจะประท้วง

“ถ้าหมอออกมาแล้วผมจะรีบไปเรียกครับ อีกอย่างเสื้อของพระสนมมีแต่เลือด องค์เดเมี่ยนคงไม่ชอบใจหากเห็นพระสนมอยู่ในสภาพนี้” แมททิวกล่าว

“ก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” มิคาเอลรับถุงใส่เสื้อผ้ามา และเดินเข้าห้องน้ำไป โดยมีองค์รักษ์เดินตามไปเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วยคนหนึ่ง

 

เพียงไม่นานมิคาเอลก็กลับมาอีกครั้งแต่หมอก็ยังไม่ออกมา จนในที่สุด หลังจาก 3 ชั่วโมงอันยาวนาน หมอก็เดินออกมา

“ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างครับ” มิคาเอลรีบเข้าไปสอบถาม

“คนไข้อาการทรงตัวแล้ว บาดแผลค่อนข้างลึกและฉีกกว้างทางแพทย์ได้ทำการปิดปากแผลแล้ว ในระหว่างนี้ต้องระวังการติดเชื้อ และคิดว่าคงจะต้องพักอีกระยะหนึ่ง” คุณหมอกล่าว

“ผมเข้าเยี่ยมได้ไหมครับ” มิคาเอลถาม

“ตอนนี้คนไข้ยังไม่รู้สึกตัวและยังอยู่ในห้องพักฟื้นหมอยังไม่อนุญาต คงต้องรอจนกว่าคนไข้จะอาการดีขึ้นก่อน” คุณหมอกล่าว และเดินจากไป ปล่อยให้มิคาเอลทำหน้าเศร้า และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าห่วงใยองค์เดเมี่ยนมาก

 

แมททิวคุยโทรศัพท์ติดต่อกลับไปที่คานาเดีย

ไม่นานก็เดินกลับมาแจ้งมิคาเอล

“พระสนมครับตอนนี้องค์นาธานเนียลทรงทราบเรื่องแล้ว และทรงกำลังสั่งให้จัดเครื่องบินพิเศษ และทีมแพทย์มารับ เราจะพาองค์เดเมี่ยนกลับ

คานาเดียในอีก 2 ชั่วโมงครับ” แมททิวรายงาน “ขอบคุณครับ คุณแมททิว” มิคาเอลพยักหน้ารับรู้ กล่าวขอบคุณ

“พระสนมไม่ต้องห่วงนะครับ องค์เดเมี่ยนทรงปลอดภัยแล้ว” แมททิวพยายามปลอบ

“ผมทราบครับ แต่ผมอยากอยู่ข้างๆ พระองค์ ที่พระองค์ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะผม” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้า

“ทันทีที่หมอพอลมา เราจะพาพระองค์กลับครับ อดทนอีกนิดนะครับ” แมททิวกล่าว

 

เมื่อหมอพอลเดินทางมาถึง ก็ขออนุญาตรับตัวคนไข้ไปดูแล และโดยองค์นาธานเนียลได้ประสานงานกับรัฐบาลของฝรั่งเศสให้อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายองค์เดเมี่ยนไปที่สนามบิน ก่อนจะพาองค์เดเมี่ยนขึ้นเครื่อง ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของทีมแพทย์และพยาบาล

 

แมททิวแบ่งทีมองครักษ์เป็นสองทีม ทีมหนึ่งตามเสด็จกลับไปกับองค์เดเมี่ยน และอีกทีมคอยจัดการเคลียร์ปัญหาต่างๆ ที่ปารีส และจะเดินทางตามกลับไปทีหลังพร้อมกับทีม เลขาขององค์เดเมี่ยน

 

มิคาเอลยืนยันจะอยู่ข้างๆ องค์เดเมี่ยนโดยไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างตำหนิของหมอพอล มิคาเอลนั่งอยู่ตรงมุมๆ หนึ่ง สายตาห่วงใยจับจ้องมาที่องค์เดเมี่ยนตลอดเวลา

 

"กระหม่อมรู้จักองค์เดเมี่ยนมาตั้งแต่ยังเด็ก และกระหม่อมก็รู้ว่าคนอย่างพระองค์ไม่มีทางที่จะเสียท่าให้กับนักเลงข้างถนนแน่ๆ”

หมอพอลกล่าวขึ้น

“ผม… ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองครับ ที่พระองค์ต้องทรงเจ็บอย่างนี้ล้วนเป็นความผิดของผมเอง” มิคาเอลกล่าว

“พระสนมไม่จำเป็นต้องบอกกระหม่อมหรอกขอรับ พระสนมเตรียมอธิบายให้องค์นาธานเนียลทรงทราบจะดีกว่า เพราะพระองค์กำลังทรงกริ้วมากทีเดียว” หมอพอลกล่าวเรียบๆ

“ผมยอมรับผิดทั้งหมดครับ” มิคาเอลกล่าวเศร้าๆ

 

“กระหม่อมไม่รู้หรอกว่าพระสนมต้องการอะไร แต่กระหม่อมอยากให้พระสนมรู้ว่าองค์เดเมี่ยนทรงมีความสำคัญต่อคานาเดียมาก ต่อให้ชีวิตของคุณ 10 ชีวิต ก็ไม่เทียบเท่ากับพระโลหิตเพียงหนึ่งหยดของพระองค์” หมอพอลกล่าวอย่างเย็นชา

“ผมทราบดีครับว่าชีวิตอันไร้ค่าของผมไม่อาจจะเทียบกับพระองค์ได้ ผมไม่ได้เรียกร้องที่จะอยู่ในฐานะนี้ และผมก็ทราบดีว่าคุณหมอไม่ชอบผม ผมขอโทษที่ผมเป็นสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เจ้าชายของคุณหมอต้องทรงอยู่ในสภาพนี้ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็อยากจะเป็นคนที่รับมีดนั้นเสียเอง หากชีวิตอันไร้ค่าของผมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมก็ยอมตายครับ”

มิคาเอลกล่าวก่อนน้ำตาจะไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น

 

 

“ผมขอตัวนะครับ” มิคาเอลลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 36 ทะเลาะวิวาท
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 12-08-2016 07:28:16
บทที่ 36 ทะเลาะวิวาท

วิลลาขององค์เดเมี่ยนกำลังวุ่นวาย ห้องพักห้องหนึ่งถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องพักฟื้นขององค์เดเมี่ยน องค์เดเมี่ยนยังคงหลับใหลไม่ได้สติ โดยมีมิคาเอลนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ยอมห่าง ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ และคอยดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิด มิคาเอลแทบไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน เขานั่งมองคนตัวใหญ่ที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอย่างเป็นกังวล

ในตอนสายองค์นาธานเนียลก็เสด็จมาที่วิลล่า
“ฝ่าบาทนาธานเนียล” มิคาเอลทำความเคารพกษัตริย์แห่งคานาเดีย ผู้ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเดินทางมาคานาเดียตั้งแต่ต้น
“เจ้าคงเป็นมิคาเอลสินะ” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงไม่ทรงพอใจนัก คนๆ นี้ก่อปัญหามากมาย เป็นสาเหตุที่ทำให้องค์เดเมียน และ ราฟาเอลต้องทะเลาะกัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์เดเมี่ยนต้องจัดทริปพิเศษนี้ขึ้นโดยเฉพาะเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา เพราะพระองค์ขู่องค์เดเมี่ยนว่าพระองค์จะลงโทษมิคาเอล หากทำงานไม่สำเร็จ แล้วในตอนนี้ คนๆ นี้ยังเป็นสาเหตุทำให้เสด็จพี่ของพระองค์ต้องนอนเจ็บอยู่ตรงหน้า
“ขอรับ ผม มิคาเอล มิลลส์ ครับ”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสด็จพี่ของเราจึงตกอยู่ในสภาพนี้” ทรงตรัสถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ และกริ้วโกรธ
“ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองครับ หากพระองค์จะลงโทษ ก็ลงโทษผมเถิดครับ ได้โปรดอย่าลงโทษเหล่าองครักษ์เลยครับ” มิคาเอลกล่าวขอความเมตตาจากพระองค์
“เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่เกิดเรื่ององครักษ์ไปไหน” ทรงถามเสียงดุ
“องค์เดเมี่ยนพาผมไปทานอาหาร และเที่ยวชมเมืองครับ พระองค์ไม่ให้องครักษ์ไปเพราะพระองค์ต้องการให้ผมรู้สึกเหมือนก่อนที่ผมจะเป็นสนม คนร้ายมากัน 6 คน และเพราะพระองค์ปกป้องผม พระองค์จึงถูกทำร้าย ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองครับ ผมทำให้องค์เดเมี่ยนต้องอยู่ในสภาพนี้” มิคาเอลกล่าว
“เจ้าอาจจะเป็นคนโปรดของเสด็จพี่ของเรา แต่การที่เจ้าทำให้พระองค์ต้องเสี่ยง จนบาดเจ็บแบบนี้ เราไม่ชอบใจนัก ก่อนหน้านี้ เจ้าก็ก่อเรื่อง ทำให้เสด็จพี่เดเมี่ยนต้องลำบากหลายต่อหลายครั้ง เราถามเจ้า ในฐานะที่เจ้าเป็นสนมของพระองค์ เจ้าทำไปเพื่ออะไร เจ้าควรจะทำให้พระองค์มีความสุข แต่สิ่งที่เจ้าทำดีแต่ก่อปัญหา” ทรงตำหนิ
“ผมผิดไปแล้วครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง” มิคาเอลตอบ

“มันไม่ใช่ความผิดของมิคาเอล เราประมาทเองต่างหาก” องเดเมียนที่ทรงรู้สึกตัว กล่าวขึ้น ก่อนจะทรงลืมตาขึ้นช้าๆ
“เสด็จพี่ เป็นอย่างไรบ้าง” องค์นาธานเนียลเดินเข้ามาหา
“เราไม่เป็นไร อย่าไปโทษมิคาเอลเลย เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เราเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเอง และเราก็เป็นคนที่ประมาทเอง” ทรงตรัส
“พระองค์เจ็บขนาดนี้ แล้วยังทรงเข้าข้างมิคาเอลอีกเหรอครับ” องค์นาธานเนียลไม่พอใจ
“เราเป็นคนสั่ง ไม่ให้องครักษ์ตาม หากจะโทษก็ต้องโทษที่เราไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัส
“ถ้าพระองค์ยืนยันแบบนั้น ผมก็จะไม่ขัดใจพระองค์ พระองค์ต้องพักผ่อนให้มาก” องค์นาธานเนียลทรงตรัส
“พี่มีมิคาเอลดูแลอยู่ อีก 2 วันก็หาย” องค์เดเมี่ยนตรัสยิ้มๆ องค์นาธานเนียลทรงนั่งลงและคุยอยู่กับพระเชษฐาพักใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอลา” ทรงตรัสและเดินออกไป

มิคาเอลนั่งมององค์เดเมียนอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาที่เป็นห่วง น้ำตาคลอ
“เราไม่เป็นไร มานี่สิ” ทรงตรัสเรียก ยกมือหา มิคาเอลจึงเดินเข้ามาหาจับพระหัตถ์เอาไว้ ก่อนจะซบใบหน้ากับพระหัตถ์ของพระองค์น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจจะกลั้น
“เราไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน
“พระองค์ไม่ควรเอาตัวมาปกป้องผม ชีวิตของผมเทียบกับชีวิตของพระองค์ไม่ได้ คนที่เจ็บควรเป็นผม” มิคาเอลร้องไห้ออกมา
“เรายินดี เรายอมเจ็บเพื่อเจ้า มากกว่านี้เราก็ยอม” ทรงตรัส ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน
“แค่นี้ก็มากเกินไปแล้วครับ ผมคงทนเห็นพระองค์เจ็บมากกว่านี้ไม่ไหว” มิคาเอลกล่าว
“เรารักเจ้า มิคาเอล เราสัญญากับเจ้าว่าเราจะดูแลเจ้านี่นา”
“ฝ่าบาท... ผม...ก็...ร...” มิคาเอลยังกล่าวไม่จบประตูก็เปิดออก และเป็นสนมคนโปรดทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่เดินเข้ามา

“ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์เหลือเกิน” พระสนมโอลิเวียเบียดตัวเข้ามาแทรกระหว่างองค์เดเมียนและมิคาเอล จนมิคาเอลต้องถอยออกมา ริชชี่เองที่ปกตินิ่งเฉย แต่ในวันนี้กลับเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงก่อนจะนั่งลงและกุมพระหัตถ์ไว้

มิคาเอลเห็นภาพตรงหน้าก็ต้องเมินหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด กลืนคำพูดลงคอก่อนจะเดินถอยออกมา คิดดีใจทีไม่ได้พูดออกไป คนอย่างองค์เดเมี่ยนไม่ต้องการความรักจากคนอย่างเขา พระองค์มีสนมมากมายรายล้อม เขาเองก็เป็นเพียงหนึ่งในของเล่นของพระองค์ ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่านั้น ความรักที่เขามีให้ต่อพระองค์ก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะเขาไม่ใช่คนๆ เดียวที่พระองค์รัก ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่พระองค์โปรดปราน เขาเป็นเพียงแค่สนมคนหนึ่งที่รักพระองค์ เท่านั้น

มิคาเอลเดินกลับห้องไปด้วยใจที่ปวดร้าว หากเป็นไปได้ เขาอยากเป็นคนที่รับมีดแทน อย่างน้อย ในยามที่พระองค์เบื่อหน่ายต่อการร่วมรักกับสนมคนอื่น พระองค์ก็จะยังคงหันมาสนใจเขาบ้าง แต่ในตอนนี้ พระองค์คงไม่แม้แต่จะคิดถึงเขา ในเมื่อพระองค์ มีสนมขนาบข้างซ้ายขวาแบบนั้น แล้วเขาจะมีประโยชน์อะไร เพียงแค่คิดน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลริน เจ็บปวด และทรมาน และบอกกับตัวเอง ให้ตัดใจเสีย

หลังจากกลับมาแคนาเดียได้ 3 วัน มิคาเอลก็เอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมไปไหน และไม่ยอมไปหาองค์เดเมี่ยน แต่ในขณะที่มิคาเอลกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก และมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น มิคาเอลไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยกับใคร และแม้เขาจะไม่ได้ต้องการมีปัญหากับใคร แต่ดูเหมือนปัญหาก็ยิ่งเข้ามาหาไม่หยุด

ลูคัสกับแอนดี้เดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของมิคาเอล โดยไม่ได้รับเชิญ และเริ่มระรานหาเรื่อง
“เจ้ากล้าดียังไงถึงทำให้องค์เดเมียนบาดเจ็บแบบนี้” แอนดี้กล่าวขึ้นก่อน
“พระองค์อุตส่าห์เอาเจ้าไปด้วย แต่แทนที่เจ้าสำนึก แต่เจ้ากลับทำให้พระองค์บาดเจ็บแบบนี้” ลูคัสกล่าว
“หากผมมีความผิด องค์เดเมียนจะเป็นคนที่ลงโทษผมเอง พวกคุณไม่มีสิทธิ ออกไปซะ” มิคาเอลกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องถือมือของพระองค์หรอก คนอย่างเจ้าที่ไม่มีสำนึก เราจะเป็นคนจัดการเอง แอนดี้จับมันเอาไว้” ลูคัสสั่ง แอนดี้ก็ตรงเข้ามาจับมิคาเอลและล็อกตัวเอาไว้
“ในเมื่อเจ้าทำให้พระองค์เจ็บ เราก็จะทำให้เจ้าเจ็บบ้าง เจ้าจะได้สำนึก” ลูคัสกล่าวหยิบมีดออกมา
“เราอยากจะรู้นักว่าหากใบหน้าหวานๆ ของเจ้าเสียโฉมขึ้นมา องค์เดเมียนจะยังชายตามองเจ้าอีกไหม” ลูคัสถือมีดเดินเข้ามาใกล้ มิคาเอลพยายามจะไม่สู้ เพราะแค่นี้เขาก็สร้างปัญหาขึ้นมากมายให้กับองค์เดเมี่ยนแล้ว เขาไม่อยากทำอะไรผิดอีก แต่การจะให้ยืนเฉยๆ ให้คนเอามีดมากรีดก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาไม่ได้หาเรื่องใครก่อน และการป้องกันตัวก็คงไม่ผิดนัก

ลูคัสเดินเข้ามาใกล้ กำลังจะเอามีดจ่อที่ใบหน้าของมิคาเอล มิคาเอลจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ เขากระทืบเท้าไปที่เท้าของแอนดี้ แอนดี้จึงเผลอปล่อยมือจากมิคาเอล จากนั้นมิคาเอลก็ศอกเข้าที่ท้องของแอนดี้จนตัวงอ ก่อนมิคาเอลจะหันหน้ามาหา และต่อยเข้าที่หน้าของแอนดี้อย่างแรง และปิดท้ายด้วยการเตะเข้าที่เป้าของแอนดี้ จนคนตัวใหญ่กว่าลงไปกองกับพื้นอย่างสิ้นสภาพ

ลูคัสมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าตัวเล็กกว่าแอนดี้ แต่กลับจัดการแอนดี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยความกลัวลูคัสจึงยื่นมีดขู่มิคาเอล
“อย่าเข้ามานะ” ลูคัสกล่าวขึ้น
“นี่มันห้องของผมนะ คุณนั่นแหล่ะออกไปได้แล้ว” มิคาเอลกล่าวไล่ และเดินไปข้างหน้าเพื่อจะไล่คนตรงหน้าออกไป แต่แล้วลูคัสที่หวาดกลัวก็ทำในสิ่งที่มิคาเอลไม่ได้คาด มีดในมือของลูคัสตวัดใส่มิคาเอล แม้เขาจะหลบแล้วแต่มือข้างซ้ายของมิคาเอลก็ถูกกรีดเป็นแผลยาว เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลออกมา
ลูคัสเห็นดังนั้นก็ยิ่งสะใจ
“สมน้ำหน้า” ลูคัสกล่าว แต่เมื่อมิคาเอลยังคงเดินเข้ามาหา ลูคัสก็ชะงัก
“ออกไป” มิคาเอลกล่าวไล่ ลูคัสจึงรีบวิ่งออกไป แอนดี้จึงฝืนลุกขึ้นและตามออกไปด้วย แดเรียลที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รีบเข้ามาหามิคาเอล
“พระสนมมิคาเอล ดิฉันจะรีบโทรตามหมอพอลนะคะ” แดเรียลกล่าวขณะที่เอาผ้าพันที่แผลไว้เพื่อห้ามเลือด มิคาเอลดูไม่ค่อยสนใจที่แผลนักแต่กลับกล่าวขอร้องแดเรียลแทน
“ผมขอร้องได้ไหมครับ อย่าบอกฝ่าบาท ได้โปรดอย่าบอกพระองค์นะครับ”
“แต่พระสนมโดนทำร้ายแบบนี้ หมอพอลเห็นก็คงจะทูลบอกพระองค์อยู่ดี” แดเรียลกล่าว
“ผมจะคุยกับหมอพอลเอง นะครับ” มิคาเอลกล่าวขอร้อง
“ตกลงค่ะ”

หลังจากแดเรียลโทรไปไม่นาน หมอพอลก็มา พอดีที่หมอพอลมาดูองค์เดเมียน จึงได้รีบมาดูอาการของมิคาเอลด้วย รอยกรีดที่แขนไม่ลึกมากแต่ก็จำเป็นต้องเย็บถึง 10 เข็ม หลังจากเย็บแผลเสร็จ หมอพอลก็เงยหน้ามองมิคาเอลที่นั่งนิ่งไม่ร้องโอดครวญเหมือนสนมคนอื่น แม้กระนั้นสีหน้ากลับกังวล
“เกิดอะไรขึ้นครับ” หมอพอลถาม
“ผมบังเอิญทำมีดบาดตัวเองครับ ผมขอความกรุณา ได้โปรดอย่าบอกกับองค์เดเมียนเลยนะครับ” มิคาเอลกล่าว
“พระสนมคิดจริงๆ เหรอครับว่ากระหม่อมจะเชื่อ หากพระสนมกล่าวความจริง กระหม่อมจะช่วยปกปิดให้” หมอพอลเสนอ มิคาเอลดูลังเลแต่ก็พูดออกมา
“พอดีมีสนมคนอื่นเข้ามาหาเรื่องผม แต่บาดแผลนี้เป็นอุบัติเหตุครับ” มิคาเอลกล่าว
“พระสนมมิคาเอลไม่ได้เริ่มก่อนนะคะ พระสนมแค่ป้องกันตัวเท่านั้นค่ะ” แดเรียลกล่าว
“ใครเป็นคนที่ทำขอรับ” หมอพอลถาม แต่มิคาเอลกลับนิ่งเฉย เป็นแดเรียลที่ต้องการจะพูด
“พระสนม อ..”
“แดเรียล พอได้แล้ว ไปทำงานต่อได้แล้วครับ” มิคาเอลขัดขึ้น
“ใครทำไม่สำคัญหรอกครับแต่ผมไม่อยากให้องค์เดเมี่ยนทราบจะได้ไหมครับ” มิคาเอลหันมาขอร้องหมอพอลอีกครั้ง
“กระหม่อมจะไม่พูดก็แล้วกัน แต่กระหม่อมก็ไม่คิดว่า พระสนมจะปิดเรื่องแบบนี้ได้ ยังไงแผลมันก็ฟ้องอยู่ดี” หมอพอลกล่าว
“ขอบคุณครับ... เอ่อ...อาการขององค์เดเมี่ยนเป็นอย่างไรบ้างครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้
“ถ้าพระสนมเป็นห่วงแล้วทำไมไม่ไปเยี่ยมล่ะขอรับ” หมอพอลกล่าว
“ผม... ไปหรือไม่ก็คงไม่แตกต่าง ไม่ใช่เหรอครับ ยังไงพระองค์ก็มีพระสนมคอยดูแลอยู่แล้ว ผมที่เป็นต้นเหตุให้พระองค์ต้องเจ็บแบบนั้น พระสนมคนอื่นคงไม่พอใจนัก” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้าๆ
“องค์เดเมี่ยนทรงดีขึ้นมากแล้วขอรับ และก็จริงอย่างที่พระสนมว่านั่นแหล่ะ พระองค์มีพระสนมล้อมหน้าล้อมหลังคอยดูแลพระองค์อยู่แล้ว” หมอพอลกล่าว มิคาเอลแม้จะรู้อยู่แล้วแต่ก็อดทำหน้าเศร้าไม่ได้
“หากพระองค์อาการดีขึ้น ก็ดีแล้วล่ะครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงเศร้า
“กระหม่อมไม่เข้าใจ ถึงกระหม่อมจะไม่ชอบใจนักกับสิ่งที่พระสนมทำ แต่กระหม่อมก็ดูออกว่า พระสนมเองก็เป็นห่วงพระองค์ แล้วทำไม”
“ผมไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าสนมคนหนึ่งของพระองค์นี่ครับ ถึงอย่างไรพระองค์ก็ทรงมีสนมที่ทรงโปรดปรานหลายคน สำหรับพระองค์ ผมก็เป็นเสมือนของเล่นใหม่ชิ้นหนึ่ง ที่จะทรงโปรดปรานในตอนนี้ แต่สักวันพระองค์ก็คงเบื่อหน่ายผม ถึงตอนนั้น ผมก็คงไม่ต่างจากสนมคนอื่นๆ ผมอาจจะไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างน้อยผมก็มีหัวใจ และผมคงทนไม่ได้หากคนที่ผมรัก กลับไปรักคนอื่น ผมยอมตัดใจในตอนนี้จะดีเสียกว่า เพราะผมรู้ฐานะของผมดี”

“แต่พระองค์ก็ทรงโปรดพระสนมมากกว่าใครที่กระหม่อมเคยพบ” หมอพอลกล่าวเรียบๆ
“คุณหมอไม่จำเป็นต้องเรียกผมแบบนั้นหรอกครับ ผมก็เป็นเพียงแค่สามัญชนคนหนึ่งไม่ได้มีเกียรติอะไรให้ใครมายกย่อง และผมเชื่อว่าคนที่มากรักอย่างเจ้าชาย ยังไงพระองค์ก็คงไม่มีทางที่จะโปรดผมไปมากกว่าพระสนมทั้งหลายที่พระองค์มีหรอกครับ ผมไม่ต้องการเข้าไปแย่งพระองค์กับพระสนมคนอื่น ผมยอมตัดใจเสียยังดีกว่า”
“นั่นก็เป็นสิทธิของคุณ แต่คนอย่างองค์เดเมี่ยน ลองอยากได้อะไร พระองค์ก็คงไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ หรอกนะครับ”
“ผมทราบครับ ผมไม่ได้คิดจะหนี ผมแค่ไม่ต้องการรักพระองค์ก็เท่านั้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ผมจะพยายามไม่ทำให้พระองค์ต้องเดือดร้อนอีก” มิคาเอลกล่าว
“คุณก็เลยไม่อยากให้พระองค์รู้เรื่องของแขนของคุณสินะ” หมอพอลกล่าว
“ครับ ขอบคุณครับคุณหมอที่เข้าใจผม” มิคาเอลกล่าว
“กระหม่อมเห็นองค์เดเมียนมาตั้งแต่พระองค์ยังเล็กแม้พระองค์จะดูแข็งกร้าว แต่ภายในของพระองค์นั้นอ่อนโยน แต่นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นพระองค์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย จนกระทั่งเมื่อคุณเข้ามา พระองค์ก็ดูจะค่อยๆ เปลี่ยนไป กระหม่อมไม่เคยเห็นพระองค์ทำแบบนี้มานานมากแล้ว กระหม่อมคิดว่าพระองค์ทรงรักคุณ แต่คุณที่เอาแต่ก่อเรื่องไม่หยุด กระหม่อมยอมรับว่ากระหม่อมไม่ถูกใจในตัวคุณนัก เพราะกระหม่อมเกรงว่าคุณจะทำให้องค์เดเมียนต้องเจ็บปวดอีก แต่ดูเหมือนกระหม่อมจะมองคุณผิดไป กระหม่อมขออภัยที่เคยพูดจาไม่ดีกับคุณไวั” หมอพอลกล่าว
“ผมเข้าใจครับ และผมก็ไม่ได้โกรธคุณหมอ อย่างที่บอก ผมรู้ฐานะของตัวเองดี ผมรู้ว่าพระองค์ทรงเมตตาผม และดีกับผม เพียงแต่ผมไม่เคยคิดจะแย่งคนรักของคนอื่น และจะให้ผมออดอ้อนอย่างพระสนมคนอื่นผมก็ทำไม่เป็น แต่ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายพระองค์ ผมไม่อยากเห็นพระองค์เจ็บปวดเช่นกัน” มิคาเอลกล่าว
“กระหม่อมเข้าใจ”
“คุณหมอครับ เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์หรือครับ” มิคาเอลถาม
“กระหม่อมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดได้ หากเมื่อพระองค์พร้อม พระองค์ก็คงจะเล่าให้พระสนมฟังเอง” หมอพอลตอบ
“ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่เป็นไรครับ และผมคิดว่าผมคงไม่มีค่ามากพอจะให้พระองค์มาสนใจหรอกครับ ขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ” มิคาเอลส่งยิ้มเศร้าๆ ให้กับหมอพอล
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 37 คำพิพากษา
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 12-08-2016 07:33:14


 

บทที่ 37 คำพิพากษา

 

อาทิตย์หนึ่งแล้วที่องค์เดเมี่ยนกลับมายังคานาเดีย บาดแผลที่ท้องเริ่มดีขึ้นมากแล้ว นอกจากองค์นาธานเนียลที่แวะเวียนมาเยี่ยมพระองค์แทบทุกวัน เหล่าสนมทั้งชายและหญิงต่างออดอ้อนขอมาเฝ้าพระองค์ จนพระองค์ต้องสั่งให้ผลัดกันเข้าเฝ้า เพราะทุกคนต่างก็พยายามจะมาหาพระองค์ ทุกคนยกเว้นสนมเพียงคนเดียวที่พระองค์ไม่เห็นหน้าเลยตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่พระองค์ต้องเจ็บอยู่อย่างนี้ก็เพื่อปกป้องคนตัวเล็กแท้ๆ พระองค์แอบหวังว่าคนตัวเล็กจะใจอ่อน และจะทำดีกับพระองค์บ้างแต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา มิคาเอลก็พิสูจน์ให้พระองค์ได้เห็นถึงความใจแข็ง

มิคาเอลเป็นสนมเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ย่างกายเข้ามาในห้องของ

พระองค์เลย

 

พระองค์รู้สึกน้อยใจนักที่คนตัวเล็กหมางเมิน และเย็นชากับพระองค์ถึงเพียงนี้ จนในที่สุดความอดทนของพระองค์ก็มาถึงจุดสิ้นสุด พระองค์จึงทรงสั่งให้มิคาเอลเข้าเฝ้า

 

มิคาเอลแต่งกายมิดชิด กางเกงผ้าสีดำพอดีตัว และเสื้อเชิ้ตสไตล์คานาเดียสีฟ้าอ่อน ก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้องพักฟื้นขององค์เดเมี่ยนที่ขณะนี้เต็มไปด้วยพระสนม ทั้งหญิงและชายรวมกันถึง 5 คน ทุกคนต่างพยายามเอาอกเอาใจองค์เดเมี่ยน บางคนก็กำลังปอกผลไม้ป้อนพระองค์ บางคนก็เล่นดนตรีขับกล่อม บางคนก็บีบนวดเอาใจ ต่างพยายามทำให้องค์เดเมี่ยนสนพระทัย แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี

 

ทันทีที่มิคาเอลก้าวเข้ามาในห้อง ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่คนตัวเล็กเป็นสายตาเดียวกัน องค์เดเมี่ยนทรงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยทั้งสองฝั่งของเตียงมีพระสนมนั่งอยู่แล้ว มิคาเอลมองดูด้วยสายตาที่เจ็บปวดแต่ก็ระงับอารมณ์เอาไว้เดินมาหยุดที่ข้างเตียงฝั่งหนึ่ง เว้นระยะห่างไว้

 

"ฝ่าบาทเรียกหาผมหรือครับ” มิคาเอลกล่าวขึ้นไม่ยอมมองสบตาคนตรงหน้า

“นั่นเป็นสิ่งที่เราควรจะถามเจ้า เราจะต้องเรียกหาเจ้าด้วยหรือ ทั้งๆ ที่เราเจ็บอยู่แบบนี้เพราะปกป้องเจ้า” ทรงตรัสอย่างไม่พอใจ

“ในเมื่อพระองค์มีพระสนมหลายคนดูแลอยู่แล้ว พระองค์จะยังต้องการผมอีกทำไมครับ” มิคาเอลถาม ใบหน้าเรียบเฉย แต่หัวใจของเขากำลังเจ็บปวด

“ตราบเท่าที่เจ้ายังเป็นสนมของเรา อย่างน้อยเจ้าก็ควรแสดงความห่วงใยต่อเราบ้าง” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“หรือเพราะเราไม่ใช่ราฟาเอล เจ้าจึงไม่สนใจ” ทรงตรัสขึ้น มิคาเอลเงยหน้ามองพระองค์ คำพูดของพระองค์บางครั้งก็โหดร้ายเหลือเกิน

“หากเป็นองค์ราฟาเอล ที่พระองค์อยู่เพียงลำพัง ผมก็ไม่รังเกียจที่จะดูแลพระองค์” มิคาเอลตอบประชดเย็นชากลับไป

 

เหล่าสนมต่างตกใจที่ได้ยินคำพูดของมิคาเอล ทั้งๆ ที่เป็นสนมขององค์เดเมี่ยน แต่กลับพูดถึงชายอื่นต่อหน้าพระองค์ นอกจากไม่เหมาะสมแล้ว ยังสมควรถูกลงโทษอีกด้วย

 

องค์เดเมี่ยนเจ็บปวดกับคำพูดของคนตัวเล็ก และโกรธคนตรงหน้าเหลือเกิน

 

“ออกไปให้หมดทุกคน!!!”

ทรงสั่งเสียงกร้าว พระสนมทุกคนจึงจำใจลุกขึ้นและเดินออกไปช้าๆ มิคาเอลเองก็กำลังจะเดินออกไป แต่เสียงทรงอำนาจกลับสั่งให้หยุด

“ยกเว้นเจ้า มิคาเอล มานี่” ทรงสั่งเสียงดัง มิคาเอลไม่มีทางเลือกจึงเดินเข้าไปหาพระองค์

“เจ้าคิดจะหยามเกียรติของเราไปถึงเมื่อไหร่กัน” ทรงถาม มิคาเอลไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้านิ่ง

“เราถามเจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร” ทรงถามย้ำพร้อมกับคว้าแขนข้างซ้ายของมิคาเอลไว้และกระชากเข้าหา แต่มิคาเอลกลับร้องออกมาเสียงดังอย่างเจ็บปวด ทั้งๆ ที่พระองค์มิได้บีบแขนของคนตัวเล็กแรงขนาดนั้น แต่แล้วเลือดก็ไหลซึมออกมาจากแขนของมิคาเอล องค์เดเมี่ยนจึงเป็นฝ่ายที่ตกใจเสียเอง

 

“ฝ่าบาทครับได้โปรดปล่อย ผมเจ็บครับ” มิคาเอลอ้อนวอน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไม”

พระองค์ตกใจที่เห็นเลือดซึมออกมา พระองค์รั้งมิคาเอลเข้าใกล้ก่อนจะฉีกแขนเสื้อของมิคาเอลออก เมื่อไร้สิ่งปกปิด บาดแผลถูกของมีคมกรีดก็ปรากฎขึ้นมา

 

“ใครทำเจ้า... ......เราถามว่าใคร!!!” ทรงถามเสียงดังย้ำ

“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ พระองค์อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ ผมขอร้อง” มิคาเอลกล่าว

 

แต่องค์เดเมี่ยนกลับรั้งมิคาเอลไว้ ก่อนจะทรงลุกขึ้น และเดินไปที่วิลล่าเล็ก เป็นมิคาเอลที่ตกใจ รีบเดินตามพระองค์ไป ด้วยความเป็นห่วง เพราะพระองค์ลุกขึ้นทั้งๆ ที่ยังทรงเจ็บอยู่

 

“ฝ่าบาท พระองค์ยังเจ็บอยู่ ได้โปรดเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”

มิคาเอลร้องขอ แต่พระองค์ก็ไม่หยุด พระองค์ยังคงเดินเข้าไปในวิลล่าเล็กด้วยความโกรธ เมื่อทรงเห็นแดเรียลที่เดินออกมาจากห้องของมิคาเอล พระองค์ก็หยุด

 

“แดเรียล!!! ใครเป็นคนทำร้ายสนมของเรา”

ทรงตรัสถามด้วยสีหน้าโกรธจัด

“ฝ่าบาทไม่มีใครทำร้ายผมทั้งนั้น ผมผิดเองครับ มันเป็นอุบัติเหตุ”

มิคาเอลตอบ พยายามยืนขวางระหว่างพระองค์กับแดเรียล

“หากเจ้าไม่บอกเรา เราจะลงโทษแดเรียลแทน” ทรงขู่

“แดเรียลไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ได้โปรดเถอะครับ” มิคาเอลร้องขอ

 

“พระสนมมิคาเอลทำร้ายแอนดี้ก่อนครับแผลนั่น มาจากการป้องกันตัว” ลูคัสที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นเหตุการณ์จึงรีบกล่าวขึ้น พยายามจะปัดความผิดใส่คนอื่น

“ไม่จริงค่ะ พระสนมลูคัส และ พระสนมแอนดี้ เข้ามาหาเรื่องพระสนม

มิคาเอลก่อน พระสนมทั้งสองพยายามรุมพระสนมมิคาเอล พอพระสนมสู้กลับพระสนมลูคัสก็กลัว แต่พอพระสนมมิคาเอลจะปล่อยให้พระสนมทั้งสองไป พระสนมลูคัสก็ตวัดมีดมากรีดพระสนมมิคาเอลเพคะ”แดเรียลเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด โดยไม่สนใจสายตาที่ไม่หวังดีของพระสนมลูคัส แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังทรงไม่พอใจ

 

“เกิดเรื่องขึ้นทำไมไม่มีใครบอกเรา” ทรงถามเสียงเย็น

“ฝ่าบาทครับ ผมผิดเองครับ ผมเป็นคนห้ามแดเรียลบอกพระองค์เอง หากจะลงโทษ ก็ทรงลงโทษผมเถอะครับ” มิคาเอลคุกเข่าลงต่อหน้าของพระองค์ กล่าวขอร้อง แผลที่แขนมีเลือดซึมออกมา พระองค์มองคนตัวเล็กอย่างไม่เข้าใจ

“ลุกขึ้น” ทรงตรัส

ประคองมิคาเอลลุกขึ้น มิคาเอลจึงลุกขึ้นยืนแต่โดยดี สีหน้าสำนึกผิด และดูกังวล แต่พระองค์ก็รู้ดีว่าคนตัวเล็กไม่ได้กลัวถูกลงโทษ แต่กลับกลัวว่าพระองค์จะลงโทษ แดเรียลต่างหาก

 

“แอนดี้ ลูคัส เจ้าสองคนก่อเรื่องแบบนี้ เจ้าคิดว่าเราควรจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร” ทรงตรัสถามเรียบๆ

“แต่ฝ่าบาท มิคาเอลเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องเจ็บ” ลูคัสพยายามเถียง

“เราปกป้องมิคาเอลเอง มิคาเอลไม่ได้ผิด และถึงอย่างไร พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิมากระทำแบบนี้” ทรงตรัสเสียงเย็น คนที่รู้จักพระองค์ย่อมรู้ว่าพระองค์กำลังโกรธมาก มาร์คัสรีบเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนแทนน้องชาย จนลูคัสและแอนดี้ ต้องรีบคุกเข่าตาม

 

”ฝ่าบาทได้โปรดเถอะครับ ยกโทษให้ลูคัสด้วย เขาทำไปเพราะ ความไม่รู้ และเขาก็รักพระองค์ ได้โปรดเถอะครับ” มาร์คัสกล่าวอ้อนวอน

“กระหม่อมทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ่าบาทโปรดให้อภัยด้วย” แอนดี้อ้อนวอน

“แอนดี้เจ้าเป็นสนมของเรา มานานเท่าไหร่แล้ว” ทรงตรัสถามอย่างเย็นชา

“2 ปี ครับ” แอนดี้ตอบ

“แล้วเจ้าล่ะลูคัส” ทรงหันมาถามลูคัส เสียงเย็นชาไม่ต่างกัน

“3 ปีครับ” ลูคัสตอบเสียงเบา

“แล้วเจ้ายังจะบอกกับเราว่าเจ้าไม่รู้กฎอีกเหรอ” ทรงถามกลับ

“ฝ่าบาท ได้โปรดให้โอกาสสักครั้งเถอะครับ” มาร์คัสอ้อนวอน เขาย่อมรู้ดีว่าพระองค์กำลังโกรธมาก

“การ์ด!!! เอาตัวสองคนนี้ไปเฆี่ยน จากวันนี้ไป สองคนนี้ไม่ใช่สนมของเราอีกต่อไป!!!” ทรงตรัสเสียงดัง ทั้งลูคัส และแอนดี้ ต่างหน้าเสีย ไม่คิดว่าพระองค์จะลงโทษแบบนี้ ทหารจึงเข้ามาจับทั้งสองคนออกไป

“ฝ่าบาท ได้โปรดเถอะครับ อย่าทำแบบนี้เลยครับ” มาร์คัสกล่าวอ้อนวอนไม่หยุด มองน้องชายถูกพาตัวออกไป

“หากเจ้าไม่หยุด เราจะสั่งทำโทษเจ้าด้วย ในฐานะที่เจ้าไม่อบรมน้องของเจ้า” ทรงตรัสเด็ดขาด ก่อนจะหันมาหามิคาเอล มิคาเอลก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา เขาทำใจไว้แล้วที่จะถูกทำโทษ และหากพระองค์จะปลดเขาออกจากตำแหน่งเขาก็คงจะยิ่งยินดี อย่างน้อยเขาก็จะได้ตัดใจจากพระองค์ได้เสียที

 

“เจ้าเพิ่งเป็นสนมได้ไม่นาน เราจะให้โอกาสกับเจ้า และเจ้าก็ทำไปเพราะป้องกันตัว แต่การปกปิดเราย่อมมีความผิด เราจะต้องลงโทษเจ้า ตามมา” ทรงตรัส เดินนำมิคาเอลกลับไปที่วิลล่าหลัก มิคาเอลเดินก้มหน้า ตามพระองค์ไป แต่แทนที่พระองค์จะพาเขาไปทำโทษตามที่กล่าว พระองค์กลับเดินนำมายังห้องบรรทมแทน มิคาเอลจึงหยุดเดิน

“พระองค์บอกว่าจะลงโทษผม” มิคาเอลกล่าว

“ใช่เราจะลงโทษเจ้า ที่พูดไม่ดีกับเรา และยังปกปิดเรื่องแขนของเจ้าอีก” ทรงตรัสเสียงแข็ง

“แล้วทำไมพระองค์พาผมมาที่ห้องบรรทม” มิคาเอลถาม ไม่ยอมเข้าไป

“เดี๋ยวหมอพอลจะมาทำแผลให้เจ้า” ทรงตรัส

“แต่ทำแผลข้างนอกก็ได้นี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“หลังจากนั้นเราจะทำโทษเจ้า” ทรงตรัสก่อนจะเดินกลับมาช้อนร่างของ

มิคาเอลขึ้นและพาเดินเข้าไปในห้องบรรทม

“ฝ่าบาท บาดแผลของพระองค์” มิคาเอลประท้วงด้วยความเป็นห่วง

“ หากเจ้าไม่ขัดขืน ไม่ดิ้น ไม่ขัดใจเรา เราก็ไม่เป็นไร” ทรงตรัสและพา

มิคาเอลเข้าไปในห้องบรรทม วางคนตัวเล็กลงบนเตียง มิคาเอลอยากจะออกไปจากห้องแต่พระองค์ก็ส่งสายตาดุๆ มองมา ทำให้มิคาเอลไม่กล้าขัด และนั่งรอหมอพอลอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ไม่นานหมอพอลก็เดินเข้ามา

 

“ฝ่าบาท คุณมิคาเอล” หมอพอลทักทาย

“หมอพอลเองก็มีความผิดที่ปิดบังเรา” องค์เดเมี่ยนเอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาทครับ ผมผิดเอง ผมเป็นคนขอให้หมอพอลปกปิดต่อพระองค์เอง” มิคาเอลรีบกล่าว

“เจ้าคิดจะรับผิดแทนทุกคนเลยหรืออย่างไร” ทรงถาม

“ผมผิดเองนี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“เอาล่ะครับขอกระหม่อมดูแผลก่อน” หมอพอลกล่าว และเริ่มทำแผลให้กับมิคาเอล องค์เดเมี่ยนมองดูอยู่ตลอด

“เราขอโทษที่ควบคุมสนมคนอื่นได้ไม่ดีทำให้เจ้าเจ็บตัวแบบนี้” ทรงตรัสเบาๆ มองคนตัวเล็ก

“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่นี้เดี๋ยวก็หาย” มิคาเอลกล่าว

“แผลของพระองค์ก็ยังไม่หายนะขอรับ” หมอพอลกล่าวเตือน ส่ายหน้ากับพฤติกรรมของทั้งสองคนที่เอาแต่หาเรื่องเจ็บตัว จนหมอพอลต้องเดินเข้าออกวิลล่านี้เป็นว่าเล่น

“เราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แผลแค่นี้ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

ทรงตรัสอย่างขัดใจ

“สุดท้ายกระหม่อมก็ต้องเป็นคนมาทำแผลอยู่ดี คุณมิคาเอลก็ห่วงพระองค์ไม่ใช่เหรอครับ” หมอพอลกล่าว มิคาเอลไม่ตอบแต่ใบหน้าหวานกลับเป็นสีชมพู

“ทำแผลเสร็จก็กลับไปได้แล้ว หมอพอล ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งพูดมากน่ารำคาญ” ทรงกล่าวไล่ หมอพอลอมยิ้มก่อนจะเดินออกไป กระนั้นองค์เดเมี่ยนก็ยังได้ยินเสียงหมอพอลบ่นเบาๆ

 

องค์เดเมี่ยนเดินมานั่งลงข้างๆ มิคาเอล

“บอกเราสิ ว่าเราควรจะลงโทษเจ้าอย่างไร” ทรงตรัสถาม เอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของมิคาเอลอย่างอ่อนโยน

“แล้วแต่พระองค์จะทรงโปรดเถอะครับ” มิคาเอลตอบไม่ยอมมองพระองค์

“เราคิดถึงเจ้า เจ้าคิดถึงเราบ้างไหม” ทรงถาม ยกมือของมิคาเอลขึ้นจรดริมฝีปาก

“พระองค์มีสนมล้อมหน้าหลังแบบนั้น จะยังมีเวลามาคิดถึงผมได้อย่างไร” มิคาเอลกล่าวเรียบเฉย

“เจ้ากำลังหึงเราอย่างนั้นเหรอ” ทรงถาม

“ผมเปล่าสักหน่อย พระองค์จะทรงรักใคร จะทรงร่วมรักกับใครก็ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย” มิคาเอลกล่าวแต่ก็ต้องหันหน้าไปทางอื่น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ทำท่าจะหยดลงมา

“ทำไมเจ้าไม่ทำดีกับเราบ้าง ทั้งๆ ที่เรารักเจ้ามากขนาดนี้” ทรงถาม

“พระองค์จะทรงโปรดผมไปถึงเมื่อไหร่กันครับ สักวันผมก็คงมีสภาพไม่ต่างจากพระสนมลูคัส และพระสนมแอนดี้”

มิคาเอลกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ

 

“ถ้าอย่างนั้นเราจะพิสูจน์ให้ดูว่าเรารัก และคิดถึงเจ้ามากขนาดไหน” ทรงตรัสก่อนจะทิ้งตัวลงเคียงข้างคนตัวเล็ก และเอื้อมมือมารั้งร่างเล็กเข้าไปกอด มิคาเอลไม่กล้าขัดขืน เพราะกลัวองค์เดเมี่ยนจะเจ็บแผลขึ้นมา จึงปล่อยให้พระองค์กอดไว้ ใบหน้าของพระองค์ค่อยๆ เคลื่อนลงมาหาช้าๆ ก่อนจะครอบครองริมฝีปากของร่างเล็กอย่างดูดดื่ม อ่อนโยน และหอมหวาน จนคนตัวเล็กโอนอ่อนตามจุมพิตของพระองค์ แม้ด้านเหตุผลจะร่ำร้องให้ปฏิเสธ แต่หัวใจของมิคาเอลกลับเรียกร้อง และโหยหาอ้อมกอดของพระองค์เหลือเกิน

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 38 ร่วมรัก 20++++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 12-08-2016 07:37:03


 

 

บทที่ 38 ร่วมรัก

 

องค์เดเมี่ยนครอบครองริมฝีปากของมิคาเอลเนิ่นนาน และคนตัวเล็กก็มิได้ขัดขืน ตรงกันข้ามคนตัวเล็กกลับจูบตอบพระองค์ ด้วยความเต็มใจ ทรงถอนริมฝีปากออกช้าๆ ก่อนจะมองคนตรงหน้า

“เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัสเสียงแหบพล่า

“ผมก็คิดถึงพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างเหม่อลอย ด้วยความปรารถนา

“เราต้องการเจ้า มิคาเอล”

ทรงตรัสมือใหญ่ของพระองค์ค่อยๆ ล้วงเข้าไปใต้เสื้อ และปลดกระดุมออกช้าๆ มิคาเอลสั่นสะท้านเมื่อพระองค์ก้มลงจุมพิตที่ยอดอกของเขาเบาๆ พระองค์ค่อยๆ ครอบครองทับทิมเม็ดงามก่อนจะใช้มือสัมผัสอีกข้างไปพร้อมกัน ทรงหยอกเย้า จนมันแข็งเป็นไต ทรงขบกัดเบาๆ มิคาเอลก็ร้องครางแอ่นอกขึ้น และผวากอดองค์เดเมี่ยน

“เจ้ากำลังตื่นตัว มิคาเอล เจ้าต้องการเราหรือเปล่า” ทรงตรัสหยอกล้อ ถามคำถามต่อคนตัวเล็กที่ไม่ยอมตอบ

“หากเจ้าไม่ตอบ เราจะทรมานเจ้าไปเรื่อยๆ” ทรงตรัสขู่ มิคาเอลหน้าแดง แต่ก็ไม่ยอมตอบ พระองค์จึงขบกัดที่ยอดอก จนมิคาเอลสะท้าน เรียกหาพระองค์

“ฝ่าบาท…”

“บอกเราสิ ว่าเจ้าต้องการเรา” ทรงตรัส

“ผม…”

พระองค์ก้มลงจูบที่ต้นคอของมิคาเอลเบาๆ ก่อนจะทิ้งรอยเอาไว้ จากนั้นจึงขบกัด มิคาเอลร้องครางออกมา แอ่นร่างเข้าหาพระองค์

“หากเจ้าต้องการเรา เจ้าก็ต้องพูดออกมา” ทรงตรัส

“ผม… ผม… ต้องการพระองค์ครับ” มิคาเอลเอ่ยเสียงเบาใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นสีชมพูจัด

“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรล่ะ” ทรงตรัสถามอีก

“ฝ่าบาท อย่าแกล้งผม”

มิคาเอลกล่าวเสียงเบา เขากำลังอับอายเหลือเกิน

“หากเจ้าไม่บอก แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร”

ทรงตรัสอย่างหยอกล้อ จุมพิตและทิ้งรอยเอาไว้จนทั่ว

“ผม...ผม...” มิคาเอลกล่าวได้แค่นั้น

“สัมผัสเราสิ”

ทรงกระซิบข้างหู ขบเม้มติ่งหูเบาๆ มิคาเอลเอื้อมมือไปสัมผัสพระองค์ราวกับต้องมนต์ ร่างของพระองค์กำลังตื่นตัวขยายใหญ่และแข็งแกร่งดุจเสาหิน มิคาเอลหน้าแดงเมื่อสัมผัสพระองค์ผ่านผ้า

“ดูสิ่งที่เจ้าทำกับเราสิ เราปรารถนาเจ้ามากขนาดนี้”

 

พระองค์ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ร่างกำยำอันเปลือยเปล่าก็ปรากฎแก่สายตา พระองค์เดินเข้ามาใกล้และถอดกางเกงของมิคาเอลออก ก่อนจะทรงจับขาของมิคาเอลแยกออกจากกัน และทรงแทรกตัวอยู่ระหว่างขาของคนตัวเล็ก ก้มหน้าลง เข้าใกล้กับร่างที่ตื่นตัวของมิคาเอล

 

“บอกเราสิ ว่าเจ้าต้องการให้เราทำอะไร” ทรงถามอีกครั้ง

 

ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารด แต่พระองค์ยังเฝ้ารอคำตอบ มิคาเอลปรารถนาคนตรงหน้าเหลือเกิน

“ฝ่าบาทครับ ได้โปรด อย่าทรมานผมเลยครับ ช่วยผมด้วย”

 มิคาเอลอ้อนวอนด้วยความปรารถนา

“เจ้าต้องการให้เราช่วยอย่างไร” ทรงถาม ก้มลงจูบต้นขา อย่างแผ่วเบา

“ฝ่าบาท... ได้โปรดเถิดครับ ... สัมผัสผม”

มิคาเอลอ้อนวอน แต่พระองค์ก็ยังนิ่งเฉย

“สัมผัสที่ไหนล่ะ”

ทรงถามอีก มิคาเอลถูกความปรารถนาครอบงำ เอื้อมมือมาสัมผัสร่างของเขา

“ตรง...นี้...ครับ ...ฝ่าบาท... ได้โปรด”

คนตัวเล็กหน้าแดงอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ยิ้มก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่ร่างของคนตัวเล็ก มิคาเอลก็ครางออกมา พระองค์ค่อยๆ จุมพิตที่ปลายยอดที่ขณะนี้มีน้ำหยดใสๆ ผุดขึ้นมา ทรงใช้ปลายลิ้นตวัดเลียปลายยอดอย่างแผ่วเบา มิคาเอลก็แอ่นตัวตามด้วยความปรารถนา

“ฝ่าบาท …ได้โปรด… ช่วยผม…ด้วยครับ …อย่า…ทรมาน…ผมอีกเลย”

 มิคาเอลอ้อนวอนอีกครั้ง

“เจ้าต้องการเรามากขนาดนั้นเชียวหรือ” ทรงถามหยอกเย้า

“ผม...ต้องการ...พระองค์ครับ... ผมยอมแล้ว ...ได้โปรด ...ฝ่าบาท ...เดเมี่ยน” มิคาเอลร้องเรียกหาพระองค์

“เจ้ายอมให้เราทำตามใจจริงๆ หรือ”

พระองค์ยังไม่ยอมหยุดหยอกเย้า

 

“ผมยอม...แล้วครับ... ผมเป็นของพระองค์ ...ได้โปรด”

 

มิคาเอลกล่าวออกมา อย่างอ้อนวอน พระองค์ยิ้มออกมา ก่อนจะครอบครองร่างของมิคาเอลไว้ในปากก่อนจะขยับ ใช้ปากและลิ้นกับร่างเล็ก มือของพระองค์สัมผัสกับฐาน ก่อนจะขยับหมุน ขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ ปากและลิ้นก็ครอบครองส่วนยอดเอาไว้ ลิ้นร้อนตวัดโอบรัดร่างของมิคาเอลอย่างเร่าร้อน ทรงดูดกลืนมิคาเอล จนร่างเล็กครวญครางอย่างไม่อาจกลั้น มือเล็กเอื้อมลงไปไล้เส้นผมของพระองค์ก่อนจะรั้งใบหน้าของพระองค์ไว้ราวกลับจะกลัวว่า คนตัวใหญ่จะหายไป

 

“ฝ่าบาท... อา...ฝ่าบาท... เดเมี่ยน”

มิคาเอลร้องเรียกหาพระองค์ด้วยความปรารถนา องค์เดเมี่ยนพึงพอใจกับภาพตรงหน้าและพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“เจ้ารักเราหรือเปล่า มิคาเอล ตอบเราสิ” ทรงถาม

“ผมรักพระองค์ครับ ...ผมรักพระองค์เหลือเกิน”

มิคาเอลกล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว องค์เดเมี่ยนยิ่งพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทรงยิ้มออกมาก่อนจะครอบครองร่างของมิคาเอลอีกครั้ง พระองค์เร่งจังหวะ ไม่นานร่างเล็กก็ครางเสียงดัง ร่างสั่นสะท้าน ปลดปล่อยออกมา พระองค์กลืนกินคนตัวเล็กไปทั้งหมด

 

มิคาเอลหอบอย่างเหนื่อยอ่อน แต่พระองค์ก็ยังไม่หยุด ทรงแยกขาของ

มิคาเอลออก ก่อนจะใช้นิ้วล่วงล้ำเข้าไป มิคาเอลสะดุ้งเมื่อนิ้วใหญ่ของพระองค์ล่วงล้ำเข้ามา

“ฝ่าบาท ผม... เจ็บ... ครับ”

คนตัวเล็ก ร้องไห้ออกมา ดูเหมือนร่างเล็กที่ห่างหายจากเรื่องบนเตียงมาสักพัก จะยังไม่ชิน ภายในจึงคับแน่นแบบนี้

“อย่าเกร็งสิ คนดี ผ่อนคลาย เราจะอ่อนโยนต่อเจ้า” ทรงตรัส

ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ อย่างช่ำชอง ไม่นาน มิคาเอลก็ครางออกมา เบื้องล่างยังบีบรัดนิ้วของพระองค์เป็นจังหวะ

“เด็กดี” ทรงเอ่ยชม

ก่อนจะเพิ่มนิ้วเข้าไป มิคาเอลนิ่วหน้าร้องเรียกหาพระองค์

“ฝ่าบาท...”

มิคาเอลทำหน้าเจ็บปวดไขว่คว้าหาอ้อมกอดของพระองค์ องค์เดเมี่ยนจึงกอดร่างเล็กเอาไว้ทรงจูบมิคาเอลอย่างอ่อนโยน ปลอบโยนคนตัวเล็ก

“อย่างนั้นแหล่ะคนดี อย่าเกร็ง”

ทรงตรัสก่อนจะถอดถอนนิ้วออกช้าๆ มิคาเอลหอบหายใจ พระองค์หยิบเจลหล่อลื่นมาชโลมที่ร่างของพระองค์และที่ส่วนอ่อนไหวของคนตัวเล็ก

 

พระองค์จับขาของมิคาเอลขึ้นและค่อยๆ แทรกร่างของพระองค์เข้าไปช้าๆ มิคาเอลกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ผวากอดพระองค์ไว้ น้ำตาของร่างเล็กไหลริน พระองค์จึงนิ่งไม่ขยับ และรอให้ร่างเล็กคุ้นชินกับความใหญ่โตของพระองค์เสียก่อน ร่างของมิคาเอลบีบรัดพระองค์เป็นจังหวะ ภายใน

มิคาเอลร้อนผ่าว โอบรัดพระองค์ไว้ราวกับถุงมือกำมะหยี่ชั้นดี ที่แนบชิดโอบล้อม รัดร่างของพระองค์คล้ายว่าถูกสร้างมาคู่กัน ไม่นานมิคาเอลก็เริ่มคุ้นชิน พระองค์จึงเริ่มขยับโยกช้าช้า ทุกครั้งที่ขยับ มิคาเอลก็ครวญครางออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น

 

“ฝ่าบาท... ผม...อาาาาา... ฝ่าบาท... เดเมี่ยน... ได้โปรด”

“เจ้าชอบให้เราอยู่ในร่างของเจ้าหรือเปล่ามิคาเอล” ทรงตรัสถาม

“ฝ่าบาท... ฝ่าบาท... ครับ... ผม... ต้องการ..พระองค์” มิคาเอลกล่าว

มิคาเอลขยับร่างตามจังหวะขององค์เดเมี่ยน พระองค์พึงพอใจที่ร่างเล็กไม่เพียงไม่ขัดขืน แต่ยังตอบสนองต่อพระองค์ ไม่นาน มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

 

แต่องค์เดเมี่ยนยังไม่เสร็จ ยังคงไม่พึงพอใจ พระองค์ถอดถอนร่างออก ก่อนจะจับมิคาเอลคลานเข่า พระองค์ก็สอดใส่เข้าไปจากทางด้านหลัง

มิคาเอลก็ครางออกมาอย่างพึงพอใจ ขยับร่างไปตามจังหวะที่พระองค์กำหนด พระองค์รั้งร่างมิคาเอลขึ้นมาจุมพิต และจูบที่ต้นคอ ทรงเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของมิคาเอลเบื้องหน้า ทรงขยับมือ ไม่นานมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

 

พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนานหลายชั่วโมง มิคาเอลที่หลั่งออกมานับครั้งไม่ถ้วน เหนื่อยอ่อนจนแทบจะครองสติไม่ไหว แม้กระนั้นพระองค์ก็ไม่ยอมหยุด ทรงจับให้มิคาเอลนั่งหันหน้าเข้าหาและทาบทับร่างของพระองค์ไว้ ทรงกึ่งนั่งกึ่งนอน ขยับร่างช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ในท่านี้ท่าเดียวมิคาเอลก็ปลดปล่อยไปแล้วถึงสองครั้ง แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังไม่ยอมปลดปล่อย ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะปลดปล่อยพระองค์ก็หยุด จนเมื่อความต้องการจะปลดปล่อยหายไป พระองค์ก็เริ่มขยับอีกครั้ง

 

“ฝ่าบาท ผมเหนื่อยแล้วครับ ได้โปรด ผมไม่ไหวแล้วครับ” มิคาเอลอ้อนวอนหลังจากปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนยิ้ม ทรงจูบประทับอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเร่งจังหวะขึ้น ทรงขยับอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนในที่สุด ทั้งสองก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

องค์เดเมี่ยนโอบกอดร่างของมิคาเอลเอาไว้แนบแน่น ร่างของยังฝังอยู่ภายใน มิคาเอลรู้ว่าพระองค์คงไม่คิดจะถอดถอนออกง่ายๆ และเขาก็ไม่อาจจะครองสติได้อีกแล้ว เขาจึงซบอยู่กับอกกว้างของพระองค์ ก่อนจะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

 

มิคาเอลตื่นขึ้นช้าๆ และพบว่าเขายังคงนอนอยู่บนร่างขององค์เดเมี่ยน พระองค์โอบกอดเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นแทบไม่มีส่วนไหนของเขาที่ไม่สนิทแนบชิดกับพระองค์ มิคาเอลค่อยๆ ขยับกายช้าๆ แต่องค์เดเมี่ยนก็ตื่นขึ้นและกอดเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

“ฝ่าบาท ปล่อยผมเถอะครับ ผมอยากอาบน้ำครับ” มิคาเอลรูสึกผิดที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้กับองค์เดเมี่ยนแบบนี้ ร่างกายของเขาก็แปดเปื้อนไปด้วยคราบคาวจากการร่วมรัก จนมิคาเอลรู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา

“เรายังกอดเจ้าไม่หายคิดถึงเลย”ทรงตรัส

“ปล่อยผมเถอะครับ ฝ่าบาท ผมอยากจะอาบน้ำ” มิคาเอลกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นเราจะพาเจ้าไป เราจะอาบเป็นเพื่อน” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ผมไม่ได้อยากอาบกับพระองค์สักหน่อย” คนปากแข็งเถียงหน้าแดง

“เจ้าเดินไหวหรือ” ทรงแกล้งเย้า

“ฝ่าบาทใจร้าย” มิครเอลกล่าวต่อว่า

“หากเราใจร้าย เราคงไม่ทำกับเจ้าแบบนี้” ทรงตรัส

 

ก่อนจะอุ้มร่างเล็กขึ้นและพาไปในห้องอาบน้ำ ทรงพาคนตัวเล็กเดินลงไปในสระน้ำ น้ำในสระเป็นน้ำแร่ที่ผันมาจากน้ำพุร้อน มีกลีบกุหลาบลอยอยู่ องค์เดเมี่ยนค่อยๆวางร่างของมิคาเอลวางลงนั่งในน้ำ และทรงเปิดระบบน้ำวนแบบในอ่างจากุซชี่ ก่อนจะทรงนั่งลงข้างๆ มิคาเอลรู้สึกผ่อนคลาย องค์เดเมี่ยนยังคงนั่งมองมิคาเอลไม่วางตา จนมิคาเอลต้องวักน้ำใส่คนตัวใหญ่

“เลิกมองผมไดัแล้ว” มิคาเอลประท้วง

“เราคิดถึงเจ้า เจ้าใจร้ายเหลือเกิน เจ้าไม่มาหาเราเลยทั้งอาทิตย์ ทั้งๆ ที่เราเจ็บอยู่” ทรงตรัส และรั้งมิคาเอลไปนั่งบนตัก

“เจ้าไม่คิดถึงเราบ้างเหรอ” ทรงถามย้ำ

“ผมก็อยู่นี่แล้วไงครับ” มิคาเอลเลี่ยงที่จะตอบคำถาม องค์เดเมี่ยนจึงกอดร่างเล็ก และประทับรอยจูบลงที่ต้นคอของคนตัวเล็ก มิคาเอลก็แทบละลายอยู่ในอ้อมกอดนั้น

“คนฉวยโอกาส” มิคาเอลตำหนิ

“ไหนเจ้าบอกว่ารักเราอย่างไร” ทรงถาม

“ผมไม่ได้พูดสักหน่อย” มิคาเอลรีบปฏิเสธ

“ตอนร่วมรักกับเรา เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่ารักเรา” องค์เดเมี่ยนตรัส ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

“พระองค์บังคับผมให้พูด และคำพูดระหว่างการร่วมรักจะเชื่อถือได้อย่างไรครับ” มิคาเอลปฏิเสธ

“เจ้าไม่สงสาร ไม่เห็นใจเราบ้างเหรอ” ทรงถาม

“ยังไงผมก็เป็นสนมของอยู่ดีนี่ครับ ผมจะทำตามที่พระองค์สั่ง”

มิคาเอลกล่าว

“ร่างกายของเจ้า ยังซื่อสัตย์กว่าเจ้าเสียอีก” พระองค์ตรัส พร้อมกับเอื้อมมือไปสัมผัสกับร่างของคนตัวเล็ก จนมิคาเอลต้องเอื้อมมือไปรั้งมือของพระองค์ไว้

“อย่าครับ! ฝ่าบาท”

“ทั้งๆ ที่เจ้าปฏิเสธเรา แต่ร่างกายของเจ้ากลับปรารถนาเรามากขนาดนี้ ดูสิ เจ้ากำลังตื่นตัวอีกแล้ว” ทรงตรัส ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปสำรวจภายใน

มิคาเอลอยากจะผลักพระองค์ออก แต่ร่างกายที่ไม่รักดี ก็ทรยศเขาอีกครั้ง เพียงไม่นาน เสียงครางเบาๆ ก็ดังขึ้น องค์เดเมี่ยนยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆ สอดใส่ร่างของพระองค์เข้าไปอีกครั้ง พระองค์ร่วมรักในน้ำกับ

มิคาเอลอย่างอ่อนโยนเนิ่นนาน และอีกครั้งที่พระองค์ทำให้มิคาเอลปลดปล่อยออกมานับครั้งไม่ถ้วน

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 38 ร่วมรัก 20+++++
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 12-08-2016 17:07:21
ฝ่าบาทหื่นไปไหม อยากให้รักกันเร็วๆจังอะอึดอัดมากๆ
มิคาเอลสู้ๆนะ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 39 เรื่องบนเตียง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 14-08-2016 11:46:05


 

 

 

บทที่ 39 เรื่องบนเตียง

 

“ฝ่าบาท… ผม… เหนื่อย…แล้วครับ…อาาาา….ได้โปรด”

มิคาเอลอ้อนวอน องค์เดเมี่ยนพาเขามาในจุดที่น้ำตื้นและให้เขายืนเกาะขอบสระไว้ พระองค์สอดใส่เข้ามาทางด้านหลัง ทรงขยับอย่างเชื่องช้า เป็นการทรมานที่แสนหวาน

“ถึงเจ้าจะพูดแบบนั้น แต่ร่างกายของเจ้าก็ยังตอบสนอง และบีบรัดเราอยู่” ทรงตรัสหยอกล้อ

“ได้โปรด… อาาา… ฝ่าบาท … ผมเหนื่อย…อืมมม … จนยืน… ไม่ไหว… แล้ว..”

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนลง” ทรงตรัส

อุ้มร่างเล็กขึ้นจากสระก่อนจะพามาวางบนม้านั่ง พระองค์ทาบทับ สอดใส่อีกครั้งและขยับ มิคาเอลก็ครวญครางออกมา ไม่นานนักร่างเล็กก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

“เจ้าปลดปล่อยออกมาอีกแล้ว เราทำให้เจ้ารู้สึกดีขนาดนั้นเลยหรือ”

ทรงถาม แต่มิคาเอลหน้าแดงจัดไม่ยอมตอบ

“ผมเหนื่อยแล้วครับ กลับไปที่เตียงกันเถอะครับ” มิคาเอลอ้อนวอน

ร่างของพระองค์ยังคงแข็งแกร่งอยู่ภายใน

“เรายังไม่ได้ปลดปล่อยเลย แต่ถ้าเจ้าอยากกลับไปที่เตียงเราก็ไม่ว่า”

ทรงตรัส และโอบอุ้มร่างของมิคาเอลขึ้นทั้งๆ ที่ร่างของพระองค์ยังคงอยู่ภายใน มิคาเอลต้องกอดพระองค์ไว้แน่น ร่างของพระองค์ก็ขยับเข้าออก ทุกก้าวเดิน จนมิคาเอลต้องครางเบาๆ ออกมา พระองค์กลับยิ้ม

 

“เจ้ากำลังบีบรัดเราอีกแล้ว มิคาเอล” ทรงตรัสข้างหูมิคาเอล

“ฝ่าบาทใจร้าย”

มิคาเอลกล่าวได้แค่นั้น ริมฝีปากของเขาก็ถูกพระองค์ครอบครอง ลิ้นของพระองค์สอดใส่เข้ามาเป็นจังหวะเดียวกับร่างของพระองค์ที่ขยับอยู่เบื้องล่าง มิคาเอลจึงต้องยอมศิโรราบต่อความช่ำชองของคนตัวใหญ่อีกครั้ง เขาปล่อยให้พระองค์นำพาเขาไป

 

พระองค์วางมิคาเอลบนเตียงอย่างอ่อนโยน ทรงทาบทับตามลงมาร่างของพระองค์ค่อยๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ยิ่งทรงขยับรวดเร็วมิคาเอลก็ยิ่งครางเสียงดัง ในที่สุดพระองค์ก็พามิคาเอลไปถึงสรวงสวรรค์อีกครั้ง และพระองค์ก็ปลดปล่อยออกมาภายในร่างของมิคาเอล

 

แม้พระองค์จะไม่อยากถอดถอนออก แต่ดูเหมือนร่างเล็กของพระองค์จะไม่คุ้นชินกับการร่วมรักที่ยาวนานแบบนี้ ทันทีที่พระองค์ถอดถอนออก ร่างเล็กก็หลับไปในแทบจะทันที พระองค์นอนเคียงข้างมิคาเอลและกอด

มิคาเอลไว้ในอ้อมกอด ก่อนพระองค์จะหลับไป

 

มาร์คัสรู้สึกโกรธและขัดใจเหลือเกิน มาร์คัสและลูคัสเป็นลูกชายของนักการเมืองที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่ง เขาเข้าถวายตัวด้วยความเต็มใจ และองค์เดเมี่ยนก็ทรงโปรดปรานเขามาตลอด แต่อยู่ดีๆ คนที่ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างมิคาเอล ก็เข้ามาและแย่งความสนใจทั้งหมดขององค์เดเมี่ยนไป เวลานับเดือนแล้วที่พระองค์มิได้ร่วมรักกับใครอื่น นอกจากสนมหน้าด้านคนนั้น ทั้งๆ ที่ปากของมันบอกว่าไม่รัก ไม่ต้องการพระองค์ แต่กลับออเซาะ รั้งพระองค์เอาไว้คนเดียวมาตลอด ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ แต่การจะทำอะไรที่โจ่งแจ้งอย่างลูคัส ย่อมเป็นการสิ้นคิด เขาย่อมมีวิธีในแบบของเขา โดยที่องค์เดเมี่ยนก็ทำโทษเขาไม่ได้

 

มาร์คัสแต่งกายด้วยผ้าอันบางเบา และเดินออกไปที่วิลล่าหลัก และเดินตรงไปที่ห้องบรรทม มาร์คัสเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นพระองค์กำลังกกกอดอยู่กับมิคาเอล มาร์คัสชินเสียแล้วกับการที่เห็นพระองค์ร่วมรักกับคนอื่นต่อหน้า และเขาก็ไม่เคยรังเกียจจะเข้าร่วมวงด้วย มาร์คัสเดินอ้อมมาทางด้านหลังขององค์เดเมี่ยน ปลดเสื้อผ้าออกก่อนจะเบียดกายเข้ากับร่างของพระองค์ องค์เดเมี่ยนตื่นแทบจะทันทีที่ถูกสัมผัส

พระองค์จึงหันกลับมามอง

 

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ มาร์คัส” ทรงถามเสียงดุ แต่มาร์คัสก็โผเข้ากอด

ออดอ้อนพระองค์แทน

“กระหม่อมเหงา และเศร้าเหลือเกินฝ่าบาท ลูคัสถูกปลดออก กระหม่อมก็ไม่มีใครจะคุยด้วย” มาร์คัสกล่าว น้ำตาไหลออกมาแต่พองาม องค์เดเมี่ยนแม้จะโหดร้ายกับคนทั่วไป แต่พระองค์ก็ทรงใจดีกับสนมของพระองค์เสมอ

“ลูคัส ทำผิด เราก็ต้องลงโทษ”

“กระหม่อมทราบดี กระหม่อมเองก็อยากจะขอโทษต่อมิคาเอล ในการกระทำของน้องของกระหม่อมด้วย” มาร์คัสกล่าว โอบกอดองค์เดเมี่ยนไว้

“มิคาเอลหลับไปแล้วล่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน” ทรงตรัส

 

“กระหม่อมคิดถึงพระองค์ หากมิคาเอลร่วมรักกับพระองค์จนหลับใหล พระองค์จะทรงเมตตาร่วมรักกับกระหม่อมบ้างได้ไหมครับ กระหม่อปรารถนาพระองค์เหลือเกิน” มาร์คัสกล่าวอย่างน่าสงสาร ค่อยๆ เอื้อมมือลงสัมผัสร่างของเขาที่กำลังตื่นตัว ยั่วยวน องค์เดเมี่ยนลังเล แต่มาร์คัสก็โอบกอดพระองค์ และจูบพระองค์อย่างยั่วยวน จนพระองค์ต้องจูบตอบ

 

มิคาเอลที่หลับใหลไปแล้วก็ค่อยตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน และเตียงก็เริ่มขยับ เขาพลิกตัวกลับมามอง ก็เห็นภาพบาดตา มาร์คัสที่เปลือยเปล่ากำลังปลุกเร้าองค์เดเมี่ยนด้วยปากและลิ้น และองค์เดเมี่ยนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนก็ดูจะพอใจกับการกระทำของมาร์คัสมิใช่น้อย

 

มิคาเอลแทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น เขาอยากให้มันเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรภาพตรงหน้าก็ไม่จางหายไป เป็นความจริงอันโหดร้ายที่เขาต้องทนรับ ความจริงที่ว่า เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ มิได้รักเขาเพียงคนเดียว ความจริงที่มีพระสนมมากมาย ที่รักและปรารถนาพระองค์ และเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น เป็นเพียงของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มีค่า หรือมีความหมายพิเศษอะไร หากไม่มีเขา พระองค์ก็มีคนอื่นมาแทนที่

 

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พระองค์ยังกอดเขา บอกรักต่อเขา ร่วมรักต่อเขา แต่ในตอนนี้ พระองค์ก็กำลังทำสิ่งเหล่านั้นกับสนมคนอื่นเช่นกัน มิคาเอลขยับตัวลุกขึ้น มาร์คัสจึงหยุดการกระทำและเอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาท มิคาเอลตื่นแล้วครับ” มาร์คัสกล่าว องค์เดเมี่ยนจึงหันมาทาง

มิคาเอล

“มิคาเอล มาร์คัสอยากจะขอโทษเจ้าเรื่องของน้องชายของเขา” ทรงตรัส ลูบศรีษะของมาร์คัสอย่างเอ็นดู มิคาเอลลุกขึ้นจากเตียงและหยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะพยายามเดินออกไปจากห้อง

 

“เจ้าคิดจะไปไหน มิคาเอล” ทรงลุกขึ้นจากเตียงและรั้งมิคาเอลเอาไว้

“พระองค์ต้องการอะไรจากผมอีก! ในเมื่อพระองค์มีคนอื่นมาร่วมเตียงกับพระองค์แบบนี้ ทำไมพระองค์ไม่ปล่อยผมไปเสีย พระองค์ต้องการอะไรจากผม” มิคาเอลร้องถามเสียงดัง น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เจ็บปวดกับภาพที่เห็น เจ็บปวดกับสถานภาพ และเจ็บปวดที่รักคนๆ นี้

 

“เจ้าเป็นสนมของเรา เจ้าก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเรา”

ทรงตรัสเสียงแข็ง พระองค์กำลังโกรธ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้ใจแข็งนัก ในเมื่อพระองค์ทำทุกอย่างให้ ในเมื่อสนมคนอื่นไม่เคยมีปัญหาเมื่อพระองค์ร่วมรักกับคนอื่น แล้วทำไมสนมคนนี้ จึงได้ขัดใจพระองค์ไปเสียทุกอย่าง

 

“หากผมเลือกได้ผมก็ไม่ได้อยากเป็นสนมของพระองค์ หากผมเลือกได้ผมก็อยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ผมไม่เคยเรียกร้องที่จะมาอยู่ในฐานะนี้ พระองค์เป็นคนที่บังคับให้ผมอยู่ในสภาพนี้ และหากผมจะต้องเลือก ผมคงเลือกที่จะเป็นสนมของเจ้าชายพระองค์อื่น ที่ไม่ใช่พระองค์ แต่ผมก็รู้ว่าผมไม่มีสิทธิ แต่ผมก็อยากให้พระองค์รู้ด้วยเช่นกันว่า พระองค์เองก็ไม่มีสิทธิมาบังคับให้ผมต้องทนมองพระองค์ร่วมรักกับคนอื่น และหากพระองค์ไม่ชอบใจการกระทำของผม พระองค์จะลงโทษผมอย่างไรก็เชิญ” มิคาเอลกล่าวประชด น้ำตาไหลออกมาอย่างเจ็บปวด จนองค์เดเมี่ยนอยากเข้าไปปลอบ แต่มิคาเอลก็ปัดมือของพระองค์ออก

 

“อย่ามาแตะต้องตัวผม ผม… ผมเกลียด… ผมเกลียดพระองค์ ผมเกลียดพระองค์”

มิคาเอลตะโกนออกมา และร้องไห้ราวกับจะขาดใจ องค์เดเมี่ยนเจ็บปวดกับทั้งคำพูดและการกระทำของคนตัวเล็ก

“กลับไปที่ห้องของเจ้าซะ” ทรงตรัสอย่างเย็นชา มองคนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด มิคาเอลจึงหันหลังและวิ่งออกไป

 

องค์เดเมี่ยนเจ็บปวดกับภาพตรงหน้า พระองค์รักมิคาเอล แต่พระองค์ไม่คิดจะยกย่องใครให้เป็นพระชายา สำหรับพระองค์ ตำแหน่งนี้มีเจ้าของแล้ว และแม้เจ้าของตำแหน่งจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พระองค์ก็ไม่คิดจะให้ใครขึ้นมาแทนที่ และแม้พระองค์จะรักมิคาเอล แต่มิคาเอลก็มิได้มีทีท่าว่าจะรักพระองค์แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม คนตัวเล็กกลับพยศ และปฏิเสธพระองค์อยู่ตลอดเวลา และไม่ต้องสงสัย คนตัวเล็กคงจะเฝ้าเอาแต่คิดถึงราฟาเอล เจ้าชายจอมปลอมอย่างพระองค์ จะมีค่าอะไรไปเทียบกับเจ้าชายรัชทายาทอย่างราฟาเอล พระองค์เจ็บปวดกับความคิดที่ผ่านเข้ามา แต่กระนั้น พระองค์ก็ตัดสินใจ มาร์คัสเดินเข้ามากอดพระองค์ไว้ ออดอ้อน และยั่วยวน แผนของเขาเป็นไปตามคาด ในเมื่อพระองค์กำลังเจ็บปวด เขาก็จะเป็นคนปลอบพระองค์เอง และพระองค์ก็มิได้ทำให้ผิดหวัง พระองค์ร่วมรักกับมาร์คัสตลอดทั้งคืนจนหลับไป

 

มิคาเอลวิ่งกลับมาที่ห้อง และขังตัวเองอยู่ภายในห้องนอน น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด เจ็บปวดรวดร้าว เหมือนถูกเข็มนับพันทิ่มแทงที่หัวใจ เฝ้าบอกกับตัวเองให้เข้มแข็ง เขาจะต้องผ่านมันไปให้ได้ แม้เขาอยากจะคิดสั้น อยากจะหนีปัญหาเหล่านี้ด้วยการจบชีวิตของเขาเสีย แต่คำสัญญาที่ให้ไว้กับโทนี่ คือสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ ในตอนนี้มีเพียงน้ำตา ที่พอจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดนี้ลงได้ ในเมื่อเขาโง่งม ไปหลงรักเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ การที่ต้องเจ็บปวดอยู่อย่างนี้ ก็สมควรแล้วมิใช่หรือ คนอย่างองค์เดเมี่ยน คงไม่มีทางมารักเขาจริงๆ ดังคำหวานของพระองค์ได้หรอก และเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากพอจะทำให้พระองค์มารักสักนิด การที่พระองค์ให้ความสนใจต่อเขามากเพียงนี้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทางที่ดี เขาควรจะตัดใจเสีย ความรักมีแต่ความเจ็บปวด เขาควรจะรู้ตั้งแต่แรก ยิ่งเป็นองค์เดเมี่ยนผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ การจะหวังให้พระองค์มารักเขาคนเดียว ก็เหมือนกับหวังให้พระอาทิตย์ขึ้นมาในทางทิศตะวันตกนั่นแหล่ะ คงไม่มีทางเป็นไปได้ มิคาเอลกอดตัวเองเอาไว้ ร้องไห้ออกมา บอกกับตัวเองว่า ในวันพรุ่งนี้เขาจะเข้มแข็ง คนตัวเล็กร้องไห้ ตลอดทั้งคืนจนหลับไป

 

ในตอนสายมิคาเอลก็ยังคงขังตัวอยู่ในห้องนอน เขาแทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน แต่กระนั้นองค์เดเมี่ยนก็ยังคงตามมาวนเวียนอยู่ในความฝันของเขาตลอดทั้งคืน ภาพขององค์เดเมี่ยนในความฝันนั้นช่างอ่อนโยน พระองค์ดูแลและเอาใจใส่เขา อีกทั้งทรงรักเขา และมีเพียงเขาคนเดียว แต่เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้น ความจริงอันโหดร้ายก็ถาโถมเข้ามา เขารู้สึกสมเพชตัวเอง ที่เฝ้าฝันในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงแบบนั้น แต่แม้จะเป็นเพียงความฝัน มิคาเอลก็อยากซึมซับกับมันไว้ให้นานเท่าที่จะนานได้ แม้จะตื่นนานแล้ว แต่เขาก็รู้สึกไม่อยากลุกออกจากเตียงนี้ ไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย อยากจะหลับตานอนอยู่ตรงนี้ อยู่กับองค์เดเมี่ยนที่อ่อนโยน และมีเพียงเขาคนเดียว อยู่กับความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง

 

แต่แม้เขาจะไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอกลับความเป็นจริง แต่ความเป็นจริงก็เข้ามาหาเขาแทน เสียงเอะอะ ดังขึ้นด้านนอก พร้อมกับเสียงประตูห้องของเขาที่เปิดออก ก่อนเสียงย่ำเท้าหนักๆ และเดินเข้ามาเปิดประตูห้องนอนของเขา มิคาเอลลืมตาขึ้นช้าๆ ลุกขึ้นมองคนตรงหน้า

 

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลทัก

แต่ไม่ยอมสบตา องค์เดเมี่ยนมองมาที่มิคาเอลด้วยสายตาที่เจ็บปวด และเย็นชา ก่อนจะทรงเอ่ยขึ้น

 

 

“เข้ามาสิ!”

______________
เป็นอะไรที่หนักหน่วง เป็นอะไรที่ปวดจิตมาก ไรท์ช่างโรคจิตอะไรเยี่ยงนี้
อย่างที่แจ้งค่ะ เรื่องนี้ลงจบแล้วที่ธัญวลัยนะคะ เผื่อใครสนใจจะไปอ่านที่นั่น

และตอนนี้กำลังจัดทำหนังสือ คิดว่าไม่นานน่าจะออกมาเป็นรูปเล่มค่ะ
ใครสนใจติดตามผลงานของไรท์ ตามได้ที่เพจนะคะ

"Teddy bear แห่ง คานาเดีย" ค่ะ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 40 น้ำตา
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 14-08-2016 22:53:30


บทที่ 40 น้ำตา

 

"เข้ามาสิ"

องค์เดเมี่ยนกล่าว ด้วยเสียงเย็นชา และก็เป็นมิคาเอลเองที่ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา ร่างสูงก็ก้าวเดินเข้ามาในห้องช้าๆ และหยุดยืนอีกฝั่งของเตียง

“องค์ราฟาเอล...” มิคาเอลเอ่ยขึ้นเสียงเบา

ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมองค์ราฟาเอลจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งๆ ที่วิลล่าเล็กเป็นสถานที่ต้องห้ามของชายอื่น

 

“เราถามเจ้าอีกครั้ง ราฟาเอล ทั้งๆ ที่เราร่วมรักกับมิคาเอลนับครั้งไม่ถ้วน เจ้าจะยังต้องการมิคาเอลอยู่หรือไม่” ทรงตรัสถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา และเจ็บปวด มองมาที่มิคาเอล ที่กำลังสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ต้องการมิคาเอล” องค์ราฟาเอลตรัส องค์เดเมี่ยนดูเจ็บปวด พระองค์เดินเข้ามานั่งข้างมิคาเอล

“ผมจะรอข้างนอก” องค์ราฟาเอลกล่าวและเดินออกไปจากห้องนอน องค์เดเมี่ยนจึงเอื้อมมือมารั้งร่างของมิคาเอลเข้าไปกอด แม้คนตัวเล็กจะพยายามผลักพระองค์ออกแต่พระองค์ก็ยังกอดไว้แนบหัวใจของพระองค์

 

“เรารู้... ว่าเจ้าเกลียดเรา แต่เราเพียงอยากจะกอดเจ้า...เป็นครั้งสุดท้าย” ทรงตรัส มิคาเอลไม่เข้าใจ

“ผมไม่เข้าใจ พระองค์หมายความว่าอย่างไร” มิคาเอลหยุดดิ้น เงยหน้าขึ้นถาม

“ในเมื่อเจ้าเกลียดเรา เราจึงตัดสินใจยกเจ้าให้กับราฟาเอล ในเมื่อเจ้ารักราฟาเอล การที่เจ้าจะเป็นของราฟาเอลย่อมทำให้เจ้ามีความสุขได้มากกว่าการเป็นสนมของเรา” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด พระองค์ตัดสินใจแบบนี้เพราะไม่ต้องการเห็นมิคาเอลต้องเจ็บปวด การเหนี่ยวรั้งมิคาเอลไว้ ก็ดีแต่จะทำให้ทั้งมิคาเอล และพระองค์เองต้องเจ็บปวด การยกมิคาเอลให้กับราฟาเอล ก็น่าจะทำให้คนตรงหน้ามีความสุข แม้พระองค์จะต้องเป็นคนเจ็บปวด พระองค์ก็ยอม แต่แทนที่คนตรงหน้าจะมีความสุข มิคาเอล

กลับดูเจ็บปวด ทรมานเสียเหลือเกิน และพระองค์ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม

 

“เจ้าควรจะมีความสุข แล้วทำไมเจ้าร้องไห้แบบนี้” ทรงปาดน้ำตาที่ไหลรินออกจากใบหน้าของมิคาเอล

“พระองค์ไม่ต้องการผมแล้วเหรอครับ” มิคาเอลถามอย่างน้อยใจ

“ในเมื่อเจ้ารักราฟาเอล เจ้าก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือ” ทรงถาม

“ผมเป็นเพียงแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อพระองค์ไม่ต้องการผมแล้ว ผมก็จะไปครับ” มิคาเอลตอบ ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับพระองค์อีก เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน

“เจ้าไม่มีความสุข ที่อยู่กับเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าเอาแต่ปฏิเสธเรา คำพูดของเจ้าก็ทำให้เราเจ็บปวด เราทำให้ความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริง แล้วเจ้าจะยังไม่พอใจอีกหรือ” ทรงตรัสถาม

 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าเอาแต่ร่ำร้องหาราฟาเอล ในตอนนี้เราก็ปล่อยให้เจ้าไปหาเขา แล้วเจ้าจะยังไม่พอใจอีกหรือ เราจะต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะพอใจ มิคาเอล” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด

 

“ผมไม่ต้องการสิ่งใด ในเมื่อพระองค์ยกผมให้กับองค์ราฟาเอล ผมก็จะไป ผมไม่ได้มีค่าอะไร ไม่ได้มีความหมายอะไร ในเมื่อพระองค์ไม่ได้รัก ไม่ได้ต้องการผมแล้ว คนอย่างผม ที่ไม่มีประโยชน์ต่อพระองค์ ก็จะไปเอง”

มิคาเอลกล่าว น้ำตาที่กลั้นไว้ ก็ค่อยๆ ไหลออกมา มิคาเอลเจ็บปวด ทั้งๆ ที่รัก แต่ก็รู้ว่าความรักของเขามันไร้ค่า ในเมื่อพระองค์ไม่ต้องการเขา แล้วเขาจะทนอยู่ต่อได้อย่างไร องค์เดเมี่ยนรั้งร่างของมิคาเอลเขัาไปกอด คนตัวเล็กก็กอดตอบพระองค์อย่างเต็มใจ ซบใบหน้าเข้ากับอกกว้างและพยายามซึมซับกับช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด ตราบเท่าที่จะทำได้ จากนี้ไปเขาจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในอ้อมกอดนี้อีก น่าแปลก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอาแต่ปฏิเสธอ้อมกอดนี้ แต่ในตอนนี้ ที่เขามีอิสระ เขากลับอยากให้พระองค์ เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ มิคาเอลกอดองค์เดเมี่ยนไว้เนิ่นนาน จนในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น

“ฝ่าบาท ปล่อยเถอะครับ ผม…ต้องไปแล้ว” มิคาเอลเอ่ยขึ้นเสียงเบา ราวกลับจะขาดใจ องค์เดเมี่ยนไม่พูดอะไรอีก พระองค์คลายอ้อมกอด และทรงจุมพิตที่หน้าผากของมิคาเอลเบาๆ ก่อนจะทรงเดินออกไป

 

เพียงไม่นาน องค์ราฟาเอลก็เดินเข้ามาในห้อง มิคาเอลที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจึงเดินออกมาหาองค์ราฟาเอล

“เรามารับเจ้า” ทรงตรัส และเอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอลไว้

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างสุภาพ

“เราสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี ไปที่วิลล่าของเราดีกว่า” ทรงตรัส

และพามิคาเอลออกไป

 

เมื่อกลับออกมาที่วิลล่าหลัก องค์เดเมี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองมาช่างดูเจ็บปวด จนมิคาเอลไม่อาจทนมองได้ เขาจึงก้มหน้าลง ไม่อยากเห็นใบหน้าขององค์เดเมี่ยนอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีหัวใจ ไม่ใช่ว่าเขาใจง่าย ไม่ใช่ว่าเขาหลายใจ มากรัก แต่หัวใจของมิคาเอลกำลังเจ็บปวด เขาหลงรักเจ้าชายผู้โหดร้ายองค์นี้อย่างหมดหัวใจ แต่เขาก็รู้ว่าเขาโง่งมมากแค่ไหน คนอย่างองค์เดเมี่ยน ผู้เย็นชา พระองค์ไม่เคยรักใคร แม้แต่เขาที่พระองค์เฝ้าบอกว่ารักนักหนา แต่ในตอนนี้ พระองค์ก็ยังยกเขาให้กับองค์ราฟาเอล โดยที่พระองค์มิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง ที่ไม่ได้มีค่าอันใด เมื่อพระองค์ทรงเบื่อ การจะยกเขาให้คนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะรู้ แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด

 

องค์ราฟาเอลที่เห็นคนตัวเล็กทำหน้าเศร้าแบบนั้นจึงเข้ามาโอบกอดร่างของมิคาเอลไว้ ก่อนจะทรงช้อนร่างของมิคาเอลขึ้นและพาออกไปจากวิลล่าแทน มิคาเอลซบใบหน้ากับอกกว้างขององค์ราฟาเอล ทรมาน เจ็บปวด วินาทีนั้นเขารู้สึกทรมานมากกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต เฝ้าถามคำถามว่าทำไมเขาจึงต้องเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกครั้งที่เขาเฝ้าอ้อนวอน อยากจบชีวิตนี้ลงเสียที

 

องค์เดเมี่ยนเฝ้ามองมิคาเอลจากไป ด้วยหัวใจที่สลาย แม้พระองค์จะรัก

มิคาเอล แต่การที่คนตัวเล็กเอาแต่คิดถึงคนอื่น และทุกครั้งที่ไม่พอใจ

มิคาเอลก็คอยแต่จะพูดจาให้พระองค์ต้องเจ็บปวด ในบางครั้งการรักใครสักคนก็ไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป แต่การที่เห็นคนที่รักมีความสุข

นั่นก็เพียงพอแล้ว แต่กระนั้น แม้พระองค์จะยอมปล่อยมิคาเอลไป แต่คนตัวเล็กกลับดูไม่มีความสุขเลยสักนิด แต่ในเมื่อพระองค์ยกมิคาเอลให้

ราฟาเอลไปแล้ว พระองค์ย่อมไม่มีสิทธิในตัวของมิคาเอลอีก แม้จะอยากเข้าไปหา แต่พระองค์ก็ต้องยั้งตัวของพระองค์ไว้ อย่างน้อยพระองค์ก็รู้ว่าราฟาเอลจะดูแลมิคาเอลอย่างดี ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่พระองค์ทำได้ คือ

ตัดใจเสีย

 

องค์ราฟาเอลพามิคาเอลมายังวิลล่าของพระองค์ วิลล่าขององค์ราฟาเอลใหญ่กว่าขององค์เดเมี่ยน เพราะมีเพียงวิลล่าหลัก ไม่ได้มีวิลล่าเล็กถึงสองวิลลาอย่างองค์เดเมี่ยนนั่นเอง องค์ราฟาเอลได้เคยกล่าวเอาไว้ว่าไม่คิดจะรับสนม

“เราให้คนจัดห้องพักให้เจ้าไว้แล้ว หากเจ้าต้องการอะไรก็ขอให้บอก เราจะจัดหามาให้” องค์ราฟาเอลตรัสอย่างอ่อนโยน

“ฝ่าบาทครับ” มิคาเอลเอ่ยเรียกอย่างไม่แน่ใจ

“ว่ามาสิ” ทรงยิ้มรับ

“ผมอยู่ที่นี่ ในฐานะอะไรครับ” มิคาเอลถามตรงๆ เพราะองค์ราฟาเอลที่ประกาศตัวไม่คิดจะรับสนม และ ตัวมิคาเอลเองก็มิได้บริสุทธิ์ และองค์ราฟาเอลก็ทรงรู้ แล้วเขาจะอยู่ในฐานะใด ในวิลล่าอันใหญ่โตแห่งนี้

 

“เจ้าอยู่ในฐานะแขกของเรา คนรักของเรา เราจะให้เกียรติเจ้า และดูแลเจ้า เราจะปกป้องเจ้า และทำทุกอย่างที่เราทำได้ ให้เจ้ามีความสุข” ทรงตอบ

“ทำไมครับ ฝ่าบาท ในเมื่อผมมีมลทิน ผมไม่ได้บริสุทธิ ผมไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น” มิคาเอลปฏิเสธ

“เราไม่ได้รีบ ยังมีเวลาอีกมาก เราจะไม่ฝืนบังคับเจ้าอย่างที่เสด็จพี่ของเรากระทำ เราอยากเรียนรู้เจ้า และอยากให้เจ้าเรียนรู้เรา ในตอนนี้ เราอาจจะยังทำอะไรไม่ได้ เพราะเรายังดำรงตำแหน่งรัชทายาท แต่เมื่อเสด็จพี่

นาธานเนียลมีพระโอรส เราก็พร้อมจะสละฐานันดร และเราก็ยินดีจะรับเจ้าเป็นชายาของเรา” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท!!! ผมไม่มีค่ามากขนาดนั้น ทำไมพระองค์ถึงต้องทรงเสียสละให้ผมมากถึงเพียงนี้” มิคาเอลถาม ไม่เข้าใจความคิดของเจ้าชาย

“เรารักเจ้ามิคาเอล เราดีใจที่เจ้าอยู่ที่นี่ เราไม่สนใจอดีต ตราบเท่าที่เจ้าพร้อมจะสร้างอนาคตกับเรา เรารู้ว่าเจ้าผ่านเรื่องร้ายๆ มามาก แต่เราก็ยินดีจะอยู่ตรงนี้ เคียงข้างเจ้า และสัญญาว่าจากนี้ต่อไป เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดอีก” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน น้ำตาของมิคาเอลไหลออกมา จนองค์ราฟาเอลรั้งร่างของมิคาเอลเข้าไปกอดและปลอบโยน

“อย่าร้องไห้อีกเลย มิคาเอล เรารักเจ้า เราดูแลเจ้าอย่างดี เราสัญญา” ทรงตรัสปลอบโยน ลูบหลังคนตัวเล็ก

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลเอ่ยขึ้น

“เราต้องกลับไปทำงานแล้ว หากเจ้าต้องการอะไร ก็บอกกับนางกำนัลได้ เราจะกลับมาทานอาหารเย็นเป็นเพื่อน” ทรงตรัส และจุมพิตที่หน้าผากของร่างเล็กเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป

 

มิคาเอลเดินสำรวจห้องของเขาภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ลักษณะการตกแต่งและรูปแบบของห้องคล้ายกับที่วิลล่าขององค์เดเมี่ยน แต่ดูหรูหรากว่าและใหญ่กว่า ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดีรวมไปถึงเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ

 

มิคาเอลเดินออกมาด้านนอก เขาคิดว่าอุทยานในวิลล่าขององค์เดเมี่ยนสวยแล้ว อุทยานที่นี่กลับงดงามมากยิ่งกว่า ดอกไม้หลากหลายสีสัน ส่งกลิ่นหอม ไปทั่วบริเวณ เขานึกเสียใจที่ไม่ได้เอากล้องมา แต่ก็สำนึกได้ว่ากล้องนั้นเป็นของที่องค์เดเมี่ยนซื้อให้ มันคงจะไม่ควรหากเขาจะเอากล้องนั้นมาด้วย อีกอย่างเขาไม่คิดจับกล้องอีก อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้ การถ่ายรูปกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดถึงองค์เดเมี่ยนขึ้นมา ตลอดทริปในยุโรป มิคาเอลเอากล้องไปด้วยเสมอ และเพราะเขาชอบกล้องมาก องค์เดเมี่ยนจึงซื้อกล้องเพิ่มให้แก่เขาอีก 2 ตัว ซึ่งแต่ละตัวล้วนมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน และใช้งานในโอกาสที่ต่างกัน และตลอดทริปนั้น แม้ไม่ได้บอกกับองค์เดเมี่ยน แต่มิคาเอลก็แอบถ่ายรูปของพระองค์เอาไว้หลายต่อหลายรูป โดยที่พระองค์ไม่รู้ตัว ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกเศร้า น้ำตาที่แห้งไปแล้ว ก็ค่อยๆ ไหลออกมาอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็บอกกับตัวเองแล้วว่าเขาไม่ควรจะรักพระองค์ และเขาก็พยายามแล้วที่จะไม่รัก แต่หัวใจที่ไม่รักดีก็ยังทรยศ ไปรักพระองค์เข้าจนได้ เขารู้สึกโกรธองค์เดเมี่ยน ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นคนที่ทำให้เขาหลงรัก และทั้งๆ ที่สัญญาว่าพระองค์จะดูแลเขา แต่แล้วก็เป็นพระองค์อีกไม่ใช่หรือ ที่ผิดคำพูด และยกเขาให้ชายอื่น โดยมิได้สนใจจะถามความต้องการของเขา แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มีค่า ไม่ได้มีความหมาย ในเมื่อพระองค์ทรงเบื่อหน่ายแล้ว จะโยนทิ้งเสียก็คงไม่แปลก ตัวเขาเองต่างหากที่ใจง่ายไปหลงรักพระองค์เอง โง่เองที่เชื่อคำโป้ปด และคำหวานของพระองค์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพระองค์ไม่คิดจะรักจริงจังอะไร ดังนั้นจึงโทษใครไม่ได้ นอกจากโทษตัวเอง หากเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เขาคงไม่มีวันเดินทางมาที่คานาเดียแห่งนี้ น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้น และไหลริน น้ำตาแห่งความเจ็บปวด ของคนที่หัวใจกำลังสลาย

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 40 น้ำตา
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 14-08-2016 23:06:18
 :impress3: :impress3: :impress3: มาแบบไม่รู้เรื่องเลย ถ้าไม่ได้มาเปิดหาเรื่องใหม่ ๆ น่ะ กำลังคิดถึงเดเมี่ยนพอดีเลย  :impress2: ลงตัวอักษรเล็กลงนิดก้อได้จ้ะ ถึงตัวใหญ่จะอ่านง่ายก้อตาม 555  :mew1:ดีใจจ้ะที่มาลงในเล้าเป็ดด้วยน่ะจ้ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 41 คุกหลวง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 15-08-2016 12:45:18


 

บทที่ 41 คุกหลวง

 

ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่มิคาเอลออกไปจากวิลล่าแห่งนี้ และตั้งแต่ที่คนตัวเล็กจากไป ทุกอย่างในวิลล่านี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีก องค์เดเมี่ยนไม่ได้ไปทรงงานมาสองอาทิตย์แล้ว และพระองค์ก็แจ้งแก่องค์นาธานเนียลไปแล้วว่าพระองค์จะหยุดยาวโดยไม่มีกำหนด และพระองค์ก็ไม่สนหากใครจะไม่พอใจ

 

พระองค์ได้ทำหน้าที่ของพระองค์อย่างดีที่สุดแล้วในระหว่างทริปทัวร์ยุโรป นักลงทุนจำนวนมากแห่กันเข้ามาในคานาเดียไม่หยุด มากจน

คานาเดียได้กลายเป็นฝ่ายเลือก ไม่ใช่ฝ่ายถูกเลือกอีกต่อไป และเหตุนี้ยังเพิ่มอำนาจในการต่อรองทางด้านธุรกิจให้แก่คานาเดียอีกด้วย และความดีความชอบทั้งหมด ก็ต้องยกให้กับทีมขององค์เดเมี่ยน ซึ่งมิคาเอลก็เป็นหนึ่งในรายชื่อที่สร้างผลงานในครั้งนี้ด้วย แต่คนที่เป็นแกนหลัก และทำให้โปรเจทนี้สำเร็จอย่างงดงามมากที่สุดก็คือตัวขององค์เดเมี่ยนเอง ดังนั้นแม้หลายคนจะไม่พอใจนัก ที่องค์เดเมี่ยนผู้เอาแต่ใจ กลับหยุดไม่ยอมไปทำงานเอาเสียเฉยๆ และยิ่งไม่พอใจเมื่อรู้เหตุผลที่พระองค์แจ้งไว้ว่า “ไม่มีอารมณ์” แต่ก็ไม่มีใครกล้าแย้ง เหล่าคณะรัฐบาลต่างหันมามอง

องค์นาธานเนียลด้วยความหวัง เพราะพระองค์เป็นเพียงพระองค์เดียวที่พอจะเข้าหน้าองค์เดเมี่ยนได้ และเป็นเพียงพระองค์เดียวที่องค์เดเมี่ยนพอจะฟังอยู่บ้าง แต่องค์นาธานเนียล ก็ส่ายหน้า

“พวกท่านคิดว่าเราไม่พยายามหรือ พระองค์ไม่ยอมให้ใครเข้าพบเสียด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะคุยกับพระองค์เลย” องค์นาธานเนียลกล่าว ให้เหล่าคณะรัฐบาลทำใจเสีย

“เมื่อพระองค์พร้อม พระองค์ก็จะกลับมาเอง ในตอนนี้คงต้องหาตัวแทนมาทำหน้าที่ของพระองค์ไปก่อน” ทรงตรัส รู้สึกหนักใจ และเป็นห่วงผู้เป็นพี่เหลือเกิน

 

องค์เดเมี่ยนรู้สึกเจ็บปวด และไม่มีจิตใจอยากจะทำอะไร พระองค์นั่งเหม่อมองออกไปนอกระเบียง จับจ้องไปที่ต้นไม้ต้นใหญ่ ที่คนตัวเล็กเคยปีนขึ้นไปแอบบนนั้น ทุกที่ในวิลล่าแห่งนี้ล้วนย้ำเตือนให้พระองค์คิดถึงคนตัวเล็ก พระองค์เอาแต่ดื่ม และร่วมรัก แต่แม้จะดื่มเหล้าชั้นดีสักเพียงไหน ไม่ว่าจะดื่มมากเพียงใด ความเจ็บปวดก็ไม่ได้ทุเลาลง พระองค์ร่วมรักกับสนมทุกคน ทั้งชายและหญิง และพระองค์ก็พาหญิงงามมากหน้าหลายตา และเด็กหนุ่มหน้าสวยหลากหลายคนมาที่วิลล่า พระองค์ร่วมรักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์หยุดคิดถึงคนตัวเล็กปากแข็งคนนั้น

 

พระองค์สั่งปิดตายห้องที่เคยเป็นของคนตัวเล็ก สั่งห้ามใครเข้าไป และห้ามแตะต้องของในห้องนั้น พระองค์สั่งให้ปล่อยทุกอย่างไว้เหมือนกับตอนที่คนตัวเล็กยังอยู่ แม้พระองค์จะรู้ว่าคนตัวเล็กคงไม่มีวันกลับมาอีก แต่พระองค์ก็ยังอยากเก็บทุกอย่างไว้

 

พระองค์นั่งเหม่อลอยออกไปอย่างไร้จุดหมาย ภาพของคนตัวเล็กยังคงอยู่ในความทรงจำ ทั้งยามหลับและยามตื่น คนตัวเล็กก็ยังคงอยู่ในห้วงความคิดของพระองค์เสมอ และไม่ว่าจะทรงทำอย่างไร พระองค์ก็ไม่อาจจะหยุดความเจ็บปวดนี้ลงได้ องค์เดเมี่ยนผู้โหดเหี้ยม เอาแต่ใจ เจ้าชายต้องสาปผู้โหดร้ายและเย็นชา บัดนี้ใบหน้าอันหล่อเหลาเรียบเฉย ดวงตาคมเข้มกลับเอ่อล้นด้วยน้ำหยดใสๆ ก่อนที่จะไหลรินออกมา

 

ทั้งๆ ที่เวลาผ่านมาเดือนกว่าแล้ว แต่องค์เดเมี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย พระองค์ยังคงเจ็บปวด และไม่อาจจะหยุดคิดถึงคนตัวเล็กได้ พระองค์เดินอย่างใจลอยเข้าไปในห้องนอนที่เคยเป็นของคนตัวเล็ก พระองค์นั่งลงมองไปรอบๆ ห้อง ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพที่คนตัวเล็กทิ้งไว้ แม้จะมีฝุ่นจับบ้าง แต่พระองค์ก็อยากให้มันคงอยู่แบบนี้ แม้ว่าพระองค์จะรู้ว่าพระองค์มิได้มีสิทธิในตัวของคนตัวเล็กอีกแล้ว แต่พระองค์ก็ยังคงเฝ้าคิดถึงมิคาเอลอยู่เสมอ แม้ว่าในตอนนี้มิคาเอลก็คงจะมีความสุขอยู่กับน้องชายต่างมารดาของพระองค์ คนตัวเล็กที่เคยเป็นของพระองค์ก็คงจะออดอ้อนอยู่กับราฟาเอล เพียงแค่คิดหัวใจของพระองค์ก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ไม่ยอมให้ใครเข้าพบ พระองค์ไม่ต้องการรับรู้ เพราะพระองค์ไม่อยากเจ็บปวดไปมากกว่านี้ ไม่อยากรู้ว่าราฟาเอลรักมิคาเอลมากแค่ไหน ไม่อยากรับรู้ว่าราฟาเอลรักมิคาเอลอย่างไร ไม่อยากรับรู้ว่ามิคาเอลมีความสุขมากเพียงใดที่ได้อยู่กับคนที่เขารัก อย่างเจ้าชายราฟาเอล เจ้าชายรัชทายาทผู้เพียบพร้อม และอ่อนโยน แตกต่างจากเจ้าชายที่โหดร้าย แข็งกระด้างอย่างพระองค์ แค่คิดว่าราฟาเอลจะแตะต้องมิคาเอลอย่างไรพระองค์ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไม พระองค์จะต้องทำตัวแบบนี้ ในเมื่อพระองค์ยกมิคาเอลให้คนอื่นไป พระองค์ก็ควรจะยอมรับความเป็นจริงเสียที มิใช่หรือ แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังมิอาจตัดใจ

 

เมื่อพระองค์ออกมาจากอดีตห้องของมิคาเอล ริชชี่ก็ยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ฝ่าบาท”

“เจ้าต้องการอะไร” ทรงตรัสอย่างเย็นชา

“ผมสั่งให้ห้องครัวทำอาหารโปรดของพระองค์ไว้ พระองค์ทรงทานอะไรสักหน่อยเถอะนะครับ” ริชชี่กล่าวด้วยความเป็นห่วง

“เราไม่หิว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” ทรงตรัสก่อนจะเดินผ่านริชชี่ไป

“ฝ่าบาท หากพระองค์เอาแต่ทรมานตัวเองแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรครับ พระองค์เป็นคนที่ปล่อยมิคาเอลไปเอง แล้วทำไม พระองค์จะต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ด้วย” ริชชี่ถาม

“เรารู้ว่าเจ้าห่วงเรา แต่ในตอนนี้เราต้องการอยู่คนเดียว” ทรงตรัส

“ผมทราบครับว่าผมแทนที่มิคาเอลไม่ได้ แต่อย่างน้อยพระองค์ก็น่าจะทรงห่วงตัวเองบ้าง” ริชชี่กล่าว

“เราจะพยายาม” ทรงตรัสและเดินออกไป

 

องค์เดเมี่ยนออกมาจากวิลล่า และขับรถไปเรื่อยๆ กว่าพระองค์จะรู้ตัว พระองค์ก็พาตัวเองมาอยู่ที่หน้าคุกหลวงแห่งนี้ สีหน้าของพระองค์ดูหม่นลง ทรงนั่งอยู่ภายในรถอยู่นาน ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินใจเดินลงมาจากรถ ก่อนจะเดินช้าๆ เข้าไปภายในคุกหลวงแห่งนี้

 

คุกหลวงมีลักษณะคล้ายป้อมปราสาทขนาดใหญ่ภายในถูกแบ่งเป็นสัดส่วน ห้องขังถูกแบ่งเป็นหลายระดับชั้น เหล่านักโทษที่ถูกส่งมาขังที่คุกหลวงแห่งนี้ล้วนเป็นนักโทษที่มีโทษฉกรรจ์ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ หรือ คิดร้ายต่อราชวงศ์ เหล่ากบฏทั้งหลายที่ถูกส่งตัวเข้ามาในคุกหลวงนี้ จะถูกพิจารณาตามความผิดที่ก่อไว้หากมีความผิดมากจะถูกส่งไปยังคุกมืดชั้นใต้ดิน หากผิดน้อยลงก็จะถูกขังในห้องขังแตกต่างกันตามความผิด แต่สิ่งหนึ่งที่นักโทษกบฏได้รับเท่าเทียมกัน คือ นักโทษทุกคนที่ก้าวเข้ามาในคุกหลวงแห่งนี้ จะไม่มีวันได้ออกไปอีก ตราบจนลมหายใจสุดท้าย มีเพียงร่างอันไร้วิญญาณเท่านั้น ที่จะถูกส่งกลับออกมา ไม่มีคำพิพากษา เพราะทุกคนที่ถูกส่งมาที่นี่ ก็ถือเป็นคำพิพากษาอันสูงสุดแล้ว เหล่านักโทษจะต้องอยู่อย่างสิ้นหวัง มีเพียงลมหายใจ ไปวันๆ ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีการลดหย่อน และไม่มีการอนุญาตให้เข้าเยี่ยม

 

แม้กระนั้นทุกที่ย่อมมีข้อยกเว้น ไม่เว้นแม้แต่สถานที่โหดร้ายแห่งนี้ก็ตาม คุกหลวงแห่งนี้มีนักโทษที่มีความผิดร้ายแรงอยู่คนหนึ่ง นักโทษคนนี้เคยคิดร้ายต่อราชวงศ์ แต่แม้กระนั้นนักโทษคนนี้ก็ยังได้รับการดูแลที่ดีมากกว่านักโทษคนอื่น ห้องขังอยู่ในตำแหน่งทิศใต้ ที่มีแสงแดดส่องถึง เป็นห้องขังที่ถูกแยกเป็นเอกเทศ ไม่มีนักโทษคนอื่นในบริเวณใกล้เคียง แม้ห้องขังจะมีขนาดเล็ก แต่ภายในก็ยังนับว่าสะดวกสบายมากกว่าห้องขังห้องอื่นๆ

 

องค์เดเมี่ยนเดินช้าๆ เข้าไปในส่วนทิศใต้ นานมากแล้วที่พระองค์ไม่ได้มาที่นี่ กลิ่นสาปยังคงคละคลุ้ง แม้จะเป็นห้องขังที่ดีที่สุด แต่กระนั้นก็ยังดูไม่สบายตา นักโทษคนนี้เคยถูกคุมขังในคุกชั้นใต้ดินมาก่อน แต่เพราะองค์เดเมี่ยนอ้อนวอนขอร้อง นักโทษจึงได้รับการย้ายห้องขัง ขึ้นมาในส่วนที่ดีกว่าชั้นใต้ดินนิดหน่อย  นักโทษเพิ่งได้ย้ายมาอยู่ที่ห้องขังนี้เมื่อไม่นานมานี้ เพราะพระองค์ทูลขอต่อองค์นาธานเนียลนั่นเอง

 

เมื่อผู้คุมเห็นองค์เดเมี่ยนเสด็จมาก็ทำความเคารพ และเปิดประตูห้องขังให้ พระองค์เดินเข้าไปในห้องขัง โดยมิได้รังเกียจ พระองค์ทอดพระเนตรไปที่หญิงคนหนึ่ง ที่นั่งมองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย มิได้ใส่ใจการมาของเจ้าชายเลยแม้แต่น้อย องค์เดเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะทรงกอดหญิงคนนั้นอย่างห่วงใย

 

"เสด็จแม่ ทรงเป็นอย่างไรบ้าง" องค์เดเมี่ยนตรัสถาม แต่ก็มิได้คำตอบใดๆ กลับมา หญิงชราตรงหน้ายังคงนิ่งเฉย พระองค์มิได้คาดหวังในคำตอบใดๆ ทรงนั่งลงเคียงข้าง ก่อนจะจับมือของพระมารดาไว้และจุมพิตที่มือเบาๆ แม้จะเป็นนักโทษ แต่องค์เดเมี่ยนก็ร้องขอต่อองค์นาธานเนียล ขอให้มีคนคอยดูแลพระมารดา หลังจากตลอดเวลาที่กษัตริย์องค์ก่อนยังอยู่ พระนางต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอด 30 กว่าปี และสถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนพระมารดาของพระองค์ให้อยู่ในสภาพนี้ พระนางเสียสติหลังจากที่ถูกขังในคุกมืดเป็นเวลานาน

 

แม้พระองค์จะเป็นเจ้าชาย แต่ภายใต้กฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศและราชวงศ์ พระองค์ก็มิอาจจะทำอะไรได้ การที่พระองค์ได้เข้ามาเยี่ยมพระมารดาบ้างนานๆ ครั้งแบบนี้ ก็นับว่าเป็นอภิสิทธ์ที่มากแล้ว

 

“ผมกำลังทุกข์ครับ...” ทรงตรัสขึ้นเบาๆ คนตรงหน้ามิได้สนใจพระองค์แม้แต่น้อย กลับเหม่อลอยไร้จุดหมาย

“ผม...รักคนๆ หนึ่งครับ ...แต่ เขาเกลียดผม ... ไม่ว่าผมจะทำอย่างไร เขาก็คอยแต่จะปฏิเสธผม และเขาก็รักราฟาเอล ไม่ใช่ผม...ผมอยากให้เขามีความสุข ...แต่ผมรู้ว่าผมทำให้เขามีความสุขไม่ได้...ผมจึงยกเขาให้กับ

ราฟาเอล แต่... ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผมก็ลืมเขาไม่ได้ครับ” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเจ็บปวด ยกมือของพระมารดามาแนบใบหน้าของพระองค์

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมควรทำอย่างไร ผมทรมานเหลือเกินครับเสด็จแม่” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเจ็บปวด พระองค์มิได้หวังจะได้คำตอบจากคนตรงหน้า ในตอนนี้พระองค์รู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน พระองค์อยากพูดความในใจกับใครสักคน แม้พระมารดาจะเป็นแบบนี้ แต่องค์เดเมี่ยนก็ทรงรักพระมารดา แม้พระมารดาจะเคยโกรธ เคยเกลียดพระองค์แต่อย่างไรเสีย พระนางก็ยังเป็นเสด็จแม่ของพระองค์อยู่ดี ในบางครั้งที่พระองค์ไม่รู้ว่าจะหันหน้าเข้าหาใคร พระองค์จะมาที่นี่ มาหาพระนาง อย่างน้อยการได้เห็นหน้าของผู้เป็นมารดา ย่อมทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจ

 

พระนางหันหน้ามามององค์เดเมี่ยน ก่อนจะเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าขององค์เดเมี่ยนอย่างอ่อนโยน ก่อนมือคู่นั้นจะค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คอของพระองค์และบีบคอของพระองค์อย่างแรง

“ลูกชั่ว!!!” พระนางพูดขึ้น ก่อนจะพูดซ้ำคำๆ เดิม ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์แกะมือของพระนางออกจากคอของพระองค์ รู้สึกเจ็บปวดที่ได้ยินคำพูดของพระนาง

“เสด็จแม่ครับ อย่าทำแบบนี้สิครับ” พระองค์จับมือของพระนางเอาไว้

ลดมือของพระนางลง

“ผมรักเสด็จแม่ครับ” ทรงตรัส แต่พระนางก็ดึงมือออก และตบหน้าของพระองค์อย่างแรง พระองค์ไม่ได้โกรธ แต่พระองค์เสียใจ ที่พระมารดาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แม้จะยังไม่อยากกลับ แต่พระมารดากำลังโกรธ

จึงไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งอยู่ต่อไป

“เสด็จแม่รักษาตัวให้ดีนะครับ แล้ววันหลังผมจะมาหาใหม่ ผมรักเสด็จแม่ครับ” พระองค์ตรัส ก่อนจะเดินออกไปจากห้องคุมขัง ในใจรู้สึกเจ็บปวด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระนางพยายามทำร้ายพระองค์ ในยามที่พระองค์ยังเด็กพระองค์เข้ามาเยี่ยมพระมารดา และพระองค์ก็ถูกพระมารดาทำร้าย จนพระองค์เกือบสิ้นพระชนม์มาแล้ว แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงรักพระมารดาอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุผลหนึ่ง การที่พระมารดาต้องอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะพระองค์ พระองค์จึงไม่เคยโกรธ และไม่ตอบโต้พระมารดา แม้พระนางจะพยายามจะทำร้ายพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม

 

อย่างน้อยพระองค์ก็รู้สึกว่าพระองค์ยังโชคดีกว่าพระมารดามากนัก พระองค์รู้ว่าพระมารดาเคยรักกษัตริย์องค์ก่อนมาก แต่พระองค์กลับไปรักคนอื่น เมื่อมาถึงจุดหนึ่งความรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง จนมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง อย่างที่พระมารดาได้เผชิญอยู่ แต่พระองค์สัญญากับตัวเองไว้ ว่าอย่างไรเสียพระองค์จะไม่ยอมเดินพลาดอย่างที่พระมารดาได้เคยกระทำไว้อย่างเด็ดขาด

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 42 ทบทวนความรู้สึก
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 16-08-2016 14:25:04


 

บทที่ 42 ทบทวนความรู้สึก

 

องค์นาธานเนียลแปลกใจที่เห็นองค์ราฟาเอลมาหา ทั้งๆ ที่ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพระองค์แทบไม่เห็นหน้าราฟาเอลเลย

“คิดอย่างไรถึงมาหาพี่ได้” องค์นาธานเนียลเอ่ยถาม

“ผมเพียงจะมาบอกกับเสด็จพี่เรื่องของมิคาเอลครับ” องค์ราฟาเอลกล่าว

“ว่ามาสิ” องค์นาธานเนียลตรัส

“ผมตัดสินใจแล้วว่าผมต้องการแต่งตั้งมิคาเอลขึ้นเป็นพระชายา อาจจะยังไม่ใช่ในตอนนี้ แต่เมื่อเสด็จพี่มีพระโอรส ผมก็ต้องการสละฐานันดร ผมต้องการแต่งงานกับมิคาเอลครับ” องค์ราฟาเอลกล่าว องค์นาธานเนียลกลับทำสีหน้าบึ้งตึง พระองค์ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของราฟาเอลเลยแม้แต่น้อย

“พี่ไม่เข้าใจ ราฟาเอล มิคาเอลมีค่ามากพอขนาดนั้นเชียวหรือ” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก

“เสด็จพี่ ผม…”

“เจ้าเองก็รู้ว่ามิคาเอลเคยเป็นสนมของเสด็จพี่เดเมี่ยนมาก่อนไม่ใช่หรือ และพระองค์ก็ทรงโปรดมิคาเอลมากแล้วทำไมเจ้าจึงยังเข้าไปแทรกตรงกลาง” องค์นาธานเนียลกล่าวในเชิงตำหนิ

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด หากพระองค์ทรงโปรดมิคาเอลนักหนา แล้วทำไมพระองค์ถึงยกมิคาเอลให้กับผม พระองค์เป็นคนที่ยกมิคาเอลให้กับผมเอง โดยที่ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งและร้องขอด้วยซ้ำ” องค์ราฟาเอลเถียง

“ราฟาเอล เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสด็จพี่เดเมี่ยนไม่ได้ทรงงานมาสองอาทิตย์แล้ว” องค์นาธานเนียลกล่าวขึ้น

“พระองค์ก็ทรงทำตามใจอยู่ตลอดไม่ใช่หรือครับ” องค์ราฟาเอลกล่าว

“อาจจะใช่ แต่ในครั้งนี้ พระองค์เอาแต่ทรงเก็บตัวและไม่ยอมให้ใครเข้าพบ แม้แต่พี่ พระองค์ก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้าด้วยซ้ำ และพระองค์ก็เปลี่ยนไป นับตั้งแต่ที่พระองค์ยกมิคาเอลให้กับเจ้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า พระองค์ไม่สนใจมิคาเอล พี่คิดว่าเจ้าควรจะคืนมิคาเอลให้กับพระองค์เสีย” องค์นาธานเนียลกล่าว

“เสด็จพี่เองก็เอาแต่ทรงห่วงเสด็จพี่เดเมี่ยน แล้วความรู้สึกของผมล่ะครับ พระองค์ห่วงบ้างหรือเปล่า อีกอย่างมิคาเอลก็ไม่ได้มีความสุขที่ต้องทนอยู่กับเสด็จพี่เดเมี่ยน แล้วไหนจะสนมของเสด็จพี่ที่เข้ามาทำร้ายมิคาเอลอีก” องค์ราฟาเอลกล่าวแย้ง

“แล้วมิคาเอลที่อยู่กับเจ้า เขามีความสุขหรือเปล่า” ทรงถาม

“อย่างน้อยผมก็ดูแลเขาอย่างดี”

“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสุข เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการเจ้า และเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขารักเจ้าจริงๆ เจ้าเป็นถึงเจ้าชาย การที่เจ้าทำตัวแบบนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือ ราฟาเอล และการที่เจ้าทำแบบนี้ เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้ารักมิคาเอลจริงๆ” องค์นาธานเนียลตรัสถาม

“ไม่ว่าเสด็จพี่จะทรงว่าอย่างไร ผมไม่ได้มาขออนุญาตพระองค์ ผมเพียงมาแจ้งให้พระองค์ทราบเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ผมก็จะแต่งตั้งให้มิคาเอลเป็นชายาของผม ไม่ว่าพระองค์จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ผมลาล่ะครับ”

องค์ราฟาเอลตรัสด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

 

ในขณะที่องค์ราฟาเอลกำลังจะเดินออกไป องค์เดเมี่ยนก็เดินเข้ามา ทั้งสองสบตากันแต่ก็มิได้ทักทายต่อกัน องค์ราฟาเอลโกรธพระเชษฐาที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอาแต่ทำให้มิคาเอลต้องเจ็บปวด แม้เจ้าตัวจะไม่เคยพูดออกมา แต่มิคาเอลที่มีแผลที่แขน และยังเอาแต่ทำหน้าเศร้า ทอดถอนหายใจ ย่อมแสดงให้เห็นว่าภายใต้การดูแลขององค์เดเมี่ยน มิคาเอลไม่ได้มีความสุขสักนิด

 

ส่วนองค์เดเมี่ยนมองไปที่พระอนุชาด้วยสายตาที่เจ็บปวด พระองค์มิได้อยากจะพบกับราฟาเอล พระองค์ยังไม่พร้อมจะรับรู้เกี่ยวกับมิคาเอล พระองค์ยังทำใจไม่ได้ เกี่ยวกับการที่พระองค์ต้องเสียมิคาเอลไป แม้จะดีใจที่อย่างน้อยราฟาเอลก็ดูแลมิคาเอลเป็นอย่างดี แต่เมื่อรู้ว่าราฟาเอลกำลังคิดจะแต่งตั้งมิคาเอลขึ้นเป็นพระชายา ใจหนึ่ง พระองค์ก็ดีใจกับคนตัวเล็ก ที่ราฟาเอลทั้งรักและให้เกียรติ ต่างจากพระองค์ที่คอยแต่จะทำให้คนตัวเล็กต้องเสียใจ อีกใจหนึ่งพระองค์รู้สึกเจ็บปวด ที่พระองค์คงไม่มีวันได้

มิคาเอลกลับมา

 

การที่มิคาเอลเลือกราฟาเอลก็ถูกต้องแล้ว ราฟาเอลที่เพียบพร้อมทุกอย่าง อีกทั้งยังอ่อนโยนและทำดีทุกอย่างให้แก่มิคาเอล ต่างจากคนที่โหดร้ายอย่างพระองค์ ที่แม้ปากของพระองค์จะบอกรัก แต่พระองค์กลับคอยแต่จะทำให้คนตัวเล็กต้องเจ็บปวดอยู่เสมอ พระองค์มิได้โทษใคร นอกจากตัวของพระองค์เอง แม้จะเจ็บปวด แต่พระองค์ก็ยินดีหากคนที่พระองค์รักจะมีความสุข

 

ราฟาเอลเดินออกไปจากห้อง องค์เดเมี่ยนก็เดินเข้ามาแทน สีพระพักตร์ดูอิดโรย และหม่นหมอง อีกใบหน้า และลำคอของพระองค์ยังมีรอยแดง จนองค์นาธานเนียลอดเป็นห่วงไม่ได้

“เสด็จพี่เดเมี่ยน พระองค์เป็นอย่างไรบ้างครับ เกิดอะไรขึ้นครับ” องค์นาธานเนียลเอ่ยทักทาย และถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก พี่ไปเยี่ยมเสด็จแม่มาน่ะ” ทรงตรัสราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่องค์นาธานเนียลกลับเป็นฝ่ายที่ทำหน้าเศร้าเสียเอง

“ผมขอโทษครับ เป็นเพราะพระองค์ปกป้องผมในครั้งนั้น พระมารดาของเสด็จพี่จึงเป็นแบบนี้” องค์นาธานเนียลกล่าวด้วยความรู้สึกผิด ในครั้งนั้นหากไม่มีองค์เดเมี่ยน พระองค์ก็คงจะสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว

“ต่อให้ย้อนเวลากลับไป พี่ก็จะทำเหมือนเดิม การที่พี่ถูกเสด็จแม่เกลียด ก็ยังดีกว่าการเสียเจ้าไป เจ้าเป็นน้องของพี่เสมอ” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน

“อีกอย่างเสด็จแม่ของพี่ก็เป็นคนผิดเอง จะโทษเจ้าก็คงไม่ได้” ทรงตรัส ก่อนจะถอนหายใจออกมา

“พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง” องค์นาธานเนียลถามด้วยความห่วงใย

“พี่มาขอโทษเจ้าที่พี่เอาแต่ใจ แต่พี่ยังไม่พร้อมจะกลับมาทำงาน” ทรงตรัสเรียบๆ

“ผมเข้าใจครับ ผมสั่งให้คนมาทำหน้าที่แทนพระองค์ไปพลางๆ แล้วครับ พระองค์ต้องดูแลตัวเองบ้างนะครับ” องค์นาธานเนียล กล่าวด้วยรู้นิสัยของผู้เป็นพี่ดี

“เจ้าจะบ่นเราอีกคนหรืออย่างไร” ทรงตรัสถาม

 

“ราฟาเอลต้องการจะแต่งตั้งมิคาเอลเป็นชายาอย่างนั้นหรือ” องค์เดเมี่ยนทรงถาม แม้พระองค์จะไม่แสดงออก แต่องค์นาธานเนียลก็รู้จักเสด็จพี่ของพระองค์ดี

“ผมไม่เห็นด้วยแต่ราฟาเอลก็ไม่เคยฟัง เขาเป็นคนแบบนี้ ผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” องค์นาธานเนียลกล่าว มองมาที่องค์เดเมี่ยนที่ดูเศร้า

“ปล่อยให้เขาทำตามใจเถอะ” ทรงตรัสเรียบๆ

“เสด็จพี่ แล้วพระองค์ล่ะครับ” องค์นาธานเนียลถามด้วยความเป็นห่วง

“สักวันหนึ่ง เราก็ทำใจได้เอง” ทรงตรัสเรียบเฉย ก่อนพระองค์จะขอตัวกลับไป

 

มิคาเอล อยู่ในวิลล่าขององค์ราฟาเอลมาได้เดือนกว่าแล้ว องค์ราฟาเอลดูแลเขาเป็นอย่างดี พระองค์ทำดีกับเขาทุกอย่าง เข้าใจ และ อ่อนโยนต่อเขาเสมอ แต่กระนั้นมิคาเอลก็ยังห่างไกลจากคำว่า มีความสุข มากนัก แม้เขาจะพยายามจะทำตัวร่าเริงแต่มันกลับเป็นการฝืนทำต่อหน้าองค์ราฟาเอลเท่านั้น เมื่อองค์ราฟาเอลไม่อยู่ มิคาเอลก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย และยังคงเฝ้าคิดถึงเจ้าชายอีกพระองค์หนึ่ง แม้มิคาเอลจะพยายามจะตัดใจ แต่เขาก็ยังไม่อาจจะทำได้ และตราบเท่าที่เขายังรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ เขาคงไม่อาจเปิดใจรับองค์ราฟาเอลได้

 

"หากพระองค์คิดว่าผมพอจะมีค่าอยู่บ้าง ผมอยากจะขอเวลาครับ”

มิคาเอลกล่าวไว้ และองค์ราฟาเอลก็เข้าใจ พระองค์ทรงเมตตาต่อ

มิคาเอลมาก และทรงต้องการเรียนรู้มิคาเอลให้มากขึ้น และต้องการให้

มิคาเอลได้เรียนรู้พระองค์ด้วยเช่นกัน

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมา มิคาเอลจึงมีโอกาสทบทวนความรู้สึกของตัวเองอยู่บ้าง มิคาเอลนั้นแม้ปากจะบอกไม่ แต่เขาก็รู้ว่าเขารักองค์เดเมี่ยน แม้พระองค์จะไม่ได้อ่อนโยนที่สุด ไม่ได้พูดหวานที่สุด แต่พระองค์ก็ทรงรักเขามากกว่าที่เขาเคยได้รับความรักจากใคร แม้องค์ราฟาเอลจะทรงอ่อนโยนต่อเขา แต่เมื่อมาอยู่กับพระองค์ที่นี่ มิคาเอลกลับไม่ได้คิดกับ

องค์ราฟาเอล ในแบบนี้ที่เขารู้สึกกับองค์เดเมี่ยน

 

มิคาเอลรู้สึกว่าองค์ราฟาเอลเป็นดั่งน้ำที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ปลอบประโลมให้เขารู้สึกดีขึ้น เป็นเสมือนเพื่อนที่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ในขณะที่องค์เดเมี่ยนเหมือนกับไฟ ที่เขาต้องคอยระวัง หากพลั้งเผลอ ก็อาจจะทำให้เขามอดไหม้ได้โดยง่าย แต่แม้องค์เดเมี่ยนจะเป็นดั่งไฟ แต่ไฟของพระองค์ก็มอบความอบอุ่นให้กับมิคาเอล เวลาที่อยูกับองค์ราฟาเอล

มิคาเอลรู้สึกสบายใจ และผ่อนคลาย ในขณะที่เวลาอยู่กับองค์เดเมี่ยน

มิคาเอลกลับรู้สึกร้อนรน อยากให้พระองค์สนพระทัย อยากให้พระองค์อ่อนโยน อยากให้พระองค์รัก และเป็นครั้งแรกที่มิคาเอลยอมรับว่า

มิคาเอลปรารถนาต่อองค์เดเมี่ยน แต่กลับเฉยชาไม่รู้สึกใดๆ ต่อองค์

ราฟาเอล ราวกับว่าร่างกายของเขาปรารถนาและต้องการเพียงแต่องค์เดเมี่ยนเท่านั้น

 

แต่ในตอนนี้เขาคงไม่มีสิทธิอะไรจะไปเรียกร้อง ในเมื่อองค์เดเมี่ยนไม่ได้ต้องการเขาอีกแล้ว คนไร้ค่าอย่างเขาคงทำได้แต่ตัดใจเท่านั้น แต่แม้จะพยายามจะตัดใจเท่าไหร่ เขาก็ทำไม่ได้ ยิ่งองค์ราฟาเอลอ่อนโยนต่อเขามากเท่าไหร่ มิคาเอลก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น แม้จะอยากตอบสนองต่อความรักขององค์ราฟาเอล แต่ในใจของมิคาเอลก็ยังคงมีแต่เจ้าชายที่โหดร้ายพระองค์นั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนเป็นเพียงคนๆ เดียวที่ทำลายกำแพงที่มิคาเอลสร้างขึ้นมาได้ และยังเป็นคนๆ เดียวที่กอบกุมหัวใจของเขาเอาไว้ มิคาเอลมองย้อนกลับไป พยายามหาจุดที่ผิดพลาด ทั้งๆ ที่เขาเองก็รักองค์เดเมี่ยน และพระองค์เองก็รักเขาแล้วเพราะเหตุใด เขาจึงกลับมาอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้

 

ทิฐิ และ ปากที่ไม่ตรงกับใจของเขา คือสิ่งที่คอยผลักพระองค์ออกไป และความมากรัก ไม่รักษาคำพูดของพระองค์คือสิ่งที่มิคาเอลไม่อาจจะทนได้ แม้จะรู้ แต่ในตอนนี้ก็คงสายเกินกว่าจะแก้เสียแล้ว

 

เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่วิลล่าแห่งนี้ อีกทั้งองค์ราฟาเอลยังสัญญาจะทำเรื่อง ให้โทนี่มาเยี่ยมเขาที่วังแห่งนี้อีกด้วย สิ่งเดียวที่มิคาเอลจะต้องทำให้ได้ คือ พยายามลืมองค์เดเมี่ยนเสีย แต่การพูดย่อมง่ายกว่าการกระทำมากนัก ทุกๆ สิ่งที่เขากระทำ ก็ยังทำให้เขาคิดถึงองค์เดเมี่ยนเสมอ รอยยิ้มที่ยิ้มออกมากลับดูฝืนไม่เป็นธรรมชาติ ในใจก็ยังเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงพระองค์

 

 

มิคาเอลนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนสวย เขามักจะมาที่นี่เสมอแม้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็ยังอบอุ่น มิคาเอลนั่งอยู่ริมสระน้ำ แต่ในใจกลับล่องลอยออกไป ในบางครั้งน้ำตาก็ไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม หัวใจที่แตกสลายยังคงเจ็บปวด และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทนอีกนานแค่ไหนกว่าที่เขาจะตัดใจจากพระองค์ได้ ในตอนนี้แม้จะพยายามทำใจแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกผิด และอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ยอมเปิดเผยความรู้สึกออกมา และยังคอยแต่ทำให้องค์เดเมี่ยนต้องเจ็บปวด หากเป็นไปได้ เขาอยากย้อนเวลากลับไป เพื่อที่จะแก้ไขในสิ่งที่เขาทำผิดพลาด แต่ทั้งหมดก็เป็นได้เพียงแค่คิด ในตอนนี้แม้เขาจะอยู่ในวิลล่าอันใหญ่โต มีเจ้าชายรัชทายาทมารักและคอยดูแล และได้รับการยกย่องและให้เกียรติ แต่กระนั้นมิคาเอลก็ยังอดคิดถึงช่วงเวลา ที่อยู่กับองค์เดเมี่ยนไม่ได้ เพียงแค่คิด น้ำตาก็ไหลออกมา โดยที่มิคาเอลมิได้รู้ตัว สายตาคู่หนึ่งก็กำลังจ้องมองมาที่มิคาเอล พร้อมกับก้าวเดินเข้ามาหาช้าๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 42 ทบทวนความรู้สึก
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 17-08-2016 23:58:50
เรื่องนี้มาอ่านอีกครั้งก้อสุดแสนจะดราม่าเสียเหลือเกิน  :mew6: ขนาดอ่านแค่ช่วงหลังยังแบบ  :heaven
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 43 ผู้เป็นที่ปรารถนา
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 18-08-2016 14:24:07


 

บทที่ 43 ผู้เป็นที่ปรารถนา

 

หลังจากออกจากวิลล่าขององค์นาธานเนียล องค์เดเมี่ยนทรงขับรถไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่อยากจะคิดถึง แต่พอรู้ว่าราฟาเอลต้องการจะแต่งงานกับมิคาเอล พระองค์ก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ กว่าจะทรงรู้ตัว รถคันงามของพระองค์ก็ขับมาจอดอยู่หน้าวิลล่าของราฟาเอลเสียแล้ว

 

ในเมื่อพระองค์เป็นคนยกมิคาเอลให้กับราฟาเอลเอง พระองค์ย่อมไม่มีสิทธิจะมาเรียกร้องขอคนตัวเล็กกลับคืน และการที่พระองค์ยกมิคาเอลให้แก่ราฟาเอลก็เพราะพระองค์อยากให้มิคาเอลมีความสุข ในเมื่อมิคาเอลไม่คิดจะรักพระองค์ และไม่ว่าอย่างไร พระองค์ก็ทำให้คนตัวเล็กมีความสุขไม่ได้ และก่อนที่ทุกอย่างจะเหลือเพียงแต่ความเกลียดชัง พระองค์จึงตัดสินใจที่จะปล่อยมิคาเอลไป พระองค์เพียงไม่อยากให้คนตัวเล็กเกลียดพระองค์ไปมากกว่านี้

 

พระองค์เดินลงจากรถและเดินเข้าไปในวิลล่าของราฟาเอล แม้พระองค์จะอยากจะแย่งมิคาเอลคืนมา แต่พระองค์ก็ไม่คิดที่จะกระทำ พระองค์เพียงอยากพบกับมิคาเอลอีกสักครั้ง ก่อนที่มิคาเอลจะได้รับการแต่งตั้งเป็น

พระชายา เพราะเมื่อเป็นพระชายาแล้ว การจะพบกับเจ้าชายอย่างพระองค์ ก็คงทำให้มิคาเอลแปดเปื้อนกลายเป็นที่นินทาได้ แม้ในตอนนี้รู้ทั้งรู้ว่าพระองค์ไม่ควรจะไปหา แต่ทั้งร่างกายและจิตใจของพระองค์ก็เอาแต่ประท้วง และปรารถนาจะพบกับมิคาเอลอีกสักครั้ง แม้พระองค์จะต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม

 

พระองค์สอบถามนางกำนัล และพบว่ามิคาเอลอยู่ในบริเวณสระน้ำ พระองค์จึงเดินเข้าไป แต่พระองค์ก็หยุดมองอยู่ห่างๆ ไม่อยากเข้าไปใกล้ ด้วยกลัวว่าจะพระองค์อาจจะอดใจไม่ได้และอาจจะกระทำตัวไม่เหมาะสมต่อว่าที่พระชายา

มิคาเอลที่พระองค์เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ นั่งเหม่อลอยอยู่ริมสระน้ำ ทั้งๆ ที่มิคาเอลควรจะมีความสุขในเมื่อการที่ราฟาเอลปรารถนาจะแต่งตั้งคนตัวเล็กเป็นชายา ซึ่งก็เทียบกับว่า เอาคานาเดียมาใส่ถาดถวายให้แทบเท้าของคนตัวเล็กก็ไม่ปาน ต่อให้ราฟาเอลสละฐานันดร ราฟาเอลก็ยังมีทุกอย่างเพียบพร้อม ที่จะดูแลมิคาเอลอย่างดีไปได้ตลอดชีวิตอยู่ดี แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กกลับไม่ยินดียินร้ายกับการเป็นว่าที่พระชายาสักนิด ใบหน้าที่ดูหมองหม่น เศร้าสร้อย และดวงตาก็ดูบวมช้ำ ราวกับผ่านการร้องไห้มา ยังไม่ทันไรน้ำตาใสๆ ก็เอ่อล้นและหยดลง เพียงแค่นั้นองค์เดเมี่ยนก็ไม่อาจจะทนทำใจแข็งอยู่ได้อีก พระองค์หวังจะเห็นรอยยิ้มของคนตัวเล็ก มิใช่หยดน้ำตาแบบนี้ พระองค์อยากให้คนตัวเล็กมีความสุข มิใช่เศร้าเสียใจแบบนี้ ร่างกายของพระองค์ก้าวเดินออกไปหา เพียงเพราะอยากปลอบโยนคนตรงหน้าเท่านั้น

 

พระองค์เดินเข้ามาหา ก่อนจะหยุดยืนอยู่เบื้องหลังเว้นระยะห่างเอาไว้ ใจของพระองค์อยากเข้าไปกอด แต่พระองค์ก็ใช้ทุกอย่างที่มีหยุดรั้งพระองค์เอาไว้

“เจ้าร้องไห้ทำไม มิคาเอล” มิคาเอลได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูเอ่ยขึ้น จึงหันกลับมามอง คนๆ ที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดยืนอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ เขาอยากเข้าไปหา ปรารถนาอ้อมกอดอับอบอุ่นที่เคยกอดเขา แต่ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ อ้อมกอดนั้นมิใช่ของเขาอีกแล้ว แม้คนตรงหน้าจะอยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ แต่สำหรับมิคาเอล พระองค์อยู่ห่างไกลสุดจะเอื้อมถึง แม้กระนั้นเขาก็อยากมองคนตรงหน้าให้เต็มตา แต่ภาพตรงหน้าก็พร่ามัว น้ำตามากมายไหลรินออกมาอย่างไม่อาจกลั้น จนคนตัวใหญ่มิอาจทนมองอยู่ได้จึงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน แม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ แม้จะรู้ว่าไม่ควร แต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้าไปกอดแนบอก ซับน้ำตาให้กับคนตัวเล็ก พระองค์ไม่อยากเห็นคนตัวเล็กร้องไห้แบบนี้ หัวใจของพระองค์ปวดร้าวไปหมด มิคาเอลสะอื้นไห้อยู่นาน และองค์เดเมี่ยนก็กอดมิคาเอลเอาไว้แนบแน่น ลูบศรีษะ ลูบหลังอย่างอ่อนโยน ปลอบให้คนตัวเล็กหยุดร้องไห้ พระองค์สูดกลิ่นหอมของคนตรงหน้าอย่างคิดถึง ทั้งพระองค์และมิคาเอลต่างมีความสุขที่สุดและทุกข์ที่สุดในเวลาเดียวกัน

 

เมื่อมิคาเอลหยุดร้องไห้ เขาก็ขืนตัวออกจากอ้อมกอดอุ่น ด้วยสำนึกตนว่าเขาไม่มีสิทธิ เขาไม่ใช่ขององค์เดเมี่ยนอีกแล้ว

 

“ขอบคุณครับที่ทรงปลอบผม แต่ปล่อยเถอะครับ ฝ่าบาท”

มิคาเอลกล่าวเบาๆ พระองค์จึงคลายอ้อมกอดออก

“เราขอโทษ เราไม่ควร และ ไม่มีสิทธิจะแตะต้องต้องเจ้า” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวด

“พระองค์เป็นคนที่ยกผมให้องค์ราฟาเอล ไม่ใช่หรือครับ พระองค์ไม่ได้ต้องการผมอีกแล้ว แล้วพระองค์ ยังต้องการอะไรจากผมอีกเหรอครับ”

มิคาเอลถาม น้ำเสียงเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“เราได้ยินว่าราฟาเอลต้องการให้เจ้าเป็นชายาของเขา เรามายินดีกับเจ้า” ทรงตรัสเรียบและห่างเหิน

“ขอบคุณครับ ผมไม่มีสิทธิ ตัดสินใจอะไร ทั้งหมดสุดแล้วแต่องค์

ราฟาเอล” มิคาเอลตอบ

“เจ้าสบายดีหรือ” ทรงถาม

“องค์ราฟาเอลดูแลผมอย่างดีครับ” มิคาเอลตอบ

“หากเขาดูแลเจ้าอย่างดี แล้วเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้” ทรงถามอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสคนตรงหน้า แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้

“ต้องการอะไรครับ ทำไมพระองค์ถึงมาที่นี่” มิคาเอลเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูด ไม่มีสิทธิเรียกร้อง ทำได้แค่ทำตามความต้องการของเจ้าชายผู้เป็นเจ้าของเขา

“เราอาจจะหาข้ออ้างได้มากมาย แต่เราจะไม่โกหก เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัสเรียบๆ และจริงจัง มิคาเอลนิ่งเงียบฟัง ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา แต่ภายในใจปวดร้าวที่ได้ยิน เขาอยากจะบอกพระองค์ว่าเขาเองก็คิดถึงพระองค์ทุกลมหายใจ แต่เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพึงกระทำได้ เขาจึงนิ่งเงียบเสีย

 

“เจ้าเคยเล่าอดีตของเจ้าให้เราฟัง และเจ้าเคยบอกว่าสักวันเจ้าก็อยากฟังเรื่องของเราบ้างสินะ ความหมายของเพลงๆ นั้น” ทรงตรัสเรียบๆ ก่อนจะนั่งลง มิคาเอลจึงนั่งลงแต่เว้นระยะห่างไว้

“เรารู้ว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว ที่เราจะเรียกร้องอะไรในตอนนี้ แต่เราก็อยากให้เจ้าได้รู้ เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเสด็จแม่ของเรามาบ้างไม่มากก็น้อยสินะ” ทรงถาม มิคาเอลพยักหน้า

“เพราะเหตุที่เสด็จแม่ของเราได้ก่อไว้ กษัตริย์องค์ก่อนจึงเกลียดเรามาก ด้วยเหตุเพราะเราเป็นลูกของ หญิงชั่ว หากไม่ได้พระมารดาของ

นาธานเนียล เราก็คงตายไปนานแล้ว พระนางขอชีวิตของเราไว้ ไม่อย่างนั้น เราก็คงจะตายด้วยมือของ พระบิดาแท้ๆ ของเราเองไปตั้งแต่ตอนนั้น” ทรงตรัสเรียบๆ เป็นมิคาเอลที่ดูสะเทือนใจที่ได้ยิน

 

“แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความเกลียดชังที่เราได้รับ เพราะเราเป็นเจ้าชายที่พระองค์ไม่ทรงโปรด เมื่อเราอายุได้ 15 เราก็ถูกส่งไปเรียนที่ฝรั่งเศส เราก็ใช้เวลาอยู่ที่นั่นหลายปี และเราก็ได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอชื่อ เดสเซเร่ (Desarea) ในตอนแรกเราไม่ได้บอกฐานะของเรา เพราะเราคิดว่าเราจะไม่กลับมาคานาเดียอีก เราอยู่ที่ฝรั่งเศสมา 10 กว่าปี และ

เดสเซเร่ก็กลายมาเป็นคนรักของเรา เธอเป็นรักแรกของเรา เป็นเจ้าของหัวใจของเรา เป็นดั่งชีวิตของเรา เรารักเธอมากและเราปรารถนาจะแต่งงานกับเธอ เพลงๆ นั้นคือเพลงที่เราแต่งขึ้นให้กับเธอ” ทรงตรัสเรียบๆ แต่แววตาของพระองค์กลับดูเศร้าสร้อย

“เกิดอะไรขึ้นครับ” มิคาเอลถาม เพราะบางอย่างไม่ถูกต้อง

“ในตอนนั้นเรากำลังจะขอเธอแต่งงาน แต่เราก็ถูกเรียกให้กลับมาคานาเดีย ในเมื่อเราขัดคำสั่งไม่ได้ เราจึงจำเป็นต้องกลับมา เดสเซเร่ ไม่เคยรู้ว่าเราเป็นเจ้าชาย เธอตกใจแต่ก็ยอมรับในตัวเรา และตามมาคานาเดียกับเราด้วยในฐานะคนรักของเรา แต่เดสเซเร่เป็นคนสวย ไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนปรารถนาในตัวของเธอ” พระองค์เล่ามาถึงตรงนี้ พระองค์ก็หยุด พระองค์ดูเจ็บปวด แต่ก็ทรงเล่าต่อ

“ในวันที่เราตั้งใจจะขอเดสเซเร่แต่งงาน เราก็ถูกกษัตริย์องค์ก่อนเรียกเข้าพบ พระองค์ไม่เห็นด้วยและไม่ยินยอมให้เราแต่งงานกับเธอ เพราะเธอเป็นเพียงสามัญชน เมื่อเราไม่ยอม คนๆนั้นก็ทำในสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิด พระองค์ก็ใช้อำนาจของพระองค์ บังคับให้เดสเซเร่เป็นสนมของพระองค์ โดยขู่เดสเซเร่ว่าหากไม่ยินยอม พระองค์จะทรงลงโทษเราแทน” ทรงตรัสอย่างโกรธแค้น และเจ็บปวด แม้มิคาเอลที่ฟังอยู่ก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

“ฝ่าบาท” มิคาเอลเอื้อมมือไปกุมมือของพระองค์ไว้ สีหน้าของพระองค์

ดูเจ็บปวด

“เดสเซเร่จำใจเป็นสนมของกษัตริย์องค์ก่อน แต่เธอก็เจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นหนึ่งในสนมคนโปรด แต่เธอก็ไม่มีความสุขและเราที่รู้ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เราทำได้เพียงมองเธออยู่ห่างๆ และแอบหวังว่าสักวันคนๆ นั้นจะปลดปล่อยเดสเซเร่ให้เป็นอิสระ และเราก็รอให้เธอกลับมาหา แต่เดสเซเร่กลับเป็นคนที่ยอมแพ้เสียเอง หลังจากที่เธอเป็นสนมได้ไม่นาน เธอก็เริ่มเป็นโรคซึมเศร้า สุดท้ายเธอก็เชือดข้อมือ พยายามฆ่าตัวตาย กว่าจะมีคนมาพบ เธอก็เสียเลือดไปมากแล้ว แม้หมอจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ แต่สุดท้ายเธอก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และทั้งหมดก็เป็นเพราะเรา หากเราไม่พาเธอมาที่นี่ เธอคงไม่ต้องทรมานแบบนี้ หากไม่เป็นเพราะเรา ในตอนนี้เธอก็คงจะยังมีชีวิตอยู่” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวดทรมาน น้ำตาของพระองค์ก็ไหลออกมา มิคาเอลกุมมือขององค์เดเมี่ยนเอาไว้ รู้สึกเจ็บปวด และเข้าใจพระองค์

 

“มันไม่ใช่ความผิดของพระองค์ พระองค์ทำดีที่สุดแล้ว” มิคาเอลกล่าว

“เปล่าเลย เราไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก เราได้แต่เฝ้ามองเธอทนทรมาน และเจ็บปวด ทั้งๆ ที่เธอรักเรา แต่เรากลับทำให้เธอต้องอยู่ในสภาพนั้น” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวดและเฝ้าโทษตัวเองมาตลอด

“พระองค์จะโทษตัวของพระองค์ได้อย่างไรครับ ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น” มิคาเอลกล่าว

“เพราะเธอรักเรา และต้องการปกป้องเรา แต่การที่เธอฆ่าตัวตาย นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดมากที่สุด การตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว การใช้ชีวิตอยู่ต่างหากที่ทรมานมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก” ทรงตรัสขึ้น มิคาเอลย่อมรู้และเข้าใจดี เขาเองก็เคยพยายามจะฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง

“เจ้าทำให้เราคิดถึงเดสเซเร่ หลายอย่างที่เจ้าเป็น ล้วนคล้ายกับเธอ หลังจากเดสเซเร่ เราก็ไม่เคยรักใครอีก เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้เรารู้สึก รัก ขึ้นมาอีกครั้ง” ทรงตรัสขึ้น มองมาที่คนตรงหน้า

 

“ทั้งๆ ที่เราเกลียดคนๆ นั้น แต่เรากลับกลายเป็นคนๆ นั้นเสียเอง สิ่งที่เราทำกับเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างจากที่คนๆ นั้นทำกับเดสเซเร่ สิ่งที่เราทำกับเจ้าล้วนไม่น่าให้อภัย เราเอาแต่ใจและทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด และการที่เราตัดสินใจยกเจ้าให้กับราฟาเอล เป็นเพราะเราไม่อยากทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เราไม่อยากให้เจ้าเกลียดเรามากไปกว่านี้ ไม่อยากให้เจ้าต้องทนทรมานไปมากกว่านี้ เราคงทนไม่ได้ หากวันหนึ่งเราเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าคิดสั้น และทำให้เราต้องเสียเจ้าไป อย่างไม่มีวันกลับอย่างเดสเซเร่ แม้เราจะไม่ได้ต่างจากคนๆ นั้นมากนัก แต่อย่างน้อยเราก็อยากเห็นเจ้ามีความสุข และเราก็คิดว่าราฟาเอลน่าจะทำให้เจ้ามีความสุขได้” ทรงตรัสด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด

“ฝ่าบาท....ผม...” มิคาเอลอยากจะพูดความในใจ แต่องค์เดเมี่ยนกลับดึงเขาเข้าไปกอดแทน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เราไม่ได้หวังอะไร เรารักเจ้ามิคาเอล หากย้อนเวลากลับไปได้ เราคงจะทำดีกับเจ้ามากกว่านี้ อ่อนโยนต่อเจ้ามากกว่านี้ แต่ในตอนนี้มันคงสายเกินกว่าที่เราจะทำอะไรได้ เราเพียงหวังอยากให้เจ้ามีความสุข เราต้องการแค่นี้” ทรงตรัสและกอดมิคาเอลไว้ มิคาเอลเจ็บปวดน้ำตาที่แห้งไปแล้วจึงไหลออกมาอีก เขารักองค์เดเมี่ยนมากเหลือเกิน ในขณะที่อยากจะบอกต่อพระองค์ องค์ราฟาเอลก็เดินมาเห็นเข้ามา

 

“พระองค์มาทำอะไรที่นี่ ปล่อยมิคาเอลเดี๋ยวนี้” องค์ราฟาเอลประกาศกร้าว องค์เดเมี่ยนจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของมิคาเอลก่อนจะคลายอ้อมกอดและถอยออกมา

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกราฟาเอล เราเพียงมาลาเท่านั้น” องค์เดเมี่ยนตรัส

“พระองค์หมายความว่าอย่างไร” มิคาเอลเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ในใจเจ็บแปลบ

“เราจะไปจากคานาเดียสักพัก” ทรงตอบ การอยู่ในวิลล่าก็คอยแต่จะทำให้พระองค์เอาแต่คิดถึงมิคาเอล ไม่ว่าอย่างไรพระองค์คงทนทำใจไม่ได้

“ทำไมครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวขึ้นถาม ดวงตายังมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา

“เราได้ยินว่าเจ้ากำลังคิดจะแต่งตั้งมิคาเอลเป็นชายา เรายินดีกับเจ้าด้วย ดูแลเขาให้ดี อย่าทำผิดพลาดเหมือนเรา” ทรงหันมาตรัสกับองค์ราฟาเอล

“ผมจะดูแลมิคาเอลอย่างดีที่สุด” องค์ราฟาเอลตอบ

 

“ขอบใจ” องค์เดเมี่ยนตรัส และเดินจากไป
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 44 ตามหาหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 19-08-2016 23:50:07


 

บทที่ 44 ตามหาหัวใจ

 

องค์ราฟาเอลพามิคาเอลเดินกลับเข้าไปในวิลล่า มิคาเอลยังคงทำหน้าเศร้า และเงียบกว่าทุกวันจนพระองค์อดเป็นห่วงไม่ได้

“องค์เดเมี่ยน ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า” ทรงถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลตอบสั้นๆ เขาพยายามจะรวบรวมความกล้า

“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิ มิคาเอล” ทรงตรัส

“ฝ่าบาทครับ ผมมีเรื่องจะร้องขอต่อพระองค์” มิคาเอลเอ่ยขึ้น

“หากเราทำได้ เราก็จะทำให้” ทรงตรัส แปลกใจที่อยู่ๆ มิคาเอลกลับร้องขอบางอย่างจากพระองค์ ทั้งๆ ที่ปกติ มิคาเอลไม่เคยต้องการอะไร

 

“ผมรู้ว่าพระองค์ดีกับผมมาก ที่ผ่านมาพระองค์ก็คอยทำดีกับผมทุกอย่าง แต่… ผมไม่ได้รักพระองค์ ในตอนแรกผมคิดว่าผมจะทน แต่องค์เดเมี่ยนทรงอยากให้ผมมีความสุข ถึงแม้ว่าการที่อยู่ที่นี่ พระองค์จะดูแลผมเป็นอย่างดี แต่ผมก็ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงทรมานและเจ็บปวด แม้ผมจะพยายามแล้วที่จะตัดใจ แต่ผมก็ทนไม่ได้ ที่ผ่านมา ผมเอาแต่ปฏิเสธหัวใจของผมเอง ผมเอาแต่ทำให้คนที่รักผมต้องเจ็บปวด โดยที่ผมไม่เคยบอกความรู้สึกจริงๆ ออกไป ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว และโลเล ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่ผม… ผมอยากจะขอร้องให้พระองค์ปล่อยผมไป… จะได้ไหมครับ” มิคาเอลกล่าว

“ทำไมล่ะ ทำไมจึงเป็นเราไม่ได้” องค์ราฟาเอลตรัสถาม

“ผมขอโทษครับ ฝ่าบาท แต่หัวใจของผมมีเจ้าของแล้วครับ ผม… ผมรักองค์เดเมี่ยนครับ” มิคาเอลสารภาพ อย่างรู้สึกผิด

“แต่พระองค์ก็โหดร้ายต่อเจ้า บังคับขืนใจเจ้า และยังมากรัก”

“ผมทราบครับ แต่พระองค์ก็ทรงอ่อนโยนต่อผมมากเช่นกัน ผมไม่เคยได้ตระหนัก จนกระทั่งเสียพระองค์ไป” มิคาเอลกล่าว

“แต่ถึงเราจะปล่อยเจ้าไป ใช่ว่าเสด็จพี่เดเมี่ยนจะยอมรับเจ้ากลับไป” องค์ราฟาเอลกล่าว

“ผมทราบครับ ผมซาบซึ้งในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้กับผม แต่ผมไม่คิดว่าผมจะคู่ควรต่อพระองค์ ตำแหน่งพระชายาของพระองค์นั้นอยู่สูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมถึง สามัญชนอย่างผมไม่มีค่ามากพอจะให้พระองค์มายกย่องหรอกครับ และหากองค์เดเมี่ยนไม่ต้องการผม ผมก็จะกลับอเมริกาครับ ได้โปรดเถิดครับ ปล่อยผมไป” มิคาเอลคุกเข่าลงขอร้องต่อพระองค์

 

"มิคาเอล เราเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” ทรงประคองมิคาเอลให้ลุกขึ้น

“หากเจ้ารักเสด็จพี่ของเรามากขนาดนั้น ก็จงไปหาพระองค์เสียเถอะ เราอนุญาต เราปลดปล่อยเจ้า เจ้ามีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามความปรารถนาของเจ้า” ทรงตรัส แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ต้องการฝืนใจคนที่ไม่ได้รัก

“ขอบพระทัยขอรับ ฝ่าบาท” มิคาเอลเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะวิ่งออกไปจากวิลล่า และตรงไปที่วิลล่าขององค์เดเมี่ยน

 

มิคาเอลรู้และเข้าใจว่าองค์เดเมี่ยนอาจจะไม่ต้องการเขาอีกแล้ว ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอาแต่ทำร้ายพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์บอกรักเขาอยู่เสมอ แต่เขาต่างหากที่เอาแต่ปฏิเสธ และพูดคำร้ายๆ ให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอยู่เสมอ คนที่แย่ที่สุดก็คือเขาเองไม่ใช่หรือ ในเมื่อเขาต่างหากที่เอาแต่ใจ และไม่เคยทำดีต่อพระองค์สักครั้ง แม้พระองค์อาจจะไม่ต้องการเขาอีกแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็อยากให้พระองค์ได้รู้และเข้าใจความรู้สึกของเขา แม้สุดท้ายเขาอาจจะไม่เหลือใคร แต่อย่างน้อย เขาก็ได้พยายามแล้ว

 

เขามิได้คาดหวังให้พระองค์รับเขากลับไป แต่อย่างน้อยที่สุดเขาอยากให้พระองค์ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาบ้าง

 

ในที่สุดมิคาเอลก็มาหยุดอยู่ที่หน้าวิลล่าขององค์เดเมี่ยน มิคาเอลพยายามตั้งสติก่อนจะก้าวเดินเข้าไป ภายในในวิลล่าดูเงียบเหงา มิคาเอลเดินหาองค์เดเมี่ยนแต่ก็ไม่พบจนกระทั่งเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าวิลล่าเล็ก มิคาเอลก็เห็นแดเรียล เขาจึงเดินเข้าไปหา

“แดเรียล! แดเรียลครับ ฝ่าบาทอยู่ที่ไหนครับ” มิคาเอลถาม

“คุณมิคาเอล คุณมาที่นี่ได้อย่างไรคะ คุณรีบออกไปจากที่วิลล่าเล็กก่อนเถอะค่ะ” แดเรียลตกใจที่เห็นมิคาเอล สีหน้าแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด และเพียงไม่นาน มิคาเอลก็เข้าใจว่าทำไม

 

สนมหลายคนเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงของเขา แต่ละคนเดินตรงเข้ามาหา และเป็นมาร์คัสที่เดินเข้ามาตบหน้าของมิคาเอลอย่างแรงโดยที่มิคาเอลไม่ทันได้ตั้งตัว

 

“กลับมาทำไม!!! หรือว่ายังทำความเสียหายไม่พอ จะต้องทำให้ฝ่าบาทเจ็บปวดขนาดไหนถึงจะพอใจ”

 มาร์คัสตะโกนถาม และเป็นริชชี่ที่เข้ามาห้าม

“พอได้แล้วครับ ถึงจะทำร้ายมิคาเอลก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น” ริชชี่กล่าว

“ถึงขนาดนี้ คุณจะยังเข้าข้างเขาอีกหรือริชชี่ เพราะมิคาเอล ฝ่าบาทถึงได้เจ็บปวดมากขนาดนี้ และเป็นเพราะคนๆ นี้ ฝ่าบาทถึงได้จากไป” เรียวกล่าวขึ้น ตายังแดงจากการร้องไห้ มิคาเอลกลับตกใจเสียเอง

“หมายความว่าอย่างไรครับ ฝ่าบาทไปไหน” มิคาเอลถามขึ้น ใบหน้าหวานค่อยๆ ขึ้นสีเป็นรอยฝ่ามือ

“พระองค์เสด็จไปฝรั่งเศสแล้วครับ และพระองค์ก็ไม่แน่ใจว่าพระองค์จะกลับมาที่คานาเดียอีก” ริชชี่ตอบ

“ทั้งหมดเป็นเพราะแก” มาร์คัสตราหน้ามิคาเอล

“ผม... พระองค์ไปเมื่อไหร่ครับ” มิคาเอลถาม

“พระองค์เพิ่งออกไปได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงแล้วครับ พระองค์ไม่ยอมให้ใครตาม” ริชชี่กล่าว และถามกลับ

“คุณมาที่นี่ทำไม มิคาเอล คุณเป็นขององค์ราฟาเอลไม่ใช่เหรอ” ริชชี่ถาม

“ผมไม่ใช่ของใครทั้งนั้น และผมมาหาองค์เดเมี่ยน ผมจะต้องไปสนามบินแล้ว” มิคาเอลกล่าวก่อนจะหันหลังและเริ่มวิ่งไป

“เดี๋ยว!! คุณจะวิ่งไปสนามบินหรืออย่างไร” ริชชี่กล่าว และโยนกุญแจรถมาให้

“อย่าให้เป็นรอยนะ ไม่อย่างนั้นผมสาบานว่าคุณจะต้องชดใช้” ริชชี่ขู่ทิ้งท้าย

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าวขอบคุณและวิ่งออกไป

“ไปช่วยมันทำไม ริชชี่” มาร์คัสถามอย่างไม่พอใจ

“ผมไม่ได้ช่วยมิคาเอล ผมแค่ต้องการให้องค์เดเมี่ยนกลับมา และคนเดียวที่ทำให้พระองค์กลับมาได้ก็คือ มิคาเอล”

 

มิคาเอลขับรถสปอร์ตคันเล็กของริชชี่ออกไป ในใจเฝ้าภาวนาขอให้ไปทัน ขอให้เขาได้เห็นหน้าของพระองค์อีกสักครั้ง ต่อให้ถูกปฏิเสธ ต่อให้พระองค์ไม่ต้องการเขาอีก เขาก็จะไม่บ่นเลยแม้แต่ครึ่งคำ

 

มิคาเอลขับรถไปถึงที่สนามบิน และรีบตรงไปในส่วนที่จอดเครื่องบินส่วนพระองค์ มิคาเอลรีบวิ่งมาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว พยายามมองหาเครื่องบินส่วนพระองค์ แต่ไม่ว่าจะมองหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบ พอดีมีคนผ่านมามิคาเอลจึงรีบเข้าไปถาม

“ขอโทษครับ องค์เดเมี่ยน เครื่องบินขององค์เดเมี่ยนอยู่ที่ไหนครับ”

มิคาเอลเอ่ยถามด้วยความหวังอันเลือนลาง

“เครื่องของพระองค์เพิ่งเทคออฟไปเมื่อ 15 นาทีที่แล้วครับ” ชายคนนั้นตอบ ทันทีที่ได้ยิน มิคาเอลก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาเฉยๆ จนเขาทรุดลงไปกองกับพื้น น้ำตาก็ไหลออกมา สะอื้นไห้อย่างไม่อาจจะควบคุม มิคาเอลนั่งร้องไห้อยู่นาน จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์มาจอดอยู่ไม่ห่าง พร้อมกับเสียงเปิดและปิดประตู เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้

 

“เจ้าก็มาไม่ทันสินะ” เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้น

“ผมผิดเองครับ เป็นเพราะผม พระองค์ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้” มิคาเอล

กล่าว

“เราถามเจ้า มิคาเอล เจ้าคิดอย่างไรกับเสด็จพี่เดเมี่ยน” องค์นาธานเนียลเอ่ยถามเรียบๆ

“ผมรักพระองค์ครับ ผมเพิ่งมารู้ตัวเมื่อไม่นาน แต่ผมไม่ได้คาดหวังอะไร ผมเพียงอยากให้พระองค์ได้รู้ความในใจของผมก็เท่านั้น แต่มันคงสายเกินไปแล้ว” มิคาเอลตอบ

“ราฟาเอลบอกกับเราเรื่องปลดปล่อยเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้ามีอิสระแล้ว เจ้าจะยังอยากจะพบกับเสด็จพี่ของเราอีกหรือ” ทรงถาม

“ครับ” มิคาเอลกล่าวเงยหน้าขึ้นมองพระองค์

“พระองค์รู้ว่าองค์เดเมี่ยนอยู่ที่ไหนใช่มั้ยครับ” มิคาเอลเอ่ยถาม

“หากเรารู้ แล้วเจ้าจะทำไม”

“บอกผมได้ไหมครับ”

“หากเจ้าต้องการรู้ เราก็ต้องการข้อแลกเปลี่ยน” ทรงตรัส

“ครับ”

“พาพระองค์กลับมาคานาเดียให้ได้ แล้วเราจะยกโทษทุกอย่างที่เจ้าได้กระทำไว้”

“ตกลงครับ”

“เราจะให้แมททิวไปกับเจ้าก็แล้วกัน เขารู้ว่าเสด็จพี่อยู่ที่ไหน” ทรงตรัส

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวขอบคุณ

 

องครักษ์แมททิวพามิคาเอลเดินทางไปยังฝรั่งเศส ประเทศที่มีกลิ่นอายของความโรแมนติกอยู่ทุกที่ แต่ในตอนนี้มิคาเอลกลับไม่มีจิตใจจะสนใจสิ่งใด เขาจดจ่อ อยากจะพบกับองค์เดเมี่ยนเร็วๆ แมททิวบอกว่าเพราะองค์เดเมี่ยนเคยอยู่ที่ฝรั่งเศสมานานหลายปี พระองค์มีบ้านอยู่หลายหลัง และทั้งแมททิวและเขาก็เดินทางไปที่บ้าน หรือจะเรียกให้ถูกคือแมนชั่นขนาดใหญ่ในเมืองมาแล้ว ถึงสองที่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของพระองค์

 

ในขณะนี้แมททิวจึงพามิคาเอลขับรถออกนอกเมืองเพื่อไปยังคฤหาสน์อีกหลังนอกเมือง รถขับมาเรื่อยๆ นอกเมืองของฝรั่งเศสนั้นงดงามมาก ไร่ไวน์มากมายสองข้างทาง มองออกไปสุดลูกหูลูกตา ทุกอย่างล้วนงดงามราวกับภาพวาด แต่กระนั้นมิคาเอลก็ไม่มีจิตใจจะมาชื่นชมความงาม

 

แมททิวขับรถมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปในถนนส่วนบุคคล สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายขนาบไปตามถนนทั้งสองข้าง ด้วยเพราะเข้าฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จึงเริ่มเปลี่ยนสี ไล่ไปตั้งแต่สีเหลือง ส้ม และแดง ดูงดงาม รถถูกขับมาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ดูผสมผสานกลมกลืนระหว่างความเก่าและความใหม่ ตัวชาโตว์ ทำจากหินสีอ่อนคล้ายๆ ปราสาท งดงาม และ ใหญ่โต

 

มิคาเอลเปิดประตูรถ และเดินลงมา คฤหาสหลังนี้ดูแตกต่างจากที่อื่นที่เขาไปมา สิ่งหนึ่งที่เขาได้ยินทันทีที่รถจอด คือเสียงเปียโนอันเศร้าสร้อย เล่นเพลงที่เขาเคยได้ยินมาก่อน แมททิวพาเขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อเข้ามาภายใน มิคาเอลก็เดินอย่างเหม่อลอยตามเสียงของเปียโนไป เสียงเพลงที่ได้ยินในวันนี้ยังฟังดูเศร้าสร้อยเสียยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก มิคาเอลพาตัวเองเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เขาหยุดยืนฟังเพลงนั้นของพระองค์จนจบ ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ น้ำตาก็เอ่อไหลออกมา

 

เสียงเปียโนเงียบหายไป มิคาเอลจึงค่อยๆ เปิดประตูบานใหญ่ออกก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้อง พระองค์ยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างโดดเดี่ยว ลำพัง ใบหน้าอันหล่อเหลานิ่งเฉย แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา พระองค์หลับตาลง น้ำตาก็ค่อยๆหยดลงอาบแก้มของพระองค์ มิคาเอลรู้สึกเจ็บปวดที่เขาเป็นสาเหตุทำให้เจ้าชายที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้าย กำลังกรรแสงอยู่ในขณะนี้ เขาเฝ้าตามหาพระองค์มานานนับอาทิตย์ คนที่เขาตามหามาตลอดอยู่ตรงหน้า หัวใจที่หายไปของเขา ในที่สุดเขาก็ตามหาหัวใจดวงนี้ของเขาจนเจอ

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 44 ตามหาหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 21-08-2016 00:37:50
 :mew2: เหมือนน่าจะไม่มีดราม่าต่อน่ะ แต่ก้อยังมี 555  :mew4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 45 สำรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 21-08-2016 11:11:47
 

 

บทที่ 45 สำรวจ

 

องค์เดเมี่ยนตัดสินใจแล้วว่าพระองค์จะหลบไปอยู่ลำพังสักพัก พระองค์โทรสั่งให้เตรียมเครื่องบิน และพระองค์ต้องการออกเดินทางทันทีที่พระองค์ไปถึงที่สนามบิน หลังจากที่พระองค์กลับมาที่วิลล่าพระองค์เพียงตรัสสั้นๆ ว่าพระองค์จะไปฝรั่งเศสโดยไม่มีกำหนดว่าจะกลับเมื่อไหร่ แต่เพียงเท่านั้นเหล่าสนมก็พากัน โวยวายจนพระองค์ต้องขึ้นเสียงดุ สนมหลายคนถึงกับร้องไห้เพราะพระองค์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่พระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจใคร พระองค์ไม่ต้องการใคร และคนที่พระองค์ต้องการ ก็คงไม่ได้ต้องการพระองค์

 

เมื่อเครื่องใกล้จะออก พระองค์จึงโทรไปหาองค์นาธานเนียล

“พระองค์หมายความว่าอย่างไร พระองค์อยู่บนเครื่อง เสด็จพี่จะไปไหน” องค์นาธานเนียลถามกลับ

“เราอยากอยู่คนเดียวสักพัก เมื่อเราพร้อมเราจะกลับมาเอง” องค์เดเมี่ยนตรัส

“เสด็จพี่จะไปไหน จะทรงไปนานขนาดไหน” องค์นาธานเนียลโกรธที่องค์เดเมี่ยนทำอะไรโดยไม่ปรึกษาแบบนี้

“อาจ 1 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี พี่ก็ยังไม่แน่ใจ” ทรงตอบ

“เสด็จพี่นี่มันไม่ตลกเลย ผมไม่ให้พระองค์ไป” องค์นาธานเนียลพยายามเนี่ยวรั้งไว้

“พี่ต้องวางแล้ว เครื่องกำลังจะออกแล้ว” องค์เดเมี่ยนพยายามจะตัดสาย

“เสด็จพี่ ทำไมพระองค์จะต้องทำแบบนี้ แค่สนมคนเดียว หากพระองค์ต้องการสนมคนใหม่ ผมจะให้คนสรรหาคนมาให้พระองค์เลือก จะมีสนมเพิ่มอีกกี่สิบคนก็ยังได้” องค์นาธานเนียลกล่าว

“มิคาเอลไม่เหมือนคนอื่นหรอกนาธานเนียล ไม่ว่าใครก็แทนที่เขาไม่ได้ และเพราะเหตุนี้ พี่ถึงต้องไป พี่ขอโทษที่เอาแต่ใจ ถือเสียว่าพี่เอาคืนในตอนที่เจ้าไปเที่ยวเล่นที่อเมริกาก็แล้วกัน” องค์เดเมี่ยนกล่าวและตัดสายไป

 

เมื่อพระองค์มาถึงพระองค์ก็ตรงไปที่คฤหาสน์ พระองค์ไม่อยากพบใคร จึงสั่งให้ปิดเรื่องการเสด็จของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง พระองค์ก็เอาแต่เก็บตัว ไม่ทรงพูดคุยกับใคร เหล่าคนรับใช้ ต่างแปลกใจ ที่ปกติ เวลาที่องค์เดเมี่ยนเสด็จประทับ พระองค์จะพาหญิงสาว หรือชายหนุ่มมาด้วย แต่ในครั้งนี้ พระองค์กลับเสด็จมาเพียงลำพัง นอกจากนั้นพระองค์ยังเอาแต่เก็บตัว และหลายครั้งที่หัวหน้าพ่อบ้านยังเห็นพระองค์เอาแต่เหม่อลอย และไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

ในวันนี้ก็อีกเช่นกันที่พระองค์เอาแต่เก็บตัว เสียงเปียโนที่ไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้น แต่เพลงที่เล่นกลับเป็นเพลงที่เศร้าสร้อยจนคนฟัง ยังรู้สึกอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย

 

ในขณะที่ทุกคนเอาแต่เป็นห่วงองค์เดเมี่ยน รถสีดำก็ขับมาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ และก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ขององค์เดเมี่ยนที่ลงมาจากรถ พร้อมกับหนุ่มน้อยหน้าหวาน ที่ทุกคนต่างต้องพากันมองด้วยความสนใจ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจสิ่งใด กลับเดินไปตามเสียงของเปียโน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทรงดนตรีที่องค์เดเมี่ยนประทับอยู่

 

มิคาเอลหยุดยืนอยู่เบื้องหลังขององค์เดเมี่ยน องค์เดเมี่ยนที่เอาแต่เหม่อลอยไม่ได้รู้ถึงการมาของเขาด้วยซ้ำ มิคาเอลรวบรวมความกล้าก่อนจะเดินเข้าไปโอบกอดองค์เดเมี่ยนไว้ พระองค์ดูตกใจ เมื่อถูกกอดจากทางด้านหลัง

“ฝ่าบาท” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ซบใบหน้าลงกับแผ่นหลังของพระองค์ กอดพระองค์เอาไว้แนบแน่น

“เราฝันไปหรือเปล่า” ทรงตรัสขึ้นเบาๆ ก่อนจะพยายามหันหน้ามาหาคนตัวเล็ก แต่มิคาเอลกลับไม่ยอม

“ได้โปรดฟังผมก่อนครับ” มิคาเอลกล่าว ขณะที่ยังกอดพระองค์ไว้ ไม่ยอมปล่อย

“เราอยากเห็นหน้าเจ้า เราอยากรู้ว่าเราไม่ได้ฝันไป” ทรงตรัส

“แต่ถ้าพระองค์หันมา ผมก็คงพูดไม่ออกอีก เพราะฉะนั้น ได้โปรดฟังผมก่อน” มิคาเอลกล่าว

“ว่ามาสิ”

“ผม... ผมขอโทษครับ ที่ตลอดมาผมทำไม่ดีกับพระองค์มากมาย ทั้งๆ ที่พระองค์พยายามทำดีกับผม แต่ผมก็ยังเอาแต่ปฏิเสธพระองค์ ผมขอโทษที่ตลอดมา ผมทำให้พระองค์เจ็บปวด แต่ผมไม่เคยมีความรักมาก่อน ผมไม่เคยคิดว่าผมจะรักใครได้ ผมเอาแต่ปฏิเสธหัวใจของผมเองมาตลอด จนกระทั่งพระองค์ไปจากผม ผมถึงได้รู้ ผมถึงได้ยอมรับ ผมถึงได้เข้าใจ ว่าการรักใครสักคน มันเป็นอย่างไร...” มิคาเอลกล่าวและยังกอดองค์เดเมี่ยนไว้ แต่องค์เดเมี่ยนกลับแกะมือของมิคาเอลออกและหันกลับมามองคนตรงหน้า

“ผม... ผม... ผม รัก พระองค์ ครับ”

มิคาเอลกล่าว ใบหน้าแดง และน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา

“เราหูฝาดไปหรือเปล่า” ทรงตรัสเสียงเบา

“ผมรู้ว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว ผมเพียงอยากให้พระองค์ได้รู้ความรู้สึกของผม ผมไม่ได้คาดหวังให้พระองค์มารักผม...” มิคาเอลก้มหน้าลง ด้วยสำนึกว่าเขาไม่ได้มีค่าอะไร หากพระองค์จะปฏิเสธเขาก็คงจะไม่แปลกใจเลยสักนิด

“มิคาเอล เรารักเจ้า” ทรงตรัส พระองค์แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่พระองค์ได้ยิน แต่เพียงคำพูดสั้นๆ เพียงแค่นี้กลับทำให้พระองค์มีความสุขมากกว่าสิ่งใด

 

พระองค์รั้งร่างของมิคาเอลเข้ามาในอ้อมกอด

“ฝ่าบาท ยังไม่ตอบผมเลยนี่ครับ พระองค์ยังทรงต้องการผมอยู่หรือเปล่า” มิคาเอลถาม

“เจ้ายังต้องถามเราอีกเหรอ ในเมื่อเรารักและปราถนาในตัวเจ้ามากขนาดนี้” พระองค์ตรัส และรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“ผมคิดถึงพระองค์ครับ คิดถึงมาก คิดถึงทุกลมหายใจ”

มิคาเอลกล่าวอยู่กับอก น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา

“เราก็คิดถึงเจ้ามากกว่าสิ่งใด” ทรงตรัสก่อนจะช้อนร่างของมิคาเอลขึ้น

คนตัวเล็กดูตกใจ แต่ก็มิได้ขัดขืน พระองค์จึงยิ้มออกมา ก่อนจะจุมพิตที่แก้มเบาๆ พร้อมกับสูดกลิ่นหอม ของคนตัวเล็ก อย่างคิดถึง

 

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลประท้วงเบาๆ

“เราคงต้องสำรวจเจ้าอีกครั้ง ว่าเจ้าเป็นตัวจริงหรือเปล่า” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ทำไมล่ะครับ” มิคาเอลไม่เข้าใจ

“มิคาเอลที่เรารู้จัก เป็นลูกแมวป่า ที่ไม่เชื่อง ในตอนนี้เจ้ากลับออดอ้อนเรา และตามใจเราแบบนี้ เราไม่ค่อนชินเท่าไหร่” ทรงตรัส แล้วจึงหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก

“ถ้าพระองค์ไม่ชอบ ผมกลับไปพยศอีกก็ได้นะครับ” มิคาเอลตอบทำหน้างอนๆ พระองค์อุ้มพามิคาเอลขึ้นไปที่ห้องบรรทม

“เรามีวิธีปราบแมวป่าอย่างเจ้า” ทรงตรัสยิ้มๆ

คนตัวเล็กก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก

“ฝ่าบาท...”

 

องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลเข้ามาในห้องบรรทม และวางลงบนเตียงขนาดใหญ่ ก่อนจะทรงทิ้งตัวลงเคียงข้าง

“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ได้ แล้วราฟาเอลไปไหน” ทรงกลั้นใจถาม

“องค์ราฟาเอลปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระครับ และองค์นาธานเนียลก็ทรงสั่งให้ผมมาตามพระองค์กลับไป” มิคาเอลตอบ

“เจ้ามาตามหาเราเพราะคำสั่งอย่างนั้นหรือ” ทรงตรัสถามอย่างน้อยใจ

“ผมมาตามหาหัวใจของผมต่างหาก” มิคาเอลกล่าว

“พูดได้ดี”

ทรงตรัสก่อนจะทรงจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปากอย่างหยอกล้อ

“ในเมื่อเจ้ามีอิสระแล้ว ทำไมเจ้าไม่กลับไปอเมริกาเสีย เจ้าเอาแต่อ้อนวอนอยากจะไปอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัสถามอย่างสงสัย

“พระองค์อยากให้ผมไปเหรอครับ ผมแค่อยากให้พระองค์รู้ความในใจของผม แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงรักผม ไม่ทรงต้องการผมแล้ว ผมก็จะไป”

มิคาเอลตอบ ทำท่าจะลุกหนี แต่องค์เดเมี่ยนก็รั้งเอาไว้ และทรงพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างเล็กเอาไว้

“สายไปแล้วล่ะ เราจะกักขังเจ้า ใส่ปลอกคอเจ้า จะเอาโซ่ล่ามเจ้าเอาไว้ ต่อให้เจ้าร้องไห้แค่ไหน เราจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอีก” ทรงตรัส และถอดเสื้อผ้าของมิคาเอลออก เมื่อมันไม่ยอมถูกถอดง่ายๆ พระองค์ก็ฉีกมันออก มิคาเอลตกใจ แต่ไม่ได้ขัดขืน

 

“พระองค์บอกให้ผมมีความสุข ที่ที่ผมมีความสุข คือที่ที่อยู่เคียงข้างของพระองค์” มิคาเอลกล่าวด้วยใบหน้าแดง ร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าเจ้าชาย พระองค์ยิ้มเมื่อได้ยิน จ้องมองร่างอันเปลือยเปล่าของมิคาเอล อย่างปรารถนา แต่ไม่ยอมแตะต้อง จนมิคาเอลต้องเอ่ยขอร้อง

“ผม... ผมต้องการพระองค์ครับ”

มิคาเอลอ้อนวอน หน้าขึ้นสีด้วยความอาย

“เจ้าต้องการอะไร” ทรงถามด้วยรอยยิ้ม

“ผม... ผม... ปรารถนา พระองค์” มิคาเอลตอบหน้าแดง

“เรายังไม่ได้สัมผัสเจ้าเลย ร่างของเจ้าก็กำลังตื่นตัวเสียแล้ว เจ้าต้องการเรามากขนาดนั้นเชียวหรือ” ทรงตรัสและเอาแต่จ้องมอง ไม่ยอมสัมผัส

“ฝ่าบาท... อย่าทรมานผม” มิคาเอลประท้วง

“เจ้าปล่อยให้ราฟาเอลสัมผัสเจ้า ร่วมรักกับเจ้ามากี่ครั้ง” ทรงตรัสถาม

“ผมเปล่าครับ ผมเคยร่วมรักกับพระองค์เพียงคนเดียว” มิคาเอลตอบ

ส่งสายตาอ้อนวอนให้กับคนตัวใหญ่ ที่ทำหน้าแปลกใจเมื่อได้ยิน

“องค์ราฟาเอลไม่ได้แตะต้องผมมากไปกว่าจูบ” มิคาเอลตอบ

“ต่อหน้าเรา เจ้ายังกล้าเรียกชื่อชายอื่นอีกเหรอ” ทรงตรัสอย่างโหดร้าย

ทรงสัมผัสที่ยอดอกหยอกเย้าจนมันแข็งเป็นไต ก่อนจะก้มลงขบกัดเบาๆ

มิคาเอลก็ร้องครางออกมา

“ผม ขอโทษครับ ฝ่าบาท ได้โปรด อย่า อย่าแกล้งทรมานผม”

มิคาเอลอ้อนวอน

“ร่างกายเจ้ากำลังตื่นตัวมากขึ้นอีกแล้ว ดูสิ ตรงนี้ของเจ้าเป็นสีชมพู และชูชันแบบนี้” ทรงตรัสหยอกล้อไล้นิ้วไปที่ยอดอก และบีบคลึงเบาๆ จน

มิคาเอลครางออกมาอย่างเสียวซ่าน

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ทรงถาม มิคาเอลหอบหายใจ เขากำลังปรารถนาคนตรงหน้าเหลือเกิน

“ตอบเรามา มิคาเอล” ทรงตรัสถามและยังทรมานเขาไม่หยุด

“องค์... นาธานเนียล ให้... คุณแมททิวพาผมมาครับ” มิคาเอลตอบตามตรง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าริอาจเดินทางลำพังกับชายอื่น” องค์เดเมี่ยนตรัสถาม อย่างไม่พอใจนัก

“ฝ่าบาท คุณแมททิว แค่พาผมมาหา พระองค์ อ๊ะ!...ฝ่าบาท” มิคาเอล

พยายามปฏิเสธ องค์เดเมี่ยนยังคงทรมานมิคาเอลต่อไป ทรงสอดนิ้วเข้าไปสำรวจภายใน มิคาเอลก็นิ่วหน้า ก่อนจะอ้อนวอน

“แมททิวมันสัมผัสเจ้าหรือเปล่า มันสัมผัสเจ้าแบบนี้หรือเปล่า” พระองค์ตรัสถาม ค่อยๆ ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มนิ้วเข้าไป

“ฝ่าบาท ...แมททิว ...ไม่ได้แตะต้องผม” มิคาเอลร้องบอก

“เจ้าเรียกชื่อชายอื่นต่อหน้าเราอีกแล้วหรือ” ทรงตรัส

ก่อนจะทรมานมิคาเอลต่อไป

“ผม... ขอโทษครับ... ฝ่าบาท...ได้โปรด... ยกโทษ.. ให้ผมด้วย...”

มิคาเอลอ้อนวอน ความปราถนากำลังทำให้เขาแทบคลั่ง

“พระองค์เป็นคนเดียว ที่สัมผัสผม… พระองค์เป็นคนแรก … และคนเดียวที่สัมผัสผม …ผม…ผม …ต้องการ…พระองค์…คนเดียว…เท่านั้น”

มิคาเอลพูดอ้อนวอนพระองค์

“ที่ตรงนี้ มีใครกี่คนที่สัมผัสเจ้า ตอบเรามามิคาเอล”

ทรงสอดนิ้วที่สามเข้าไปภายใน ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ จนคนตัวเล็กครางออกมา

“พระองค์... เป็นคนแรก...และคนเดียว...ครับ” มิคาเอลตอบ

ก่อนจะครางออกมาเสียงดัง ร่างกายเกร็งกระตุก บีบรัด นิ้วของพระองค์ ของเหลวสีขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา องค์เดเมี่ยนดูพอพระทัย ค่อยๆ ถอนนิ้วออกช้าๆ

“มีใครกี่คนที่ทำให้เจ้าปลดปล่อยแบบนี้” ทรงก้มลงมาตรัสถาม

“พระองค์…เป็นคนแรก…และคนเดียวครับ” มิคาเอลตอบอย่างเหน็ดเหนื่อย พระองค์จึงประทานจุมพิตให้เนิ่นนาน องค์เดเมี่ยนยิ้มทรงลุกขึ้นปลดเปลื้องอาภรออก และก้าวเข้ามาหา กระซิบบางอย่าง จนคนตัวเล็กหน้าแดง แต่คนตัวเล็กก็กระซิบตอบพระองค์ พระองค์ดูพึงพอใจกับคำตอบ ก่อนจะค่อยๆ ฝังร่างของพระองค์เข้าไป อย่างอ่อนโยน

 

“แล้วที่ตรงนี้ล่ะ มีใครกี่คนที่สอดใส่ ล้วงล้ำเข้าไปแบบนี้”

 

“พระองค์ เป็นคนแรก และคนเดียวครับ”
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 45 ด้วยความรักและความคิดถึง 20++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-08-2016 09:17:31


 

บทที่ 46 ด้วยความรัก และ ความคิดถึง

 

องค์เดเมี่ยนค่อยๆ สอดใส่เข้าไปช้าๆ มิคาเอลครางออกมา โอบกอดพระองค์ไว้

“อย่าเกร็งสิ”

ทรงตรัส และจูบมิคาเอลเบาๆ ปลอบโยนคนตัวเล็ก พระองค์สอดลิ้นเข้าไป และควานหาหวานหวานจากภายใน ริมฝีปากนี้ที่พระองค์เฝ้าคิดถึงมาตลอด พระองค์ค่อยๆขยับเข้าออกช้าๆ มิคาเอลค่อยๆ ชินกับขนาดขององค์เดเมี่ยน แต่แล้วพระองค์ก็พลิกให้มิคาเอลขึ้นมาอยู่ข้างบน พระองค์จับให้มิคาเอลนั่งบนร่างของพระองค์ แล้วพระองค์ก็หยุดเคลื่อนไหวเอาเสียดื้อๆ มิคาเอลใบหน้าแดงด้วยความเขินอาย ความปรารถนากำลังครอบงำเขา

 

“ในเมื่อเจ้าปรารถนาเรา ทำไมเจ้าไม่ลองขยับเองล่ะ”

ทรงตรัสอย่างหยอกล้อ

“ผม… ผม…”

 มิคาเอลอยากจะปฏิเสธ องค์เดเมี่ยนช่างใจร้ายกับเขาเหลือเกิน

“ในเมื่อเจ้าต้องการเรา เราจะยอมให้เจ้าทำตามใจ เจ้าจะทำอะไรกับร่างกายของเราก็ได้” ทรงตรัสต่อให้

“ฝ่าบาท”

มิคาเอลร้องเรียกอ้อนวอนแต่เมื่อพระองค์ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ มิคาเอลจึงจำใจขยับตัวช้าๆ เขาค่อยๆ ถอนตัวออก และค่อยๆ กดตัวลงมาบนความใหญ่โตของพระองค์ มิคาเอลพยายามจะกลั้นเสียงไว้ แต่องค์เดเมี่ยนกลับไม่พอใจ

“อย่ากลั้นเสียงสิ เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า”

ทรงตรัส จะลุกขึ้นมาจูบมิคาเอลอย่างเย้ายวน

“ฝ่าบาท แต่ มันน่าอายนี่ครับ” มิคาเอลพยายามจะไม่ร้องครางออกมา

“เราว่ามันเร้าอารมณ์มากกว่า เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า” ทรงตรัสก่อนจะครอบครองยอดทับทิมเม็ดงามทั้งสอง

“ฝ่าบาท!” มิคาเอลร้องเรียก

“เจ้าน่ารักมากเวลาที่เจ้ากำลังปรารถนาแบบนี้” ทรงตรัส มองคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ

“ผม… ผม…” มิคาเอลพยายามจะกล่าวร้องขอต่อพระองค์ เขาพยายามขยับขึ้นลง อย่างคนอ่อนประสบการณ์ แต่ก็มิอาจมีความสุขเหมือนเวลาที่องค์เดเมี่ยนกระทำ

“เจ้าอยากให้เราช่วยหรือ” ทรงถามยิ้มๆ

“ได้โปรด ฝ่าบาท ผมทรมานครับ”

มิคาเอลอ้อนวอน องค์เดเมี่ยนพลิกตัวมิคาเอลลงเบื้องล่างก่อนจะขยับพระองค์อย่างเชื่องช้า จนมิคาเอลต้องอ้อนวอนอีกครั้ง

“ฝ่าบาท ได้โปรด อย่างแกล้งผม”

“บอกเรามาสิ ว่าเจ้าเป็นของใคร” ทรงตรัสถาม

“ผม… เป็นของพระองค์” มิคาเอลกล่าวแต่โดยดี

“เรียกชื่อของเราสิ”

“ผม… ผม เป็นของ องค์เดเมี่ยน ครับ ผมเป็นของพระองค์ คนเดียว”

มิคาเอลกล่าวออกมา

“เด็กดี”

ทรงตรัสก่อนจะขยับร่างของพระองค์อย่างช้าๆ และเร่งจังหวะขึ้น แต่พอ

มิคาเอลกำลังจะปลดปล่อยพระองค์ก็ถอดถอนออก

“เรายังไม่อนุญาตให้เจ้าปลดปล่อย”

ทรงตรัสก่อนจะรั้งร่างของมิคาเอลขึ้นมา และจับให้คนตัวเล็กคลานเข่าลงบนเตียง ในขณะที่พระองค์ยืนอยู่เบื้องหลัง พระองค์เอาร่างของพระองค์มาสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวเบื้องหลังของมิคาเอล ก่อนพระองค์จะกระแทกร่างของพระองค์เข้าไป มิคาเอลกรีดร้อง ร่างของพระองค์ฝังลึกเข้าไปทั้งหมด

“ฝ่าบาท อืมมมม ของ ... พระองค์... ของพระองค์”

มิคาเอลครวญคราง

“ใช่... ร่างของเรา ฝังลึก อยู่ภายในตัวเจ้า”

ทรงตรัสและจูบที่ต้นคอของมิคาเอล

“ฝ่าบาท ... อย่าครับ...”มิคาเอลพยายามประท้วงเสียงเบา

“อา... แต่ตรงนี้ของเจ้าไม่ได้ปฏิเสธนี่นา ตรงกันข้าม กลับบีบรัดเราจนแน่นขนาดนี้”

ทรงกระซิบข้างหู ก่อนจะขบเม้มติ่งหู เบาๆ มิคาเอลก็เสียวซ่านไปหมด พระองค์ขยับร่างช้าๆ ให้คนตัวเล็กได้คุ้นเคยกับท่าใหม่ พระหัตถ์ค่อยๆ เอื้อมมาสัมผัสกับร่างที่ตื่นตัวของมิคาเอลเบื้องหน้า ร่างของพระองค์ก็ขยับเป็นจังหวะอยู่เบื้องหลัง พระองค์ยังคงจูบไซร้ที่ต้นคอ ทิ้งรอยแดงไว้หลายจุด พระหัตถ์อีกข้างยังปลุกเร้าที่หน้าอก มิคาเอลได้แต่ร้องครางและศิโรราบต่อความช่ำชองของเจ้าชาย

 

พระองค์จับสะโพกของมิคาเอลไว้ ก่อนจะใช่ฝ่ามือฟาดที่ก้นงอนงามอย่างหยอกล้อ มิคาเอลสะดุ้ง ร่างก็บีบรัดพระองค์มากขึ้น

“เด็กไม่ดีอย่างเจ้า ต้องถูกลงโทษ”

ทรงตรัสก่อนจะฟาดฝ่ามือลงมาอีก มิคาเอลร้องเบาๆ ร่างของมิคาเอลก็บีดรัดพระองค์จนแน่น และพระองค์ก็ต้องครางหนักๆ ออกมาด้วยความเสียวซ่าน พระหัตถ์ทั้งสองรั้งจับสะโพกเล็กเอาไว้ ก่อนจะรั้งร่างของคนตัวเล็กเข้าหา จังหวะเดียวกัน ก็กระแทกร่างของพระองค์เข้าไปจนมิด มิคาเอล

ครางออกมาเสียงดัง เสียวซ่านจนไม่อาจบรรยายได้ ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ มีเพียงพระองค์เท่านั้น ที่เข้ามาเขย่าโลกทั้งใบของเขา

 

"เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงกระซิบข้างหู

ร่างของพระองค์ยังขยับเข้าออกเป็นจังหวะ และในบางครั้งพระองค์ก็ยังแกล้งกระแทกร่างเข้ามาอย่างแรง มิคาเอลครางจนหอบเหนื่อย

“ฝ่าบาท… ผมไม่ไหวแล้วครับ… ได้โปรด”

มิคาเอลอ้อนวอนอีกครั้ง

“เจ้าตอบคำถามของเราก่อน เจ้ารักเราหรือไม่ มิคาเอล”

ทรงตรัสถามและทำท่าจะถอดถอนออก

“ผม… รัก… รักพระองค์…” มิคาเอลตอบด้วยเสียงอันเย้ายวน

จนองค์เดเมี่ยนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และฝังร่างของพระองค์กลับเข้าไป มิคาเอลก็ร้องครวญครางอีกครั้ง พระองค์เร่งจังหวะขึ้น จนในที่สุดมิคาเอลก็เกร็งตัวอีกครั้ง บีดรัดพระองค์จนพระองค์แทบทนไม่ได้ ร่างเล็กก็ปลดปล่อยออกมา และฟุบลงกับเตียง อย่างอ่อนล้า

 

แต่พระองค์ยังไม่พอใจ พระองค์นอนลงเคียงข้างมิคาเอลที่นอนหอบเหนื่อยอยู่ พระองค์เอื้อมมากอดร่างของมิคาเอลจากด้านหลัง ทรงจุมพิตที่ต้นคอของคนตัวเล็ก จูบหัวไหล่ มือข้างหนึ่งเอื้อมมาปลุกเร้าร่างเล็กที่เบื้องหน้าอีกครั้ง ไม่นานร่างของมิคาเอลก็ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง พระองค์ค่อยๆ ยกขาของมิคาเอลขึ้น และแยกออกช้าๆ ทรงจูบต้นคอของคนตัวเล็กอย่างรักใคร่ ก่อนจะค่อยๆ สอดแทรกร่างของพระองค์เข้าไป มิคาเอลครางเบาๆ เมื่อร่างของพระองค์แทรกตัวเข้ามา  พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้าจนมิคาเอลรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน ความสุขมากมายที่พระองค์ปรนเปรอให้

 

พระองค์ยังคงขยับอย่างเชื่องช้า แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานนับชั่วโมง พระองค์ก็ไม่มีทีท่าจะปลดปล่อยเสียที จนมิคาเอลเริ่มประท้วง

 

“ฝ่าบาท ผมเหนื่อยแล้ว ปล่อยผมสักที” มิคาเอลอ้อนวอน

“เรายังไม่หายคิดถึงเจ้าเลย” ทรงตรัส ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็ก

“ฝ่าบาท ผม...” มิคาเอลหน้าแดง อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้ช่ำชองเรื่องบนเตียงอย่างพระองค์เสียหน่อย จะได้ร่วมรักนานเป็นชั่วโมงแบบนี้

“เจ้าจะบอกว่าเรามักมากงั้นหรือ” ทรงตำหนิ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลรีบปฏิเสธ กลัวจะโดนลงโทษอีก

“ใครให้เจ้าน่ารักแบบนี้กันล่ะ” ทรงตรัส

ก่อนจะพลิกตัวขึ้นด้านบน ยกขาของมิคาเอลขึ้นก่อนจะสอดใส่เข้ามาอีกครั้ง มิคาเอลครางออกมา ร่างของพระองค์เข้ามาลึกเหลือเกิน มิคาเอลกำผ้าปูแน่น ใบหน้าหวานแดงก่ำ เมื่อสายตาคมจ้องมาที่เขา

“ใครให้เจ้าทำหน้าตายั่วยวนเราแบบนี้กัน” ทรงตรัส ขยับร่างเป็นจังหวะ และเร่งความเร็วขึ้น

“ผม…เปล่า…” มิคาเอลปฏิเสธ แต่ก็ครางออกมาอย่างยั่วยวน

“เสียงของเจ้าก็ยั่วยวนเรา” ทรงตรัสเย้าแหย่

“ผม…เปล่า…” มิคาเอลปฏิเสธแต่ก็ครางออกมาอย่างเย้ายวน องค์เดเมี่ยนเร่งขยับร่างจนในที่สุดทั้งสองก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

องค์เดเมี่ยนก้มลงมากอดมิคาเอลไว้ พร้อมกับจุมพิตคนตัวเล็กเนิ่นนาน พร้อมกระซิบคำรักมากมายข้างหูคนตัวเล็ก

“เราคิดถึงเจ้า มิคาเอล เรารักเจ้ามากเหลือเกิน”

ทรงเฝ้ากระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนตัวเล็กหน้าแดง เขาไม่เคยรู้สึกถูกรักมากขนาดนี้มาก่อน รู้สึกหัวใจพองโต และมีความสุขมากเหลือเกิน

“ผมก็คิดถึงพระองค์ครับ”

มิคาเอลหันมาซบกับอกอันอบอุ่นขององค์เดเมี่ยน เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพระองค์ก็ขับกล่อมให้มิคาเอลหลับไป

 

องค์เดเมี่ยนกอดมิคาเอลไว้แนบแน่นเนิ่นนาน ก่อนพระองค์จะลุกขึ้นจากเตียง และห่มผ้าให้กับคนตัวเล็ก องค์เดเมี่ยนเดินออกมาจากห้องบรรทมและเดินลงมาที่ห้องทรงงาน ก่อนจะทรงตรัสเรียกหา แมททิว

 

“ฝ่าบาทเรียกหากระหม่อมหรือขอรับ” แมททิวกล่าวขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องทรงงาน

“เข้ามาสิ” องค์เดเมี่ยนทรงตรัส องครักษ์แมททิวจึงเดินเข้ามาในห้อง องค์เดเมี่ยนยืนอ่านเอกสารบางอย่างอยู่ สีหน้าบึ้งตึง จนแมททิวรู้สึก หนาวๆ ร้อนๆ

“นั่งลงสิ” ทรงตรัสเรียบเฉย และแมททิวเองก็รู้ว่าน้ำเสียงแบบนี้ของพระองค์ เป็นน้ำเสียงที่กำลังทรงไม่พอใจบางอย่าง

“เจ้าเป็นครักษ์ของเรามานานแค่ไหนแล้ว แมททิว” ทรงถามขึ้น

“ปีนี้เป็นปีที่ 10 ขอรับ” แมททิวตอบ

“เจ้าเป็นองครักษ์ที่ดีคนหนึ่งแมททิว 10 ปีก็นานไม่ใช่น้อย” ทรงตรัสเรียบๆ

“กระหม่อมยินดีรับใช้พระองค์ไปตลอดชีวิตขอรับ” แมททิวกล่าว

“เจ้าคิดอย่างไรกับมิคาเอล” ทรงถามขึ้นเฉยๆ โดยมิได้มีที่มาที่ไป

“พระองค์หมายความว่าอย่างไรขอรับ” แมททิวย้อนถาม สีหน้าแปลกใจที่พระองค์ถาม

“เจ้ารู้จักเรามา 10 ปี เราเองก็รู้จักเจ้ามา 10 ปีเช่นกัน นาธานเนียลกล่าวในอีเมล์ว่าเจ้าเป็นคนอาสาพามิคาเอลมาที่นี่ หมายความว่าอย่างไร” ทรงถามอย่างไม่พอใจ

“กระหม่อม...” แมททิวกำลังจะกล่าวก็ต้องกลั้นใจ เพราะองค์เดเมี่ยนตบที่โต๊ะจนเสียงดัง พร้อมกับหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาปักลงบนโต๊ะ

“คิดให้ดี ก่อนจะคิดพูดโกหกต่อเรา ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะไม่เหลือลิ้นเอาไว้ให้พูดอีก” ทรงตรัสด้วยเสียงเย็นเชียบ จนแมททิวอดรู้สึกเย็นสันหลังขึ้นมาไม่ได้

“กระหม่อมไม่ได้คิดอะไรกับคุณมิคาเอลขอรับ กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ทรงรักคุณมิคาเอล กระหม่อมมิบังอาจ” แมททิวกล่าวช้าๆ

“แล้วทำไมคนที่ไม่ชอบออกนอกประเทศอย่างเจ้าจึงอาสาพามิคาเอลมา เราต้องการเหตุผล” ทรงตรัสเยือกเย็น

“ฝ่าบาท ... คนที่กระหม่อมหลงรัก ขอร้องให้กระหม่อมมาขอรับ” แมททิวกล่าวเรียบๆ พร้อมกับก้มหน้าหลบสายตาคมขององค์เดเมี่ยน

“คุณมิคาเอลเป็นคนที่งดงามมาก และยากจะหาใครมาเทียบ แต่กระหม่อมมิได้คิดอะไรกับคุณมิคาเอล กระหม่อมมีคนที่กระหม่อมรักอยู่แล้ว”

แมททิวกล่าว มิได้ปิดบัง

 

“สนมคนไหนของเราที่เป็นคนรักของเจ้า” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

 

แต่แมททิวกลับหน้าซีด ด้วยรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังโกรธอย่างมาก และตกใจทั้งๆ ที่พระองค์ไม่ได้มีข้อมูลใดๆ มาก แต่พระองค์ก็ทรงเดาเรื่องทั้งหมดได้โดยไม่ยากนัก แมททิวรู้ว่าถึงจะพยายามปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าองค์เดเมี่ยนก่อนจะอ้อนวอน

“ฝ่าบาท ได้โปรดเมตตาเถอะขอรับ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเอง ทั้งหมดเป็นเพียงความรู้สึกของกระหม่อมเพียงลำพัง พระสนมมิได้รับรู้ความรู้สึกของกระหม่อมแต่อย่างใด กระหม่อมผิดเองที่แอบหลงรักพระสนม หากพระองค์จะทรงทำโทษ ก็ได้โปรดทำโทษกระหม่อมเถิดขอรับ” แมททิวอ้อนวอนร้องขอ

“เราถามว่า ใคร” ทรงตรัสถามดึงมีดขึ้นมาถือ

“หรือเจ้าต้องการให้เราเค้นออกมาจากเจ้า หรือเจ้าต้องการให้เราเพิ่มโทษให้แก่เจ้ากัน” องค์เดเมี่ยนตรัสถามด้วยเสียงที่เรียบ แต่แมททิวกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลัง ฉายาเจ้าชายต้องสาปที่โหดร้าย มิได้ ได้มาอย่างลอยๆ และเขาก็เป็นพยานในเหตุการณ์เหล่านั้นหลายต่อหลายครั้งด้วยเช่นกัน

“ใคร” ทรงตรัสอย่างหมดความอดทน ปักมีดลงบนต้นขาของแมททิวโดยที่พระองค์ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

“ฝ่าบาท...” แมททิวกล่าวได้แค่นั้น ก็ต้องกัดฟัน เพราะพระองค์ดึงมีดออกจากขาของเขาโดยไม่ใส่ใจนัก เลือดสีแดงค่อยๆ ไหลออกมา

“ใคร” ทรงถามซ้ำ ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ทรมานเจ้าไปก็ไม่สนุก เจ้าไม่ยอมร้องสินะ หากเจ้าบอกความจริง เราสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายคนรักของเจ้า” ทรงตรัส ดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

“กระหม่อมบอกแล้วว่าทั้งหมดเป็นเพียงการหลงรักอยู่ข้างเดียวของกระหม่อมเท่านั้น…” แมททิวกล่าวแต่ก็ต้องหยุดเมื่อมีดมาจ่ออยู่ที่ต้นคอ

“ใคร”

“… พระองค์สัญญานะขอรับว่าจะไม่ทำร้ายคนๆ นั้น” แมททิวกล่าวถามเพื่อยืนยัน แต่ก็ต้องกลั้นใจเมื่อมีดเล่มเดิมถูกปักลงไปที่ไหล่

“ถ้าเจ้ายังไม่พูด และทำให้เราหมดความอดทน ก็ไม่แน่” ทรงตรัส

“กระหม่อมหลงรัก … พระสนม… ริชชี่… ขอรับ” แมททิวกล่าวชื่อของคนที่เขาเฝ้าหลงรักมานานนับปีอย่างเศร้าสร้อย ด้วยรู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ เพียงแค่คิด ก็ผิดแล้ว

 

“น่าสนใจ ริชชี่ สินะ” ทรงตรัส และยิ้มออกมา และเปิดประตูออกไปจากห้อง

“ไปทำแผลซะ” ทรงสั่ง พอดีที่มิคาเอลเดินลงมาและเห็นแมททิวที่เลือดออกมามากมายก็ตกใจ

“เกิดอะไรครับ ฝ่าบาท ทำไมคุณแมททิวถึงบาดเจ็บแบบนี้” มิคาเอลรีบเดินลงมา และถามต่อองค์เดเมี่ยน และพยายามจะเข้าไปพยุงแมททิว แต่องค์เดเมี่ยนกลับรั้งร่างคนตัวเล็กไว้ คุณพ่อบ้าน จึงรีบเข้ามาประคองแมททิวแทน

“พอดีมีคนร้ายบุกเข้ามา แมททิวก็เลยสู้กับคนร้าย แต่เพราะมันอ่อนหัด มันถึงได้บาดเจ็บ แมททิวมันไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าที่เอ่ยชื่อชายอื่นต่อหน้าเรา และยังคิดจะเข้าไปให้ชายอื่นนอกจากเราสัมผัส เราควรจะทำโทษเจ้าอย่างไร”

 

ทรงตรัสพร้อมกับช้อนร่างเล็กขึ้น และอุ้มเดินขึ้นข้างบนไป โดยไม่สนใจเสียงประท้วงของคนตัวเล็ก และยิ่งไม่ใส่ใจต่อการกระทำ ที่พระองค์ได้กระทำไว้กับองครักษ์หนุ่ม
___________________

หื่นแบบนี้มีคนเดียวในโลกจริงๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 46 ด้วยความรักและความคิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 23-08-2016 04:31:49
นิสัยเสียย! สงสารแมททิวแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 47 อาหารเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 25-08-2016 09:48:12


 

 

 

บทที่ 47 อาหารเช้า

 

เข้าวันที่ 4แล้ว แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังคงไม่ยอมให้มิคาเอลอยู่ห่างกาย ตลอดเวลา 3 วันที่ผ่านมา มิคาเอลแทบจะไม่ได้ออกมาจากห้องบรรทมเลย องค์เดเมี่ยนเอาแต่ร่วมรักกับเขาทั้งวันและคืน จนร่างของเขามีแต่รอยจูบของพระองค์เต็มไปหมด พระองค์ปรนเปรอความสุขบนเตียงมากมายให้แก่มิคาเอล พระองค์ทั้งโหดร้าย และอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

จนมิคาเอลแทบจะไม่สามารถคิดอะไรได้ เขารู้สึกเหมือนกำลังหลงอยู่ในหมอกควันแห่งความปรารถนา แม้จะอยากปฏิเสธ แต่ด้วยความช่ำชองของพระองค์ ก็พาเขาจมดิ่งสู่ความฝันแห่งความปรารถนา ที่ไม่ว่าเขาอยากจะตื่นขึ้นมากเพียงไหน ก็ดูเหมือนเขาจะมิอาจทำได้ เพราะพระองค์เอาแต่หาเรื่องร่วมรักกับเขาอยู่ตลอด แต่เมื่อเข้าในวันที่ 4 มิคาเอลก็เริ่มทนไม่ได้ และก็ประท้วงต่อพระองค์

 

“ผมไม่ให้พระองค์แตะต้องผมแล้ว” มิคาเอลกล่าว พยายามหนีลงจากเตียงใหญ่

“เจ้าจะไปไหน เอาร่างอันเย้ายวนของเจ้ากลับมาหาเรานี่” ทรงตรัสและคว้าจับร่างของมิคาเอล ดึงกลับเข้าไปในอ้อมกอด ก่อนจะทรงจูบริมฝีปากบาง อย่างหิวกระหาย แต่มิคาเอลก็ดิ้น และผลักพระองค์ออก

“พระองค์เอาแต่ใจมากเกินไปแล้ว ผมเหนื่อย และผมก็ไม่อยากร่วมรักอีกแล้ว” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าพูดแบบนี้ แต่พอเราสัมผัสเจ้า เจ้าร้องครางออกมา และอ้อนวอนเราทุกที ไม่ใช่เหรอ” องค์เดเมี่ยนทรงตรัสหยอกล้อ จนมิคาเอลต้องเอามือมาปิดปากพระองค์ ที่ทำเสียงล้อเลียนเขา

“ผมจะโกรธจริงๆ ด้วย” มิคาเอลขู่ลุกขึ้นนั่งหันหลังให้พระองค์

องค์เดเมี่ยนจึงยันตัวขึ้นและจูบที่หัวไหล่ของคนตัวเล็กเบาๆ

“หากเราไม่รักเจ้า เราจะปรารถนาเจ้าขนาดนี้หรือ หากเราไม่รักเจ้า เราจะทำอย่างที่เราทำหรือ เพราะเรารักเจ้า เราจึงอยากจะร่วมรักกับเจ้า เราอยากเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า เราผิดด้วยหรือ” ทรงตรัสอย่างน่าสงสาร ก่อนจะกอดมิคาเอลไว้อย่างโหยหา

 

“เราพยายามตัดใจจากเจ้า แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเจ้า หัวใจของเราก็เจ็บปวด เราทนอยู่ที่วิลล่าไม่ได้ เพราะเราเอาแต่คิดถึงเจ้า เราจึงมาที่นี่ แล้วเจ้าก็ยังตามเรามาที่นี่ มาทำให้เรารักเจ้ามากขึ้นไปอีก แล้วเจ้าจะมาห้ามมิให้เรารักเจ้าได้อย่างไร” ทรงตรัสถามอย่างน่าสงสาร

“ผมไม่ได้บอกว่า ไม่ให้พระองค์รักผมสักหน่อย แต่พระองค์เอาแต่หาเรื่องจะร่วมรักกับผมแบบนี้ ผมก็ทนไม่ได้เหมือนกัน ผมไม่ได้ช่ำชองเรื่องบนเตียงเหมือนพระองค์สักหน่อย” มิคาเอลกล่าวหน้าแดง

“เรารักเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าเป็น” ทรงตรัส ก้มลงจูบที่เข่าของคนตัวเล็กเบาๆ

“ผมก็รักพระองค์ครับ ผมไม่ไปไหนแล้ว ผมอยู่ตรงนี้ พระองค์ค่อยๆ รักผมก็ได้นี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าทำให้เราต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน เจ้ารู้หรือเปล่า” ทรงตรัส และนอนหนุนตักคนตัวเล็ก

 

มิคาเอล ลูบศรีษะพระองค์อย่างแผ่วเบา สอดนิ้วระหว่างเส้นผมสีดำตรงยาวที่นุ่มมือ เจ้าชายหนุ่มนอนให้ คนตัวเล็กสัมผัสอย่างอารมณ์ดี มองรอยจูบสีแดงช้ำ หลายต่อหลายจุดที่พระองค์จงใจทิ้งเอาไว้ ยอดอกสีชมพู ยังคงเย้ายวนเชื้อชวนให้พระองค์ครอบครอง ไม่ว่าพระองค์จะครอบครอง และร่วมรักกับคนๆ นี้สักกี่ครั้ง พระองค์ก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ความปรารถนายังคงครุกรุ่น พระองค์ยังคงปรารถนาจะร่วมรักกับคนตรงหน้าอยู่ตลอด

 

“ผมทราบครับ ผมเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าพระองค์ และผมก็ขอโทษพระองค์ หลายต่อหลายครั้งแล้วนี่ครับ ผมก็แค่ไม่คุ้นชินกับการร่วมรักที่ยาวนานแบบนี้” มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ว่าเราเอาแต่ใจ และเอาเปรียบเจ้า แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่าหากเราไม่ร่วมรักกับเจ้า เราอาจจะตายได้” ทรงตรัสออดอ้อน

“พระองค์จะตายได้อย่างไรกัน” มิคาเอลหัวเราะเบาๆ

“เราก็คงจะตายด้วยความปรารถนาในตัวเจ้าอย่างไร” ทรงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลุกขึ้นและจุมพิตคนตัวเล็กอย่างปรารถนา แต่คนตัวเล็กก็ผลักพระองค์ออก

“ผมก็ทราบครับว่าพระองค์ทรงรัก และเมตตาผม ผมก็รักพระองค์เช่นกัน ตลอดมาผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับผม ก่อนพระองค์ผมก็ไม่เคยร่วมรักกับใครมาก่อน” มิคาเอลกล่าวหน้าแดง ไม่ยอมสบตา

“แล้วจู่ๆ พระองค์จะให้คนที่อ่อนประสบการณ์อย่างผม มาทำอย่างคนที่ช่ำชองอย่างพระองค์ ผม...” มิคาเอลกล่าวอย่างเขินอาย ใบหน้าหวานขึ้นสี จนเป็นสีแดง

“ก็ได้ เราจะตามใจเจ้า เจ้าอยากได้อะไรล่ะ” ทรงถาม มองคนตรงหน้าอย่างหลงใหล

“ก่อนอื่นก็ กาแฟ ครับ” มิคาเอลพูดยิ้มๆ พระองค์ก็ยิ้มออกมา

“เราจะให้คนตั้งโต๊ะอาหารเช้าก็แล้วกัน” ทรงตรัส

 

โต๊ะอาหารเช้าถูกเนรมิตขึ้นที่ระเบียงใกล้ห้องบรรทม กลิ่นกาแฟหอม เย้ายวนจนมิคาเอลรีบมานั่งที่ระเบียง คนตัวเล็กสวมเพียงเสื้อคลุมที่คอเปิดออกกว้างจนองค์เดเมี่ยนอดจะมองไม่ได้ มิคาเอลจิบกาแฟคาปูชิโน่ ที่เชฟทำให้อย่างพอใจ และยิ้มออกกว้าง แต่องค์เดเมี่ยน ก็กวักมือเรียกให้เขาเข้าไปหา มิคาเอลถือถ้วยกาแฟมาด้วย พระองค์รั้งร่างของมิคาเอลมานั่งลงบนตักของพระองค์

“ฝั่งนี้วิวสวยกว่า” ทรงตรัสชี้ชวนให้ดูวิวโดยรอบ พระองค์โอบกอดร่างของมิคาเอลเอาไว้หลวมๆ

 

ตัวปราสาทตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้สามารถมองเห็นอาณาเขตโดยรอบ และเพราะในตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ทำให้ใบไม้ต่างพากันเปลี่ยนสี กลายเป็นสีเหลือง ส้ม และแดงใน shade ที่แตกต่างกัน ดูสวยงามยิ่ง บริเวณโดยรอบเป็นไร่ไวน์ ซึ่งองุ่นที่ปลูกในบริเวณนี้จะเป็นองุ่นแดง Carbernet Sauvignon และผลิตไวน์แดงชั้นดี และองุ่นแดง Merlot ไวน์แดงที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากดื่มง่าย ที่ๆ ไกลออกไป เป็นทุ่งสีเหลืองทอง ซึ่งเป็นทุ่งดอกทานตะวันขนาดใหญ่ และคาดว่าคงจะเริ่มเก็บเกี่ยวเร็วๆ นี้

 

มิคาเอลนั่งฟังองค์เดเมี่ยนบรรยายอย่างตั้งใจ จนมองคนตัวใหญ่อย่างลืมตัว

“หากเจ้ามองเราแบบนี้ แล้วจะให้เราอดใจได้อย่างไร” ทรงถาม ก่อนจะรั้งคนตัวเล็กมาจูบ

“ฝ่าบาท อย่าครับ ผมหิวแล้ว ผมจะทานอาหารเช้า”

มิคาเอลผลักพระองค์ออก ทำท่าจะลุกขึ้น แต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเอาไว้ แย่งแก้วกาแฟออกจากมือและวางลงบนโต๊ะแทน

“เราก็หิวเช่นกัน เราอยากจะกินเจ้าเป็นอาหารเช้า”

ทรงตรัส ก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอดและจูบริมฝีปากบาง ที่เอาแต่เย้ายวนพระองค์ พระองค์แหวกเสื้อคลุมออก และหยอกล้อกับยอดทับทิมสีชมพูจนมันแข็งเป็นไต

“ฝ่าบาท อย่าครับ”

มิคาเอลพยายามปฏิเสธ แต่พระองค์ก็ไม่ยอมปล่อย แต่พระองค์กลับลุกขึ้น และให้คนตัวเล็กนั่งลงที่เก้าอี้แทน แล้วพระองค์จึงคุกเข่าลงตรงหน้า ทรงแหวกเสื้อคลุมออก มิคาเอลพยายามหนีบขาเข้าหากัน และพยายามจะปกปิด ร่างของคนตัวเล็กกำลังตื่นตัวเพราะสัมผัสของพระองค์

 

"อย่าครับ ฝ่าบาท เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”

มิคาเอลพยายามผลักพระองค์ออก

“ถ้าเจ้ากลัวใครมาเห็นก็อย่าดื้อสิ ถ้าเจ้าเอาแต่ดื้อ มีคนมาเห็นเราไม่รู้ด้วยนะ” ทรงเย้า

“พระองค์ใจร้าย”

มิคาเอลต่อว่า แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อคนตัวใหญ่ ก้มลงครอบครองร่างของเขา พระองค์ใช้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดร่างของมิคาเอล ลิ้นร้อนๆ ลากขึ้นลงที่เส้นตรงด้านใต้ ก่อนจะวนขึ้นมาที่ปลาย ลิ้นตวัดที่ส่วนปลายเพียงแผ่วเบา คนตัวใหญ่ห่อลิ้นและควานหาหยาดหยดจากภายในปลายยอด

“ฝ่าบาท อย่าครับ”

มิคาเอลพยายามจะผลักพระองค์ออก แต่ไม่รู้เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด มือเล็กวางไว้ที่ศรีษะของพระองค์ นิ้วมือ สอดเข้าไปในเส้นผมยาวงดงามสีดำสนิท

“ตรงนี้ ของเจ้าไม่เห็นปฏิเสธ”

ทรงตรัสอย่างหยอกล้อ ก้มลงครอบครองมิคาเอลไว้ในปากทั้งหมด คนตัวเล็กก็ครางเสียงดังออกมา พระองค์ขยับขึ้นลงช้าๆ มือข้างหนึ่งยังสัมผัสและขยับ เป็นจังหวะสอดคล้องกัน ปากขยับขึ้นลง ลิ้นก็เกี่ยวรัดขยับตาม สอดประสาน และดูดกลืนทุกหยาดหยด ไม่นานมิคาเอลก็เกร็งกระตุก ปลดปล่อยออกมา พระองค์ก็กลืนกินลงไปทั้งหมด พระองค์ยิ้ม และลุกขึ้นช้าๆ แต่เสียงไออย่างไม่เป็นธรรมชาติก็ดังขึ้น พระองค์จึงจัดเสื้อคลุมของ

มิคาเอลให้เข้าที่ ก่อนจะหันกลับมามองคนที่เข้ามาอย่างอารมณ์เสีย

 

แมททิวอาการดีขึ้นแล้ว แม้จะถูกแทงถึงสองจุด แต่เขาก็รู้ว่าพระองค์ได้เมตตาเขาอย่างยิ่งแล้ว และทั้งสองแห่งที่ถูกแทงก็มิได้โดนจุดสำคัญใดๆ แมททิวจึงรู้ว่าเขาโชคดีแล้วที่พระองค์ยังทรงมีเมตตาต่อเขา หลังจากติดต่อกลับไปที่คานาเดีย องค์นาธานเนียลก็สอบถามด้วยความเป็นห่วงถึงตัวพระเชษฐา และต้องการรู้ว่าเมื่อไหร่พระองค์จะเสด็จกลับมา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ใน พื้นที่เสี่ยงภัยตรงนี้

 

“มีอะไร” ทรงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่แมททิวเข้ามาขัดจังหวะ

“องค์นาธานเนียลทรงต้องการทราบว่าพระองค์กลับคานาเดียเมื่อไหร่ขอรับ” แมททิวกล่าว

“เราจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก” ทรงตรัสกำปั้นทุบดิน จนแมททิวหนักใจ

“พระองค์จะให้กระหม่อมทูลองค์นาธานเนียลอย่างไรขอรับ” แมททิวถามอีกครั้ง จนองค์เดเมี่ยนอารมณ์เสียที่ถูกเซ้าซี้ มิคาเอลที่เหมือนจะทานอาหารอยู่ แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ เพราะกลายเป็นอาหารเช้าของคนตัวใหญ่ จึงพยายามช่วยแมททิว

“ผม... ก็อยากรู้ครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวขึ้น

“ประมาณ 2-3 อาทิตย์เป็นอย่างไร เราจะได้พาเจ้าเที่ยวด้วย” ทรงตรัส และเดินเข้ามาหา จุมพิตที่หน้าผากคนตัวเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู

“ครับ...แล้วแต่พระองค์เถิดครับ” มิคาเอลกล่าว แมททิวก้มศรีษะในเชิงขอบคุณ

“กระหม่อมขอตัวขอรับ” แมททิวกล่าว

“เดี๋ยว!!! แผลเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงตรัสถาม แมททิวแปลกใจที่ทรงถาม

“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ” แมททิวตอบ

“ดี! เจ้าก็ควรจะระวังตัวไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้น เจ้าอาจจะได้แผลเพิ่มขึ้นอีก” ทรงตรัสเรียบๆ แต่แมททิวเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่อย่างดี ทางที่ดี เขาควรสงบปากสงบคำ และอยู่ห่างๆ พระองค์สักพัก และทางที่ดีเขาควรรีบเรียกตัวองครักษ์มาเพิ่มด้วย เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเป็นเป้านิ่งที่เด่นเกินไป

“กระหม่อมจะระวังขอรับ กระหม่อมขอตัว”

 

“ไม่เห็นต้องไปขู่คุณ ม... องค์รักษ์ แบบนั้นเลยนี่ครับ” มิคาเอลเกือบหลุดเรียกชื่อแมททิวออกมา เขาไม่อยากถูกลงโทษ แบบ 3 วัน 3 คืนอีก แค่คิดเขาก็หน้าแดงขึ้นมา

“ถ้าไม่สั่งสอนเสียบ้าง มันจะเคยตัว... เจ้าเริ่มเรียนรู้ขึ้นมาบ้างแล้วนี่” ทรงตรัส เมื่อเห็นคนตัวเล็กรีบเปลี่ยนวิธีเรียกชายคนอื่น แล้วยังทำหน้าแดง จึงเอื้อมมือมาลูบไล้ที่ต้นขา จนมิคาเอลต้องตีมือของพระองค์

“พอแล้วครับ ผมอยากออกไปข้างนอกบ้าง พระองค์ขังผมไว้แต่ในห้องบรรทม มาตั้ง3 วันแล้ว” มิคาเอลประท้วง และทานอาหารต่อด้วยความหิว

“เจ้าอยากไปไหนล่ะ เรามีที่ๆ อยากพาเจ้าไปหลายที่ ทีเดียว” ทรงตรัสพร้อมรอยยิ้มกริ่มที่ มิคาเอลไม่ค่อยไว้ใจนัก และให้เดาคงไม่พ้นที่ๆ พระองค์จะเอาเปรียบเขาได้แน่ๆ

“ผมอยากไปดูไร่ไวน์ใกล้ๆ ครับ อยากไปดูที่ๆ ผลิตไวน์ด้วย” มิคาเอล+กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อคิดถึงไร่องุ่นเบื้องหน้าในระยะใกล้ แต่องค์เดเมี่ยนกลับคิดถึงภาพของมิคาเอลที่มึนเมาเมื่อตอนที่ล่องเรือในปารีส คนตัวเล็กทั้งว่าง่ายและน่ารัก และยังเอาแต่ยั่วยวนพระองค์

 

“ตกลงเราจะพาเจ้าไป แล้วเราจะพาเจ้าไปชิมไวน์ด้วย” องค์เดเมี่ยนตรัส

“จริงนะครับ ขอบพระทัยฝ่าบาท” ร่างเล็กยิ้มหวานให้พระองค์ จนพระองค์อดจะครอบครองริมฝีปากบางไม่ได้ พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดและจุมพิตเนิ่นนาน

 

“แต่เจ้าจะต้องยอมให้เรากินเจ้าให้อิ่มเสียก่อน” ทรงตรัสก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กขึ้นและพากลับไปที่เตียง

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 47 อาหารเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-08-2016 19:31:33
หื่นจริง องค์ชาย  :ruready
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 47 อาหารเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 25-08-2016 22:38:17
คือเดเมี่ยนแค่ห่างกายจากมิคาเอลไปไม่เท่าไหร่ ขอเอาคืนกลับเยอะน่ะเนี่ย  :mew3: อย่าบังอาจมาลูบคมเดเมียนน่ะจ้ะ รู้ดีไปหมดหาคนหลอกได้ยาก แต่ดันจับทางคนรักตัวเองไม่ออก  :mew4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 48 ความกังวล
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 26-08-2016 09:31:21


 

บทที่ 48 ความกังวล

 

หลังจากองค์เดเมี่ยนอิ่มหนำจาก อาหารเช้า จานโปรด พระองค์ก็สั่งให้คนเตรียมชุดมาให้มิคาเอล ไม่นาน ชุดของมิคาเอลถูกนำเข้ามา กางเกงผ้าสีขาวพอดีตัว กับเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ารูปแขนยาว อวดรูปร่างบอบบางของมิคาเอลอย่างน่ามอง ตรงขอบแขนเสื้อใหญ่ถูกออกแบบให้พับขึ้นประมาณ 3 นิ้ว จะพอดีกับมิคาเอล ชุดนี้ดีไซน์เนอร์ออกแบบในคอลเล็กชั่นของแองเจิล เสื้อโค้ทตัวยาวสีขาวเข้ารูปด้านหลังจึงมีลายปีกของเทวดาอันใหญ่อยู่ด้วย แม้จะดูเข้ากับมิคาเอลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่องค์เดเมี่ยนกลับรู้สึกขัดใจ สีขาวไม่ใช่สีของพระองค์ พอมิคาเอลสวมชุดของแองเจิลแบบนี้ พระองค์ก็รู้สึกว่าพระองค์กลับไม่คู่ควรกับคนตรงหน้าสักนิด พระพักตร์อันหล่อเหลากลับดูหม่นลง

 

มิคาเอลมององค์เดเมี่ยนที่ทรงสวมฉลองพระองค์ด้วยสีดำทั้งชุด ในชุดที่ดูคล้ายกับของเขา หากแต่เป็นสีดำ และขับเน้นความแข็งแกร่ง ความคมเข้ม และความองอาจสมชายออกมาแทน พระองค์มีรูปร่างอันสมบูรณ์แบบไม่ว่าพระองค์จะสวมใส่อะไร ก็ทรงดูดีไปหมด แต่ใบหน้าของพระองค์กลับดูหม่นหมองเมื่อมองมาที่เขา ชุดของเขาที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ นั่นทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสวมชุดแบบนี้หรือเปล่า

 

เหลือผ้าพันคออีกสองผืนวางอยู่ ผืนหนึ่งสีขาว อีกผืนหนึ่งสีดำ มิคาเอลจึงหยิบผืนสีดำขึ้นมาและพันที่คอ พระองค์มองการกระทำของคนตัวเล็กอย่างสนใจ เมื่อมิคาเอลพันผ้าของตัวเองเสร็จ ก็หยิบผืนสีขาวขึ้นและเดินมาหาองค์เดเมี่ยน ก่อนจะเอาผ้าพันที่คอของพระองค์แทน

 

"ผืนนี้เป็นของเจ้าต่างหาก" ทรงตรัสขึ้น

“ผมอยากใช้ผืนของพระองค์มากกว่าครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเหมาะกับสีขาว สีขาวเป็นสีที่เข้ากับเจ้า” ทรงตรัส เอื้อมมือมาไล้ที่ใบหน้าของคนตัวเล็ก

“แต่ผมก็ชอบสีดำที่เป็นสีของพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว

“สีดำก็ดีแต่จะทำให้เจ้าแปดเปื้อน” ทรงตรัส

“ถ้าเป็นสีดำของพระองค์ ผมก็ต้องการให้พระองค์แปดเปื้อนผมครับ”

มิคาเอลตอบมองคนตัวใหญ่

“ให้ผมเป็นสีขาวจุดเล็กๆ ของพระองค์นะครับ” มิคาเอลกล่าวจัดผ้าพันคอให้กับองค์เดเมี่ยน คนตัวใหญ่ก้มลงมาจุมพิตคนตัวเล็กอย่างรักใคร่

“เรารักเจ้า มิคาเอล เจ้าเป็นมากกว่าแค่สีขาวจุดเล็กๆ เจ้าเป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงเราออกมาจากความมืดมิด” ทรงตรัส และกอดร่างเล็กเอาไว้

มิคาเอลโอบกอดตอบพระองค์

 

เมื่อทั้งสองเดินลงมาแมททิวก็แทบจะอยากให้องค์เดเมี่ยนแทงเขาอีกสักแผล นอกจากความเด่นของชุดที่เป็นของดีไซน์เนอร์ชื่อดังแล้ว ทั้งสองคนยังสลับสีผ้าพันคอกัน จนแทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคู่รักกัน จริงอยู่ว่าฝรั่งเศสเปิดรับในเรื่อง การแต่งงานของคนเพศเดียวกัน แต่ในชนบทแบบนี้ ก็ยังมีคนต่อต้านไม่น้อย และการที่พระองค์ไม่สนใจจะปิดบังความสัมพันธ์เลยแม้แต่น้อย ก็อาจนำปัญหามาได้

 

“ฝ่าบาทจะเสด็จที่ไหนขอรับ กระหม่อมจะให้องครักษ์ตามไปด้วย” แมททิวถามขึ้น

“ไม่จำเป็น เราไม่ต้องการคนติดตาม” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท กระหม่อมยอมให้พระองค์เสด็จลำพังไม่ได้ขอรับ

องค์นาธานเนียลก็ทรงรับสั่งให้ดูแลพระองค์อย่างดี” แมททิวพยายามชี้แจง

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ทรงถาม อย่างไม่พอใจนัก

“ฝ่าบาทครับ พาองครักษ์ไปด้วยเถอะครับ ผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบคราวที่แล้วจะเกิดขึ้นอีก ผมกลัวครับ” มิคาเอลกล่าว

“หากเจ้าต้องการอย่างนั้น เราจะตามใจเจ้า” ทรงตรัส

แมททิวถอนหายใจอย่างโล่งอก และโชคดีที่ทีมองครักษ์ที่เขาเรียกตัวไป มาถึงเมื่อ 15 นาทีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน แมททิวเองก็แปลกใจกับการเปลี่ยนไปขององค์เดเมี่ยน แม้พระองค์จะยังโหดร้าย และแข็งกระด้างกลับคนอื่น แต่พระองค์กลับอ่อนโยน และดีกลับคุณมิคาเอลอย่างไม่น่าเชื่อ อีกใจกลับทำให้เขาคิดถึงคนอีกคนหนึ่ง ที่รักและเคารพองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน หากคนๆ นั้นรู้ว่าพระองค์ทั้งทรงรักและห่วงใย ในตัวของคุณมิคาเอลมากขนาดนี้ คนๆ นั้นจะรู้สึกอย่างไร แต่เขาคงไม่มีสิทธิอะไร แม้ว่าตอนนี้องค์เดเมี่ยนอาจจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่ทันทีที่เขากลับไปคานาเดีย เขาคงจะต้องถูกลงโทษสถานหนักโดยไม่ต้องสงสัย  และเขาคงโทษใครไม่ได้ นอกจากโทษตัวเอง ที่ไม่รู้จักเจียมตน

 

ขบวนเสด็จประกอบไปด้วยรถพระที่นั่งอยู่ตรงกลาง นำหน้าและปิดท้ายด้วยรถขององครักษ์ ขับไปตามถนนเพื่อตรงไปยังไร่ไวน์ขนาดใหญ่

“เราสั่งให้คนเอามาให้เจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัสขึ้นพร้อมกับส่งกระเป๋ากล้องให้กลับมิคาเอล

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลรับมา พบว่ามันเป็นกล้องตัวแรกที่องค์เดเมี่ยนซื้อให้ คนตัวเล็กหยิบกล้องออกมาเปลี่ยนเลนส์ แล้วหันกล้องมาหาพระองค์ ก่อนจะถ่ายรูปพระองค์

“เจ้าถ่ายแต่รูปของเรา” ทรงดุ

“ถ้าผมถ่ายคนอื่นแล้วพระองค์จะไม่โกรธเหรอครับ” มิคาเอลย้อนถาม

“เราให้เจ้าถ่ายสถานที่”

“ผมถ่ายสถานที่ ที่พระองค์อยู่ไงครับ”

“จะเอารูปเราไปขายหรืออย่างไร”

“รูปพระองค์ก็น่าจะขายได้เยอะอยู่” มิคาเอลพูดทีเล่นทีจริง

“ยิ่งรูปมุมใกล้ๆ แบบนี้ มีหลายๆ รูป ไปขายให้นิตยสารไปรวมเล่มคงจะได้ไม่น้อย” คนตัวเล็กกล่าว

“ยังไม่ทันไร เจ้าจะขายเราเสียแล้วเหรอ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลจึงหัวเราะ

“ที่จริง ที่ผมมาคานาเดียก็เพื่อมาถ่ายรูปองค์นาธานเนียลนะครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เรารู้ นาธานเนียลเคยอยู่อเมริกาหลายปี ก็ไม่แปลกที่ใครจะจำได้” องค์เดเมี่ยนตรัส

“สรุปว่าพระองค์คือนายแบบคนนั้นใช่ไหมครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้

“ตอนนั้น นาธานเนียลทำไปเพราะประชดกษัตริย์องค์ก่อนน่ะ” องค์เดเมี่ยนกล่าวขำๆ

“นาธานเนียลไม่เคยใช้ชื่อจริงที่อเมริกา และใช้นามสกุลของพระมารดา ดีแล้วที่เจ้าถ่ายรูปนาธานเนียลไม่ได้ เพราะหากเจ้าเป็นคนถ่ายแล้วสำนักพิมพ์เอาไปเปิดเผยฐานะ มันจะมีปัญหาตามมาทีหลัง”

“แต่เร็วช้าพระองค์ก็ต้องมีรูปถ่ายใหม่ๆ ออกมาบ้างไม่ใช่เหรอครับ”

มิคาเอลแย้ง

“เรื่องนั้นเราสั่งคนไปจัดการต้นตอแล้ว” ทรงตรัสเรียบๆ

“พระองค์ทำอะไรครับ”

“เอาเป็นว่าสำนักพิมพ์นั้น หรือสำนักพิมพ์ไหนก็ไม่กล้าแตะเรื่องนี้อีกก็แล้วกัน” ทรงตรัสเรียบๆ แต่มิคาเอลก็รู้สึกหวาดกลัวกับอิทธิพลของเจ้าชายไม่น้อย

“เจ้ากลัวเราหรือ” ทรงถามรั้งร่างเล็กเข้าไปกอด

“กลัวสิครับ พระองค์ทรงมีอำนาจมากมาย แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับความเฉียบคมของพระองค์”

“แล้วไม่ดีหรือ” ทรงถาม

“ถ้าเกิดวันหนึ่งทรงเบื่อผมขึ้นมา หรือผมทำอะไรให้พระองค์ไม่พอพระทัย ผมก็แย่สิครับ”

“เราไม่เบื่อเจ้าง่ายๆ หรอก เราสัญญา และเราจะให้อภัยในทุกสิ่งที่เจ้าทำเสมอ” ทรงตรัสและจุมพิตคนตัวเล็กเบาๆ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้ เขาพยายามไม่คิดถึงเหล่าสนมทั้งหลายของพระองค์ ในเมื่อเขาเลือกที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาก็ต้องยอมรับในสถานภาพนี้ด้วย

 

ในที่สุดรถก็จอดและองครักษ์ก็เปิดประตูให้ องค์เดเมี่ยนเดินลงไปและรอรับเขาอยู่ ทันทีที่มิคาเอลลงมาจากรถพระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้าไปในอ้อมกอด โดยไม่ใส่ใจสายตาของใคร

“นี่คือ สามีภรรยาตระกูล Dante ครับ ทั้งสองเป็นเจ้าของไร่ไวน์ที่นี่ครับ” แมททิวแนะนำสองสามีภรรยาที่ดูค่อนข้างสูงวัย ทั้งสองทำความเคารพต่อเจ้าชายเดเมี่ยน และกำลังจะทำความเคารพต่อมิคาเอล แต่มิคาเอลก็รีบเข้าไปห้าม

“ไม่ต้องเคารพผมหรอกครับ ผมเป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง” มิคาเอลกล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเนียงที่รื่นหูสอง สามีภรรยาจึงยิ้มออกมา

“ยินดีต้อนรับสู่ไร่ดังเต้ขอรับ” ชายสูงวัยกล่าว

“สบายดีเหรอ ฟรองซัวร์” ทรงตรัสถาม

“กระหม่อมกับยายแก่ สบายดีขอรับ” ชายสูงวัยกล่าวตอบ หันมามองคู่ชีวิตข้างๆ

“นี่คือคนรักของเรา มิคาเอล” ทรงตรัสแนะนำ มิคาเอลหน้าแดงที่ทรงแนะนำเขาแบบนี้

“คุณมิคาเอลก็สวย องค์เดเมี่ยนก็หล่อ เหมาะสมกันจังเลยเพคะ” ซิลเวียร์กล่าวชม มิคาเอลก็ยิ่งอายมากขึ้นไปอีก

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว

“มาเถอะ มิคาเอล” ทรงตรัสเรียก ส่งพระหัตถ์มาให้จับ มิคาเอลก็เดินเข้าไปหา จับพระหัตถ์ไว้และเดินไปในไร่ไวน์กับพระองค์

 

องค์เดเมี่ยนมองมิคาเอลที่ดูตื่นเต้นกับไร่ไวน์ องุ่นพวงใหญ่ห้อยระย้า ใบไม้ต่างเปลี่ยนสีเป็นสีส้มแดงเป็นภาพที่น่าดู แต่กระนั้นสิ่งที่สะกดสายตาของพระองค์กลับไม่ใช่องุ่นพวกนี้ รอยยิ้มอันสดใสร่าเริงของคนตรงหน้าต่างหากที่ทำให้พระองค์ไม่อาจละสายตาลงได้ แต่คนตัวเล็กเอาแต่ถ่ายรูป จนไม่สนใจพระองค์ จนพระองค์เริ่มรู้สึกไม่พอใจ พระองค์จึงเดินเข้าไปหา และโอบกอดคนตัวเล็กเอาไว้

 

“ฝ่าบาท ถ้าพระองค์ กอดผมแบบนี้ ผมจะถ่ายรูปได้อย่างไร” มิคาเอลถาม

“เจ้าก็ถ่ายไปตั้งเยอะแล้วนี่ เราไม่ชอบที่เจ้าไม่สนใจเรา” ทรงตรัสอย่างน้อยใจ มิคาเอลอดขำไม่ได้ ที่แมวใหญ่อย่างพระองค์ มาออดอ้อนแบบนี้

“ผมสอนพระองค์ถ่ายรูปเอาไหมครับ” มิคาเอลถาม

“ตกลง” ทรงตรัส และตั้งใจมองกล้องตามที่มิคาเอลบอก แต่ดูเหมือนพระองค์จะไม่ค่อยได้ยินคำพูดของคนตัวเล็กมากนัก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนตัวเล็กคอยแต่จะทำให้เสียสมาธิ จนพระองค์ต้องก้มลงจุมพิตคนตรงหน้า อย่างไม่อาจหักห้ามใจ มิคาเอลตกใจที่จู่ๆ พระองค์ก็จูบเขา แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน พระองค์จึงเอากล้องไปถือ และมิคาเอลก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ พอหันกลับมาจึงรู้ว่าพระองค์หันกล้องมาถ่าย selfie เอาไว้ตอนที่พระองค์จูบเขา

 “ฝ่าบาท!” มิคาเอลดุุหน้าแดงเมื่อเห็นรูป รูปสุดท้ายพระองค์ยังทำขยิบตาใส่กล้องอีก พระองค์หัวเราะออกมา

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มายืนตรงนี้” ทรงตรัส โอบมิคาเอลเข้ามาใกล้ และถ่าย selfie คู่กัน พระองค์เช็ครูป และดูพึงพอใจ

“เราชอบรูปนี้” ทรงตรัส มิคาเอลจึงเข้ามาดู

“ทำไมครับ” คนตัวเล็กถาม

“เพราะรอยยิ้มของเจ้า” ทรงตรัส จุมพิตคนตัวเล็กที่หน้าผากเบาๆ จนมิคาเอลหน้าแดงขึ้นมาอีก

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลหันมากอด พระองค์ไว้ องค์เดเมี่ยนแปลกใจที่อยู่ดีๆ คนตัวเล็กก็หันมากอดแบบนี้ แต่พระองค์ก็กอดตอบ

“เจ้ากังวลอะไรหรือ” ทรงถาม

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่รักพระองค์ และดีใจที่พระองค์ก็รักผม”

มิคาเอลกล่าว

 

เขาโกหก เขารู้สึกรักองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน แต่ลึกๆ เขากลับกังวล ไม่อยากกลับไปคานาเดีย ที่นี่ เวลานี้ พระองค์มีเขาเพียงคนเดียว แต่เมื่อกลับไป พระองค์ยังมีสนมอื่นอีกมาก และเขาก็คงไม่มีสิทธิอันใดจะไปห้าม พระองค์ทรงเมตตากับเขามากขนาดนี้ เขาคงไม่อาจเห็นแก่ตัว เรียกร้องสิ่งใดมากไปกว่านี้ พระองค์เป็นเจ้าชาย และเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ยอมรับการมีคนรักมากกว่าหนึ่ง และพระองค์ก็ทรงให้โอกาสกับเขา ให้จากไปแล้ว แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในอ้อมกอดนี้เอง ดังนั้นเขาจะต้องทำใจยอมรับให้ได้ แต่อย่างไรเสียในตอนนี้ พระองค์ยังอยู่เคียงข้าง พระองค์ยังโปรดปรานเขา พระองค์ยังรักเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่เขาก็ต้องการเก็บเกี่ยวความสุขอันนี้เอาไว้ เขาจะรักพระองค์ให้มากที่สุดในตอนนี้ จะตามใจพระองค์ทุกอย่าง จะทำทุกอย่างให้พระองค์มีความสุขในตอนนี้ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่

คานาเดีย อย่างน้อยเขาก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ว่าทำไมเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาจะพยายามไม่สนใจอดีตที่ผ่านไป ไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เขาจะอยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ เวลานี้ ให้ดีที่สุด อ้อมกอดเล็กๆ กระชับพระองค์แน่นขึ้น และซบใบหน้าหวานกับอกอุ่นอย่างออดอ้อน พระองค์ยิ้ม และกอดตอบ

“เรารักเจ้า และเราสัญญาจะดูแลเจ้าอย่างดี” ทรงตรัส ก่อนจะเชยคางของคนตัวเล็กขึ้น และก้มลงจุมพิตเนิ่นนาน

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 49 ครึ่งทาง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 26-08-2016 23:59:20


 

 

บทที่ 49 ครึ่งทาง

 

หลังจากที่ทั้งสองเดินชมไร่ไวน์ อยู่พักใหญ่ ตลอดเวลาองค์เดเมี่ยนก็ทรงเดินจูงมือมิคาเอลไว้ตลอดและไม่ยอมให้มิคาเอลอยู่ห่าง ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อ เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของทั้งสองลอยดังขึ้นมาเป็นระยะ เหล่าองครักษ์ที่เดินตามมาห่างๆ ต่างพากันแปลกใจ ไม่เคยคิดว่าองค์เดเมี่ยนจะทรงอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้ พลอยทำให้ทุกคนมีสีหน้าเปื้อนยิ้มไปด้วย

 

“ผมพูดจริงๆ นะครับ โทนี่น่ะแย่ที่สุดเลย ในเรื่องทำอาหาร มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมทำอาหารและห่อกระดาษฟอยล์เอาไว้ โทนี่ก็ยังเอากระดาษฟอยล์ไปอุ่นในไมโครเวฟ พระองค์ไม่เห็น ไฟลุกท่วมอยู่ข้างใน ผมนึกว่าไฟจะไหม้เสียแล้ว เจ้าไมโครเวฟตัวนั้นก็โดนโทนี่ฆาตกรรมไปเรียบร้อย” มิคาเอลเล่าวีรกรรมของน้องชายให้องค์เดเมี่ยนฟัง ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อคิดถึงภาพไมโครเวฟผู้โชคร้าย ที่โดนโทนี่ฆาตกรรม

 

“เจ้าคงคิดถึงน้องชายมากสินะ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย

“ครับ แต่ผมก็เข้าใจครับ อีกอย่างโทนี่ก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ถึงไม่มีผม เขาก็คงไม่เป็นไร” มิคาเอลตอบ แต่ใจของเขากลับเป็นห่วงโทนี่มากกว่าสิ่งใด

“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกพูดตรงกันข้ามกับที่เจ้าต้องการเสียที” ทรงถาม

“ผม… ถึงยังไงพระองค์ก็ไม่อนุญาตให้ผมไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”

มิคาเอลตอบเสียงเศร้า

“แต่น้องชายเจ้ามาหาเจ้าได้ไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัส มิคาเอลที่ทำหน้าเศร้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าประหลาดใจ เงยหน้ามององค์เดเมี่ยน

“พระองค์จะอนุญาตให้โทนี่มาเยี่ยมผมหรือครับ” มิคาเอลถามย้ำ

“หากเจ้าต้องการ หลังจากกลับคานาเดีย เราจะทำเอกสารให้” ทรงตรัสเรียบๆ แต่มิคาเอลกลับโผเข้ากอดพระองค์อย่างดีใจ

“ขอบคุณครับ ฝ่าบาท พระองค์ใจดีที่สุดเลย” มิคาเอลพูดขึ้น

“เจ้าคงเป็นคนแรกที่พูดแบบนั้น” ทรงตรัสหัวเราะเบาๆ

“สำหรับผม พระองค์ใจดี และอ่อนโยนที่สุด” มิคาเอลกล่าวเบาๆ ใบหน้าขึ้นสี

“เพราะเราทำกับเจ้าคนเดียวต่างหาก” ทรงตรัส

“คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกมั้งครับ พระองค์ใจดีกับพระสนมทุกคน ผมก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น” มิคาเอลเอ่ยขึ้น แต่แล้วเขาก็รู้สึกผิดทันทีที่พูดออกมา

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“นี่คือสิ่งที่เจ้ากังวลอย่างนั้นหรือ” ทรงถาม

มิคาเอลหันหน้าหนีไม่ยอมตอบ

“หากเจ้าไม่พูดเราจะรู้ได้อย่างไร” ทรงรั้งร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด และเชยคางให้สบตากับพระองค์

“เจ้าสำคัญต่อเรามากกว่าสนมคนไหน” ทรงตรัส แต่คนตัวเล็กก็ยังนิ่งเฉย

“ตอนที่เรารู้ว่าเราจะกำลังจะเสียเจ้าไป เราทรมานมากอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน เรารักเจ้ามิคาเอล” ทรงตรัส

“ผมก็รักพระองค์ครับ ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิเรียกร้อง เพราะผมเป็นแค่หนึ่งในสนมของพระองค์ เป็นแค่อีกคนหนึ่งที่รักพระองค์ เหมือนกับสนมทุกๆ คนในวิลล่าเล็กนั้น แต่ผมอยากให้พระองค์รู้ว่า ผมกับพระองค์แตกต่างกัน พระองค์เติบโตขึ้นมาในฐานะเจ้าชาย อยู่ในฐานะที่มีสิทธิจะพึงพอใจ และรักใครกี่คนก็ได้ไม่จำกัด และมันก็เป็นหนึ่งในสิทธิที่พระองค์พึงมี ผมเข้าใจในส่วนนั้น แต่ผมก็เติบโตมาในอีกสังคมหนึ่ง สังคมของผมการรักใคร ก็รักได้เพียงคนเดียว การมีคู่ครองก็มีได้เพียงหนึ่งเดียว การมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ถือเป็นการนอกใจ…” มิคาเอลกล่าวยังไม่ทันจบองค์เดเมี่ยนก็พูดขึ้น

“เจ้าจะบอกว่าเรานอกใจเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้ามาทีหลัง ไม่เท่ากับว่าเรานอกใจสนมคนอื่นเพราะเจ้าหรอกหรือ” ทรงถามกลับ

“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งโกรธสิครับ ฟังผมก่อน” มิคาเอลรั้งพระองค์ไว้

“เรารู้ว่าเจ้ามาจากสังคมอย่างไร เราไม่พอใจ เพราะเจ้าเอาบรรทัดฐานของสังคมของเจ้ามาตัดสินเรา” ทรงตรัส

“ผมไม่ได้คิดว่าพระองค์นอกใจผม ผมแค่ยังไม่ชินกับสังคมในวัง ไม่ชินกับการเป็นสนมของพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“ในสังคมของเจ้าเราคงเป็นคนเลวมากสินะ” ทรงตรัสอย่างเย้ยหยัน เดินห่างออกไป

“ฝ่าบาท…อย่าไป… ได้โปรด… อย่าเกลียดผม” มิคาเอลกล่าวเสียงเบาน้ำตาคลอ จนองค์เดเมี่ยนต้องหันกลับมา พระองค์มองคนตัวเล็กอย่างเจ็บปวดที่เห็นคนตัวเล็กทำหน้าแบบนั้น

“หากเจ้ารักเรา ก็มาหาเรา” ทรงตรัสยืนรออยู่

“ผมรักพระองค์ได้จริงๆ หรือครับ ทั้งๆ ที่เราต่างกันขนาดนี้” มิคาเอลถาม

“หากเจ้าไม่ต้องการอยู่เคียงข้างเรา เราจะปล่อยให้เจ้าไป แต่สิ่งที่เจ้าร้องขอ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้โดยทันที เจ้าเองก็มีสิ่งที่ต้องแก้ไข เราเองก็เช่นกัน หากเจ้ายอมรับไม่ได้ เราก็จะไม่รั้งเจ้าไว้” ทรงตรัส

“พระองค์หมายความว่าอย่างไร”

“ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นไม่ใช่หรือ ให้เราเป็นข้อยกเว้นของเจ้า และเราจะให้เจ้าเป็นข้อยกเว้นของเรา หากเจ้าปรับตัวเข้าหาเรา เราก็จะปรับตัวเข้าหาเจ้าเช่นกัน” ทรงตรัสและยื่นมือออกไป

“กลับมาหาเรา มิคาเอล” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน คนตัวเล็กเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมๆ กับที่พระองค์เดินกลับมา พระองค์รอรับคนตัวเล็กที่โผเข้ามา และกอดเอาไว้

“เราสองคนอาจจะแตกต่าง เรารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดเวลาเจ้าเห็นเรากับสนมคนอื่น แต่เราก็เจ็บปวดเช่นกันเวลาเจ้าพูดจาร้ายๆ กับเรา เย็นชาต่อเรา หรือพูดไม่ตรงกับใจของเจ้า แต่การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองคงมิอาจทำได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเจ้าพร้อมจะพบกับเราคนละครึ่งทาง เราก็พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพร้อมๆกับเจ้า” ทรงตรัส เอื้อมจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาจุมพิต

“ผมรักพระองค์ครับ ผมจะพยายามครับ” มิคาเอลกระซิบอยู่กับอก ร้องไห้เบาๆ

 

ตลอดมาเขาเอาแต่คิดว่าองค์เดเมี่ยนไม่สนใจความรู้สึกของเขา แต่เขาต่างหากที่เป็นคนไม่สนใจความรู้สึกของพระองค์

“อย่าร้องไห้อีกเลย เราอยากให้เจ้ายิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ เราชอบเวลาเจ้ายิ้มมากกว่า” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก ก้มลงจูบซับน้ำตาให้

“เล่าเรื่องโทนี่ให้เราฟังอีกสิ สรุปว่าโทนี่ฆาตกรรมไมโครเวฟไปกี่เครื่องแล้ว” ทรงตรัสยิ้มๆ มิคาเอลหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ชูนิ้วขึ้น 3 นิ้ว

“งั้นเจ้าคงต้องเล่าเรื่องให้เราฟังด้วยในรถ เดินไปที่รถไหวไหม ให้เราอุ้มไหม” ทรงตรัสถาม คนตัวเล็กส่ายหน้าพยายามเช็ดน้ำตาออก แต่พระองค์ก็ช้อนร่างเล็กขึ้นและพาเดินกลับไปที่รถแทน

“ฝ่าบาท ผมเดินเองได้ครับ” มิคาเอลประท้วง

“เราอยากอุ้มเจ้าไม่ได้เหรอ” ทรงถาม มิคาเอลจึงโอบรอบคอและซบใบหน้ากับไหล่กว้างแทน

“พระองค์ตามใจผมเกินไปแล้ว” มิคาเอลพูดเบาๆ

“เราอยากให้เจ้าเก็บแรงเอาไว้คืนนี้ต่างหาก” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ฝ่าบาท!” คนตัวเล็กหน้าแดง พระองค์ก็หัวเราะออกมา

 

หลังจากเดินในไร่แล้ว ขบวนเสด็จก็มายังโรงบ่มไวน์ มิคาเอลต้องการเข้าไปชมขั้นตอนการผลิตไวน์ ที่มีการบรรยาย ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมด้วย ทำให้องค์เดเมี่ยนที่ไม่ชอบผู้คนต้องจำใจมายืนอยู่เคียงข้างคนตัวเล็ก

“จริงๆ หากเจ้าสนใจ ที่วังก็มีโรงบ่มไวน์อยู่ ไร่ไวน์ในคานาเดียก็มีไม่น้อย หากเจ้าจะลองทำที่วังก็ได้” ทรงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเตรียมอะไรบ้างล่ะครับ ผมอยากทำไวน์ดูบ้าง”

มิคาเอลกระซิบตอบอย่างตื่นเต้น

“เดี๋ยวเราจะให้คนจัดเตรียมสิ่งที่เจ้าต้องใช้ไว้ก็แล้วกัน และเราจะหาคนที่จะสอนเจ้าให้ด้วย” ทรงกระซิบตอบ พร้อมกับจุมพิตที่หน้าผากคนตัวเล็กเบาๆ โดยไม่แคร์สายตาของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จ้องมองมาที่ทั้งสองเลยแม้แต่น้อย

 

มิคาเอลที่มีใบหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อน ผมสั้นสีทอง กับรูปร่างบอบบางแบบผู้หญิง ในชุดขาวทั้งชุด ยกเว้นผ้าพันคอบางๆ สีดำเพียงคนเดียวก็เด่นมากแล้ว องค์เดเมี่ยนที่สูง และสง่างาม ใบหน้าที่หล่อเหลาจนนายแบบยังต้องอาย ดวงตาสีดำสนิทคมกริบราวกับตาของนักล่า บวกกับผมยาวสีดำที่ปล่อยลง แล้วยังชุดสีดำที่ดูคล้ายคลึงกับคนตัวเล็กที่ยืนข้างๆ และผ้าพันคอสีขาวที่พันรอบคออีก เพียงลำพังต่างคนต่างโดดเด่นไปกันคนละแบบ แต่พอมายืนคู่กันไม่ว่าใครก็อดมองไม่ได้ และก็แทบจะทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งคู่ ต้องเป็นคู่รัก กันอย่างแน่นอน

 

พอคนตัวใหญ่ก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนตัวเล็ก แทบทุกคน โดยเฉพาะสาวๆ ก็พากันกลั้นใจฟัง แต่พอเห็นคนตัวเล็กทำหน้าตื่นเต้นดีใจ ทุกคนก็แทบไม่สนใจคนบรรยายอีกต่อไป ต่างหันไปมองคู่รักตรงหน้ากันเป็นตาเดียว พอคนตัวใหญ่ก้มลงมากระซิบบางอย่าง ทุกคนก็พยายามเงี่ยหูฟังกันสุดขีด ปิดท้ายด้วยการจุมพิตที่หน้าผากก็ทำเอาสาวๆ กรีดร้องในใจกันถ้วนหน้า

 

"ไปกันเถอะ" ทรงตรัสขึ้น เริ่มทนไม่ได้เมื่ออยู่ดีๆ บริเวณดังกล่าวก็เริ่มมีคนเข้ามามากขึ้นอย่างผิดปกติ มิคาเอลพยักหน้ารับ ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนเดินจูงมือไปในโรงบ่มไวน์ ท่ามกลางสายตาอันเสียดายปนอิจฉามองตามหลังไป

 

องค์เดเมี่ยนสั่งให้องครักษ์ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้พามิคาเอลเดินชมรอบๆ เป็นการส่วนตัว พระองค์ไม่สนใจสายตาของคนที่มองมา แต่พระองค์ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น

 

ที่โรงบ่มไวน์แห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับปราสาท มีประวัติการทำไวน์ที่ยาวนานมาตั้งแต่ ค.ศ.1600 ไวน์ที่ผลิตมีหลายเกรด ตั้งแต่ Appellation d'Origine Controlee (AOC)ซึ่งเป็นไวน์คุณภาพสูงบ่งบอกรายละเอียดของ การผลิต ที่ผลิต การบรรจุขวด การบ่มไวน์อย่างละเอียดบนป้ายฉลาก ซึ่งไวน์ชนิดนี้ก็มีราคาแพงขึ้น ตามอายุของไวน์

 

Vins Delimite de Qualite Superieure (VDQS)เป็นไวน์คุณภาพสูงที่ถูกผลิตในที่ๆ ได้รับการรับรองว่าผลิตไวน์คุณภาพ ซึ่งที่นี่ก็เป็นไวน์จากเบอร์โดซ์ ลักษณะของขวดจะแตกต่างจากขวดไวน์ของที่อื่น ราคาค่อนข้างสูงเช่นกัน

 

Vin de Pays ไวน์ท้องถิ่น ราคาไม่ค่อยแพง เสริฟตามร้านอาหารทั่วไป

 

และ Vin de Table หรือไวน์ธรรมดา คุณภาพปานกลาง รสชาติจะขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่นำมาทำไวน์

 

มิคาเอลฟังอย่างตั้งใจและเดินลงไปชั้นใต้ดินอันเป็นสถานที่ที่ใช้ในการบ่มไวน์ ในชั้นใต้ดินถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วน  ส่วนแรกเป็นส่วนของการบ่มไวน์ในถังไม้ ถังไม้จำนวนมากตั้งเรียงรายแต่ละถังมีการตีตรา วันเดือนปีที่ผลิต มิคาเอลยกกล้องขึ้นเก็บภาพหลายภาพ หลังจากเดินชมกันอยู่นาน ไกด์ก็พาไปยังอีกด้านหนึ่ง ภายในมีการจัดแสดงไวน์ชนิดต่างๆ ไล่ตามปีที่ผลิต

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตัวเล็กเดินมองดูไวน์ที่จัดแสดงไว้อย่างสนใจ ก่อนจะหยุดมองไวน์ขวดหนึ่งนานเป็นพิเศษ และถ่ายรูปไวน์ขวดนั้นเอาไว้ พอเดินมาไม่ห่างกันนักก็หยุดมอง ไวน์อีกขวดและถ่ายรูปอีก

“ไวน์สองขวดนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือ” ทรงตรัสถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธ

“มิคาเอล เจ้าโกหกเราอีกแล้ว” ทรงดุ

“คือ ... ไวน์ขวดนี้ผลิตในปีเกิดของผม ส่วนขวดนั้นผลิตในปีเกิดของพระองค์ครับ” มิคาเอลตอบ หน้าขึ้นสีจางๆ พระองค์ได้ยินจึงเดินเข้ามาดูใกล้ๆ และโอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างเอ็นดู

“เจ้ารู้ปีเกิดของเราด้วยหรือ” ทรงถามอย่างสนใจ

“ก็พระองค์อายุมากกว่าผม 7 ปี” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่ยักรู้ว่าเจ้าคิดถึงเรา และยังเอามาเชื่อมโยงกับกับตัวเจ้าแบบนี้” ทรงตรัสก้มหน้าเข้ามาใกล้ มิคาเอลหน้าแดง หลบสายตาของพระองค์

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธ เบี่ยงตัวออกห่างพระองค์

“เจ้าคิดจะหนีไปไหน” ทรงรั้งร่างเล็กเอาไว้ และหยิบไวน์ทั้งสองขวดขึ้นมา จนไกด์ตกใจ

“ขอโทษครับ แต่ไวน์ที่จัดแสดงไว้ไม่ได้มีไว้ขายครับ” ไกด์รีบร้องบอก เพราะต่อให้เป็นนายแบบรูปหล่อแค่ไหนก็ไม่มีทางจะมีเงินหนามาซื้อไวน์เกรด AOC อายุมากกว่า 30 ปี ถึง 2 ขวดได้หรอก

“ไม่มีอะไร ที่เราซื้อไม่ได้” ทรงตรัสเรียบเฉย เย็นชา สีหน้าแสดงความไม่พอใจนัก

“อย่าว่าแต่แค่ไวน์สองขวดนี้ หากเราต้องการ ต่อให้ซื้อทั้งไร่ไวน์ และ โรงบ่มทั้งหมด เราก็ซื้อได้” ทรงตรัสอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ฝ่าบาท อย่าครับ” มิคาเอลพยายามห้าม

 

พอดีที่แมททิวเดินเข้ามาพร้อมกับทายาทเจ้าของโรงบ่มแห่งนี้

“กระหม่อมขออภัย ที่มาต้อนรับช้า กระหม่อมไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา เจ้าชายเดเมี่ยนสบายดีหรือขอรับ” โอนเนอร์กล่าวรีบส่งสัญญาณ ให้ไกด์ดวงตกรีบหลบไป

“เจ้าอบรมคนของเจ้ายังไง เอริค” ทรงถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

ก่อนจะเดินเข้าไปกอด

“ไร่ไวน์ กับ โรงบ่มของผมไม่ได้มีไว้ขายหรอกนะ เดเมี่ยน” เอริคกล่าว

อย่างสนิทสนม

“มิคาเอล นี่คือ เอริค เป็นเพื่อนของเรา และเป็นเจ้าของที่นี่ นี่คือมิคาเอล เป็นคนรักของเรา” ทรงตรัสแนะนำ มิคาเอลจึงยิ้มออกมา และยื่นมือออกไปสัมผัส แต่เอริค กลับจะเข้ามากอดทักทาย องค์เดเมี่ยนที่ยืนอยู่ตรงกลางเห็นก็ล็อกตัวเพื่อนตัวแสบเอาไว้แทน

“อย่าแม้แต่จะคิด” องค์เดเมี่ยนขู่

“ผมก็แค่จะทักทาย เลือกได้ดีนี่ เดเมี่ยน” เอริคกล่าว ก้มหน้าให้มิคาเอลเป็นเชิงทักทาย

“เจ้าเองก็เหมือนกัน เจ้าอยู่ในฐานะอะไร คิดว่าจะให้ใครแตะต้องตัวเจ้าก็ได้หรือ” ทรงตำหนิ

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา พระองค์จึงโอบกอดไว้อย่างหวงแหน และ รักใคร่

 

เอริคแปลกใจที่เดเมี่ยนแนะนำคนๆ นี้ในฐานะคนรัก ไม่ใช่ พระสนม หลังจากเดสเซเร่ เดเมี่ยนไม่เคยแนะนำใครในฐานะนี้ และยังท่าทีที่แสดงออกว่าทั้งรัก ทั้งหวงขนาดนี้ เอริคก็ไม่เคยเห็นเดเมี่ยนทำกับใคร นอกจากเดสเซเร่เพียงคนเดียว
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 49 ครึ่งทาง
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 27-08-2016 01:01:03
สองคนนี้มุมมองต่างกัน เราเข้าใจในตัวมิคาเอลน่ะ เป็นเรา ๆก้อทำใจยากในการที่จะแบ่งชายที่รักกับผู้อื่น  :mew2:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 50 คนหลายใจ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 29-08-2016 09:04:15
 

บทที่ 50 คนหลายใจ

 

องค์เดเมี่ยนส่งไวน์สองขวดให้แมททิวถือไว้ โอบมิคาเอลไว้ข้างกาย และเดินคั่นตรงกลางระหว่างเพื่อนและคนรัก จากบทสนทนา มิคาเอลจึงเข้าใจว่า คุณเอริคเป็นเพื่อนกับองค์เดเมี่ยนมาตั้งแต่สมัยที่พระองค์เดินทางมาศึกษาที่นี่ และเป็นเพราะในตอนที่พระองค์มาอยู่ที่นี่ พระองค์ไม่เคยบอกใครว่าพระองค์เป็นเจ้าชาย ดังนั้นเอริคจึงติดการพูดคุยแบบธรรมดากับองค์เดเมี่ยน และพระองค์ก็มิได้ถือสา

 

“ไหนๆ ก็มาทั้งที ก็เหมาไวน์ของเพื่อนกลับไปด้วยสิ” เอริคกล่าว

“จัดไวน์ดีๆ มาให้สัก 3 โหลก็ได้ กลับไปคราวนี้ เราคงต้องเอาไวน์ไปขอโทษ ใครหลายคน รวมทั้งนาธาเนียลด้วย” องค์เดเมี่ยนตรัส

“นาธานเนียลสบายดีเหรอ” เอริคถาม

“ก็เหมือนเดิม กบฏยังปราบไม่หมด ปัญหาก็ยังไม่จบสักที” ทรงตอบ

“แล้วคุณหนีมาเที่ยวแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ”

“เราก็คงต้องกลับเร็วๆ นี้แหล่ะ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วใช่ไหมล่ะ” ทรงตรัส และหัวเราะออกมา เอริคก็หัวเราะตามไปด้วย

“ผมขอคุยลำพังด้วยได้ไหม” เอริคถาม องค์เดเมี่ยนจึงหันมาหามิคาเอล

“เจ้าล่วงหน้าไปกับแมททิวก่อน เดี๋ยวเราจะตามไป” ทรงตรัสกับมิคาเอล

 

เมื่อทั้งสองเดินไปลับตาเอริคจึงถามขึ้น

“คุณไม่รักเดสเซเร่แล้วเหรอเดเมี่ยน” เอริคถามขึ้น องค์เดเมี่ยนจึงนิ่งลง

“เดสเซเร่ยังอยู่ในใจเราเสมอ” ทรงตรัส

“คุณรักเด็กคนนั้นสินะ แล้วในใจของคุณจะยังมีที่ให้กับน้องสาวของผมอีกเหรอเดเมี่ยน” เอริคถาม

“11 ปีแล้วสินะที่เธอจากไป เราก็ยังคิดถึงเธออยู่เสมอ ตำแหน่งชายาของเราก็ยังคงเป็นของเดสเซเร่คนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัสเรียบๆ ใบหน้าหม่นลง

“ผมควรจะรั้งเธอไว้ในตอนนั้น” เอริคกล่าว น้ำเสียงดูเจ็บปวด

“เราต่างหากที่ผิด ที่ดูแลเธอไม่ดี ทั้งๆ ที่เธอรักเราและทำทุกอย่างเพื่อเรา” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“ผมขอโทษ ที่ดูเหมือนเห็นแก่ตัว ที่เรียกร้องให้คุณทำแบบนี้ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องการให้การตายของน้องสาวของผมไร้ค่า” เอริคกล่าว

“เราไม่ได้โกรธ และเราก็เข้าใจ เดสเซเร่จากไปเพราะเรา การที่เราจะต้องรับผิดชอบก็ถูกต้องแล้ว” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ผมได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ มาเถอะผมจากเลือกไวน์ให้” เอริคกล่าวตบไหล่และเดินนำหน้าไป

 

หลังจากกลับมา องค์เดเมี่ยนก็เอาแต่นั่งดื่มเพียงลำพังในห้องกะจก

มิคาเอลจึงเดินเข้าไปหา

“ฝ่าบาท”

“ว่าอย่างไร”

“พระองค์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” มิคาเอลถามด้วยความเป็นห่วง

“เราไม่เป็นอะไรหรอก” ทรงตรัส รั้งมิคาเอลเข้าไปกอด

“ถ้าอย่างนั้น ก็ดื่มพอแล้วนะครับ” มิคาเอลแย่งคอนยัคในมือไปถือ ก่อนจะเอาแก้วไปวางบนโต๊ะห่างจากพระองค์ พระองค์มองการกระทำของคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู

“ทำไมเจ้าจึงรักเรา มิคาเอล เรามีอะไรให้คนอย่างเจ้ามารักกัน” ทรงถามขึ้น

“ทำไมพระองค์ตรัสแบบนั้นละครับ” มิคาเอลเดินเข้ามาหา คุกเข่าลงตรงหน้าของพระองค์

“พระองค์ไม่ทรงรักผมแล้วเหรอครับ” คนตัวเล็กย้อนถาม

“เราแค่อยากรู้” ทรงตรัสแต่ดูใจเลื่อนลอย

“พระองค์ถามผม หรือพระองค์ต้องการถามคุณเดสเซเร่กันแน่ครับ”

มิคาเอลถามกลับองค์เดเมี่ยนดูแปลกใจในตอนแรก ที่มิคาเอลรู้

“เจ้าแมททิวปากมาก” ทรงตรัสเบาๆ

“พระองค์ก็หลายใจ!” มิคาเอลกล่าวว่า ก่อนจะซบใบหน้าลงที่ต้นขาของพระองค์ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พระองค์จึงได้รู้สึกตัว รั้งมิคาเอลขึ้นมานั่งบนตัก

“เราขอโทษ เราไม่มีข้อแก้ตัว เราผิดเอง” ทรงตรัส ซบพระพักตร์กับอกของมิคาเอล

“เอริค เป็นเพื่อนของเรา แต่ทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะทำให้เรารู้สึกผิดเสมอ เพราะเราเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องสาวของเอริคต้องจากไป” ทรงตรัสเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อของคนรักเก่า

“แต่พระองค์ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอจากไปนี่ครับ อย่าทรงโทษตัวเองแบบนี้อีกเลยครับ เรื่องมันก็เกิดมานานแล้วด้วย” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนถอนหายใจ

“เราขอโทษ เราคงแย่มากสินะในสายตาของเจ้า ที่เราเป็นแบบนี้” ทรงถาม

“ผมเข้าใจครับ แต่ผมก็ไม่อยากให้พระองค์ทำแบบนี้ ผมรู้ว่าผมอาจจะไม่มีค่าเพียงพอ จะเทียบกับเธอ แต่อย่างน้อยผมก็อยู่ตรงนี้ ผมรักพระองค์ และผมก็อยากให้พระองค์มองเห็นผม ที่เป็นผม ไม่ใช่ตัวแทนของใคร”

มิคาเอลกล่าวช้าๆ ดูไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนตัวเล็กจะพูดความรู้สึกออกมา

แต่มิคาเอลก็พยายาม

“เราถึงได้ถามเจ้า ว่าทำไมเจ้าถึงมารักคนอย่างเรา” ทรงตรัสถาม

“พระองค์เป็นคนที่ทำให้ผมรักไม่ใช่เหรอครับ” มิคาเอลถามกลับ

“ทั้งๆ ที่เราโหดร้าย และหลายใจ เจ้ายังจะรักเราอีกเหรอ” ทรงถาม

“พระองค์ไม่ได้โหดร้าย …”

“แต่เราก็หลายใจ เจ้าเป็นคนพูดเอง”

“ผมบอกว่าผมจะพยายาม พระองค์เองก็บอกว่าจะเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับผมนี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเชื่อคำพูดของเราด้วยหรือ หากเราไม่ทำตามที่พูด เจ้าจะทำอย่างไร”

“ผม… ก็คงเสียใจที่สุด ที่คนที่ผมรักและไว้ใจ มาทำร้ายผม” มิคาเอลกล่าว พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

 

“หากพระองค์ไม่รัก ไม่ต้องการผม ก็บอก ผมจะไป” มิคาเอลตอบ หันหน้าหนี หัวใจบีบรัดอย่างเจ็บปวด พยายามจะลุกหนี แต่พระองค์ก็รั้งเอาไว้ และกอดมิคาเอลแน่นขึ้น

“เดสเซเร่เป็นรักแรกของเรา เราไม่เคยคิดจะรักใครอีกจนมาเจอเจ้า และเราสัญญากับเอริคเอาไว้ ว่าเราจะไม่ให้ใครมาแทนที่เธอ เรารู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่เรายังไม่พร้อมจะตัดใจจากเธอ เราเห็นแก่ตัวแบบนี้ เจ้าจะทนได้หรือ” ทรงตรัสถาม

“หากเจ้าทนไม่ได้ ตอนนี้เราคงพอจะปล่อยเจ้าไปได้”

“พระองค์ไม่มีสิทธิมาตัดสินใจแทนคนอื่น” มิคาเอลแย้ง

“ว่ามาสิ” ทรงรอฟังคำของคนตัวเล็ก

“ในเมื่อพระองค์เห็นแก่ตัว ผมก็ขอเห็นแก่ตัวบ้างได้ไหมครับ”

“ว่ามาสิ”

“ผมไม่ต้องการให้พระองค์มีสนมเพิ่ม” มิคาเอลก้มหน้าพูด

“ให้ผมเป็นสนมคนสุดท้ายของพระองค์ ได้ไหมครับ” คนตัวเล็กร้องขอ

“ตกลง เราจะไม่มีสนมเพิ่ม” ทรงตรัสรับปาก

“ผมจะไม่พูดอะไร เพราะผมมาทีหลัง แต่ผมขอร้อง ผมไม่ต้องการเห็น เพราะผมเจ็บเวลาที่เห็นพระองค์อยู่กับสนมคนอื่น” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

“ตกลง” ทรงตรัสรับคำ

“สุดท้าย ตราบเท่าที่พระองค์ยังคงรักคุณเดสเซเร่ ผมขอให้พระองค์ ให้อิสระกับผม หากวันไหนที่ผมทนไม่ได้ ผมขออิสระที่จะไปจากพระองค์” มิคาเอลร้องขอ แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวด

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตรงหน้า ไม่คิดว่ามิคาเอลจะขอแบบนี้ หากคนตัวเล็กจากไปในตอนนี้ พระองค์คงยังพอทำใจ แต่หากพระองค์รักคนๆ นี้มากขึ้น แล้ววันหนึ่งคนตัวเล็กจากไป แล้วพระองค์จะอยู่ได้อย่างไร

“ไหนเจ้าบอกว่ารักเรา แล้วทำไมเจ้ายังคิดจะไปจากเราอีก” ทรงตรัสเสียงดัง

“ในเมื่อพระองค์ยังรักคนอื่นอยู่ แล้วผมจะอยู่ในฐานะอะไร” มิคาเอลถามกลับ พระองค์นิ่งเงียบ น้ำตาของมิคาเอลก็ค่อยๆ หยดลง คนตัวเล็กลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง ปล่อยองค์เดเมี่ยนไว้ตามลำพัง

 

มิคาเอลร้องไห้ลำพังในห้องบรรทม ไม่นานองค์เดเมี่ยนจึงเดินเข้ามา ทรงนั่งลงข้างๆ

“เราไม่อยากเห็นเจ้าเจ็บปวด” ทรงตรัส กอดร่างมิคาเอลไว้ มิคาเอลลุกขึ้น และหันมาหาพระองค์ ผลักพระองค์ออก

“พระองค์ไม่อยากให้ผมเจ็บปวด แต่พระองค์ก็เป็นคนทำให้ผมเจ็บ ผมถึงไม่อยากรักพระองค์ เพราะผมรู้ว่าอย่างไรผมก็ต้องเจ็บอยู่ดี ถ้าพระองค์ไม่รักผม ก็ปล่อยผมไป อย่าทำกับผมแบบนี้ ผมก็มีหัวใจ ผมก็เจ็บเป็นเหมือนกัน” มิคาเอลต่อว่าพระองค์ทั้งน้ำตา

“มิคาเอล”

“ถ้าไม่ทรงรักผม ก็อย่ามาทำดีกับผม แค่นี้ผมก็เจ็บมากพอแล้ว”

“เรายอมแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลย เราจะให้อิสระแก่เจ้า เมื่อไหร่ที่เจ้าทนไม่ได้ และไม่ต้องการอยู่กับคนอย่างเราอีก เราจะปล่อยเจ้าไป แต่ถึงเราจะเป็นคนไม่ดีอย่างไร เราก็รักเจ้า เราอยากจะดูแลเจ้า เราอยากให้เจ้ามีความสุข เรารู้ว่าเจ้าพยายามทำเพื่อเรา เรารู้ว่าเจ้ายอมลงให้เรามากแล้ว เราเองก็จะพยายามทำเพื่อเจ้าบ้าง ให้โอกาสคนอย่างเราสักครั้งเถิดนะ อย่าเกลียดเราเลย เราขอโทษ” ทรงตรัส

 

"พระองค์ใจร้ายที่สุด” มิคาเอลต่อว่า

“เรารู้” องค์เดเมี่ยนตรัสขยับเข้าหา

“พระองค์เห็นแก่ตัว”

“เรารู้” พระองค์รั้งมิคาเอลเข้ามาหา

“พระองค์หลายใจ เจ้าชู้” มิคาเอลสะอื้นไห้

“เรารู้ เราเป็นคนไม่ดี และเรายังทำให้เจ้าร้องไห้ และทำให้เจ้าเจ็บปวด” ทรงกอดมิคาเอลเอาไว้

“พระองค์เห็นผมเป็นตัวแทน”

“ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้ และเจ้าก็ไม่ใช่ตัวแทนของใคร เราเองที่ผิด” ทรงตรัสกอดร่างเล็กแนบหัวใจ

“ให้โอกาสเราได้ไหม” ทรงถาม

“ผมเกลียด เกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลต่อว่า

“เราก็เกลียดตัวเราเหมือนกัน แต่เราอยากดีขึ้น เราอยากจะดีพอให้เจ้ารักเรา” ทรงตรัส

“เราขอโทษ เราจะพยายามทำให้ดีกว่านี้”  ทรงตรัสและกอดคนตัวเล็กเอาไว้ จุมพิตหน้าผากบางเบา จูบซับน้ำตาที่ไหลริน

“เราอยู่กับความทุกข์มานาน ถึงเราจะมีสนมมากมาย แต่เราไม่เคยรักใคร เราเหมือนจมอยู่ในความมืด และทรมานอยู่เพียงลำพังมาตลอด แต่การที่เจ้าเข้ามา มันเหมือนกับเป็นแสงสว่างที่ส่องมาถึงเราเป็นครั้งแรก เราปรารถนาจะรักษาแสงสว่างนี้ให้นานที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราควรทำตัวอย่างไร 11 ปี ที่เราอยู่ในสภาพนี้ ไม่ใช่เราไม่อยากเปลี่ยน แต่เราไม่รู้ว่าเราต้องทำอย่างไร เรารู้ว่าเราผิด แต่เราอยากจะแก้ไข เราอยากให้เจ้าเป็นคนช่วยชี้นำ พาเราออกไปจากความมืดมิดนี้จะได้ไหม” ทรงตรัสถาม

มิคาเอลกอดพระองค์ไว้แน่นขึ้น แม้เขาจะเจ็บแต่เขาก็รักคนๆ นี้มากเหลือเกิน แม้จะทรมาน แต่เขาก็จะทน

 

พระองค์กอดร่างของมิคาเอลไว้เนิ่นนานจนคนตัวเล็กหยุดร้องไห้ แล้วพระองค์ก็เอื้อมไปหยิบของบางอย่างออกมาส่งให้

“ในเมื่อเจ้าตัองการมีอิสระที่จะไป เมื่อเจ้าไม่อยากทนอยู่กับเราอีก เราต้องการแน่ใจว่าเมื่อเจ้าไป เจ้าจะไม่ลำบาก บัญชีธนาคาร มีอยู่ 10 ล้าน และเราจะเพิ่มให้เจ้าทุกเดือนที่เจ้ายังอยู่กับเรา และบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน บัตรนี้ผูกกับบัญชีของเรา เราให้เจ้าเก็บไว้ ต่อให้เจ้าไปจากเรา เจ้าก็ยังใช้ได้อยู่” ทรงตรัส แต่มิคาเอลตกใจและส่งกลับคืน

“ผมไม่ต้องการครับ ผมดูแลตัวเองได้”

“เรารู้ แต่เราให้เจ้า เก็บไว้เถอะ อย่างน้อยหากเราทำให้เจ้าผิดหวัง และเราไม่สามารถรั้งเจ้าไว้ได้ เราก็ยังรู้ว่าเจ้าจะไม่ลำบาก อย่างน้อยก็เก็บเอาไว้” ทรงตรัส

“เอาบัตรที่ผูกกับบัญชีของพระองค์มาให้แบบนี้ไม่กลัวผมเอาไปใช้หมดเหรอครับ” มิคาเอลถามหยอกล้อ

“ใช้ไปเถอะ ยังไงก็ไม่หมดหรอก ตำแหน่งเจ้าชายของเราอาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับเจ้าชายคนอื่น แต่ถ้าเรื่องทรัพย์สิน เรามีมากกว่าเจ้าชายทุกคน” ทรงตรัสเรียบๆ

“ไม่กลัวผมจะปอกลอกพระองค์เหรอครับ”

“เรารู้นิสัยของเจ้า ถึงเจ้าจะทำ เราก็ไม่กลัว”

“พระองค์เอาเงินมาซื้อผมไม่ได้หรอกนะครับ” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

“หากเจ้าจะไป ต่อให้เอาทุกอย่างที่เรามีมากองให้เจ้า เราก็รู้ว่า เราก็รั้งเจ้าไม่ได้” ทรงตรัส

“แล้วทำไมพระองค์ยังเอามาให้ผม เงินนี่ ยิ่งทำให้ผมไปจากพระองค์ง่ายขึ้น” มิคาเอลถามอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะเราสัญญาแล้วว่าเราจะให้อิสระต่อเจ้า เราก็แค่เพิ่มการันตีให้เจ้าก็เท่านั้น” ทรงตรัส มิคาเอลถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้

“ผมจะทนจนกว่าผมทนไม่ได้จริงๆ ระหว่างนั้นผมจะรักพระองค์ จะทำเพื่อพระองค์ และจะอยู่เคียงข้างพระองค์” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ แต่พระองค์ก็รั้งมิคาเอลเข้าไปกอด

 

“แค่นั้น เราต้องการแค่นั้น”

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 51 Afternoon Delight 20++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 29-08-2016 09:07:49


 

 

บทที่ 51 Afternoon Delight

 

หลังจากอยู่ที่ปราสาทมา 1 อาทิตย์เศษ ในที่สุดมิคาเอลก็มีโอกาสเดินชมรอบๆ ปราสาท Chateau de La Belle เป็นชื่อที่องค์เดเมี่ยนตั้งขึ้นใหม่แทนชื่อเดิมหลังจากทำการตกแต่งซ่อมแซม และดัดแปลงใหม่ ในปราสาทมี 147 ห้อง แต่ละห้องต่างตกแต่งอย่างสวยงาม ผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความทันสมัยสะดวกสบายเข้าด้วยกัน โดยพระองค์ต้องการให้คงเอกลักษณ์ของปราสาทเอาไว้

 

มิคาเอลเดินเข้าออกห้องต่างๆ อย่างตื่นเต้นอยู่หลายชั่วโมงอย่างไม่รู้จักเบื่อ จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ห้องอาบน้ำห้องหนึ่ง ภายในห้องเป็นพื้นหิน มีหน้าต่างหลายบาน ให้แสงสว่างลอดเข้ามา พรมผืนใหญ่สีครีมถูกปูอยู่กลางห้อง ที่ด้านหนึ่งมีเสาสี่เสา และมีผ้าม่านคลุมล้อมรอบ และถูกเปิดอยู่ครึ่งๆ เผยให้เห็นตรงกลางมีอ่างอาบน้ำแบบฝรั่งเศส มีสี่ขาสีขาวตั้งอยู่ มิคาเอลจำได้ว่าเขาเคยเห็นห้องน้ำห้องนี้มาก่อนในนิตยสารเมื่อนานมาแล้ว

 

ในขณะที่เขากำลังชื่นชมความงามอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงขยับตัวในอ่างน้ำ องค์เดเมี่ยนทรงนั่งเปลือยกายอยู่ในอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ พระองค์หันมามองเขาช้าๆ

“มิคาเอล เจ้ายังไม่เลิกถ่ายรูปอีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

“ครับ” มิคาเอลตอบหน้าแดง เมื่อเห็นคนตรงหน้าที่เปลือยเปล่า

“มานี่สิ” ทรงตรัสเรียกหา มิคาเอลวางกล้องลงที่โต๊ะใกล้ๆ แล้วเดินเข้าไปหา เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ อ่างน้ำ พระองค์เอื้อมมือจับมือเขาไปจุมพิตเบาๆ

“เจ้าชอบที่นี่หรือเปล่า” ทรงตรัสถาม

“ชอบครับ ที่นี่สวยมาก ทุกห้องเลยครับ” มิคาเอลตอบ

“เราดีใจที่เจ้าชอบ” ทรงตรัสและส่งยิ้มให้

“ผมไปรอข้างนอกนะครับ” มิคาเอลหน้าแดงที่เห็นร่างกายอันกำยำ อันเปล่าเปลือยของพระองค์ หลายวันที่ผ่านมา พระองค์อ่อนโยนต่อเขามาก และเอาใจเขาทุกอย่าง แต่พระองค์กลับไม่ยอมแตะต้องเขาเลย นับจากวันที่กลับมาจากไร่ไวน์

“เราอยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อน ได้ไหม” ทรงตรัสถาม มองมาที่มิคาเอลด้วยสายตาที่อ่อนโยน

“พระองค์จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ทำไมเจ้าไม่ลงมาอาบน้ำกับเราล่ะ สระผมให้กับเราได้ไหม” ทรงตรัสถาม

“พระองค์สระเองไม่เป็นเหรอครับ” มิคาเอลถาม

“ปกตินางกำนัลเป็นคนทำให้เรา” ทรงตรัสอย่างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็ไม่แปลกนักในเมื่อพระองค์เป็นเจ้าชาย

“ผมโดนลดระดับกลายเป็นนางกำนัลแล้วหรือครับ”

มิคาเอลถามอย่างเง้างอน

“ถ้าทำให้เรา เราจะสระผมให้เจ้าเป็นการตอบแทน” ทรงตรัสและยิ้มให้

“ก็ได้ครับ” มิคาเอลตอบตกลง

ลุกขึ้นถอดเสื้อออกช้าๆ องค์เดเมี่ยนก็มองอย่างไม่วางตา รอยจูบที่พระองค์ทิ้งไว้จางหายไปหมดแล้ว ผิวนวลเนียนสวยเผยออกมา ยอดอกสีชมพูก็ดูเย้ายวน มิคาเอลปลดกระดุมกางเกงออกโดยไม่ได้สังเกตุเห็นคนตรงหน้าที่จ้องมองมา กางเกงผ้าถูกปลดออกไปพร้อมกับอันเดอร์แวร์สีขาวร่างเปลือยเปล่าปรากฎแก่สายตา แต่คนตัวเล็กก็รีบเดินมาด้านหลังของพระองค์และค่อยๆ ก้าวลงมาในอ่างช้าๆ น้ำในอ่างร้อนกำลังพอเหมาะ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มิคาเอลนั่งลงด้านหลังองค์เดเมี่ยน พิงขอบอ่าง แต่พระองค์ก็เอนกายลงมาพิงร่างของมิคาเอลเอาไว้

 

“ถ้าพระองค์พิงผมแบบนี้ แล้วผมจะสระผมให้พระองค์ได้อย่างไร”

มิคาเอลถาม

“ก็ยังไม่ต้องสระ กอดเราก่อนสักพักก็ได้” พระองค์ตรัส เอื้อมมาจับมือของมิคาเอลมาโอบกอดพระองค์ไว้

“ฝ่าบาท พระองค์เอาแต่ใจอีกแล้ว” มิคาเอลประท้วง

“เราก็เอาแต่ใจเสมอไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัสยิ้มๆ

มิคาเอลจึงไม่อยากโต้เถียงด้วยกอดพระองค์เอาไว้จากด้านหลัง และซบใบหน้าลงกับไหล่กว้าง เนิ่นนาน จนในที่สุดคนตัวเล็กก็คลายอ้อมกอด

“นอนลงสิครับ ผมจะสระผมให้” มิคาเอลกล่าว

พระองค์จึงเอนกายลงทำให้ผมเปียกก่อนลุกขึ้นนั่ง มิคาเอลจึงเทแชมพูลงบนฝ่ามือ และค่อยๆ สระผมให้กับองค์เดเมี่ยน ผมดำยาวสลวย นุ่มราวแคชเมียร์ มิคาเอลสระผมให้พระองค์อย่างเบามือ

องค์เดเมี่ยนก็พูดจาหยอกเย้าอยู่ตลอด เสียงหัวเราะของทั้งคู่จึงดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อล้างผมให้พระองค์จนเสร็จ พระองค์ก็เปลี่ยนให้มิคาเอลมานั่งข้างหน้าพระองค์ เปิดน้ำอุ่นเพิ่มลงในอ่าง และทรงกอดมิคาเอลเอาไว้ คนตัวเล็กหน้าแดงเมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวของพระองค์ พยายามจะขยับหนี แต่พระองค์ก็รั้งร่างเล็กเข้าไปกอดไว้ ก่อนจะจุมพิตที่ต้นคอของคนตัวเล็กเบาๆ

 

“ฝ่าบาท ... อย่าครับ”

มิคาเอลพยายามหาเสียงจนเจอและพยายามจะปฏิเสธพระองค์

“เจ้าเองก็ต้องการเราไม่ใช่เหรอ”

ทรงตรัสถาม เอื้อมมือมาปลุกเร้าที่ด้านหน้า

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธ

“เจ้ายังปากแข็งอีกเหรอ ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็ตื่นตัวขนาดนี้”

ทรงสัมผัสปลุกเร้าเชื่องช้า จนมิคาเอลครางออกมาเบาๆ

“ฝ่าบาท...”

มิคาเอลร้องเรียกเมื่อถูกนิ้วของพระองค์รุกล้ำเข้ามา พระองค์ขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ จนคนตัวเล็กเริ่มชิน พระองค์รั้งใบหน้าหวานขึ้น และมอบจุมพิตให้เนิ่นนาน ลิ้นของพระองค์ลุกล้ำเข้ามา หยอกล้อ และเรียกร้อง ปรารถนาร่างเล็ก พระองค์ค่อยๆ รั้งคนตัวเล็กขึ้น และค่อยๆ ปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งลงมาบนร่างที่ตื่นตัวของพระองค์ จนคนตัวเล็กต้องครางออกมา ร่างของมิคาเอลบีบรัดพระองค์จนพระองค์แทบทนไม่ได้ เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชิน พระองค์จึงเริ่มขยับช้าๆ มิคาเอลจับที่ขอบอ่างเอาไว้ และขยับช้าๆ ไปกับการเคลื่อนไหวของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสกระซิบข้างหู พระองค์จับให้มิคาเอลหันหน้ามาหาพระองค์ พระองค์ลุกขึ้นมาครอบครองยอดทับทิมสีชมพูอย่างปรารถนา ดูดกลืน และขบกัดเบาๆ จนคนตัวเล็กครางเสียงดังออกมาอย่างสุดจะกลั้น

 

พระองค์ขยับร่างเชื่องช้า เนิ่นนาน ก่อนพระองค์จะช้อนร่างเล็ก และลุกขึ้น ทั้งที่ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายในร่างของคนตัวเล็ก มิคาเอลกอดเกี่ยวพระองค์เอาไว้แนบแน่น ก่อนพระองค์จะเดินออกมาจากอ่างหยิบผ้าเช็ดตัวมาปูรองไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก และวางมิคาเอลลง พระองค์ยกขาทั้งสองของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะขยับร่างเข้าออกเชื่องช้า มิคาเอลครางออกมาอย่างเสียวซ่าน อ้อนวอนต่อพระองค์

“ฝ่าบาท... ได้โปรด...”

พระองค์รั้งร่างคนตัวเล็กลงมายืน ก่อนพระองค์จะสอดใส่กลับเข้าไป เร่งจังหวะ และขยับเข้าออก ครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนตัวเล็กเกร็งกระตุก บีดรัดพระองค์ และปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์ถอนร่างของพระองค์ออก ก่อนจะช้อนร่างอันเปลือยที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้น หยิบกล้องสะพายที่ไหล่ และเดินเปลือยกายกลับห้องบรรทม โดยไม่สนใจว่าใครจะเห็น เป็นมิคาเอลที่ซบกับอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขินอายที่สุดในชีวิต

 

พระองค์วางมิคาเอลลงบนเตียงใหญ่อย่างแผ่วเบา ประทับริมฝีปากลงมา ด้วยความปรารถนา ครอบครองริมฝีปากล่างเนิ่นนานหิวกระหาย กว่าพระองค์จะถอนริมฝีปากออก ริมฝีปากของคนตัวเล็กก็บวมช้ำจากการจูบ

 

พระองค์ถอยออกมา หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคนตรงหน้า มิคาเอลที่นอนอ่อนระทวยบนเตียง ดูงดงาม และยั่วยวนเป็นที่สุด แต่พอเห็นว่าพระองค์กำลังถ่ายรูปของเขา มิคาเอลก็หยิบหมอนปาใส่พระองค์แล้วก็มุดลงไปใต้ผ้าห่มแทน แต่กระนั้น พระองค์ก็เก็บภาพของคนตัวเล็กไว้ได้ไม่น้อย พระองค์วางกล้องลง และเดินเข้ามาหาคนตัวเล็กก่อนจะจูบขอโทษคนตัวเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

"ใครให้เจ้าทำหน้ายั่วยวนเราแบบนั้นกัน” ทรงตรัสอย่างไร้เดียงสา

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธเสียงแข็ง

“เราถ่ายรูปสวยๆ ของเจ้าได้หลายรูปทีเดียว” ทรงตรัสอย่างภูมิใจ

“ผมจะลบออกให้หมด” มิคาเอลกล่าว

“เราสั่งห้ามเจ้าลบ หากเจ้าลบ เราจะถ่ายมากกว่านี้” ทรงขู่

“แต่...” มิคาเอลประท้วงเบาๆ

“ไม่มีแต่ นี่เป็นคำสั่ง หากเจ้าไม่เชื่อ เราจะลงโทษเจ้า และจะถ่ายรูปของเจ้าไว้ด้วย” ทรงตรัสขู่ยิ้มๆ ดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอด

“ปล่อยครับ” มิคาเอลพยายามขืนตัวออก เมื่อพระองค์ก้มลงจูบไซร้ที่ต้นคอของเขาอีกครั้ง

“อย่าใจร้ายกับเรานักสิ เราปรารถนาเจ้า”

ทรงตรัสรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ และครอบครองริมฝีปากบางอีกครั้ง โดยที่พระองค์มิได้ฟังเสียงประท้วงของอีกฝ่าย ลิ้นร้อนของพระองค์ก็สอดใส่เข้ามาควานหาความหวานภายใน ดูดดื่ม กลืนกิน จนคนตัวเล็กละลายอยู่ใต้ร่างของพระองค์ พระองค์แยกขาของมิคาเอลออกก่อนจะสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง ความอบอุ่นและคับแน่นทำให้พระองค์ครางออกมาอย่างหฤหรรษ์ ร่างเล็กโอบรัดพระองค์ราวกับถุงมือกำมะหยี่ชั้นดี ไม่ว่าพระองค์จะร่วมรักกับคนตรงหน้ากี่ครั้ง พระองค์ก็รู้สึกไม่เพียงพอ ความปรารถนาที่มีกับคนๆ นี้กลับยิ่งเพิ่มพูน แม้หลายวันที่ผ่านมา พระองค์จะพยายามระงับความต้องการ มิได้แตะต้องคนตัวเล็ก แต่นั่นก็ดีแต่จะทำให้พระองค์ปรารถนาคนตัวเล็กนี้มากขึ้นไปอีก

 

“เรารักเจ้า ...เราปรารถนาเจ้า... เราต้องการเจ้า... ทั้งหมด”

ทรงตรัสเสียงแหบพล่า ขยับร่างเข้าออกเชื่องช้าจนมิคาเอลครวญคราง

“ผม... ผมเป็นของ...พระองค์”

มิคาเอลกล่าวเสียงเบา ครางออกมาอย่างมีความสุข พระองค์เร่งจังหวะขึ้น ขยับร่างเข้าออก ในที่สุดทั้งมิคาเอล และพระองค์ก็ปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์ทิ้งน้ำหนักลงบนร่างของมิคาเอล พยายามหายใจให้ทัน ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายใน ก่อนพระองค์จะขยับร่างขึ้น แต่คนตัวเล็กกลับกอดรั้งพระองค์เอาไว้ จนพระองค์แปลกใจ

“ตัวเราหนัก เจ้าไม่อึดอัดหรือ”

ทรงถามมิคาเอลส่ายหน้า กอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย พระองค์จึงทิ้งน้ำหนักลงข้างๆ และกอดคนตัวเล็กเอาไว้

“เจ้ากังวลอะไรหรือ” ทรงตรัสถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธ

“อย่าโกหกเรา” ทรงดุ

“ผมแค่อยากอยู่แบบนี้อีกสักพัก”

มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนจึงพลิกให้มิคาเอลขึ้นมาอยู่ข้างบน และกอดเอาไว้ คนตัวเล็กก็ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงกระซิบบอกเบาๆ

“ผมทราบครับ ผมก็รักพระองค์”

มิคาเอลตอบ พยายามซึมซับกับช่วงเวลานี้เอาไว้

“เราเพิ่งคุยกับนาธานเนียลเมื่อเช้า นาธานเนียลบอกว่าตอนนี้ทางคานาเดียกำลังยุ่งมาก เรารู้ว่าเราบอกเจ้าว่าเราจะอยู่ที่นี่ 2-3 อาทิตย์ แต่เราทิ้งนาธานเนียลไม่ได้” ทรงตรัส

“องครักษ์บอกผมแล้วครับ” มิคาเอลบอก

“เจ้าแมททิวปากมากอีกแล้วสินะ” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก

“อย่าไปโทษคนอื่นสิครับ ผมต้องการรู้ ดีกว่ามาปิดผม” มิคาเอลตอบ

“เจ้ายังไม่อยากกลับสินะ” ทรงถาม ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็ก

“ผม...” มิคาเอลไม่รู้จะตอบอย่างไร

“หรือเจ้ากลัวว่าเราจะผิดสัญญา” ทรงถาม

“เปล่าครับ พระสนมคนอื่นคงคิดถึงพระองค์มาก ... ผม... ผม...” มิคาเอล

กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้อีก สิ่งที่เขาต้องการล้วนเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว

“เราสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ หรือเจ้าไม่เชื่อใจเรา” ทรงถาม

“ผมรักพระองค์ครับ ผมเพียงแค่กังวล”

 

มิคาเอลไม่กล้าบอกไปว่าเขาไม่อยากให้พระองค์มีคนอื่น แต่หากคิดในทางกลับกัน สนมทั้งหลายที่รอพระองค์กลับมา ต่างก็รักและคิดถึงพระองค์ การที่เขาคิดอยากให้พระองค์มีเพียงเขาคนเดียว ก็ดูจะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวเหลือเกิน แต่อีกครั้งที่การพูดย่อมง่ายกว่าการกระทำ แม้จะรู้และเข้าใจ แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเจ็บปวดและทรมานไม่ได้ ดังนั้นในตอนนี้ ที่พระองค์มีเพียงแค่เขาคนเดียว เขาก็อยากจะกอดพระองค์ไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าเมื่อกลับไปคานาเดียแล้วอ้อมกอดนี้ จะไปกอดคนอื่นก็ตาม
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 51 Afternoon Delight 20++
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 29-08-2016 21:39:30
อ่านกี่ทีก้อยังรู้สึกว่าเดเมี่ยนเห็นแก่ตัวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก แต่เราก้อเข้าใจน่ะมันเป็นวิถีของเขาไปแล้วน่ะ การจะเปลี่ยนในทันใดก้อคงเป็นเรื่องยากและเหล่าสนมก้ออยู่กันแบบนี้มานานแล้วน่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 52 เราสองคน
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-08-2016 10:06:12


 

 

บทที่ 52 เราสองคน

 

มิคาเอลเดินตามองค์เดเมี่ยนกลับเข้าไปในวิลล่า ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แต่ก็พยายามไม่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พระองค์พามิคาเอลเดินเข้ามาในห้องบรรทม

 

“ทำไมไม่พาผมไปส่งที่ห้องของผมล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“นี่คือห้องของเจ้า นี่คือห้องของเราสองคน” ทรงตรัสเรียบๆ

“พระองค์ หมายความว่าอย่างไรครับ ผมไม่เข้าใจ”

มิคาเอลได้ยิน แต่ไม่เข้าใจในความหมาย

“หมายความว่า เจ้าจะอยู่ที่ห้องนี้ ห้องติดกันเป็นห้องส่วนตัวของเจ้า เจ้าจะทำอะไรในนั้นได้ตามใจ แต่เจ้าจะต้องนอนกับเราในห้องนี้ ทุกคืน”

ทรงตรัส

“แต่นี่เป็นห้องบรรทมของพระองค์ แล้วผมจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

มิคาเอลตกใจ

“เราก็จัดห้องส่วนตัวให้เจ้าแล้วไง และห้องนี้จะไม่ใช่ห้องของเราคนเดียวอีก แต่จะเป็นห้องของเราสองคน” ทรงตรัสรั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ และจุมพิตที่หน้าผากเบาๆ

“แต่…ถ้าพระองค์พาใครมา…” มิคาเอลไม่อยากต่อประโยคให้จบ แค่คิดว่าจะมีใครเข้ามาร่วมเตียงกับพระองค์ในห้องนี้ แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน และจะทนได้อย่างไร

“เราบอกว่านี่เป็นห้องของเราสองคน ไม่ใช่เหรอ จากนี้ไปเจ้าจะเป็นคนเดียวในเตียงของเราในห้องนี้ เราจะสั่งห้ามไม่ให้สนมเข้ามายุ่งย่ามในวิลล่าหลัก เจ้าจะเป็นสนมคนเดียวในวิลล่าหลัก” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท!!! ผม…” มิคาเอลตกใจ แต่ก่อนจะพูดอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เข้ามา” ทรงตรัส แมททิวเดินเข้ามา ส่งของบางอย่างให้พระองค์ โค้งคำนับ และเดินออกไป พระองค์เดินเข้ามาหา ก่อนจะเปิดกล่องเครื่องประดับออก แหวนแพลตินัมวงหนึ่งอยู่ในนั้น พระองค์หยิบออกมา

“ในเมื่อเราให้อิสระกับเจ้า เราจะไม่ตีตราเจ้า แต่เจ้าก็ต้องสวมสัญลักษณ์ของเรา คนอื่นจะได้รู้ว่าว่าเจ้าเป็นของเรา ให้เกียรติและเคารพต่อเจ้า เราสั่งให้คนทำแหวนวงนี้เป็นพิเศษเพื่อเจ้า และเราขอให้เจ้าสวมมันไว้ตลอดเวลา” ทรงตรัส เอื้อมจับมือและสวมมันลงไปที่นิ้วนางข้างขวา แหวนสีเงินมีตราสัญลักษณ์บนหัวแหวน สวมพอดีกับนิ้วของมิคาเอล

“ในตอนนี้ เราทำให้เจ้าได้เท่านี้ เราหวังว่าเจ้าคงจะพอเข้าใจ” ทรงตรัส

มิคาเอลกลับร้องไห้ออกมาแทน

“เจ้าร้องไห้ทำไม เราอยากให้เจ้าดีใจ ไม่ใช่ร้องไห้แบบนี้ หรือเจ้าไม่พอใจ” ทรงตรัสถาม

“พระองค์ให้ผมมากเกินไปด้วยซ้ำ ผมไม่ได้คิดว่าพระองค์จะทำให้ผมมากขนาดนี้ ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงสั่นเครือ ร่างเล็กโผเข้ากอดพระองค์ไว้ องค์เดเมี่ยนโอบกอดมิคาเอลไว้ จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา

 

“ไหนๆ ก็มาลองเตียงใหม่กันดีกว่า” ทรงตรัสยิ้มๆ ช้อนร่างเล็กขึ้นพาเดินไปที่เตียง

“หมายความว่าอย่างไรครับ เตียงใหม่” มิคาเอลถามด้วยสีหน้าสงสัย ปล่อยให้พระองค์วางลงบนเตียงอย่างว่าง่าย

“เราสั่งให้เปลี่ยนเครื่องนอนทุกชิ้นในห้องนี้” ทรงตอบเอนกายลงเคียงข้าง

“เพราะฉะนั้น เราคงต้องมาลองดูว่าเตียงใหม่นี่ใช้ได้ไหม” ทรงกระซิบข้างหู จนมิคาเอลหน้าแดง ก่อนพระองค์จะซุกไซร้ลงที่ต้นคอ มืออันซุกซนยังล้วงเข้าไปใต้เสื้อของมิคาเอล ลูบไล้ และหยอกล้อกับยอดอกจนมันแข็งเป็นไต พระองค์ก้มลงจูบที่ยอดอกผ่านผ้า จนมิคาเอลต้องครางออกมา

“ฝ่าบาท... เราเพิ่งกลับมา... อย่าครับ” มิคาเอลพยายามปฏิเสธ

 

“เราบอกว่าเราจะลองเตียงใหม่ อย่าขัดใจเราสิ”

 ทรงตรัส ลิ้นร้อนๆ เลียจนเสื้อของมิคาเอลเปียกจนลู่ลงแนบกับยอดอกสีชมพูที่แข็งเป็นไต พระองค์ขบกัดเบาๆ อย่างหยอกล้อ มิคาเอลก็ยิ่งครางออกมาเสียงดัง พระองค์เปิดเสื้อของมิคาเอลขึ้น ก่อนจะครอบครองยอดอกนั้น หยอกล้อจนมิคาเอลร้องครางออกมาเสียงดัง ปรารถนาต่อพระองค์

“ฝ่าบาท... อย่าแกล้งผม...ได้โปรด” มิคาเอลร้องขอ

“เจ้าต้องการให้เราหยุด หรือต้องการให้เราทำต่อล่ะ”

ทรงถาม มิคาเอลหน้าขึ้นสี พระองค์จึงหยุดกระทำ มิคาเอลก็หายใจอย่างหอบเหนื่อย และเรียกร้องเบาๆ

“ฝ่าบาท...”

“ว่าอย่างไร”

พระองค์ขยับหน้าเข้ามาใกล้ริมฝีปาก แต่ไม่ทรงจูบ มิคาเอลจึงเอื้อมมือรั้งพระองค์ก่อนจะจูบพระองค์อย่างแผ่วเบา และกระซิบที่ข้างหู

“ผม...ต้องการ...พระองค์”

องค์เดเมี่ยนยิ้ม ก้มลงครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน มือข้างหนึ่งเลื่อนลงต่ำสัมผัสกับร่างของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา

 

“ร่างกายของเจ้าคงจดจำสัมผัสของเราได้แล้วกระมั้ง เราสัมผัสเจ้าเพียงแผ่วเบา เจ้าก็ตื่นตัวขนาดนี้” ทรงตรัสหยอกล้อ มิคาเอลหน้าแดงอีกครั้ง

“พระองค์ใจร้าย” มิคาเอลต่อว่า

“หากเราใจร้าย เราคงไม่ปรนเปรอเจ้าแบบนี้”

ทรงตรัส ขณะถอดกางเกงของมิคาเอลออก ก่อนจะครอบครองร่างอันตื่นตัวของมิคาเอล

“ฝ่าบาท”

มิคาเอลร้องเรียก ลิ้นของพระองค์กำลังหยอกล้อกับร่างของเขา ก่อนจะครอบครองเขาช้าๆ มือข้างหนึ่งสัมผัสที่ฐาน ขยับไปพร้อมๆ กับปากและลิ้น นิ้วเรียวยาวของพระองค์ก็ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามา มิคาเอลครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้นเมื่อถูกปลุกเร้าทั้งด้านหน้าและหลังแบบนี้ เพียงไม่นานพระองค์ก็พามิคาเอลไปสวรรค์ ร่างเล็กปลดปล่อยออกมา

 

พระองค์เอนกายลงนอนเคียงข้าง มิคาเอลจึงหันมากอดพระองค์ไว้

“แล้วพระองค์ล่ะครับ” มิคาเอลถามหน้าแดง

“เราแค่อยากทำให้เจ้ามีความสุข” ทรงตรัส

“ทรงเบื่อผมแล้วเหรอครับ” มิคาเอลถามอย่างน้อยใจ

“เราจะเบื่อเจ้าได้อย่างไร” ทรงตรัส รั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“หรือพระองค์จะต้องการทำกับสนมอื่น” มิคาเอลถามอย่างน้อยใจ

“เวลาที่เจ้าหึงหวงเรา เจ้าก็ยังน่ารัก” ทรงตรัสยิ้มๆ

จุมพิตที่หน้าผากมิคาเอลเบาๆ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลปฏิเสธเสียงแข็ง

 

พระองค์ลุกขึ้น และปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก ร่างกายกำยำก็ปรากฎแก่สายตา ร่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่นก็ออกมาทักทายมิคาเอล พระองค์นอนลงเคียงข้าง

“หากเจ้าต้องการ ก็ปลุกเร้าเราสิ”

ทรงตรัสเอื้อมมือมาเคล้าคลึงบั้นท้ายของมิคาเอล มิคาเอลหน้าขึ้นสี แต่ก็ค่อยๆ ก้มลงปลุกเร้าพระองค์ ริมฝีปากบางจุมพิตที่ปลายยอดแผ่วเบาก่อนจะครอบครองที่ปลายยอดช้าๆ โดยที่องค์เดเมี่ยนยังคงจ้องมองไม่วางตา ริมฝีปากบางอ้าออก และครอบครองพระองค์ช้าๆ แค่ภาพก็ปลุกเร้ามากพอแล้ว ความรู้สึกที่ได้รับ ยิ่งทำให้พระองค์ต้องครางออกมา

 

“เจ้ากลัวว่าเราจะไม่รักเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ” ทรงตรัส

มองคนตัวเล็กขยับ ปลุกเร้าพระองค์ พระองค์ค่อยๆ รั้งร่างเล็กขึ้น จุมพิตร่างเล็กด้วยความปรารถนา

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส วางร่างเล็กให้นอนลง

“เจ้าคือคนๆ เดียวที่เราปรารถนา”

ทรงตรัสแยกขาของมิคาเอลออก ก่อนจะสอดแทรกพระองค์เข้าไป

“มีเพียงเจ้าที่ทำให้เรามีความสุขมากขนาดนี้”

ทรงตรัสขยับร่างอย่างเชื่องช้า

“เรารักเจ้า มิคาเอล ได้โปรดเชื่อเรา”

ทรงเร่งจังหวะขึ้น

“หากมีเจ้าอยู่เคียงข้าง เราก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก เราไม่ต้องการสนมคนไหน เราต้องการเพียงเจ้าคนเดียว”

ทรงกระซิบข้างหู ร่วมรักกับมิคาเอลอย่างเร่าร้อน จนกระทั่งทั้งสองปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน

 

มิคาเอลหลับไปแทบจะทันที องค์เดเมี่ยนรู้ว่าคนตัวเล็กแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะความกังวล พระองค์จึงไม่อยากฝืนร่วมรักด้วย ดูเหมือนคนตัวเล็กยังคงเอาแต่ทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว พระองค์รู้ว่าพระองค์เป็นสาเหตุที่ทำให้มิคาเอลต้องทุกข์ใจ แม้กระนั้นคนตัวเล็กก็ยังคงรักพระองค์โดยไม่มีเงื่อนไข จนพระองค์รู้สึกผิด

 

องค์เดเมี่ยนลงจากเตียงและห่มผ้าให้กับคนตัวเล็ก จุมพิตที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะแต่งตัวและเดินออกไปจากห้อง พระองค์ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่มิคาเอลก็ตื่นขึ้น เขาไม่ได้หลับแต่เขาอยากรู้ว่าที่พระองค์ตรัสนั้นน่าเชื่อถือขนาดไหน เขาอยากจะเชื่อพระองค์ อยากจะรักพระองค์โดยไม่ต้องกังวลแบบนี้ มิคาเอลแอบมองออกไปก็เห็นพระองค์เรียกหา คุณแมททิว เมื่อคุณแมททิวมาถึง พระองค์ก็เดินนำเข้าไปในวิลล่าเล็ก

 

แม้จะรู้ว่าพระองค์ห่างจากพระสนมทั้งหลายมาทั้งอาทิตย์ แน่นอนว่าเหล่าพระสนมก็คงคิดถึงพระองค์อย่างมาก และพระองค์เองก็คงคิดถึงเหล่าพระสนมไม่น้อย แต่พอมาเห็นเข้าจริงๆ ที่พระองค์แทบจะทนไม่ไหวที่จะกลับไปหาเหล่าพระสนม มิคาเอลก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ทั้งๆ ที่พระองค์เพิ่งจะร่วมรักกับเขาแท้ๆ แต่ในขณะที่ทรงคิดว่าเขาหลับใหล พระองค์ก็รีบเข้าไปหาเหล่าพระสนมทันที ต่อให้พยายามเข้มแข็งแค่ไหน มิคาเอลก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เขาเดินกลับไปที่เตียง และนอนร้องไห้จนหลับไป

 

องค์เดเมี่ยนเดินออกมาจากห้องบรรทม และเรียกหาแมททิว

“ฝ่าบาท เรียกหากระหม่อมหรือขอรับ” แมททิวเดินเข้ามาหา และก็พอจะทราบสาเหตุที่เขาถูกเรียกตัวมา ในเมื่อตอนนี้กลับมาคานาเดียแล้ว และการจะถูกทำโทษจากการที่บังอาจไปหลงรัก พระสนมของพระองค์ ก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ

“ตามมา”

ทรงตรัสเรียบๆ และเดินนำเข้าไปในวิลล่าเล็ก

 

โดยปกติแล้วแมททิวไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในวิลล่าเล็กนี้ หลายปีที่ผ่านมา โอกาสเดียวที่เขามีในการพบกับพระสนมริชชี่ คือตอนที่พระสนมเดินทางไปเยี่ยมมารดา เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น และเขาก็เป็นองครักษ์คนเดียวที่องค์เดเมี่ยนไว้ใจมากพอ ที่จะคอยคุ้มกัน และดูแลพระสนมริชชี่ แต่เขาก็ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง เขาแอบหลงรักพระสนมมาตั้งแต่แรกพบ แต่ด้วยฐานะ เขาจึงไม่เคยกล่าวคำใดออกไป แต่กระนั้นทุกอย่างที่พระสนมริชชี่ต้องการ ขอเพียงเอ่ย เขาก็พร้อมจะทำให้เสมอ

 

องค์เดเมี่ยนเดินนำเข้ามาภายใน และเดินมายังซุ้มริมสระที่ริชชี่มักจะมานั่งอยู่เสมอ เมื่อริชชี่เห็นพระองค์ก็วิ่งเข้ามาหา แต่พอเห็นแมททิว ริชชี่ก็ชะงักลงเล็กน้อย

“ฝ่าบาท ทรงกลับมาแล้ว ผมเป็นห่วงพระองค์มากครับ”

ริชชี่กล่าว องค์เดเมี่ยนยืนนิ่งหันกลับมาที่แมททิว

“คุกเข่า” รับสั่งเรียบๆ แมททิวจึงคุกเข่าลง

“พระองค์พาคนอื่นเข้ามาทำไมครับ” ริชชี่ถาม

“คนๆ นี้บังอาจมาหลงรักสนมของเรา เจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรกับคนๆ นี้” ทรงตรัสถาม

“ฝ่าบาท” ริชชี่ดูตกใจ

“เราควรจะทรมาน แมททิว อย่างไรดี หรือว่า เราควรจะสั่งประหารดี”

 ทรงตรัสถามราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ตอบเรามา ริชชี่” ทรงถามเสียงดัง

“ฝ่าบาท ได้โปรด กระหม่อมผิดเอง หากจะลงโทษ ก็ลงโทษที่กระหม่อม” แมททิวร้องขอ

“หุบปากของเจ้าเสีย แมททิว” ทรงตรัสเสียงดัง และหันกลับมาหาริชชี่

“ว่าอย่างไร ริชชี่ ตอบเรามาสิ ว่าเราควรทำโทษแมททิวอย่างไร” ทรงถามริชชี่ หยิบมีดสั้นขึ้นมา เดินกลับไปหาแมททิว ปักมันลงบนแผลเดิมที่ไหล่ของแมททิวอีกครั้ง แมททิวไม่ได้ส่งเสียงแต่เป็น ริชชี่ที่ร้องออกมา

“ฝ่าบาท อย่าครับ คุณแมททิวกับผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ริชชี่กล่าว พระองค์ถอนมีดออกมาช้าๆ เลือดก็ไหลซึมออกมา

“เจ้าจะยอมรับว่ามีใจกับแมททิวอย่างนั้นเหรอ” ทรงถามเรียบๆ

“ผมเป็นสนมของพระองค์ ผมรักพระองค์คนเดียวเท่านั้น” ริชชี่กล่าว

“ถ้าอย่างนั้นเราจะฆ่าแมททิว เจ้าก็คงไม่เป็นไรสินะ” พระองค์ปักมีดลงที่แผลเดิมอีกครั้งจนบาดแผลฉีกออก และแผลเปิดมากขึ้น แมททิวกัดฟันแน่น ทนรับความเจ็บปวดโดยมิได้ร้องออกมา แต่ริชชี่กลับทนไม่ได้จนเข้ามาขวาง

“ฝ่าบาท ชีวิตทุกชีวิตมีค่า พระองค์จะทำแบบนี้ได้อย่างไร หากพระองค์ไม่ต้องการคุณแมททิว ก็มอบชีวิตของเขาให้กับผม ผมขอล่ะครับ ได้โปรดไว้ชีวิตคุณแมททิวด้วย” ริชชี่คุกเข่าขวางพระองค์ไว้ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อ้อนวอนขอชีวิตขององครักษ์หนุ่ม

 

องค์เดเมี่ยนจึงหยุดถอยออกมา

“ในเมื่อเจ้าขอ เราจะยกแมททิวให้เจ้า” ริชชี่ตกใจ ในเมื่อเขาเป็นสนมแล้วพระองค์จะยกคุณแมททิวให้เขาได้อย่างไร

“ผม...ไม่เข้าใจครับ” ริชชี่เอ่ยขึ้น

“จากวันนี้ไป เจ้าไม่ใช่สนมของเราอีก เจ้ามีอิสระ และมีสิทธิจะรักใครก็ได้ตามแต่ใจเจ้าปรารถนา” ทรงตรัส รั้งร่างริชชี่ขึ้นมา ทรงเช็ดน้ำตาให้

“ฝ่าบาท ทรงไม่ต้องการผมแล้วเหรอครับ พระองค์ทรงโกรธผมเหรอครับ” ริชชี่กล่าวถาม ไม่เข้าใจพระองค์

“เจ้าเป็นคนโปรดของเราเสมอ ริชชี่ และเราก็ไม่ได้โกรธเจ้า เราดีใจที่เจ้า พบคนที่เจ้าพอใจ และเราก็เพียงอยากให้เจ้ามีความสุข” ทรงตรัสอ่อนโยน

“ส่วนเจ้าแมททิว เจ้าเป็นหนี้ชีวิตต่อริชชี่ เจ้าจะต้องดูแลริชชี่ให้ดีด้วย หากเรารู้ว่าเจ้าทำให้ริชชี่เสียใจ คราวหน้าร่างของเจ้าจะพรุนมากกว่านี้” ทรงตรัสเสียงแข็งกระด้าง แต่แมททิวก็รู้ว่าองค์เดเมี่ยนทรงเมตตาเขามากเหลือเกิน

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท กระหม่อมจะดูแล คุณริชชี่อย่างดี” แมททิวตอบ แต่ยังไม่ทันขาดคำ พระองค์ก็บิดมีดจนแผลเหวอะ เลือดไหลออกมามากมาย ก่อนจะชักมีดออกมา

“และแผลนี้ของเจ้า คือโทษที่เจ้ามาปากมากกับมิคาเอล” ทรงตรัสก่อนจะเดินกลับออกไปที่วิลล่าหลัก และก่อนจะไปพระองค์ยังคงสั่งคำสั่งไว้

 

“ไปหาหมอซะ ไสหัวไปอย่ามาให้เราเห็นหน้าสักเดือนสองเดือน แล้วก็ดูแลริชชี่ให้ดี”

 

แมททิวรีบกล่าว ขอบคุณ เจ้าชายของเขา แข็งกระด้าง และโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงอ่อนโยนและห่วงใย

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 52 เราสองคน
เริ่มหัวข้อโดย: Pupay ที่ 30-08-2016 23:43:46
อะแฮ่ม เพิ่งมาตามอ่านค่ะเรื่องยาวมากเลย อัพแบบรัว ตามอ่านหลายคืนทีเดียว อ่านๆพักๆอ่านๆ ฮ่าๆ
เพิ่งเคยอ่านพระเอกแนวนี้เหมือนกันค่ะ อารมณ์เจ้าชายมีสนมมากมาย ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นแต่ส่วนใหญ่ที่ไม่อ่าน
เพราะรับไม่ได้มากกว่ากับการต้องแบ่งคนรักร่วมกับใคร แต่อ่านแล้วชอบ ติดงอมแงมไม่ยอมวาง
เข้าเรื่องนิยาย อ่านมาตอนแรกแอบลุ้นให้คู่กับองค์นาธาเนียล (คิดไปได้เนอะ) แต่มันขัดกับชื่อเรื่องอยู่นะ อิอิ
แต่หัวเรื่องก็เขียนอยู่ว่าเดเมี่ยนนนน เป็นพระเอกจ๊ะ กว่าจะเริ่มรู้สึกรักมันทรมานไมเคิลมากเลย (เกือบนึกชื่อเดิมไม่ออก)
รักนะ แต่ไม่อยากใช้คนรักร่วมกับใคร รักนะ แต่ที่เขาทำตอนแรกมันยากจะอภัย ตอนล่าสุดเนี่ยเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้น
ไล่บรรดาสนมออกจากวิลล่าไป เขียนสนุกค่ะ ชอบ อ่านเพลิน ฉากนองเลือดก็ลื่นไหลดี 55555 แต่ชอบฉากแบบ
บอกรักหวานๆมากกว่า รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ในการเขียนค่ะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 53 หึงหวง
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 31-08-2016 10:10:21


 

 

บทที่ 53 หึงหวง

 

มิคาเอลตื่นขึ้นมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานะแบบนี้มาก่อน ตลอดมาเขาไม่เคยรู้สึกรักใครได้มากเท่านี้ ไม่เคยรู้สึกหึงหวงใครแบบนี้ และไม่เคยคิดที่จะทนอยู่กับใครหากเขาไม่มีความสุขแบบนี้ องค์เดเมี่ยนเป็นคนแรก และ คนเดียว ที่ทำให้คนที่เย็นชา ปกปิดความรู้สึกอย่างเขา แสดงความรู้สึกและอารมณ์ออกมา ไรอันเคยล้อเลียนว่าเขาเหมือน snow queen เยือกเย็น เย็นชา และไม่ยอมเปิดเผย แต่เป็นเพราะองค์เดเมี่ยนที่หลอมละลายเขา จนในตอนนี้เขาดูจะห่างไกลกับคำๆ นั้นเสียแล้ว

 

เขาลุกขึ้นแต่งตัวและเดินออกมา และพบว่าองค์เดเมี่ยนทรงงานอยู่ในห้องหนังสือ เขาจึงเดินเข้าไปหา เมื่อเขาเข้าไป องค์เดเมี่ยนก็ยิ้มให้และเรียกให้เข้าไปใกล้

“ตื่นแล้วเหรอ” ทรงตรัส โอบกอดมิคาเอลไว้ และรั้งให้มานั่งบนตัก

มิคาเอลมององค์เดเมี่ยนด้วยสายตาเศร้าๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ลอยออกมาบ่งบอกว่าพระองค์เพิ่งสรงน้ำได้ไม่นาน ฉลองพระองค์ก็ถูกเปลี่ยน พระองค์คงจะเริงรักอยู่กับสนมของพระองค์ก่อนหน้านั้น แค่คิดเขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จนเผลอกอดพระองค์แน่นขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“เจ้ายังเหนื่อยหรือเปล่า หิวไหม” ทรงถามลูบศรีษะคนตัวเล็กที่เอาแต่กอดพระองค์ไว้อย่างเอ็นดู

“ผมไม่เหนื่อยครับ” มิคาเอลตอบเรียบๆ

“พรุ่งนี้เราจะกลับไปทำงาน เจ้ายังอยากไปทำงานกับเราอยู่ไหม” ทรงตรัสถาม

“ครับ” คนตัวเล็กตอบเรียบๆ

“มีอะไรหรือเปล่า” ทรงถาม เมื่อคนตัวเล็กดูเงียบกว่าปกติ

แต่คนตัวเล็กก็ส่ายหน้า

“คืนพรุ่งนี้ มีงานเลี้ยงที่เราต้องไป เจ้าอยากไปกับเราหรือเปล่า”

“ครับ” มิคาเอลตอบอย่างว่าง่าย จนองค์เดเมี่ยนแปลกใจ

“เจ้าอยากจะช่วยเราจำหน้าแขกไหม” ทรงถาม มิคาเอลพยักหน้า และหยิบเอกสารปึกใหญ่ขึ้นมา และเดินไปนั่งอ่านรายละเอียดที่โซฟาตรงมุมห้องแทน คนตัวเล็กอ่านเอกสารไป ก็ถอนหายใจไปด้วย จนองค์เดเมี่ยนอดเป็นห่วงไม่ได้

 

พระองค์เดินมาแย่งเอกสารออกจากมือของคนตัวเล็ก และวางมันลงข้างๆ และคุกเข่าลงตรงหน้าคนตัวเล็ก จนมิคาเอลตกใจ

“มีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” ทรงถามอย่างอ่อนโยน

“ฝ่าบาทเดี๋ยวจะทรงเปื้อน พระองค์ไม่ควรจะมาคุกเข่าต่อหน้าคนไร้ค่าอย่างผม” มิคาเอลรีบขอให้พระองค์ลุกขึ้น

“เจ้ามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับเรา บอกเรามาว่าเจ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร” ทรงตรัส

“ไม่มีอะไรครับ” มิคาเอลยังคงปฏิเสธ

“เราไม่เชื่อ เจ้าไม่รัก ไม่ไว้ใจเราหรอกหรือ” ทรงตรัสพ้อ

“หากผมไม่รักพระองค์ผมคงไม่ต้องเจ็บแบบนี้ หากผมไม่รัก ผมคงไม่ต้องทนอยู่ในสภาพนี้” มิคาเอลตอบ

“การรักเราทำให้เจ้าทรมานมากขนาดนั้นเลยหรือ” ทรงถาม รู้สึกเสียใจที่ได้ยิน

“ต่อหน้าผม พระองค์ก็ทรงทำดีด้วย ลับหลังพระองค์ก็ไปหาสนมอื่น”

มิคาเอลกล่าว อยู่ๆ น้ำตาไหลออกมา

“ใครบอกเจ้ากัน ว่าเราไปหาสนมอื่น” ทรงตรัสถาม

“พระองค์จะโทษคนอื่นทำไม ในเมื่อผมเห็นพระองค์เดินเข้าไปที่วิลล่าเล็ก” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตา

“เราไม่เคยรู้ว่าเจ้าขี้หึงแบบนี้” ทรงตรัสยิ้มๆ แปลกใจที่ได้ยิน

“ผมก็ไม่เคยคิด ว่าผมจะเป็นแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะพระองค์ ทรงใจร้าย” มิคาเอลร้องไห้ออกมา และพยายามจะลุกหนี แต่องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นและกอดรั้งเอาไว้

“อย่าร้องไห้สิ คนดี” ทรงปลอบโยน

“พระองค์จะสนใจผมทำไม พระองค์ก็ไปหาสนมของพระองค์สิ” มิคาเอลตัดพ้อ

“สนมคนเดียวที่เราต้องการ อยู่ตรงนี้” ทรงตรัส

“คนโกหก คนหลายใจ” มิคาเอลพูด ผลักพระองค์ออก

“ฟังเราก่อน… เราเข้าไปในวิลล่าเล็กก็จริง” ทรงสารภาพ

มิคาเอลรู้สึกเจ็บที่ได้ยิน

“แต่… เราไม่ได้เข้าไปหาความสุขจากสนมคนไหน เจ้าแมททิวหลงรักริชชี่ เราก็แค่เข้าไปถามความรู้สึกของริชชี่ว่าคิดอย่างไรกับ เจ้าแมททิว และดูเหมือนริชชี่เองก็มีใจ เราก็เลยปลดปล่อยริชชี่จากการเป็นสนมของเรา และให้แมททิวลางาน ทั้งสองคนนั้นจะได้มีเวลาปรับตัวเข้าหากัน แค่นั้นจริงๆ” ทรงตรัส มิคาเอลเงยหน้าขึ้นมององค์เดเมี่ยน อย่างไม่อยากจะเชื่อ พระองค์จึงก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับมิคาเอล

 

“แต่ถ้าแค่นั้นทำไมพระองค์ต้องอาบน้ำ แล้วยังเปลี่ยนชุดอีก”

มิคาเอลยังกล่าวหา พระคิดว่ามิคาเอลยังคงเฉียบคมเกินไป เรื่องเพียงเล็กน้อยก็ยังสังเกตุเห็น ที่พระองค์ต้องอาบน้ำและเปลี่ยนชุด เพราะคราบเลือดที่กระเด็นมาโดนนั่นเอง

“เจ้าแมททิว มันซุ่มซ่ามทำชุดเราเปื้อน (เลือด) เราเลยต้องเปลี่ยนชุดใหม่ เราก็เลยอาบน้ำด้วยก็เท่านั้น ตัวเราหอมแล้ว เจ้าอยากจะลองชิมเราดูไหม” ทรงตรัสหยอกล้อ ทำท่าจะปลดกางเกงออก มิคาเอลหน้าแดงทั้งจากความเขินอาย และรู้สึกผิด ที่กล่าวหาคนตรงหน้า

“ผม… ขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวทำท่าจะร้องไห้อีก

จนองค์เดเมี่ยนรั้งร่างเล็กเข้ามากอด

“เราบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเรารักเจ้า และต้องการเพียงแค่เจ้าคนเดียว” ทรงตรัสอ่อนโยน

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้แน่น

“เราควรจะทำโทษเจ้าอย่างไร ที่เจ้าเอาแต่ปากแข็งแบบนี้” ทรงตรัสหยอกเย้า

“...” คนตัวเล็กไม่ตอบ แต่หน้าแดงเมื่อคิดถึงวิธีลงโทษของพระองค์

“เจ้าหายโกรธเราแล้วใช่มั้ย” ทรงถาม

“ผมไม่ได้โกรธ...” มิคาเอลตอบ

“เราอยากครอบครองเจ้า แต่เรามีงานที่ต้องสะสางเยอะเหลือเกิน เจ้าคงไม่ว่าเราใช่มั้ย” ทรงตรัส

“ผมจะช่วยครับ” มิคาเอลรีบอาสา พระองค์จึงรั้งมากอดและจูบที่หน้าผากอย่างเอ็นดู

 

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาองค์เดเมี่ยนทรงงานหนักทุกวัน แม้ที่ผ่านมาจะมีคนมาทำหน้าที่แทนพระองค์ แต่คนที่มาแทนก็ดูจะมีความสามารถในการบริหารและจัดการ รวมไปถึงการต่อรองได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ที่องค์เดเมี่ยนทำได้ด้วยซ้ำ ทำให้การกลับมาขององค์เดเมี่ยนเป็นที่ยินดียิ่งต่อเหล่าคณะรัฐบาล ทำให้ไม่มีใครกล้าปริปากตำหนิที่พระองค์เกเรไม่มาทำงานแม้เพียงครึ่งคำ

 

นอกจากงานในออฟฟิต องค์เดเมี่ยนยังทรงออกงานเลี้ยงหลายต่อหลายงาน จนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน โดยมิคาเอลจะตามเสด็จไปช่วยทรงงานด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานในออฟฟิต หรือแม้แต่การออกงานกลางคืน

มิคาเอลเรียนรู้งานด้านต่างๆ จากพระองค์ และจากเลขาอาร์ชี่ และมิคาเอลก็ทำได้อย่างดี จนองค์เดเมี่ยนประทานตำแหน่ง ผู้ช่วยส่วนพระองค์ พ่วงท้ายตำแหน่งของพระสนมอีกด้วย งานในออฟฟิตมิคาเอลก็ช่วยแบ่งเบางานของเลขาอาร์ชี่ไปได้หลายส่วน และเวลาที่องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลออกงาน มิคาเอลจะคอยช่วยพระองค์จดจำแขกคนสำคัญต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดปลีกย่อย และตารางงานคร่าวๆ ประหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ก็ไม่ปาน และตั้งแต่องค์เดเมี่ยนกลับมาคราวนี้ พระองค์ก็ดูมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อีกทั้งชื่อของมิคาเอลยังปรากฏขึ้นในรายงานบ่อยครั้ง และมิคาเอลก็เปรียบเสมือนเงาตามตัวองค์เดเมี่ยนอยู่ตลอด ทำให้องค์นาธานเนียลมองมิคาเอลในแง่ที่ดีขึ้นมาก

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์เดเมี่ยนก็มิได้เข้าไปที่วิลล่าเล็กอีกเลย พระองค์นอนร่วมเตียงกับมิคาเอลทุกคืนเหมือนดั่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ แม้พระองค์จะยังมีสนมมากมาย แต่มิคาเอลก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยพระองค์ก็รักษาคำพูด และเขาก็จะพยายามทำตามพระองค์ด้วยเช่นกัน

 

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่มิคาเอลตามเสด็จมาทำงานปกติ แต่จู่ๆ เขาก็ได้รับจดหมายประทับตราขององค์ราฟาเอล มิคาเอลแปลกใจที่ได้รับจดหมายขององค์ราฟาเอล และเขาก็ไม่อยากให้องค์เดเมี่ยนทราบ ด้วยเพราะรู้นิสัยขององค์เดเมี่ยนดี เขาจึงแอบเปิดออกอ่าน

 

“น้องชายของเจ้ากำลังจะมาถึงในอีก 2 วัน เราหวังว่าเราจะยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเรา_ ราฟาเอล”

 

มิคาเอลอ่านจดหมายด้วยหัวใจที่เต้นระทึก โทนี่กำลังจะมาเยี่ยมเขา

มิคาเอลรู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมา องค์เดเมี่ยนที่ทรงงานอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิคาเอล ยิ้มออกมา พระองค์จึงอดสงสัยไม่ได้

“เจ้ายิ้มอะไร” ทรงถาม

“เปล่าครับ” มิคาเอลรีบปฏิเสธ และรีบเก็บจดหมาย แต่องค์เดเมี่ยนก็เร็วกว่า พระองค์เดินมาหาเมื่อเห็นตราประทับที่ซองจดหมายก็ยิ่งทรงโกรธ

“นั่นมันตราประทับของราฟาเอล เจ้าคิดจะนอกใจเราหรืออย่างไร ส่งจดหมายมา” ทรงตรัสเสียงดังด้วยความโกรธ

“ผมเปล่าครับ” มิคาเอลปฏิเสธอีกครั้ง แต่ก็ไม่ยอมส่งจดหมายให้ องค์เดเมี่ยนจึงแย่งมาดู

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าไปออดอ้อนราฟาเอลให้พาน้องชายของเจ้ามาหา และสัญญาอะไรที่เจ้าไปให้ไว้กับราฟาเอล”

ทรงตรัสถามด้วยน้ำเสียงโกรธจัด บีบข้อมือของมิคาเอลไว้

“ฝ่าบาท ผมเจ็บ ปล่อยครับ ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอน

องค์เดเมี่ยนจึงปล่อยมือ

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบเรามาเดี๋ยวนี้!!!” ทรงตรัสเร่ง

“องค์ราฟาเอลทรงทราบว่าผมคิดถึงน้องชายตั้งแต่ตอนที่พระองค์ยกผมให้กับองค์ราฟาเอล องค์ราฟาเอลรับปากว่าจะจัดการให้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าองค์ราฟาเอลจะทรงทำให้จริงๆ” มิคาเอลอธิบายตามจริง

“แล้วเจ้าไปสัญญาอะไรกับมัน” ทรงถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธ

“ผมสัญญาว่าจะทานอาหารค่ำกับองค์ราฟาเอลครับ” สิ้นสุดคำพูด

องค์เดเมี่ยนก็หมดความอดทน

“แล้วอย่างไร เจ้ายังคิดจะไปหามันอีกเหรอ” ทรงตรัสเสียงดัง

“ผมเปล่าครับ แต่องค์ราฟาเอล...” มิคาเอลพยายามจะอธิบาย องค์เดเมี่ยนก็ตรัสสวนขึ้นมา

“ราฟาเอล ราฟาเอล ชื่อของชายอื่น เจ้ายังกล้าเรียกต่อหน้าเราอีกหรือ มานี่” ทรงตรัส และจับต้นแขนของมิคาเอลไว้ พามิคาเอลกลับไปที่วิลล่า

 

“ฝ่าบาท ปล่อยครับ ผมเจ็บ” มิคาเอลอ้อนวอน

เมื่อถูกพระองค์กึ่งดึงกึ่งลากมาตลอดทาง

“ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นของเรา แล้วเจ้ายังจะไปยั่วยวนคนอื่นอีกหรือ” ทรงตรัส

“ผมเปล่าครับ ฝ่าบาท!” มิคาเอลปฏิเสธ พยายามจะเดินให้ทันพระองค์ แต่พระองค์ก็หันกลับมาอุ้มมิคาเอลพาดบ่า และพาไปที่ห้องบรรทม เมื่อเข้ามาพระองค์ก็ปล่อยมิคาเอลลงบนเตียง

 

“เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นเจ้าของเจ้า หรือเจ้าต้องให้เราแสดงให้ดู” ทรงตรัสถาม ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมิคาเอลออก

“ผมเป็นของพระองค์ ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ได้โปรดฝ่าบาท อย่าทำแบบนี้” มิคาเอลร้องขอ หยุดดิ้นรนและกอดองค์เดเมี่ยนไว้

“อย่าคิดว่ากอดเรา แล้วจะทำให้เราหายโกรธ เราจะครอบครองเจ้า ตีตราเจ้า ทำให้เจ้ารู้ และสำนึกว่าเจ้าเป็นของเราคนเดียว” ถึงจะตรัสโหดร้าย แต่พระองค์ก็เย็นลง

 

“ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ผมไม่เคยคิดจะนอกใจพระองค์ ผมต้องการพระองค์คนเดียว แต่พระองค์ทำให้ผมกลัว อย่าทรงโกรธ และลงโทษผมแบบนี้ ผมเป็นของพระองค์ หากพระองค์ต้องการผม ผมก็ต้องการพระองค์เช่นกัน แต่ได้โปรดอย่าใช้กำลังกับผม ผมกลัวครับ” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์เอาไว้แน่น ตัวสั่นด้วยความกลัว ตามที่พูดจริงๆ องค์เดเมี่ยนจึงพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ ที่ผ่านมาพระองค์พยายามไม่ให้

มิคาเอลเห็นพระองค์ เวลาที่พระองค์ใช้ความรุนแรง และโหดร้าย เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้คนตัวเล็กหวาดกลัวพระองค์ แต่ตอนนี้พระองค์กลับให้ความโกรธเข้าครอบงำจนกระทำรุนแรงกับคนตรงหน้า พระองค์ก็รู้สึกผิดขึ้นมา

 

“เราขอโทษที่ใช้กำลัง เราโกรธ เพราะเราไม่ต้องการให้เจ้าเอ่ยชื่อชายอื่น โดยเฉพาะราฟาเอล” ทรงตรัสอ่อนโยนขึ้น กอดตอบมิคาเอลไว้

“ผมขอโทษครับ ได้โปรดอย่าโกรธผมเลย” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา

“เราโกรธเพราะเรากำลังทำเรื่องให้น้องชายของเจ้า เจ้าเป็นคนของเรา ราฟาเอลทำแบบนี้เป็นการหยามเกียรติของเรา แล้วไหนจะสัญญาอะไรนั่นอีก เราไม่อนุญาต หากเจ้าขัดคำสั่ง เราจะลงโทษเจ้า และเราจะหาเรื่องทำโทษราฟาเอลด้วยที่มายุ่งกับเจ้าอีก” ทรงตรัสเสียงแข็ง

“ผมแค่ดีใจที่จะได้เจอโทนี่ครับ ผมจะทำตามคำสั่งของพระองค์ อย่าทรงโกรธอีกเลยนะครับ” มิคาเอลกล่าวอ้อนวอน

“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า” ทรงตรัสโทษคนตัวเล็กหน้าตาเฉย

“เพราะเรารักเจ้า เราถึงได้ทั้งหึง และหวงเจ้าแบบนี้” ทรงตรัส

“ผม... ขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าว รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

“เจ้าสำนึกผิดก็ดี บอกเราสิ ว่าเราควรทำโทษเจ้าอย่างไร” ทรงตรัสถามก่อนจะครอบครองริมฝีปากบางเนิ่นนาน

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 54 เต้นรำ 20++
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 31-08-2016 10:13:53


 

 

บทที่ 54 เต้นรำ

 

มิคาเอลยืนอยู่เคียงข้างองค์เดเมี่ยนในงานเลี้ยง ตลอด 2 วันที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนเอาแต่ใจเป็นที่สุด โทนี่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และแม้

มิคาเอลจะบอกแก่องค์เดเมี่ยนมาตลอดสองวันที่ผ่านมาว่าเขาจะไม่ไปหาองค์ราฟาเอล และจะเชื่อฟังคำสั่งขององค์เดเมี่ยน แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเอาแต่ทำโทษเขามาตลอดสองวันเต็มๆ  ร่างของมิคาเอลมีแต่รอยจูบของพระองค์เต็มไปหมด และองค์เดเมี่ยนก็ดูจะมีความสุขกับการทิ้งรอยจูบไว้เสียเหลือเกิน แล้วพระองค์ก็ยังคอยแต่จะถามคำถามน่าอายเหล่านั้นระหว่างร่วมรักกับเขาอีก ยิ่งคิดมิคาเอลก็ยิ่งรู้สึกอับอาย ใบหน้าหวานจึงค่อยๆ ขึ้นสีจางๆ

 

“หากเจ้าต้องการร่วมรักกับเรา เจ้าก็ต้องทนอีกสักพัก จนกว่าเราจะหาโอกาสออกจากงานเลี้ยงได้เสียก่อน” ทรงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลเถียงหน้าแดง

 

"ไมเคิล มิลลส์" เสียงเรียกชื่อดังขึ้น ชื่อที่มิคาเอลไม่ได้ยินมานาน เขาจึงหันตามเสียงไป องค์เดเมี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงมองตามไปด้วย พระองค์จึงพบกับชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งดูไปแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยกับพระองค์ เดินเข้ามาหามิคาเอล และทำท่าจะมากอดมิคาเอล พระองค์จึงเดินเอาตัวเข้าไปขวางไว้

“ฝ่าบาท อย่าเสียมารยาทสิครับ ฝ่าบาทครับนี่คือคุณวิลเลียม แคมพ์เบล เป็นนักธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเพื่อนของผมครับ นี่คือ…” มิคาเอลแนะนำชายหนุ่มให้องค์เดเมี่ยนรู้จัก ในขณะที่เขากำลังจะแนะนำองค์เดเมี่ยน วิลเลี่ยมก็ต่อให้จนจบ

“เจ้าชายเดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เป็นเกียรติขอรับ” วิลเลี่ยมคำนับทักทาย

“คุณวิลเลี่ยมมาได้ยังไงครับ” มิคาเอลถามอย่างสนใจ

“พอดีเพื่อนของผมมาลงทุนที่นี่ ผมก็เลยมาลองดู เผื่อมีโอกาสได้ขยับขยายมาที่นี่บ้าง” วิลเลี่ยมกล่าว มองมาที่มิคาเอลไม่วางตา

“แล้วคุณล่ะไมเคิล มาทำอะไรที่นี่” วิลเลี่ยมถาม

“มิคาเอลเป็นคนรักของเรา และคานาเดียก็มีผู้ลงทุนเยอะแล้ว ทางเราไม่ต้องการผู้ลงทุนอย่างเจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฝ่าบาท!” มิคาเอลหน้าแดงที่ถูกแนะนำตัวแบบนี้ และไม่พอใจที่พระองค์เสียมารยาท

“ไปหยิบแชมเปญมาให้เรา มิคาเอล” ทรงตรัส ตามองคนตรงหน้าไม่กระพริบ

“แต่... ก็ได้ครับ” มิคาเอลอยากปฏิเสธ แต่ก็โดนสายตาดุๆ ของพระองค์ดุใส่จึงจำใจไป

 

“เจ้าต้องการอะไรจากมิคาเอล” ทรงถามขึ้น

“ผมได้ยินมาว่า ไมเคิลหายตัวไป น้องชายของเขาเคยโทรมาหาผม ผมก็แค่สงสัยว่าเขาถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือไม่” วิลเลี่ยมกล่าว

“ถ้าเจ้าไม่อยากมีปัญหาก็กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับคนของเรา” ทรงตรัสอย่างเป็นเจ้าของ

“ไมเคิลเป็นคนมีอนาคต พระองค์ไม่มีสิทธิมากักขังเขาไว้ในประเทศนี้”

วิลเลี่ยมกล่าว

“ผมไม่ได้ถูกกักขังหรอกครับ ผมเต็มใจอยู่เอง” มิคาเอลกล่าว

“โทนี่ดูเป็นห่วงคุณมากนะไมเคิล ทำไมคุณไม่ติดต่อเขาหากคุณไม่ถูกกักขัง ผมจะแจ้งสถานทูตให้ ถ้าคุณต้องการ ผมจะพาคุณกลับอเมริกา”

วิลเลี่ยมกล่าว

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่โทนี่จะมาหาผมพรุ่งนี้ และผมก็ต้องการอยู่ที่นี่” มิคาเอลกล่าว

“ถ้าอย่างนั้นผมก็วางใจ ผมคงต้องตัดใจสินะ” วิลเลี่ยมกล่าวเบาๆ

องค์เดเมี่ยนรีบดึงมิคาเอลเข้าไปกอด

“คนอย่างเจ้าน่ะ ไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้ว” ทรงตรัสและพามิคาเอลเดินออกมาห่างจากวิลเลี่ยม

 

“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณวิลเลี่ยม มีใจให้ผม” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเสียดายหรือยังไง” ทรงตรัสถามไม่พอใจ

“ฝ่าบาท อย่าทรงพาลสิครับ ผมไม่ได้พูดสักหน่อย” มิคาเอลรีบปฏิเสธ

“เจ้าก็ไม่เคยพูดอะไรตรงกับใจสักอย่าง” ทรงตรัสบ่น

“ผม... รักพระองค์ครับ และผมก็ไม่ได้โกหก” มิคาเอลกล่าวกับพระองค์ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออก รั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด จุมพิตที่หน้าผากเบาๆ

“เต้นรำกับเราสักเพลงนะ” ทรงตรัสถาม ถอยออกมาก่อนโค้งคำนับให้และยื่นมือออกมาหามิคาเอล มิคาเอลหน้าแดงแต่ก็ยื่นมือไปจับมือของพระองค์ไว้ ปล่อยให้พระองค์พาเดินไปที่ฟอร์เต้นรำ

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส เต้นรำกับมิคาเอลกลางฟอร์เต้นรำ โดยที่แขกในงานต่างแหวกทางให้แก่ทั้งสอง

“พระองค์จะรักผมไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” มิคาเอลถาม องค์เดเมี่ยนโอบร่างของมิคาเอลเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่ง จับมือของมิคาเอลไว้ รั้งขึ้นมาจุมพิตเบาๆ อย่างรักใคร่ จับมือของมิคาเอลไว้แนบหัวใจของพระองค์

“ตราบเท่าที่หัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ เราจะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

ทรงตรัสจริงจัง จนมิคาเอลหน้าแดง ทั้งสองเต้นรำกันแนบชิด จนแขกในงานต่างมองด้วยสายตาอิจฉา

“พระองค์ก็ทรงตรัสในตอนนี้ อีกหน่อยหากผมอายุมากขึ้น พระองค์ก็คง...” มิคาเอลเอ่ย

“ต่อให้เจ้าอายุ 70 เจ้าก็ยังคงงดงามในสายตาของเรา และเราก็จะอยู่ตรงนี้ และชราไปพร้อมกับเจ้า” ทรงตรัส มองเข้าไปในดวงตาของของอีกฝ่าย

 “หากเจ้าเจ็บป่วย เราจะนั่งอยู่ข้างเตียงของเจ้า หากเจ้าเดินไม่ไหว เราจะอุ้มเจ้า ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เราก็จะอยู่ตรงนั้น กอดเจ้าเอาไว้ เก็บเจ้าเอาไว้ในอ้อมกอดของเรา เราจะดูแล และปกป้องเจ้า เท่าที่กำลังทั้งหมดที่เรามีจะทำได้ ตราบจนลมหายใจสุดท้าย เราก็จะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส ยกมือของมิคาเอลขึ้นมาจุมพิตอีกครั้ง มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้ หัวใจพองโต มีความสุขจนมิอาจจะเรียบเรียงเป็นคำพูดได้

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว ซบใบหน้ากับอกกว้าง

 

องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลกลับมาที่วิลล่า เมื่อลงจากรถ พระองค์ก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะช้อนร่างของมิคาเอลขึ้น โอบอุ้มร่างเล็กพาเดินเข้ามาในวิลล่า ทรงก้มลงจุมพิตมิคาเอลเนิ่นนาน ด้วยความรักใคร่ พาเดินช้าๆ ไปยังห้องบรรทม พระองค์วางร่างของมิคาเอลลงยืนหน้ากระจกบานใหญ่ พระองค์ยืนอยู่ด้านหลังของคนตัวเล็ก เอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อของมิคาเอลออกช้าๆ และก้มลงจุมพิตที่ต้นคอของคนตรงหน้า

“เจ้างดงามมากกว่าใคร มิคาเอล” ทรงกระซิบข้างหู มิคาเอลพิงกายเข้ากับพระองค์ ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังจูบไซร้ที่ต้นคอของเขา พระองค์ถอดเสื้อผ้าของมิคาเอลออกทีละชิ้น จนในที่สุดมิคาเอลก็ยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าของพระองค์

“มองดูเจ้าในกระจกสิ เจ้างดงามที่สุด”

ทรงจูบต้นคอของมิคาเอลแต่สายตายังคงจับจ้องสบตากับมิคาเอลในกระจก คนตัวเล็กหน้าแดงด้วยความเขินอาย

 

มิคาเอลจึงหันกลับมาหาพระองค์ และช่วยพระองค์ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น คนตัวเล็กก็คุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ มือเรียวเล็กยกขึ้นมาสัมผัสร่างของพระองค์อย่างแผ่วเบา องค์เดเมี่ยนจ้องมองการกระทำของคนตัวเล็ก เพียงสัมผัสแผ่วเบาจากมือพระองค์ก็แทบคลั่ง แล้วสัมผัสจากปากลิ้นของคนตัวเล็กจะทำให้พระองค์มีความสุขขนาดไหน ร่างเล็กค่อยๆ แลบลิ้นเลียส่วนปลายของพระองค์ ลิ้นเล็กร้อนผ่าวตวัดเลียอย่างไม่แน่ใจในตอนแรก ก่อนคนตัวเล็กจะเริ่มชินและอ้าปากครอบครองพระองค์เข้าไปช้าๆ ลิ้นเล็กยังคงตวัดเลียพระองค์อย่างตั้งใจ จนพระองค์ต้องครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าไปหัดใช้ลิ้นแบบนี้”

ทรงตรัสถามอย่างเอ็นดู มิคาเอล หน้าแดง ไม่ยอมตอบ และยังคงตั้งใจทรมานพระองค์ต่อไป มือเล็กสัมผัสที่ฐานของพระองค์ คนตัวเล็กก็หมุนวนและขยับขึ้นลงพร้อมๆ กัน ลิ้นร้อนๆ ก็เลียตวัดที่ส่วนปลาย จนพระองค์ต้องครางหนักๆ ออกมา ร่างของพระองค์แข็งแกร่งตั้งตระหง่าน ความปรารถนาพลุ่งพล่านจนแทบทนไม่ได้ พระองค์รั้งร่างเล็กขึ้น ก่อนจะอุ้มพาไปที่เตียง

 

พระองค์วางร่างของคนตัวเล็กลงที่ขอบเตียงและคุกเข่าลงต่อหน้า พระองค์แยกขาของมิคาเอลออก ก้มลงค่อยๆ และเล็มคนตัวเล็กทีละนิด ลิ้นของพระองค์สัมผัสคู่แฝดที่อยู่เคียงข้างแก่นกายของคนตัวเล็กอย่างหยอกล้อ ก่อนจะครอบครองมันเข้าไป มิคาเอลตกใจกับความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ความเสียวซ่านมิได้ลดน้อยลงเลย พระองค์ทรมานเขาอยู่นาน กว่าพระองค์จะค่อยๆ ใช้ลิ้นสัมผัสที่ปลายยอดอย่างแผ่วเบา ร่างของมิคาเอลก็สั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ คนตัวเล็กครางออกมาเมื่อพระองค์ใช้ลิ้นเลียหยดน้ำใสๆ ที่หยาดเยิ้มออกมา และพระองค์ยังใช้ลิ้นเลียเข้าไปภายใน คนตัวเล็กครางเสียงดัง ร้องเรียกหาพระองค์

 

พระองค์ใช้ปากครอบครองมิคาเอลไว้ทั้งหมด ลิ้นร้อนๆ ของพระองค์ยังเกี่ยวกระหวัด หยอกเย้า แนบไปกับเส้นด้านล่าง มิคาเอลเสียวซ่านไปหมด มือขยำผ้าปูที่นอนไว้ ครางออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ แต่พระองค์ก็ยังไม่หยุด พระองค์ยกขาของเขาขึ้น ก่อนจะก้มลงและแลบเลียที่ส่วนอ่อนไหวเบื้องหลัง ยิ่งพระองค์ปลุกเร้า มิคาเอลก็ยิ่งทรมานด้วยความปรารถนา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามาช้าๆ พระองค์ขยับนิ้วอย่างช่ำชอง ภายในของมิคาเอลก็บีบรัดเป็นจังหวะ เมื่อร่างเล็กทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กก็เกร็งกระตุก และปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมา พระองค์มองอย่างพึงพอใจ กลืนกินมิคาเอลลงไปทั้งหมด

 

ร่างเล็กหอบเหนื่อย แต่พระองค์ประคองมิคาเอลให้ลุกขึ้นหันหลังให้พระองค์ ก่อนจะสอดใส่เข้าไปช้าๆ อีกครั้งที่คนตัวเล็กบีบรัดร่างของพระองค์ และครวญครางออกมา พระองค์รั้งมิคาเอลขึ้นมาจูบเพื่อปลอบโยน และเริ่มขยับตัวช้าๆ ร่างของคนตัวเล็กคับแน่นจนพระองค์ครางออกมาด้วยความหฤหรรษ์ แต่พระองค์ก็ไม่ฝืนกระทำ พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า เมื่อคนตัวเล็กเริ่มชิน พระองค์จึงค่อยๆ ขยับเข้าออกเร็วขึ้น มือข้างหนึ่งยังเอื้อมมาปลุกเร้าด้านหน้า มิคาเอลสุดจะกลั้น เมื่อพระองค์ปรนเปรอความสุขให้มากถึงเพียงนี้ ไม่นานมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง

 

พระองค์ทิ้งตัวลงนอน จับมิคาเอลมานั่งลงบนร่างของพระองค์ช้าๆ ร่างเล็กค่อยๆ ขยับตามจังหวะของพระองค์ องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นมาครอบครองยอดทับทิมสีชมพูไว้ในปาก หยอกล้อ ขบกัดเบาๆ จนมิคาเอลร้องครางด้วยความเสียงซ่าน มือใหญ่เอื้อมมาจับที่แก่นกายด้านหน้า ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ มิคาเอลครางออกมาเสียงดัง และปลดปล่อยออกมาอีก ก่อนจะฟุบลงกับอกขององค์เดเมี่ยน พระองค์จูบมิคาเอลเนิ่นนาน ร่างของพระองค์ยังคงฝังอยู่ภายใน แต่พระองค์ก็ถอดถอนออก กอดมิคาเอลไว้จากด้านหลังก่อนจะซ้อนร่างของพระองค์แนบชิดกับคนตัวเล็ก แยกขาของมิคาเอลออก ก่อนจะสอดใส่เข้าไป ร่างของพระองค์ค่อยๆ จมหายเข้าไป พร้อมๆ กับสติอันลางเลือนของมิคาเอล พระองค์ยังคงขยับร่างอย่างเชื่องช้า ปรนเปรอความสุขแก่มิคาเอลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ร่างเล็กครวญครางอย่างรัญจวน ปล่อยให้พระองค์นำพาไปอย่างมิได้ขัดขืน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนาน

 

จนในที่สุดพระองค์ก็ลุกขึ้นนั่งคุกเข่า รั้งร่างของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ สอดแทรกลงไป และเริ่มขยับ จากเชื่องช้า เนิบนาบ ค่อยๆ เร่งจังหวะเป็นเร่าร้อน ดุดัน หลังจากการร่วมรักอันยาวนาน ทั้งสองก็ค่อยๆ โบยบินขึ้นสรวงสวรรค มิคาเอลบีดรัดพระองค์แนบแน่น ครวญครางออกมา ทั้งองค์เดเมี่ยน และมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมา พร้อมๆ กัน

 

"เรารักเจ้า” ทรงตรัส พลิกร่างมิคาเอลขึ้นด้านบน มิคาเอลก็ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์ เสียงหัวใจของพระองค์ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลาย

“พรุ่งนี้น้องชายของเจ้าก็มาแล้วสินะ” ทรงตรัสถาม

“ครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงโทนี่

 

“เจ้าจะต้องรอเราที่วิลล่าจนกว่าเราจะกลับมาก่อน เข้าใจไหม” ทรงตรัส แต่เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพระองค์ก็ขับกล่อมมิคาเอล ให้หลับไหลไปก่อนที่จะได้ยินคำสั่งขององค์เดเมี่ยน
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 55 การมาถึงของน้องชาย
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 02-09-2016 13:05:08


บทที่ 55 การมาถึงของน้องชาย

 

ไมเคิลเฝ้ารอการมาของโทนี่ด้วยใจที่จดจ่อ เขาไม่เคยต้องอยู่ห่างจากโทนี่นานเท่านี้มาก่อน ยิ่งใกล้เวลาที่โทนี่จะมา เขาก็ยิ่งกระวนกระวาย จนเขาต้องมายืนรอรับที่ด้านหน้าของวัง  พร้อมองครักษ์อีกสองคนที่องค์เดเมี่ยนสั่งให้ดูแลเขา ทันทีที่รถจอดลง ไมเคิลก็แทบอยากพุ่งเข้าไปหา ไมเคิลกอดน้องชายเนิ่นนาน ด้วยความคิดถึง

 

"โทนี่” แม้ไมเคิลจะมีประโยคที่อยากพูดมากมาย แต่เขากลับกล่าวออกมาได้เพียงแค่นี้

“พี่ไมเคิล ทำไมพี่ทำแบบนี้ พี่รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน” เสียงต่อว่าแบบเด็กๆ ของโทนี่ดังขึ้น

“พี่ขอโทษ พี่มีเหตุจำเป็น พี่จึงติดต่อเธอไม่ได้ มาเถอะ พี่จะพาไปที่ๆ พัก” ไมเคิลรู้สึกผิด แต่ด้วยความเป็นห่วงน้องชาย เขาไม่คิดจะเล่าความจริงทั้งหมดให้โทนี่ฟัง

“พี่หมายความว่ายังไง ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ แล้วพี่จะให้ผมไปพักที่ไหน” โทนี่ยิงคำถามใส่เป็นชุด

“ใจเย็นๆ ก่อน โทนี่ เดี๋ยวพี่จะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังเอง ตามพี่มาทางนี้” ไมเคิลรู้สึกผิดที่เห็นโทนี่เป็นห่วงเขามากขนาดนี้

 

เขาพาโทนี่มาพักที่ปีกตะวันตกอันเป็นวิลล่าหลังเล็ก ที่มีไว้สำหรับรับรองแขก แม้วิลล่าขององค์เดเมี่ยนจะใหญ่โต แต่เขาไม่อยากเสี่ยงเอาโทนี่ไปพักด้วย ด้วยเพราะกลัวองค์เดเมี่ยนอาจจะใจร้อน มาทำร้ายน้องชายของเขา ไมเคิลรู้ว่าองค์เดเมี่ยนดีกับเขามาก แต่บางครั้งความใจดี และความอ่อนโยนก็จำกัดอยู่ที่ตัวเขา ไม่ได้เผื่อแพร่ไปถึงคนอื่นด้วย

 

เมื่อมาถึงปีกตะวันตก ไมเคิลก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ในแบบฉบับย่อ และตัดฉากอันไม่เหมาะสมออกไป สุดท้ายเรื่องราวจึงคล้ายกับว่า เขาเหมือนชายหนุ่มผู้โชคดี มีเจ้าชายมาตกหลุมรัก และตัดสินใจอยู่กับคนรักในวังแห่งนี้ โดยไม่ได้บอกเลยสักนิดว่าที่ผ่านมาเขาต้องทนทรมาน เจ็บปวดมากเพียงไหน โดนทำร้ายมาเท่าไหร่ และต้องกล้ำกลืนฝืนทนอะไรบ้าง เพราะโทนี่คือคนที่สำคัญที่สุดของไมเคิล ไมเคิลจึงไม่ต้องการทำให้โทนี่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย

 

โทนี่ยังออดอ้อน พูดคุยและเล่าเรื่องต่างๆ ให้เขาฟัง มิคาเอลก็ยิ้มรับ หัวเราะ และเอ็นดูน้องชายเป็นที่สุด เขาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับโทนี่ ตามลำพัง โดยบอกให้องครักษ์ไปรอด้านนอก ไมเคิลพูดคุยกับโทนี่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ได้สนใจเวลาที่ผ่านไป แต่แล้วเสียงผลักประตูให้เปิดออกก็ดังขึ้น องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจ จนมิคาเอลตกใจ แต่พยายามเก็บอาการไว้ และแนะนำ โทนี่กับพระองค์

 

"ฝ่าบาท นี่น้องชายของผม โทนี่ครับ โทนี่ เคารพองค์ชายเดเมี่ยนสิ”

มิคาเอลกล่าว โทนี่พยายามแนะนำตัวกับพระองค์ แต่มิคาเอลก็รู้ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะรู้จักกับใคร และยังไม่ทรงใส่ใจโทนี่แม้แต่น้อย

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเจ้าจะต้องรอเรา”

ทรงตรัสเสียงขุ่น เดินเข้ามาหา คว้าตัวมิคาเอลมาไว้ในอ้อมกอด มิคาเอลหน้าแดงที่พระองค์เอาแต่ใจแบบนี้ต่อหน้าน้องชายของเขา

“ฝ่าบาท ผมบอกแล้วนี่ครับว่าโทนี่จะมาในวันนี้” พูดไม่ทันจบ พระองค์ก็ช้อนร่างของมิคาเอลขึ้นและหันมาพูดกับโทนี่อย่างเย็นชา

“เจ้าจะทำอะไรที่นี่ เราไม่สน แต่มิคาเอลเป็นของเรา” มิคาเอลไม่มีเวลาจะบอกลาโทนี่ด้วยซ้ำ พระองค์ก็เอาแต่ใจ อุ้มพาเขากลับวิลล่า

 

เมื่อมาถึงที่วิลล่าองค์เดเมี่ยนก็ปล่อยมิคาเอลลงและพามาที่ห้องนั่งเล่น และเริ่มตำหนิคนตัวเล็ก

 

“เจ้าขัดคำสั่งเรา” พระองค์ตำหนิ

“ผมเปล่าสักหน่อย” มิคาเอลประท้วง

“เราบอกให้เจ้ารอเราก่อน แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่ปีกตะวันตกทั้งวันกับน้องชายของเจ้าแบบนี้” ทรงดุ

“ผมไม่ได้เจอโทนี่มาตั้ง 6 เดือน ผมคิดถึงน้องชาย พระองค์ก็ทรงทราบ แล้วทำไมพระองค์ยังทรงทำแบบนี้” มิคาเอลถาม

“เราไม่ชอบใจ เราหรือน้องชายเจ้าสำคัญกว่ากัน” ทรงตรัสถามคำถามที่ยากจะตอบ

“ฝ่าบาทไม่ทรงยุติธรรมเลย ทำไมพระองค์ถามผมแบบนี้” มิคาเอลตัดพ้อ

“เจ้าที่ตามเราไปทำงานทุกวัน ไม่ว่าเราไปไหนเจ้าก็อยู่ตรงนั้น แต่นี่พอน้องชายของเจ้ามา เจ้าก็เอาแต่สนใจแต่น้องชายของเจ้า แล้วจะไม่ให้เราโกรธได้อย่างไร” ทรงตรัส

“โทนี่เป็นน้องของผม เป็นครอบครัวคนเดียวที่ผมมี เขาสำคัญต่อผมมาก พระองค์ก็ทรงรู้ แล้วทำไมพระองค์ถึงไม่เข้าใจ” มิคาเอลถามกลับ

“เพราะการที่เจ้ายังทนอยู่กับเรา ก็เพื่อน้องของเจ้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อตอนนี้เจ้าได้พบเขา เจ้าก็คงบอกกับเขาสินะว่าเราทำร้ายเจ้ามากแค่ไหน ในเมื่อเจ้ามีอิสระที่จะจากไป แล้วเจ้าจะทนเห็นน้องของเจ้ากลับไปได้หรือ ถึงตอนนั้นหากเจ้าเลือกน้องชายของเจ้า เลือกที่จะไปจากเรา แค่คิดเราก็ทนไม่ได้แล้ว แล้วเจ้าจะให้เรารู้สึกอย่างไร” ทรงตรัสแล้วหันหน้าไปทางอื่น

“เจ้าขอให้เรามีเจ้าเป็นคนสุดท้าย ขอให้เราไม่ไปหาสนมอื่น เราก็ทำให้เจ้า เจ้าขออิสระ เราก็มอบให้ ในตอนนี้หากเจ้าเลือกน้องชายของเจ้า แล้วเราจะทำอย่างไร เจ้าจะต้องให้เราทรมานแค่ไหน เจ้าจึงจะพอใจ และเพราะเรารู้ว่าโทนี่สำคัญต่อเจ้า และเรารู้ว่าเจ้ารักน้องมากเพียงใด แล้วเราล่ะ เรามีค่าเพียงแค่ไหนสำหรับเจ้า หากเจ้าจะต้องเลือก เจ้าจะเลือกอยู่ตรงไหน และหากเจ้าต้องการจะไป แล้วเราจะยังรั้งเจ้าไว้ได้อีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

สีหน้าของพระองค์ดูเจ็บปวด

 

“ผม...” มิคาเอลนิ่งไป ไม่ได้ตอบคำถาม

“หากเราต้องเสียเจ้าไปอีก เราคงไม่ต่างจากตายทั้งเป็น หากเจ้าจะไป เจ้าก็ควรจะฆ่าเราเสียก่อน” ทรงตรัส เดินไปมองนอกหน้าต่าง พยายามจะสงบอารมณ์

“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของพระองค์” มิคาเอลกอดพระองค์ไว้จากด้านหลัง พระองค์จับมือของมิคาเอลเอาไว้

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามของเรามา ว่าระหว่างน้องชายของเจ้ากับเรา ใครสำคัญต่อเจ้ามากกว่ากัน” ทรงหันมาถามอีกครั้ง

“ผมตอบไม่ได้ครับ ทั้งสองล้วนสำคัญต่อผม”

“ถ้าอย่างนั้น เราควรทำใจสินะ” ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้า เอื้อมพระหัตถ์มาสัมผัสใบหน้าหวาน

“โทนี่เป็นน้องของผม เป็นครอบครัวของผม แต่ผมก็รักพระองค์ ผมไม่อยากเลือกใครทั้งนั้น” มิคาเอลกล่าวอย่างสับสน พระองค์กอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน

“เราก็เป็นครอบครัวของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าจะทิ้งเราไปได้อย่างไร”

ทรงตรัสถาม

“ผม... โทนี่เพิ่งจะมา เขายังอยู่อีก 2 อาทิตย์ ให้เวลาผมคิดบ้างนะครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เจ้าคิดจะไปจากเราจริงๆ สินะ” ทรงถาม

“ผม...” มิคาเอลไม่ได้ตอบ

“ตลอดมาที่เจ้าทำดีกับเรา ทั้งหมดเป็นแค่การโกหกของเจ้าหรอกหรือ” ทรงถามอย่างเจ็บปวด

“ถึงพระองค์ไม่มีผม พระองค์ก็มีคนอื่น” มิคาเอลกล่าว

“หากไม่มีเจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร” ทรงตรัสเสียงเบา ก่อนจะเดินออกไป

 

มิคาเอลนั่งรอองค์เดเมี่ยนทานอาหารค่ำ แต่พระองค์ก็สายมากจน

มิคาเอลต้องไปตาม องค์เดเมี่ยนกำลังนั่งดื่มคอนยัคตามลำพังที่ระเบียง

มิคาเอลจึงเดินเข้าไปหา

 

“ฝ่าบาท ได้เวลาอาหารค่ำแล้วครับ” มิคาเอลกล่าว

“เราไม่หิว เจ้าไปทานเถอะ” ทรงตรัสเรียบๆ จิบคอนยัคในมืออย่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว

“ผมจะรอทานกับพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“พอเจ้าไป แล้วเราจะทานกับใคร” ทรงถาม น้ำเสียงเย้ยหยัน

“อย่าทรงทำแบบนี้” มิคาเอลคุกเข่าลงตรงหน้า ซบใบหน้ากับต้นขาของพระองค์ พระองค์จึงรั้งขึ้นมานั่งบนตัก และกอดมิคาเอลเอาไว้

"เราไม่เข้าใจ เราจะต้องทำอะไร ทำมากแค่ไหน จึงจะรั้งเจ้าไว้ได้ เราก็พยายามแล้ว ทำทุกอย่างแล้ว แต่เจ้าก็ยังคิดจะไปจากเรา ทำไมเจ้าถึงได้ใจแข็งแบบนี้” ทรงตัดพ้อ

“ฝ่าบาท ผม...”

“เจ้าไม่รักเราบ้างหรอกหรือ” ทรงถาม รู้สึกน้อยใจ

“ผมรักพระองค์ครับ แต่ผมห่วงโทนี่” มิคาเอลตอบ

“เขาโตแล้ว เขาอยู่ได้ เราอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้า” ทรงตรัส

“พระองค์ก็โตแล้ว ทำไมจะอยู่ไม่ได้ล่ะครับ” มิคาเอลถามล้อๆ

“หากขาดหัวใจ แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลกอดพระองค์เอาไว้ รู้สึกผิด

 

“ทำไมไม่ให้น้องเจ้าย้ายมาอยู่คานาเดีย ให้เขาทำงานที่นี่ เจ้าจะได้ไม่ต้องไป” ทรงตรัสเสนอทางเลือก แต่มิคาเอลกลับดูไม่สบายใจ

“อำนาจของพระองค์มีมากเหลือเกิน ผมเกรงว่า” มิคาเอลไม่อยากให้โทนี่มาโดนลูกหลงจากเขา

“อำนาจของเรามีไว้เพื่อเจ้าเช่นกัน หากเราสัญญาว่าเราจะทำดีกับน้องเจ้า เสมือนเขาเป็นตัวเจ้า เจ้าจะยอมให้เขาอยู่ที่นี่ และเจ้าจะอยู่กับเราหรือเปล่า” ทรงถาม

“ผมตัดสินใจแทนโทนี่ไม่ได้ครับ โทนี่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ผมจะลองคุยกับเขาดู” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนกอดคนตัวเล็กไว้

“เราไม่ต้องการเสียเจ้าไป เราจะพยายามทำทุกอย่างให้เจ้ามีความสุข ให้โอกาสเราเถอะนะ” ทรงตรัสอย่างน่าสงสาร

“ผมก็อยากอยู่เคียงข้างพระองค์ครับ ผมขอโทษ”

“เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้น้องของเจ้า เราจะเชิญแขกสำคัญมาในงาน หากเขาสนใจ อยากทำงานอะไร ที่ไหน เรารับรองว่า เขาจะได้งานนั้น”

“ฝ่าบาท ผมไม่เคยบังคับน้อง และผมก็ไม่คิดจะเริ่มด้วย” มิคาเอลรีบยั้งความคิดของพระองค์ไว้

“ตกลง เขาเป็นน้องของเจ้า เราจะไม่เข้าไปยุ่งโดยตรง” ทรงตรัส ยิ้มออกมาจาง เมื่อมีความหวังที่จะรั้งคนๆ นี้เอาไว้

“ไปทานอาหารกันเถอะ” ทรงชักชวน

 

พระองค์ย่อมค้นประวัติของโทนี่มาก่อน แต่วิศวะกรด้านน้ำมัน ไม่มีทางได้งานที่คานาเดีย โปรเจคน้ำมัน เป็นโปรเจคปิดตายมานานแล้ว และแถมคนที่ดูแลด้านพลังงาน ก็เป็นคนที่พระองค์ไม่อยากคุยด้วยที่สุด แต่ถึงอย่างไร พระองค์ก็ทรงจำใจใส่ชื่อลงไปในรายชื่อแขก ลายมือหนักแน่นของพระองค์ บรรจงเขียนชื่อลงไป ราฟาเอล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส และทรงส่งต่อให้แก่ อาร์ชี่ เพื่อนำไปเตรียมการต่อ

 

ปกติงานเลี้ยงที่องค์เดเมี่ยนต้องการจะจัด ต้องใช้เวลาในการเตรียมการอย่างน้อย 3-7 วัน แต่งานนี้พระองค์กลับให้เวลาในการเตรียมงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงดี ถึงแม้งานจะไม่ได้ใหญ่โตมาก มีแขกเพียง 200-300 คน แต่พออาร์ชี่ไล่รายชื่อดูก็ต้องกุมขมับ แขกที่พระองค์ต้องการเชิญแต่ละคนล้วนเป็นแขกคนสำคัญ ไล่จากนักธุรกิจชื่อดังด้านต่างๆ รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ แต่ที่ทำให้อาร์ชี่ต้องกุมขมับด้วยความกังวล และต้องจัดเตรียมงานตลอด 24 ชั่วโมงคือ แขกสามคนสุดท้ายที่พระองค์ เขียนรายชื่อเพิ่มเข้าไปด้วยลายพระหัตถ์

 

·       เจ้าชายรัชทายาทราฟาเอลเดอลาจูลิโอ คลอเดียส

·       พระชายา นาตาลี เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส

 

·       กษัตริย์ นาธานเนียล เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 55 การมาถึงของน้องชาย
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 03-09-2016 01:06:47
 :katai1: รักมากมายแค่ไหนแต่ก้อยยังเหมือนมีกำแพงกั้นอยยู่่ดีี มิคาเอลโดนองค์เดเมี่ยยนนอกใจมาหลลายยครั้ง (แม้จะะไมใช่่ในความคิดของเดเมีี่ยนก้อตาม) ดังนั้นตราบใดที่องค์เดเมีีี่ยนยังไม่โละะสนมทั้งหมดออก มิคาเอลก้อยังไม่มั่นใจอยยู่ดี  :m16: และเดเมีี่่่ยยยนโดนแม่ทำร้ายยยเสียยจนคิดว่าตนเองเป็นคนไม่มีค่่่าที่จะะรัก  :mew5: รอดราม่่าต่อไป :katai1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 56 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 03-09-2016 11:16:28


 

บทที่ 56 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว

 

หลังจากที่อาร์ชี่ทำงานหนักในการเนรมิตงานเลี้ยงต้อนรับน้องชายของพระสนมแห่งองค์เดเมี่ยน งานก็ออกมาเป็นที่หน้าพอใจอย่างยิ่ง แต่กระนั้นตัวน้องชายของพระสนมกับไม่ยินดี ยินร้ายกับงานเลี้ยง แถมยังจะออกจะดูไม่ชอบใจกับงานเลี้ยงนัก พระสนมมิคาเอล ต้องคอยรั้งให้อยู่เคียงข้างตลอด จนกระทั่งเมื่อองค์นาธานเนียลและพระชายาเสด็จ น้องชายของพระสนมจึงได้เริ่มพูดคุยกับพระองค์อยู่พักใหญ่ แถมไม่นานจากนั้น

องค์ราฟาเอลก็ยังเสด็จและเข้าร่วมวงสนทนาอีกด้วย

 

มิคาเอลดีใจที่แม้แต่องค์นาธานเนียลก็ดูจะทรงเมตตาโทนี่ไม่ใช่น้อย แถมยังทาบทามให้โทนี่มาทำงานที่คานาเดียอีกด้วย แต่ที่ทำให้มิคาเอลยิ่งแปลกใจมากกว่าคือ การปรากฎตัวขององค์ราฟาเอล และโทนี่เองก็ทำท่าคล้ายกับรู้จักกับเจ้าชายเป็นการส่วนตัวมาก่อน และยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อองค์ราฟาเอลขอเต้นรำกับโทนี่

 

“เจ้าเอาแต่จ้องมองไปทางนั้น เจ้ากำลังห่วงน้อง หรือห่วงคนรักเก่าของเจ้ากัน” องค์เดเมี่ยนตรัสถามอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ฝ่าบาท ผมเป็นห่วงโทนี่ครับ โทนี่เขาชอบผู้หญิงนะครับ และผมก็กลัวว่า องค์ราฟาเอลจะรังแกน้องผม” มิคาเอลกล่าวยังคงมองโทนี่เป็นระยะ ทำให้องค์เดเมี่ยนโกรธขึ้นมา

“หากเจ้าห่วงนัก ทำไมไม่กลับไปหาราฟาเอลเสียล่ะ ทั้งๆ ที่เจ้าอยู่ตรงนี้ แต่ใจของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน หรือเราไม่มีค่าพอให้เจ้าสนใจ” ทรงตรัสถามด้วยความน้อยใจ

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวเมื่อรู้ว่าทำให้องค์เดเมี่ยนโกรธ กอดองค์เดเมี่ยนเอาไว้ องค์เดเมี่ยนมองไปทางราฟาเอล เมื่อเห็นน้องชายต่างมารดามองมา พระองค์ก็ยิ้มออกมา ตั้งใจก้มลงจุมพิตมิคาเอลอย่างดูดดื่ม องค์ราฟาเอลเห็นก็แทบทนไม่ได้ แทนที่จะเข้ามาหากลับกึ่งดึงกึ่งลากโทนี่ออกไปจากงานเลี้ยงแทน

 

องค์เดเมี่ยนยิ้มอยู่ในใจคนเดียวเมื่อพระองค์ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว ในสายตาขององค์เดเมี่ยนนั้น องค์ราฟาเอลยังอ่อนหัดนัก พระองค์มองสบตากับนาธานเนียลก็เป็นอันเข้าใจกันระหว่างพี่น้องว่า ราฟาเอลพึงพอใจในตัวของโทนี่ และนั่นยิ่งเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับพระองค์ คนอย่างราฟาเอลที่อยากได้อะไร แล้วก็ต้องทำให้ได้ หากลองหมายตาเด็กคนนั้น ยังไงโทนี่ก็คงหนีไปไหนไม่รอด นอกจากองค์เดเมี่ยนจะกำจัดศัตรูหัวใจอย่างราฟาเอลออกไปแล้ว ราฟาเอลก็จะเป็นคนรั้งให้โทนี่อยู่ที่

คานาเดียเอง โดยที่พระองค์ไม่ต้องทำอะไรเลย และในเมื่อโทนี่อยู่ที่

คานาเดีย มิคาเอลก็ย่อมไม่มีทางจากไปด้วยเช่นกัน

 

องค์เดเมี่ยนดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างมากจนมิคาเอลอดสงสัยไม่ได้ แต่พอจะถามองค์เดเมี่ยนก็พาเขาไปเต้นรำแทน

“แล้วคราวนี้ทำไมอยู่ดีๆ พระองค์ก็ดูมีความสุขจังล่ะครับ” มิคาเอลถามขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าไม่อยากให้เรามีความสุขหรอกหรือ” ทรงตรัสถามกลับ ดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“เราก็แค่ดีใจ ที่เจ้าหันมาสนใจเรา” ทรงตรัสกลบเกลื่อน

 

ในวันรุ่งขึ้นมิคาเอลก็ตามเสด็จไปทำงานกับองค์เดเมี่ยนตามปกติ แต่แล้วเขาก็ได้รับข่าวที่น่าตกตะลึง องค์ราฟาเอลรับน้องชายของเขาเป็นพระสนม!!!! มิคาเอลไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตกใจมาก แต่พอหันไปทางทางองค์เดเมี่ยน พระองค์ก็เผยยิ้มออกมาจางๆ

“พระองค์ทำอะไร” มิคาเอลกล่าวหา

“เราไม่ได้ทำอะไร เจ้าจะมากล่าวหาเราได้อย่างไร” องค์เดเมี่ยนปฏิเสธอย่างอารมณ์ดี

“หากพระองค์ไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมอยู่ๆ องค์ราฟาเอลถึงได้รับสนม

โทนี่เองก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วอยู่ๆ จะมาเป็นสนมขององค์ราฟาเอลได้อย่างไร” มิคาเอลกล่าวแล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อคิดว่าโทนี่อาจจะโดนบังคับ อย่างที่เขาเคยถูกกระทำ

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ มิคาเอล ราฟาเอลไม่เคยมีสนมมาก่อน หากน้องของเจ้าไม่พิเศษจริงๆ ราฟาเอลคงไม่ทำแบบนี้” องค์เดเมี่ยนปลอบ

“แต่ผมไม่ยอมนะครับหากองค์ราฟาเอลจะฝืนบังคับโทนี่” มิคาเอลกล่าวด้วยความเป็นห่วงน้องชาย

“ราฟาเอลไม่เหมือนเราหรอก เขาอ่อนโยนไม่ใช่เหรอ เขาคงไม่บังคับน้องของเจ้าหรอก”

 

องค์เดเมี่ยนไม่เคยคิดว่าพระองค์จะลุกขึ้นมาออกตัวปกป้องน้องชายที่พระองค์ไม่รักคนนี้มาก่อน แอบคิดในใจว่าพระองค์จะต้องเอาคืนราฟาเอลสักหน่อยในอนาคต แต่พระองค์ก็แอบดีใจที่ราฟาเอลทำแบบนี้ เพราะเป็นการปิดประตูเรื่องโทนี่จะไปจากคานาเดียไปเลย หากโทนี่อยู่ มิคาเอลก็คงไม่มีทางหนีไปไหน พระองค์ลุกขึ้นมากอดปลอบมิคาเอลไว้

“บางทีน้องชายของเจ้าเองก็อาจจะมีใจให้ราฟาเอลก็ได้นี่นา และมันก็อาจจะเป็นการดีกับราฟาเอลด้วย เขาจะได้ตัดใจจากเจ้าเสียที” ทรงตรัส

“แต่...”

“เรารู้ว่าเจ้าห่วงโทนี่ แต่เจ้าไม่ควรเข้าไปแทรก” ทรงห้ามเพราะรู้ว่ามิคาเอลกำลังคิดอะไร

“อย่างน้อยผมก็ต้องการรู้ว่า ว่าโทนี่รู้สึกยังไง ผมจะไปหาโทนี่” มิคาเอล

กล่าว องค์เดเมี่ยนอยากจะห้าม แต่ก็เปลี่ยนใจ

“เราจะให้องครักษ์พาเจ้าไป เรายังต้องทำงานต่อ เจ้าเองก็อยากคุยลำพังกับน้องของเจ้าสินะ” ทรงตรัส กลับเป็นมิคาเอลที่รู้สึกผิด

“ผมขอโทษครับ ที่เอาแต่ใจแบบนี้” มิคาเอลกล่าวขอโทษ

“เราเข้าใจ แล้วเราจะลงโทษเจ้าทีหลัง” ทรงตรัสหยอกเย้า รั้งคนตัวเล็กไปกอดอย่างรักใคร่ มือยังเอื้อมมาเคล้าคลึงก้นงามของมิคาเอลอย่างเป็นเจ้าของ จนมิคาเอลหน้าแดง

“ฝ่าบาท...”

“เรารักเจ้า รีบกลับมาหาเราเร็วๆ ล่ะ” ทรงตรัสอย่างไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด

 

เวลาผ่านไป 3 เดือนกว่าแล้ว องค์เดเมี่ยนก็รู้สึกขัดใจกับน้องชายไร้น้ำยาของพระองค์เหลือเกิน ที่เอาแต่ก่อเรื่อง ทำให้มิคาเอลของพระองค์แทบไม่เป็นอันทำอะไร เพราะความห่วงในตัวน้องชายของเขา และสุดท้ายคนอ่อนหัดอย่างราฟาเอล ยังทำให้โทนี่หลุดมือไปอีก และตั้งแต่โทนี่จากไป

มิคาเอลของพระองค์ก็เอาแต่ทำหน้าเศร้า

 

"มิคาเอล” ทรงตรัสเรียก

“ฝ่าบาท” มิคาเอลที่เอาแต่เหม่อลอย หันมามองตามเสียงเรียก

“เจ้าเอาแต่ทำหน้าเศร้าแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เราไม่อยากให้เจ้าเป็นแบบนี้” ทรงตรัส

“ผมสงสารโทนี่ครับ ผมเป็นห่วงเขา” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าเอาแต่ทรมานตัวเอง โทนี่ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาดูแลตัวเองได้ เจ้าต่างหากที่เราเป็นห่วง” ทรงตรัส มองคนตัวเล็กที่ไม่ยอมทานอะไรจนซูบผอมลง

“เจ้าอยากไปในเมืองไหม เราจะพาไป หรือเจ้าอยากได้อะไร

เราจะหามาให้” ทรงตรัสถามเอาใจ

“ผมไม่อยากได้อะไร และผมก็ไม่อยากจะไปไหน” มิคาเอลตอบ

“เจ้าจำเอริคได้ไหม เขามาเยี่ยมเรา และเขาจะมาทานอาหารค่ำในคืนนี้ เราอยากให้เจ้ามาร่วมทานอาหารด้วยกัน” ทรงตรัสชักชวน

“แล้วแต่พระองค์เถอะครับ” มิคาเอลตอบเศร้าๆ แต่ก็พยายามยิ้มให้พระองค์ จนองค์เดเมี่ยนถอนหายใจออกมา

“เราจะลองดูตารางงาน ถ้าทำได้เราจะลองหาเวลาว่างสักอาทิตย์ แล้วเราจะพาเจ้าไปหาน้องชาย” ทรงตรัส มิคาเอลที่ได้ยินก็หันกลับมามองพระองค์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“จริงหรือครับ พระองค์สัญญานะครับ” มิคาเอลหันกลับมาออดอ้อนพระองค์อีกครั้ง

“เราคงต้องเคลียร์งานอีกพักใหญ่นะ กว่าจะหาเวลาพาเจ้าไปได้

เจ้ารอไหวหรือเปล่า” ทรงตรัส

“ผมรอได้ครับ ขอบคุณครับฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าว

“เรามีข้อแม้นะ เจ้าจะต้องเลิกทำร้ายตัวเองแบบนี้ และต้องเป็นเด็กดี

เชื่อฟังคำของเรา” ทรงตรัส

“ตกลงครับ” มิคาเอลตอบตกลง

เขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าองค์เดเมี่ยนจะพาเขาไปหาน้อง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกรักเจ้าชายองค์นี้เหลือเกิน

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ได้พยายามพิสูจน์ตัวเองกับเขา จากเจ้าชายที่เจ้าชู้ มากรัก พระองค์ก็เปลี่ยนไป หลายเดือนที่ผ่านมา พระองค์ไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในวิลล่าเล็กทั้งสองเลย พระองค์ร่วมรักกับเขาแทบทุกวัน และพระองค์ก็ไม่เคยหันไปมองใครคนอื่น พระองค์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเขาทุกอย่าง อีกทั้งยังรักและยกย่องเขา จนบางครั้งมิคาเอลก็รู้สึกว่ามันออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ เขาไม่เคยรักใครมากเท่านี้ และไม่เคยถูกรักมากเท่านี้มาก่อน และแม้ว่าเขาจะเป็นห่วงโทนี่ แต่เขาก็ยังตัดสินใจอยู่ที่นี่กับพระองค์ แม้จะรู้สึกผิดต่อโทนี่ แต่เขาก็ไม่อาจจะทำร้ายและไปจากคนที่รักเขามากขนาดนี้ได้

 

"ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลเดินเข้ามากอดองค์เดเมี่ยนไว้ อย่างออดอ้อน จนองค์เดเมี่ยนหัวเราะออกมาเบาๆ

“เมื่อครู่เจ้ายังไม่สนใจเราอยู่เลย ตอนนี้ เจ้ากลับมาออดอ้อนเราแล้วหรือ” ทรงถาม ก่อนจะช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้น และพาไปที่ห้องบรรทม

“ฝ่าบาทจะทำอะไรครับ” มิคาเอลรีบถามเมื่อองค์เดเมี่ยนพาเขามาที่เตียง

“อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำ ตอนนี้เราอยากกินเจ้าเป็นของว่าง” ทรงตรัสหน้าตาเฉย

“ฝ่าบาท อย่าเกเรสิครับ ปล่อย...” มิคาเอลพยายามจะประท้วง แต่ก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อริมฝีปากของพระองค์ประทับลงมาครอบครองริมฝีปากของเขา

“เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เป็นเด็กดี อย่าขัดใจเราสิ” ทรงดุเบาๆ ก่อนจะจูบไซร้ที่ต้นคอของมิคาเอล และทิ้งรอยแดงเอาไว้หลายต่อหลายจุด

 

องค์เดเมี่ยนเดินโอบมิคาเอลเข้ามาที่ห้องอาหารช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ใบหน้าที่ขึ้นสีของมิคาเอล ย่อมอธิบายเหตุผลของการมาสายได้ดี หากแค่นั้นยังไม่เพียงพอ รอยแดงที่ต้นคอของมิคาเอลก็ดูจะเป็นหลักฐานมัดตัวได้ดีเช่นกัน เอริคไม่ค่อยพอใจนักที่เห็นเดเมี่ยนแสดงท่าที รักใคร่มิคาเอลมากมายขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังพามิคาเอลมาร่วมทานอาหารกับเขาอีกด้วย แล้วคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เดเมี่ยนเอาเดสเซเร่ไปไว้ที่ไหน

 

"คุณมาสาย เดเมี่ยน” เอริคกล่าวหา

“ไม่เอาน่า มาเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียหมด” องค์เดเมี่ยนเดินนำเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างอารมณ์ดี มิคาเอลก้มศรีษะทักทายคุณเอริค

“คุณเอริคสบายดีหรือครับ” มิคาเอลยิ้ม กล่าวถามตามมารยาท

“ผมสบายดี และคงจะรู้สึกดีกว่านี้หากไม่มาเจอสนมอย่างคุณ” เอริคตอบเสียงเบาแค่ให้มิคาเอลได้ยิน และเดินเข้าไปหาองค์เดเมี่ยน

 

 มิคาเอลรู้สึกแย่ที่ได้ยินคำพูดของคุณเอริค เขารู้ว่าคุณเอริคไม่พอใจเพราะ องค์เดเมี่ยนเคยสัญญากับคุณเอริคเอาไว้ว่าจะไม่ยกย่องใครมาแทนที่คุณเดสเซเร่ คนที่มาทีหลังอย่างเขาย่อมไม่มีสิทธิจะพูดอะไร แต่กระนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึก เมื่อเขาไม่ได้เป็นที่ต้องการในวงสนทนาเขาก็ไม่คิดจะทนอยู่

“ฝ่าบาทครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ผมขอตัวได้ไหมครับ” มิคาเอลกล่าวเมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหาร องค์เดเมี่ยนกลับรั้งมิคาเอลมานั่งลงบนตัก และเอาหน้าผากของพระองค์มาแตะที่หน้าผากของเขา

“ไม่มีไข้นี่นา เจ้าเป็นอะไร ให้เราตามหมอไหม” ทรงถามด้วยความห่วงใย

“ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ ผมแค่อยากพักผ่อน ไม่ต้องตามหมอหรอกครับ” มิคาเอลกล่าว

“งั้นเจ้ากลับไปที่ห้องเถอะ เดี๋ยวเราจะให้คนจัดอาหารไปให้ แล้วก็พักผ่อนซะ” ทรงตรัสอย่างห่วงใย

 

“ขอบคุณครับ” มิคาเอลกล่าว ลุกขึ้น คำนับแก่องค์เดเมี่ยน และก้มศรีษะให้คุณเอริค และเดินออกไป
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 56 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-09-2016 21:14:57
เรื่องสนุก
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 57 การตัดสินใจ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 05-09-2016 11:03:46


 

 

 

บทที่ 57 การตัดสินใจ

 

องค์เดเมี่ยนกลับเข้ามาในห้องบรรทมในตอนดึก พระองค์พยายามเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แต่มิคาเอลก็เปิดไฟที่หัวเตียง

“เจ้ายังไม่หลับอีกเหรอ” ทรงตรัสถาม

“ผมรอพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวลุกขึ้นช้าๆ พระองค์จึงเดินเข้าไปหา

“เจ้าอยากให้เรารักเจ้าหรืออย่างไร” ทรงถามยิ้มๆ หยุดยืนอยู่ตรงหน้า

มิคาเอลก็กอดพระองค์เอาไว้ พระองค์ลูบศรีษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู

 

“เรารักเจ้า” ทรงตรัส

“ถ้ารักผมก็แสดงให้ผมรู้สิครับ” มิคาเอลออดอ้อนพระองค์

“เราจะแสดงให้เจ้าดูทั้งคืนก็ยังได้” ทรงตรัสอย่างหยอกล้อ ปล่อยให้

มิคาเอลนอนลงก่อนจะทาบทับร่างเล็ก ประกบปากจูบอย่างเร่าร้อน พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลเนิ่นนาน ก่อนจะรั้งร่างของคนตัวเล็กขึ้นนอนแนบหัวใจของพระองค์ มิคาเอลลูบไล้ที่แผงอกอันล่ำสันของพระองค์ มองที่รอยแผลเป็นหลายจุดของพระองค์ และไล้นิ้วไปตามรอยแผลอย่างห่วงใย

“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไม...” มิคาเอลไม่แน่ใจว่าเขาควรจะถามไหม เขาจึงหยุดคำถามไว้แค่นั้น พระองค์ถอนหายใจช้าๆ ราวกับไม่อยากพูดถึงอดีต

“ถ้าพระองค์ไม่อยากจะบอกก็ไม่เป็นไรครับ” มิคาเอลกล่าว

“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลังจากที่รู้ว่าเดสเซเร่จากไป เราก็โกรธมาก เราพยายามจะปลงพระชนม์กษัตริย์องค์ก่อน ก็เท่านั้น” ทรงตรัสเรียบๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เป็นมิคาเอลที่ตกใจ

 

“ฝ่าบาท!”

“เราทำไปเพราะความโกรธ แต่องครักษ์ของคนๆ นั้นก็หยุดเราไว้ได้ก่อนจะไปถึงตัวด้วยซ้ำ เราถูกทรมานอยู่เป็นอาทิตย์ รอยแผลพวกนี้เกิดจากตอนนั้น เราควรจะถูกส่งไปที่คุกหลวงแต่นาธานเนียลขอร้องเอาไว้ เป็นเพราะเราในตอนนั้น ทำให้นาธานเนียลที่ต้องการสละตำแหน่ง

องค์รัชทายาท จำเป็นต้องจำยอมรับตำแหน่งอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ แลกกับชีวิตของเรา เราเป็นหนี้ชีวิตนาธานเนียลหลายครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราปกป้องเขาเสมอ” ทรงตรัสเรียบๆ แต่ก็รู้สึกถึงอ้อมกอดของคนตัวเล็กที่กอดพระองค์แน่นขึ้น

 

“มันนานมาแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก” ทรงตรัส

“ผมรักพระองค์ครับ ผมเพียงรู้สึกว่า ผมอยากจะพบพระองค์ให้เร็วกว่านี้ อยากจะรักพระองค์ให้เร็วกว่านี้” คนตัวเล็กกล่าว กอดพระองค์ไว้

“เราไม่เป็นไรหรอก และในตอนนี้เราก็มีเจ้าที่รัก และห่วงใยเรา แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว” ทรงตรัส

“ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวเบาๆ ก่อนจะเคลิ้มหลับไป

 

องค์เดเมี่ยนเป็นห่วงมิคาเอลพระองค์จึงสั่งให้เขาหยุดพักอยู่ที่วิลล่าหนึ่งวัน แม้มิคาเอลจะไม่ได้เป็นอะไร เขาเพียงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อาจจะมาจากการนอนไม่พอ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะขัดองค์เดเมี่ยน เขาจึงอยู่พักตามที่องค์เดเมี่ยนสั่ง

 

มิคาเอลนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวนอุทยาน แต่แล้วแขกไม่ได้รับเชิญก็เดินเข้ามาหา

“สวัสดี มิคาเอล” เอริคกล่าวทัก

“คุณเอริค องค์เดเมี่ยนยังไม่กลับมาจากทรงงานครับ” มิคาเอลก้มหน้าทักทาย

“ผมไม่ได้มาหาเดเมี่ยน ผมมาหาคุณ”

“มาหาผม ทำไมครับ” มิคาเอลไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตรงหน้า

“คุณรู้เรื่องของน้องสาวของผมหรือเปล่า” เอริคถาม ถือวิสาสะนั่งลง

“ผมพอทราบครับ คุณเดสเซเร่ เป็นคนรักที่องค์เดเมี่ยนต้องการจะอภิเษกสมรสด้วย”

“คุณรู้หรือเปล่า ว่าก่อนเดสเซเร่จะจากไป เดเมี่ยนได้สัญญาต่อเธอ ว่าเดเมี่ยนจะไม่รักใครอีก และเขาไม่คิดจะยกย่องใครมาเป็นชายา เพราะสำหรับเดเมี่ยน เดสเซเร่คือชายาของเขาเพียงคนเดียว” เอริคกล่าว

“ผมทราบครับ และผมก็ทราบว่าพระองค์ยังรักคุณเดสเซเร่อยู่ และผมก็ไม่เคยคิดที่จะให้พระองค์มาแต่งตั้งผมเป็นชายา หากนั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ

 

“คุณเป็นคนฉลาด แล้วทำไมคุณยังอยู่กับเดเมี่ยน ที่ผ่านมาเขาก็ยังเห่อคุณ ไหนจะคำหวาน ไหนจะสัญญา แต่อีกไม่นาน เดเมี่ยนก็คงจะเบื่อ และกลับไปหาสนมอื่นอยู่ดี เขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว” เอริคกล่าว มิคาเอลรู้สึกเจ็บที่คนๆ นี้มาจี้ที่แผลของเขาแบบนี้ เขาจึงเงียบไม่ตอบโต้

“เดเมี่ยนไม่มีวันรักคุณอย่างจริงจังหรอก เขายังคงรักเดสเซเร่ และก็จะรักตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง” เอริคกล่าว

“คุณไม่ใช่พระองค์ คุณไม่มีสิทธิมาพูด หากพระองค์ต้องการให้ผมไป ถึงตอนนั้นผมก็จะไปเอง แต่ในตอนนี้พระองค์ยังรักผม ผมก็จะอยู่กับพระองค์” มิคาเอลกล่าวขึ้นเสียงดัง

“รักคุณอย่างนั้นเหรอ เดเมี่ยนไม่เคยรักใครนอกจากเดสเซเร่ ต่อให้เดเมี่ยนทำดีกับคุณมากแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันได้รับความรักที่แท้จริงจากเดเมี่ยนหรอก เขาก็แค่ต้องการร่างกายของคุณก็เท่านั้น คุณมันก็แค่ตัวแทน”

เอริคกล่าว

“คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณไม่เห็น และคุณก็ปิดตาไม่รับรู้อะไร แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไม่ได้รักผม” มิคาเอลเถียงกลับ

“ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ แต่คุณเองก็ควรจะรู้ดีที่สุด พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีหัวใจเพียงหนึ่งดวง เพื่อที่รักคนได้เพียงทีละหนึ่งคน ตราบเท่าที่เดเมี่ยนยังรักเดเซเร่อยู่ เขาก็ไม่มีวันมารักคุณอย่างจริงจังได้หรอก” เอริคกล่าว เหยียบย่ำลงไปที่หัวใจของมิคาเอลอย่างแรง

“คุณไม่มีหลักฐานอะไร พระองค์รักผม และผมก็เชื่อว่าพระองค์รักผมจริงๆ บางทีพระองค์อาจจะทรงตัดใจจากคุณเดสเซเร่แล้วก็ได้”

มิคาเอลกล่าวแต่เอริคกลับหัวเราะ

 

“คุณต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย มิคาเอล คุณคงไม่รู้สินะว่าแหวนที่เดเมี่ยนใส่อยู่ทุกวันไม่เคยถอด มันคือแหวนแทนใจที่เดสเซเร่มอบให้กับเดเมี่ยน หากเดเมี่ยนตัดใจจากเดสเซเร่จริง แล้วทำไมเขาถึงยังใส่แหวนวงนั้นอยู่อีก คุณว่าจริงไหม” เอริคย้อนถาม

“บางทีคุณอาจจะถูก แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้พระองค์ยังต้องการผม และผมก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์ตราบจนกว่าพระองค์จะบอกกับผมด้วยตัวของพระองค์เองว่าทรงไม่ต้องการผมอีก ผมขอตัว” มิคาเอลกล่าว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในวิลล่า

 

เอริคยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ไว้ใจลงไปแล้วที่เหลือ ก็แค่รอเวลาเท่านั้น

 

แม้จะอยากเข้มแข็ง และไม่อยากคิดอะไร แต่คำพูดของเอริคก็ทำให้

มิคาเอลเจ็บปวด จริงอยู่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนทำดีกับเขามาก แต่เวลาเพียงไม่กี่เดือนจะไปเทียบอะไรได้กับเวลามากกว่า 10 ปี ถึงไม่อยากจะยอมรับ แต่สิ่งที่เอริคพูดล้วนมีเหตุผล ตราบเท่าที่พระองค์ยังรักคนอื่นอยู่แล้วพระองค์จะรักเขาได้อย่างไร ในตอนนี้พระองค์อาจจะดีกับเขา แต่ในวันพรุ่งนี้พระองค์ก็อาจจะเบื่อหน่ายในตัวเขา และกลับไปหาสนมคนอื่นอีกก็ได้ คำสัญญาต่างๆ ที่พระองค์มอบให้ ทุกอย่างเป็นเพียงคำพูดลอยๆ หาหลักประกันอะไรไม่ได้ เมื่อใดที่พระองค์เบื่อหน่ายในตัวเขา เมื่อนั้นเขาก็คงหมดความหมาย เพียงแค่คิด หัวใจของเขาก็บีบรัด ความเจ็บปวดก็ถาโถมเข้ามา

 

มิคาเอลนั่งเศร้าอยู่นาน และใกล้เวลาที่องค์เดเมี่ยนจะกลับมาแล้ว แต่เขายังไม่อยากเจอพระองค์ในเวลานี้ หลายเดือนที่ผ่านมา มิคาเอลมีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งเรื่องของโทนี่ เรื่องขององค์เดเมี่ยน เรื่องของงาน จนเขาแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ความเครียดสะสมทำให้เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก ในเมื่อเขายังไม่อยากเจอกับองค์เดเมี่ยน เขาจึงตัดสินใจไปยังสปา บางทีการนวด และการแช่น้ำแร่ อาจจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาแจ้งความต้องการแก่แมททิวให้พาเขาไป แมททิวดูลังเล แต่หลังจากติดต่อกับองค์เดเมี่ยน และพระองค์อนุญาต แมททิวพร้อมกับองครักษ์อีกคนก็พาเขาไปยังสปา

 

มิคาเอลเคยมาที่นี่หนหนึ่งเมื่อหลายเดือนมาแล้ว และเขาก็ไม่อยากคิดมากจึงขอให้นางกำนัลทำแบบที่ทำให้เขาในครั้งก่อน เพียงเพราะว่ามันใช้เวลานาน และเขาก็อยากจะยื้อเวลาที่จะกลับวิลล่าออกไปให้นานที่สุด

 

3 ชั่วโมงผ่านไป มิคาเอลรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เขารู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยในตอนนี้ องค์เดเมี่ยนยังทรงเอ็นดูเขาอยู่ เขาก็จะรักพระองค์ และทำวันนี้ให้ดีที่สุด หากวันข้างหน้า พระองค์ไม่ต้องการเขาแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ในตอนนี้เขาทำได้เพียง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น คิดได้อย่างนั้นมิคาเอลก็รู้สึกดีขึ้น เขาจึงพยายามมองโลกในแง่ดี และจะทำให้องค์เดเมี่ยนมีความสุข

 

อยู่ๆ มิคาเอลก็รู้สึกคิดถึงองค์เดเมี่ยนขึ้นมา คิดถึงอ้อมกอดอันอบอุ่น คิดถึงจุมพิตอันเร่าร้อน คิดถึงสัมผัสที่ทำให้เขาละลาย จนมิคาเอลแทบรอกลับไปหาอ้อมกอดนั้นไม่ไหว เมื่อกลับมาถึงวิลล่า มิคาเอลเดินหาองค์เดเมี่ยนจนทั่วก็ไม่พบ เขาจึงกลับไปที่ห้องบรรทม มิคาเอลเอื้อมมือมาเปิดประตูบานใหญ่ออก คิดอยากจะทำให้องค์เดเมี่ยนประหลาดใจ

แต่มิคาเอลกลับกลายเป็นคนที่ต้องประหลาดใจเสียเอง

 

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้น้ำตาของมิคาเอลไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เจ้าชายที่เขารักจนหมดหัวใจ เจ้าชายที่ทรงบอกรักเขาอยู่เสมอ ในตอนนี้พระองค์นอนเปล่าเปลือยอยู่บนเตียงใหญ่ บนร่างของพระองค์มีพระสนมโอลิเวียกำลังร่วมรักกับพระองค์อยู่ ข้างๆ ยังมีพระสนมมาร์คัสที่กำลังแลกจูบกับพระองค์อย่างดูดดื่ม มิคาเอลมองภาพตรงหน้าอย่างเจ็บปวด องค์เดเมี่ยนที่ทรงตรัสกับเขาว่าห้องบรรทมนี้เป็นของเราสองคน ในเตียงนี้ของพระองค์ก็จะมีเขาเพียงคนเดียว กับคำสัญญามากมายที่ทรงให้ไว้ แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่คำลวง ในตอนนี้คนที่ให้สัญญากับเขา กลับทำลายทุกอย่างลงอย่างไม่มีชิ้นดี หัวใจของมิคาเอลบีบรัดอย่างเจ็บปวด เขาไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ย มีเพียงน้ำตาที่ไหลริน กับหัวใจที่แตกสลาย และความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

 

มิคาเอลหันหลังกลับและปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ เขาเจ็บปวดเหลือเกิน เจ็บจนไม่อาจจะทานทนได้ เขารู้สึกโง่เขลาที่หลงเข้าข้างตัวเอง แอบคิด แอบหวังว่าพระองค์จะทรงมีใจให้กับเขาจริงๆ หลงเชื่อไปกับคำหลอกลวง และคำหวานที่ทรงตรัส หลงละเมอไปกับความรักจอมปลอมที่ปลอมปนยาพิษ จนทำให้เขาต้องทนทรมานราวกับตายทั้งเป็นอยู่อย่างนี้ เขาควรจะรู้ว่าคนอย่างองค์เดเมี่ยนไม่มีทางจะมารักคนอย่างเขา คนอย่างเขาไม่มีอะไรที่คู่ควรกับพระองค์ คนอย่างเขามันก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง ที่ตอนนี้พระองค์เล่นจนเบื่อหน่ายแล้ว จะทรงโยนทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

แม้จะไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นจริงดังคำกล่าวของ

คุณเอริค หัวใจของพระองค์เป็นของคุณเดสเซเร่ ร่างกายของพระองค์ก็มิใช่ของเขา แต่เป็นของเหล่าสนมต่างๆ คนที่สำคัญตนผิดอย่างเขา ไม่มีสิทธิจะเรียกร้อง ในเมื่อพระองค์เคยกล่าวว่านิสัยของเขาดูคล้ายกับ

คุณเดสเซเร่ เขาก็คงเป็นได้เพียงแค่ตัวแทนปลอมๆ คนหนึ่ง เป็นเพียงเงาของคนรักของพระองค์

 

“เราอยู่ไม่ได้ หากไม่มีเจ้า”

“หากไม่มีเจ้า เราก็ไม่ต้องการใคร”

“หากขาดหัวใจแล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร”

“เรารักเจ้า”

“ตราบเท่าที่หัวใจดวงนี้ยังเต้นอยู่ เราจะรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

 

คำหวานที่โป้ปด ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำ คำหลอกลวงที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ คำโกหกที่พระองค์ใช้ในการกักขังเขาให้อยู่ที่นี่ หลอกล่อให้เขารัก หว่านล้อมให้เขาหลง สุดท้ายเพียงเพื่อให้พระองค์มาเหยียบย่ำทำลายหัวใจอันด้อยค่าดวงนี้

 

มิคาเอลพาตัวเองไปอีกฝั่งของวิลล่า ขังตัวเองเอาไว้ในห้องนอนห้องหนึ่ง และทิ้งตัวลงบนเตียง ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพียงลำพัง หัวใจของเขารู้สึกปวดร้าวไปหมด ราวกับว่ามันได้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนเขาไม่รู้จะเก็บรวบรวมมันขึ้นมาได้อย่างไร เขาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาอีก ทรมานอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลำพัง ไม่อาจจะหันหน้าไปหาใครได้

 

ลึกๆ เขารู้สึกอิจฉาคุณเดสเซเร่ขึ้นมาจับใจ ที่แม้เธอจะจากไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่องค์เดเมี่ยนก็ยังคงรักและคิดถึงเธออยู่เสมอ เขาอยากรู้ว่าหากเขาตายไปเสียในตอนนี้ องค์เดเมี่ยนจะทรงคิดถึงเขาบ้างไหม อีกหนึ่งปีจากนี้ พระองค์จะยังคงจดจำเขาได้อยู่หรือเปล่า หรือเขาจะเป็นได้เพียงแค่หนึ่งในสนมของพระองค์ ที่ไม่ได้มีค่าอันใดแก่การจดจำ
 

มิคาเอลเอาแต่จ้องมองมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ แม้จะเป็นมีดขนาดเล็กแต่หากตัดเส้นเลือดใหญ่เสีย เขาคงไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป แม้ว่าเขาอยากจะหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา แต่มิคาเอลก็ใช้ทุกอย่างที่มีในการหยุดตัวเองเอาไว้ อย่างน้อยถึงแม้จะเจ็บปวดและทรมาน แต่เขาก็อยากจะพบกับองค์เดเมี่ยนอีกสักครั้ง แม้จะรู้ว่าโง่เขลาแต่เขาก็อยากจะอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้ได้ต้องการคำอธิบายใดๆ เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้ว เขาจะไปจากคานาเดีย ไปจากวิลล่านี้ ไปจากอ้อมกอดของคนที่เขารักจนหมดหัวใจ และไปจากคนที่ทำลายหัวใจของเขาอย่างโหดร้ายและเลือดเย็น

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 58 เหตุและผล
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 07-09-2016 01:12:37


 

บทที่ 58 เหตุและผล

 

พระสนมมาร์คัส และพระสนมโอลิเวียได้รับข้อความให้ออกมาพบจากชายนิรนามคนหนึ่ง ข้อความระบุว่า มีวิธีกำจัดมิคาเอลออกไปจากวังอย่างถาวร และนั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะดึงดูดความสนใจแก่พระสนมทั้งสองผู้ที่เคยเป็นที่โปรดปรานทั้งฝั่งชายและฝั่งหญิง ทั้งสองลอบออกมาจากวิลล่าเล็กและมายังจุดนัดหมาย ตามเวลาที่นัดไว้

 

เมื่อมาร์คัสเห็นโอลิเวีย เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ ซึ่งโอลิเวียเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน

“หากพวกคุณต้องการกันมิคาเอลออกไป พวกคุณก็ต้องร่วมมือกัน

ไม่ใช่มาตีกันแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าว

“คุณเป็นใคร” พระสนมโอลิเวียถาม เพราะไม่เคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อน

“ที่พูดมาหมายความว่าอย่างไร” มาร์คัสถามบ้าง

“ผมชื่อเอริค ผมเป็นเพื่อนกับเดเมี่ยน หากคุณสองคนร่วมมือกัน ผมก็มั่นใจว่าพวกคุณสามารถกันมิคาเอลออกไปจากวังนี้ได้อย่างแน่นอน”

เอริคกล่าว

 

มาร์คัสมองมาที่โอลิเวีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเคยเป็นคนโปรดเสมอ แต่ตั้งแต่ที่มิคาเอลเข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และในตอนนี้อย่าว่าแต่จะได้ร่วมเตียงกับองค์เดเมี่ยนเลย แม้แต่หน้าของพระองค์เขาก็ยังไม่ได้เห็น ทั้งหมดเป็นเพราะมิคาเอลคนเดียว แม้เขาอยากจะทำอะไรเพื่อเรียกร้อง แต่ในฐานะตอนนี้ ก็ไม่กล้าเสี่ยง แต่หากคนๆ นี้ที่เป็นเพื่อนกับองค์เดเมี่ยนมาช่วยเหลือ บางทีเขาอาจจะสามารถกำจัดมิคาเอลออกไปได้จริงๆ ก็ได้

โอลิเวียเองก็คิดไม่แตกต่างกันนัก

 

“ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบคุณ แตหากมีวิธีที่จะกำจัดมิคาเอล ฉันก็ยินดี”

โอลิเวียกล่าวขึ้นก่อน

“ผมเองก็เช่นกัน” มาร์คัสกล่าว เอริคยิ้มและส่งไวน์ให้กับทั้งสอง

คนละขวด

“ไวน์สองขวดนี้ เป็นไวน์พิเศษ หากดื่มเพียงขวดใดขวดหนึ่ง จะไม่มีผลอะไร แต่ถ้าดื่มด้วยกัน หรือผสมกัน มันก็ไม่ต่างไปจากยาปลุกอารมณ์ขนานแรง ที่แม้แต่เดเมี่ยนก็ทนไม่ได้ และไม่ต้องห่วง เพราะมันไม่มีผลข้างเคียง แต่ในช่วงเวลาที่มันออกฤทธิ คนที่ดื่มมันเข้าไปจะไม่ค่อยมีสติ และไม่เป็นตัวของตัวเอง และนั่นคือโอกาสของพวกคุณ ผมคงไม่ต้องบอกว่าพวกคุณจะต้องทำอย่างไรหรอกมั้ง” เอริคกล่าวยิ้มๆ สนมทั้งสองก็เข้าใจในความหมายเป็นอย่างดี

“พวกคุณก็แค่หาเวลาที่ประจวบเหมาะให้มิคาเอลมาเห็น แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” เอริคกล่าว เพียงเท่านี้เมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านเอาไว้ก็จะงอกเงยขึ้นมา โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย

 

แม้เดเมี่ยนกับเขาจะเป็นเพื่อนกัน แต่เดสเซเร่ก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา เป็นดั่งแก้วตา และดวงใจ เขาดูแลและปกป้องเดสเซเร่ราวกับเจ้าหญิงมาตลอด และไม่เคยมีใครดีพอสำหรับน้องสาวของเขา แต่เดสเซเร่ก็กลับมารักเจ้าชายอย่างเดเมี่ยน ในตอนนั้นเดเมี่ยนไม่ได้มากรักและเสเพลเหมือนในตอนนี้ ความเสเพลเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เดสเซเร่จากไป เพราะความเสียใจต่อคนรักที่จากไปนั่นเอง

 

ในตอนนั้นเดเมี่ยนเป็นผู้ชายที่มั่นคงในรักมากกว่าใคร ในสายตาของเดเมี่ยนมีเพียงเดสเซเร่เสมอ และเดเมี่ยนก็ดูแลเดสเซเร่อย่างดี เฉกเช่นที่

เอริคดูแลและให้เกียรติน้องของเอริคเสมอ ยิ่งในตอนที่พ่อของเอริคจากไป เดสเซเร่เสียใจมาก และก็เป็นเดเมี่ยนที่คอยอยู่เคียงข้างปลอบโยนให้

เดสเซเร่ยิ้มออกมาได้อีกครั้ง และนั่นทำให้เอริคยอมรับในความรักของทั้งสอง แต่พอเดเมี่ยนพาเดสเซเร่มาที่คานาเดีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เดเมี่ยนผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเขา ว่าจะดูแลน้องสาวของเขาอย่างดี มิหนำซ้ำยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เดสเซเร่ฆ่าตัวตาย แม้จะเป็นเพื่อน และเอริคก็ไม่เคยพูด แต่เอริคก็ไม่เคยให้อภัยเดเมี่ยนในสิ่งที่เดเมี่ยนได้กระทำ ยิ่งมาในวันนี้ที่เดเมี่ยนกลับละเลยความรักที่เคยมีต่อเดสเซเร่ เอริคก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา และนั่นเป็นแรงผลักที่ทำให้เขากระทำสิ่งต่างๆ อยู่ในขณะนี้

 

องค์เดเมี่ยนกลับมายังวิลล่าตามปกติ พระองค์รู้ว่ามิคาเอลไม่อยู่ เพราะ

แมททิวได้แจ้งกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ว่าคนตัวเล็กต้องการไปที่สปา และพระองค์ก็ไม่คิดจะห้าม ตรงกันข้ามพระองค์ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่คนตัวเล็กหันมาสนใจ และดูแลตัวเอง พระองค์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง แต่แล้วมาร์คัสก็เดินเข้ามา ในมือยังถือไวน์ที่เปิดแล้วพร้อมกับแก้วมาสองใบอีกด้วย

 

“ฝ่าบาท” มาร์คัสร้องเรียกหา

“มาร์คัสเราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจ้าอยู่แต่ในวิลลาเล็ก”

“ก็ผมคิดถึงพระองค์ แล้วมิคาเอลก็ไม่อยู่ไม่ใช่เหรอครับ ผมได้ไวน์ชั้นดีมา ก็เลยเอามาถวาย” มาร์คัสกล่าวอย่างออดอ้อน นั่งคุกเข่าลงกับพื้น

“ทรงเกลียดผมแล้วเหรอครับ” มาร์คัสถาม

“เราไม่ได้เกลียดเจ้า เอาเถอะ ไหนเจ้าเอาอะไรมาให้เราชิม” ทรงตรัสอย่างเสียไม่ได้ พระองค์ไม่อยากทำร้ายจิตใจของสนมของพระองค์มากเกินไป แค่พระองค์ไม่ไปหา สนมต่างๆ ก็คงจะร้อนใจกันจะแย่แล้ว พระองค์อยากให้เวลาเหล่าสนมในการตัดใจ ก่อนพระองค์จะปลดปล่อยเหล่าสนมทั้งหลายในอีกไม่ช้า

 

มาร์คัสรินไวน์ใส่สองแก้วยื่นแก้วหนึ่งให้พระองค์ และจิบไวน์ในแก้วของตัวเอง พระองค์จึงจิบตาม

“ไวน์ชั้นดีจริงๆ” ทรงตรัส มาร์คัสจึงยิ้มให้

“ถ้าอย่างนั้นพระองค์ก็ดื่มอีกเยอะๆ นะครับ” มาร์คัสรินไวน์เพิ่มให้พระองค์ และยิ้มหวานให้ ไม่นานโอลิเวียก็เดินเข้ามา มีนางกำนัลสองคนเดินตามมาด้วย คนหนึ่งถือแก้วไวน์มาสองใบ อีกคนหนึ่งถือของว่าง ที่เข้ากับไวน์แดงชั้นดี

“เจ้าเองก็ขัดคำสั่งของเราเหรอโอลิเวีย” ทรงตรัสถามอย่างอารมณ์ดีหลังจากดื่มไวน์ไปสองแก้ว

“หม่อมฉันคิดถึงพระองค์เหมือนกันนะเพคะ” โอลิเวียนั่งลงที่ด้านซ้ายของพระองค์ เพราะมาร์คัสได้จับจองที่นั่งทางด้านขวาไปเสียแล้ว

“หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ทรงดื่มไวน์อยู่ หม่อมฉันก็เลยเอาไวน์มาเพิ่ม ลองไวน์ของหม่อมฉันบ้างนะเพคะ” โอลิเวียรินไวน์ใส่แก้วใหม่สองใบ และส่งแก้วใบหนึ่งถวาย โอลิเวียจิบไวน์ในแก้วของตนเองให้พระองค์เห็น พระองค์จึงลองชิมไวน์ที่โอลิเวียเอามาถวาย ไวน์รสชาดละเมียดละไม หอมกำลังดี หวานกำลังพอเหมาะ เป็นไวน์ชั้นเลิศเช่นกัน

 

“ไวน์ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน” ทรงตรัส รู้สึกแปลกใจที่พระองค์รู้สึกมึนเมาทั้งๆ ที่จิบไวน์ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็ทรงดื่มอีกนะเพคะ หม่อมฉันเอาของว่างมาถวายด้วย”

โอลิเวียกล่าว รินไวน์เพิ่มให้พระองค์อีก องค์เดเมี่ยนก็ดื่มลงไปอย่างว่าง่าย เมื่อทรงดื่มไวน์แก้วที่สองของโอลิเวียหมดลง พระองค์ก็รู้สึกพลุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก ความปรารถนากำลังก่อตัวขึ้น สัมผัสของโอลิเวียที่ต้นขาก็เพียงพอจะปลุกเร้า มาร์คัสหยิบผลองุ่นขึ้นมาป้อนพระองค์ แต่พระองค์กลับต้องการมากกว่าผลองุ่น พระองค์อ้าปากรับองุ่น และรั้งมือของมาร์คัสเอาไว้ ลิ้นร้อนของพระองค์หยอกล้ออยู่กลับนิ้วมือเรียวของมาร์คัส ก่อนพระองค์จะครอบครองริมฝีปากเย้ายวนส่งองุ่นเข้าในปากของมาร์คัสอีกครั้ง โอลิเวียเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ที่ตอนนี้ขยายใหญ่คับอยู่ภายในกางเกงผ้า โอลิเวียจึงนั่งคุกเข่าลงและปลุกเร้าพระองค์ด้วยปากลิ้น พระองค์ครางออกมา พระองค์รู้ว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในตอนนี้พระองค์ไม่อาจคิดอะไรได้ ราวกับว่าพระองค์กำลังหลงอยู่ในหมอกควัน ลืมเลือนทุกสิ่ง แม้จะพยายามขืนปฏิเสธ แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ใช่ของพระองค์อีกต่อไป พระองค์รั้งร่างทั้งสองให้ลุกขึ้น และพาไปยังห้องบรรทม

 

พระองค์ตื่นขึ้นในตอนสายด้วยอาการมึนงง เมื่อมองไปข้างกาย พระองค์ก็ต้องตกใจที่คนข้างๆ มิใช่มิคาเอล แต่พระองค์ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ทำไมมาร์คัสและโอลิเวียจึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วมิคาเอลไปอยู่ที่ไหน พระองค์รีบลุกขึ้นจากเตียง แต่งองค์และเดินออกไปจากห้องบรรทม พระองค์เดินหามิคาเอลจนทั่ว ชั่วขณะพระองค์รู้สึกใจหาย แต่ในที่สุดพระองค์ก็มาพบกับมิคาเอล นั่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือ พระองค์รู้สึกโล่งใจ ที่พบคนตัวเล็ก แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่พระองค์ก็จำไม่ได้ แต่กระนั้นพระองค์ก็รู้สึกผิดอย่างยิ่ง พระองค์ทำผิดสัญญาต่อมิคาเอลอย่างไม่น่าให้อภัยที่สุด

 

“มิคาเอลเราหาเจ้าจนทั่ว เจ้าทำอะไรอยู่” ทรงเดินเข้ามาใกล้ จะมากอด แต่คนตัวเล็กก็ขืนตัวออก

“ผมกำลังสะสางงานในส่วนของผมครับ หลังจากนั้น ผมจะไปจากที่นี่”

มิคาเอลตอบเรียบๆ พยายามจะทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด เรียบเฉยที่สุด กลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่กลับเป็นองค์เดเมี่ยนที่ตกใจเมื่อได้ยิน

“ไปจากที่นี่ เจ้าจะไปไหน ทำไม...” พระองค์ถามอย่างไม่เข้าใจ ตกใจกับคำตอบของคนตรงหน้า

“พระองค์ให้อิสระแก่ผมไม่ใช่เหรอครับ ผมจะอยู่ที่นี่ตราบเท่าที่ผมทนได้ แต่ในตอนนี้ผม… ทนไม่ได้อีกแล้ว และผมก็ต้องการจะไปจากที่นี่”

มิคาเอลกล่าวไม่ยอมมองหน้าของพระองค์

“มิคาเอล... เราไม่ให้เจ้าไป” ทรงตรัสรั้งร่างของมิคาเอลเข้ามากอด

กลิ่นน้ำหอมของทั้งโอลิเวีย และมาร์คัสยังติดกายขององค์เดเมี่ยน กลิ่นคาวสวาทก็ยังไม่จางหายไป มิคาเอลก็ขืนตัวออก และตบหน้าขององค์เดเมี่ยน

 

“อย่ามาแตะต้องตัวผม คนที่ไม่รักษาคำพูดอย่างพระองค์ ผมเกลียดที่สุด” มิคาเอลกล่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจจะห้าม องค์เดเมี่ยนจึงปล่อย แม้จะยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พระองค์ก็รู้สึกผิด

“เราขอโทษ มิคาเอล ได้โปรด อย่าไป” องค์เดเมี่ยนอ้อนวอน

 

“ผมเพียงแค่ต้องการลาพระองค์เท่านั้น ไม่ว่าพระองค์จะยอมปล่อยผมไปหรือไม่ ผมก็จะไม่อยู่ที่นี่อีก ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผมตั้งแต่แรกแล้ว”

มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด

“ที่นี่เป็นที่ของเจ้า เรารักเจ้า มิคาเอล เจ้าอยู่ในใจของเราเสมอ” ทรงตรัส หัวใจของพระองค์บีบรัดอย่างรุนแรง ทรมานกับสิ่งที่ได้ยิน

“พระองค์จะทรงหลอกลวงผมไปอีกนานแค่ไหน คนที่พระองค์รักไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณเดสเซเร่ ผมเป็นได้แค่เงาของเธอ ร่างกายของพระองค์ ก็ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของพระสนมของพระองค์ ผมจะอยู่หรือไม่ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี” มิคาเอลกล่าวและพยายามจะเดินหนีไป ไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น แต่องค์เดเมี่ยนก็รั้งเอาไว้

“มิคาเอล”

“ปล่อยผม ผมไม่รักพระองค์อีกแล้ว ผมเกลียดพระองค์ กลับไปหาพระสนมของพระองค์เถอะครับ” มิคาเอลกล่าวเย็นชา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน

“อย่าไปจากเรา ...อยู่กับเรา... อย่าทิ้งเราไป” ทรงอ้อนวอน กอดมิคาเอลไว้จากด้านหลัง พยายามจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้

“ปล่อยครับ ผมจะไปเตรียมตัว แท็กซี่จะมารับผมในอีกหนึ่งชั่วโมง หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น คุณวิลเลี่ยมจะโทรแจ้งสถานทูตอเมริกาทันที”

 

มิคาเอลตอบอย่างเย็นชาค่อยๆ แกะแขนขององค์เดเมี่ยนที่โอบรัดเขาออกช้าๆ ด้วยหัวใจที่แหลกสลายและเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนยืนมองตามหลังมิคาเอลไปด้วยสายตาอันเจ็บปวด อยู่เพียงลำพัง

 

พระองค์รู้สึกเจ็บปวดมากกว่าครั้งไหน พระองค์รู้ว่าพระองค์ผิดอย่างไม่มีข้อแก้ตัว พระองค์รู้ว่าเป็นอีกครั้งที่พระองค์ทำให้มิคาเอลต้องเสียใจ พระองค์อยากบอกให้คนตัวเล็กรู้ว่าพระองค์รักมิคาเอลมากเพียงไหน พระองค์ไม่เคยเห็นมิคาเอลเป็นตัวแทนของใคร เวลาที่อยู่กับมิคาเอล เป็นเวลาที่พระองค์มีความสุขที่สุด เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวในทุกๆ วันที่พระองค์เฝ้ารอ

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่พระองค์รักมิคาเอลจนหมดหัวใจ แม้พระองค์จะไม่ได้ลืมเดสเซเร่ แต่เดสเซเร่เป็นความทรงจำอันสวยงาม แต่ในตอนนี้ นาทีนี้คนที่เป็นเจ้าของหัวใจของพระองค์ คือคนที่กำลังจะเดินออกไปจากชีวิตของพระองค์ และพระองค์ก็ไม่มีสิทธิโทษใครได้นอกจากตัวของพระองค์เอง แม้จะอยากบอกรัก แม้จะอยากขอโทษ แม้จะอยากอ้อนวอน แต่คนตัวเล็กก็คงไม่รับฟังอีกต่อไป คนที่โง่เขลาที่สุดก็คือพระองค์เอง

 

มิคาเอลกลับมาที่ห้องส่วนตัวที่ติดกับห้องบรรทม ด้วยความเจ็บปวด เขาต้องทนฟังเสียงของพระสนมทั้งสองกำลังตื่น เสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เสียงออดอ้อนเมื่อองค์เดเมี่ยนเดินเข้ามา เสียงทั้งหมดเหมือนตอกย้ำในความโง่งมของเขา

“กลับไปที่ของพวกเจ้าซะ”

องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างเย็นชากับสนมทั้งสอง ก่อนพระองค์ก็ทรงเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของมิคาเอล

 

มิคาเอลจัดกระเป๋าอย่างเรียบง่าย เขาเพียงเลือกเสื้อผ้าธรรมดาไป 2-3 ชุด และของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ต้องการอะไรจากองค์เดเมี่ยน และไม่ต้องการคิดถึงเจ้าชายองค์นี้อีก องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาในห้อง มองดูคนตัวเล็กด้วยความทรมาน

 

"กล้อง 3 ตัวนั้นเป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมคืนให้ครับ ผมไม่ต้องการ” มิคาเอลตอบเรียบๆ หยิบสมุดบัญชีที่แจ้งยอดรวมเงินในบัญชีกว่า $ 20 ล้านและบัตรออกมาวางข้างๆกล้อง

“เงินนั้นเป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“ผมไม่ต้องการเงินของพระองค์ ผมบอกพระองค์แล้วว่าผมดูแลตัวเองได้ ผมคืนให้พระองค์” มิคาเอลกล่าว

“อย่างน้อยเก็บบัตรแพลทินัมกับแหวนเอาไว้ เราขอร้อง” ทรงตรัสขึ้นเมื่อเห็นมิคาเอลกำลังจะถอดแหวนออก

“เรารู้ว่าเจ้าอาจจะเกลียดเราแล้วในตอนนี้ แต่อย่างน้อย... เราไม่อยากให้เจ้าลืมเรา หากเราจะสามารถขออะไรสักอย่างได้จากเจ้า เราอยากให้เจ้าจดจำเราเอาไว้ เพียงเศษเสี้ยวมุมหนึ่งในหัวใจของเจ้า ให้เราอยู่ตรงนั้น ได้โปรด อย่าลืมเรา” ทรงตรัสขอร้องด้วยน้ำเสียงอันแสนเศร้าและเจ็บปวด

“ผมจะเก็บแหวนเอาไว้ แต่ผมไม่ต้องการบัตรของพระองค์” มิคาเอลส่งคืนให้พระองค์ แต่พระองค์ปฏิเสธ

“เก็บเอาไว้ หากเจ้าลำบาก ก็เอามันออกมาใช้ เราขอร้อง” ทรงตรัส

มิคาเอลจึงรับไว้ ยังไงหากเขาไม่ใช้ มันก็เป็นเพียงบัตรเครดิตใบหนึ่งเท่านั้น

 

“ผมลาครับ” มิคาเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดไม่ยอมมองหน้าองค์เดเมี่ยน องค์เดเมี่ยนเดินเข้ามาหา และกอดมิคาเอลเอาไว้ มิคาเอลจึงกอดตอบพระองค์ ...เป็นครั้งสุดท้าย ซบใบหน้าแนบหัวใจของพระองค์ เขารู้สึกถึงความเปียกชื้น จึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า องค์เดเมี่ยนกำลังร้องไห้ น้ำตาที่ทรงหลั่งออกมาเพื่อเขา มิคาเอลจูบพระองค์อย่างแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้าย มือเล็กปาดเช็ดน้ำตาให้กับพระองค์

 

“...ทรงรักษาตัวด้วย...” มิคาเอลเอ่ยได้แค่นั้น ขืนตัวออกจากอ้อมกอดของพระองค์ และเดินจากไป
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 58 เหตุและผล
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 08-09-2016 22:55:41
นายเอริคตัวเองทำใจกับการสูนเสียยน้องสาวไปไม่ได้และจะะให้เดเมี่่่ยนต้องจมอยู่่กับคนทีี่ตายไปแลล้วตลอดชีวิตเรอะ ตลกลล่่ะะะะะ รอเดเมี่่ยนมาจัดการเถอะะ  :angry2: มิคาเอลนายต้องจากไปเพื่อให้เดเมี่่ยยนได้จัดการกับใจขขขของตัวเองน่่ะ สู้ ๆ จ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 58 เหตุและผล
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 10-09-2016 23:05:06
หาย
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 59 ชดใช้หนี้
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 11-09-2016 11:25:24


 

บทที่ 59 ชดใช้หนี้

 

มิคาเอลจากไปจากวิลล่าแห่งนี้ สองเดือนแล้ว แต่ความเศร้าโศกขององค์เดเมี่ยนก็ไม่ได้ลดน้อยลง พระองค์ยังพยายามจะทำหน้าที่ของพระองค์ แต่ทุกคนรอบข้างต่างรู้ว่าพระองค์ไม่เหมือนเดิม จากเจ้าชายที่เจ้าชู้ เสเพล ในตอนนี้พระองค์กลับไม่แม้แต่จะสนใจมองใคร หลายต่อหลายครั้งพระองค์กลับเหม่อลอย มองไปที่ๆ เคยเป็นโต๊ะของมิคาเอล ไม่เคยมีใครเคยเห็นพระองค์เป็นแบบนี้มาก่อน

 

เมื่อพระองค์กลับมาที่วิลล่าพระองค์ก็ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก ทุกๆ ที่ที่มองไปพระองค์เห็นแต่ภาพซ้อนของมิคาเอล ทุกๆ วันพระองค์เอาแต่ดื่ม แม้แต่องค์นาธานเนียลก็ห้ามไม่ได้ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น พระองค์เอาแต่โทษตัวเอง โทษในความมักมากของพระองค์ โทษในความไม่รู้จักพอ และโทษในความไม่เด็ดขาดของพระองค์เอง แม้จะสายเกินไป แต่พระองค์ก็ตัดสินใจปลดปล่อยสนมทั้งหมด โดยไม่แม้แต่จะคิดซ้ำสอง อีกครั้งที่พระองค์เอาแต่โทษตัวเองที่เห็นแก่ตัว จนทำให้คนที่พระองค์รักต้องเจ็บปวด และเลือกที่จะจากไป แต่คนอย่างพระองค์ไม่สมควรมีใครมารัก พระองค์ต่างหากที่ไม่คู่ควรกับมิคาเอล แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเฝ้าคิดถึงคนตัวเล็กอยู่ทุกวี่วัน

 

หลังจากมิคาเอลจากไป เขาก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาพระองค์อีกเลย แม้ลึกๆ พระองค์จะเฝ้าหวังให้คนตัวเล็กติดต่อกลับมาหาพระองค์ก็ตาม คนตัวเล็กใจแข็งเกินไป มิคาเอลเดินออกจากวิลล่านี้ไป โดยไม่แม้จะหันกลับมามองพระองค์ แม้พระองค์จะอ้อนวอนมากเพียงไหน ก็ไม่อาจจะรั้งมิคาเอลเอาไว้ได้

 

เอริคกลับมาเยี่ยมองค์เดเมี่ยนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เดเมี่ยนดูแตกต่างออกไป ใบหน้าดูอิดโรย และดื่มอย่างหนัก

“เดเมี่ยน” เอริคทักทาย

“เราไม่มีอารมณ์จะเล่นเกมส์ของเจ้า ต้องการอะไร” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่าสนมทั้งสองเอาไวน์มาจากไหน

“ใจเย็นๆ สิเดเมี่ยน ผมก็แค่มาเยี่ยม” เอริคกล่าว

“มาคราวที่แล้วยังทำความเสียหายไม่พออีกเหรอ” องค์เดเมี่ยนถาม

“อย่ามากล่าวหาลอยๆ กับผมสิ” เอริคปฏิเสธ

“11 ปี ที่เราคร่ำครวญหาเดสเซเร่ 11 ปีที่เราร่ำไห้กับการจากไปของเธอ 11 ปีที่เราทรมานจากการสูญเสีย มันยังไม่พออีกหรือ เรารักเดสเซเร่ แต่เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่ว่าเราจะเสียใจมากเพียงไหน เธอก็ไม่กลับมา แต่พอเรามาคิดดูเราจึงได้รู้ว่า เดสเซเร่ไม่ได้ต้องการให้เราคร่ำครวญหา ที่เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะเธอต้องการปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระต่างหาก เธอต้องการให้เราตัดใจเสีย โดยที่เธอยอมเสียสละชีวิตของเธอเพื่อเรา เธอบอกเสมอว่าให้เรามีความสุข แต่เรากลับทรมานตัวเองมาตลอด 11 ปีที่เราทรมานยังไม่สาแก่ใจเจ้าอีกหรือ เอริค” ทรงตรัสถาม

“ผม…” เอริคกลับเป็นฝ่ายที่ประหลาดใจเสียเองเมื่อได้ยินคำพูดขององค์เดเมี่ยน เขาไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อน

 

“เราไม่ได้ลืมเดสเซเร่ แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว แม้ในตอนนี้ คนที่เรารัก คือ มิคาเอล แต่เดสเซเร่ก็ยังอยู่ในใจของเราเสมอ เธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แต่มันก็ไม่ยุติธรรม หากเราจะต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเราอย่างทรมานเพราะการสูญเสียเธอไป และเราก็ไม่คิดว่า เดสเซเร่ต้องการให้เราทำแบบนั้น” องค์เดเมี่ยนตรัส เอริคกลับนิ่งเฉยเมื่อคิดถึงน้องสาวผู้อ่อนโยน สิ่งที่เดเมี่ยนกล่าว ก็มีเหตุผล คนที่ใจดีและอ่อนโยนอย่างเดสเซเร่ ไม่มีทางยอมเห็นคนที่เธอรักต้องทนทรมานนานนับสิบปีแบบนี้ และดูเหมือนว่าทั้งหมดเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาต่างหาก

“ผมต้องขอโทษด้วย” เอริคกล่าวอย่างสำนึกผิด

“ถ้าเจ้ามีเวลาว่างมากนัก ก็ไปหาคู่ครองซะที เลิกมาตอกย้ำเราได้แล้ว” องค์เดเมี่ยนกล่าวประชด

 

เดสเซเร่เป็นคนที่มองโลกใน่แง่ดีเสมอ ในความเป็นจริงหากเอริคเปิดใจสักหน่อย เขาก็คงจะคิดได้อย่างเดเมี่ยนเมื่อนานมาแล้ว แต่เป็นเพราะเขาเอาแต่มีอคติ และเอาแต่โทษเดเมี่ยนมาตลอด ทำให้ดวงตาของเขามืดบอด และปล่อยให้ความโกรธแค้นเข้าครอบงำ เอริครักน้องมาก เดสเซเร่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ และเป็นทุกสิ่งของเขา เมื่อเดสเซเร่จากไป เอริคก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และที่เขาทำไปทุกอย่างเพียงเพื่ออยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่น้องสาว แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาเอาความโกรธแค้นมาลงกับเดเมี่ยน เอาแต่ทำร้ายเดเมี่ยน และปล่อยให้ความโกรธแค้นกัดกินหัวใจของเขา จนมันย้อนกลับมาทำร้ายตัวของเขาเอง

 

“ผมเข้าใจแล้ว ผมเสียใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป หากมีอะไรที่ผมพอจะชดใช้ให้ได้ ผมก็ยินดี” เอริคกล่าวอย่างจริงใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลง และทำหน้าที่ของเพื่อนเสีย” องค์เดเมี่ยนรินคอนยัคใส่แก้วและส่งให้เอริค

“แด่เดสเซเร่ คนที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป” องค์เดเมี่ยนตรัส เอริคดื่มเป็นเพื่อนองค์เดเมี่ยนมาพักใหญ่จึงเริ่มถามคำถามที่คาใจ

 

“ผมไม่เคยเห็นคุณดื่มมากขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากคุณรักเด็กคนนั้นมาก ทำไมไม่ไปตามกลับมา” เอริคถาม คนอย่างเดเมี่ยนหากต้องการก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินไป

“จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการอยู่กับเรา พาเขากลับมา เขาก็คงจะต้องทนทรมาน หากเขาทนไม่ได้แล้วตัดสินใจทำแบบนี้เดสเซเร่ เราคงทนไม่ได้” เดเมี่ยนตอบเสียงเศร้า ทั้งๆ ที่คิดถึงคนตัวเล็กแทบขาดใจ และรักมิคาเอลจนหมดหัวใจ แต่พระองค์ก็ไม่มีสิทธิครอบครอง

“จริงๆ เด็กคนนั้นก็รักคุณมากทีเดียว เขายังบอกกับผมว่า เขาจะอยู่กับคุณตราบเท่าที่คุณยังต้องการเขานี่นา” เอริคกล่าวขึ้นลอยๆ

“เจ้าหมายความว่ายังไง แล้วเจ้าไปคุยกับมิคาเอลตั้งแต่เมื่อไหร่” องค์เดเมี่ยนถามอย่างไม่พอใจ

“ก็วันที่เกิดเรื่องนั่นแหล่ะ พอดีผมไปพูดใส่ไฟไว้ พอเด็กคนนั้นมาเห็นคุณกับสนม เขาก็คงจะทนไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ” เอริคสารภาพเมื่อเหล้าเข้าปาก องค์เดเมี่ยนยืนขึ้นช้าๆ มองมาที่เอริค

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราคิดว่าสิ่งที่เราทำต่อมิคาเอล ไม่มีความหมายต่อเขา เราคิดว่าเขาเกลียดเรา เราเอาแต่โทษตัวเองมาตลอด จนกระทั่งวันนี้...” ทรงตรัส ก่อนจะกระชากคอเอริคขึ้นมา และต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง จนเอริคล้มคว่ำลงกับพื้น

“นายทำอย่างนี้ หมายความว่ายังไง เดเมี่ยน” เอริคถามอย่างไม่พอใจ ที่อยู่ดีๆ ก็โดนต่อย

“ไอ้เพื่อนทรยศ Son of bitch!!! มิคาเอลเป็นคนที่ทำให้เรามีความสุขอีกครั้ง แต่เจ้าก็ยังทำให้เขาจากเราไปอีก เราถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นเพื่อนแบบไหนกันแน่” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเหลืออด

“แกก็พอกันเดเมี่ยน ไหนแกบอกว่า จะดูแลเดสเซเร่ยังไง แกดูแลประสาอะไร ถึงทำให้เดสเซเร่ต้องฆ่าตัวตาย” เอริคลุกขึ้นถามคำถามที่อัดอั้นในใจมานานนับสิบปี และต่อยสวนกลับเดเมี่ยน

“แล้วสิบกว่าปีที่ผ่านมาเรายังทรมานไม่พอหรือไง หรือเจ้าจะให้เราต้องทรมานไปตลอดชีวิต เจ้าถึงจะพอใจ ถ้าไม่พอใจก็ฆ่าเราให้ตายตามเดสเซเร่ไปอีกคนก็ได้” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างเหลืออด

 

หยิบมีดสั้นที่พกติดตัวออกมา และวางลงบนโต๊ะและเลื่อนส่งไปให้เอริค เอริคก็หยิบมีดขึ้นมา

 

“เรารู้ว่าเราผิดแต่เราก็ทำได้แค่นี้ ไม่มีวันไหนที่เราไม่โทษตัวเองที่ทำให้เดสเซเร่จากไป ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น เอาชีวิตของเราไปก็ได้” องค์เดเมี่ยนตรัส พระองค์ไม่คิดจะตอบโต้ หรือขัดขืน เอริคถือมีด เดินเข้ามาหาช้าๆ แมททิวที่มองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ รีบวิ่งเข้ามาห้าม แต่เขาก็เข้ามาช้าเกินไป มีดสั้นปักลงบนร่างขององค์เดเมี่ยน ไม่มีเสียงอ้อนวอน และไม่มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แมททิวได้สติรีบล็อกตัวของเอริคไว้

 

แต่ก็ถูกคนเจ็บตะคอกใส่

 

“ปล่อย!!! อย่าเข้ามายุ่ง” ทรงตรัสเสียงดัง จนแมททิวต้องปล่อยตัวเอริค และถอยออกไป องค์เดเมี่ยนใช้มือดึงมีดที่ปักอยู่ที่ไหล่ออก เลือดสดๆ ไหลออกมาอย่างมากมาย แล้วพระองค์ก็ส่งมีดเปื้อนเลือดกลับไปให้เอริคอีกครั้ง เอริครับมีดเอาไว้ มือของเขาเปื้อนเลือดของเดเมี่ยนจนเป็นสีแดง

 

“เจ้าแทงพลาด หัวใจของเราอยู่ตรงนี้” ทรงตรัสใช้นิ้วที่เปื้อนเลือด จิ้มลงไปที่หน้าอกข้างซ้าย ตรงตำแหน่งหัวใจของพระองค์ เอริคมองมือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง สลับกับมองคนบ้าบิ่นตรงหน้า เขาก็โยนมีดทิ้งไป

 

“คุณและผมไม่มีอะไรติดค้างกันอีก” เอริคกล่าว และพยายามจะเดินจากไป

“อ่อนหัด” องค์เดเมี่ยนตรัสเบาๆ แล้วจึงรั้งร่างของเอริคเอาไว้ ก่อนจะต่อยอย่างแรงจนเอริคล้มลงและหมดสติไป

“ไม่ติดค้างอะไรล่ะ เป็นเพราะเพื่อนเฮงซวยอย่างเจ้าที่ทำให้มิคาเอลไปจากเรา อย่าเอามาเหมารวมกับเรื่องเดสเซเร่ son of bitch!” องค์เดเมี่ยนกล่าวอย่างอารมณ์เสียกับร่างที่ไร้สติของเอริค พร้อมกับเตะเข้าที่ท้องของเอริคอีกหนึ่งที

 

“มองอะไร! ไปตามหมอมา!” ทรงหันมาสั่งแมททิว ที่ออกจะตกใจกับการกระทำของเจ้าชาย แมททิวรีบเข้ามาพยุงเจ้าชาย องครักษ์อีกคนเข้ามาพยุงเอริค พาแยกไปคนละห้อง

 

"พระองค์ไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ หากคุณเอริคเกิดปลงพระชนม์พระองค์ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไรขอรับ” แมททิวถาม

“เราก็คงไม่ต้องทนทรมานอีก แต่เอริคมันไม่มีน้ำยาหรอก” ทรงตรัส

แมททิววางพระองค์ลงบนเตียง

 

“แมททิว” องค์เดเมี่ยนเรียกหา

“ขอรับ”

“ขอบใจที่เป็นห่วงเรา” ทรงตรัส แมททิวออกจะแปลกใจที่ได้ยิน

“เป็นหน้าที่ของกระหม่อม” แมททิวกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเริ่มเหงื่อตกเมื่อได้ยินสิ่งที่องค์เดเมี่ยนตรัส ในประโยคต่อมา

“เราไม่สนว่าจะต้องใช้คนมากแค่ไหน จะต้องเสียเงิน หรือเสียอะไรมากเท่าไหร่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา เจ้าจะต้องหาที่อยู่ของมิคาเอลมาให้เราให้ได้ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็เตรียมตัวลงไปนอนเล่นในโลงใต้ดิน 6 ฟุตได้เลย” ทรงตรัสอย่างเรียบเฉย ฟังดูคล้ายกลับการล้อเล่น แต่แมททิวก็รู้ว่าพระองค์หมายความตามนั้นทุกประการ

“กระหม่อมจะรีบไปดำเนินการขอรับ” แมททิวกล่าวและรีบเรียกประชุมองครักษ์โดยด่วน

 

หลังจากวางแผนแมททิวจึงรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการตามหาอดีตพระสนมมิคาเอล ทีมค้นหาตามสืบค้นที่อยู่ของมิคาเอลทุกวิธีทาง และที่แห่งแรกที่ตรวจสอบคือคอนโดหรูของอดีตพระสนมแห่งองค์ราฟาเอล แอนโทนี่ หรือก็คือน้องชายของพระสนมมิคาเอล แต่ก็ไร้วี่แววของพระสนม

 

องค์เดเมี่ยนก็ทรงรู้ว่า คนฉลาดอย่างมิคาเอลคงไม่มีทางที่จะกลับไปอเมริกาแน่ๆ มิคาเอลรักและห่วงน้องชายมาก และจะไม่มีวันนำเรื่องวุ่นวายมาให้โทนี่ต้องตกใจแน่นอน คนตัวเล็กก็ระวังตัวมากเหลือเกิน จนพระองค์ไม่อาจจะตามรอยได้ว่าคนตัวเล็กของพระองค์ ไปอยู่ณ ที่แห่งใด หรือว่าในตอนนี้ มิคาเอลจะเกลียดพระองค์ขึ้นมาเสียแล้วจริงๆ

 

หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป จากการตรวจสอบทุกวิธีทาง และทำงานอย่างหนัก แต่ทีมค้นหาก็ยังคว้าน้ำเหลว ในทุกๆ วันความอดทนขององค์เดเมี่ยนก็ค่อยๆ หมดลงทีละน้อย แต่เนื่องจากมิคาเอลที่ปกติก็เคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งอยู่แล้ว ในตอนนี้อดีตพระสนมแทบจะอยู่ไม่ติดที่ เดินทางไปมาระหว่างประเทศเป็นว่าเล่น

 

หลายอาทิตย์ก่อนทีมค้นหาได้ข้อมูลว่ามิคาเอลได้เดินทางไปที่ฟินแลนด์ ทางทีมเฉพาะกิจก็รีบตามไป แต่เมื่อไปถึงมิคาเอลก็ได้ออกจากประเทศ และเดินทางไปยังประเทศกรีนแลนด์เสียแล้ว แต่พอตามไปถึงกรีนแลนด์ ก็พบว่าคุณมิคาเอล วกกลับมาที่นอร์เวย์และออกทะเลไปกับเรือหาปลาในทะเลนอร์ทซี แม้ทีมเฉพาะกิจอยากจะตามใจจะขาด เพราะองค์เดเมี่ยนที่กำลังโกรธจัด ทรงขู่จะจับพวกเขาผูกติดกันไปถ่วงทะเลหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็จนใจ เพราะทะเลนอร์ทซี มีอาณาเขตติดกับหลายประเทศ และกว้างใหญ่มาก ที่สำคัญคนที่แมททิวไปติดต่อด้วยยังบอกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณมิคาเอลในการออกทะเลไปกับเรือหาปลา โดยปกติแล้วคุณมิคาเอลจะติดต่อกับเฮลิคอปเตอร์ให้มารับระหว่างทาง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ หรือที่ไหน หากออกทะเลไป ก็ใช่ว่าจะหากันเจอได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำ เรือที่คุณมิคาเอลไปด้วย วิทยุบนเรือก็เสียอีกต่างหาก ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเป็นการปิดประตูการตามหาคุณมิคาเอลในครั้งนั้นไปเลย

 

อาชีพช่างภาพอิสระที่ติดอันดับต้นๆ ของมิคาเอลไม่ได้ได้มาง่ายๆ และมิคาเอลก็ทุ่มเทให้กับอาชีพนี้มานานหลายปี และทำให้เขารู้จักกับผู้คนมากมาย จนตลอดการเดินทางของเขา มักจะมีคนคอยช่วยเหลือเขาเสมอ ทำให้การติดตามตัวของมิคาเอลเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างยากลำบาก และเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดทีมเฉพาะกิจก็สืบค้นมาได้ว่า มิคาเอลเดินทางไปที่เคนย่า ในแอฟริกาเมื่อห้าวันก่อน จึงได้เร่งติดตามไป แต่ในแอฟริกาการติดต่อสื่อสารยังคงทำได้ลำบากมากกว่าในทวีปอื่นมากนัก เบาะแสที่ได้ก็น้อยนิดเสียจนแทบจะเรียกว่าเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ แต่องค์เดเมี่ยนก็ทรงยื่นคำขาดว่าถ้าไม่ได้เบาะแสเพิ่มเติม ก็เตรียมตัวไปเป็นอาหารสิงโตเสีย อย่าได้กลับไปให้พระองค์เห็นหน้าอีก

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 60 คนเจ้าวางแผน
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 15-09-2016 06:32:42


 

 

บทที่ 60 คนเจ้าวางแผน

 

ตั้งแต่ไมเคิลเดินออกมาจากวิลล่าขององค์เดเมี่ยน เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก เขาเดินทางกลับอเมริกา และกลับไปที่คอนโดของเขา เขาไม่ได้ติดต่อใคร และไม่ได้ต้องการพบใครในตอนนี้ เขาคิดถึงโทนี่แต่ก็ตัดสินใจไม่ไปพบด้วยเหตุผลหลักๆสองข้อ ข้อแรก เขาไม่อยากให้โทนี่เป็นห่วง และข้อสองหากเขาเป็นองค์เดเมี่ยน หากพระองค์คิดจะนำตัวเขากลับไป ที่แรกที่พระองค์จะต้องมาตรวจสอบ คือที่ๆ โทนี่อยู่ ไมเคิลไม่ต้องการให้โทนี่เดือดร้อน แม้จะอยากไปหา แต่ก็ตัดใจไม่ไปพบ

 

ไมเคิลจัดกระเป๋าเดินทางอีกครั้งและในครั้งนี้เขาเอากล้องของเขาติดตัวไปด้วย แค่ชื่อเสียงของเขา ภาพที่เขาถ่ายออกมาก็สามารถนำไปขายได้อย่างไม่ยากนัก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เขามีเงินเก็บมากพอที่จะอยู่อย่างสบายๆ ไปได้หลายปี โดยไม่ต้องทำอะไร แต่เขาไม่ต้องการเช่นนั้น ไมเคิลพยายามจะทำตัวเองให้ยุ่งเข้าไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงองค์เดเมี่ยน หากทำได้เขาอยากจะลืมพระองค์เสีย อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ไม่ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ เขาก็จะลืมองค์เดเมี่ยนให้ได้สักวันหนึ่ง

 

ไมเคิลติดต่อไปยังนิตยสารเวลา แต่ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ต้องห่วงเรื่องรูปถ่าย ทางนิตยสารไม่ต้องการรูปของกษัตริย์แล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไมเคิลใช้ไปก็มีคนจ่ายคืนให้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นแค่ส่งบัตรเครดิตมาคืนทางจดหมายก็พอ เสียงจากทางปลายสายดูหวาดกลัว จนไมเคิลอดสงสัยไม่ได้ว่าองค์เดเมี่ยนไปทำอะไรไว้

 

ไมเคิลติดต่อไปยังนิตยสารหลายที่และเริ่มรับงานถ่ายภาพติดๆ กันหลายงาน แต่ละงานล้วนกระจายไปอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งไมเคิลก็ไม่เกี่ยง และออกจะยินดีกับการได้เดินทางเสียด้วย ไมเคิลพยายามทำงานหนักเพื่อจะได้ไม่คิดถึงคนๆ นั้น แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทำอะไร เขาก็อดคิดถึงองค์เดเมี่ยนไม่ได้

 

เขาเคยมีความสุขเมื่อได้จับกล้อง แต่ในตอนนี้การถ่ายรูป กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาคิดถึงองค์เดเมี่ยนแทบขาดใจ เมื่อไม่มีคนๆ นั้นไม่ว่าจะถ่ายรูปอะไร ไม่ว่ามันจะงดงามตระการตามากแค่ไหน ไมเคิลก็รู้สึกว่ามันดูไม่สวยเลยสักนิด จะมีประโยขน์อะไรหากไม่มีใครอยู่เคียงข้างและร่วมแบ่งปันความสุขด้วย

 

ไมเคิลเดินทางไปฟินแลนด์ และขึ้นเหนือไปที่ Lapland เพื่อไปเก็บภาพของ แสงเหนือ Northern lights อากาศในหน้าหนาวช่างหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจ อากาศที่ติดลบ อุณหภูมิที่ลดลงต่ำ แต่ไมเคิลก็รู้สึกว่าพายุหิมะในใจของเขายังคงหนาวเหน็บมากยิ่งกว่าอุณหภูมิภายนอก

 

ไมเคิลมีโอกาสได้นั่งรถเลื่อนหิมะที่ลากจูงด้วยสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ เขาเก็บภาพไว้หลายภาพ แต่ในใจกลับคิดว่าจะมีความสุขมากแค่ไหน หากองค์เดเมี่ยนจะอยู่ตรงนี้ และร่วมแชร์ประสบการณ์กับเขา พระองค์จะทรงบังคับเลื่อนหิมะแบบนี้ได้ไหม ถ้าทรงอยู่ตรงนี้พระองค์คงจะเข้ามากอดเขาเอาไว้แนบหัวใจของพระองค์ บอกรักเขา และมอบไออุ่นให้กับเขา แต่แล้วภาพที่พระองค์ร่วมรักกับสนมอื่นในห้องนอน ก็ย้อนกลับมา จนไมเคิลรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีก

 

ไมเคิลเคยมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน และเขารู้จักผู้คนที่นี่หลายคน เขาพยายามจะฝึกพูดฟินนิช แม้จะพูดได้ไม่มาก แต่ก็พอสื่อสารได้บ้าง เขาได้รับการบอกว่ามีคนมาตามหาเขา ไมเคิลค่อนข้างตกใจ ไม่คิดว่าองค์เดเมี่ยนจะรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่

 

ไมเคิลจึงวางแผนหลอกล่อให้เหล่าองครักษ์สับสน โดยให้คนรู้จักหลายคนไปให้ข้อมูลว่าไมเคิลได้เดินทางไปที่ กรีนแลนด์แล้ว แต่ตัวไมเคิลกลับรีบเดินทางไปที่นอร์เวย์แทน เมื่อไปถึงเขาก็รีบนัดแนะกับคนรู้จักอีกหลายคน เพื่อให้ข้อมูลลวงๆ ว่าไมเคิลออกทะเลไปกับเรือหาปลา แต่งเรื่องให้น่าเชื่อถือ ส่วนตัวเขาก็แอบซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม และเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ กลุ่มที่มาตามหาเขา มากัน 5 คน หนึ่งในนั้นคือ แมททิว ที่เป็นหัวหน้าทีม ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ไมเคิลวางไว้ เขานัดแนะกับคนรู้จักในบาร์ ที่ชาวประมงชอบเข้าไปดื่มกัน ซึ่งเจ้าของร้านเป็นเพื่อนกับเขา จัดฉากมีคนเมามาเอ่ยชื่อเขาต่อหน้าแมททิว ประมาณชาวอเมริกันหน้าสวย ตัวเล็ก จะไปรอดในทะเลหน้าหนาวหรือ เพื่อให้แมททิวสนใจ และมีชาวประมงอีกหลายคนมายืนยันการออกทะเลของไมเคิลไปกับเรือหาปลา และสร้างเรื่องของเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมาปิดท้าย

 

เขาอาจจะไม่ได้มีอำนาจมากเท่าองค์เดเมี่ยน แต่เขาก็มีไหวพริบ และมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ไม่น้อยเช่นกัน หลังจากแมททิวพยายามตรวจสอบอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ถอดใจ และยอมกลับไป สีหน้าดูหนักใจเมื่อต้องพูดคุยโทรศัพท์กับองค์เดเมี่ยน จนไมเคิลอดรู้สึกสงสารไม่ได้

 

เมื่อองครักษ์จากไปไมเคิลก็ขึ้นไปทางเหนือของนอร์เวย์ เพื่อไปเก็บภาพของโรงแรมที่ทำจากน้ำแข็ง Kirkenes Snow Hotel ที่ทั้งโรงแรมทำมาจากน้ำแข็งและจะถูกสร้างใหม่ทุกๆ ปี นับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และไมเคิลก็เก็บภาพเอาไว้หลายต่อหลายภาพ เมื่อถ่ายภาพทุกอย่างที่อยู่ในรายการที่ต้องทำแล้ว ไมเคิลก็ส่งรูปภาพพร้อมกับเมมโมรี่การ์ดไปให้สำนักพิมพ์ แล้วเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป ... แอฟริกา

 

เดือนกว่าแล้วที่ทีมค้นหามิคาเอลทำงานพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนองค์เดเมี่ยนอยากจะสั่งจับทีมค้นหาขังลืมเสียยกทีม หากไม่ติดว่านาธานเนียลบังคับให้พระองค์อยู่ทรงงานที่คานาเดีย จนกว่าจะได้ที่อยู่แน่ชัดของ

มิคาเอลล่ะก็ พระองค์ก็คงจะไปติดตามมิคาเอลด้วยตัวของพระองค์เอง และป่านนี้พระองค์ก็คงจะได้มิคาเอลกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์เสียนานแล้ว เป็นเพราะความโง่เง่าของเจ้าแมททิวที่ไร้ความสามารถแท้ๆ แค่คนๆ เดียวก็ยังพากลับมาหาพระองค์ไม่ได้

 

พระองค์แทบไม่มีสมาธิจะทำอะไร ในตอนนี้ทั้งหัวใจของพระองค์ล่วงหน้าไปที่แอฟริกาเสียแล้ว อีเมล์หลายต่อหลายฉบับถูกพระองค์ละเลย หรือพูดให้ถูกคือพระองค์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของพระองค์ในตอนนี้คือ มิคาเอลเท่านั้น พระองค์ไม่มีเวลามาใส่ใจว่าพวกองครักษ์เอาบัตรแพลตตินัมของพระองค์ไปใช้เท่าไหร่ หรือต่อให้พระองค์จะต้องสูญเสียทุกอย่าง ทั้งเงินทอง เกียรติยศ ฐานันดรที่พระองค์มี เพื่อแลกกับการได้คนตัวเล็กกลับมา พระองค์ก็ยอม

 

จดหมายหลายฉบับจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานสงเคราะห์คนยากจน และ โรงเรียนต่างๆ ส่งมาหาพระองค์แต่ก็อีกครั้งที่พระองค์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ แต่สายตาของพระองค์ก็มาสะดุดมาที่โพสต์การ์ดใบหนึ่ง ที่ถูกวาดด้วยดินสอ ภาพที่วาดก็เป็นเพียงภาพวาดแบบเด็กๆ แต่พระองค์กลับสนใจคำๆ หนึ่ง “มูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย” ในโพสต์การ์ดเขียนเพียงว่า “ขอบคุณสำหรับโรงเรียนใหม่ของหนู พวกเรารักมูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย” โพสต์การ์ดถูกส่งมาจากประเทศคองโกในแอฟริกา

 

พระองค์รีบเรียกอาร์ชี่เข้ามา

“เรามีมูลนิธิชื่อ ทูตสวรรค์คานาเดีย หรือเปล่า”ทรงถามสั้นๆ และรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ

“เท่าที่กระหม่อมทราบ ไม่มีนะขอรับ” อาร์ชี่ตอบ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

“ขอบใจ” ทรงตรัส ก่อนจะเริ่มเปิดจดหมายออกอ่านทีละฉบับ

 

จดหมายแต่ละฉบับเป็นจดหมายขอบคุณจากสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ สถานสงเคราะห์คนยากจน ทุกฉบับล้วนขอบคุณในความน้ำใจงาม และใจกว้างของมูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย ที่เข้ามาช่วยเหลือจนทำให้สถานที่เหล่านั้นพ้นวิกฤต และยังคงสภาพอยู่ได้

 

พระองค์กดเช็คอีเมล์ ตรวจเช็คในรายงานของบัตรเครดิตที่พระองค์มอบให้แก่มิคาเอล หลายเดือนที่ผ่านมาเงินจำนวน 2 ล้านถูกใช้ออกไป แต่เงินทั้งหมดกลับถูกบริจาคให้แก่สถานที่ต่างๆ ที่ส่งจดหมายขอบคุณมาให้พระองค์ โดยที่คนตัวเล็ก ไม่เคยแตะเงินของพระองค์ในการส่วนตัวเลย จดหมายฉบับหนึ่งยังระบุว่าโรงเรียนแห่งใหม่กำลังจะเปิดใช้ในอีก 2 วันข้างหน้า และพระองค์ก็มั่นใจด้วยว่ามิคาเอลจะต้องอยู่ที่โรงเรียนนั้น

 

“เสด็จพี่” องค์นาธานเนียลเดินเข้ามาในห้องทรงงาน แปลกใจที่เห็นองค์เดเมี่ยนยิ้มออกมา

“ว่าอย่างไร” องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างอารมณ์ดี

“มีอะไรน่ายินดีหรือครับ” องค์นาธานเนียลตรัสถาม

“เราได้เบาะแสสำคัญของมิคาเอล” องค์เดเมี่ยนตรัสเรียบๆ

“ผมก็มีของขวัญจะให้พระองค์” องค์นาธานเนียลกล่าวยิ้มๆ เรียกชายหนุ่มอีกคนเข้ามา ชายคนนั้นทำความเคารพองค์เดเมี่ยนอย่างนอบน้อม

“นี่คืออลัน เขาเป็นคนออกแบบและทำแหวนให้กับมิคาเอล”

องค์นาธานเนียลกล่าว

“เราไม่ต้องการสนม เราต้องการมิคาเอลกลับมาเท่านั้น” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฟังก่อนสิครับ” องค์นาธานเนียลติง และบอกให้อลันอธิบาย

“คือแหวนที่ผ... กระหม่อม ...” อลันพูดอย่างติดขัดด้วยความประหม่า

“พูดธรรมดาก็ได้ ว่ามา” องค์เดเมี่ยนตรัสอย่างตัดรำคาญ

 

“คือแหวนวงนั้น ผมออกแบบให้มันพิเศษกว่าวงอื่นครับ เพราะผมคิดว่าองค์เดเมี่ยนน่าจะทรงรัก และเป็นห่วงพระสนมมาก ผมก็เลยแอบออกแบบฟังชั่นพิเศษลงไป” อลันกล่าว

“อย่าอ้อมค้อมได้ไหม พูดออกมาได้แล้ว” ทรงเร่ง

“แหวนวงนั้นนอกจากจะเป็นเครื่องประดับแล้ว ยังเป็น GPS ด้วยครับ ผมดัดแปลงให้มันดูเหมือนอัญมณีชิ้นหนึ่ง และประดับมันลงไปที่แหวน ถึงจะเล็กแต่ประสิทธิภาพกลับทำได้ยอดเยี่ยมดีมากครับ” อลันกล่าวมาถึงตรงนี้องค์เดเมี่ยนก็นั่งไม่ติดอีก ลุกขึ้นมา กระชากคอเสื้อของอลันพร้อมตะคอกใส่

“มิคาเอลอยู่ที่ไหน” ทรงถามเสียงดัง

“ผมไม่ทราบครับ ผมมิบังอาจสอดรู้ แต่ผมจะติดตั้งให้พระองค์ และสอนวิธีใช้ให้ครับ ผมขอยืมโทรศัพท์มือถือด้วยครับ” อลันรีบบอก หวาดกลัวเจ้าชายเดเมี่ยนเหลือเกิน หากทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ก็อาจจะเสี่ยงโดนขังลืมได้ง่ายๆ

 

องค์เดเมี่ยนส่งโทรศัพท์มือถือของพระองค์ให้แก่อลัน อลันก็เอาไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น แทรกเกอร์มาใส่ไว้ในเครื่อง จากนั้นก็เข้าไปตั้งค่าต่างๆ แล้วจึงส่งโทรศัพท์คืนให้แก่พระองค์

 

“หากพระองค์ต้องการรู้ที่อยู่ของพระสนมมิคาเอล พระองค์ก็แค่กดที่ find location ตัว GPS ก็จะส่งสัญญานกลับมาและบอกตำแหน่งของพระสนมครับ” อลันกล่าวอธิบาย เมื่อพระองค์เช็คตำแหน่งดูก็พบว่าการคาดเดาของพระองค์เป็นไปอย่างถูกต้อง คนตัวเล็กอยู่ที่คองโกจริงๆ

 

องค์เดเมี่ยนมองไปที่องค์นาธานเนียลเป็นเชิงขออนุญาต

“เราจะไปตามมิคาเอลกลับมา” ทรงตรัส

“ไปเถอะครับ ผมจะดูแลทางนี้เอง” องค์นาธานเนียลกล่าว ยินดีที่อย่างน้อยพระองค์ก็ทำประโยชน์ให้กับเสด็จพี่เดเมี่ยนได้บ้าง

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 61 เหมาะสมและคู่ควร
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 15-09-2016 06:34:57


 

บทที่ 61 เหมาะสมและคู่ควร

 

ย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน แม้ไมเคิลจะพยายามตัดใจแต่เขาก็ยังทำใจไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจึงเอาแต่ทำงานและหนีความเป็นจริง พยายามกด และเก็บความรู้สึกปวดร้าวภายในเอาไว้ และไม่ยอมแสดงออกมาให้ใครเห็น แต่เขาก็เจ็บเหลือเกิน และเจ็บจนทนแทบไม่ได้ และตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ บนสะพานตามลำพังและจ้องมองลงไปในน้ำเบื้องล่าง ที่ไหลเชี่ยวอย่างน่ากลัว

 

“น้ำมันเย็นนะโยม” เสียงหนึ่งดังขึ้น มิคาเอลจึงหลุดออกจากภวังค์ เขารีบปาดน้ำตา และหันมาหาต้นเสียง และเขาก็มาเห็นพระรูปหนึ่ง ยืนมองเขาอยู่ ไมเคิลเคยอ่านเกี่ยวกับศาสนาพุทธมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร และเป็นครั้งแรกที่เขามาเจอกับพระแบบนี้ ทำให้เขาแปลกใจ และทำตัวไม่ถูก

 

“คิดดีแล้วเหรอโยม” เสียงหลวงพ่อกล่าว

“ผมไม่ได้คิดอะไรครับ” ไมเคิลปฏิเสธ

“อาตมาเห็นโยมยืนอยู่ตรงนี้มานานแล้ว และเอาแต่มองลงไปในน้ำ อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตของโยมเถอะ อย่าคิดสั้น คิดให้ยาวๆ” หลวงพ่อกล่าว

“ผม…”

“เดินเป็นเพื่อนไปส่งอาตมาที่วัดหน่อยสิ ไม่ไกลหรอก” เสียงหลวงพ่อกล่าว เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไป

“ยังไงที่ตรงนี้ก็ไม่หายไปไหน ไปส่งอาตมาแล้ว ค่อยกลับมาก็ได้”

“ก็ได้ครับ” มิคาเอลตอบตกลง หลวงพ่อส่งย่ามให้ไมเคิลถือ ไมเคิลจึงรับมาแบบงงๆ ภายในมีอาหารกระป๋องและอาหารหลายอย่าง

“โยมอายุเท่าไหร่แล้ว” หลวงพ่อถาม ไมเคิลไม่เข้าใจว่าทำไมพระรูปนี้ถึงได้ถามเขา แต่เขาก็ตอบไป

“31 ครับ”

“อยู่มาตั้ง 31 ปีแล้ว อาตมาว่ามันน่าเสียดาย”

“นี่มันชีวิตของผม ผมจะทำอะไรมันก็เป็นสิทธิของผม”

“มันก็ใช่ แล้วโยมไม่สงสาร คนที่โยมทิ้งไว้ข้างหลังบ้างเหรอ ในเมื่อชีวิตเป็นของโยม ทำไมโยมปล่อยให้คนอื่นเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของโยมล่ะ โยมควรจะเป็นคนที่กำหนดชีวิตของโยมเองไม่ใช่เหรอ”

“ผมเจ็บครับ ทรมาน คนที่ผมรัก ทรยศต่อความรักของผม” มิคาเอลสารภาพ

“ไม่มีใครรักเรา เท่าที่เรารักตัวของตัวเองหรอก หากตัวเองยังไม่รัก แล้วผู้หญิงคนไหนจะมารักโยมได้” หลวงพ่อกล่าว ไมเคิลยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นอีก แต่ก็อยากระบายออกมา

 

“ผมเป็นเกย์ครับ คนรักของผมเป็นผู้ชาย ผมคงเป็นคนที่น่ารังเกียจในสายตาของคุณ” มิคาเอลกล่าวอย่างเจ็บปวด ทุกครั้งที่เขาสารภาพบาปต่อบาทหลวง เขามักถูกสั่งสอนว่าสิ่งที่เขาเป็นมันผิดมากขนาดไหน

“เกย์ก็คนไม่ใช่เหรอ แล้วมันแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน หากเป็นคนดี ทำดี อาตมาว่าความดีมันไม่มีเพศหรอกโยม” หลวงพ่อกล่าว เป็นไมเคิลที่แปลกใจที่ได้ยิน ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน

“โยมก็ดูจะเป็นคนดี อาตมาจึงบอกว่า มันน่าเสียดาย” หลวงพ่อกล่าว เดินมาหยุดต่อหน้าคนไร้บ้านคนหนึ่ง และกล่าวทักทาย

 

“โยมเป็นอย่างไรบ้าง”

“ผมสบายดี พระสบายดีเหรอ” คนจรจัดถามอย่างคุ้นเคย การอยู่ต่างประเทศทำให้หลวงพ่อชินกับการถูกเรียกห้วนๆ แต่ก็ไม่เคยถือโทษโกรธอะไร เพราะคนที่เรียกก็เรียกขานด้วยความสนิทสนม ไม่ใช่เป็นการไม่เคารพแต่อย่างใด

“อาตมาสบายดี” พลวงพ่อ ควักมือเรียกไมเคิลเข้ามาใกล้

“แบ่งอาหารให้โยมคนนี้หน่อยสิ โยมตัวเล็ก” หลวงพ่อกล่าว

“ผมชื่อไมเคิลครับ” ไมเคิลกล่าว หน้าแดงที่ถูกเรียกแบบนั้น หยิบอาหารกระป๋องส่งให้คนไร้บ้านอย่างไม่เข้าใจ

“ขอบคุณมากนะพระ” คนไร้บ้านกล่าว

“ถ้าไม่อิ่มก็ไปหาอาตมาที่วัดล่ะกัน” หลวงพ่อกล่าวยิ้มๆ และเดินต่อ และหยุดมอบอาหารให้คนไร้บ้านเป็นระยะ จนอาหารในย่าม เหลือเพียงพอสำหรับสองคน หลวงพ่อจึงเดินกลับวัด

“เข้ามาสิโยม” หลวงพ่อเรียกเมื่อมิคาเอลหยุดยืนอยู่หน้าประตู

“ผม…”

“อาตมาจะเลี้ยงอาหารขอบคุณที่โยมช่วยอาตมาทำความดี” หลวงพ่อกล่าว ไมเคิลจึงปฏิเสธไม่ลง เดินเข้าไปภายในวัดที่เป็นคล้ายๆ บ้าน

“ทำไมถึงเอาอาหารตั้งเยอะไปแจกหมดล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“อาตมาอยู่คนเดียว ฉันท์เพียงวันละมื้อ จะเก็บอาหารไว้ทำไมมากมาย อาตมาโชคดีกว่าคนเหล่านั้น อาตมามี อาตมาก็แบ่งปันให้” หลวงพ่อกล่าว

“แล้วคุณจะได้อะไรล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ความสบายใจ ความสุขใจ ยังไงล่ะโยม คนเหล่านั้นลำบาก ของเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขามีความสุข มีกำลังจะต่อสู้ต่อไป อย่างน้อยแม้จะลำบาก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้” หลวงพ่อกล่าวยิ้มๆ จนไมเคิลรู้สึกผิด แต่ก็เก็บคำพูดไว้และคิดตาม

 

“โยมดูก็ไม่ได้ลำบาก โยมยังโชคดีกว่าคนทั่วไปอีกหลายต่อหลายคน คนพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ แล้วโยมจะยอมแพ้ได้อย่างไร มองคนที่แย่กว่าเรา เพื่อให้เรามีกำลังใจ พวกเขายังสู้ไหว ทำไมเราจะสู้ไม่ไหว จริงไหมโยม” หลวงพ่อกล่าว และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” ไมเคิลกล่าวขอบคุณและลากลับ เขารู้สึกว่าเขาโชคดีมากที่มีโอกาสมาเจอกับคนๆ นี้ คนที่จะเปลี่ยนทัศนะการคิด และการใช้ชีวิตของเขาตลอดไป

 

จริงอย่างที่พระได้กล่าวเอาไว้ เขาเป็นคนที่โชคดี และมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากเขาเอาแต่คิดจะฆ่าตัวตาย ในขณะที่มีคนมากมายที่ลำบากมากกว่า เจ็บปวดทรมานมากกว่า พวกเขายังคงต่อสู้ แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้ มิคาเอลเริ่มค้นหาสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างน้อย องค์เดเมี่ยนบอกกับเขาว่า ถ้าลำบากก็ให้เอาบัตรของพระองค์ออกมาใช้ เขาอาจจะไม่ได้ลำบาก แต่มีคนจำนวนมากที่ลำบากกว่าเขา และเขาก็จะเอาเงินนั้นมาช่วยเหลือคนเหล่านั้น

 

ไมเคิลไม่ต้องการใช้ชื่อของเขาในการบริจาคเงิน แต่จะใช้ชื่อขององค์เดเมี่ยนก็ดูจะโจ่งแจ้งเกินไป จึงใช้ชื่อว่า มูลนิธิทูตสวรรค์คานาเดีย แทน เขาไม่ได้ให้ที่อยู่ แต่บัตรนั้นผูกที่อยู่เอาไว้กับองค์เดเมี่ยน ทำให้สถานที่ๆ เขาบริจาคเงินไป ส่งจดหมายไปขอบคุณที่วังนั่นเอง

 

ไมเคิลได้รับงานให้ไปถ่ายรูปสัตว์ป่าในเคนย่าพอดี เขาจึงตัดสินใจจะไปที่คองโกต่อเพื่อไปเยี่ยมเด็กๆ ที่เขาได้บริจาคเงินไปเพื่อสร้างโรงเรียนหลังใหม่ แทนอาคารเรียนที่ดูเก่าและกำลังจะพังลงมาได้ทุกขณะ

 

หากฟินแลนด์และนอร์เวย์หนาวเกินไป คองโกก็ร้อนเกินไปเช่นกัน ทั้งความหนาวและความร้อน ล้วนทำให้ไมเคิลรู้สึกปวดหัวขึ้นมา จนกลายเป็นว่าเขาต้องพบยาแก้ปวดเอาไว้ และต้องกินมันเพื่อระงับอาการปวดหลายต่อหลายครั้ง ไมเคิลมีอาการเครียดร่วมด้วยอาการปวดหัวจึงไม่หายไปเสียที

 

แต่ในวันนี้เขาจะเล่นกับพวกเด็กๆ ให้หายเครียดทีเดียว ไมเคิลเช่ารถ ซื้อของเล่น ขนม และอุปการณ์การเรียนมาจนเต็มคันรถ ทันทีที่รถเข้ามาจอด พวกเด็กๆ ก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด จนครูต้องออกมาห้าม และกันเด็กๆ ออกไป แต่มิคาเอลไม่ได้โกรธกลับรู้สึกเป็นสุขที่เห็นพวกเด็กๆ ต่างตื่นเต้นกับของเล่น และขนมต่างๆ ที่เขาเอามาให้ จนไมเคิลเอาแต่ยิ้มไม่หยุด เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขายิ้มได้มากขนาดนี้ เด็กๆ ล้วนหัวเราะชอบใจ และพยายามเข้ามากอดเขา บางคนแค่เพียงอยากจะมาสัมผัสมือของเขา มิคาเอลถูกห้อมล้อมไปด้วยเด็กๆ จนเขาไปไหนไม่ได้

 

ในขณะที่มิคาเอลหัวเราะและยิ้มอย่างมีความสุขอยู่นั้น สายตาของเขาก็หันไปเห็นร่างอันคุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาใกล้ มิคาเอลแทบไม่อยากเชื่อสายตากับภาพตรงหน้า

 

องค์เดเมี่ยนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่องครักษ์เรียกเด็กๆ ให้ไปรับขนม ที่องค์เดเมี่ยนสั่งให้เตรียมมาแจก เด็กๆ ต่างกรูกันไป ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนและมิคาเอลอยู่กันโดยลำพัง

 

สายตาของคนทั้งคู่สบกันเนิ่นนาน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา

“พระองค์มาทำอะไรที่นี่”

มิคาเอลถามขึ้น เขารู้สึกว่าเสียงของเขาแผ่วเบาเหลือเกิน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา

“เรามาตามคำเชิญของครูใหญ่”

ทรงตรัส มิคาเอลได้ยินก็หันหลังกลับและเดินหนี แต่พระองค์ก็รั้งเอาไว้

“ปล่อยผม! อย่ามาแตะต้องตัวผม”

 มิคาเอลกล่าว พยายามจะแกะคีมเหล็กที่จับเขาอยู่ออก แต่ก็ไม่เป็นผล

“อย่าไป อย่าหนีเราไปไหนอีกเลย” องค์เดเมี่ยนกล่าวอ้อนวอน

“พระองค์ต้องการอะไรจากผม ผมต้องทำอย่างไร พระองค์ถึงจะปล่อยผมไป” มิคาเอลถามทั้งน้ำตา

“เราอยากให้เจ้าฟังเราอธิบายก่อน เรารู้ว่าเราให้อิสระแก่เจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะไปจากเรา แต่อย่างน้อย เราขอเวลา 5 นาที ให้เราได้อธิบายกับสิ่งที่เราได้กระทำลงไป” พระองค์ตรัส

“ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ผม… ไม่ได้รักพระองค์อีกแล้ว ผมมีคนรักใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นได้โปรดปล่อยผมไป” มิคาเอลกล่าว

“เจ้ายังใส่แหวนของเราอยู่” ทรงตรัส มิคาเอลจึงถอดมันออกและโยนคืนให้พระองค์ไป

 

“เอาของพระองค์คืนไป” มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนรับมาถือไว้

“พระองค์ต้องการอะไรจากผมอีก” มิคาเอลถาม

“เรารักรักเจ้า” ทรงตรัส มิคาเอลหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“เมื่อไหร่พระองค์จะเลิกพูดจาหลอกลวงผมสักที พระองค์ยังโกหกผมไม่พออีกหรือครับ แค่นี้ผมยังเจ็บไม่พออีกหรือครับ พระองค์จะรักผมได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์เองก็ยังใส่แหวนของคุณเดสเซเร่อยู่ คนที่พระองค์รักไม่ใช่ผม แต่เป็นเธอต่างหาก” มิคาเอลถามกลับ พูดกับพระองค์เหมือนเป็นการบอกกับตัวเขาเอง

 

แต่องค์เดเมี่ยนกลับแปลกใจเมื่อมิคาเอลพูดถึงแหวน พระองค์ก้มมองที่แหวนที่พระองค์สวมที่นิ้วก้อย แหวนที่พระองค์สวมไว้ไม่เคยถอดออก

“แหวนวงนี้…” องค์เดเมี่ยนกล่าว

“เป็นแหวนแทนใจจากคุณเดสเซเร่” มิคาเอลต่อให้

“เป็นแหวนของพระมารดาของเรา” ทรงตรัสพร้อมๆ กับมิคาเอล มิคาเอล

กลับแปลกใจแต่ก็คิดว่าพระองค์ยังโกหกอยู่

“ผมไม่เชื่อ” มิคาเอลปฏิเสธ

“ในวันที่เกิดเรื่องเราถูกวางยา เราทำไปโดยไม่มีสติ และคนที่เรารักในตอนนี้ และนับจากนี้ไป ไม่ใช่เดสเซเร่ เรา รัก เจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสเรียบๆ

“ผมไม่เชื่อ พระองค์โกหก” มิคาเอลกล่าว พระองค์ปล่อยมือ และถอยออกมา แต่สายตาของพระองค์ยังคงจับจ้องมิคาเอลอยู่ ราวกับว่าหากคาดสายตาไป คนตัวเล็กจะหายไปอีก

 

องครักษ์สองคนหิ้วปีกชายคนหนึ่งที่ถูกจับมัดไว้ออกมา นอกจากถูกมัดแล้วยังถูกผ้าคลุมศรีษะไม่ให้มองเห็นอีกด้วย ชายคนนั้นพยายามขัดขืน และส่งเสียงอู้อี้อยู่ภายใต้ผ้า องครักษ์พาชายคนนั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าองค์เดเมี่ยน พระองค์จึงเปิดถุงผ้าออก

 

แสงจ้าทำให้ชายคนนั้นต้องหลับตา แต่ก็ยังส่งเสียงอู้อี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อผ้าเปิดออกมิคาเอลจึงเห็นว่าชายคนนั้นคือเอริค องค์เดเมี่ยนดึงเทปที่ปิดปากของเอริคออกอย่างแรง จนคนถูกมัดต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

 

เอริคทำงานอยู่ในโรงบ่มไวน์ตามปกติ แต่อยู่ดีๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่นับสิบคนเดินบุกเข้ามาในออฟฟิตของเขา เขาตกใจที่เห็นและยิ่งตกใจเมื่อรู้ว่าคนที่เดินปิดท้ายเข้ามา เป็นเพื่อนจอมซาดิสม์ของเขานั่นเอง และเดเมี่ยนก็ไม่พูดอะไรมาก ออกคำสั่งทันที

“จับตัวไว้”

ทรงตรัสและเขาก็ถูกจับมัดปิดปากปิดตา จนกระทั่งในตอนนี้ เมื่อปากเป็นอิสระ เอริคก็ด่าทอเดเมี่ยนเป็นการใหญ่

 

“เดเมี่ยน ไอ้เพื่อนโรคจิต ไอ้โหด ไอ้ซาดิสต์ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ที่นี่ที่ไหน” เอริคโวยวาย แล้วก็เหมือนคิดขึ้นได้ หันไปมองรอบๆ ตัวกับสถานที่ๆ ไม่คุ้นตา

“หุบปากซะ เอริค ถ้าเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เราจะปล่อยให้เจ้ากลายเป็นอาหารสิงโตอยู่ที่แอฟริกานี่” ทรงตรัส

“พระองค์ทำอะไร ปล่อยคุณเอริคนะครับ”

 มิคาเอลตั้งสติได้จึงถามขึ้นและเดินเข้ามาหา เอริคแปลกใจที่มิคาเอลเข้าข้างเขา ทั้งๆ ที่เขาทำไม่ดีเอาไว้

“พูดความจริงออกมาเอริค แก้ไขในสิ่งที่เจ้าได้กระทำ” ทรงตรัส มิคาเอลเข้าไปห้าม

“ฝ่าบาท ทรงปล่อยคุณเอริคเถอะครับ ผมขอร้อง” มิคาเอลเข้าไปเกาะแขน ขอร้องพระองค์ องค์เดเมี่ยนจึงพยักหน้าให้องครักษ์ตัดเชือกออก เอริคจึงเป็นอิสระ

“ขอบคุณมิคาเอล” เอริคกล่าว มองไปทางเดเมี่ยนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

“ความจริง เอริค”

ทรงตรัสเสียงดุ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เอริคไม่มีทางเลือกมากนัก จึงสารภาพความจริงทั้งหมดกับมิคาเอล

 

“คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผมเอง ผมเป็นคนเอาไวน์ใส่ยาให้กับสนมของเดเมี่ยนเอง คนที่ได้รับยาเข้าไปก็จะไม่มีสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เดเมี่ยนทำทุกอย่างลงไปเพราะฤทธิ์ของยา แล้วผมก็ไปพูดใส่ไฟกับคุณ ทำให้คุณระแวงเดเมี่ยน ผมโกหกเรื่องแหวน ทั้งหมดเป็นการจัดฉากของผมเอง เดเมี่ยนมันรักคุณจริงๆ” เอริคกล่าว

 

มิคาเอลรับฟังและยิ้มให้เอริค ก่อนจะก้าวเข้ามาหาเอริคช้าๆ ด้วยใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา ก่อนจะต่อยหน้าเอริคจนล้มคว่ำลงกับพื้น มีองค์เดเมี่ยนยืนมองและหัวเราะอย่างชอบใจกับภาพที่เห็น องครักษ์ที่อยู่โดยรอบต่างหันหน้ามองกันและเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา

 

 

องค์เดเมี่ยนและพระสนมมิคาเอลช่างเหมาะสมและคู่ควรกันอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 62 วงกลมอันเป็นนิรันดร์
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 15-09-2016 06:37:02


 

บทที่ 62 วงกลมอันเป็นนิรันดร์

 

เอริคค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ คิดในใจว่า เขาจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งกับคนสองคนนี้อีกแล้ว เดเมี่ยนนั้นเขารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้โหดขนาดไหน แต่มิคาเอลต่างหากที่ทำให้เขาประหลาดใจ มิคาเอลตัวเล็กกว่าเขา หน้าตาก็ออกจะสวยหวานออกขนาดนั้น ไม่คิดว่าจะแปลงร่างเป็นแกลมลิน และโหดได้ไม่ต่างกับเดเมี่ยนแบบนี้ แถมพอต่อยเขาเสร็จ มิคาเอลก็เดินหนีไปเลย ทำให้เดเมี่ยนต้องรีบเดินตามไป

 

“มิคาเอล หยุดก่อน” องค์เดเมี่ยนร้องเรียก

“พระองค์ต้องการอะไรจากผม” มิคาเอลหันมาถาม

“เราขอโทษ เราเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เจ้าจะใจร้ายไม่ยอมยกโทษให้เราเชียวหรือ” ทรงถาม

“แล้วยังไงครับ คุณเอริคอาจจะเป็นคนจัดฉากในตอนนั้น แต่พระองค์ก็ยังมีสนมอีกไม่รู้ตั้งไม่รู้กี่คน ขาดผมไปเสียคน พระองค์ก็คงไม่เดือดร้อน”

มิคาเอลกล่าวพยายามจะเดินไปขึ้นรถ แต่องค์เดเมี่ยนก็ขวางเอาไว้

“เราไม่มีใคร เราไม่ต้องการใคร เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส

“เดี๋ยวพระองค์กลับไป พระองค์ก็คงจะเรียกพระสนมมาปรนนิบัตรพระองค์บนเตียงอีกอยู่ดี ผมบอกพระองค์แล้วไงครับ ว่าผมกับพระองค์ต่างกันมากเกินไป ผมทนรับกับความมากรักของพระองค์ไม่ได้ ผมถึงได้จากมา ปล่อยผมไปเถอะครับ อย่าทรงทรมานผมอีกเลย” มิคาเอลขอต่อพระองค์

“เจ้ายังรักเราอยู่บ้างหรือเปล่ามิคาเอล ในใจของเจ้ายังมีเราอยู่ในนั้นบ้างไหม หากเจ้ายังจะพอมีที่ให้เราอยู่บ้าง เราก็ขอร้อง ขอให้เจ้าให้โอกาสเราอีกสักครั้ง” ทรงขอร้อง

“ผมไม่มีโอกาสอะไรจะให้พระองค์ เรื่องระหว่างเรามันจบลงแล้ว ปล่อยผมไปเถอะครับ” มิคาเอลตอบ

“เราปลดปล่อยสนมทั้งหมดที่เรามีไปหมดแล้ว เราไม่มีใครอีกแล้ว และเราก็ไม่ต้องการใครอีก เราต้องการเพียงเจ้า รักเพียงแค่เจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส +มิคาเอลไม่อยากจะเชื่อ

 

“หากไม่เชื่อก็กลับไปดูด้วยตาของเจ้า เราพูดความจริง ไม่ได้โกหก เราเสียใจ” ทรงตรัส รั้งคนตัวเล็กเข้ากอด มิคาเอลร้องไห้ออกมา พยายามจะผลักองค์เดเมี่ยนออก มือเล็กๆ ทุบที่อกของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยิ่งกอดแนบแน่นขึ้น

“ยกโทษให้เราเถอะ อย่าไปจากเราอีกเลย” ทรงตรัส

และจูบซับน้ำตาของมิคาเอล

“ผมเกลียดพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าว ร้องไห้ และกอดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้าคิดถึงคนๆ นี้

“เรารู้ เราขอโทษ เจ้าจะทำโทษเราอย่างไรก็ได้ เรายอมเจ้าทุกอย่าง อย่าไปจากเราอีกเลย” ทรงตรัสกอดร่างเล็กแนบหัวใจของพระองค์

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส

“ผม... ก็รักพระองค์ครับ”

 

แม้จะอยากปฏิเสธ อยากจะหนีไปจากคนๆ นี้แต่หัวใจของเขากลับเรียกร้อง ถวิลหาและยอมศิโรราบต่อคนๆ นี้อย่างหมดหัวใจ มิคาเอลตอบรับ องค์เดเมี่ยนจึงยิ้มออกมา ทรงถอดแหวนของพระมารดาออกมาจากนิ้ว แหวนทำจากทองคำขาว มีลวดลายสลักสวยงามเชื่อมต่อกันทั้งวงโดยไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด ต่อเนื่องเป็นวงกลมอันเป็นนิรันดร์ แสดงถึงความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบชั่วนิรันดร พระองค์คลายอ้อมกอด และถอยออกมา ก่อนจะทรงคุกเข่าลงต่อหน้ามิคาเอล

 

“เราอยากจะพาเจ้าไป ในที่ที่โรแมนติกกว่าที่ตรงนี้ แต่เราใจร้อน และเราก็รอเวลานี้มานานเหลือเกิน เราอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า เราอยากให้เจ้าเป็นของเราคนเดียวตลอดไป ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเรา” องค์เดเมี่ยนหยิบแหวนขึ้นมา มิคาเอลก็ตกใจ น้ำตายิ่งไหลออกมาอีก

“มิคาเอล มิลลส์ เจ้าจะเป็นชายาของเราได้ไหม”

 

ทรงตรัสถามคำถาม มิคาเอลตกใจ และดีใจที่ได้ยิน เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อย่างองค์เดเมี่ยน จะทรงคุกเข่าลงต่อหน้าและขอให้เขาเป็นชายาแบบนี้ มิคาเอลคุกเข่าลงไปกอดพระองค์ไว้ร้องไห้ออกมา พยักหน้าตอบรับ พระองค์สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของคนตัวเล็ก กอดมิคาเอลไว้เนิ่นนาน พระองค์ดีใจเหลือเกินที่พระองค์ได้พบกับมิคาเอล ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์เฝ้าทนทุกข์ทรมาน จนกระทั่งคนๆ นี้เดินเข้ามาในชีวิตของพระองค์ เหมือนกับว่าพระองค์เฝ้ารอคนๆ นี้ มาตลอดชีวิต คนที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป และพระองค์จะไม่มีวันปล่อยมือจากคนๆ นี้อีกอย่างแน่นอน

 

“เจ้าหนีเที่ยวมานานแล้ว กลับบ้านของเรากันเถอะ กลับคานาเดียกันเถอะนะ” ทรงตรัสถาม มิคาเอลพยักหน้าตอบรับ กอดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าจะเสียพระองค์ไปอีก สำหรับมิคาเอล เขาได้ถึงบ้านแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงอยู่ในอ้อมกอดนี้ ก็เพียงพอแล้ว อ้อมกอดนี้เป็นดั่งบ้านของเขา เป็นที่ๆ ให้ความอบอุ่น ปลอดภัย และมอบความรักมากมายให้กับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการในชีวิต ล้วนอยู่ในตัวของคนตรงหน้า เพียงมีคนๆ นี้ เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

 

“ผมถึงบ้านแล้วครับ”

 

มิคาเอลกล่าวกับอก พระองค์ยิ้มรับ จุมพิตหน้าผากอย่างแผ่วเบา พระองค์ช้อนร่างของมิคาเอลขึ้น ร่างของทั้งสองเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมดแต่ทั้งคู่ ก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ต่างอิงแอบในอ้อมอกของกันและกัน อย่างโหยหา ความรัก ความคิดถึง ที่ห่างหายจากกันเนิ่นนานหลายเดือน ในตอนนี้คนที่รักที่สุด คิดถึงที่สุด ห่วงใยที่สุด ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดแล้ว

 

คณะขององค์เดเมี่ยนเดินทางกลับมาที่ กินชาซาซึ่งเป็นเมืองหลวงของคองโก และตัดสินใจพักที่โรงแรมในกินชาซาก่อนจะเดินทางกลับคานาเดียในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากอากาศที่ค่อนข้างร้อน ทำให้ว่าที่พระชายามิคาเอลมีอาการไม่สบายขึ้นมา

 

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

องค์เดเมี่ยนถามหลังจากที่มิคาเอลทานยาไปได้ไม่นาน

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ไม่ชินกับอากาศเท่าไหร่ ดูเหมือนผมจะทนหนาวได้ดีกว่าร้อน” มิคาเอลกล่าว นอนอยู่บนเตียงนอนใหญ่

ในห้องสวีทของโรงแรมระดับห้าดาว

“เจ้าอยากอาบน้ำไหม เราจะเตรียมน้ำให้เผื่อเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น” ทรงเสนอ

“อาบฝักบัวก็ได้ครับ” มิคาเอลกล่าว

“งั้นเราจะอาบเป็นเพื่อน” ทรงตรัสยิ้มๆ

 

จนมิคาเอลหน้าแดงด้วยรู้ดีว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่กระนั้นมิคาเอลก็ไม่คิดจะขัดขืน หลายเดือนที่ผ่านมาเขาเอาแต่เฝ้าคิดถึงองค์เดเมี่ยน ในตอนนี้ที่พระองค์มาอยู่ตรงหน้า เขาเองก็ปรารถนาพระองค์เช่นกัน

 

หลังจากอาบน้ำเสร็จองค์เดเมี่ยนก็อุ้มมิคาเอลที่เปลือยเปล่ากลับมาที่เตียงอีกครั้ง พระองค์วางมิคาเอลลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กด้วยความคิดถึง

“เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัส

ร่างของพระองค์กำลังตื่นตัว มิคาเอลเห็นก็หน้าแดง

“ร่างกายของเราก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” ทรงกระซิบที่ข้างหู

พร้อมกับขบเม้มที่ติ่งหูเบาๆ จนมิคาเอลเสียวสะท้านไปหมด

“ไหนใครบอกว่าเป็นห่วงที่ผมปวดหัว” มิคาเอลย้อนถาม

พยายามจะผลักร่างของพระองค์ออก

“ก็ห่วงไง เจ้าไม่รู้เหรอว่าการร่วมรัก ช่วยลดอาการปวดหัวได้นะ”

ทรงตรัสด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“คนบ้ากาม” มิคาเอลต่อว่า

“เรารักเจ้าต่างหาก และเจ้าก็น่ารักไปทั้งตัวแบบนี้” พระองค์ตรัส

มือของพระองค์ก็เริ่มลูบไล้ไปที่หน้าอกของมิคาเอล หยอกเย้าจนทัมทิมเม็ดงามแข็งเป็นไต ยั่วยวน จนพระองค์ต้องก้มลงครอบครองยอดอกนั้นช้าๆ ดูดกลืนอย่างหิวกระหาย จนมิคาเอลครางออกมา

 

“เจ้างดงามยิ่งกว่าใคร มิคาเอล” ทรงกระซิบบอก

เลื่อนมือลงต่ำสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวด้านล่าง มิคาเอลก็ครางเบาๆ ออกมาอย่างพอใจ พระองค์ใช้มือใหญ่ลูบไล้ขยับขึ้นลงช้าๆ

“เจ้าบอกว่าเจ้ามีคนรักใหม่แล้ว อย่างนั้นเหรอ” ทรงถาม

หยุดสัมผัสเมื่อคนตัวเล็กตื่นตัวเต็มที่

“ฝ่าบาท ได้โปรด”

มิคาเอลอ้อนวอน ความปรารถนากำลังเข้าครอบงำ

“ตอบเรามาก่อน ว่าคนรักใหม่ของเจ้าเป็นใคร”

ทรงตรัสถามและลุกขึ้นยืนไม่ยอมแตะต้องมิคาเอลอีก จนมิคาเอลต้องลุกขึ้นจากเตียง คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ก่อนจะเอื้อมมือเรียวเล็กมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ และค่อยๆ แลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียอย่างแผ่วเบาที่ปลายยอด ลิ้นเล็กตวัดวนรอบส่วนหัว ปลุกเร้าพระองค์จนหยดน้ำสีใส ค่อยๆ ผุดซึมออกมา

“เจ้าคิดหรือว่าเจ้าทำแบบนี้ แล้วเราจะยกโทษให้”

ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ความปรารถนากำลังพลุ่งพล่านจนพระองค์แทบควบคุมไม่อยู่ แต่แล้วพระองค์ก็ต้องครางออกมา เมื่อมิคาเอลทำใจกล้า ปล่อยให้ร่างอันแข็งแกร่งใหญ่โตของพระองค์ ค่อยๆ ล่วงล้ำลึกเข้าไปในปากขึ้นเรื่อยๆ จนคนตัวเล็กแทบจะครอบครองทั้งหมดของพระองค์ไว้ในปาก ลิ้นเล็กตวัดปลุกเร้าพระองค์ ก่อนจะขยับเข้าออกช้าๆ

 

“เจ้าไปหัดทำแบบนี้มาจากไหน เจ้าทำแบบนี้ให้คนรักใหม่ของเจ้างั้นหรือ”

 

ทรงตรัสถาม พึงพอใจกับการกระทำของคนตัวเล็กเหลือเกิน ออกจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ จนพระองค์เกรงว่าพระองค์อาจจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีก พระองค์จึงรั้งร่างของมิคาเอลขึ้น หันร่างเล็กเข้าหาเตียง ก่อนพระองค์จะฝากฝังร่างของพระองค์เข้าไปอย่างรีบร้อน ด้วยความปรารถนา ความใหญ่โตของพระองค์จมหายเข้าไปในช่องทางรักของมิคาเอลจนหมด ด้วยการกดกระแทกในครั้งเดียว จนมิคาเอลกรีดร้องออกมา

 

“ฝ่าบาท ...ผมเจ็บ...ครับ”

 มิคาเอลประท้วงขึ้นเมื่อถูกลงโทษแบบนี้ พระองค์ฝังร่างแน่นิ่งอยู่ภายในของคนตัวเล็ก ที่อบอุ่น คับแน่น และตอดรัดเป็นจังหวะ พระองค์ก้มลงมาจูบที่ต้นคอขาวเนียนของมิคาเอลจนเป็นรอยแดง รั้งใบหน้าหวานเข้ามาหา และจุมพิตอย่างเร่าร้อน และขยับร่างเข้าออกช้าๆ จนมิคาเอลส่งเสียงครางในลำคอในทุกๆ จังหวะการขยับของพระองค์

 

“ถึงจะเจ็บ แต่เจ้าก็มีความสุขใช่ไหม” ทรงตรัสหยอกเย้า

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลประท้วงเบาๆ

“บอกเราสิ ว่าเจ้าเป็นของใคร”

ทรงถามด้วยเสียงแหบพล่าขยับร่างออกช้าๆ

“ผมเป็นของพระองค์คนเดียว ผมมีพระองค์คนเดียว

ต้องการพระองค์คนเดียว”

 

มิคาเอลกล่าวอย่างปรารถนา ไม่อยากให้พระองค์ถอนออก พระองค์ได้ยิน ก็ยิ้มอย่างพอใจ กระแทกร่างกลับเข้าไป จนมิคาเอลสะดุ้งเฮือก ภายในบีดรัดพระองค์อย่างรุนแรง เสียงคราง เสียงหอบเหนื่อย เสียงร่างที่กระแทกกระทั้นเป็นจังหวะอย่างดุดัน เสียงร่างกายเสียดสีกันอย่างเร่าร้อน ร่างกายของเขาเร่าร้อนจนแทบทนไม่ได้ สติของมิคาเอลกำลังจะหลุดลอย เพราะความสุขมากมายที่องค์เดเมี่ยนปรนเปรอให้ พระองค์ขยับร่างเข้าออก ทุกจังหวะกระแทกกระทั้นสัมผัสจุดกระสันของมิคาเอลอย่างต่อเนื่อง ไม่นาน มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม ร่างกายสั่นสะท้าน บีบรัดพระองค์แนบแน่น จนพระองค์ต้องครางเบาๆ ออกมา

 

พระองค์ถอดถอนออกอย่างเชื่องช้า ทิ้งตัวลงนอนแล้วจึงรั้งให้มิคาเอลนั่งคร่อมร่างของพระองค์ไว้ ร่างอันแข็งแกร่งของพระองค์เสียดสีกับร่องก้นของมิคาเอลอย่างเย้ายวน พระองค์หยอกล้ออยู่ที่ปากทางเข้าเนิ่นนาน มือข้างหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสกับร่างของมิคาเอล ปลุกเร้า จนมันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ดูร่างของเจ้าสิ มันกำลังแข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว”

ทรงตรัสด้วยเสียงแปล่ง ด้วยความปรารถนา

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าปรารถนาเรามากขนาดนี้”

 

ทรงถาม มิคาเอลไม่ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาทำตัวร่านสวาทแบบนี้ เป็นเพราะองค์เดเมี่ยนที่เอาแต่ปลุกเร้าร่างของเขา จนเขาไม่อาจจะควบคุมร่างกายนี้ได้อีกแล้ว ร่างกายที่ร่านสวาทนี้ คอยแต่จะตอบสนองต่อสัมผัสขององค์เดเมี่ยน โดยที่เขาเองไม่มีโอกาสจะขัดขืนพระองค์ได้เลยสักนิด ร่างกายที่ทรยศกำลังตื่นตัว และปรารถนาพระองค์ขึ้นมาอีก มิคาเอลบดเบียดร่างของเขาเข้ากับพระองค์ ปรารถนาให้พระองค์สอดใส่เอามาอีกครั้ง พระองค์มองคนตรงหน้าอย่างพอใจ

 

“หากเจ้าต้องการ เจ้าก็ช่วยตัวเองสิ”

ทรงตรัสหยอกเย้าอีกครั้ง คนตัวเล็กเอื้อมมือมาสัมผัสกับร่างของพระองค์ ขยับขึ้นลงช้าๆ จับให้ตั้งตรง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ กดทับร่างลงมาอย่างเชื่องช้า แต่พระองค์ก็แกล้งคนตัวเล็ก ด้วยการรั้งร่างเล็กเอาไว้ ก่อนจะกระแทกร่างของพระองค์สวนขึ้นไป จนร่างของพระองค์ฝังเข้าไปจนมิด

มิคาเอลร้องครางเสียงดัง หอบหายใจอย่างแรง ใบหน้าหวานบัดนี้ขึ้นสีดูเย้ายวนเป็นที่สุด ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ริมฝีปากบางสีชมพู เผยอออกเล็กน้อย ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์มองอย่างหลงใหล ความปรารถนาพลุ่นพล่าน ร่างของพระองค์แข็งแกร่ง ใหญ่โต ดุจเสาโรมัน ฝากฝังเข้าไปในร่างของมิคาเอลจนหมด ร่างใหญ่โตเต้นตุบๆ อยู่ภายใน จนพระองค์ต้องขยับช้าๆ เพื่อบรรเทาอาการเสียวซ่าน

 

“ฝ่าบาท...ของพระองค์ ...ลึกเหลือเกิน...”

มิคาเอลพูดอย่างยากลำบาก ร่างเล็กตอดรัดเป็นจังหวะ คับแน่น บีบรัดพระองค์จนพระองค์แทบขยับไม่ได้

“เจ้าต่างหากที่คับแน่นเกินไป”

ทรงตรัสหยอกล้อ รั้งร่างเล็กลงมาจูบอย่างดูดดื่ม พระองค์ขยับร่างอย่างเชื่องช้า เสียงครางในลำคอด้วยความพอใจของมิคาเอลก็ดังขึ้นไม่ขาด

“ใบหน้าของเจ้าช่างเย้ายวนมากรู้ไหม”

ทรงตรัส ก่อนจะลุกขึ้นครอบครองยอดอกสีชมพูทั้งสอง พระองค์ทั้งหยอกล้อ และขบกัดเบาๆ กลิ่นกายอันหอมหวาน แม้ไม่ใช้น้ำหอมใดๆ ผิวอันเนียนนุ่ม ยิ่งกว่าสตรีใดที่พระองค์เคยสัมผัส มิคาเอลครางออกมาทุกครั้ง ที่พระองค์ขยับร่าง เสียงหอบเหนื่อยเพราะไม่ชินกับการอยู่ข้างบน พระองค์จึงกอดมิคาเอลไว้ และพลิกตัวขึ้นข้างบนแทน ทั้งๆ ที่ พระองค์ยังคงฝากฝังอยู่ภายใน พระองค์ขยับเข้าออกเชื่องช้าก่อนจะค่อยๆ ขยับร่างเข้าออกเร็วขึ้น ภายในของมิคาเอลช่างอบอุ่นและคับแน่น เสียงของร่างกระทบกันดังเป็นจังหวะ สอดประสานกับเสียงครางของมิคาเอล เสมือนเสียงดนตรีที่บรรเลงโดยองค์เดเมี่ยน และมีมิคาเอลเป็นดั่งเครื่องดนตรีมีชีวิตชิ้นงาม บรรเลงเพลงรักอันเร่าร้อน เนิ่นนาน จนเมื่อทั้งคู่ไม่อาจจะทานทนได้อีก องค์เดเมี่ยนจึงพามิคาเอลไปเยือนสวรรค์อีกครั้ง มิคาเอลเกร็งตัว ภายในบีบรัดร่างขององค์เดเมี่ยน กอดรัดพระองค์เอาไว้แนบแน่น ก่อนจะปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันมิคาเอลก็รู้สึกถึงความอุ่นวาบ ที่ฉีดพุ่งเข้ามาภายในร่างของเขา พร้อมกับเสียงครางหนักๆ ขององค์เดเมี่ยน พระองค์ทิ้งน้ำหนักตัวลงข้างกายมิคาเอลอย่างหมดแรง

 

ร่างของพระองค์ยังฝากฝังอยู่ภายในมิคาเอลเนิ่นนาน ทรงรั้งร่างเล็กขึ้นมาบนร่างของพระองค์ โอบกอดไว้อย่างรักใคร่ มิคาเอลกอดตอบพระองค์ซบใบหน้าของเขาแนบหัวใจของพระองค์ ซึมซับกับช่วงเวลาแห่งความสุขนี้นานเท่านาน

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 63 mile high club
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 22-09-2016 06:44:31
 

 

บทที่ 63 Mile High Club

 

องค์เดเมี่ยนลูบศรีษะคนตัวเล็กอย่างรักใคร่ ทรงจุมพิตหน้าผาก สูดกลิ่นหอมของคนในอ้อมกอดครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ไม่เคยคิดถึงใครมากเท่านี้มาก่อน ไม่เคยปรารถนาใครมากเท่านี้มาก่อน และไม่เคยรักใครมากเท่านี้มาก่อน

 

“เรารักเจ้ามิคาเอล” ทรงตรัส

“ผมก็รักพระองค์ครับ”คนตัวเล็กตอบเหนื่อยๆ แนบศรีษะฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะของพระองค์ แล้วก็เหมือนคิดอะไรได้ จึงถามองค์เดเมี่ยน

“พระองค์รู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่” มิคาเอลถามขึ้น

“ความลับ” ทรงตรัสยิ้มๆ

“ฝ่าบาท ใจร้าย” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าต่างหากที่ใจร้าย ไปจากเราแบบนั้น” ทรงตรัส เอื้อมหยิบแหวนตราสัญลักษณ์ขึ้นมาและบังคับสวมให้มิคาเอล

“เราจะทำโทษเจ้าที่ทิ้งเรา เจ้าต้องใส่แหวนวงนี้ไว้ด้วย และห้ามถอดออกอีก เข้าใจไหม” ทรงตรัส “ทำไมต้องให้ผมใส่หลายวงด้วยล่ะครับ”

มิคาเอลถาม นิ้วนางทั้งสองข้างมีแหวนสวมอยู่

“ข้างซ้ายให้เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นของเรา และเราเองก็เป็นของเจ้า” ทรงตรัส

“แล้วข้างขวาล่ะครับ” มิคาเอลถาม

“ให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าเป็นของเรา” ทรงตรัสโกหกอย่างซึ่งๆ หน้า

แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้สงสัยอะไร อย่างน้อยตอนนี้พระองค์ก็ไม่ต้องกังวล เพราะพระองค์ให้มิคาเอลสวมแหวนเอาไว้ หากคนตัวเล็กหายไปอีก พระองค์ก็รู้ว่าจะหาคนตัวเล็กไดัที่ไหน โชคดีเหลือเกินที่ช่างทำแหวนติด GPS เอาไว้ด้วย และก็โชคดีที่คนในวังไปได้ยิน คำโอ้อวด สรรพคุณของแหวนGPS นี้เข้าโดยบังเอิญ และไปพูดคุยกันในวังจนไปเข้าหูองค์นาธานเนียลเข้า องค์นาธานเนียลก็เรียกตัวช่างทำแหวนมาสอบถาม ทั้งปลอบและขู่อยู่นาน จนได้คำตอบที่ต้องการในที่สุด

 

“มิคาเอล สัญญากับเราได้ไหม ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะไม่ไปจากเราอีก” ทรงตรัสถามกอดรัดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน มิคาเอลดูลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับ

“ผมสัญญาครับ” มิคาเอลตอบ แนบศรีษะกับหัวใจของพระองค์

“ผมรักพระองค์ครับ รักมากเหลือเกิน รักมากจนผมเจ็บปวดทรมานไปหมด” มิคาเอลกล่าว

“เราอยู่นี่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดทรมานอีก เรารักเจ้ามากเช่นกัน จากนี้ไป เราจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเจ็บปวดอีก” ทรงตรัส

“ผมสัญญาครับ ว่าผมจะอยู่กับพระองค์ ให้นานที่สุด ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของผม” มิคาเอลกล่าวกอดพระองค์แนบแน่น เสียงหัวใจของพระองค์เต้นเป็นจังหวะขับกล่อมให้มิคาเอลหลับใหลอย่างเป็นสุข ในอ้อมกอดอันอบอุ่น และมั่นคง

 

เมื่อถึงในตอนเช้าอาการปวดศรีษะของมิคาเอลก็ยังไม่ดีขึ้น มิหนำซ้ำยังมีอาการหนักมากกว่าเดิม แต่มิคาเอลไม่อยากทำให้องค์เดเมี่ยนต้องเป็นห่วง เขาจึงไม่ได้บอกพระองค์ มิคาเอลทานยาแก้ปวดลงไปอีก คณะขององค์เดเมี่ยนเดินทางมาขึ้นเครื่องที่สนามบิน เพื่อเดินทางกลับคานาเดีย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงบนเครื่อง องค์เดเมี่ยนนั่งเคียงข้างมิคาเอลอยู่ตลอดเวลา ทรงกุมมือของมิคาเอลเอาไว้อย่างรักใคร่ ทั้งสองพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนเอริคนั่งมองอย่างอิจฉา มิคาเอลเล่าเรื่องที่เขาเดินทางไปฟินแลนด์ ให้พระองค์ฟัง และบรรยายความงดงามของ แสงเหนือ และความน่ารักแสนรู้ของสุนัขลากเลื่อน และเล่าความน่าทึ่งของโรงแรมน้ำแข็งให้องค์เดเมี่ยนฟัง แต่พอองค์เดเมี่ยนถามเรื่องออกทะเลไปกับเรือหาปลา มิคาเอลก็หัวเราะคิกคัก และเล่าความจริงให้พระองค์ฟัง พอองค์เดเมี่ยนรู้ว่าแมททิวโดนมิคาเอลต้มเสียจนเปื่อย พระองค์ก็มองมาที่แมททิวแบบคาดโทษ

 

“นี่ขนาดหัวหน้าองค์รักษ์ของเรา ยังไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วเราจะมีองครักษ์ไปทำไม มันน่าจะจับขังลืมเสียให้เข็ด” องค์เดเมี่ยนตรัสลอยๆ แต่แมททิวเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศความไม่ปลอดภัย อบอวนลอยมาทางตน เขาจึงขออนุญาตไปตรวจดูความเรียบร้อยในห้องนักบินแทน

“ทำไมพระองค์ ต้องไปขู่คุณแมททิวด้วยล่ะครับ คุณแมททิวไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” มิคาเอลท้วง

 

“เราไม่ได้ขู่สักหน่อย” องค์เดเมี่ยนตรัส

“คนอย่างเดเมี่ยนน่ะไม่ขู่ให้เสียเวลาหรอก มีแต่ทำจริงๆ เลยเสียมากกว่า” เอริคแทรกขึ้นมา

“หุบปากไป เอริค เรายังไม่ยกโทษให้เจ้า” องค์เดเมี่ยนตรัส

“ฝ่าบาท อย่าทรงเกเรสิครับ” มิคาเอลท้วง

“เกเรมากๆ เดี๋ยวมิคาเอลไม่รักนะ” เอริคล้อ

“คุณเอริคครับ อย่ายั่วพระองค์สิครับ ผมเองก็ยังไม่หายโกรธนะครับ” มิคาเอลพูดขึ้นยิ้มๆ องค์เดเมี่ยนหัวเราะชอบใจ

 

การเดินทางยาวนาน มิคาเอลดูสีหน้าไม่ค่อยดีนัก องค์เดเมี่ยนจึงตรัสถาม

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า มิคาเอล เจ้าดูหน้าซีดเชียว” ทรงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมแค่เพลียนิดหน่อยน่ะครับไม่ต้องทรงห่วงหรอกครับ” มิคาเอลกล่าวปฏิเสธ ทั้งๆ ที่เขาเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาไม่อยากให้องเดเมี่ยนเป็นห่วง เขาจึงไม่ได้บอกไป

“เราจะพาเจ้าไปให้หมอตรวจดูสักหน่อย เราไม่ชอบอาการแบบนี้ของเจ้าเลย พักผ่อนซะเถอะ ใกล้ถึงแล้วเราจะปลุก” ทรงตรัส

 

อุ้มพามิคาเอลไปยังห้องนอน ที่อยู่ส่วนท้ายของเครื่อง พระองค์วาง

มิคาเอลลงอย่างอ่อนโยนและห่มผ้าให้คนตัวเล็ก พระองค์ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่มิคาเอลกลับรั้งพระองค์เอาไว้

 

“ฝ่าบาทครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”

มิคาเอลเอ่ยขึ้น รั้งพระองค์ให้กลับมาหา

“ถ้าอย่างนั้นเราจะอยู่เป็นเพื่อน” ทรงตรัส

 

พระองค์เลื่อนเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างๆ เตียง แต่มิคาเอลก็ยังไม่พอใจ คนตัวเล็กลุกขึ้น เดินไปล็อกประตู และเดินกลับมาหาองค์เดเมี่ยน พระองค์แปลกใจกับการกระทำของคนตัวเล็ก และยิ่งแปลกใจที่คนตัวเล็กหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ และค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น

 

องค์เดเมี่ยนมองคนตรงหน้าอย่างหลงใหล ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แมวป่าตัวน้อยของพระองค์ กลายมาเป็นแมวยั่วสวาทแบบนี้ องค์เดเมี่ยนนั่งมองมิคาเอลตาไม่กระพริบ มิคาเอลปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด และค่อยๆ ปล่อยให้เสื้อเลื่อนหลุดลงไปช้าๆ ปลดกระดุมกางเกงออกและรูดซิปลง กางเกงผ้าเนื้อบางก็เลื่อนหลุดลงไป มิคาเอลเหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีขาวเพียงตัวเดียว จึงเดินเข้ามาหาองค์เดเมี่ยนที่ตอนนี้ร่างของพระองค์กำลังตื่นตัว ขยายใหญ่จนคับกางเกง

 

“ผมชินกับการนอนไม่ใส่เสื้อครับ” มิคาเอลกล่าวเสียงหวานหยุดยืนอยู่ห่างจากองค์เดเมี่ยนไม่ถึงฟุต

“เจ้าอยากให้เรานอนเป็นเพื่อนสินะ” ทรงตรัส

การนอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่พระองค์คิดถึงในขณะนี้

“พระองค์นอนเป็นเพื่อนผมนะครับ” มิคาเอลกล่าว

 

เอื้อมมือมารั้งใบหน้าของพระองค์ไว้ ก่อนจะก้มลงจูบพระองค์อย่างแผ่วเบา พระองค์ก็ถือโอกาสรั้งร่างมิคาเอลเข้ามาใกล้ พระหัตถ์ใหญ่กอบกุมก้นงอนงามของมิคาเอลอย่างเป็นเจ้าของ และบีบคลึงเบาๆ

 

“เราคงต้องถอดเสื้อผ้าด้วยกระมั้ง ในเมื่อเจ้าชินกับการนอนไม่ใส่เสื้อนี่นะ” ทรงตรัส

ลุกขึ้นยืนรั้งร่างเล็กเข้ามาแนบชิด จนร่างอันตื่นตัวของพระองค์แนบชิด กับหน้าท้องแบนราบของมิคาเอล คนตัวเล็กหน้าแดง

 

“ใครใช้ให้เจ้ามายั่วยวนเรากันล่ะ” ทรงตรัสถาม

“ผมเปล่าสักหน่อย ผมบอกแล้วไงครับว่าผมแค่ชินกับการเปลือยกายนอน” มิคาเอลเฉไฉ

“งั้นช่วยเราถอดเสื้อผ้าออกด้วยสิ เราก็ชินกับการนอนเปลือยกายเช่นกัน” ทรงตรัส

 

มิคาเอลจึงค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของพระองค์ออก ส่วนพระองค์ก็ปลดกางเกงออกไปพร้อมๆ กัน ร่างของพระองค์เปลือยเปล่า ไร้อาภรใดๆ ปกปิด ความเป็นชายขยายใหญ่ แข็งแกร่ง ตื่นตัวเต็มที่

“เราเปลือยกายแล้วแต่เจ้ายังไม่เปลือยเลย”

ทรงตรัส คุกเข่าลง ก่อนจะให้ปากหยอกล้อกับร่างของมิคาเอลภายใต้อันเดอร์แวร์สีขาวพระองค์ลูบไล้แผ่วเบาผ่านผ้า ก่อนจะใช้ฟันขบกัดเบาๆ หยอกล้อ จนมิคาเอลครางออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว พระองค์ค่อยๆ ปลดอันเดอร์แวร์ออกแล้วจึงครอบครองร่างของคนตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ ทรงหยอกล้อแผ่วเบา พระหัตถ์ใหญ่สัมผัสและขยับช้าๆ ปากและลิ้นก็ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม ร่างของมิคาเอลก็ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นช้าๆ พระองค์ยิ้มใช้ลิ้นตวัดเลียปลายยอด และดูดกลืนอย่างหิวกระหาย มือใหญ่ข้างหนึ่งสัมผัสที่ร่างและขยับช้าๆ ปากและลิ้นก็ครอบครองมิคาเอลไว้ ลิ้นร้อนตวัดไปตามเส้นด้านใต้ จนคนตัวตัวเล็กเสียวกระสัน ครางออกมาอย่างลืมตัว มือเล็กเอื้อมมา จับที่ศรีษะของพระองค์ไว้ นิ้วมือเรียวขยำเส้นผมนุ่มสีดำสนิทของพระองค์

 

ในขณะที่มิคาเอลกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หยุด จับคนตัวเล็กหมุนตัวหันหลังให้พระองค์ และให้มิคาเอลคว้าจับขอบเตียงไว้ มือหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสร่างของมิคาเอลด้านหน้า ปากของพระองค์ก็มาหยอกล้อที่ช่องทางรักด้านหลัง พระองค์จุมพิตเบาๆ มิคาเอลก็เสียวสะท้านไปหมด จนแทบจะไม่มีแรงยืนอีกต่อไป แต่พระองค์ก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ลิ้นร้อนของพระองค์ค่อยๆ เลียที่ช่องทางรัก และยังใช้ลิ้นนั้นพยายามจะบุกรุกเข้ามา มืออีกข้างของพระองค์ก็ขยับขึ้นลงช้าๆ อยู่ด้านหน้า มิคาเอลที่ถูกปลุกเร้าพร้อมๆ กันถึงสองทาง ก็ทำได้เพียงร้องครางออกมาอย่างรัญจวนใจ ในวินาทีที่ร่างเล็กกำลังจะปลดปล่อย พระองค์ก็หมุนร่างของมิคาเอลกลับมาหา ใช้ปากครอบครองร่างเล็กเอาไว้ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจจะควบคุม จนต้องจับพระองค์ไว้ ปลดปล่อยของเหลวออกมา

 

องค์เดเมี่ยนพึงพอใจ พระองค์กลืนกินลงไปทั้งหมด ก่อนจะลุกขึ้นอุ้มร่างของมิคาเอลวางลงบนเตียงนุ่ม ทาบทับร่างของมิคาเอลไว้ จูบคนตัวเล็กอย่างดูดดื่ม พระหัตถ์แกร่งค่อยๆ แยกขาของมิคาเอลออก และยกขึ้น ก่อนจะสอดใส่ร่างอันแข็งแกร่งของพระองค์เข้าไปช้าๆ ปากยังคงประกบจูบแลกลิ้นกับมิคาเอล ร่างของพระองค์ก็ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปจนมิด มิคาเอลเกร็งร่างด้วยความหฤหรรษ์ ครางออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม ภายในร่างของคนตัวเล็กอบอุ่น และคับแน่น จนพระองค์แทบจะทนไม่ไหว พระองค์แน่นิ่งไว้จนคนตัวเล็กเริ่มชิน มิคาเอลเอื้อมมือมากอดพระองค์ไว้ พระองค์จึงเริ่มขยับร่างช้าๆ มิคาเอลก็ครางออกมาอย่างปรารถนา สะโพกของคนตัวเล็กก็ขยับตามจังหวะของพระองค์ไปด้วย ขาเรียวค่อยๆ เกี่ยวรัดร่างของพระองค์เอาไว้ ยกสะโพกตามจังหวะของพระองค์ จนร่างของพระองค์สอดแทรกลึกมากขึ้นอีก มิคาเอลโอบรัดพระองค์ไว้อย่างแนบแน่น เผยอปากรับจุมพิตจากพระองค์

 

มิคาเอลปรารถนาจะร่วมรักกับองค์เดเมี่ยน ต้องการรักพระองค์ และต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ องค์เดเมี่ยนร่วมรักกับมิคาเอลอย่างอ่อนโยน และทนุถนอม ทรงร่วมรักเนิ่นนาน ปรนเปรอความสุข ความเสียวซ่าน และความหฤหรรษ์ให้แก่มิคาเอลอย่างไม่รู้จบ คนตัวเล็กปลดปล่อยออกมาครั้งแล้ว ครั้งเล่าจนในที่สุดพระองค์ก็สุดจะกลั้นได้อีกต่อไป ทรงเร่งจังหวะ และปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกับคนตัวเล็กใต้ร่างของพระองค์ หลังการร่วมรักอันยาวนาน มิคาเอลก็หลับไปแทบจะทันที ด้วยความอ่อนล้า โดยมีองค์เดเมี่ยนโอบกอดเอาไว้ตลอดเวลา

 

มิคาเอลพบว่าที่ๆ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และหลับสบายที่สุด คือในอ้อมกอดของคนๆ นี้ เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะทำให้เขาผ่อนคลาย และเป็นสุข เขารักองค์เดเมี่ยนเหลือเกิน และปรารถนาจะใช้เวลาทั้งหมดที่เขามีเหลืออยู่ไปกับการรัก และเอาใจองค์เดเมี่ยนให้ดีที่สุด และมากที่สุด

 

เมื่อใกล้จะถึงพระองค์ก็ปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นขึ้น มิคาเอลงัวเงียตื่นขึ้นช้าๆ ชั่วขณะเขาดูหวาดกลัว แต่องค์เดเมี่ยนก็กอดรั้งเขาไว้ ปลอบโยน

“มิคาเอล ไม่ต้องกลัว เราอยู่นี่แล้ว” ทรงตรัสปลอบโยนคนตัวเล็ก

“ฝ่าบาท!!” มิคาเอลร้องเรียก กอดพระองค์ไว้แน่น

“เจ้าฝันร้ายหรือ เราอยู่นี่แล้วอย่ากลัวไปเลย” ทรงปลอบ มองคนตัวเล็กที่งัวเงียค่อยๆ ตื่นขึ้น

“ครับ ผมรักพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย

“แต่งตัวเถอะ อีกครึ่งชั่วโมงเครื่องก็จะลงจอดแล้ว” ทรงตรัส กอดปลอบโยนมิคาเอลอย่างรักใคร่

“ครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลตอบรับ ยิ้มให้พระองค์

 

เมื่อเครื่องลงจอด องค์เดเมี่ยนก็คอยพยุงมิคาเอลลงมาจากเครื่อง คนตัวเล็กยิ้มหวานให้พระองค์ แต่บางอย่างไม่ถูกต้อง มิคาเอลดูจะสูญเสียการทรงตัว และเมื่อพระองค์หันมามองมิคาเอลอีกครั้ง พระองค์ก็ยิ่งตกใจ เมื่อพระองค์พบว่ามีเลือดไหลออกมาจากจมูกของมิคาเอล ก่อนมิคาเอลจะโงนเงน จนพระองค์ต้องรีบเข้ามารับก่อนร่างที่หมดสติของมิคาเอลจะล้มลง

 -----------------

 เพราะเป็นไรท์โรคจิต 55555
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 63 Mile high club
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 24-09-2016 23:49:20
เครียดเลยงานนี้ มาอ่านอีกครั้งก้อยังอดที่จะตกใจกับบรรดาดราม่าของไรท์จริง ๆ น่ะ  :katai1: ลุ้นตลอดว่าจะมีดราม่าอีกไหม  :a5:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 64 หากผม...
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 25-09-2016 09:11:44


 

 

บทที่ 64 หากผม…

 

มิคาเอลตื่นลืมตาขึ้นช้าๆ บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ข้างๆ เตียงของเขามีองค์เดเมี่ยนนั่งจับมือเขาอยู่ด้วยความห่วงใย พระพักตร์ของพระองค์ดูเศร้าหมอง จนมิคาเอลรู้สึกเจ็บปวดที่เห็น เขารู้ว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องทำหน้าเศร้าแบบนี้

 

“ฝ่าบาท” มิคาเอลร้องเรียกหาพระองค์ องค์เดเมี่ยนเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างห่วงใย สายพระเนตรบ่งบอกถึงความกังวลอย่างปิดไม่มิด

“มิคาเอล เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงตรัสถามด้วยแววตาอันเจ็บปวด

“ผมไม่เป็นไรครับ เรากลับวิลล่ากันเถอะนะครับ ผมไม่อยากอยู่โรงพยาบาล” มิคาเอลตอบ เตียงคนไข้ กลิ่นของห้องพยาบาล ทำให้เขาคิดถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับพ่อและแม่ของเขา

“เจ้าไม่สบาย เจ้าต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง แล้วเราค่อยกลับวิลล่ากัน” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน เอื้อมพระหัตถ์มาลูบไล้แก้มเนียนอย่างรักใคร่

“ผมดีขึ้นแล้วครับฝ่าบาท ผมอยากกลับบ้าน พาผมกลับบ้านนะครับ”

มิคาเอลขอร้องน้ำตาคลอ

“ตอนที่เจ้าหมดสติไป หมอพอลและทีมแพทย์ได้ทำการตรวจเช็คร่างกายของเจ้าอย่างละเอียด และได้ทำการแสกน MRI ให้กับเจ้า เจ้ากำลังไม่สบาย มิคาเอล” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด หวาดกลัวแทนคนตรงหน้า เกรงกลัวว่าจะเสียคนๆ นี้ไป จนหัวใจของพระองค์ปวดร้าวไปหมด แต่มิคาเอลกลับดูไม่ได้ตกใจ ราวกับว่ารู้อยู่แล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา พระองค์มองคน

ตัวเล็กด้วยแววตาที่เจ็บปวด แต่มิคาเอลก็เอื้อมมือมาจับใบหน้าของพระองค์

“ผมทราบครับ ผมเป็นเนื้องอกในสมอง แม้มันจะไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ขนาดก็ใหญ่พอสมควร และก็ทราบว่าหากผ่าตัด โอกาสเสี่ยงก็มีสูงมาก ผมอาจจะตายได้ และหากผมไม่ตาย ผมก็มีโอกาสที่จะเดินไม่ได้อีก หรืออย่างน้อยที่สุด ผมก็อาจจะสูญเสียความทรงจำบางส่วน หรือทั้งหมด” มิคาเอลกล่าวเรียบๆ ราวกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“เจ้ารู้ ทำไมถึงไม่บอกเรา” ทรงตรัสถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผมรักพระองค์ครับ ผมอยากรักพระองค์ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผมคิดว่าผมจะมีเวลามากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าผมคงเหลือเวลาอีกไม่มาก”

มิคาเอลกล่าวน้ำตาไหลออกมา

“ในตอนแรกที่ผมรู้ ผมไม่คิดจะบอกใคร ผมเกือบจะฆ่าตัวตาย แต่มีคนมาเตือนสติผม ผมจึงพยายามจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ผมถึงอยากช่วยเหลือคนอื่นในตอนที่ผมยังทำได้ และพยายามทำในสิ่งที่ผมต้องการให้มากที่สุด ผมพยายามจะลืมพระองค์ ผมไม่คิดว่าพระองค์จะยังทรงรักผมอยู่ ผมคิดว่า ผมจะตายอยู่เพียงลำพัง…

 

ตอนที่ผมเจอพระองค์ ผมอยากจะหนีไปจากพระองค์ ผมไม่อยากให้พระองค์รู้ ไม่อยากให้พระองค์รักผม เพราะผมคงอยู่ได้อีกไม่นาน ผมไม่อยากให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกแล้ว ไม่อยากให้พระองค์ต้องเสียใจไปมากกว่านี้ 

 

แต่...ผมก็เห็นแก่ตัว ถึงผมจะมีเวลาเหลือไม่มาก ผมก็อยากจะรักพระองค์ ผมอยากอยู่กับพระองค์ให้นานที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจ ผมขอโทษครับ”

มิคาเอลกล่าว น้ำตาไหลออกมา สะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ จนองค์เดเมี่ยนต้องเข้าไปปลอบ กอดร่างเล็กเอาไว้ จูบซับน้ำตาของคนตัวเล็กที่ไหลริน ทั้งเจ็บปวดและทรมาน ราวกับมีคนมากระชากหัวใจของพระองค์ออกมา เพียงแค่คิดว่าพระองค์จะต้องอยู่โดยไม่มีคนๆ นี้เคียงข้าง หัวใจของพระองค์ก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด ดวงตาที่เคยแข็งกร้าว มาบัดนี้มีน้ำใสๆ คลอหน่วงอยู่ และค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างทรมานที่สุด

 

ตลอดชีวิตของพระองค์ต้องเจอกับเรื่องราวร้ายๆ มาตลอด ไม่ว่าพระองค์จะปรารถนาหรือต้องการสิ่งใด พระองค์ก็ต้องเสียมันไปทุกครั้ง พระองค์อยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดชีวิต ทรมานมาทั้งชีวิตจนกระทั่งมิคาเอลเดินเข้ามาในชีวิตของพระองค์ คนๆ นี้ทำให้หัวใจที่ด้านชาของพระองค์อบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง คนๆ นี้ทำให้พระองค์รู้สึกถึง ความรักอีกครั้ง ตลอดมาพระองค์เฝ้าขอบคุณพระเจ้า ที่ทำให้พระองค์ได้มาเจอคนๆ นี้ ทำให้คนที่ตายไปแล้วทั้งเป็นอย่างพระองค์กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในตอนนี้พระองค์กลับกำลังกร่นด่าคนบนฟ้าที่กลั่นแกล้งทั้งพระองค์และ

มิคาเอลแบบนี้ หรือเป็นเพราะพระองค์ที่เลวทราม ต่ำช้า สวรรค์จึงลงโทษพระองค์ แต่หากเป็นเช่นนั้น พระองค์ก็ปรารถนาจะเป็นคนที่เจ็บ และตายแทนมิคาเอล เพราะหากไม่มีคนๆ นี้ ชีวิตของพระองค์ก็คงไม่มีความหมายอะไรอีก ร่างกายหากปราศจากซึ่งหัวใจ แล้วพระองค์จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร

 

"เราไม่ยอมให้เจ้าไปจากเรา เราบอกแล้วไงว่าเจ้าจะต้องอยู่กับเรา เจ้าสัญญากับเราแล้วไม่ใช่เหรอ เราสั่งให้พาหมอศัลยกรรมสมองที่เก่งที่สุดมาที่คานาเดีย และเมื่อทุกอย่างพร้อม เจ้าจะได้รับการผ่าตัด และได้รับการรักษาที่ดี่ที่สุด เจ้าจะต้องปลอดภัย” องค์เดเมี่ยนตรัส กอดรัดคนตัวเล็กไว้แนบหัวใจ กอบกุมมือของคนตัวเล็กเอาไว้

“ผมไม่ต้องการผ่าตัดครับ” มิคาเอลกล่าว องเดเมี่ยนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม” ทรงถาม

“หากผ่าตัด หากผมตาย... ผมก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่กับพระองค์อีก ผมอยากอยู่กับพระองค์ให้นานกว่านี้ อยากอยู่กับพระองค์ให้นานที่สุด”

มิคาเอลกล่าวน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด

“แต่หากเจ้าผ่าตัด เจ้าก็จะอยู่ได้นานกว่านี้ เจ้าจะได้อยู่กับเราต่อไป”

“แต่ผมก็อาจจะตายก็ได้ หรือผมอาจจะเป็นอัมพาต ผมอาจจะเดินไม่ได้อีก ผมไม่ต้องการเป็นภาระของพระองค์”

“เราจะดูแลเจ้าเอง หากเจ้าเดินไม่ได้เราจะอุ้มเจ้า หากเป็นอัมพาตเราจะอยู่ตรงนี้และดูแลเจ้าอย่างดี เจ้าไม่ใช่ภาระ แต่เป็นแก้วตาและดวงใจของเรา” ทรงตรัส กอดมิคาเอลเอาไว้

“ผมอาจจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดก็ได้ ผมอาจจะสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ทั้งหมด ผมอาจจะจำไม่ได้ว่าผมรักพระองค์มากแค่ไหน ผมไม่ต้องการ ผมอยากจดจำพระองค์ไว้ จดจำทุกอย่างเอาไว้” มิคาเอล

กล่าวอย่างเจ็บปวด

“หากจดจำเราไม่ได้ หากเจ้าลืมรักของเรา เราจะทำให้เจ้ารักเราอีกครั้ง เราจะสร้างความทรงจำอันใหม่ให้กับเจ้า เรารักเจ้ามิคาเอล ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เราก็รักเจ้า ทั้งหมดของเราเป็นของเจ้าคนเดียว ตลอดไป” ทรงตรัส

“ผม... เพียงอยากจะรักพระองค์ในตอนนี้เท่านั้น ตลอดไปไม่มีจริงหรอกครับ ได้โปรดอย่าบังคับผมเลยครับ ให้ผมได้รักพระองค์ในตอนนี้ให้มากที่สุด ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”มิคาเอลกล่าว

“แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับเรา เราต้องการให้เจ้าอยู่กับเรา เราปรารถนาให้เจ้าเป็นชายาของเรา เราอยากแก่ชราไปพร้อมกับเจ้า เราปรารถนาจะรักเจ้าจนลมหายใจสุดท้ายของเรา หากเจ้าจากไป แล้วเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร หากไม่มีเจ้าแล้วเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เจ้าคือความสุขหนึ่งเดียวในชีวิตของเรา” ทรงตรัสอ้อนวอน

 

พอดีกับที่หมอพอลเดินเข้ามา

“ถ้าคนไข้ไม่ต้องการผ่าตัด หมอหรือใครก็บังคับไม่ได้ ถึงอย่างไรในตอนนี้ ทางเราได้ติดต่อไปที่หมอปิแอร์ ที่เชี่ยวชาญในด้านการผ่าตัดสมอง แต่กว่าหมอปิแอร์จะมาได้ก็คงจะอีกหลายวัน กระหม่อมคิดว่าให้ว่าที่พระชายากลับไปพักที่วิลล่าก่อนก็ได้ จากนั้นจึงค่อยๆ คิดและตัดสินใจกันอีกทีก็ยังทัน” หมอพอลกล่าว ตบไหล่องค์องค์เดเมี่ยนเบาๆ ราวกับจะให้กำลังใจ

 

องค์เดเมี่ยนอยู่ดูแลมิคาเอลไม่ยอมห่าง พระองค์โอบกอดมิคาเอลเอาไว้บนตักอย่างทะนุถนอมอยู่แทบจะตลอดเวลา ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มองออกไปด้านนอกที่ขณะนี้หิมะกำลังโปรยปรายลงมา บรรยากาศดูอึมครึม สีพระพักตร์ขององค์เดเมี่ยนยิ่งดูเศร้าหมองจนมิคาเอลใจหาย

“ผมไม่อยากให้ฝ่าบาททำแบบนี้ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิครับ”

มิคาเอลกล่าว

“เราเจ็บปวด หากเป็นไปได้เราอยากจะเป็นคนที่เจ็บแทนเจ้า ให้เราตายแทนเจ้าเสียยังจะดีกว่า” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท อย่าทรงตรัสแบบนี้สิครับ ผมดีใจที่อย่างน้อยผมก็ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์อีกครั้ง” มิคาเอลกล่าว กอดพระองค์ไว้อย่างรักใคร่

“เราอยากให้เจ้าอยู่ในอ้อมกอดของเราตลอดไป เจ้าสัญญาว่าจะลองคิดดูในเรื่องของการผ่าตัด เราอยากรู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจหรือยัง” ทรงตรัสถาม

“พระองค์จะทรงตรัสว่า ผมควรจะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ใช่ไหมครับ” มิคาเอลกล่าวอย่างรู้ทัน แม้ในตอนนี้ คนตัวเล็กของพระองค์ก็ยังยิ้มออกมา

“เราไม่เข้าใจ ทำไม ทั้งๆ ที่เจ้าป่วยหนักแบบนี้ แต่เจ้ากลับเอาแต่ยิ้มแย้ม” ทรงถาม

“เพราะผมอยู่กับพระองค์ พระองค์เป็นคนที่ผมรักมากที่สุด ผมดีใจที่พระองค์อยู่ตรงนี้ ดีใจที่พระองค์รักผม ผมไม่ต้องทุกข์จากการคิดถึงพระองค์ ไม่ต้องทรมานจากความเจ็บปวด ที่คิดว่าพระองค์ไม่รักผมแล้ว ผมมีความสุขเพราะผมมีพระองค์อยู่ข้างๆ” มิคาเอลตอบ

“แต่หากเจ้าไม่ยอมผ่าตัด แล้ววันหนึ่งเจ้าจากเราไป ในที่ๆ เราไม่อาจจะตามเจ้าไปได้ แล้วเจ้าไม่คิดถึงใจของเราบ้างหรอกหรือว่าเราจะทุกข์และทรมานมากขนาดไหน” ทรงถาม มิคาเอลกอดพระองค์ไว้

“ผมขอโทษครับ”

“เราขอร้องได้ไหม ทำเพื่อเราได้ไหม มีชีวิตอยู่เพื่อเรา ขอเพียงเจ้ายังหายใจอยู่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะดูแลเจ้าเอง” ทรงตรัส มิคาเอลนิ่งเงียบไป

“ได้โปรด มิคาเอล เรารักเจ้า รักมากกว่าสิ่งใด เราคงทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า” ทรงตรัสอ้อนวอน

“แต่การผ่าตัดก็ไม่ได้การันตีว่าผมจะไม่ตายนี่ครับ” มิคาเอลกล่าว

“แต่เจ้าก็รู้ว่าอาการของเจ้าก็หนักขึ้นทุกวัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าการที่เราเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ มันทำให้เราทรมานมากขนาดไหน” ทรงตรัสกอดร่างเล็กเอาไว้

“เรากลัว กลัวว่าวันหนึ่ง เมื่อเราปลุกเจ้าในตอนเช้า แล้วเจ้าจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีก เรากลัวว่าเราจะไม่มีโอกาสได้บอกรักกับเจ้าอีก เรากลัวว่าเราจะไม่มีโอกาสกอดเจ้าแบบนี้อีก และทั้งๆ ที่เรากอดเจ้าเอาไว้ ทำทุกอย่างเพื่อเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ แต่เราก็กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งเราจะเสียเจ้าไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ทรงตรัสน้ำตาของพระองค์ไหลรินออกมาอย่างสุดจะกลั้น มิคาเอลรู้สึกผิดเหลือเกินที่เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องเป็นแบบนี้

“หากผมยอมผ่าตัด พระองค์จะให้สัญญากับผมได้ไหมครับ” มิคาเอลเอ่ยขึ้น ทำให้องค์เดเมี่ยนหันมามองคนตัวเล็ก

“เรายอมทุกอย่าง” พระองค์ตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด

“ข้อแรก หากผมตาย ผมขอร้องให้พระองค์อย่าทรงโทษตัวเองนะครับ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของพระองค์” มิคาเอลกล่าว พระองค์รับฟัง

“เจ้าจะต้องปลอดภัย” ทรงตรัส

“ข้อสอง หากผมกลายเป็นอัมพาทขึ้นมา... หากผม... ไม่อาจตอบสนองความต้องการของพระองค์ได้อีก ผม... ต้องการให้พระองค์มีสนมใหม่ ผมไม่ต้องการให้พระองค์ผูกมัดอยู่กับผม ผมไม่ต้องการเป็นคนเห็นแก่ตัว ร้องขอให้พระองค์มีเพียงแค่ผม โดยที่ผมไม่สามารถทำให้พระองค์มีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ผมขอร้องขอให้พระองค์รับสนมใหม่ ได้ไหมครับ” มิคาเอลกล่าว สีหน้าดูกังวลและเจ็บปวด

“บอกแล้วไง ว่าเราเป็นของเจ้าคนเดียว เรารักเจ้าเท่านั้น” ทรงตรัส

“หากพระองค์ไม่ยอมรับ ผมก็จะไม่ตกลงเช่นกัน” มิคาเอลพูดอย่างดื้อดึง

“เรา...ก็ได้... เราจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” ทรงตรัส

“ผมรู้ว่าพระองค์รักผม แต่ผมไม่อยากให้พระองค์ต้องมาทนอยู่ เพียงเพราะพระองค์รู้สึกต้องรับผิดชอบในตัวผม ผมอยากเห็นพระองค์มีความสุข”

มิคาเอลกล่าว

“การได้อยู่กับเจ้า ก็ทำให้เรามีความสุขมากที่สุดแล้ว” ทรงตรัส

 

“ข้อสุดท้าย...” มิคาเอลถอดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออก ส่งคืนแหวนให้แก่พระองค์

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พระองค์ถามอย่างตกใจ

“ผมในตอนนี้ คงไม่สามารถเป็นชายาของพระองค์ได้อีก ผมไม่ต้องการพันธนาการพระองค์ไว้กับผม พระองค์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตของผม ผมปลดปล่อยพระองค์ หากผมตาย ผมต้องการให้พระองค์เปิดใจรับคนๆ ใหม่ที่เข้ามา หลังจากผ่าตัด หากผมกลายเป็นคนพิการ ผมก็ไม่ต้องการเป็นภาระของพระองค์ หากผมไม่มีประโยชน์ต่อพระองค์ ผมก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ผมจะอยู่ที่นี่ตามสัญญา จนกว่าพระองค์จะไม่ต้องการผม แต่ผมไม่ต้องการเป็นชายาของพระองค์ พระองค์ทรงรักมิคาเอลในตอนนี้ แต่หลังการผ่าตัด ผมจะไม่เหมือนเดิมอีก ผมไม่ต้องการเอาเปรียบพระองค์” มิคาเอลพูด น้ำตาไหลริน ทรมานที่สุด เจ็บปวดที่สุด องค์เดเมี่ยนรับแหวนคืน

“เราจะเก็บไว้ให้ เมื่อเจ้าพร้อม เราจะมอบมันคืนแก่เจ้า” ทรงตรัส

“พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” มิคาเอลประท้วง

 

“เรารอเจ้ามาตลอดชีวิต และเราจะรอเจ้าตลอดไป ตราบที่เรายังหายใจ เราจะไม่รักใครอีก เราไม่ได้รักเจ้าเพียงเพราะร่างกายของเจ้า เรารักเจ้า ทั้งหมดของเจัา ทุกอย่างของเจ้า เราเข้าใจว่าเจ้า ไม่ต้องการผูกมัดเรา ไม่ต้องการให้เราทรมานแบบเดสเซเร่ เราสัญญาเจ้าในข้อนั้น แต่เรารักเจ้า ทั้งหมดของเรา เป็นของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะรักไม่เปลี่ยนแปลง” ทรงตรัส รั้งร่างเล็ก เข้ามากอดอย่างอย่างทะนุถนอม และรักใคร่ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้แนบแน่น เนิ่นนาน ซบใบหน้าลงกับอกอุ่นแนบหัวใจ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 63 Mile high club
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 26-09-2016 22:09:49
กำลังจะ happy อยู่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมิคาเอลจะเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 64 หากผม...
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 27-09-2016 22:58:13
 :mew2: :o12: ไรท์โหดร้ายกว่ามิคาเอลจะมีความสุข  :katai1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 65 คนขี้เซา
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 01-10-2016 01:12:13


 

บทที่ 65 คนขี้เซา

 

มิคาเอลเงยหน้าขึ้นมององค์เดเมี่ยน มือเล็กเอื้อมขึ้นมาสัมผัสแก้มของพระองค์ พระองค์ซบใบหน้าแนบมือนั้น คนตัวเล็กค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจึงหันหน้าเข้าหา นั่งคร่อมร่างขององค์เดเมี่ยนไว้ ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของพระองค์อย่างเย้ายวน แต่องค์เดเมี่ยนกลับรั้งร่างเล็กออกช้าๆ

 

“เจ้าไม่สบาย มิคาเอล เราเกรงว่า…” ทรงตรัสแผ่วเบา

“ผมมีเนื้องอกในสมอง แต่ร่างกายของผมก็ยังคงต้องการพระองค์นะครับ ได้โปรด … กอดผมนะครับ” มิคาเอลอ้อนวอน ค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก ทั้งๆ ที่ยังนั่งคร่อมพระองค์อยู่บนตัก เสื้อถูกถอดออก มือเรียวเล็กรูปไล้ร่างกายของตัวเองอย่างเย้ายวน

“พระองค์ไม่ต้องการผมแล้วเหรอครับ” มิคาเอลถาม มือเรียวเล็กลูบไล้ผ่านยอดอกสีชมพูของเขา จนมันเริ่มแข็งเป็นไต ก่อนจะไล้ลงต่ำมาที่ขอบกางเกง องค์เดเมี่ยนมองตามด้วยความปรารถนา และพยายามยับยั้งตัวเองอย่างยากเย็น

 

“ผมกำลังตื่นตัวครับ… ผม… ต้องการพระองค์” มิคาเอลร้องขอ ค่อยๆ ปลดซิบกางเกงออก เปิดเผยร่างที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นให้พระองค์เห็น โน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูแผ่วเบา ยั่วยวน

“ผมต้องการพระองค์ครับ” มิคาเอลกระซิบ องค์เดเมี่ยนกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก แต่ก็ไม่ยอมแตะต้อง มิคาเอลเอื้อมมือลงต่ำ ค่อยๆ สัมผัสร่างของตัวเองช้าๆ ร่างของคนตัวเล็กก็ค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาช้าๆ

“ผมอยากให้พระองค์สัมผัสผม ทำให้ผมมีความสุข ร่างกายของผม ตอบสนองต่อพระองค์คนเดียว” มิคาเอลกล่าวอ้อนวอน แม้คนตัวเล็กจะสัมผัส แต่ก็ไม่อาจจะปลดปล่อยออกมาได้ จึงเอาแต่อ้อนวอน ขอความเมตตาจากพระองค์

“องค์เดเมี่ยน ได้โปรด สัมผัสผม ได้โปรด ครอบครองผม ผม… ต้องการพระองค์” คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เย้ายวนเป็นที่สุด น้ำเสียงที่อยากจะปลดปล่อย แต่ทำไม่ได้ ฟังดูทรมานเหลือเกิน

“ฝ่าบาท… ได้โปรด ผมอยากให้พระองค์สัมผัสผม ตรงนี้…” มิคาเอลลูบไล้มาที่ยอดทับทิมทั้งสองอย่างเย้ายวน

“อยากให้พระองค์ ครอบครองผมที่ตรงนี้…” มือเล็กเอื้อมมาสัมผัสกับร่างที่ส่วนหน้า ขยับมันเบาๆ อย่างยั่วยวน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับพระหัตถ์ไปสัมผัสที่ก้นกลมกลึง

“ตรงนี้ก็ต้องการ พระองค์” มิคาเอลกล่าวเสียงอ่อนหวาน รัญจวนใจ

“เจ้าไปหัดยั่วยวนแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ทรงตรัสอย่างหมดความอดทน ร่างของพระองค์ตื่นตัวและขยายใหญ่อยู่ภายใต้กางเกงผ้า จนพระองค์อึดอัด และเจ็บไปหมด

“ผมต้องการพระองค์ ได้โปรด” มิคาเอลอ้อนวอนอีกครั้ง

“แต่… เจ้า…” พระองค์ลังเล ด้วยกลัวจะทำร้ายคนตัวเล็ก

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องการพระองค์ นะครับ” คนตัวเล็กกล่าว ก้มลงจูบพระองค์อย่างดูดดื่ม และนั่นก็เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ยับยั้งพระองค์เอาไว้ องค์เดเมี่ยนยกร่างของมิคาเอลออกจากตัวของพระองค์ และวางร่างเล็กลงบนโซฟาขนาดใหญ่ พระองค์ถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไปอย่างรีบร้อน ก่อนเดินเข้ามาหาคนตัวเล็ก ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

 

พระองค์นั่งลงที่ปลายเท้าของมิคาเอล ทรงจูบไล่จากปลายเท้าของคนตัวเล็ก ลิ้นร้อนแลบเลียขาเรียวสวย ผิวนวลเนียนเสียยิ่งกว่าผิวของสตรีใดที่ทรงเคยได้สัมผัส ฟันของพระองค์ขบกัดลงอย่างแผ่วเบาที่ต้นขาด้านใน รอยแดงถูกทิ้งไว้หลายต่อหลายจุด มิคาเอลร้องครางกับความเสียวซ่านแม้พระองค์จะยังไม่ได้สัมผัสที่ร่างของเขา ร่างกายทุกส่วนตอบสนองต่อสัมผัสขององค์เดเมี่ยน ความเสียวซ่านแผ่กระจายจนมิคาเอลแทบทนไม่ได้ พระองค์แยกขาของคนตัวเล็กออก และแทรกตัวอยู่ตรงกลาง ก้มลงใช้ลิ้นแตะสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่ปลายยอด หยอกเย้า ฟันของพระองค์ก็ค่อยๆ ขบกัดแผ่วเบา เสียงของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นอย่างรัญจวนใจ พระองค์จึงครอบครองของมิคาเอลเอาไว้ ดูดเลียอย่างหิวโหย จนคนตัวเล็กร้องครางออกมา

 

พระองค์ถอนปากออก ใช้ลิ้นเลียปลายนิ้วของพระองค์ก่อนจะยกขาของคนตัวเล็กขึ้น ก้มลงเลียที่ปากประตูอันคับแคบ มิคาเอล ขมิบตอบรับอย่างเสียวซ่าน ลิ้นร้อนพยายามจะชอนไชเข้าไป ไม่นานมิคาเอลก็รู้สึกถึงนิ้วมือใหญ่ของพระองค์ที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในช้าๆ พระองค์ค่อยๆ สอดใส่นิ้วเข้าไป และขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนพระองค์จะกลับมาครอบครองที่ส่วนหน้าของเขาอีกครั้ง ปากและลิ้นขยับขึ้นลงสอดประสานจังหวะกับนิ้วที่บุกรุกเข้ามาเบื้องหลัง มิคาเอลที่ถูกปลุกเร้าพร้อมกันทั้งสองทางก็ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ ความปรารถนาพุ่งขึ้นสูง หายใจอย่างหอบเหนื่อย มือเอื้อมมาจับศรีษะที่ขยับขึ้นลงไว้ ก่อนจะครางเสียงดัง และฉีดพุ่งของเหลวเร่าร้อนเข้าสู่ปากขององค์เดเมี่ยน พระองค์กลืนกินมันจนหมด

 

พระองค์ลุกขึ้นช้าๆ มองคนตรงหน้า ใบหน้าหวานขึ้นสีจนเป็นสีชมพูระเรื่อ หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองดูช่างเย้ายวนยิ่งนัก

“เจ้าต้องการให้เราหยุดไหม” ทรงตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

“ผมต้องการพระองค์ ได้โปรด” มิคาเอลยกมือขึ้นเรียกร้องให้พระองค์เข้ามาหา องค์เดเมี่ยนแยกขาของมิคาเอลออก และยกขาข้างหนึ่งขึ้น ก้มลงจุมพิตมิคาเอลเนิ่นนาน จนคนตัวเล็กเคลิบเคลิ้ม ร่างของพระองค์ถูไถอยู่ปากทางอย่างเย้ายวน จนมิคาเอลแทบจะมอดไหม้ด้วยความปรารถนา

 

ร่างอันใหญ่โตค่อยๆ แทรกตัวผ่านเข้าไปช้าๆ มิคาเอลกอดพระองค์ไว้ครางออกมาอย่างรัญจวนใจ พระองค์กดร่างเข้าไปจนสุด และแช่ร่าง แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น จุมพิตเร่าร้อนปลุกเร้าให้อารมณ์ของมิคาเอลตะเลิดไปไกล มือใหญ่ยังเอื้อมมาสัมผัสที่ด้านหน้าอีกด้วย มือขยับช้าๆ สอดคล้องกับจังหวะการขยับตัวของพระองค์ เสียงครางอย่างพึงพอใจของมิคาเอลดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวะที่ทรงขยับตัว ร่างของพระองค์ขยับเข้าออกช้าๆ ไม่เร่งรีบ

 

"ฝ่าบาท ผมต้องการ ต้องการมากกว่านี้"

มิคาเอลร้องขอ เขาปรารถนาพระองค์ อยากตักตวงความสุขนี้เอาไว้ อยากร่วมรักกับพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ร่วมรักกับพระองค์อีก ไม่ว่าเขาจะผ่าตัดหรือไม่ หลังจากนี้ไปทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีก แต่เขาจะไม่คิดถึงมัน ในตอนนี้ เวลานี้ เขาจะรักองค์เดเมี่ยนให้มากที่สุด เอาอกเอาใจพระองค์ให้มากที่สุด ร่วมรักกับพระองค์ให้มากที่สุด ก่อนที่เวลาชีวิตของเขาจะหมดลง

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล เรารักเจ้ามากเหลือเกิน”

องค์เดเมี่ยนกระซิบที่ข้างหู พระองค์ร่วมรักกับมิคาเอลอย่างอ่อนโยน เพราะพระองค์ไม่ต้องการทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวด พระองค์รักคนๆ นี้อย่างหมดหัวใจ และปรารถนาให้มิคาเอลมีความสุข แม้พระองค์จะหวาดกลัวแทบขาดใจว่าพระองค์อาจจะสูญเสียคนตัวเล็กไป แต่ในตอนนี้คนตัวเล็กยังอยู่ตรงนี้ อยู่อ้อมกอดของพระองค์ ยังคงเรียกหาพระองค์ ยังคงรักพระองค์ พระองค์ก็จะกอดคนตัวเล็กเอาไว้ ทำทุกอย่างที่คนๆ นี้ปรารถนา จะรักและดูแลคนๆ นี้อย่างดี ตราบจนความตายมาพรากจากกัน

 

พระองค์ขยับร่างเข้าออกเข้าออกเป็นจังหวะ ร่างของพระองค์เสียดสีในจุดที่อ่อนไหวของมิคาเอล จนคนตัวเล็กร้องครางอย่างเร้าอารมณ์ สะโพกเล็กขยับตามพระองค์ด้วยความปรารถนา พระองค์ขยับโยก หมุนวน จนคนตัวเล็กกรีดร้อง ความหฤหรรษ์มากมายที่พระองค์ปรนเปรอ จนมิคาเอลแทบรับไม่ไหว ร่างของพระองค์ขยับเข้าออก กระแทกกระทั้น เป็นจังหวะ

บทเพลงรักอันเร่าร้อน ดุดัน มิคาเอลหอบหายใจ ร่างกายร้อนรุ่มดั่งไฟเผา เสียงครางดังขึ้น เกร็งร่างตอดรัด และกอดพระองค์แนบแน่น จนในที่สุด

มิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนถอนตัวออกและลุกขึ้น ช้อนร่างของมิคาเอลและพากลับไปยังห้องบรรทม

 

ตลอดหลายวันมานี้ทั้งองค์เดเมี่ยนและมิคาเอลแทบไม่ได้ก้าวออกมาจากห้องบรรทมเลย ทั้งสองเอาแต่ร่วมรักกัน อิงแอบในอ้อมอกของกันและกัน พร่ำบอกรักแก่กัน และร่วมรักกันอีกครั้ง วนซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

ในเช้าวันที่สาม องค์เดเมี่ยนได้รับข้อความจากหมอพอล แจ้งว่าหมอปิแอร์ได้เดินทางมาถึงแล้ว และ ทางโรงพยาบาลจะทำการผ่าตัดให้แก่มิคาเอลทันทีที่มิคาเอลพร้อม พระองค์มั่นใจว่าคนตัวเล็กจะต้องปลอดภัย แต่อีกใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ ร่างเล็กนอนหลับอยู่บนร่างของพระองค์ ทุกสัดส่วนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ใบหน้าหวานซบกับอกอุ่น แนบหัวใจของพระองค์ พระองค์ปลุกคนตัวเล็กเบาๆ

 

“มิคาเอล ตื่นเถอะ เช้าแล้วคนดี”

ทรงตรัสเรียก ไม่มีเสียงตอบรับ ร่างเล็กยังคงนอนนิ่งอยู่บนร่างของพระองค์ ทั้งๆ ที่ปกติ มิคาเอลจะต้องตื่นขึ้นมาแล้วแท้ๆ หัวใจของพระองค์กระตุกวูบ ความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจ รีบพลิกร่างของมิคาเอลนอน และเรียกหาคนตัวเล็กอีกครั้ง

“มิคาเอล! มิคาเอล! มิคาเอลตื่นขึ้นมา!!...เราขอร้อง... ได้โปรดลืมตาขึ้น... ได้โปรด” ทรงเขย่าร่างของคนตัวเล็กเบาๆ ตะโกนร้องเรียก ก่อนจะกลายเป็นเสียงกระซิบ น้ำตาของพระองค์ไหลริน ร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้กับพระองค์

“คนขี้แย” มิคาเอลกล่าวเบาๆ องค์เดเมี่ยนจึงรั้งไปกอดแนบอก

“เจ้าทำให้เราตกใจ” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าว

“ผมได้ยินพระองค์แต่ผมตื่นขึ้นมาไม่ได้ ผมเหนื่อยจังครับ” มิคาเอลกล่าวเบาๆ

“หมอปิแอร์มาแล้ว หากเจ้าพร้อม ก็สามารถผ่าตัดได้ทันที” ทรงตรัส

“ตกลงครับ” มิคาเอลกล่าวตกลง พระองค์จึงยิ้มรับ

“เราจะแจ้งหมอพอลเดี๋ยวนี้” ทรงตรัสอย่างใจร้อน

“ฝ่าบาท...” มิคาเอลร้องเรียก พระองค์จึงเดินเข้ามาใกล้

“เราอยู่นี่” ทรงตรัส เอื้อมมือมาจับมือของมิคาเอลไว้

“ผมรักพระองค์ครับ รักมากที่สุด” มิคาเอลกล่าว ด้วยรอยยิ้มที่งดงามที่สุด

“เราก็รักเจ้าเช่นกัน รักมากที่สุด รักจนหมดหัวใจ” ทรงตรัสตอบ ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเนิ่นนาน ก่อนจะรีบไปแต่งตัว มิคาเอลยิ้มให้พระองค์ มองดูพระองค์เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว หนังตาของเขารู้สึกหนักอึ้ง จนเขาไม่อาจจะฝืนลืมตาได้อีก เขาจึงหลับตาลงช้าๆ

 

องค์เดเมี่ยนเดินกลับออกมาจากห้องแต่งตัว เดินตรงมาหาคนตัวเล็กที่กำลังนอนหลับอย่างสงบ หน้าอกกระเพื่อมเป็นจังหวะ ใบหน้าหวานยังคงเปื้อนรอยยิ้มละไม พระองค์นั่งลงเคียงข้าง ปลุกเบาๆ

“ตื่นได้แล้วคนขี้เซา หากเจ้าไม่แต่งตัวเราจะพาเจ้าไปทั้งๆ ที่เจ้าเปลือยแบบนี้” ทรงตรัสหยอกล้อ แต่คนตัวเล็กก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้น

“มิคาเอล ตื่นขึ้นมาสิ”

ทรงกระซิบเรียกอีกครั้ง แต่ร่างเล็กก็ยังคงแน่นิ่ง และไม่ว่าพระองค์จะทำอย่างไร ร่างเล็กก็ไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

พระองค์ตกใจและหวาดกลัวเหลือเกิน ทรงสั่งให้เอาเฮลิคอปเตอร์ออก และนำร่างที่ไร้สติของผู้ที่เป็นเจ้าของหัวใจของพระองค์ไปยังโรงพยาบาล ตลอดทางพระองค์เอาแต่เฝ้าภาวนา ขอให้คนตัวเล็กของพระองค์ปลอดภัย

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 65 คนขี้เซา
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 10-10-2016 21:09:36
ไมเคิลจะเปฺ็นไรไหมนิ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 65 คนขี้เซา
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 11-10-2016 21:51:50
 :mew2: มิคาเอล สู้ ๆน่ะ การที่อยู่ ๆ ดีคนที่เรารักเรียกแล้วไม่ฟื้นนี่เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ สงสารเดเมี่ยนด้วยน่ะ เจ้าชายเจอแต่เรื่องที่ต้องผิดหวังตลอดเลยอ่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 66 คนแปลกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 19-10-2016 23:08:50


 

บทที่ 66 คนแปลกหน้า

 

หลังจากที่องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลมาถึงที่โรงพยาบาล แทบทั้งโรงพยาบาลก็ดูวุ่นวายไปหมด แมททิวกับองครักษ์อีกสองคนเดินทางมาด้วยกับองค์เดเมี่ยนในเฮลิคอปเตอร์ หลังจากนั้นองครักษ์อีกหลายสิบคนก็เดินทางตามมาสบทบที่โรงพยาบาล เพื่อคอยอารักขาทั้งองค์เดเมี่ยนและว่าที่

พระชายา หากนั่นยังวุ่นวายไม่พอ องค์เดเมี่ยนที่ปกติอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว ในตอนนี้ยังร้อนยิ่งกว่าหินเหลวในปล่องภูเขาไฟเสียอีก พระองค์ทรงขู่ และปลอบเหล่าคณะแพทย์ จนทุกคนต่างหวาดกลัวกันถ้วนหน้า

 

“ทำไมหมอยังไม่มา แล้วใครดูแลมิคาเอล” ทรงตวาดถามเหล่านางพยาบาล

“เอ่อ… ว่าที่พระชายาถูกพาไปเตรียมตัวเพื่อเข้าผ่าตัดเพคะ ส่วนคุณหมอกำลังเตรียมตัวเช่นกัน คุณหมอกำลังมาเพคะ” พยาบาลใจกล้าคนหนึ่งตอบ

“ทำไมทำอะไรกันชักช้าแบบนี้ หากมิคาเอลเป็นอะไรไป พวกเจ้าทุกคนต้องรับผิดชอบ” องค์เดเมี่ยนตวาดเสียงดัง

“คุณหมอปิแอร์ มาแล้วเพคะ” พยาบาลกล่าว องค์เดเมี่ยนหันขวับ และเดินเข้าไปหา

“เจ้าจะเป็นคนผ่าตัดมิคาเอลใช่ไหม” ทรงตรัสถาม

“ขอรับ ฝ่าบาท” หมอปิแอร์กล่าวด้วยสำเนียงฝรั่งเศส

“หากเจ้าทำให้มิคาเอลปลอดภัยเราจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม” ทรงตรัส ก่อนจับคอเสื้อหมอเข้ามาใกล้ และกระซิบข้างหูด้วยเสียงเย็นยะเยือก เป็นภาษาฝรั่งเศสแบบชัดถ้อยชัดคำว่า

“แต่หากเจ้าทำให้มิคาเอลเป็นอะไรไป เราจะทรมานเจ้า จนเจ้าร้องขอความตายแทนการมีชีวิตอยู่” ทรงตรัส หมอปิแอร์หน้าซีด เหงื่อตก

“กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ” หมอปิแอร์กล่าวรวดเร็ว

“มิคาเอลจะต้องมีชีวิตอยู่ จำเอาไว้” ทรงตรัสเสียงกร้าว

 

จนหมอพอลเดินเข้ามา และตบหน้าพระองค์อย่างแรง ทำเอาทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน

“กระหม่อมกำลังรักษาคนขาดสติอยู่ พระองค์รู้สึกดีขึ้นหรือยัง หากยังไม่หยุดข่มขู่ แล้วทีมแพทย์จะปฏิบัติหน้าที่กันได้อย่างไร กระหม่อมเป็นหมอ ก็ย่อมอยากจะช่วยชีวิตคนไข้อยู่แล้ว พระองค์ไม่ต้องทรงกังวลไป”

หมอพอลดุ

“เราขอโทษ เราเป็นห่วงมิคาเอล” องค์เดเมี่ยนกล่าว ด้วยความเจ็บปวด

“กระหม่อมทราบ ก้อนเนื้อใหญ่พอสมควร ขนาดประมาณ ลูกกลอฟ ดังนั้นกระหม่อมคาดว่าการผ่าตัดจะใช้เวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมง กระหม่อมจะให้คนพาพระองค์ไปที่ห้องรับรองพิเศษ และกระหม่อมขอให้พระองค์รอในนั้น และให้องครักษ์รออยู่ในบริเวณนั้นเช่นกัน ตอนนี้โรงพยาบาลวุ่นวายมากเกินไปแล้ว” หมอพอลกล่าว

“แต่เราอยากอยู่รอที่นี่” ทรงตรัส

“กระหม่อมจะรีบไปพบพระองค์ทันทีที่การผ่าตัดเสร็จสิ้น หลังการผ่าตัดกระหม่อมจะให้พระองค์เยี่ยมพระสนมแบบเงียบๆ ได้เป็นกรณีพิเศษ กระหม่อมต้องไปแล้ว คุณแมททิวดูแลองค์เดเมี่ยนด้วย” หมอพอลกล่าว แมททิวพยักหน้าและพาองค์เดเมี่ยนไปรอที่ห้องรับรองพิเศษ

 

เกือบ 6 ชั่วโมงแล้วหมอก็ยังไม่ออกมา องค์เดเมี่ยนเดินไปเดินมาราวกับเสือติดจั่น ในตอนนี้ใครก็เข้าหน้าไม่ติด พระองค์รู้สึกว้าวุ่นใจเป็นที่สุด หวาดกลัวเหลือเกินว่ามิคาเอลจะจากไป พระองค์เฝ้าภาวนาขอให้คนตัวเล็กปลอดภัย ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรพระองค์ก็ยอม ต่อให้เอาชีวิตของพระองค์ไปแทนพระองค์ก็ยอม ตลอดชีวิตนี้มีเพียงมิคาเอลที่พระองค์รักมากขนาดนี้ หากจะต้องเสียมิคาเอลไป พระองค์ก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ต่อไปได้อย่างไร และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังการผ่าตัด ต่อให้มิคาเอลกลายเป็นคนพิการ พระองค์ก็จะรักและดูแลคนตัวเล็กของพระองค์ตลอดไป ในตอนนี้พระองค์เฝ้าอ้อนวอนต่อคนบนฟ้า ต่อพระเจ้า ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้มิคาเอลมีชีวิตอยู่ ขอให้ปลอดภัย ขอให้คนตัวเล็กอย่าได้จากไปจากชีวิตของพระองค์เลย

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเข้าไปในชั่วโมงที่ 7 ในที่สุดทีมแพทย์ก็ออกมาจากห้องผ่าตัด เมื่อองค์เดเมี่ยนรู้ พระองค์ก็รีบรุดหน้าไปพบกับหมอพอล และ หมอปิแอร์ทันที

“มิคาเอล... เป็นอย่างไรบ้าง” ทรงถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

อย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นพระองค์เป็นแบบนี้มาก่อน

“การผ่าตัดประสบความสำเร็จอย่างดีขอรับ โชคดีที่เราสามารถเอาตัวก้อนเนื้อออกมาได้ทั้งหมด หมอปิแอร์เก่งมากครับ ว่าที่พระชายามิคาเอลปลอดภัยแล้ว แต่เราคงจะต้องตรวจเช็คอาการผลข้างเคียงอีกครั้ง เมื่อเธอรู้สึกตัว” หมอพอลกล่าว องค์เดเมี่ยนดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาของพระองค์ไหลรินออกมาด้วยความดีใจ กอดหมอพอลไว้

“ขอบใจ” ทรงตรัส แล้วหันมากอดหมอปิแอร์ด้วยเช่นกัน

“ขอบใจมาก เราขอโทษที่เสียมารยาทก่อนหน้า” ทรงตรัสกับหมอปิแอร์ ที่มองคนตรงหน้าอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย กับความเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจ แอบทึ่งที่หมอพอลกำหราบเจ้าชายได้อย่างอยู่หมัด

 

"กระหม่อมกำลังจะย้ายว่าที่พระชายาไปที่ห้องพักฟื้น อีกครึ่งชั่วโมงพระองค์ก็จะเข้าเยี่ยมได้ กระหม่อมหมายถึง พระองค์เข้าไปอยู่ในห้องได้ แต่ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามรบกวน ห้ามปลุกคนไข้ เข้าใจใช่ไหมขอรับ”

หมอพอลกำชับ

“ขอบใจ”

 

องค์เดเมี่ยนนั่งอยู่ข้างเตียงตลอดเวลาจ้องมองไปที่คนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความห่วงใย เช้าแล้วแต่คนตัวเล็กก็ยังไม่ตื่น ใบหน้าหวานยังคงนอนหลับตา เสียงหายใจเข้าออกยาว อย่างสม่ำเสมอ ที่ศรีษะมีผ้าพันแผลพันอยู่ ในการผ่าตัดหมอเพียงแค่โกนผมเฉพาะส่วน บริเวณที่ผ่าตัดเท่านั้น สมองส่วนที่ได้รับการกระทบกระเทือนคือสมองส่วนหน้า หรือ Cerebrum ซึ่งเป็นสมองที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ความจำ และเป็นศูนย์รวมการรับรู้สัมผัสต่างๆ ทั้งการมองเห็น ได้ยิน รับรส และ ดมกลิ่น รวมไปถึงทักษะในการพูดอีกด้วย หมอกล่าวว่า มิคาเอลอาจได้รับผมกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรืออาจจะหลายอย่างรวมกัน

 

สายน้ำเกลือ และสายเลือด ห้อยระโยงระยาง จนพระองค์รู้สึกเจ็บปวดที่เห็น หากเป็นไปได้ พระองค์อยากจะเป็นคนที่นอนเจ็บอยู่เสียเอง พระองค์กอบกุมมือของมิคาเอลเอาไว้ ก้มลงจุมพิตที่มือเบาๆ ปรารถนาอยากให้

มิคาเอลตื่นขึ้นเสียที

“มิคาเอล เช้าแล้วนะ ตื่นได้แล้วคนดี”

 

ไมเคิลรู้สึกเหมือนแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก อาการปวดหนึบๆ ที่ศรีษะข้างขวา ในขณะที่เขารู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำ อยู่ดีๆ เขาก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น

 

‘มิคาเอล เช้าแล้วนะ ตื่นได้แล้วคนดี’

 

น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยจนไมเคิลรู้สึกเศร้าสร้อย เพียงแค่ได้ยิน น้ำเสียงฟังคุ้นหู แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดเท่าไหร่ ก็คิดไม่ออกว่าเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาจากที่ไหน เขาพยายามจะลืมตาขึ้น แต่เปลือกตาก็ดูจะหนักอึ้งเสียเหลือเกิน แม้จะพยายาม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อาจฝืนทนต่อความง่วงงุนได้ เขาจึงจมดิ่งลงสู่นิทราอีกครั้ง

 

ไมเคิลค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาบนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล เขาจำไม่ได้ ว่าทำไมเขามาอยู่ในโรงพยาบาล เขารู้สึกว่าเขาหลับไปนานเหลือเกิน ความฝันอันลางเลือนจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมเขายังฝันถึงเจ้าชายอีกต่างหาก เขารู้สึกปวดศรีษะ เมื่อเอามือมาคลำก็พบว่ามีผ้าพันแผลพันอยู่ หรือว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุ แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก พอดีมีพยาบาลเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นไมเคิล พยาบาลก็หน้าตาตื่น และรีบวิ่งออกไป ไมเคิลสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

องค์เดเมี่ยนก็ยังคงนั่งเฝ้ามิคาเอลอยู่ไม่ยอมห่าง แต่ความอดทนของพระองค์ก็หมดลง เมื่อเข้าสู่เช้าในวันที่สอง แต่มิคาเอลก็ยังไม่ฟื้น พระองค์เดือดดาลหนักหนา เดินออกจากห้องพักฟื้นของมิคาเอลออกไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะออกไปแผลงฤทธิ์ข้างนอก

 

“หมอพอล กับ หมอปิแอร์อยู่ที่ไหน” ทรงตวาดใส่พยาบาล

“หมอปิแอร์ยังไม่เข้ามาเพคะ ส่วนหมอพอลอยู่ในออฟฟิตเพคะ”

พยาบาลผู้โชคร้ายตอบ

“นำทางเราไปหาหมอพอล” ทรงตรัสเสียงเย็น

จนแมททิวต้องรีบเข้ามาห้าม

“ฝ่าบาท ใจเย็นลงก่อนขอรับ” แมททิวกล่าวเตือนสติ

“เดี๋ยวนี้!!!!” ทรงตะคอกใส่พยาบาล และปัดแมททิวออกห่าง

 

“หากเจ้ายังรักชีวิตอันไร้ค่าของเจ้าอยู่ก็อย่ามาขัดขวางเรา” ทรงหันมาตรัสกับแมททิว พยาบาลผู้โชคร้ายเห็น และได้ยินเต็มสองหูรีบกุลีกุจอพาองค์เดเมี่ยนไปหาหมอพอล เมื่อพระองค์เข้าไปถึง พระองค์ก็ตบโต๊ะเสียงดัง และถามด้วยเสียงเย็นยะเยือกจนหมอพอลยังไม่กล้าหายใจแรง

“ทำไม มิคาเอล ยังไม่ฟื้น”

ทรงตรัส พยายามอย่างยากเย็นจะระงับความโกรธนี้

“ฝ่าบาท ใจเย็นก่อนสิขอรับ คนไข้ผ่าตัดสมองแต่ละคนอาการไม่เหมือนกัน กระหม่อมจะไปตรวจดูอาการเดี๋ยวนี้” หมอพอลกล่าว พอดีกับที่พยาบาลอีกคนวิ่งเข้ามาหา และรีบรายงานทันที

 

“ว่าที่พระชายา... ว่าที่พระชายาฟื้นแล้วเพคะ”

พยาบาลกล่าว แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว องค์เดเมี่ยนรีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักฟื้น โดยมีหมอพอลเดินตามมาห่างๆ

 

องค์เดเมี่ยนเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้ามาถึงพระองค์ก็เห็นพยาบาลพยุงให้มิคาเอลลุกขึ้นนั่งบนเตียง พระองค์ยิ้มออกมาอย่างกว้างขวาง รีบตรงเข้ามาหาเอื้อมมือมาจับมือของคนตัวเล็กไว้ และยกขึ้นจุมพิตอย่างรักใคร่

 

“มิคาเอล เจ้าฟื้นแล้ว เราดีใจเหลือเกิน”

ทรงตรัส แต่พระองค์ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ใบหน้าหวานดูสับสน และตื่นตระหนก ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นพระองค์ ตรงกันข้าม คนตัวเล็กกลับแสดงสีหน้าเย็นชา และพยายามจะดึงมือออก ราวกับว่าไม่รู้จักพระองค์มาก่อน

 

“คุณ... เป็นใคร... ปล่อย!” มิคาเอลพูดอย่างยากลำบาก ตกใจที่อยู่ๆ คนแปลกหน้าก็มาจับมือเขาเอาไปจูบแบบนี้

“มิคาเอล นี่เราเอง เราคือเจ้าชายเดเมี่ยน และเจ้าก็เป็นว่าที่พระชายาของเรา” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวด เมื่อคนตัวเล็กมองมาที่พระองค์ด้วยสายตาที่เย็นชา และรังเกียจ

“ปล่อยผม… ผมชื่อไมเคิล … ผมไม่ใช่มิคาเอล… และผมก็ไม่รู้จักคุณ”

ไมเคิลกล่าว องค์เดเมี่ยนรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดใส่ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่พอมาได้ยิน พระองค์ก็รู้สึกเจ็บเหลือเกิน พระองค์ปล่อยมือช้าๆ อย่างไม่เต็มใจนัก หมอพอลที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ จึงเดินเข้ามาหาและทักทาย

“สวัสดีครับ คุณไมเคิล มิลลส์ ผมคือหมอพอล ผมมีหน้าที่ดูแลคุณ ผมมีคำถามจะถามคุณสักหน่อยนะครับ” หมอพอลทักทาย ตบไหล่ปลอบ

องค์เดเมี่ยนเบาๆ

 

หลังจากที่หมอพอลตรวจเช็คคร่าวๆ จึงรู้ว่า แขนข้างซ้ายของไมเคิลมีอาการชา แต่ยังทำงานได้เป็นปกติ แต่ขาข้างซ้ายตั้งแต่หัวเข่าลงไปในตอนนี้ยังไม่ตอบสนองความรู้สึก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ไมเคิลสูญเสียความทรงจำทั้งหมด ในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เขาไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับคานาเดียเลย และยิ่งไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเจ้าชายเดเมี่ยนแม้แต่น้อย

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 66 คนแปลกหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 20-10-2016 00:09:08
 :เฮ้อ: รู้สึกสะใจนิด ๆ ที่ไมเคิลจำเดเมี่ยนไม่ได้ โดนซะบ้าง 555 แต่อย่านานไปน่ะ เราก้อสงสารเดเมี่ยนน้า  :ruready
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 67 ความคุ้นเคย
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 23-11-2016 07:51:47
 

 

บทที่ 67 ความคุ้นเคย

 

มิคาเอลได้รับการดูแลอย่างดี จากทั้งหมอ พยาบาล และองค์เดเมี่ยน หลังจากที่มิคาเอลฟื้นขึ้นมาได้สองวัน องค์เดเมี่ยนก็รับสั่งให้ย้ายมิคาเอล

กลับไปที่วิลล่า และให้หมอปิแอร์มาอยู่คอยดูแลที่วิลล่า พร้อมกับพยาบาลพิเศษถึงห้าคน คอยสลับสับเปลี่ยนกันมาดูแลมิคาเอลอย่างใกล้ชิด พระองค์สั่งให้เนรมิตบริเวณสำหรับทำกายภาพบำบัดให้กับมิคาเอล สั่งซื้ออุปกรณ์ราคาแพงในการทำกายภาพบำบัดที่ทันสมัยหลายต่อหลายชิ้น และจ้างนักกายภาพบำบัดสองคนมาดูแลมิคาเอลโดยเฉพาะ และยังให้หมอไคโรแพรคติกมานวดให้อีกด้วย

 

หนึ่งเดือนผ่านไปอาการของไมเคิลก็ดีขึ้นตามลำดับ มือและแขนข้างซ้ายไม่มีอาการชาแล้ว แต่ยังอ่อนแรง และยังต้องทำกายภาพอย่างต่อเนื่อง ขาข้างซ้ายก็มีอาการดีขึ้นมาก เขาสามารถยืนและเดินในระยะสั้นๆ ได้ แต่คงยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่เขาจะเดินได้เป็นปกติ ในตอนนี้เขายังต้องนั่งรถเข็นไฟฟ้าไปก่อน แต่สิ่งเดียวที่ไม่พัฒนาขึ้นเลยคือความทรงจำของเขา เขายังคงจำอะไรเกี่ยวกับวิลล่า และเจ้าของวิลล่าที่เขาอยู่ไม่ได้สักอย่าง

 

แม้องค์เดเมี่ยนจะดีกับเขามาก แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกหวาดกลัวคนๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก แม้ทุกคนจะยืนยันว่าเขาเป็นว่าที่พระชายาจริงๆ เขาก็ยังไม่อยากเชื่อ ในตอนนี้เขานอนแยกห้องกับพระองค์ แต่กระนั้นพระองค์จะมาอยู่ในห้องเป็นเพื่อน จนกว่าเขาจะหลับทุกคืน แต่สำหรับไมเคิลเขากลับรู้สึกอึดอัด ที่พระองค์ทำแบบนั้น ช่วงเวลาที่เขาสบายใจที่สุดจึงเป็นช่วงที่องค์เดเมี่ยนเสด็จไปทรงงาน หลังจากเขาเข้ามาอยู่ที่วิลล่า องค์เดเมี่ยนก็มอบแหวนวงหนึ่งที่มีตราสัญลักษณ์ของพระองค์ให้กับเขา ทรงบอกเพียงว่ามันเป็นแหวน ที่พระองค์เคยให้เขาไว้ก่อนหน้าแล้ว แม้จะอยากปฏิเสธ แต่พระองค์ก็บังคับสวมใส่ให้โดยที่เขาไม่ได้เต็มใจ

 

องค์เดเมี่ยนพูดถึงตัวเองน้อยมาก กระนั้นพระองค์ก็ใจดีและรับฟังคำขอร้องของเขาเสมอ แต่หลายต่อหลายครั้งที่พระองค์จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวด และเศร้าสร้อย พระองค์แทบไม่เคยแตะต้องเขาอีก นับจากวันที่เขาตื่นขึ้นมา นอกเสียจากว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ก็จะเข้ามาอุ้มเขาเสมอ เหมือนกับตอนนี้

 

“เจ้าน้ำหนักลงอีกแล้วใช่ไหม ทำไมเจ้าไม่ทานอะไรบ้าง” ทรงถาม

“ผมขอโทษครับ” มิคาเอลกล่าวขอโทษ หวาดกลัวคนตรงหน้า พระองค์มองคนตรงหน้าด้วยความทรมาน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เราแค่เป็นห่วงเจ้า เราอยากให้เจ้าแข็งแรงเร็วๆ” ทรงตรัส อยากจะจูบคนตรงหน้า แต่พอเห็นสีหน้าที่หวาดกลัว พระองค์ก็หักห้ามใจ ค่อยๆ วางคนตัวเล็กลงนั่งที่เก้าอี้ในห้องน้ำ

“ผมอาบน้ำเองได้ครับ ขอบคุณครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลกล่าวอยากให้พระองค์ออกไปเร็วๆ

“ให้เราทำให้ไม่ได้เหรอ” พระองค์คุกเข่าลงต่อหน้า และตรัสถาม

“พยาบาลก็มี ให้พยาบาลทำก็ได้ครับ” มิคาเอลกล่าวปฏิเสธ

“เราอยากทำให้เจ้า”

ทรงตรัส เดินไปเปิดน้ำใส่อ่างจากุซซี่ ที่พระองค์สั่งให้มาติดตั้งให้มิคาเอลโดยเฉพาะ เนื่องจากได้รับคำแนะนำว่าระบบน้ำวนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และระบบประสาทให้แก่มิคาเอล พระองค์เทสบู่เหลวลงไป และเปิดระบบน้ำวนจนฟองสบู่เต็มอ่าง พระองค์จึงเดินกลับมาหาคนตัวเล็ก

 

มิคาเอลหน้าแดงเมื่อคิดว่าจะต้องเปลือยกายต่อหน้าเจ้าชายเดเมี่ยน

“ฝ่าบาท ผมอาบเองได้ครับ” มิคาเอลรีบปฏิเสธ แต่องค์เดเมี่ยนกลับทำหน้าไม่พอใจ

“หากเจ้าล้มไปจะทำอย่างไร” ทรงตรัสถาม มิคาเอลจึงก้มหน้าลง

เมื่อโดนดุ พระองค์ก็ทรงรู้สึกผิด คุกเข่าลงต่อหน้าคนตัวเล็ก

“มิคาเอล เราขอโทษ เราเป็นห่วงเจ้า เรารักเจ้า เราไม่ต้องทำงานในวันนี้ เราก็อยากอยู่กับเจ้า ดูแลเจ้า” ทรงตรัสอย่างอ่อนโยน ด้วยน้ำเสียงที่แสนเศร้าจนมิคาเอลรู้สึกผิด

“ผมขอโทษครับที่จำอะไรไม่ได้ ผม… ในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร สำหรับผม พระองค์เหมือนคนแปลกหน้า อยู่ดีๆ จะให้ผมตอบรับรักพระองค์ ผมก็ทำไม่ได้” มิคาเอลตอบตามตรง

“เรารู้ และเราเข้าใจดี เราไม่ได้โกรธ แต่อย่างน้อยขอให้เราได้รักเจ้าจะได้ไหม” ทรงตรัสถาม

“ผมทราบครับว่าพระองค์รัก…มิคาเอล แต่สำหรับผม ผมไม่ใช่มิคาเอล ผมคือไมเคิล” คนตัวเล็กกล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นไมเคิลหรือมิคาเอล เจ้าก็ก็คือคนๆ เดียวกัน เจ้าคือเจ้าของหัวใจของเรา” ทรงตรัสอย่างจริงจัง จนมิคาเอลหน้าแดง

“ผมไม่ชินกับการพูดแบบนี้ของพระองค์” มิคาเอลกล่าว

“เรารักเจ้า เราพูดตามความจริง” ทรงตรัส

“ผมก็ยังไม่ชินอยู่ดี” มิคาเอลกล่าว พระองค์จึงโน้มตัวเข้ามาใกล้ และจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของคนตัวเล็ก มิคาเอลก็หน้าแดง

“เราทำกับเจ้ามากกว่านี้ด้วยซ้ำ” ทรงตรัส เมื่อเห็นคนตัวเล็กหน้าแดงจัด

“มาเถอะ เดี๋ยวน้ำจะเย็นเสียก่อน” ทรงตรัสและทำท่าจะช่วยมิคาเอลถอดเสื้อผ้า

“ผมถอดเองได้ครับ พระองค์หันหลังด้วย” มิคาเอลรีบประท้วง นี่เป็นวันแรกที่องค์เดเมี่ยนทำแบบนี้กับเขา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พระองค์แทบจะไม่แตะต้องเขาเลย แต่ตอนนี้กลับเอาแต่จะลวนลามเขา

“เราเห็นของเจ้าหมดแล้ว และเราก็ทำมากกว่าแค่เห็นด้วย” ทรงตรัสแต่ก็โดนมิคาเอลปาเสื้อใส่ พระองค์ก็หัวเราะเบาๆ และหันหลังให้

 

“แล้วเจ้าจะลงอ่างอย่างไร” ทรงถาม

“ผมเดินได้ครับ” มิคาเอลตอบ พระองค์ส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของคนตัวเล็ก สุดท้ายพระองค์ก็หันหน้ามา พอมิคาเอลเห็นก็ตกใจ และทำท่าจะล้มลง พระองค์ก็เข้าไปช้อนร่างเอาไว้ ชั่วขณะหนึ่งภาพบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของมิคาเอล แต่เขาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เมื่อรู้ตัว ว่าเขาเปล่าเปลือย อยู่ในอ้อมกอดขององค์เดเมี่ยน เขาก็ยิ่งเขินอายเข้าไปอีก

“เจ้าจะเขินอายไปทำไม เราบอกแล้วไง ว่าเราเห็นของเจ้าหมดแล้ว และเจ้าก็งดงามมากที่สุดด้วย” ทรงตรัส ก้มลงจุมพิตที่แก้มของคนตัวเล็กเบาๆ

“อย่าครับ ฝ่าบาท ผมขอร้อง” มิคาเอลผลักใบหน้าของพระองค์ออก พระองค์จึงหยุด และพาคนตัวเล็กลงไปในอ่างน้ำวน

 

มิคาเอลดูผ่อนคลายลง เมื่อแช่อยู่ในน้ำ จริงๆ แล้วเขาเพิ่งได้อาบน้ำในอ่างเป็นครั้งแรก เพราะอ่างสูงเกินกว่าเขาจะก้าวลงไปได้ และเขาก็ยังลุกขึ้นเองไม่ได้ แต่ในขณะที่มิคาเอลกำลังผ่อนคลาย แขกไม่ได้รับเชิญก็ก้าวลงมาในอ่างด้วย

 

“ฝ่าบาท ทรงทำอะไรครับ”

มิคาเอลเอ่ยถามแล้วก็ยิ่งหน้าแดงเมื่อเห็นร่างเปลือยของพระองค์ ร่างของพระองค์กึ่งหลับกึ่งตื่นยังมีขนาดใหญ่ขนาดนั้น แล้ว... มิคาเอลรีบไล่ความคิดออกไปกระเถิบตัวออกห่างจากองค์เดเมี่ยนที่นั่งลงข้างหลังเขา

“เจ้าจะไปไหน” ทรงตรัสถาม รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้ และกอดเอาไว้

“ฝ่าบาท ใจร้าย คนฉวยโอกาส” มิคาเอลต่อว่า เมื่อหนีไม่พ้น

“เรารอเจ้ามาทั้งเดือนแต่เจ้าก็ยังจำเราไม่ได้ เราไม่อยากรอแล้ว” ทรงตรัสรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอด

“เรารักเจ้า เราคิดถึงเจ้า เราห้ามตัวเองไม่ให้สัมผัสเจ้ามาตลอด เพราะเรากลัวเจ้าจะเกลียดเรา” ทรงตรัส และกอดมิคาเอลเอาไว้ คนตัวเล็กหน้าแดงเมื่อร่างกายแนบชิดไปกับพระองค์แบบนี้

“ฝ่าบาท ปล่อยครับ” มิคาเอลขืนตัวออก

“เราอยากกอดเจ้าไม่ได้เหรอ” ทรงถาม

“กอดแบบนี้มันมากเกินไป” มิคาเอลกล่าว หน้าแดง

“เราทำให้เจ้าตื่นตัวหรือ” ทรงถามหยอกเย้า

“ฝ่าบาท!” มิคาเอลทำเสียงดุ แต่พระองค์กลับหัวเราะเบาๆ

“จริงๆ เราก็เคยร่วมรักกับเจ้าในอ่างน้ำนี่นา มาลองฟื้นความหลังกันไหม” ทรงถาม

“ไม่เอาครับ” มิคาเอลปฏิเสธอย่างจริงจัง

“งั้นเราจะสระผมให้เจ้า เจ้าเคยทำให้เรามาก่อน เราจะทำให้เจ้าบ้าง” ทรงตรัสรั้งคนตัวเล็กเข้ามาหา และเทแชมพูสระผมให้กับคนตัวเล็ก

 

มิคาเอลนั่งนิ่งให้พระองค์ทำให้ ชั่ววินาทีที่ภาพบางอย่างปรากฎขึ้นในหัวอีกครั้งอย่างเลือนลาง และจางหายไป องค์เดเมี่ยนสระผมให้กับเขาอย่างเบามือ รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดเป็นเพียงรอยจางๆ ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผมสีน้ำตาลอ่อนสวยของมิคาเอล แต่เมื่อทรงรู้สึกถึงรอยแผล พระองค์ก็อดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ ที่ต้องเห็นคนที่พระองค์รักต้องมาทรมานแบบนี้

 

“นอนลงสิ เราจะล้างผมให้” ทรงตรัส มิคาเอลจึงนอนลงอย่างว่าง่าย แปลกใจที่องค์เดเมี่ยนอ่อนโยน และดีกับเขามากถึงเพียงนี้ แต่เมื่อสระผมเสร็จ

มิคาเอลก็ค่อยๆ ถอยออกห่างพระองค์

“ผมได้ยินว่าพระองค์เจ้าชู้ และมีสนมหลายคน” มิคาเอลกล่าวขึ้น นั่งชิดขอบของอีกฝั่งของอ่าง หันหน้าเข้าหาพระองค์แทน

“เราเคยมีสนมหลายคน จนมาเจอเจ้า” ทรงตรัสมองคนตรงหน้าอย่างรักใคร่

“ทำไมครับ”

“เจ้าไม่ชอบคนเจ้าชู้ เจ้าขอให้เรามีเจ้าคนเดียว” ทรงตรัส

“แต่พระองค์เป็นเจ้าชาย พระองค์มีสิทธ์ ไม่ใช่เหรอครับ” มิคาเอลถาม

“ใช่ แต่เจ้าขี้หึง เวลาเจ้าหึง เจ้าก็เอาแต่จะพยายามหนีไปจากเรา” ทรงตรัส

“ผม...” มิคาเอลหน้าแดง

“เราก็ขี้หึงนะ แล้วเราก็หวงเจ้าด้วย  เราไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวเจ้า โดยเฉพาะเจ้านักกายภาพบำบัดทั้งสองคนนั้น” ทรงตรัสเสียงเย็น

“ทอมมี่ กับ เรย์ ก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง” มิคาเอลกล่าวปกป้อง

“และเราก็ไม่ชอบให้เจ้าเรียกชื่อชายอื่นต่อหน้าเรา” ทรงตรัส

“เอ่อ... ผมขอโทษครับ”

“เราควรจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี” ทรงถาม

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” มิคาเอลเถียง

“ผิดสิ เจ้ายังเรียกชื่อชายคนอื่น ยอมให้คนอื่นจับต้องตัวเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ยอมเรียกชื่อเรา ไม่ยอมให้เราสัมผัส ขนาดอยู่ในอ่างน้ำ เจ้ายังหนีเราไปอยู่ตรงนั้น” ทรงตรัสอย่างน้อยใจ

“ผม... ขอโทษครับ... ผมอาย” มิคาเอลกล่าว

“เจ้าไม่จำเป็นต้องอาย เจ้างดงามที่สุด กลับมาหาเรา” ทรงตรัส พร้อมกับยื่นมือออกมาหา มิคาเอลแปลกใจเหมือนเคยได้ยิน และเห็นภาพนี้มาก่อน เขาค่อยๆ เขยิบเข้ามาหา พระองค์รั้งเขาเอาไว้ และพาไปนั่งบนตัก ร่างของพระองค์ตื่นตัวและเสียดสีอยู่กับก้นของเขา มิคาเอลตกใจ แต่พระองค์ก็กอดเขาเอาไว้

“เราจะไม่ทำอะไรเจ้า เราจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่ต้องการ เราสัญญา” ทรงตรัส ขยับร่างของพระองค์ออกแต่มิคาเอลก็ยังรู้สึก

“เราไม่ได้ร่วมรักกับเจ้ามาตั้งเดือน ในตอนนี้เจ้ามาอยู่ตรงหน้า ร่างกายเราก็ตอบสนองเป็นธรรมดา” ทรงตรัสราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่

“ร่วมรัก ... ผมกับพระองค์ ... เรา...” มิคาเอลถามอย่างเขินอาย หน้าหวานแดงเรื่อไปหมด

“เราร่วมรักกับเจ้าแทบทุกคืน และเจ้าก็พึงพอใจที่ร่วมรักกับเรา” ทรงตรัส มิคาเอลตกใจ ในความทรงจำของเขา เขาไม่เคยร่วมรักกับใคร แล้วทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงได้

“เราเป็นคนแรกและคนเดียวของเจ้า” ทรงตรัส มิคาเอลอายจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แล้วจู่ องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นออกจากอ่าง แม้จะไม่อยากมอง แต่ก็เหมือนเขาจะละสายตาจากพระองค์ไม่ได้ ร่างกายอันกำยำ มีแต่กล้ามเนื้อ อีกครั้งที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับร่างกายนี้เสียเหลือเกิน พระองค์หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบกายไว้ และเดินกลับมาหาคนตัวเล็ก

“ผมยังไม่อยากขึ้นครับ” มิคาเอลปฏิเสธ แต่พระองค์ก็ไม่ฟัง อุ้มร่างของ

มิคาเอลขึ้นจากน้ำ

“อาบนานเกินไป เดี๋ยวเจ้าก็ไม่สบายพอดี” ทรงตรัสดุเบาๆ สายตาของพระองค์ก็ไปเห็นร่างที่กำลังตื่นตัวของมิคาเอลเข้า มิคาเอลหน้าแดง รู้สึกอับอายเหลือเกิน

“เราดีใจ ที่อย่างน้อยร่างกายของเจ้า ก็ยังไม่ลืมเรา” ทรงตรัสและยิ้มออกมา พาร่างเล็กกลับไปในห้องนอน

 

พระองค์วางมิคาเอลบนเตียงแล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอุ่นไว้หน้าเตาผิงมาเช็ดตัวให้ อีกครั้งที่มิคาเอลแปลกใจที่คนๆ นี้อ่อนโยนและดีกับเขามากเหลือเกิน แต่เหมือนยิ่งพระองค์สัมผัสเขา เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น จนเมื่อพระองค์เอาน้ำมันอัลมอนด์มานวดที่ขาให้กับเขา มิคาเอลก็แทบจะครางออกมา

“เจ้าอยากให้เราช่วยไหม” ทรงตรัสถาม ด้วยรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังเกิดอารมณ์

“ผม...” คนตัวเล็กหน้าแดง ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

 

พระองค์ยิ้มเอื้อมมือมาสัมผัสที่ปลายเท้าก่อนบีบนวดเบาๆ และไล้ขึ้นสูง พระองค์ยกเท้าของคนตัวเล็กขึ้น ก้มลงจูบที่เท้าของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา และค่อยๆ ไล้ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ พระองค์เอื้อมมือมาปลดผ้าเช็ดตัวออก มิคาเอลเขินอายเอามือมาปิด พยายามจะหนีบขาเข้าหากันแต่พระองค์ก็คุกเข่าและแทรกตัวอยู่ระหว่างขาของเขา พระองค์เงยหน้าขึ้นช้าๆ รั้งใบหน้าหวานเข้ามาใกล้ ทรงสัมผัสริมฝีปากของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา จุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอ่อนโยน อีกครั้ง และอีกครั้ง สติของมิคาเอลก็ดูจะค่อยๆ ล่องลอยไป พระองค์จูบคนตัวเล็กเนิ่นนาน ดูดกลืนความหอมหวานทั้งหมด อย่างโหยหา ลิ้นร้อนของพระองค์หยอกล้อที่ริมฝีปากของคนตัวเล็ก ในที่สุดคนตัวเล็กก็ยอมส่งลิ้นอันหอมหวานมาสัมผัสกับลิ้นของพระองค์ คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ ในคอ อย่างพึงพอใจ แต่พอได้ยินเสียงของตัวเอง มิคาเอลก็รีบถอนริมฝีปากออก ตกใจที่เขาส่งเสียงน่าอายแบบนั้นออกมา และรีบเอามือปิดปากเอาไว้

“เราอยากได้ยินเสียงของเจ้า”

ทรงตรัส ก่อนจะครอบครองยอดทับทิมสีชมพูตรงหน้า พระองค์ดูดกลืนเบาๆ อย่างหิวกระหาย ขบกัดเบาๆ หยอกล้อ มิคาเอลครางออกมาอีกครั้ง เอื้อมมือจับพระองค์ไว้ อยากจะผลักออกแต่ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงหายไปไหน

“เรารักเจ้า มิคาเอล”

ทรงตรัส แล้วจูบไล้ลงต่ำ พระองค์แยกขาของมิคาเอลออก มองร่างที่กำลังตื่นตัวของคนตัวเล็ก

 

“อย่ามอง อย่าครับ” เสียงแผ่วเบาของคนตัวเล็กดังขึ้น

“เจ้ากำลังตื่นตัว ให้เราช่วยนะ” ทรงเสนอ

“อย่าครับ ผมทำเองได้” มิคาเอลตอบปฏิเสธอย่างยากเย็น

“เจ้าปลดปล่อยเองไม่ได้หรอก ร่างกายของเจ้าต้องการเรา” ทรงตรัส ถึงจะอยากปฏิเสธ แต่มิคาเอลก็ไม่อาจหาคำพูดใดๆ มาขัดได้ เพียงพระองค์สัมผัสแผ่วเบา ทุกส่วนของร่างกายเขาก็แทบจะลุกเป็นไฟ ด้วยความปรารถนา

“เจ้าเป็นคนรักของเรา เจ้ากำลังทรมาน ให้เราทำให้เถอะ” ทรงตรัสเสียงแหบพล่า

“ผม...” มิคาเอลพูดได้แค่นั้น พระองค์ก็ก้มลงครอบครองเขา มือใหญ่กอบกุมเขาจากฐาน ลิ้นร้อนตวัดที่ปลายยอดอย่างเร่าร้อน มิคาเอลครางออกมา

 

“นอนลงสิ”

ทรงตรัส รั้งให้คนตัวเล็กนอนลง มิคาเอลทิ้งตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ปล่อยให้พระองค์ร่ายมนต์ต่อไป พระองค์ค่อยๆ ครอบครองเขาไว้ในปาก ดูดกลืนหยดน้ำสีใสที่ไหลซึมออกมา ลิ้นร้อนตวัดรอบ ปากของพระองค์ก็ขยับขึ้นลงดูดดื่มเขาเป็นจังหวะ สอดประสานกับมือใหญ่ที่ขยับไปพร้อมกัน พระองค์เชี่ยวชาญเกินไป ทุกส่วนของมิคาเอลเกร็งตัว บีบรัด เสียงครางดังขึ้น

“ฝ่าบาท ผม... ผม... จะถึงแล้วครับ... อาาาา”

 มิคาเอลพยายามร้องเตือนและผลักพระองค์ออก แต่พระองค์ก็ยังคงครอบครองเขาไว้ ในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นออกมา ในปากของพระองค์ และพระองค์ก็กลืนกินมันทั้งหมด มิคาเอลหอบหายใจ มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งไม่เข้าใจร่างกายของตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะปลดปล่อยไป แต่ความปรารถนาก็ยังไม่ลดลงเลย

 

พระองค์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายของพระองค์ใหญ่โตเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเขา เมื่อมองต่ำลงร่างของพระองค์ก็ตื่นตัวเต็มที่เช่นกัน ใหญ่โตและแข็งแกร่ง จนเขารู้สึกหวาดกลัว ร่างเล็กถอยร่นหนีพระองค์ แต่พระองค์ก็ตามขึ้นมาบนเตียง มิคาเอลรู้ว่าเขาคงหนีพระองค์ไม่พ้น หลับตาลง และเอามือป้องไว้ แต่พระองค์กลับทิ้งตัวลงเคียงข้างรั้งร่างของเขาเข้าไปกอดแทน

 

“เราบอกแล้วไง ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่ต้องการ ให้เรากอดเจ้าแบบนี้สักพักนะ” ทรงตรัส รั้งร่างของเขา ขึ้นมาบนร่างของพระองค์ ลูบศรีษะของเขาแนบลงบนหัวใจของพระองค์ อีกครั้งที่มิคาเอลรู้สึกคุ้นเคยกับที่ตรงนี้เหลือเกิน อบอุ่น ปลอดภัย จนน้ำตาของเขาค่อยๆ ไหลออกมา

 

“เจ้าเคยบอกว่า อ้อมกอดของเรา คือบ้านของเจ้า”

ทรงตรัสและจุมพิตแผ่วเบา ลูบไล้ศรีษะเขาอย่างรักใคร่ และทนุถนอม สัมผัสอันอ่อนโยน เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ ค่อยๆ ปลอบโยน และขับกล่อมมิคาเอลสู่ห้วงนิทรา

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 67 ความคุ้นเคย
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 23-11-2016 22:16:27
ตอนนี้มิคาเอลต้องเอาคืนน่ะจ้ะ 555 อย่าเพิ่งฟื้นความทรงจำ ทรมานเดเมี่ยนไปก่อน  :mew4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 68 ความเอาแต่ใจ
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 10-12-2016 13:12:41
 

 

บทที่ 68 ความเอาแต่ใจ

 

มิคาเอลลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง แต่พอจำได้ว่าเขาอยู่บนร่างขององค์เดเมี่ยนเขาก็ยิ่งตกใจ แต่พระองค์ก็กอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ตื่นแล้วเหรอ” ทรงทักทาย ยิ้มให้เขา

“ครับ” มิคาเอลตอบหน้าแดง พยายามจะขยับตัว แต่ร่างอันเปลือยเปล่าก็เสียดสีกับร่างกายของพระองค์ จนร่างของพระองค์ตื่นขึ้นมาอีก มิคาเอลรู้สึกได้ ก็หน้าแดง

“เราขอโทษ เราปรารถนาเจ้า จนร่างของเรามันเจ็บปวดไปหมดแล้ว อย่าขยับตัวสิ ยิ่งเจ้าขยับเราก็ยิ่งต้องการ” ทรงตรัส สีหน้าดูทรมาน จนมิคาเอลรู้สึกสงสาร

“ปล่อยผมสิครับ” มิคาเอลเสนอ

“เราคิดถึงเจ้า อยากกอดเจ้าไว้นานๆ” ทรงตรัส

“แต่พระองค์กำลังทรมาน” มิคาเอลกล่าวเสียงเบา เขารู้ว่าการไม่ได้ปลดปล่อยมันทรมานขนาดไหน

“เราไม่เป็นไรหรอก ถือเป็นการทำโทษเราไปในตัว ไม่ดีเหรอ” ทรงตรัส

“ผมไม่ได้อยากเห็นพระองค์ทรมานเสียหน่อย” มิคาเอลกล่าว แล้วก็รู้สึกเสียใจ ที่ดูเหมือนเขากำลังขุดหลุมให้กับตัวเอง พระองค์พลิกร่างของเขาลงไว้ใต้ร่างของพระองค์

“งั้นเจ้าจะช่วยเราปลดปล่อยได้ไหม” ทรงตรัสถาม มิคาเอลหน้าแดงจัด

“ผม...” มิคาเอลลังเล พระองค์จึงลุกขึ้น

“เราล้อเล่นน่ะ” ทรงตรัส

“ฝ่าบาท... ผม... ต้องทำยังไงครับ” มิคาเอลกล่าว แทบไม่อยากเชื่อหูว่าเขาพูดออกไป แต่องค์เดเมี่ยนดีกับเขามากเหลือเกิน เขาไม่อยากเห็นแก่ตัวมากไปกว่านี้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนหรอก เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับเราอยู่ และเจ้าก็เคยเกลียดการร่วมรักไม่ใช่เหรอ” ทรงตรัสอ่อนโยน มือ ใหญ่ไล้ที่ใบหน้าของมิคาเอลแผ่วเบา

“ผม... กับ ... พระองค์ ...” มิคาเอลเอ่ยถามได้แค่นั้น

“เจ้าทำให้เราคลั่ง ร่างกายของเราปรารถนาเจ้า และเจ้าก็เคยปรารถนาเรามากเช่นกัน” ทรงตรัส มิคาเอลนิ่งเงียบไป

“เราจะไปอาบน้ำ บางทีอาจจะทำให้เราเย็นลง” ทรงตรัสและเดินไปที่ห้องน้ำ

“ฝ่าบาทครับ... ผม” มิคาเอลกล่าวบางอย่างที่พระองค์ไม่ได้ยิน พระองค์จึงเดินกลับมาหา

“เจ้าว่าอะไร” ทรงถาม ลูบศรีษะคนตัวเล็ก

“... ร... ร่วมรัก... กับผม” มิคาเอลกล่าว ใบหน้าหวานแดงจัด

“เจ้าเห็นเราเป็นคนบ้ากามขนาดนั้นเลยหรือ เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำหรอก” ทรงตรัส

“พระองค์รักผมใช่ไหมครับ” มิคาเอลถาม

“เรารักเจ้าหมดหัวใจ” ทรงตอบจริงจัง

“แล้วผมล่ะครับ รักพระองค์หรือเปล่า” มิคาเอลถาม

“สิ่งสุดท้ายที่เจ้าบอกเราก่อนเจ้าจะผ่าตัด คือคำบอกรักของเจ้า” ทรงตรัสอย่างเจ็บปวดเมื่อคิดถึง

“ผมจำอะไรไม่ได้เลย แต่ผมก็รู้ว่าพระองค์ไม่ได้โกหก ถึงผมจะจำไม่ได้ แต่ร่างกายของผมจำพระองค์ได้ ร่างกายของผมต้องการพระองค์”

มิคาเอลกล่าว

“ผมรู้ว่าพระองค์เจ็บปวดที่ผมเป็นแบบนี้ เจ็บปวดที่ผมจำอะไรไม่ได้ แต่ในวันนี้เพราะพระองค์เอาแต่ใจ ผมเหมือนจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง แม้จะยังสับสนอยู่ บางทีหากพระองค์ดูแลผมเหมือนตอนก่อนที่ผมจะเสียความทรงจำ บางทีผมอาจจะจำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ได้” มิคาเอลตอบ

“เรารักเจ้า ปรารถนาเจ้า ต้องการเจ้า ทุกลมหายใจของเรามีแต่เจ้า แต่เราไม่อยากถูกเจ้าเกลียด เรากลัวว่าเจ้าจะไม่รัก และไม่ต้องการเรา เรากลัวจะทำให้เจ้าเสียใจ เราจึงไม่อยากฝืนใจเจ้า เรารักเจ้ามาก มากยิ่งกว่าสิ่งใด” ทรงตรัส มิคาเอลพยายามยืนขึ้น พระองค์จึงเข้ามาประคอง คนตัวเล็กกอดพระองค์ไว้

“ผมจะเกลียดคนที่รักผมมากขนาดนี้ได้อย่างไร ผม... อยากจะลองดูครับ ผมต้องการ ...ร่วมรัก... กับพระองค์” มิคาเอลกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก เขาหวาดกลัว แต่เขาก็อยากจะลองเชื่อใจคนตรงหน้าดูสักครั้ง พระองค์กอดตอบร่างของมิคาเอลไว้ จุมพิตอย่างอ่อนโยน อุ้มคนตัวเล็กวางบนเตียง ก่อนจะสวมเสื้อคลุม และเดินออกไปจากห้อง

 

มิคาเอลไม่เข้าใจ เขาคิดว่าเขาทำอะไรผิด แต่พระองค์ก็เดินกลับมาพร้อมกับชุดสีขาวและสีดำ

“เจ้าจำชุดนี้ได้ไหม” ทรงตรัสถาม มิคาเอลส่ายหน้า

“เราเคยพาเจ้าไปเที่ยวชมไร่ไวน์ในฝรั่งเศส เจ้าสวมชุดนี้ แต่เจ้าเลือกพันผ้าพันคอสีดำของเรา” ทรงตรัส

“เราเคยสัญญาต่อเจ้าว่าหากเจ้าจำไม่ได้ ว่าเจ้าเคยรักเรามากขนาดไหน เราจะสร้างความทรงจำใหม่ให้กับเจ้า เราจะทำให้เจ้ารักเราอีกครั้ง เราจะพาเจ้าไปเที่ยว ไปฝรั่งเศสกับเรานะ ไปชาร์โตว์ เดอ ลาเบลล กับเรา” ทรงตรัส

“แล้วงานของพระองค์ล่ะครับ” มิคาเอลตกใจ

“ก็ให้คนอื่นทำไป สำหรับเรา เจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าชอบที่นั่น บางทีเจ้าอาจจะจำอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้” ทรงตรัสเอาแต่ใจเป็นที่สุด มิคาเอลหน้าแดงที่ทรงทำให้กับเขามากขนาดนี้

 

องค์นาธานเนียลกำลังโกรธจัดเมื่อทราบว่าพระเชษฐาจอมเอาแต่ใจ แอบหนีออกจากวังในเวลากลางวันแสกๆ แจ้งกับพระองค์เพียงว่าจะขอหยุดหนึ่งวันเพื่อดูแลมิคาเอล และบอกว่าจะพามิคาเอลไปเที่ยวนอกวัง แต่ก็พาหมอปิแอร์และพยาบาลไปด้วย 3 คน พร้อมองครักษ์จำนวนหนึ่ง กว่าพระองค์จะทรงทราบ องค์เดเมี่ยนก็อยู่บนเครื่องที่กำลังจะออก และบอกเพียงว่าจะไม่กลับจนกว่ามิคาเอลจะดีขึ้น

 

องค์นาธานเนียลทั้งโกรธ และโมโหพระเชษฐาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องมาลงกับข้าวของแทน

“เสด็จพี่นาธานเนียล” เสียงเบาๆ ดังขึ้น อยู่หลังประตูห้องทรงงานอย่างหวาดๆ องค์นาธานเนียลจึงค่อยๆ สงบสติลง

“ว่าอย่างไร เจ้าชายน้อยคริสโตเฟอร์” ทรงตรัสทัก ด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว เจ้าชายคริสโตเฟอร์เป็นเจ้าชายองค์เล็กของราชวงศ์ อายุเพียง 20 ชันษา และกำลังศึกษาอยู่ในมหาลัยปี 2 ในคานาเดีย นอกจากใบหน้าที่ดูสวยหวานดุจสตรี ร่างกายที่บอบบางแตกต่างจากเจ้าชายพระองค์อื่นแล้ว ความสามารถ และสติปัญญา มิได้เป็นรองเจ้าชายพระองค์ใดเลย

“ผมเข้าช่วงสปริงเบรคแล้วครับ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยงานได้บ้างไหมครับ” เจ้าชายน้อยถาม องค์นาธานเนียลได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เดินเข้ามาโอบกอดน้องชายต่างมารดาอย่างรักใคร่

“เจ้ามาได้จังหวะดีจริงๆ คริสโตเฟอร์” ทรงตรัสอย่างอารมณ์ดี ผิดกับคนก่อนหน้าราวกับคนละคน และเริ่มร่ายยาวมอบหมายงานให้กับเจ้าชายน้อยผู้โชคร้าย

 

เมื่อมาถึงยังคฤหาสน์ องค์เดเมี่ยนก็ทรงคอยอยู่เคียงข้างมิคาเอลตลอดเวลาไม่ห่าง ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา พระองค์ก็แทบจะกลายเป็นเงาตามตัวของเขา พระองค์คอยชวนคุย พาไปเที่ยวที่ต่างๆ ทำดี และเอาใจเขาสารพัด ไม่ว่าเขาอยากได้อะไร หรือทำอะไร พระองค์ก็ตามใจเขาหมดทุกอย่าง จนมิคาเอลไม่เข้าใจคนตรงหน้า ก่อนหน้าพระองค์ก็ดูเย็นชา และเจ็บปวด ตอนนี้กลับมาเอาอกเอาใจ แล้วยังมาทำหวานใส่เขาอีก

 

“หน้าเรามีอะไรติดหรือ” ทรงตรัสถามขณะปอกแอปเปิลให้คนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องพระองค์

“พระองค์เอาแต่ใจ แถมยังโหดร้ายกับคนอื่น ไม่ชอบให้ใครมาขัดใจพระองค์ แล้วทำไมพระองค์ถึงได้ทำดีกับผมนักล่ะครับ” มิคาเอลถามอย่างไม่เข้าใจ

“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ ว่าเรารักเจ้ามากแค่ไหน” ทรงตรัส ป้อนแอปเปิ้ลให้คนตัวเล็ก พอมิคาเอลจะหยิบมาถือ พระองค์ก็ไม่ยอม สุดท้ายจึงต้องกัดจากมือของพระองค์ มิคาเอลหน้าแดงอีกครั้ง

“เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ทรงตรัสถามเอาหน้าผากมาแตะที่หน้าผากของคนตัวเล็ก มิคาเอลก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก

“ผมสบายดีครับ พระองค์หยุดทำเรื่องน่าอายแบบนี้ได้แล้ว”

มิคาเอลแอบบ่น

“เจ้าไม่อยากให้เราอ่อนโยนกับเจ้าหรอกหรือ” ทรงถาม ป้อนแอปเปิ้ลต่อ

มิคาเอลจึงทานจากมือของพระองค์อย่างว่าง่าย และพยักหน้าน้อยๆ

 

“แอปเปิลอร่อยไหม” ทรงถาม มิคาเอลยิ้ม

“อร่อยครับ” คนตัวเล็กตอบ

“ขอเราชิมบ้างได้ไหม” ทรงถามเรียบๆ มิคาเอลพยักหน้า

 

พระองค์จึงรั้งร่างเล็กเข้าหาก่อนจะครอบครองริมฝีปากบางอย่างเย้ายวน หอมหวาน และรัญจวนใจ ลิ้นของพระองค์หยอกล้ออยู่ที่ริมฝีปาก ก่อนจะสอดใส่เข้าไปช้าๆ ลิ้นเล็กของมิคาเอลก็ค่อยๆ ตอบสนองต่อพระองค์ ลิ้นพระองค์เกี่ยวกระหวัดรั้งให้ลิ้นของคนตัวเล็กเข้ามาในปากของพระองค์ มิคาเอลอ่อนระทวยไปหมด ยินยอมต่อองค์เดเมี่ยนโดยไม่อาจจะขัดขืน ความปรารถนาก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ แต่องค์เดเมี่ยนก็ถอนริมฝีปากออก ปล่อยให้มิคาเอลดูหลงละเมอกับรสจูบที่เพิ่งผ่านไป

 

“เจ้าเป็นแอปเปิลที่อร่อยที่สุด”

ทรงตรัส มิคาเอลรู้สึกเขินอาย องค์เดเมี่ยนตรัสแต่สิ่งน่าอายอย่างไม่สะทกสะท้านแบบนี้ได้อย่างไร

“เราปรารถนาเจ้าจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว เป็นของเราได้ไหม” ทรงตรัสถามตามตรงจนมิคาเอลตกใจ

“ผม...ผมก็บอกพระองค์ไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ พระองค์ต่างหากที่ไม่ยอมแตะต้องผม” มิคาเอลกล่าวหันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองคนตรงหน้า ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา องค์เดเมี่ยนเอาแต่ยั่วให้เขาปรารถนา แต่ก็ไม่ยอมแตะต้องเขาจริงๆ เสียที

 

และอีกครั้งที่มิคาเอลตกใจที่จู่ๆ องค์เดเมี่ยนก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงต่อหน้าเขา ร่างกายที่ใหญ่โต แต่สัมผัสของพระองค์กลับอ่อนโยน พระองค์ช้อนร่างเขาขึ้นไว้ในอ้อมกอด ทรงประทับริมฝีปากลงครอบครองเขาไว้ จากจุมพิตที่อ่อนโยนก็ค่อยแปรเปลี่ยนจุมพิตที่ดุดัน เร่าร้อนจนแทบหลอมละลายเขาเสียให้ได้ พระองค์อุ้มมิคาเอล เดินขึ้นไปที่ห้องบรรทม วางร่างเล็กลงบนเตียงใหญ่ จ้องมองคนตัวเล็กไม่วางตา ค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออกอย่างรีบร้อน และตามขึ้นมาบนเตียง

 

พระองค์จุมพิตริมฝีปากบางอย่างโหยหา ดูดกลืนความหวานทั้งหมด ลิ้นร้อนสอดใส่เข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็ก ที่ตอบสนองต่อพระองค์อย่างเต็มใจ มือใหญ่ล้วงลงใต้เสื้อของมิคาเอล ลูบไล้ผิวเรียบเนียนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมาหยุดหยอกล้ออยู่กับทับทิมเม็ดงาม จนมิคาเอลครางออกมาอย่างเสียวซ่าน

 

พระองค์ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าของมิคาเอลออก เมื่อมันช้าพระองค์ก็ฉีกมันออกแทน พระองค์จูบไซร้ลงต่ำทิ้งรอยแดงจางๆเอาไว้ ครอบครองหยอกเย้าทับทิมเม็ดงาม ดูดกลืนอย่างหิวกระหาย หยอกเย้าจนมิคาเอลครางออกมา แต่พระองค์ไม่ได้หยุดแค่นั้น พระองค์เลื่อนลงต่ำ จูบที่หน้าท้องแบนราบ หยอกล้อที่สะดือของมิคาเอลอย่างแผ่วเบา จนคนตัวเล็กหัวเราะ พระองค์จูบบริเวณรอบๆ แต่ไม่ยอมสัมผัสร่างของมิคาเอล มิคาเอลอ้อนวอนอย่างขัดใจและทรมาน

“ฝ่าบาท…”

มิคาเอลไม่เข้าใจ ร่างกายของเขากำลังลุ่มร้อนไปหมด ความปรารถนากำลังครอบงำ ร่างกายของเขาก็ดูจะทรยศเขาเอาดื้อๆ ร่างของเขาตื่นตัวอย่างเต็มที่ทั้งๆ ที่องค์เดเมี่ยนยังไม่ได้สัมผัสเขาเลยแท้ๆ แม้เขาจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์ แต่ร่างกายนี้กลับจดจำและตอบสนองต่อทุกๆ สัมผัสของพระองค์อย่างไม่ต้องสงสัย ความปรารถนาครอบงำเขาจนหมดสิ้น ร่างกายของเขาสั่งให้พูดออกมา

“ฝ่าบาท ได้โปรด ผมต้องการ ต้องการพระองค์”

มิคาเอลอ้อนวอนอีกครั้ง องค์เดเมี่ยนยิ้ม สัมผัสร่างของมิคาเอล ครอบครองเขาด้วยปากและลิ้น มิคาเอลครางออกมาอย่างพึงพอใจ ความปรารถนากำลังจะถึงจุดสูงสุด เขาก็รู้สึกถึงนิ้วของพระองค์กำลังบุกรุกเข้ามาทางด้านหลัง คนตัวเล็กตกใจ พระองค์จึงหยุด ถอนปากออกและพลิกตัวให้มิคาเอลหันหลังให้พระองค์ พระองค์ยกสะโพกของมิคาเอลขึ้น เอื้อมมือมาสัมผัสด้านหน้า และก้มลงเล้าโลมด้านหลัง ลิ้นของพระองค์เล้าเลียอยู่ที่ปากทาง จนมิคาเอลเสียวซ่านไปหมด

 

“หากเราไม่เตรียมพร้อมเจ้าตรงนี้ เจ้าจะเจ็บ

เราสัญญาว่าเราจะทำให้เจ้ามีความสุข”

ทรงตรัสเสียงแหบพล่า มิคาเอลรู้สึกถึงนิ้วของพระองค์ที่ค่อยๆบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง แต่พระองค์ทำอย่างแผ่วเบา และช่ำชอง ความหวาดกลัวในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความปรารถนา นิ้วใหญ่ของพระองค์ขยับเชื่องช้าภายใน ทรงหมุนวนและขยับเข้าออกช้าๆ ด้านหน้าพระองค์ก็ยังขยับมือปลุกเร้า ด้านหลังก็บุกรุกเร่าร้อน มิคาเอลเสียวซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เมื่อมิคาเอลคุ้นชิน นิ้วที่สอง และสามก็ตามมา พระองค์ขยับเข้าออกเป็นจังหวะสอดประสานทั้งหน้าและหลัง มิคาเอลตอดรัดเป็นจังหวะ เสียงครางดังขึ้นทุกการขยับของพระองค์ เสียงหอบหายใจอย่างแรงและถี่ ไม่นาน คนตัวเล็กก็ปลดปล่อยออกมา พระองค์ปาดเอาของเหลวนั้นมาป้ายที่ส่วนปลายยอดของพระองค์ และเอามันมาหยอกล้ออยู่ที่ปากทางรักที่ร้อนระอุ คับแน่น ร่างของพระองค์ถูไถไปมาอย่างเย้ายวน ทั้งๆ ที่มิคาเอลที่ปลดปล่อยไปแล้ว แต่ร่างของเขากลับค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นมาอีก ความปรารถนา ความสุขมากมาย ถูกปรนเปรอให้จนมิคาเอลแทบขาดใจด้วยความสุขสันต์ ร่างของพระองค์ค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปช้าๆ และหยุดนิ่งเมื่อร่างของพระองค์ฝังอยู่ภายในมิคาเอลจนมิด คนตัวเล็กกรีดร้อง เพราะขนาดที่แตกต่างกัน แม้พระองค์จะทำอย่างแผ่วเบา แต่คนตัวเล็กก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี พระองค์แช่ร่างแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น กอดปลอบโยนมิคาเอล จูบต้นคอขาว กระซิบคำรักมากมาย

“เรารักเจ้ามิคาเอล เรารักเจ้าเหลือเกิน เราจะทำให้เจ้ามีความสุข อย่าเกร็งสิคนดี ใช่อย่างนั้น เด็กดี เรารักเจ้า” ทรงตรัสปลอบประโลม เมื่อร่างของ

มิคาเอลคุ้นชิน พระองค์ก็ขยับอย่างเชื่องช้า จากความเจ็บปวด แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน จนมิคาเอลต้องครางออกมา อย่างไม่อาจจะหักห้ามได้ ร่างของพระองค์ฝังลึกเข้าไปภายใน ร่างใหญ่โตของพระองค์เสียดสีกับภายในของเขา ในทุกการขยับ

“เรารักเจ้ามิคาเอล”

ทรงตรัส คำพูดคุ้นหู ราวกับว่าเขาเคยได้ยินมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน พระองค์ค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นจนในที่สุดมิคาเอลก็ไม่อาจทานทนต่อไปได้อีก ร่างเล็กบีดรัดอย่างรุนแรง กรีดร้อง และปลดปล่อยออกมา แต่องค์เดเมี่ยนยังไม่พึงพอใจ ร่างของพระองค์ยังคงแข็งแกร่งและฝังตัวอยู่ภายใน และไม่มีทีท่าว่าจะถอดถอนออก พระองค์โอบรัดมิคาเอลไว้ และนอนลงข้างๆ พระองค์ขยับเชื่องช้าจากด้านหลัง มือใหญ่เอื้อมมายกขาข้างหนึ่งของเขาขึ้น และพระองค์ก็เริ่มขยับเร่งจังหวะอีกครั้ง

 

การร่วมรักเนิ่นนานยังคงดำเนินไป มิคาเอลจำไม่ได้แล้วว่าเขาปลดปล่อยออกไปกี่ครั้ง แม้กระนั้น พระองค์ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ภายในตัวเขา

“ฝ่าบาท… ผมเหนื่อย...”

มิคาเอลแทบประคองสติไม่ไหวแล้วอ้อนวอนต่อพระองค์ พระองค์ยิ้ม

“เราขอโทษ เราเห็นแก่ตัว”

ทรงตรัสถอดถอนร่างออกช้าๆ และขึ้นคร่อมร่างเล็ก แยกขาของมิคาเอลออกและสอดแทรกกลับเข้าไปอีกครั้ง มิคาเอลครางออกมา พระองค์ก็ขยับโยก เร่งจังหวะ ไปพร้อมกับปลุกเร้ามิคาเอลทางด้านหน้าไปด้วย

มิคาเอลแทบไม่อยากจะเชื่อทั้งๆ ที่เขาปลดปล่อยไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่พอพระองค์สัมผัสแบบนี้เขากับตื่นตัวขึ้นมาอีก พระองค์เร่งจังหวะ ทุกการขยับทุกๆ สัมผัสทำให้มิคาเอลแทบจะสำลักความสุขที่พระองค์ปรนเปรอให้ พระองค์ขยับจังหวะสุดท้ายมิคาเอลก็ปลดปล่อยออกมาอีก พร้อมๆ เสียงครางอย่างสุขสมขององค์เดเมี่ยน และมิคาเอลก็รู้สึกถึงความอุ่นวาบที่ถูกฉีดเข้าไปภายในร่างของเขา

 

พระองค์ถอนร่างออกช้าๆนอนลงเคียงข้างยิ้มออกมาอย่างกว้างขวางจน

มิคาเอลรู้สึกหมันไส้

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัส รั้งร่างเล็กขึ้นมานอนบนร่างของพระองค์ ร่างทั้งสองแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน มิคาเอลซบใบหน้าลงแนบหัวใจของพระองค์ แม้จะจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่คนตัวเล็กก็พึมพำบางอย่างกับอกของพระองค์ ก่อนจะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้องค์เดเมี่ยนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มอันกว้างขวางและมีความสุขแทน กอดร่างเล็กเอาไว้แนบแน่น และหลับตาลงอย่างเป็นสุข

 

“ผมก็รักพระองค์ครับ”

 

 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 68 ความเอาแต่ใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 10-12-2016 18:52:04
 :z1: เดเมี่ยนนายต้องเป็นตัวเองหน่อยน่ะ เพราะจิตใต้สำนึกของมิคาเอล คือความโหดเอาแต่ใจของพระองค์น่ะ  :mew4: คิดถึงคริสโตเฟอร์จริง ๆ เลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 69 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-12-2016 14:55:37
 

 

บทที่ 69 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

 

องค์เดเมี่ยนและมิคาเอลอยู่ที่ฝรั่งเศสมาหลายเดือน

ทางด้านร่างกายมิคาเอลเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่เขาจะไม่สามารถยกของหนักและเดินได้ในระยะเวลาที่จำกัด แต่ในด้านความทรงจำ กลับไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก ทุกอย่างยังคงเป็นภาพเบลอๆ สับสน และจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่องค์เดเมี่ยนก็มิได้กังวล อย่างน้อยในตอนนี้

มิคาเอลก็ไม่ได้เกลียดพระองค์ แม้คนตัวเล็กจะปากแข็ง หลังจากวันนั้น

มิคาเอลก็ไม่ยอมบอกรักพระองค์อีก แต่พระองค์ก็พอจะดูออกว่าคนตัวเล็ก มีใจให้พระองค์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

 

องค์เดเมี่ยนเคยเสนอจะพามิคาเอลไปหาโทนี่ แต่มิคาเอลปฏิเสธ เขาโทรหาโทนี่อยู่เสมอ แต่ไม่ยอมบอกเรื่องการผ่าตัดและสูญเสียความทรงจำกับน้องชาย และมิคาเอลก็ปฏิเสธที่จะบอกเรื่องนี้กับโทนี่โดยเด็ดขาด โดยเขาประกาศว่าจะพบโทนี่ก็ต่อเมื่อเขาสามารถเดินได้เป็นปกติเท่านั้น

 

องค์เดเมี่ยนได้รับอีเมล์จากองค์นาธานเนียล เรียกตัวให้กลับคานาเดีย พระองค์ทำท่าจะเมินเฉยแต่มิคาเอลมาเห็นอีเมล์เข้า และในอีเมล์ยังบอกว่าโทนี่ได้กลายเป็นว่าที่พระชายาขององค์ราฟาเอล และกำลังจะกลับมาที่

คานาเดีย เพียงเท่านั้น คณะขององค์เดเมี่ยนก็จำต้องเก็บข้าวของ และเดินทางกลับคานาเดียโดยเร่งด่วน เพราะว่าที่พระชายามิคาเอลต้องการจะกลับไปหาน้องชาย

 

องค์เดเมี่ยนไม่ค่อยอยากจะกลับมานัก แต่ก็ต้องตามใจมิคาเอล และก็เป็นไปตามคาดเพราะเมื่อกลับมาถึงก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายแทนที่พระองค์จะได้อยู่กับมิคาเอล กลายเป็นว่าพระองค์ต้องมาขุดรากถอนโคนจับกบฏไปลงโทษ เป็นการชดใช้ที่แอบหนีไปฝรั่งเศสโดยพละการ พวกกบฏที่ถูกจับด้วยองค์เดเมี่ยนจึงได้รับโปรโมชั่นพิเศษ 1 แถม 1 จัดโดยองค์เดเมี่ยนโดยตรง โทษฐานขัดขวางความสุขของพระองค์กับ

มิคาเอล การปราบกบฏในครั้งนี้ยังกินเวลายาวนานหลายเดือน เหมือนกับว่ายิ่งค้นหามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอกลุ่มคนที่ต้องจับมาลงโทษมากขึ้นเท่านั้น ทั้งการไล่ล่า การสอบสวน องค์เดเมี่ยนที่มีพื้นฐานทางด้านทหารมา และเพราะความเฉียบคมของพระองค์ ทำให้พระองค์ต้องทำงานหนักอยู่อย่างนี้ พระองค์ยังแอบกร่นด่าราฟาเอลอยู่ในใจที่เป็นน้อง และขอแต่งงานหลังพระองค์แท้ๆ แต่กลับชิงแต่งงานไปก่อนพระองค์ มิหนำซ้ำ ยังแอบหนีไปฮันนีมูนกับพระชายาคนใหม่อีก ทิ้งให้พระองค์ต้องรับผิดชอบกับพวกกบฏเพียงลำพัง

 

ซ้ำร้ายกว่านั้นพระองค์ยุ่งมากเสียจนไม่ได้กลับวิลล่ามาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้มิคาเอลจะเป็นอย่างไรบ้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น กำปั้นที่ใส่สนับมือของพระองค์ก็ชกเข้าใส่หน้าคนร้ายอย่างจัง จนฟันของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลุดร่วงออกมาอีกซี่

“บอกมา ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แล้วแกจะได้ตายอย่างสบาย” ทรงตะคอกใส่คนร้ายที่ตอนนี้กลายเป็นกระสอบทรายระบายอารมณ์ขององค์เดเมี่ยน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าห้าม ด้วยเกรงว่าหางเลขจะมาตกอยู่ที่ตน แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีระฆังมาช่วย เมื่อเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น

 

“ฝ่าบาท...”

มิคาเอลเอ่ยเรียก เมื่อเห็นพระองค์ทำท่าจะซ้ำนักโทษที่ดูสภาพปางตายและหมดสติอยู่ องค์เดเมี่ยนหันมายิ้มให้ราวกับสิ่งที่พระองค์ทำอยู่เป็นเพียงกิจกรรมยามว่าง

“เจ้ามาได้อย่างไร ไปรอเราที่ห้องรับรองก่อนเดี๋ยวเราจะตามไป”

ทรงตรัส แต่คนตัวเล็กก็ยังเดินเข้ามาหา

“ผมมารอตั้งนานแล้วแต่พระองค์เอาแต่ทรมานนักโทษอยู่”

มิคาเอลเอ่ยเสียงไม่ค่อยพอใจ

“เราขอโทษ มันปากแข็ง ถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ” ทรงตรัสถอดสนับมือเปื้อนเลือดออก และเช็ดเลือดออกจากมือลวกๆ แมททิวเดินเข้ามาเอาผ้าสะอาดเปียกน้ำมาให้ แต่มิคาเอลก็แย่งไป และเอามาซับเช็ดหน้าให้พระองค์อย่างห่วงใย

“ผมเป็นห่วง พระองค์ไม่ได้กลับวิลล่ามาหลายวันแล้ว”

มิคาเอลกล่าวน้ำเสียงดูขัดใจ

“เราขอโทษ อย่าโกรธเราเลย” ทรงตรัส ปล่อยให้คนตัวเล็กเช็ดเลือดที่มือของพระองค์ออก อย่างเบามือ เมื่อเช็ดเสร็จ มิคาเอลก็ส่งผ้าคืนให้แมททิว พอแมททิวเดินออกไป มิคาเอลก็เดินเข้าไปกอดองค์เดเมี่ยนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“เดี๋ยวเสื้อผ้าเจ้าจะเปื้อนเสียหมด” ทรงตรัสยิ้มๆ ดีใจที่คนตัวเล็กคิดถึง

“พระองค์ใจร้าย ผมเกลียดพระองค์” มิคาเอลต่อว่า

“เกลียดเรามากจนต้องมาตามเราเชียวหรือ” ทรงตรัสถามยิ้มๆ

“เกลียดที่สุดเลย” มิคาเอลกล่าวหน้างอ กอดพระองค์ไม่ยอมปล่อย

 

พระองค์จึงช้อนร่างเล็กขึ้นและพาออกมาจากห้องสอบสวน ที่เหมือนห้องทรมานเสียมากกว่า พระองค์อุ้มร่างเล็กที่กอดคอพระองค์ไว้ไม่ยอมปล่อย พาไปในห้องรับรอง อาหารหลายชนิดถูกจัดเตรียมมาและจัดใส่จานไว้เรียบร้อย พระองค์ดูแปลกใจ

“ผมไม่มีอะไรจะทำ ผมก็เลยทำมาให้พระองค์ ลองชิมดู” มิคาเอลกล่าวเฉไฉ ไม่ยอมรับว่าเขาตั้งใจลงมือทำอาหารเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ แต่มารอตั้งนานสองนาน พระองค์ก็ไม่ยอมมาเสียที

“ขอบใจ ที่คิดถึงเรา” ทรงตรัส จุมพิตที่หน้าผากคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ขาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ทรงถามด้วยความเคยชินและเป็นห่วง

“ผมไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมเดินได้นานขึ้น” มิคาเอลกล่าวยิ้มๆ

“เราดีใจ เราขอโทษที่ทำงานยุ่งอยู่ทุกวัน แต่อีกไม่นาน ทุกอย่างก็น่าจะเสร็จสิ้น” ทรงตรัส

“ผมทราบครับ” มิคาเอลนั่งมององค์เดเมี่ยนทานอาหารที่เขาทำอย่างดีใจ

“พระองค์จะกลับวิลล่าไหมครับ” มิคาเอลถาม

“เราจะพยายาม เราคิดถึงเจ้า” ทรงตรัส

“คิดถึงก็รีบกลับนะครับ ไม่งั้นผมจะนอกใจ” มิคาเอลพูดขำๆ

“ถ้ามีใครมันคิดสั้น ก็ลองดู” ทรงขู่ไม่ขำด้วย

“ผมล้อเล่นครับ”

“เรารู้ แต่เราไม่ชอบ เจ้าเป็นของเราคนเดียว ร่างกายของเจ้าก็ต้องการเราคนเดียวไม่ใช่หรือ” ทรงถาม รั้งคนตัวเล็กมานั่งตัก สัมผัสและสูดกลิ่นหอมของคนตัวเล็กอย่างรักใคร่ จนคนตัวเล็กหน้าแดง

“ผมจะกลับแล้ว” มิคาเอลกล่าว

“เราจะไปส่ง” ทรงตรัสลุกขึ้น และช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้น

“ผมเดินเองได้ครับ” มิคาเอลกล่าวหน้าแดง

“ก่อนหน้านี้ยังให้เราอุ้มอยู่เลย” ทรงถาม

“ก็ไม่มีใครเห็นนี่ครับ ออกไปทางนั้น มีคนเยอะแยะ” มิคาเอลรีบประท้วง

“ใครเห็นก็ช่าง”ทรงตรัส

“คนเอาแต่ใจ” มิคาเอลว่า

“คนปากแข็ง” ทรงล้อ ก้มลงจูบมิคาเอลอย่างคิดถึงท่ามกลางสายตาของผู้คุมและองครักษ์ มิคาเอลก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาใคร

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล เจ้ารักเราบ้างหรือเปล่า” ทรงตรัสถาม

“ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาครับ” มิคาเอลตอบ องค์เดเมี่ยนหัวเราะ

“เอาไว้เราจะสอบสวนเจ้าทีหลัง ดูสิว่าจะปากแข็งจริงๆ หรือเปล่า”

ทรงตรัสด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ มิคาเอลก็รู้ว่าทรงหมายถึงอะไร

 

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามิคาเอลได้รับการดูแลอย่างดีจากองค์เดมียน เขายอมรับว่าเขาเองก็อ่อนไหวและมีใจให้กับองค์เดเมี่ยนไม่น้อย แม้องค์เดเมี่ยนจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ยังรู้สึกอดกังวลไม่ได้ ที่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่อาจจำเหตุการณ์อะไรได้เลย เขามองรูปถ่ายมากมายที่เขาได้ถ่ายไว้ ภาพกว่าครึ่งก็มีแต่องค์เดเมี่ยน หลักฐานที่บ่งบอกอยู่อย่างนี้ เขาไม่ได้สงสัยเลยว่า เขาหลงรักองค์เดเมี่ยน แต่ทำไมเขาถึงรักพระองค์ และ รักมากแค่ไหนต่างหากที่ทำให้เขาอยากรู้ จนบางครั้งเขารู้สึกเสียใจ แม้องค์เดเมี่ยนจะรักเขามากมาย แต่เหมือนกับว่าเขาไม่อาจจะรักพระองค์ได้อย่างเท่าเทียม เพราะความทรงจำที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจเติมเต็มได้

 

องค์เดเมี่ยนพามิคาเอลออกมาส่งที่ลานจอดรถ โดยมีองครักษ์เดินตามมาห่างๆ แต่เมื่อพระองค์วางมิคาเอลลง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คนร้ายที่ซุ่มอยู่กระโจนเข้ามาใส่ในระยะประชิด หวังจะทำร้ายมิคาเอล แต่พระองค์ไวกว่า จึงเอาตัวของพระองค์เข้าปกป้องมิคาเอลเอาไว้ มีดสปาต้าเล่มใหญ่ กรีดผ่านหน้าอกขององค์เดเมี่ยนเป็นรอยยาว แม้แผลจะไม่ลึก แต่เลือดก็ไหลออกมาจนเป็นสีแดงเต็มไปหมด มิคาเอลกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ร้องเรียกหาพระองค์ราวกับใจจะขาด หวาดกลัวกว่าครั้งใดในชีวิตว่าจะเสียองค์เดเมี่ยนไป

“ฝ่าบาท!!!!!!”

ในวินาทีนั้นภาพเห็นการณ์ต่างๆ ก็กระจ่างชัดขึ้น ภาพที่องค์เดเมี่ยนเคยรับมีดแทนเขา ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ทุกถ้อยคำที่พระองค์เคยกล่าว ทุกสัญญาที่เคยให้ไว้ ความรัก ความรู้สึกที่เขาเคยมีให้กับพระองค์ ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา

 

องค์เดเมี่ยนแม้บาดเจ็บก็ยังต่อสู้ด้วยมือเปล่ากับคนร้ายถึงสองคนที่มีมีดเล่มใหญ่อยู่ในมือ

“ฝ่าบาท!!! ระวังข้างหลัง”

มิคาเอลตะโกนให้ระวัง เมื่อคนร้ายพยายามจะทำร้ายพระองค์จากด้านหลัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แม้องครักษ์จะรีบวิ่งมา แต่ก็ดูจะช้าเกินไป มิคาเอลตั้งสติ และหาจังหวะและเตะที่ข้อพับของคนร้ายคนหนึ่งจนล้มลง มิคาเอลรีบหยิบมีด ที่กระเด็นหลุดออกจากมือของคนร้ายและโยนมีดให้กับองค์เดเมี่ยน พระองค์รับมีดที่มิคาเอลส่งให้ ได้ทันท่วงที และเอามาป้องกันพระองค์ไว้ พระองค์สามารถหลบได้แต่หากหลบ มิคาเอลก็จะมีอันตราย พระองค์จึงเลือกที่จะเอาตัวของพระองค์เป็นโล่ให้กับคนตัวเล็กแทน

 

คนร้ายที่ล้มลงคือคนที่ฟันองค์เดเมี่ยนในตอนแรก พยายามจะลุกขึ้น ในตอนนี้เมื่อไม่มีอาวุธในมือ มิคาเอลก็ไม่กลัวคนตรงหน้าอีก โบราณว่าคนล้มอย่าข้าม มิคาเอลจึงเตะเข้าที่ปลายคางแทน ส่งคนสารเลวลงไปนอนนับเดือน พร้อมๆ ที่องค์เดเมี่ยนจัดการกับคนร้ายอีกคน ในสภาพที่น่าสยดสยองกว่ามาก

 

"ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัย พวกกระหม่อมมาช้า” แมททิวกล่าวขอโทษ องค์เดเมี่ยนต่อยหน้าแมททิว จนแมททิวล้มลง

“พวกเจ้าทำงานกันประสาอะไร หากมิคาเอลเป็นอะไรไป ชีวิตของพวกเจ้าทุกคนรวมกันยังไม่มีค่าพอกับเลือดหนึ่งหยดของมิคาเอลเลย” ทรงตรัสอย่างโกรธกริ้ว จนมิคาเอลเข้ามาห้าม คนตัวเล็กกอดพระองค์เอาไว้จากด้านหลัง ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้าม พระองค์รีบหันมามอง

 

“มิคาเอล เจ้าเจ็บตรงไหน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” ทรงตรัสถามอย่างห่วงใยโดยที่ไม่ได้สนแผลของพระองค์เลยสักนิด

“ฝ่าบาท... ผมรัก... ผมรักพระองค์ครับ ... ผมขอโทษครับ ... ที่ผมลืมพระองค์ ... ทั้งๆ ที่ผมสัญญาว่าผมจะไม่มีวันลืมพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์เสี่ยงเอาชีวิตของพระองค์ ปกป้องผมครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้... ผมขอโทษครับ... ผมรักพระองค์” มิคาเอลกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า

“มิคาเอล เจ้า... จำได้แล้วหรือ... เจ้าจำเราได้แล้วใช่ไหม” ทรงตรัสถาม คนตัวเล็กพยักหน้า พระองค์ดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบหัวใจ พระองค์รู้สึกดีใจยิ่งนัก กอดคนตัวเล็กไม่ยอมปล่อย รั้งใบหน้าหวานขึ้น ก้มลงจุมพิตเนิ่นนาน ความสุขมากมายเอ่อล้น

“เรารักเจ้า มิคาเอล” ทรงตรัสขึ้นอีกครั้ง

“ผมก็รักพระองค์ครับ ฝ่าบาท แต่บาดแผลของพระองค์” มิคาเอลตอบรับแต่น้ำเสียงเป็นห่วงพระองค์เหลือเกิน

“แผลแค่นี้ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ทรงตรัส

“แต่... ผมเป็นห่วงนี่ครับ ไปทำแผลกันก่อนนะครับ ฝ่าบาท” มิคาเอลขอร้อง

“เราตามใจเจ้าทุกอย่าง มิคาเอล” ทรงตรัสอ่อนโยน ความโกรธที่มีก่อนหน้าหายไปจนหมด

 

“คุณแมททิวรีบพาฝ่าบาทไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะครับ” มิคาเอลหันมาพูดกับแมททิว รับผ้าจากองครักษ์มากดปิดที่แผลไว้ แต่ในตอนนี้องค์เดเมี่ยนไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว หัวใจของพระองค์กำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดี กอดคนตัวเล็กเอาไว้ไม่ยอมให้ห่างกาย เอาแต่จ้องมองคนตัวเล็กด้วยสายตาที่เปี่ยมรัก
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: KanadiaTBear ที่ 30-12-2016 15:00:08

บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์

 

องค์เดเมี่ยนถูกนำตัวไปทำแผล แม้แผลจะไม่ลึกมาก แต่ก็เป็นแผลที่ยาว หมอพอลจึงทำการเย็บปิดปากแผลโดยมีมิคาเอลนั่งมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ ไม่ยอมไปไหน และองค์เดเมี่ยนก็จับมือของมิคาเอลไว้ตลอดเวลาเช่นกัน

 

แผลกรีดยาวที่หน้าอก กลับไม่ได้ทำให้องค์เดเมี่ยนรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ในตอนนี้ พระองค์มีความสุขมากเสียจนไม่ว่าอะไรก็คงจะทำให้พระองค์โกรธไม่ได้ ตรงกันข้ามพระองค์กลับอารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พระองค์ยิ้มออกมาหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาคนรอบข้างที่เห็นต่างพากันตกใจ และหลงใหลในรอยยิ้มของพระองค์

 

“เจ็บมากไหมครับ” มิคาเอลถาม

“ไม่เจ็บเลยสักนิด ตราบที่มีเจ้าอยู่ตรงนี้ ต่อให้มากกว่านี้ เราก็ไม่กลัว” ทรงตรัส

“แค่นี้ ผมก็แทบทนไม่ได้แล้ว” มิคาเอลตอบ ดูราวกับจะร้องไห้

“เราไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลเลย เราต่างหาก ที่ต้องขอโทษเพราะเรา จึงมีคนคิดจะทำร้ายเจ้า เจ้าพวกกบฏมันทำอะไรเราไม่ได้ คงคิดจะทำกับเจ้าแทน” ทรงตรัส ยกมือของมิคาเอลขึ้นมาจุมพิตเบาๆ

“ผมรักพระองค์ ผมไม่กลัว ผมต้องการอยู่เคียงข้างพระองค์ครับ” มิคาเอล

กล่าวแอบกลัวว่าพระองค์จะไม่ยอมให้เขาอยู่เคียงข้างอีก

“เราจะปกป้องเจ้าเอง อย่าหนีไปจากเรา อย่าลืมเราอีก เข้าใจไหม” ทรงกำชับ มิคาเอลน้ำตาไหลออกมาอีก เสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจบีบรัดจนปวดร้าว เขารักเจ้าชายเดเมี่ยนจนหมดหัวใจ พระองค์เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้

“อย่าร้องไห้สิ เรากำลังทำแผลอยู่ เรายังกอดเจ้าไม่ได้” ทรงตรัส

“องค์เดเมี่ยนครับ ผมรักพระองค์ รักมากเหลือเกิน รักพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าวขยับเข้ามาใกล้ ซบใบหน้าลงกับต้นแขนของพระองค์

“เรารักเจ้ามากกว่าสิ่งใด มิคาเอล” ทรงตรัส ยกมือขึ้นลูบศรีษะลูกแมวขี้อ้อนของพระองค์

 

หมอพอลมององค์เดเมี่ยนอย่างหมันไส้นิดๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ด้วยเพราะรู้ว่าองค์เดเมี่ยนทรงรักมิคาเอลมากเพียงไหน และมิคาเอลก็รักพระองค์ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองผ่านพ้นอุปสรรคมากมายมาด้วยกัน อุปสรรคที่พยายามจะแยกคนทั้งสองออกจากกัน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่รักแท้ก็ได้พิสูจน์ว่าสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทั้งสองเอาแต่สวีทหวานกันอยู่ตลอดเวลา จนหมอพอลเริ่มรู้สึกเป็นส่วนเกิน เมื่อทำแผลเสร็จองค์เดเมี่ยนก็พามิคาเอลกลับวิลล่า

 

เป็นเพราะพระองค์ถูกลอบทำร้ายอีกครั้ง องค์นาธานเนียลจึงเสด็จมาเยี่ยมด้วยพระองค์เองเมื่อมาถึงก็พบมิคาเอลนั่งอยู่เคียงข้าง ป้อนอาหารให้องค์เดเมี่ยนที่นอนอยู่บนเตียง องค์นาธานเนียลก็รู้สึกเป็นห่วงพระเชษฐาขึ้นมา และรู้สึกผิดที่ใช้งานพระองค์หนักเกินไป

 

“นาธานเนียล” องค์เดเมี่ยนทัก

“พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง” ทรงตรัสถาม มิคาเอลเห็นองค์นาธานเนียล เข้ามาจึงลุกขึ้น ทำความเคารพและพยายามจะเดินออกไป

“เดี๋ยวมิคาเอล” องค์นาธานเนียลรั้งเอาไว้

“องค์นาธานเนียลต้องการอะไร หรือครับ” มิคาเอลถามอย่างตกใจ ปกติองค์นาธานเนียลไม่ค่อยชอบเขาเสียเท่าไหร่

“ขอบใจมาก ที่พยายามปกป้องเสด็จพี่เดเมี่ยน และดูแลพระองค์อย่างดี เจ้าในตอนนี้ก็เสมือนครอบครัวของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เราขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับเจ้าไว้” องค์นาธานเนียลทรงตรัส

“ขอบคุณครับ ผมรักองค์เดเมี่ยนครับ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวยิ้มออกมา

“พอได้แล้ว มิคาเอล เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจใครนอกจากเรา” องค์เดเมี่ยนตรัสไม่พอใจ ที่น้องชายมายุ่งวุ่นวายกับมิคาเอล แต่มิคาเอลก็ขอตัวออกไป

 

“เราจะพักสักระยะ เจ้าคงไม่บังคับให้เรากลับไปทำงานหรอกใช่ไหม”

องค์เดเมี่ยนรีบตรัส พระองค์อุตส่าห์เล่นละครทำเป็นว่าเจ็บหนัก

“ผมเข้าใจครับ พระองค์พักผ่อนจนกว่าแผลจะหายเถอะครับ”

องค์นาธานเนียลกล่าว

“ขอบใจ เจ้ากลับไปได้แล้ว เราอยากอยู่กับมิคาเอล ไม่ต้องการคนอื่น”

ทรงตรัสไล่ องค์นาธานเนียลหัวเราะ และลากลับไป

 

หลังองค์นาธานเนียลกลับไป องค์เดเมี่ยนก็เอาแต่ใจอีกครั้ง ด้วยการพามิคาเอลแอบหนีขึ้นเครื่องไป ชาร์โตว์ เดอ ลาเบลล อีกครั้ง โดยพระองค์ไม่ได้บอกกับเขาว่าทำไม

 

“เรามาที่นี่ทำไมหรือครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้

พระองค์ไม่ตอบ พาเขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ทุกที่ในชาร์โตว์ล้วนประดับตกแต่งด้วยดอกกุหลาบ ส่งกลิ่นหอมอบอวนไปหมด เมื่อเข้ามาในห้องโถงซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ใช้ในการจัดงานเต้นรำ มิคาเอลก็ต้องแปลกใจ เมื่อกลางห้องมีรูปของเขาและรูปของพระองค์ ถูกประดับตกแต่งอยู่เต็มไปหมด มีทั้งรูปที่เขาถ่าย และรูปที่คนอื่นถ่าย แต่ทุกรูปล้วนเป็นภาพที่ทั้งเขาและองค์เดเมี่ยนดูมีความสุขเหลือเกิน มิคาเอลเดินดูรูปอย่างสนใจ แต่เมื่อหันกลับมาองค์เดเมี่ยนกลับจ้องมองมาที่เขา

 

“มิคาเอล เรารู้ว่า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุด เราอาจจะทำเรื่องไม่ดีมามากมาย เราอาจจะเคยทำให้เจ้าเสียใจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เราสัญญาว่าจากนี้ไป เราจะรักเจ้าให้มากที่สุด เท่าที่คนๆ หนึ่งจะสามารถรักคนอีกคนหนึ่งได้ เราสัญญาว่าเราจะรักเจ้าตราบจนลมหายใจสุดท้าย เราจะชราไปพร้อมๆ กับเจ้า เราจะอยู่ที่ตรงนี้ เคียงข้างเจ้าเสมอ ไม่ว่ายามสุข หรือยามทุกข์ ไม่ว่าจะเจ็บป่วย หรือแข็งแรง เราจะคอยดูแล และรักเจ้า อ้อมกอดของเรา จะเป็นบ้านของเจ้า ทั้งหมดของเรา เป็นของเจ้า คนเดียว เราอยากให้เจ้าเป็นเจ้าของเรา ปรารถนาให้ทุกรูปของเรามีเจ้าอยู่ในนั้น อยากให้เจ้าเป็นดั่งแสง และเราจะเป็นดั่งเงา อยู่เคียงข้างกันตลอดไป” องค์เดเมี่ยนกล่าว คุกเข่าลงตรงหน้าของมิคาเอล

 

“ได้โปรด เป็นชายา เพียงหนึ่งเดียว ของเราจะได้ไหม”

 

ทรงตรัสถาม แหวนวงเดิมที่มิคาเอลคืนให้องค์เดเมี่ยน ถูกเอาออกมาอีกครั้ง มาพร้อมกับแหวนหมั้นที่มีเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่สีเดียวกับดวงตาของมิคาเอลเพิ่มขึ้นมาอีกวง มิคาเอลน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“ครับ ฝ่าบาท ผมรักพระองค์ครับ รักมากที่สุด และจะรักตลอดไป”

มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนสวมแหวนให้ มิคาเอลก็โผเข้ากอดพระองค์อย่างรักใคร่ หัวใจบีบรัด ความปิติยินดีเอ่อล้น องค์เดเมี่ยนกอดมิคาเอลเอาไว้ ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเนิ่นนาน กระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล รักตลอดมา และจะรักตลอดไป” ทรงตรัส

“ผมก็รักองค์เดเมี่ยนครับ รักมากที่สุด รักพระองค์เพียงคนเดียว ตลอดไป” มิคาเอลกระซิบตอบน้ำตาแห่งความสุขไหลริน

 

หลังจากการปราบกบฏครั้งใหญ่ในคานาเดีย คานาเดียก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่เพราะภาพหลายต่อหลายภาพที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมของเจ้าชายเดเมี่ยนถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งภาพที่ใบหน้าของพระองค์เปื้อนเลือด ภาพที่พระองค์ต่อยคนร้ายจนสลบ พร้อมกับมือที่เปื้อนเลือด และอื่นๆ อีกหลายภาพ ซึ่งภาพเหล่านั้น ส่งผลกระทบต่อทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของทั้งพระองค์และราชวงศ์ จนองค์นาธานเนียลรับสั่งให้แก้ไขภาพลักษณ์โดยด่วน

 

องค์เดเมี่ยนดูขัดใจ แต่มิคาเอลก็เสนอให้ตีพิมพ์หนังสือภาพเล่มหนึ่ง

ที่มิคาเอลเป็นคนถ่าย หลังจากที่หนังสือถูกตีพิมพ์ ภาพลักษณ์ของพระองค์ ก็ดูดีขึ้นมาก ภายในหนังสือเล่มนี้ มีภาพในอริยาบทต่างๆ ขององค์เดเมี่ยนที่คนทั่วไปไม่เคยมีโอกาสได้เห็น ทั้งภาพทรงงานหนัก ภาพออกกำลังกาย ภาพใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะใกล้

 

และภาพพิเศษสองภาพ ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุด คือภาพที่องค์เดเมี่ยนทรงยิ้มอย่างกว้างขวาง จนแทบละลายหัวใจของผู้คนที่พบเห็น และภาพที่ถูกถ่ายด้วยพระองค์เอง เป็นภาพคู่ของพระองค์และว่าที่พระชายามิคาเอล แม้จะเป็นภาพธรรมดาของคู่รักภาพหนึ่ง แต่ไม่เคยมีใครเห็นภาพ ที่พระองค์จุมพิตหน้าผากของว่าที่พระชายาอย่างอ่อนโยน และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของว่าที่พระชายา ยิ่งเข้าใกล้วันอภิเษกสมรสของทั้งคู่ ภาพๆ นี้ก็ถูกนำมาพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง จนหนังสือภาพนี้ต้องถูกตีพิมพ์เพิ่มอีกหลายต่อหลายครั้ง ชื่อของหนังสือที่ถูกตั้งโดยมิคาเอล กลายเป็นฉายาใหม่ขององค์เดเมี่ยนไปโดยทันที และ

มิคาเอลก็ได้รับฉายาเช่นกัน “The Dark Prince by White Angel”

 

งานอภิเษกสมรสถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในโบสถ์อันเก่าแก่ของคานาเดีย อันเป็นสถานที่เดียวกับที่กษัตริย์นาธานเนียลและพระชายาได้อภิเษกสมรส แขกสำคัญหลายพันคนถูกเชิญใหมาเป็นสักขีพยานรักแก่คู่รักทั้งสอง

 

ภายในโบสถ์ถูกประดับประดา ตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวอย่างวิจิตรบรรจง นับจากหน้าประตู ไปจนถึงแท่นทำพิธี ดอกกุหลาบสีขาวถูกจัดตกแต่งใส่แจกัน พุ่มแขวน ช่อดอกไม้หลากหลายขนาด รวมไปถึงซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่เหนือแท่นพิธี ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว มิคาเอลแต่งกายในชุดขาวทั้งชุด ดูงดงามราวกับทูตสวรรค์ เดินเข้ามาตามทางเดินที่โรยด้วยกลีบดอกกุหลาบสีขาว ทางเดินทั้งสองข้างถูกประดับตกแต่งด้วยต้นไม้สีขาวประดับไฟ เทียนไขจำนวนมากถูกนำมาใส่ในแจกันใสวางไว้ขนาบสองข้างทางเดิน จุดให้แสงสว่างนำทางไปสู่แท่นพิธี ที่สุดปลายทาง มีเจ้าชายเดเมี่ยนที่แต่งกายในชุดดำ ที่ขับเน้นความคมเข้มหล่อเหลา ยืนรอรับเขาอยู่ มิคาเอลจ้องมองชายตรงหน้าอย่างรักใคร่ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถรักใครได้มากขนาดนี้ ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ และชีวิตนี้ของเขา เป็นของเจ้าชายเดเมี่ยนเพียงพระองค์เดียว

 

องค์เดเมี่ยนจ้องมองมาที่มิคาเอล คนๆ ที่พระองค์รักยิ่ง คนๆ นี้ได้นำแสงสว่างเข้ามาสู่ชีวิตของพระองค์ เป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ เป็นความรักอันมั่นคงหนึ่งเดียวของพระองค์ เป็นดั่งแก้วตาและดวงใจ เป็นทุกๆ สิ่งที่คนๆ หนึ่งจะต้องการได้ มิคาเอลงดงามหมดจด ดุจเทพสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์ แสงสว่างอันอบอุ่นสาดส่องมาเพื่อพระองค์เพียงคนเดียว พระองค์ยื่นมือออกไปรับมิคาเอลเข้ามายืนเคียงข้าง จับมือ และเริ่มกล่าวคำปฏิญาณรัก ต่อคนที่พระองค์รักจนหมดหัวใจ

 

“เรา เจ้าชาย แห่ง คานาเดีย เดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส ขอรับ

มิคาเอล มิลลส์ เป็นพระชายา เพียงหนึ่งเดียวตลอดไป ด้วยแหวนวงนี้

เราขอสัญญาว่า เราจะใช้ชีวิตนี้ เพื่อเจ้า ทุกลมหายใจของเรา เป็นของเจ้า ร่างกาย และ หัวใจนี้ของเรา จะเป็นของเจ้า เพียงคนเดียว เราจะดูแล และรักเจ้า ตราบชั่วนิรันดร์” องค์เดเมี่ยนปฏิญาณรัก แล้วจึงสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของมิคาเอล

 

“ผม มิคาเอล มิลลส์ ผมขอรับ เจ้าชายแห่งคานาเดีย เจ้าชาย เดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เป็นพระสวามี เพียงหนึ่งเดียวตลอดไป ด้วยแหวนวงนี้

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้ชีวิตนี้ เพื่อพระองค์ ทุกลมหายใจของผม เป็นของพระองค์ ร่างกาย และ หัวใจนี้ของผม จะเป็นของพระองค์ เพียงพระองค์เดียว ผมจะดูแล และรักพระองค์ ตราบชั่วนิรันดร์” มิคาเอลปฏิญาณรักต่อชายที่เขารักจนหมดหัวใจ ก่อนจะสวมแหวนให้กับพระองค์ ด้วยน้ำตาที่คลอหน่วง

 

"กระหม่อมขอประกาศให้ทั้งสองเป็นพระสวามี และพระชายา

จูบพระชายาได้แล้วขอรับ” บาทหลวงกล่าวขึ้น อย่างยินดี

 

องค์เดเมี่ยนรั้งมิคาเอลเข้ามาหา ก่อนจะก้มลงจุมพิตเนิ่นนานจนหลายต่อหลายคนอิจฉา ก่อนพระองค์จะช้อนร่างเล็กของมิคาเอลขึ้นท่ามกลางเสียงตบมือยินดีต่อทั้งสอง มิคาเอลโอบกอด The Dark Prince ของเขาเอาแนบแน่น เจ้าชายที่โหดร้ายพระองค์นี้ คือเจ้าชายที่เขาจะรัก และอยู่เคียงข้างตลอดไป ชั่วนิจนิรันดร์

----จบบริบูรณ์----

นิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ กับ สนพ นานานาริส ค่ะ
หากใครสนใจก็สั่งจองได้จนถึง 9 เมษานะคะ
NanaNarisYBooks
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 30-12-2016 16:36:27
 :impress3: เรื่องร้ายกลายเป็นดี โดยเฉพาะเดเมี่ยนแบบอารมณ์ดีสุด ๆ  :กอด1: โอนเรียบร้อยแล้วจ้า รอหนังสืออย่างเดียวกำลังค้างอย่างแรง กับตอนพิเศษ  :mew4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 31-12-2016 20:16:44
สุดยอดดดดด ยาวมากกกก อ่านรวดเดียว ชอบๆๆ o13 เป็นความรักที่อุปสรรคเยอะมาก แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ผ่านมาได้ :m4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 02-05-2017 14:29:54
เรื่องนี้สนุกมากกกก
ชอบแนวนี้สุดๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 03-05-2017 01:23:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 03-05-2017 18:46:45
หวานกันได้สักที ลุ้นมาก  :L1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 04-05-2017 13:42:29
ลุ้นทั้งเรื่อง
จบแฮปปี้ ก็ดีใจ :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-05-2017 18:34:04
อ่านแบบยาวๆ กันไปเลย 4 วันกว่าจะจบ

 o13  :pig4: 
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-05-2017 18:07:11
ดีงามอ่ะเรื่องนี้ ใช้เวลาอ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบองค์เดเมี่ยนมาก หลงในความดิบ 555555
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Earth112 ที่ 08-05-2017 19:04:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
เราชอบเรื่องนี้มากเลย หลงเข้ามาแล้วแบบหาทางออกไม่เจอเลย
อ่านรวดเดียวจบ 10ชม กว่าๆ5555
อยากจะขอบคุณคนเขียนที่แต่เรื่องราวดีๆสนุกๆให้เราอ่าน
ถ้ามีอะไรให้แนะนำก็คงเป็นวิธีเขียนที่บางครั้งดูจะงงๆไม่ต่อกัน แตโดยรวมแล้วถือว่าดีมากๆเลยค่ะ
บอกตามตรงว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านนิยายแนวดราม่าแต่เรื่องนี้สนุกมากจริงๆ
ให้กำลังใจนักเขียนนะคะ ขอให้แต่เรื่องราวดีๆมาให้คนอ่านอย่างเราอีกเยอะๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: เเว่นตาอันเท่าบ้าน ที่ 09-05-2017 00:17:46
หลงมาอ่านเรื่องนี้ตอนประมาณเกือบเที่ยง ลากยาวพักกินทุเรียนไปสองลูกเเล้วนั่งอ่านต่อจนจบ :mew5: :mew5:  ถึงตอนนี้อยากบอกว่าขอบคุณคนเขียนที่เเบ่งปันเรื่องราวดีๆ เเบบนี้ให้เราได้อ่าน เป็นนิยายจากเล้าเป็ดอีกเรื่องนึ่งที่เราคิดว่ามันดีกว่าที่ตั้งความหวังไว้ เเม้เเต่ช่วงดรามาที่ปรกติเเล้วเราจะกดอ่านข้ามๆเราก็อ่านจนครบทุกตัวอักษร เป็นกำลังใจให้คนเขียนมีพลังเเล้วเเบ่งปันงานเขียนดีๆมาให้เราอ่านอีกนะคะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ปอลิง.อีกใจรู้สึกเสียใจมากที่พึ่งได้อ่านเรื่องนี้ เเต่อีกใจนึ่งก็รู้สึกดีที่ได้อ่านรวดเดียวจนจบ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: GimNgek ที่ 10-05-2017 03:34:42
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ เราเข้ามาอ่านตอนค่ำๆ แล้ก็อ่านยาวจนจบเลยค่ะ เนื้อเรื่องน่ารักมากค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 10-05-2017 07:16:35
สนุกมากๆๆๆๆๆ.  o13
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: momo448 ที่ 11-05-2017 00:25:02
ชอบมากเลยอะ  อยากอ่านตอนพิเศษมากๆเลย นิยายสนุกมากๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :mew1:

บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์

 

องค์เดเมี่ยนถูกนำตัวไปทำแผล แม้แผลจะไม่ลึกมาก แต่ก็เป็นแผลที่ยาว หมอพอลจึงทำการเย็บปิดปากแผลโดยมีมิคาเอลนั่งมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ ไม่ยอมไปไหน และองค์เดเมี่ยนก็จับมือของมิคาเอลไว้ตลอดเวลาเช่นกัน

 

แผลกรีดยาวที่หน้าอก กลับไม่ได้ทำให้องค์เดเมี่ยนรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ในตอนนี้ พระองค์มีความสุขมากเสียจนไม่ว่าอะไรก็คงจะทำให้พระองค์โกรธไม่ได้ ตรงกันข้ามพระองค์กลับอารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พระองค์ยิ้มออกมาหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาคนรอบข้างที่เห็นต่างพากันตกใจ และหลงใหลในรอยยิ้มของพระองค์

 

“เจ็บมากไหมครับ” มิคาเอลถาม

“ไม่เจ็บเลยสักนิด ตราบที่มีเจ้าอยู่ตรงนี้ ต่อให้มากกว่านี้ เราก็ไม่กลัว” ทรงตรัส

“แค่นี้ ผมก็แทบทนไม่ได้แล้ว” มิคาเอลตอบ ดูราวกับจะร้องไห้

“เราไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าอย่ากังวลเลย เราต่างหาก ที่ต้องขอโทษเพราะเรา จึงมีคนคิดจะทำร้ายเจ้า เจ้าพวกกบฏมันทำอะไรเราไม่ได้ คงคิดจะทำกับเจ้าแทน” ทรงตรัส ยกมือของมิคาเอลขึ้นมาจุมพิตเบาๆ

“ผมรักพระองค์ ผมไม่กลัว ผมต้องการอยู่เคียงข้างพระองค์ครับ” มิคาเอล

กล่าวแอบกลัวว่าพระองค์จะไม่ยอมให้เขาอยู่เคียงข้างอีก

“เราจะปกป้องเจ้าเอง อย่าหนีไปจากเรา อย่าลืมเราอีก เข้าใจไหม” ทรงกำชับ มิคาเอลน้ำตาไหลออกมาอีก เสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หัวใจบีบรัดจนปวดร้าว เขารักเจ้าชายเดเมี่ยนจนหมดหัวใจ พระองค์เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้

“อย่าร้องไห้สิ เรากำลังทำแผลอยู่ เรายังกอดเจ้าไม่ได้” ทรงตรัส

“องค์เดเมี่ยนครับ ผมรักพระองค์ รักมากเหลือเกิน รักพระองค์ที่สุด” มิคาเอลกล่าวขยับเข้ามาใกล้ ซบใบหน้าลงกับต้นแขนของพระองค์

“เรารักเจ้ามากกว่าสิ่งใด มิคาเอล” ทรงตรัส ยกมือขึ้นลูบศรีษะลูกแมวขี้อ้อนของพระองค์

 

หมอพอลมององค์เดเมี่ยนอย่างหมันไส้นิดๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ด้วยเพราะรู้ว่าองค์เดเมี่ยนทรงรักมิคาเอลมากเพียงไหน และมิคาเอลก็รักพระองค์ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองผ่านพ้นอุปสรรคมากมายมาด้วยกัน อุปสรรคที่พยายามจะแยกคนทั้งสองออกจากกัน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่รักแท้ก็ได้พิสูจน์ว่าสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทั้งสองเอาแต่สวีทหวานกันอยู่ตลอดเวลา จนหมอพอลเริ่มรู้สึกเป็นส่วนเกิน เมื่อทำแผลเสร็จองค์เดเมี่ยนก็พามิคาเอลกลับวิลล่า

 

เป็นเพราะพระองค์ถูกลอบทำร้ายอีกครั้ง องค์นาธานเนียลจึงเสด็จมาเยี่ยมด้วยพระองค์เองเมื่อมาถึงก็พบมิคาเอลนั่งอยู่เคียงข้าง ป้อนอาหารให้องค์เดเมี่ยนที่นอนอยู่บนเตียง องค์นาธานเนียลก็รู้สึกเป็นห่วงพระเชษฐาขึ้นมา และรู้สึกผิดที่ใช้งานพระองค์หนักเกินไป

 

“นาธานเนียล” องค์เดเมี่ยนทัก

“พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง” ทรงตรัสถาม มิคาเอลเห็นองค์นาธานเนียล เข้ามาจึงลุกขึ้น ทำความเคารพและพยายามจะเดินออกไป

“เดี๋ยวมิคาเอล” องค์นาธานเนียลรั้งเอาไว้

“องค์นาธานเนียลต้องการอะไร หรือครับ” มิคาเอลถามอย่างตกใจ ปกติองค์นาธานเนียลไม่ค่อยชอบเขาเสียเท่าไหร่

“ขอบใจมาก ที่พยายามปกป้องเสด็จพี่เดเมี่ยน และดูแลพระองค์อย่างดี เจ้าในตอนนี้ก็เสมือนครอบครัวของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เราขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับเจ้าไว้” องค์นาธานเนียลทรงตรัส

“ขอบคุณครับ ผมรักองค์เดเมี่ยนครับ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อพระองค์ครับ” มิคาเอลกล่าวยิ้มออกมา

“พอได้แล้ว มิคาเอล เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจใครนอกจากเรา” องค์เดเมี่ยนตรัสไม่พอใจ ที่น้องชายมายุ่งวุ่นวายกับมิคาเอล แต่มิคาเอลก็ขอตัวออกไป

 

“เราจะพักสักระยะ เจ้าคงไม่บังคับให้เรากลับไปทำงานหรอกใช่ไหม”

องค์เดเมี่ยนรีบตรัส พระองค์อุตส่าห์เล่นละครทำเป็นว่าเจ็บหนัก

“ผมเข้าใจครับ พระองค์พักผ่อนจนกว่าแผลจะหายเถอะครับ”

องค์นาธานเนียลกล่าว

“ขอบใจ เจ้ากลับไปได้แล้ว เราอยากอยู่กับมิคาเอล ไม่ต้องการคนอื่น”

ทรงตรัสไล่ องค์นาธานเนียลหัวเราะ และลากลับไป

 

หลังองค์นาธานเนียลกลับไป องค์เดเมี่ยนก็เอาแต่ใจอีกครั้ง ด้วยการพามิคาเอลแอบหนีขึ้นเครื่องไป ชาร์โตว์ เดอ ลาเบลล อีกครั้ง โดยพระองค์ไม่ได้บอกกับเขาว่าทำไม

 

“เรามาที่นี่ทำไมหรือครับ” มิคาเอลอดถามไม่ได้

พระองค์ไม่ตอบ พาเขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ทุกที่ในชาร์โตว์ล้วนประดับตกแต่งด้วยดอกกุหลาบ ส่งกลิ่นหอมอบอวนไปหมด เมื่อเข้ามาในห้องโถงซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ใช้ในการจัดงานเต้นรำ มิคาเอลก็ต้องแปลกใจ เมื่อกลางห้องมีรูปของเขาและรูปของพระองค์ ถูกประดับตกแต่งอยู่เต็มไปหมด มีทั้งรูปที่เขาถ่าย และรูปที่คนอื่นถ่าย แต่ทุกรูปล้วนเป็นภาพที่ทั้งเขาและองค์เดเมี่ยนดูมีความสุขเหลือเกิน มิคาเอลเดินดูรูปอย่างสนใจ แต่เมื่อหันกลับมาองค์เดเมี่ยนกลับจ้องมองมาที่เขา

 

“มิคาเอล เรารู้ว่า เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุด เราอาจจะทำเรื่องไม่ดีมามากมาย เราอาจจะเคยทำให้เจ้าเสียใจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เราสัญญาว่าจากนี้ไป เราจะรักเจ้าให้มากที่สุด เท่าที่คนๆ หนึ่งจะสามารถรักคนอีกคนหนึ่งได้ เราสัญญาว่าเราจะรักเจ้าตราบจนลมหายใจสุดท้าย เราจะชราไปพร้อมๆ กับเจ้า เราจะอยู่ที่ตรงนี้ เคียงข้างเจ้าเสมอ ไม่ว่ายามสุข หรือยามทุกข์ ไม่ว่าจะเจ็บป่วย หรือแข็งแรง เราจะคอยดูแล และรักเจ้า อ้อมกอดของเรา จะเป็นบ้านของเจ้า ทั้งหมดของเรา เป็นของเจ้า คนเดียว เราอยากให้เจ้าเป็นเจ้าของเรา ปรารถนาให้ทุกรูปของเรามีเจ้าอยู่ในนั้น อยากให้เจ้าเป็นดั่งแสง และเราจะเป็นดั่งเงา อยู่เคียงข้างกันตลอดไป” องค์เดเมี่ยนกล่าว คุกเข่าลงตรงหน้าของมิคาเอล

 

“ได้โปรด เป็นชายา เพียงหนึ่งเดียว ของเราจะได้ไหม”

 

ทรงตรัสถาม แหวนวงเดิมที่มิคาเอลคืนให้องค์เดเมี่ยน ถูกเอาออกมาอีกครั้ง มาพร้อมกับแหวนหมั้นที่มีเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่สีเดียวกับดวงตาของมิคาเอลเพิ่มขึ้นมาอีกวง มิคาเอลน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“ครับ ฝ่าบาท ผมรักพระองค์ครับ รักมากที่สุด และจะรักตลอดไป”

มิคาเอลกล่าว องค์เดเมี่ยนสวมแหวนให้ มิคาเอลก็โผเข้ากอดพระองค์อย่างรักใคร่ หัวใจบีบรัด ความปิติยินดีเอ่อล้น องค์เดเมี่ยนกอดมิคาเอลเอาไว้ ก้มลงจุมพิตคนตัวเล็กเนิ่นนาน กระซิบข้างหูคนตัวเล็ก

 

“เรารักเจ้า มิคาเอล รักตลอดมา และจะรักตลอดไป” ทรงตรัส

“ผมก็รักองค์เดเมี่ยนครับ รักมากที่สุด รักพระองค์เพียงคนเดียว ตลอดไป” มิคาเอลกระซิบตอบน้ำตาแห่งความสุขไหลริน

 

หลังจากการปราบกบฏครั้งใหญ่ในคานาเดีย คานาเดียก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่เพราะภาพหลายต่อหลายภาพที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมของเจ้าชายเดเมี่ยนถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งภาพที่ใบหน้าของพระองค์เปื้อนเลือด ภาพที่พระองค์ต่อยคนร้ายจนสลบ พร้อมกับมือที่เปื้อนเลือด และอื่นๆ อีกหลายภาพ ซึ่งภาพเหล่านั้น ส่งผลกระทบต่อทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของทั้งพระองค์และราชวงศ์ จนองค์นาธานเนียลรับสั่งให้แก้ไขภาพลักษณ์โดยด่วน

 

องค์เดเมี่ยนดูขัดใจ แต่มิคาเอลก็เสนอให้ตีพิมพ์หนังสือภาพเล่มหนึ่ง

ที่มิคาเอลเป็นคนถ่าย หลังจากที่หนังสือถูกตีพิมพ์ ภาพลักษณ์ของพระองค์ ก็ดูดีขึ้นมาก ภายในหนังสือเล่มนี้ มีภาพในอริยาบทต่างๆ ขององค์เดเมี่ยนที่คนทั่วไปไม่เคยมีโอกาสได้เห็น ทั้งภาพทรงงานหนัก ภาพออกกำลังกาย ภาพใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะใกล้

 

และภาพพิเศษสองภาพ ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุด คือภาพที่องค์เดเมี่ยนทรงยิ้มอย่างกว้างขวาง จนแทบละลายหัวใจของผู้คนที่พบเห็น และภาพที่ถูกถ่ายด้วยพระองค์เอง เป็นภาพคู่ของพระองค์และว่าที่พระชายามิคาเอล แม้จะเป็นภาพธรรมดาของคู่รักภาพหนึ่ง แต่ไม่เคยมีใครเห็นภาพ ที่พระองค์จุมพิตหน้าผากของว่าที่พระชายาอย่างอ่อนโยน และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของว่าที่พระชายา ยิ่งเข้าใกล้วันอภิเษกสมรสของทั้งคู่ ภาพๆ นี้ก็ถูกนำมาพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง จนหนังสือภาพนี้ต้องถูกตีพิมพ์เพิ่มอีกหลายต่อหลายครั้ง ชื่อของหนังสือที่ถูกตั้งโดยมิคาเอล กลายเป็นฉายาใหม่ขององค์เดเมี่ยนไปโดยทันที และ

มิคาเอลก็ได้รับฉายาเช่นกัน “The Dark Prince by White Angel”

 

งานอภิเษกสมรสถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในโบสถ์อันเก่าแก่ของคานาเดีย อันเป็นสถานที่เดียวกับที่กษัตริย์นาธานเนียลและพระชายาได้อภิเษกสมรส แขกสำคัญหลายพันคนถูกเชิญใหมาเป็นสักขีพยานรักแก่คู่รักทั้งสอง

 

ภายในโบสถ์ถูกประดับประดา ตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวอย่างวิจิตรบรรจง นับจากหน้าประตู ไปจนถึงแท่นทำพิธี ดอกกุหลาบสีขาวถูกจัดตกแต่งใส่แจกัน พุ่มแขวน ช่อดอกไม้หลากหลายขนาด รวมไปถึงซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่เหนือแท่นพิธี ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว มิคาเอลแต่งกายในชุดขาวทั้งชุด ดูงดงามราวกับทูตสวรรค์ เดินเข้ามาตามทางเดินที่โรยด้วยกลีบดอกกุหลาบสีขาว ทางเดินทั้งสองข้างถูกประดับตกแต่งด้วยต้นไม้สีขาวประดับไฟ เทียนไขจำนวนมากถูกนำมาใส่ในแจกันใสวางไว้ขนาบสองข้างทางเดิน จุดให้แสงสว่างนำทางไปสู่แท่นพิธี ที่สุดปลายทาง มีเจ้าชายเดเมี่ยนที่แต่งกายในชุดดำ ที่ขับเน้นความคมเข้มหล่อเหลา ยืนรอรับเขาอยู่ มิคาเอลจ้องมองชายตรงหน้าอย่างรักใคร่ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถรักใครได้มากขนาดนี้ ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ และชีวิตนี้ของเขา เป็นของเจ้าชายเดเมี่ยนเพียงพระองค์เดียว

 

องค์เดเมี่ยนจ้องมองมาที่มิคาเอล คนๆ ที่พระองค์รักยิ่ง คนๆ นี้ได้นำแสงสว่างเข้ามาสู่ชีวิตของพระองค์ เป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ เป็นความรักอันมั่นคงหนึ่งเดียวของพระองค์ เป็นดั่งแก้วตาและดวงใจ เป็นทุกๆ สิ่งที่คนๆ หนึ่งจะต้องการได้ มิคาเอลงดงามหมดจด ดุจเทพสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์ แสงสว่างอันอบอุ่นสาดส่องมาเพื่อพระองค์เพียงคนเดียว พระองค์ยื่นมือออกไปรับมิคาเอลเข้ามายืนเคียงข้าง จับมือ และเริ่มกล่าวคำปฏิญาณรัก ต่อคนที่พระองค์รักจนหมดหัวใจ

 

“เรา เจ้าชาย แห่ง คานาเดีย เดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส ขอรับ

มิคาเอล มิลลส์ เป็นพระชายา เพียงหนึ่งเดียวตลอดไป ด้วยแหวนวงนี้

เราขอสัญญาว่า เราจะใช้ชีวิตนี้ เพื่อเจ้า ทุกลมหายใจของเรา เป็นของเจ้า ร่างกาย และ หัวใจนี้ของเรา จะเป็นของเจ้า เพียงคนเดียว เราจะดูแล และรักเจ้า ตราบชั่วนิรันดร์” องค์เดเมี่ยนปฏิญาณรัก แล้วจึงสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของมิคาเอล

 

“ผม มิคาเอล มิลลส์ ผมขอรับ เจ้าชายแห่งคานาเดีย เจ้าชาย เดเมี่ยน เดอ ลา จูลิโอ คลอเดียส เป็นพระสวามี เพียงหนึ่งเดียวตลอดไป ด้วยแหวนวงนี้

ผมขอสัญญาว่า ผมจะใช้ชีวิตนี้ เพื่อพระองค์ ทุกลมหายใจของผม เป็นของพระองค์ ร่างกาย และ หัวใจนี้ของผม จะเป็นของพระองค์ เพียงพระองค์เดียว ผมจะดูแล และรักพระองค์ ตราบชั่วนิรันดร์” มิคาเอลปฏิญาณรักต่อชายที่เขารักจนหมดหัวใจ ก่อนจะสวมแหวนให้กับพระองค์ ด้วยน้ำตาที่คลอหน่วง

 

"กระหม่อมขอประกาศให้ทั้งสองเป็นพระสวามี และพระชายา

จูบพระชายาได้แล้วขอรับ” บาทหลวงกล่าวขึ้น อย่างยินดี

 

องค์เดเมี่ยนรั้งมิคาเอลเข้ามาหา ก่อนจะก้มลงจุมพิตเนิ่นนานจนหลายต่อหลายคนอิจฉา ก่อนพระองค์จะช้อนร่างเล็กของมิคาเอลขึ้นท่ามกลางเสียงตบมือยินดีต่อทั้งสอง มิคาเอลโอบกอด The Dark Prince ของเขาเอาแนบแน่น เจ้าชายที่โหดร้ายพระองค์นี้ คือเจ้าชายที่เขาจะรัก และอยู่เคียงข้างตลอดไป ชั่วนิจนิรันดร์

----จบบริบูรณ์----

นิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ กับ สนพ นานานาริส ค่ะ
หากใครสนใจก็สั่งจองได้จนถึง 9 เมษานะคะ
NanaNarisYBooks
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 11-05-2017 03:07:17
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 16-05-2017 17:19:29
สนุกมากค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 11-11-2017 00:12:13
สนุกดีค่ะ
มีขัดใจบ้างตอนที่เดเมี่ยนเอาแต่ใจแรกๆ
อยากอ่านของราฟาเอลกับโทนี่จัง
จะมีให้อ่านไหมคะ
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: annch ที่ 11-11-2017 12:16:11
สนุกมากๆๆ :3123: :L1: :3123:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 27 เหตุเกิดในงานเลี้ยง
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 01-10-2020 05:30:43


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่ว พระสนมคนใหม่ขององค์เดเมี่ยน กลับเต้นรำยั่วยวนอยู่กลับองค์รัชทายาทราฟาเอล

 

 
ตรงไหนที่ยั่วยวน ใช้คำนี้ไม่ปรักปรำใส่ร้ายกันเกินไปเหรอ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 34 Business Trip ล่องเรือ
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 01-10-2020 06:46:25


ตลอดเวลามิคาเอลคอยช่วยเหลืองานอย่างใกล้ชิด แต่แม้จะใกล้ชิด และอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา แต่มิคาเอลกลับเย็นชาและไม่ยอมทำดีกับองค์เดเมียนอีกเลยนับตั้งแต่ในวันที่ไปเที่ยวในลอนดอน

 

 
หมั่นไส้นังเอกมาก ไอ้โน่นก็ไม่ดีไอ้นี่ก็ไม่ชอบ ปล่อยมันอยู่ในฮาเร็มเฉยๆให้แมงมุมชักใย ไม่ต้องให้มันออกไปข้างนอกอีกเลย
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---บทที่ 42 ทบทวนความรู้สึก
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 01-10-2020 07:40:44

 

มิคาเอล อยู่ในวิลล่าขององค์ราฟาเอลมาได้เดือนกว่าแล้ว องค์ราฟาเอลดูแลเขาเป็นอย่างดี พระองค์ทำดีกับเขาทุกอย่าง เข้าใจ และ อ่อนโยนต่อเขาเสมอ แต่กระนั้นมิคาเอลก็ยังห่างไกลจากคำว่า มีความสุข มากนัก แม้เขาจะพยายามจะทำตัวร่าเริงแต่มันกลับเป็นการฝืนทำต่อหน้าองค์ราฟาเอลเท่านั้น เมื่อองค์ราฟาเอลไม่อยู่ มิคาเอลก็เอาแต่นั่งเหม่อลอย และยังคงเฝ้าคิดถึงเจ้าชายอีกพระองค์หนึ่ง แม้มิคาเอลจะพยายามจะตัดใจ แต่เขาก็ยังไม่อาจจะทำได้ และตราบเท่าที่เขายังรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ เขาคงไม่อาจเปิดใจรับองค์ราฟาเอลได้

 

 
เริ่มเกลียดนังเอกอย่างมากๆแล้ว เรื่องมากที่สุด ร่ำร้องหาราฟาเอลไม่ใช่หรือ พอตอนนี้ผีบ้าที่ไหนเข้าสิงอีกล่ะ จะเอายังไงแน่ ไม่พอใจก็บอกให้เขาส่งกลับบ้าน คนอย่างราฟาเอลต้องไม่รั้งไว้แน่นอน หมั่นไส้มันจริงๆ
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-10-2020 17:04:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 02-10-2020 16:40:19
ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายสนุก ทั่งลุ้นทั้งบีบหัวใจไปด้วยทุกตอน กว่าจะลงเอยด้วยดีๆ เหนื่อยแทนทั้งคู่เลยค่ะ :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ----The Dark Prince ---- เดเมี่ยน&มิคาเอล ---- บทที่ 70 ตราบชั่วนิรันดร์ (จบบริบูรณ์)
เริ่มหัวข้อโดย: Thewitch ที่ 10-11-2020 20:28:27
สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆเรื่องนี้นะคะ ลุ้นตลอดเลย ชอบค่ะ