จูบที่ยี่สิบห้า “ระวัง!!!!!!!”
ผมร้องเสียงดัง วินาทีนั้นคิดอะไรไม่ออกนอกจากถอดแว่นของตัวเองและดึงธีร์เข้ามาจูบ
ทันทีที่ปากเราแตะกัน กระเบื้องพวกนั้นก็ลอยหวืออยู่กลางอากาศ คมของมันห่างจากกายของพระสงฆ์ด้านหน้าเราไม่ถึงฝ่ามือ
ผมถอนริมฝีปากออกด้วยหัวใจที่เต้นรัวเร็ว...เชี่ย...เกือบไปแล้ว...
“เกิดอะไรขึ้น”
ธีร์เบิกตาด้วยความตกใจเพราะตามเหตุการณ์ไม่ทัน ผมชี้ไปที่แผ่นกระเบื้องพวกนั้นให้เขาดู
“เชี่ย...”
“เราต้องย้ายทุกคนออกจากที่นี่” ผมบอก “ไปที่ปลอดภัย อาจจะข้างนอก เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะพังลงมาทั้งหมดหรือเปล่า”
“ทุกคนเลยเหรอ” ธีร์ถามทวนเมื่อกะจากสายตาดูแล้วก็มีคนประมาณ...เกือบร้อยได้มั้ง?
“ใช่ ทุกคน”
คนเป็นดาราพยักหน้ารับเมื่อเห็นความจริงจังในแววตาผม งานหนักเอาการ แต่ถ้าปล่อยคนใดคนหนึ่งไว้มันก็อาจเสี่ยงอันตรายเกินไป และผมไม่อยากให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะในสถานที่แบบนี้...
เพราะฉะนั้น ผมกับคู่ชีวิตจึงต้องลำเลียงชาวบ้านเกือบหนึ่งร้อยคนออกจากอุโบสถทีละคน ตั้งแต่พระสงฆ์องค์เจ้าไปจนถึงประชาชนผู้ศรัทธาในศาสนา เด็ก คนแก่ คนน้ำหนักเกิน คนตัวสูงที่ต้องยกตะแคงออกจากประตู ทุกคนต่างถูกพยุงด้วยกำลังจากสองมือเปล่าของเรา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่กว่าเราจะจัดให้ทุกคนสามารถกระจุกกันอยู่ในขอบเขตที่ผมคิดว่าปลอดภัยก็ทำเอาเหงื่อท่วมตัว
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครเหลืออยู่ในอุโบสถ เราสองคนก็นั่งหมดสภาพกันอยู่ที่บันไดนาค ทั้งตัวเปียกชุ่มเหมือนอยู่ในงานรดน้ำสงกรานต์แทนทอดกฐิน
“ขำไร” ผมถามเมื่อจู่ๆ ธีร์ก็ครางเสียงหัวเราะในลำคอ
“ไม่ กำลังคิดว่าทำแบบนี้ต้องได้บุญเยอะกว่าทอดผ้าเฉยๆ แน่ๆ ดูเหงื่อดิ๊”
“เออ” ผมหัวเราะตาม ยิ่งขำเข้าไปใหญ่เมื่อเขายกมือขึ้นไหว้สาธุ
“ด้วยอิทธิฤทธิ์ของบุญกุศลที่ลูกช้างทำ รวมกับพลังจูบหยุดเวลา ช่วยให้ลูกช้างผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้แล้วมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาด้วยเถอะ”
“ซ้าธุ” ผมไหว้บ้าง ธีร์หัวเราะแล้วแบมือมาขอมือผมเพื่อเตรียมพร้อม
เราลงจากบันไดนาคมายืนอยู่แถวหน้าสุดของชาวประชา สวมแว่นกับหมวกกลับและย่อเข่าลงเพื่อป้องกันการเป็นที่สังเกต “พร้อมนะ”
“อื้อ”
ทันทีที่ริมฝีปากเราแตะกัน ผมก็ได้ยินเสียงโครมใหญ่ดังมาจากอุโบสถด้านหน้า ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากทุกคนด้านหลัง อาจเพราะพวกเขาตื่นตูมกับภาพตรงหน้าผสมกับความตกใจที่ตัวเองออกจากอุโบสถได้ในเสี้ยววินาที นั่นคือสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ผมไม่ได้คิดคือฝุ่นโขมงใหญ่และความโกลาหลที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน
หลังถอนจูบออกผมแทบมองไม่เห็นอะไรเพราะฝุ่นจากการล้มครืนข้างหน้า ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงผลักจากคนรอบข้างที่รุนแรงจนหมวกและแว่นของเรากระเด็นออก
ผมจับมือธีร์แน่น พยายามเอาตัวรอดจากพื้นที่ตรงนั้นท่ามกลางเสียงตะโกน มืออีกข้างยกขึ้นปิดจมูก ธีร์พยายามป้องกันตัวผมจากแรงยื้ดยุดฉุดกระชาก จนกระทั่งเราพาตัวเองออกมาหลบข้างบันไดนากสำเร็จ รอให้ฝุ่นและความวุ่นวายทั้งหมดหายไป
“ธีร์! จุ๊บ!” ผมได้ยินเสียงน้าแตในฝูงชน ตอนนั้นเราเริ่มหายใจหายคอสะดวก เจ้าอาวาสประกาศออกไมค์ว่าให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
“ธีร์! อยู่ไหนลูก!”
“อยู่นี่ครับน้าแต!!!”
ธีร์ก้าวออกไปเมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ดาราหนุ่มอาจจะลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร
เขาก้าวออกไปแบบที่ไม่มีอะไรปิดบัง เสียงฮือฮาเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงชัตเตอร์กล้องในทันที
ฉิบหาย
“พี่ธีร์!”
“มึง นั่นมันพี่นัทในเรื่องวัยรุ่นวุ่นรักของมึงนี่”
“ธีร์ ดำรงเดช!”
“น้องธีร์ ลูกป้าติดละครของน้องมากเลยลูก”
“โกโบริ!”
มา...มากันให้หมด
พอธีร์รู้ตัวเองว่าเขาเพิ่งเปิดเผยตัวตนต่อหน้าสาธารณชน ก็พุ่งเข้าไปหาน้าแตอย่างรวดเร็ว ผมรีบแทรกตัวเข้าไปคว้ามือเขา...แล้ววิ่ง!
“พี่ธีร์ เซลฟี่กับหนูหน่อยค่า”
“อาตมาขอเก็บภาพได้ไหมโยม”
“ขอโทษครับ ไม่ได้ครับ” ธีร์ยกมือไหว้ทุกคนแบบลวกๆ แล้วก้าวขาไวตามผม
“โห ทำไมหยิ่งจัง”
“กรุณารบกวนความเป็นส่วนตัวด้วยนะครับ” ผมช่วยเขา
“มึง นั่นมันคนในข่าวปะวะ”
“เออใช่ ที่มีภาพหลุดกับธีร์อะ”
“มึง ถ่ายไว้เร็ว!!”
“ขอโทษครับ ห้ามถ่ายรูปนะครับ”
ธีร์พยายามยกมือบังหน้าตัวเองและของผม แต่เสียงชัตเตอร์กล้องก็กระหน่ำใส่เราอย่างห้ามไม่อยู่ ผมพบกับแรงฉุดกระชากและเสียงเว้าวอนกึ่งข่มขู่ตั้งแต่หน้าอุโบสถจนถึงรถ...ทุกคนดูบ้าคลั่ง ไม่แคร์ว่าความอยากถ่ายรูปคนดังมันจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัว
คติ ‘ประชาชนคือสื่อมวลชน’ ที่เรายึดถือกันขำๆ...ดันเป็นจริง
(ต่อด้านล่าง)