Just you and I [Sun & Jom] : ไม่เคย
ฉันไม่เคยรู้คนที่สำคัญ นั้นมีค่าแค่ไหน ฉันไม่เคยรู้ วันที่สวยงามนั้นมีค่าเท่าไร ไม่เคยรู้เวลาที่เรามีกัน นั้นดีเท่าไร ไม่เคยรู้ว่าความคิดถึงมันทรมานแค่ไหน ไม่เคย ไม่เคย ไม่เคย...
กระจกบานใสสะท้อนแสงไฟตามตึกรามบ้านช่องจนความมืดแทบถูกกลืนหาย ผมกำลังนั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีเพลงจากไอพอตรุ่นเดอะคอยขับกล่อมไม่ให้เงียบเหงา ผมอยากปล่อยสมองให้หยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ลงบ้าง เฮ้อ ทำไมผมต้องทำเรื่องแบบนั้นไปด้วย ไม่เข้าใจตัวเอง ในขณะที่ผมกำลังนั่งเหม่อจมกับความคิดของตัวเอง เสียงเปิดประตูจากด้านหลังก็ทำให้ต้องหันไปมอง คนที่เข้ามาสวมชุดขาวไปทั้งตัว ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ขอวัดความดันคนไข้หน่อยนะคะ” เสียงนุ่มดังขึ้น ผมถอดหูฟังวางไว้ที่โซฟาก่อนลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ เตียงคนป่วยที่นอนซมไม่ได้สติ “ความดันปกติค่ะ แต่ไข้ยังมีอยู่นะคะ” หลังจากเก็บอุปกรณ์เสร็จ คุณพยาบาลชุดขาวก็ขอตัวออกไป โดยทิ้งให้ผมยืนมองคนไข้ที่นอนหลับอยู่บนเตียง
ผมยื่นมือไปแตะแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ หน้ามันร้อน ตัวมันก็ร้อน คงเพราะพิษไข้ที่พยาบาลบอกเมื่อกี้ ผมรีบเอาผ้าชุบน้ำสะอาดในอ่าง บิดผ้าให้หมาดแล้วเช็ดตามซอกคอที่ผมชอบงับเล่นและได้คำชมว่าเป็นหมามาแทบทุกครั้ง ผมเช็ดตัวให้คนไข้แบบนี้มาค่อนคืน ทั้งที่คิดว่าไข้น่าจะลดลงบ้าง แต่มันกลับยังสูงอยู่ ผมยกแขนของซันแล้วเช็ดเพื่อระบายความร้อนตามที่หมอบอกไว้ตั้งแต่ตอนเย็น
“กูเหนื่อยแล้วเนี่ย” ผมบ่นเบาๆ แม้จะรู้ว่าบ่นไปคนนอนหลับคงไม่ได้ยิน แต่ก็อยากบ่น ที่มันต้องมานอนซมอยู่บนเตียงคนไข้ก็เพราะผม เพราะความเอาแต่ใจของผมเอง
จำได้ว่าตอนบ่ายวันนี้ ผมอยากกินส้มตำมาก ชวนใครก็ไม่มีใครไป พอซันกลับมาจากมหาลัย ทั้งที่หน้ามันดูเหนื่อยจากการเรียน แต่พอผมชวน มันก็ยิ้มแล้วพาผมออกไปหาร้านอร่อยๆ อย่างที่เคยทำเป็นประจำ ผมยังจำได้ดี ตอนที่เรานั่งรออาหาร ซันพร้อมจะหลับทุกเมื่อ ผงกหัวไปหลายรอบ ใจหนึ่งก็นึกสงสารแต่อีกใจก็อยากกินส้มตำมาก
ที่ซันมีอาการง่วงแบบนั้นเพราะมันกำลังเรียนปริญญาโทต่อพร้อมไอ้แทมผู้ซึ่งถูกบังคับให้เรียน ต่างจากซันที่พอออกจากงาน มันก็ขอพ่อกับแม่เรียนต่อเพื่อเพิ่มความรู้ ยิ่งช่วงนี้ใกล้จะสอบด้วย งานมันเลยเยอะ บางคืนผมนอนหลับไปหลายตื่นแต่ก็ยังเห็นไอ้ซันมันนั่งอ่านหนังสือ อันที่จริงมันเป็นคนเรียนเก่งมาก ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ ไม่เคยได้ดีด๊อกสักตัว
“ถ้ามึงไม่รีบหาย กูจะไม่ให้มึงเข้าห้องปีหนึ่งนะ รีบๆ หาย” ผมเช็ดหน้าแดงๆ ของมันแล้วโป๊ะผ้าไว้บนหน้าผาก
ส้มตำรสจัดจ้านพริกแทบจะล้นถ้วย ในตอนนั้นผมอยากกินอะไรเผ็ดๆ เลยสั่งแบบใส่ไม่ยั้ง แต่พอมาจริงๆ กินไปแค่คำเดียวก็ต้องวางเพราะมันไม่ไหว แค่กลืนคำเดียวยังแสบร้อนไปทั้งท้อง แต่ไอ้ซันมันกินได้เพราะชอบกินเผ็ด ผมนั่งมองคนพามากินส้มตำพริกด้วยความสงสาร ใบหน้ามันเป็นสีแดงเข้ม เหงื่อไหลตลอดเวลา สุดท้ายมันก็กินจนหมด
พอกลับถึงห้องได้ไม่ถึงชั่วโมง คนกินเผ็ดก็เริ่มออกอาการ ไอ้ซันวิ่งลอกเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น จนหลังๆ แทบคลานออกมา มันทั้งท้องเสียและอาเจียนจนผมต้องรีบพามาส่งโรงพยาบาลตอนเย็น คุณหมอบอกว่ามันอาหารเป็นพิษรุนแรง ต้องแอดมิทเพื่อให้น้ำเกลือและยา
...ถ้ารู้ว่าผมทำแบบนั้นแล้วผมจะต้องมานั่งเสียใจ ผมจะไม่มีวันทำอีก
เสียงครางเบาๆ กับการขยับตัวนอนงอเป็นกุ้งเรียกสติให้ผมกลับมาสนใจ ใบหน้ากวนๆ ที่ผมเห็นตลอดเวลากำลังบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แขนสองข้างมันกุมท้องเอาไว้จนผมใจคอไม่ดีต้องกดเรียกพยาบาลเข้ามา ผมเห็นไอ้ซันถูกฉีดยาไปสองเข็มไม่รู้ว่ายาอะไร แต่คุณหมอที่เข้ามาด้วยบอกให้ผมเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ผมรีบทำทันที เช็ดมันเกือบทั้งคืน บางทีตาแทบปิดแต่พอหัวแตะแขนร้อนๆ ผมก็สะดุ้งขึ้นมาแล้วก็เช็ดต่อ
กลางดึก คนป่วยที่ผมดูแลปรือตาขึ้นมา ผมอาบน้ำเพิ่งเสร็จก็รีบพุ่งเข้ามาหา ไอ้ซันมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่ดูพยายามมาก
“ปวดท้องเหรอ” ถามพลางขมวดคิ้ว
“เปล่า” เสียงแหบแห้งและการขมวดคิ้วทำให้ผมรู้ว่าไอ้ซันมันโกหกอยู่
“อย่าโกหกกู ปวดท้องใช่มั้ย” ถามย้ำอีกรอบ คราวนี้คนป่วยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า
“ครับ”
“ขอโทษนะ ถ้ากูไม่เอาแต่ใจมึงก็คงไม่ต้องมานอนโรงพยาบาลแบบนี้” โคตรรู้สึกผิดเลย
“ไม่ได้โกรธอยู่แล้ว อย่าคิดมาก”
ยิ้มให้คนที่ปลอบผมในยามที่น้ำตาใกล้ไหล ไอ้ซันพยายามยื่นแขนมาเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้ผม แต่เรี่ยวแรงที่น้อยนิดทำให้แขนมันตกลงข้างเตียงแทนจนผมเผลอขำออกมา
“อวดเก่งนะมึง” ผมว่า มือก็ยกแขนที่ตกไปเมื่อกี้ขึ้นมาจับที่หน้าตัวเอง ฝ่ามือร้อนประกบที่แก้ม ไอร้อนที่ซึมเข้าไปทำให้น้ำตาแทบไหล “ขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บ”
“เมียกูเป็นคนขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” นี่ถ้ามันไม่ป่วย ผมพุ่งศอกใส่มันแน่ๆ พูดอีกไม่กี่ประโยค ไอ้ซันก็ผล็อยหลับไปอีก คงเพราะฤทธิ์ยาและพิษไข้ ผมยืนมองพลางเช็ดตัวคนมีไข้อยู่ตลอด อยากให้มันหายไวๆ ผมโคตรคิดถึงอ้อมกอดของมันเลย
เช้าวันใหม่ หลังจากผมอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นให้ตัวเองหลังจากอดนอนมาทั้งคืน ออกมาผมเห็นคนป่วยนอนหลับตาพริ้ม สองขาเดินเข้าไปหา ผมลากเก้าอี้มาข้างๆ เตียง ยื่นมือจิ้มจมูกโด่งๆ ผมชอบหน้ากวนๆ ของมันนอนหลับเพราะดูไม่มีฤทธิ์เดช ปากแดงๆ นี่ก็ไม่อ้ามาบ่น แบบนี้แหละที่ผมชอบ
“อือ” เสียงแผ่วๆ ดังมาจากคนที่นอนอยู่ ผมลุ้นว่ามันจะลืมตาขึ้นมามองหรือเปล่า ลุ้นอยู่นานแต่มันก็ไม่ยอมลืมตาจนผมนั่งทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ข้างๆ มันอีกรอบ “หิวน้ำ” เสียงบอกความต้องการของคนไข้ทั้งที่ตายังปิด ผมรีบเทน้ำใส่แก้วแล้วหย่อนหลอดลงไป
“ค่อยๆ กินนะ” ผมประคองคนที่นอนยกตัวขึ้นมาหน่อยเพื่อให้กินน้ำได้สะดวก พอน้ำไหลลงคอไป ดวงตาที่ชอบจ้องจนผมเขินก็ลืมขึ้น “เอาอีกมั้ย หรืออยากกินข้าว ปวดท้องมั้ยหรือจะ...”
“ฟังไม่ทัน” เสียงขัดที่แหบพร่าทำให้หยุดพูดทันที
“ปวดท้องอยู่หรือเปล่า” ผมวางแก้วบนโต๊ะก่อนนั่งจ้องหน้าคนป่วยที่ยิ้มอ่อนๆ มาให้ หน้าตาไอ้ซันดูดีขึ้น คงเพราะได้นอนเต็มอิ่ม
“นิดหน่อย” พยักหน้าให้กับคำตอบ พอดีกับคุณหมอและพยาบาลเดินเข้ามา ผมก็รีบถอยให้ทันที
คุณพยาบาลตรวจเช็กนั่นนี่เสร็จก็ขอตัวออกไป เหลือแค่คุณหมอที่ยังยืนยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไข้ลดลงแล้ว พรุ่งนี้ก็ออกโรงพยาบาลได้ครับ” ผมยิ้มให้คุณหมอ ก่อนมองเลยไปยังคนป่วยที่นอนกระพริบตาปริบๆ
“ขอบคุณครับ” บอกก่อนคุณหมอจะเดินออกไป ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ไอ้ซันมองหน้าผมนิ่งๆ จนอดที่จะถามไม่ได้ “มองทำไม”
“ยิ้มให้กูคนเดียวพอ” เบิกตากว้างให้สิ่งที่ได้ยินแล้วขำพรืดออกมา
“มึงหึงกูเหรอ” ถามพร้อมเสียงหัวเราะ แต่คนป่วยกลับทำหน้าบึ้ง “เออน่า ก็แค่ยิ้ม อย่าติดนิสัยขี้หวงมาจากไอ้โชหน่อยเลย” พอนึกถึงวีรกรรมขี้หึงของไอ้โชก็ขยาดขึ้นมา เล่นตามไอ้กลอยเกรียนชนิดที่ว่า เงินมือถือเพิ่มล้านก็หมดภายในวันเดียวประมาณนั้น ตั้งแต่ถูกไอ้เด็กปีหนึ่งสามคนรุมตอมจนมาถึงบุรุษปริศนาส่งจดหมายมาให้ทุกวัน จนผมต้องตั้งชื่อโรคให้เพื่อนตัวเองว่ามันเป็นโรค ขี้หึงขึ้นสมอง หรือขี้หึงริซึ่ม
“กูมีเมียคนเดียวจะให้หึงใครล่ะ” ไอ้ซันว่า
“ปากดีแบบนี้วันนี้ก็ออกโรงพยาบาลได้แล้วละมั้ง” เหล่ตามองไอ้คนที่เอาแต่หัวเราะ เห็นว่าป่วยอยู่หรอกนะถึงยอมให้เนี่ย “เอ่อใช่ เมื่อวานพ่อกับแม่มึงมาเยี่ยมด้วยนะ ซื้อซุปไก่มาให้ด้วย”
“เชี่ย” ผมหัวเราะมันบ้างหลังจากเห็นหน้าตาบิดเบี้ยว ไอ้ซันไม่ชอบซุปไก่สกัดถึงขั้นเกลียดอย่างรุนแรง เพราะมันเคยถูกบังคับให้กินแล้วอ้วก จากนั้นแค่เห็นมันยังไม่ปลื้ม
“ล้อเล่น แม่มึงซื้อรังนกมาให้ต่างหาก นู้น” พยักพเยิดหน้าไปที่โซฟา กล่องรังนกสีแดงโดดเด่นจนคนป่วยยิ้มออกมา
“ได้นอนบ้างหรือเปล่า” อยู่ๆ ไอ้ซันก็ถามออกมา ผมมองหน้ามันก่อนส่ายหน้าช้า “แล้วกินข้าวหรือยัง” ก็ยังส่ายหน้าอยู่ “รักกูมากสินะถึงไม่รักตัวเองน่ะ”
“พออ้าปากได้ก็บ่นเลยนะ” ผมหน้ามุ่ยทันที
“ก็เพราะเป็นห่วง ไปหาข้าวกินก่อน กูอยู่คนเดียวได้” ทำหูทวนลมจนมีเสียงเรียกชื่อนิ่งๆ “จอม”
“เออๆ แม่ง ขี้บ่นจังวะ”
“ที่บ่นก็เพราะห่วง”
“รู้แล้วน่า พูดมาก งั้นกูไป...” ยังไม่ทันพูดจบ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงโวกเวกโวยวายไม่สนว่าที่ยืนอยู่มันคือที่ไหน เสียงแบบนี้ไม่ใช่คนอื่นแน่นอนนอกจาก
“ไอ้เชี่ยติน ปากมึงนี่นะ” เสียงไอ้แทมดังมาก่อนตัว มันเบียดแทรกไอ้ตินเข้ามาหลังจากประตูเปิดออก “ไฮ คุณซันเพื่อนรัก ใกล้ตายหรือยัง” ดูปากมัน
“จะตายเพราะมึงมานี่แหละ” ไอ้ซันตอบกลับนิ่งๆ พวกที่มาด้วยถึงกับหัวเราะ “มาทำไมแต่เช้าวะ”
“เพราะกูห่วงมึงไงเพื่อน กะจะมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่ขี้เกียจ อีกอย่างมึงหนังเหนียวไม่ตายง่ายๆ หรอก” ไอ้แทมทำหน้าลอยไปลอยมา พอเห็นถุงส้มที่วางอยู่มันก็หยิบมากิน ไอ้นี่ตลกแดกตลอด
“เป็นไงบ้างมึง ไอ้จอมใช้ทั้งคืนเหรอ สภาพโคตรแย่” ผมกระโดดถีบขาคู่ใส่ไอ้ตินทันที ดีมันหลบทัน แต่มีคนโดนลูกหลง ไอ้กลอยเกรียนถึงขั้นจะล้ม ถ้าไม่ได้ไอ้โชรับไว้ แล้วแบบนี้ผมจะเหลือเหรอ...
“ไอ้เหี้ยจอม เดี๋ยวมึงจะโดน” แม้มาแค่คำพูด แต่สายตามันฆ่าผมเรียบร้อย ส่วนไอ้เกรียนมันก็เบ้หน้าสำออยใส่แฟนมัน
“อย่าได้ไปแตะเด็กมันนะมึง แค่มันฝันยังทำกูซวยเลยไอ้ห่า” ไอ้แทมพูดไปกินส้มไปอย่างน่าหมั่นไส้
“ผมก็ขอโทษพี่ไปแล้วไงเล่า” ไอ้กลอยมันว่าก่อนมันจะเดินมายืนข้างเตียง “ผมซื้อเกลือแร่มาฝาก” มือขาวชูถุงเกลือแร่ให้ดู ไอ้ซันยิ้มแล้วขอบใจมันไป เห็นมีคนเต็มห้องผมเลยจะออกจากห้อง
“ไปไหนวะไอ้จอม” ถูกไอ้ตินร้องทัก
“หาข้าวกิน” ตอบไปแล้วเดินออกมาไม่ฟังเสียงคนสั่งให้ซื้อของกิน ขี้เกียจเดินก็ไม่ต้องกิน
ผมลงมาที่ชั้นโรงอาหาร สั่งข้าวไปแล้วนั่งรอ ไอ้ตานี่ก็หนักซะจริงๆ พอนั่งอยู่เฉยๆ ดันง่วงมาซะงั้น มันเหมือนสติจะวูบอยู่ตลอด อยู่ๆ สมองผมก็หยุดทำงาน ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีดำ...หิวจนท้องร้องแต่ตาเปิดไม่ขึ้น ได้กลิ่นข้าวขาหมูที่สั่งแต่ยกหัวไม่ขึ้น พอดีกับมีแรงเขย่าที่แขน ผมพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ปรือตาขึ้นมองเห็นแฟนเพื่อนมานั่งจ้องตาแป๋ว
“พี่หลับโคตรนาน” เสียงไอ้กลอยปลุกให้ผมดันหัวตัวเองขึ้นมา
“นานแค่ไหน” เสียงแหบเหมือนเพิ่งตื่นนอน
“สามสิบนาที” แทบไม่อยากเชื่อ แต่พอดูนาฬิกาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ “ข้าวพี่เย็นแล้วหมด รีบๆ กิน”
“มึงมานั่งนานแล้วเหรอ” ถามพร้อมกับยัดข้าวลงท้อง
“เดินตามหลังพี่มาเลยเถอะ ถูกใช้ให้มาซื้อของ” ไอ้กลอยทำหน้ามุ่ย ของที่ถูกสั่งซื้อวางอยู่บนโต๊ะ “พี่ดูแลพี่ซันทั้งคืนเหรอ”
“เออสิ งั้นใครจะดู ถามไม่คิดนะมึง”
“เอ้า”
“ปะ ขึ้นไปได้แล้ว” อิ่มแล้วผมก็รีบหิ้วไอ้กลอยขึ้นไป เห็นมือถือตัวเองมีมิสคอลอย่างเยอะ ส่วนใหญ่ก็ของไอ้โชกับไอ้ซัน “มือถือมึงล่ะ” เหล่ตามองคนที่เดินเคียงข้างมา
“ฝากไว้ที่พี่โช” มิน่าล่ะ มันถึงกระหน่ำโทรหาผม “เดือดร้อนกูตลอด”
พอมาถึงห้อง ไอ้กลอยก็ถูกแฟนมันบ่นจนพวกผมเอือม ส่วนผมก็ถูกสายตาดุจ้องมา มันไม่กล้าจะว่าผมเท่าไหร่ ไม่ใช่กลัวผมหรอก แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น เสียงบ่นกับเสียงโวยวายทำให้คนป่วยเริ่มหงุดหงิด
“พวกมึงออกห้องกูไปได้แล้ว หนวกหูเหี้ยๆ” ไอ้ซันว่า
“กูอุตส่าห์มาเยี่ยม ไล่กูเหรอ เสียใจ” สีหน้าและน้ำเสียงของไอ้แทมไม่น่าเชื่อถือสักนิด
“เออกูไล่”
“เชี่ย กูไปก็ได้” ไอ้แทมสะบัดหน้าทำงอน
“นัดกิ๊กล่ะสิมึง กูรู้ทัน” ไอ้ตินขัดแล้วเตะขาเพื่อนมัน
“เออ”
ผมยืนดูเพื่อนตัวเองที่สติไม่ค่อยจะเต็มออกห้องไป ส่วนคู่รักที่บ่นกันเมื่อกี้ออกไปก่อนหน้าแล้ว พอพวกมันไป ห้องก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง ไอ้ซันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนผมขำ
“อะไร” มีเหวี่ยงด้วยเว้ย
“เปล่า” ผมว่า
“ทำไมมาช้าวะ ไปไหนมา” คิ้วเข้มขมวดเป็นปม
“ก็กินข้าวนั่นแหละ”
“กินหรือไปปลูกวะ นานเหี้ย”
“กินแต่กูเผลอหลับที่โต๊ะ ไอ้กลอยไปปลุก” แค่นั้นแหละครับ หูผมก็ชาไป เริ่มเข้าใจความรู้สึกของไอ้เกรียนแล้วเวลาถูกบ่นหนักๆ “ขี้บ่นจังวะ”
“กูบ่นเพราะ...”
“ห่วง กูฟังจนจะจำขึ้นใจแล้ว”
“จำแล้วก็ดี”
ผมมองหน้าไอ้คนขี้งอน ท่าทางแบบนี้แสดงว่ามันกำลังงอนผมอยู่
“กูง่วง” บอกพร้อมกับอ้าปากหาววอดๆ ไอ้ซันมองหน้าผม รอยยิ้มที่หายไปกลับมาอีกครั้ง ผมเห็นมันขยับตัวไปชิดขอบเตียงอีกฝั่ง
“ขึ้นมานอนด้วยกันสิ” คนป่วยตบที่ว่างข้างๆ เบาๆ
“กูนอนโซฟาได้” ผมบอก แต่คนป่วยย่นคิ้ว “เออๆ” ผมกลั้นยิ้มแล้วขึ้นเตียงไปนอนข้างๆ
เตียงโรงพยาบาลขนาดเล็กไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยชายกับคนเฝ้าไข้นอนด้วยกัน ผมขยับตัวแทบชิดคนไข้ ไอ้ซันยกแขนที่มีสายน้ำเกลือโอบผมเอาไว้ อ้อมกอดอุ่นๆ กับกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ตาผมหนักอึ้งอีกครั้ง คราวนี้ผมคงนอนหลับได้อย่างสบายสินะ
คนเอาแต่ใจหลับไปแล้ว ส่วนคนป่วยกำลังมองคนในอ้อมกอดอย่างรักใคร่และหวงแหน เขาไม่ใช่คนขี้บ่น ตั้งแต่เกิดจนโตมา ไม่บ่อยนักที่เขาจะบ่นกับใคร เพราะเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ แต่กับคนในอ้อมกอดทำแบบนั้นไม่ได้ นั่นเพราะมันดื้อ ไม่ใช่ดื้อธรรมดาซะด้วย ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนขี้บ่นขึ้นมา
“มึงนี่นะ ชอบทำให้กูห่วงอยู่เรื่อย” ซันลูบผมนุ่มเบาๆ รอยยิ้มที่จุดประกายมุมปากเรียกสายตาของคนที่เข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี ดวงตาคมจ้องมองคนที่เข้ามาพร้อมถาดยา
“หลับปุ๋ยเชียวนะคะ” เสียงติดขำพูดขึ้น “คงไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อคืนก็เช็ดตัวจนถึงเช้า ไข้เลยลดลงไว” ซันเบิกตานิดๆ เมื่อได้ยิน จอมที่รู้จักไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนั้น มันไม่เคยดูแลใคร ขนาดพ่อแม่ป่วยยังจ้างพยาบาลดูแล แต่กับเขาต้องทำในสิ่งที่ไม่เคย
“เป็นพวกขี้กลัวเกินเหตุครับ” ซันว่า รอยยิ้มอ่อนโยนจนพยาบาลยังรู้สึกอิจฉานิดๆ แม้จะมีสามีอยู่แล้วก็ตาม
“น่ารักจังนะคะ เขาคงรักคุณมากแน่ๆ” พยาบาลสาวบอกพร้อมกับขอตัวออกไปหลังจากคนป่วยทานยาอย่างทุลักทุเลเสร็จแล้ว
เมื่อพยาบาลออกไป ซันก้มมองคนในอ้อมแขนอีกรอบ ฝ่ามืออุ่นเกลี่ยผมที่ปิดหน้าผากมนออก เขายื่นหน้าจูบเหม่งน้อยเบาๆ
“ขอบคุณนะครับ”
(กลอยประเกรียนอยากแจม)
บนรถที่จุดหมายคือคอนโด ผมนั่งทำหน้ามุ่ยมาตลอดทาง นั่นเพราะถูกบ่นเรื่องไปซื้อของแล้วหายไปนาน ไม่ได้ไปไหนเลย แค่นั่งเฝ้าพี่จอมแค่นั้น ผมเดินตามหลังมาไม่นาน พอมาถึงที่โต๊ะก็เห็นพี่จอมนั่งผงกหัวแล้วก็คอพับไปเลย ผมตกใจรีบวิ่งไปหา กลัวจะเป็นอะไร ที่ไหนได้...หลับ
“อะไรอีก” เสียงพี่โชดังขึ้น ผมหันไปมอง
“บ่นอะไรอีกปีศาจ” ผมมองตามพี่โชไปด้านหน้า รถที่ติดยาวทำให้ชะโงกหน้าดู “เหมือนรถจะชนนะ”
“รถติดขนาดนี้ยังมาชนอีก เมื่อไหร่จะถึงล่ะเนี่ย” ปีศาจขี้บ่นเริ่มอีกแล้ว ช่วงนี้พี่โชหงุดหงิดง่าย หรือว่าจะวัยทองก็ไม่รู้ สงสัยต้องหาน้ำเต้าหูมาให้กินเพื่อปรับฮอร์โมน
ช่วงที่นั่งรอตำรวจเคลียร์สถานที่เกิดเหตุเพราะรถขยับไม่ได้เลย ผมนั่งคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เอ่ยปากถามออกไป
“เพื่อนพี่แม่งโคตรเล่นใหญ่อะ” พี่โชหันหน้ามามองอย่างสงสัย “ก็พี่ซัน เล่นโคตรใหญ่ กะอีแค่ท้องเสียเข้าโรงพยาบาล ทำเหมือนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”
“คิดมาได้นะ” เริ่มเห็นรอยยิ้มของปีศาจมาบ้าง
“ก็จริง ผมก็เคยเหอะ ท้องเสียเข้าโรงพยาบาลเนี่ย ไม่เห็นเป็นแบบพี่ซันเลย”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่เหมือน”
“รู้สิ ก็ผมนอนแค่วันเดียว พี่เอาแต่นั่งทำงาน อีกวันก็กลับ” พูดถึงก็แอบน้อยใจ
“พี่เช็ดตัวให้ตลอดเถอะ พอกลอยตื่นมาก็ร้องหาของกิน”
“มั่ว” ไม่เห็นรู้ตัวเลย
“ไม่มั่ว” ยืนยันหนักแน่นอีกต่างหาก
“มั่ว โหย ช้าว่ะ รถติดขนาดนี้” รีบเปลี่ยนเรื่อง ผมเปิดประจกรถแล้วจะยื่นหน้าออกไปดู แต่พี่โชตะโกนว่ามอเตอร์ไซค์ ผมก็รีบดึงหัวกลับเข้ามาแบบไม่ทันระวังตัว...
เต็มๆ หัวโขกกับกรอบประตูรถเต็มๆ โคตรเจ็บ เสียงดังโป๊กจนพี่โชทำหน้าตาตื่นตกใจถลาเข้ามาดู ผมเหล่ตามองก่อนร้องโอดโอยเต็มที่
“เจ็บอะ เจ็บโคตรๆ” พยายามบีบน้ำตาแห้งๆ ให้ดูน่าสงสาร พี่โชหน้าซีดไปหมด มือก็ลูบคลำหัวตรงที่ผมชน “พี่โชเจ็บ”
“ไปโรงพยาบาลมั้ย”
“ไม่เอา” มุ่ยเมื่อพี่โชจะพาไปโรงพยาบาล พี่โชเลิกคิ้วก่อนหัวเราะร่วนจนผมแปลกใจ “ขำอะไร”
“ว่าคนอื่นเล่นใหญ่ ตัวเองเล่นเล็กมากเลยนะ” เสียงพูดติดขำของปีศาจยิ่งทำให้ผมหน้ามุ่ย
“ไม่พูดด้วยแล้ว รีบๆ ขับเลย อยากกลับแล้ว” กอดอกสะบัดหน้าออกนอกถนน รำคาญคนที่รู้ทัน เบื่อปีศาจด้วย ... แต่ผมรู้แล้วว่าทำไมคนป่วยถึงเล่นใหญ่ คงอยากให้อีกคนสนใจ เป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจนั่นเอง ซึ่งผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ไอ้กลอยประเกรียนเป็นพวกตรงๆ ครับ
........................................................................
มาเพราะความคิดถึง อั๊ยย่ะ