จูบที่เจ็ด มันเหมือนภาพฝัน
ดาราตัวขาวเจ้าของโทรศัพท์ฉีกยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ ในขณะที่คนธรรมดาผมม้วนหยิกทางขวาทำหน้ากระอักกระอ่วนใส่กล้อง แก้มสองข้างระเรื่อเป็นสีชมพูอ่อน ส่วนศิลปินสองคนตรงกลางทำปากจู๋เพราะถูกหยุดไว้ในท่อน ‘หยุด’ พอดี
ผมนั่งเลื่อนรูปที่ธีร์ส่งมาให้ดูไปเรื่อยๆ อยู่ในห้องโถง กลางดึกอันเงียบสงบที่ทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว แต่ผมยังมานั่งอยู่ตรงหน้าจอทีวี ตายังยิ้มให้หน้าจอโทรศัพท์
ยิ้มให้รูปที่มีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ว่ามันถูกถ่าย
เสียงเปิดประตูบ้านทำให้ผมต้องละสายตา เห็นหญิงร่างท้วมคนคุ้นเคยเดินเข้ามาในชุดเดิมกับครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
“ยังไม่นอนอีก?”
“ฮึ...ทำไมแม่กลับดึกอะ” ผมถามย้อน ดูเวลาก็พบว่ามันเกือบเที่ยงคืนแล้ว
“จะกลับมาตั้งแต่สี่ทุ่มแล้ว ดั๊นลืมของไว้ที่โรงพยาบาล ต้องเทียวรถกลับไปอีกรอบ” แม่โอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างผม ผมยู่ปากอย่างเห็นใจแล้ววางมือถือลงข้างตัว ชันเข่าลุกขึ้นนั่ง
“นวดไหมแม่” ผมจับไหล่อย่างที่เคยทำให้เธอบ่อยๆ แต่แม่โอบโบกมือเชิงปฏิเสธ ผมทิ้งตูดลงกับโซฟาเหมือนเดิม
“แล้วทำอะไรไม่หลับไม่นอนเนี่ย”
“ก็...ดูทีวี” โบ้ยไปที่จอโทรทัศน์ที่ตอนนี้กำลังมีฝรั่งมาสาธิตลู่วิ่งเพื่อสุขภาพอยู่
“รายการขายของทางโทรศัพท์เนี่ยนะ” แม่แหว “ขี้จุ๊”
ผมครวญออกมาเมื่อแม่จับได้ กับคนในครอบครัวนี่ผมไม่เคยโกหกได้เนียนเลยจริงๆ แม่เหล่ตามองผมอย่างจับผิด แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
“ที่หายไปตอนเย็นนี่ไปมอมาใช่ไหม”
“ก็ใช่...แม่ถามทำไม” ผมเริ่มลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นสายตาแบบนั้น
“ไปเจอเขามาใช่ไหม”
“ขะ...เขาไหน ไม่ได้เจ๊อ” เสียงสูงแบบไม่ผิดปกติสักนิดเลยกู ถุย
แม่คลี่ยิ้มออกมาแล้วยื่นหน้ามากระซิบอย่างเจ้าเล่ห์ต่อ “ตกลงถามเขาหรือยัง”
“เหอ?”
“อย่ามาทำไก๋ไอ้นี่ ถามเขาหรือยังว่าเขาชอบเราหรือเปล่าไง” คำถามของแม่ทำให้ผมนึกถึงประโยคที่ธีร์พูด ก่อนที่เขาจะฉวยโอกาสจูบเพื่อไปเซลฟี่กับพี่บอลพี่เมื่อยบนเวที
‘ไม่กลัวเรา...อะไรแบบนั้นเหรอ’
‘ก็กลัวนะ’
‘…’
‘แต่เทียบความกลัวกับความชอบแล้ว ความชอบมันมีมากกว่า’ แต่เทียบความกลัวกับความชอบแล้ว ความชอบมันมีมากกว่า
แบบนี้...จะนับว่าชอบได้หรือเปล่านะ
“ว่าไง” แม่เร่ง ผมไม่ตอบอะไรแต่ยิ้มยิงฟันให้แม่ จุ๊บแก้มแม่หนึ่งทีก่อนจะลุกเดินตัวปลิวเข้าห้องตัวเอง หัวเราะร่วนกับคำก่นของแม่ที่ดังตามมา
“แบบนี้หมายความเขาชอบเธอใช่ไหม จุ๊บ! จะใช้มุขหนีเข้านอนอีกกี่รอบวะ แม่เบื่อแล้วนะโว้ยยย”
วันเปิดเทอม
ผมยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องโถงแต่เช้าตรู่ วันนี้ผมมีเรียนคาบแรกที่คณะตอนเก้าโมงเช้า เสื้อผ้าที่เลือกใส่ในโอกาสเปิดภาคเรียนใหม่คือเสื้อเชิ้ตสีขาวบางแขนยาวกับกางเกงยีนซีดขาดตามสไตล์นักศึกษาปีสอง ผมใช้เจลจัดระเบียบเส้นผมหยอยของตัวเองให้เข้าที่ จ้องมองขนคิ้วรกหนาของคนในกระจกแล้วก็ต้องขมวดมันแน่นด้วยความไม่ค่อยชอบใจ ใช้มือปัดๆ แล้วไล่สายตามองตากลมโต แก้มเกลี้ยงเกลา สันจมูกสูง จนกระทั่งมาถึงริมฝีปาก
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่เพิ่งโดนประทับรอยจูบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
รสสัมผัสนั้นยังตราตรึง ความอ่อนโยนในขณะเดียวกันก็หวาบหวาม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนปากแต่ส่งผลโดยตรงต่อหัวใจ
ผมจ้องตาตัวเองสลับกับริมฝีปากเนียน นอกจากจะจำได้ว่าธีร์ฉวยโอกาสยังไง ผมยังจำได้ว่าตัวเองโต้ตอบเขา และจำได้ว่าเมื่อเทียบกับจังหวะของเขานั้น...ทักษะการจุมพิตของผมช่างอ่อนหัดเหลือเกิน
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันควรฝึก เผื่อในกรณีที่ถ้า...แค่ถ้านะ...ถ้าผมมีโอกาสได้ทำมันอีก
ผมค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหากระจก คิดว่าฝึกจูบกับใครก็คงไม่ดีเท่าฝึกกับตัวเอง ครั้งแรกลองแลบลิ้นออกไปก่อน แต่พอแตะกับแผ่นกระจกหนาก็ได้รสขมปร่า เชี่ย รสชาติของเศษผงเศษครีมหน้าตู้กระจกแน่ๆ
ถุยน้ำลายไล่ความฝาดที่ปลายลิ้นไปสองถุย โอเคเริ่มใหม่
เอ...คนจะจูบกันนี่มันต้องเอียงหน้าด้วยใช่ป่ะวะ
ผมค่อยๆ เอียงใบหน้าไปทางขวา พอได้องศาก็พุ่งหน้าเข้าหากระจกอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย” แต่กลับกลายว่าจมูกดันชนกระจกก่อนปากเสียอีก ผมจับจมูกตัวเองที่อาการชาหนึบเข้าครอบงำ ได้บทเรียนแล้วว่าจะจูบใครต้องไม่พุ่งเข้าหาแบบรุนแรง
ผมผ่อนลมหายใจออกมาดังฟู่ววววววแล้วบอกตัวเองว่ารอบนี้จะทำให้ดีกว่าเดิม
สบตากับตัวเองในกระจกแล้วหลับตาตั้งสมาธิ ชั่วขณะนั้นในหัวก็นึกถึงหน้าของเขาขึ้นมาเสียเฉยๆ เค้าโครงหน้าของธีร์ในจินตนาการที่ชัดเจนยิ้มมุมปากบางๆ และโน้มหน้าเข้ามา ผมยิ้มรับแล้วโน้มหน้าตอบอย่างเชื่องช้า ไม่นานริมฝีปากของเราก็แตะกัน ผมลองเอี้ยวคอและเผยอปากรับกับจินตนาการหวานไปเรื่อยๆ…อืมมมมม
“จุ๊บ ทำอะไรวะ” เสียงเล็กที่กลั้นขำดังขึ้นไม่ไกล วินาทีนั้นความหวานกลายเป็นความเย็นชืดของกระจกทันที ผมดึงตัวออกอย่างรวดเร็ว ตาโตเห็นป้าเด้ายืนเท้าสะเอวอยู่ตรงโซฟาในชุดสไบสีเขียวกับโจงกระเบนสีน้ำตาล ปล่อยผมที่ผ่านการถูกยืดให้ตรงออกสยายถึงกลางหลัง ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไร
“มะ...มะ...ไม่ได้ทำไรเลย”
“มะ...มะ...ไม่ได้ทำไรเลย ไม่ได้ทำไรเล้ยยย ฉันเห็นแกยืนพิศวาสกับกระจกอยู่นานสองนาน ตอนแรกนึกว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์พุ่งเข้ากระจกได้แบบเรื่องทวิภพ อุตส่าห์รอดู”
“ไม่ใช่ครับ ตะกี้อะไรไม่รู้เข้าตา”
“อะไรเข้าตามันจำเป็นต้องดูดกระจกด้วยเหรอ”
“ป้า...แต่งตัวสวยจัง จะไปไหนเหรอครับ” ผมเปลี่ยนประเด็นด้วยคำถาม ตาก็ทำเป็นสำรวจเครื่องแต่งกายของป้าเด้าไปด้วย ทันใดนั้นแกก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“รัตนโกสินทร์ ฉันล่ะเบื่อการเขียนถึงเรื่องบ้านเก่าเมืองเก่า ต้องให้ตามไปเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์อยู่เรื่อย” ป้าเด้าบ่นพลางหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง เพื่อความแนบเนียนผมจึงถามต่อ
“อะไรหายอีกเหรอครับ”
“ผัว!” ป้าวีนเสียงดัง “ผัวฉันเนี่ยแหละหาย เห็นมันไหมไอ้ฝรั่งตัวสูงๆ หัวเถิกๆ น่ะ เป็นแบบนี้ตลอด ตะกี้แต่งตัวด้วยกันอยู่ดีๆ บอกว่าออกมากินข้าว ตอนนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนไม่รู้”
ผมยิ้มแหย “ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นลุงเลย”
“เออๆ เดี๋ยวไปหามันต่อก่อน” ผู้หญิงในสไบสีเขียวสดบอก เธอบ่นมุบมิบแล้วเดินไปเปิดประตูหน้าบ้าน ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าป้าไม่ติดใจอะไรกับเรื่องกระจกแล้ว
“เอ้อแล้วอย่าดูดกระจกอีกนะ หิวข้าวก็ไปในครัวนู่น” ป้าบอกเสียงดังก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูปัง ทำเอาเข่าแทบอ่อน
“ไม่ได้ดูด...ไม่ได้ดูดเว้ยยย”
ผมกระซิบเถียงทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลย...ไม่เลยสักนิด
การเรียนวันแรกของเทอมก็ตามธรรมเนียมของ ‘วันแรก’ คืออาจารย์ยังจะไม่เริ่มสอนอย่างจริงจัง เพียงแค่แจกเอกสารประกอบการเรียน พูดถึงภาพรวมคร่าวๆ ของวิชาไม่กี่นาทีก็เลิกคาบ ผมเลยได้เวลาว่างระหว่างวันมาเหลือเฟือ แต่กระนั้นจะพูดว่าชีวิตวันนี้โคตรชิลล์ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก ผมใช้เวลาว่างตรงนั้นมานั่งจุ๊มปุ๊กอยู่ห้องสโมสรนักศึกษาเพื่อทำป้ายชื่อใหม่ของเด็กปีหนึ่งที่ตัวเอง(ดัน)ตกปากรับคำรับผิดชอบ
ป้ายพวกนี้จะใช้ในวันเปิดสายรหัสพรุ่งนี้แล้ว แต่งานยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จเลย
“ทำไมมันยากเย็นจังวะ” ไอ้พี เพื่อนฝ่ายสันฯ ที่เข้ามาช่วยบ่นอุบอิบขณะพยายามสอดด้ายเข้าเข็มด้วยท่าทางทุลักทุเล ตอนนี้เวลาห้าทุ่มกว่า ในห้องสโมฯ มีเพียงแค่ผม มัน และโฟกัสที่มือยังเย็บอยู่ แต่หัวพิงกำแพงแล้วส่งเสียงกรนออกมาคร่อกใหญ่แล้ว
“ทำไมมึงไม่จ้างร้านทำตั้งแต่แรกเนี่ยไอ้จุ๊บ ลำบากชิบหายเลย” พีบ่นไม่หยุด
“ก็พี่รุ่นก่อนๆ เขาก็เย็บมือมาอย่างนี้นี่หว่า” ผมแก้ตัวเสียงเบา แต่ในใจก็แอบเห็นด้วยว่าถ้าให้ร้านทำงานคงเสร็จเร็วกว่านี้ “เอาน่ะ อย่างน้อยน้องก็รู้ว่าเรา....”
“น้องก็รู้ว่าเราให้ทุ่มเท ประโยคนี้กูฟังมาเป็นล้านรอบละ ถามจริงมันรู้จริงเหรอ น้องปีหนึ่งไม่ได้มานั่งดูมึงตอนเย็บซะหน่อย ป้ายเนี่ยได้ไปจะใส่ไม่ใส่ก็ยังไม่รู้เลย เผลอๆ เอาไปเป็นผ้าเช็ดตีน”
“มึงก็มองโลกแง่ร้ายไป๊”
“มึงก็โลกสวยไป๊” แหวจบพีก็ใช้ฟันตัวเองกัดด้ายที่เพิ่งเย็บเสร็จ บ่นหาเรื่องตั้งแต่ตัวผมไปจนถึงบรรพบุรุษผู้คิดค้นป้ายผ้าของคณะ เห็นคนร่างล่ำเหมือนนักกีฬามวยปล้ำมานั่งเย็บผ้าประดิดประดอยก็อดสงสารไม่ได้
“มึง วันนี้พอก่อนก็ได้นะ มันดึกมากละ” ผมบอกพี
“เหลืออีกเยอะเลยไม่ใช่เหรอวะ?”
“เยอะอะไร อีกสิบกว่าอันเอง” ผมโกหก จำนวนน้องทั้งหมดมีเก้าสิบเอ็ดคน แต่จากที่นับอันที่ทำไปแล้วมีแค่หกสิบสามอันเอง “มึงกลับไปก่อนเหอะ เดี๋ยวกูว่าจะอยู่เย็บต่ออีกสักอันสองอันจะกลับแล้วเหมือนกัน”
“เอางั้นเหรอ”
“เออ ฝากลากไอ้กัสกลับไปด้วยนะ หลับได้หลายตื่นละนั่น” ผมพยักเพยิดไปทางเพื่อนร่างท้วมในผมติ่งหูที่น้ำลายยืดลงมาเป็นสาย พีลุกเข้าไปปลุกโฟกัสที่ตื่นแล้วยังดูไม่ค่อยมีสติดี จะขับรถกลับไหวป่ะวะ
“แน่ใจนะว่าไม่ให้พวกกูอยู่ต่อ” พีหันมาถามผม ผมโคลงหัวเป็นสัญญาณว่าแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย พอสองคนออกจากห้องไปผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรบอกแม่ว่าวันนี้อาจจะกลับบ้านเกือบเช้า วันนี้ต้องทำให้เสร็จ...หรือไม่ก็เกือบเสร็จ
วางสายจากแม่ก็สังเกตเห็นข้อความจาก ‘เขา’ ที่ส่งมาอวยพรความฝันเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว
Thee Dumrongdech นอนยัง
เงียบเลย
นอนละใช่ป่ะ
ฝันดี Jub Joompit ฝันดี ผมพิมพ์ตอบกลับไป ไม่กี่วินาทีก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว
Thee Dumrongdech ยังไม่นอนอีกเหรอ Jub Joompit ยัง
ธีร์อะ
ยังไม่นอนอีก Thee Dumrongdech เพิ่งถ่ายละครเสร็จ
โคตรเหนื่อย Jub Joompit อ้อ
สู้
กลับบ้านอาบน้ำนอนเหอะ Thee Dumrongdech อยู่ระหว่างทางอยู่เลย Jub Joompit อ่อ
ขับรถปะเนี่ย
อย่าพิมพ์ตอนขับรถดิ Thee Dumrongdech รถติดอยู่เลยพิมพ์ได้
เป็นห่วงหราาาาาา Jub Joompit ไม่
ห่วงคนอื่นที่ธีร์จะขับไปชนเขาต่างหาก Thee Dumrongdech น้อยใจว่ะ ผมส่งอีโมติค่อนแลบลิ้นไปให้ธีร์
Thee Dumrongdech แล้วยังไม่หลับนี่ทำไร Jub Joompit ได้ส่งรูปภาพ Thee Dumrongdech อยู่คณะ?
เฮ้ย
ไม่กลับอีกอะ Jub Joompit ทำงาน Thee Dumrongdech งานไรดึกขนาดนี้ Jub Joompit งานให้น้องปีหนึ่งนั่นแหละ Thee Dumrongdech เดี๋ยวไปหา Jub Joompit เฮ้ย ไม่ต้อง
จริงๆ นะ
เดี๋ยวกลับแล้ว
ธีร์
ตอบดิ
มาจริง? เสียงประตูเลื่อนเปิดในสิบห้านาทีหลังจากนั้นทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
ผมปรือตามองคู่ชีวิต...หรือที่เขาเข้าใจก็คือคู่เวรคู่กรรม...เดินเข้ามาในเครื่องแบบนักศึกษาปีหนึ่งที่หลุดลุ่ย เสื้อสีขาวพอดีตัวถูกปล่อยชายออกนอกกางเกงสแล็คสีดำ เน็คไทสีแดงเลือดหมูติดเข็มมหา’ลัยพันไว้รอบคออย่างลวกๆ รองเท้าหนังสีดำปลาบส่งเสียงดังในทุกก้าวที่เข้าใกล้ ผมรองทรงของเขาถูกเซตอย่างเป็นธรรมชาติ หากใบหน้าขาวซีดกลับดูอิดโรย ริมฝีปากที่มักจะเป็นสีชมพูเข้มก็มีสีจางลง
ธีร์ดูเหนื่อยและไม่ห่วงภาพพจน์เนี้ยบอย่างที่เคย แต่ก็ยังดูเท่ได้อย่างน่าประหลาด
คนเชี่ยอะไรแต่งตัวผิดระเบียบยังเท่เลย
“หวัดดีคู่กรรม” ธีร์ทัก “รู้ว่าหล่อ แต่จ้องขนาดนั้นมันเขินนะ”
เขาแซวยิ้มๆ ผมเบ้ปากแล้วก้มหน้าลงเย็บป้ายผ้าต่ออย่าง(พยายาม)ไม่สนใจ
“ไรเนี่ย” ธีร์ทรุดตัวลงนั่งข้าง แล้วหยิบป้ายผ้าสีครีมขลิปส้มขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนผ้าพันคอลูกเสือประถม เพียงแต่เวลาใส่ให้เอาส่วนสามเหลี่ยมมาไว้ด้านหน้า ซึ่งพื้นที่สามเหลี่ยมนั้นจะมีชื่อน้องปีหนึ่งแต่ละคนถูกเขียนอยู่
“ป้ายใหม่” ผมตอบ ทั้งที่จริงๆ แล้วป้ายพวกนี้ปีหนึ่งอย่างเขาไม่สมควรจะมาเห็นมันก่อนวันเปิดสายรหัสด้วยซ้ำ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ สิ่งที่ผมควรจะคิดตอนนี้คือจะทำป้ายพวกนี้ให้เสร็จภายในหนึ่งคืนได้ยังไง
“อีกแล้วเหรอ”
“อีกแล้วไร แล้วทำไมไม่ใส่ป้ายเนี่ย แบบนี้เพื่อนจะรู้จักเราได้ไง” ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ารอบคอเขาไม่ได้ถูกคล้องด้วยป้ายกระดาษที่แจกไปตั้งแต่ตอนค่าย
“ไร้สาระ คนอยากรู้จักกันจริงๆ ก็ทำความรู้จักกันเองได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ป้ายซะหน่อย” เขาบอกหน้าตายแบบไม่รักษาน้ำใจรุ่นพี่แบบผมสักนิด “แล้วเราคิดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเราแล้วมั้ง”
ผมย่นปากอย่างหมั่นไส้แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่เขาพูดคือความจริง ไม่อยากจะเถียงกับเด็กขี้เอาแต่ใจอย่างเขาต่อเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเย็บต่อไป
“จะทำให้เสร็จคืนนี้เลยเหรอ”
“อึ๊...เอ้อว” ผมจะพูดว่าอื้อแต่อาการหาวเข้าแทรกเสียก่อน
“แล้วนี่ไม่มีเพื่อนมาช่วยทำเลย?”
“มีดิ แต่กลับไปหมดแล้ว”
“พี่จุ๊บควายก็ควรกลับไปนอนได้แล้ว ตาจะปิดละเนี่ยรู้ตัวปะ”
“ขอทำให้เสร็จก่อน เหลือไม่กี่อันเอง”
“กี่อัน”
“ประมาณ...เท่าไหร่วะ...สามสิบกว่ามั้ง”
“สามสิบกว่า!”
“จะเสียงดังทำไมเนี่ย ตกใจนะโว้ย” ผมแว้ดใส่เขาบ้างเพราะตกใจเสียงเขาจนเข็มเกือบตำ ธีร์ขมวดคิ้วมองผมด้วยแววตาเป็นห่วง
“คืนนี้จะเสร็จให้ได้เลยใช่ไหม”
“ถามไรเยอะแยะเนี่ย” ผมแหวตัดรำคาญ พอจะก้มลงเย็บทีเด็กนี่ก็กวนสมาธิอยู่เรื่อย
“เปล่า” พ่อดาราพูดเนือยๆ “มีเข็มกับด้ายมากกว่านี้ปะ เดี๋ยวช่วย”
ผมเหล่ตามองเขานิดหนึ่ง “เย็บผ้าเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เป็น” อ้าว “แต่คงไม่ยากหรอกมั้ง อยากช่วยไง ยังไงสองคนทำก็น่าจะเร็วกว่าคนเดียวอยู่แล้ว”
ผมยิ้มบางให้กับความมีน้ำใจของเขาแต่ไม่ได้สบตา มือก็สอยด้ายกับป้ายผ้าไปเรื่อยๆ “ไม่ต้องหรอก ถ่ายละครมาเหนื่อยไม่ใช่เหรอ กลับบ้านไปนอนเหอะ เดี๋ยวตรงนี้ทำเอง”
“บอกว่าจะช่วยไง” ทันใดนั้นธีร์ก็ยื่นมือมาจับมือผมให้หยุด ผมเงยหน้าไปสบตากับแววตาที่แน่วแน่ของเขาแล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาในที่สุด
“ทำไม่ได้แล้วอย่ามาบ่นนะ”
ผมพูดด้วยความใจอ่อน แล้วเอื้อมมือไปหยิบอุปกรณ์ตัดเย็บของพีที่ทำค้างไว้ส่งให้เขา จากนั้นเราก็ใช้เวลาราวสิบนาทีในการเรียนรู้วิธีการเย็บป้ายผ้า ธีร์เป็นคนเรียนรู้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เขาจะลงมือทำด้วยท่าทางเงอะงะที่ผมเห็นแล้วขำ แต่ผลงานก็ออกมาไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับคนที่เคยเย็บผ้าเป็นครั้งแรก
เราทำงานไปคุยกันไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบตีหนึ่ง ในวินาทีนั้นที่ผมรู้สึกว่าเปลือกตากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของตัวเองช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
ทันทีที่รู้สึกวูบ ผมก็เด้งตัวขึ้นมาให้ตั้งตรงเหมือนเดิม ยกมือขึ้นมาตบหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติ แล้วลงมือเย็บด้วยความรวดเร็ว...จากนั้นก็เชื่องช้า...วูบอีกรอบ แล้วก็วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ
“พอก่อนเหอะพี่จุ๊บ” เสียงธีร์ที่ผมได้ยินมันเหมือนดังไกลออกไป แล้วสัมผัสของเขาที่เข้ามาเขย่าข้อมือผมเพื่อเรียกสติก็ดึงให้ผมกลับมา อุปกรณ์ในมือร่วงผลอยลงไปบนตัก
“หา...หา?” พูดงึมงำเหมือนคนเอ๋อแดกและยกมือขึ้นขยี้ตาอีกรอบ โคตรง่วงนอนเลยโว้ยยยยยยยยย
“กลับไปนอนเถอะ” เขากำชับ มองผ่านตาปรือของตัวเองก็เห็นแววตาเขม็งนิ่ง
“ไม่...บอกว่าคืนนี้ต้องเสร็จก็ต้องเสร็จดิ”
“ทำไมดื้อวะ”
“ไม่ดื้อ แต่รับปากเขามาแล้วไง” ผมแก้ตัวเสียงอ่อน จริงๆ ก็หน่ายตัวเองที่เป็นคนประเภท ‘เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด’ เหมือนกัน แต่มัน...แก้ไม่ได้จริงๆ
ธีร์ถอนหายใจอย่างฉุนเฉียวแล้วมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่าง
“ในห้องนี้มีกล้องวงจรปิดปะ” เด็กหลอดไฟถามขึ้น
“ถามทำไม”
“มีปะ”
“ห้องสโมฯ ไม่มีหรอก จะมีก็ตรงประตูหน้าห้องนู่น” ผมตอบแม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาถามก็ตาม
“ดี” เด็กธีร์โคลงหัวรับคำแล้วหันมาจ้องผมหน้าผมเขม็ง แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาประคองแก้ม วินาทีนั้นหนังตาที่หนักอึ้งก็เบิกโตขึ้นได้อย่างอัศจรรย์
“ทำ...ทำอะรุ้บ...”
พูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาปลุกผมจากความง่วง ครั้งนี้มันไม่ได้ดูดดื่มหรือมีรสชาติของความพิศวาส มันเป็นเพียงแค่จุ๊บไวๆ แบบขอไปทีเหมือนเวลาเราเห็นเด็กน้อยเล่นจูบปากกัน เร็วขนาดที่คนที่ฝึกฝนการจูบหน้ากระจกแบบผมยังจูบตอบไม่ทัน
แต่แค่นั้นมันก็ทำให้เวลาของเราหยุดได้อย่างเคย
ผมอ้าปากพะงาบๆ หลังจากเขาถอนจูบออก ธีร์เอื้อมมือเก็บเศษผ้ากับอุปกรณ์บนตักผมโยนไว้ข้างตัว และชั่วขณะนั้นที่ไม่ทันได้ตั้งตัว คนผิวขาวจัดก็จับไหล่ผมและดันมันลงเบาๆ ให้ศีรษะของผมหนุนลงบนตักของเขา
“นอน” เขาออกคำสั่งขณะกดผมให้นิ่งอยู่กับที่ ปกติแล้วผมควรจะปฏิเสธการกระทำนี้ด้วยการทำอะไรสักอย่าง แต่ด้วยน้ำเสียงแบบนั้น...และสายตาแบบนั้น...ความรู้สึกบางอย่างที่ส่งมามันทำให้ผมไม่กล้าขัด
“นอนให้พอ หายง่วงแล้วค่อยลุกมาทำต่อ เวลาเหลือเฟือ”
ธีร์ถอนมือออกเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้อิดออด และคว้าอุปกรณ์เย็บผ้าขึ้นมาทำต่ออย่างขะมักเขม้น ผมมองใบหน้าเขาจากมุมช้อน ไล่สายตาจากดั้งจมูกโด่งสูงสู่ตาเล็กที่เพ่งด้วยความตั้งใจ
ผมกระซิบขอบคุณออกมาเสียงเบา ธีร์ก้มลงสบตาผ่านช่องว่างของผืนผ้าแผ่นบางที่คั่นกลางระหว่างเราอยู่
“เลิกจ้องแล้วหลับซะ เดี๋ยวปั๊ดจับจูบอีกรอบเลยนี่”
คำขู่ทำให้ผมหลับตาปี๋ทันที ทว่าผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ต้องหรี่ตามองต่อ ลอดขนตาหนาก็เห็นรอยยิ้มกว้างของเขาคลี่ออกมาบนริมฝีปากที่ก่อนหน้านี้ยังดุผมอยู่หยกๆ
ไม่ว่าจะคำดุหรือรอยยิ้ม ผมก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เจืออยู่ในทุกการกระทำของเขา
“ธีร์ ถามอะไรอย่างดิ” ผมยอมปิดตาลงแล้วถามเขาด้วยเสียงงัวเงีย อยากพูดถึงสิ่งที่ตะขิดตะขวงใจก่อนที่ความง่วงจะดึงผมให้เข้าใกล้ห้วงนิทรามากกว่านี้
“อยากโดนจูบอีกรอบจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่...” ผมรีบบอก “แค่อยากรู้...ว่าถ้าได้ป้ายใหม่ไป ธีร์จะไม่ใส่เหมือนตอนนี้หรือเปล่า”
“จะจูบแล้วนะ”
“ตอบคำถามดิ”
“...”
“...”
“ใส่สิ พี่จุ๊บควายอุตส่าห์ตั้งใจทำให้”
ผมยิ้มให้คำตอบนั้นขณะหลับตาพริ้ม
“ที่จริงจะใส่เพราะได้มาช่วยเย็บมากกว่า โคตรลำบากเลยเนี่ย” ผมหัวเราะกับคำบ่น ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงสางเบาๆ บนหัว ธีร์ปัดผมที่ปรกหน้าผมออกอย่างแผ่วเบา แล้วเป่าลมเย็นมาปะทะหน้าผากเหมือนผู้ใหญ่กล่อมเด็กเข้านอนยังไงยังงั้น
“หลับเหอะ”
ไอ้เด็กบ้า ทำแบบนี้ใครมันจะไปหลับลงวะ
(ต่อด้านล่าง)
อยากกรี๊ดอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องไปเม้ามอยกันที่ #จุ๊บที ในทวิตเตอร์นะจ๊ะ