PART II บทที่ 7
เหนื่อย
Aut’s Part
“อ้าว ไหนว่าจะไปค้างบ้านตี้กันไม่ใช่เหรอ”เสียงทักทายจากแฟนเก่า ที่ทำเอาผมกับตี้เกือบจะทะเลาะกันเข้าให้แล้ว แถมตอนนี้ก็ยึดบ้านผมยังกะบ้านตัวเองไปแล้ว ตั้งโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ต่อปริ้นเตอร์เสร็จสรรพ นั่งทำงานสบายใจเชียวครับ ผมละอยากจะยกข้าวของเขวี้ยงออกนอกบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด ผมกะไว้แล้วเชียวว่าสิ่งที่หนุ่ยแสดงออกมามันต้องมีการเสแสร้งแกล้งเศร้าผมสมเข้าไป ทำไมนะเหรอครับ ก็ไอ้เหตุการณ์เมื่อวันก่อนนั่นนะสิครับ
“เดี๋ยวๆ หยุดก่อนเลยทั้งสองคน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน แค่เรามารบกวนก็เกรงใจจะแย่แล้ว อย่าให้เราต้องรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยการเป็นต้นเหตุให้คนรักกันต้องมาทะเลาะกันเลยนะ”หนุ่ยเข้ามาห้ามทัพระหว่างผมกับตี้ที่ตอนนี้ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามนับ 1 ถึง 10 ในใจหวังให้อารมณ์ตัวเองเย็นลง ผมจะไม่ปล่อยให้เราต้องมาทะเลาะกัน แต่อารมณ์ผมตอนนี้มันก็ยังครุกรุ่นอยู่ จะทำยังไงดีละเนี่ย ตี้เองก็ยังมองมาที่ผมอย่างไม่ยอมแพ้
“โอเค ห้องนอนแขกที่ชั้น 2 ไปถูกใช่ไหม”ผมบอกอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็น่าจะพอช่วยคลี่คลายสถานการณ์ไปได้บ้าง พูดจบผมก็เดินขึ้นบันไดตรงเข้าห้องนอนเลย ยอมรับครับว่ายังหงุดหงิดอยู่ แต่ไม่อยากจะเถียงกับตี้ต่อ เพราะตอนนี้ความคิดและเหตุผลของผมกับเค้ามันคงสวนทางกันอยู่ ผมเลือกที่จะยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อไม่ให้เรื่องมันบานปลาย แต่ผมจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนี้นานแน่ๆ
ผมหยิบผ้าเช็ดตัว เข้าห้องน้ำเพื่อหวังใช้การอาบน้ำช่วยผ่อนคลายให้ผมอารมณ์เย็นลงบ้าง ผมพยายามคิดว่าทำไมตี้ถึงคล้อยตามหนุ่ย หรือเห็นใจหนุ่ยได้ขนาดนี้ โอเคตี้อาจจะเป็นคนจิตใจดี อยากช่วยเหลือคนอื่น แต่นี่ผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดไม่ยอมช่วยเหลือเลย แสดงว่าหนุ่ยต้องพูดโน้มน้าวตี้ด้วยอะไรสักอย่างซึ่ง คงมีน้ำหนักมากพอให้ตี้ออกปากชวนหนุ่ยค้างที่นี่
สายน้ำจากฝักบัว ช่วยบรรเทาความร้อนในอารมณ์ของผม ลงไปได้พอสมควร ทำให้มีสติพอจะคิดทบทวน และรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้ ผมไม่ควรจะเอาไม้แข็งไปสู้กับตี้ ดูภายนอกเค้าอาจจะไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่จากที่คบกันมา ผมว่าเค้าเป็นคนที่ดื้อเงียบ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมคงต้องเป็นฝ่ายที่เย็นลงและคุยกับเค้าด้วยเหตุผล
ผมปิดน้ำจากฝักบัว เช็ดตัวหมาดๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง อย่างหลวมๆ ออกจากห้องน้ำ พอเปิดประตูออกจากห้องน้ำ ผมก็พบว่าอีกคนเข้าห้องมาแล้ว เค้านั่งหย่อนขาอยู่ที่ปลายเตียง เค้าหันมามองผม ด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าตอนอยู่ด้านล่าง แสดงว่าเค้าเองก็คงอารมณ์เย็นลงแล้ว เช่นเดียวกัน ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ เค้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“ขอโทษ”เป็นเค้าที่เอ่ยขึ้นก่อน
“อรรถโกรธเรารึเปล่า”ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเค้าไว้ ไอ้โกรธ ทีแรกมันก็โกรธอยู่แหละครับ แต่พอเค้ามาพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ แบบนี้ผมจะไปใจแข็งกับเค้าได้ยังไงละครับ อีกอย่างผมเองก็มีส่วนที่แสดงอาการไม่พอใจกับเค้าเหมือนกัน
“ไม่โกรธแล้ว แต่ขอฟังเหตุผลหน่อย ว่าทำไมตี้ถึงอยากให้หนุ่ยค้างที่นี่”
“ก็เห็นหนุ่ยบอกว่ากำลังเสียใจที่เลิกกับแฟน ถ้าไปอยู่โรงแรมคนเดียวในเวลาที่อ่อนแอแบบนี้อาจจะเผลอทำอะไรบ้าๆ”ชัดเลยครับ หนุ่ยแผลงฤทธิ์อีกแล้ว คนอย่างหนุ่ยไม่มีทางทำร้ายตัวเองเด็ดขาด คือถ้าบอกว่าหนุ่ยเสียใจที่ต้องเลิกรากับแฟนอันนี้พอเป็นไปได้ แต่หนุ่ยเป็นคนที่รักตัวเองมากๆ คนนึงเช่นกัน การที่หนุ่ยจะคิดทำอะไรบ้าๆ นั่นมันแทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยสักนิด
“แล้วเค้าก็บอกว่าอรรถคงกังวล ว่าเค้าจะมาทำให้ความรักของเรามีปัญหา”แล้วที่เห็นอยู่ตอนนี้เรียกว่ามีปัญหาได้หรือยังละครับ ผมจะไม่โทษตี้หรอกนะครับว่าเชื่อคนง่าย เพียงเพราะแค่คำพูดไม่กี่นาทีของหนุ่ย เพราะผมทราบดีว่าหนุ่ยมีทักษะในการพูดให้คนคล้อยตามเป็นเลิศมากทีเดียว
“หนุ่ยพูดใช่ไหมว่าถ้าเราสองคนเชื่อใจกันและกัน ก็ไม่เห็นต้องกังวลว่าเค้าจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคนได้”พอผมพูดจบตี้ก็พยักหน้า ตอบรับ ชัดเลยครับ ผมว่าไอ้เรื่องกลัวหนุ่ยคิดทำอะไรบ้าๆ นั่นตี้เองก็คงไม่ได้ปักใจเท่าไหร่ แต่ไอ้การท้าทายของหนุ่ยมากกว่า ที่มันทำให้ตี้รู้สึกอยากเอาชนะ ผมเชื่อได้เลยว่าหนุ่ยคงไม่ได้พูดท้าทายออกมาตรงๆ แต่คงพูดอ้อมไปเรื่อยๆ ให้คนฟังคิดตามได้เอง และแน่นอนว่าตี้คงติดกับและเดินตามเกมของหนุ่ยเสียด้วย และผมเองก็พลาดที่มองเกมหนุ่ยไม่ออกตั้งแต่แรก ถ้าพูดไปตอนนี้ก็ไม่รู้ตี้จะยอมฟังผมหรือเปล่า เพราะหนุ่ยคงกะไว้อยู่แล้วว่าผมต้องยืนยันไม่ให้เค้าค้าง มันเลยยิ่งเหมาะจะใส่ไฟเข้าไปอีกว่าผมเองไม่มีความมั่นใจในความสัมพันธ์ นี่คือสิ่งที่ผมคาดเดา แต่ผมคงไม่จำเป็นจะต้องถามรายละเอียดอะไรจากตี้อีกแล้ว
ยังไงตอนนี้ผมคงต้องดึงตี้ให้ออกห่างจากหนุ่ยให้ได้มากที่สุดเสียแล้วครับ เพราะดูท่าแล้ว หนุ่ยคงมีจุดประสงค์บางอย่างจริงๆ คนเลิกกันไปตั้งนานอย่างผม ถ้าไม่มีจุดประสงค์อะไร เค้าคงไม่ลงทุนมาหาผมถึงบ้านแบบนี้หรอกครับ
“โอเค งั้นก็ปล่อยให้หนุ่ยอยู่นี่ไป ในระหว่างที่ เค้าเคลียร์ตัวเอง อรรถว่าเราไปอยู่บ้านตี้กันชั่วคราวไหมอ่ะ”ผมว่านี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะถ้าผมกับตี้ย้ายไปอยู่ที่อื่น หนุ่ยก็จะมาวุ่นวายอะไรกับเราไม่ได้อีก อยากรู้เหมือนกันว่าหนุ่ยจะทำอะไรต่อ
“อรรถก็แค่ต้องการความเป็นส่วนตัว ระหว่างเราแค่นั้นเอง อีกอย่างเราก็ไม่ได้ไปค้างบ้านตี้นานแล้ว จะได้ถือโอกาสไปดูแลบ้านด้วยไง”ไม่ว่าเค้าจะคิดยังไงผมไม่สนแล้วครับ ยังไงขอพาตัวเค้าออกห่างจากหนุ่ยก่อนแล้วกัน ป้องกันไม่ให้หนุ่ยมาปั่นหัวเค้าอีก
“ถ้ามันจะทำให้อรรถสบายใจขึ้น ก็ตามนั้น พรุ่งนี้ไปค้างบ้านโน้นกัน”นั่นแหละครับ อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจได้บ้างที่ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับหนุ่ยให้เป็นกังวล ยังไงหนุ่ยก็คงไม่ปักหลักอยู่บ้านผมนานหรอกน่า นั่นคือความคิดของผมเมื่อคืน แต่ตอนนี้
“ไปหาเอกสารยืนยันตัวตนที่บ้านมาหรือยัง”ผมย้อนถามคนที่นั่งวุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเค้า วันนี้ผมกับตี้ตกลงกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าวันนี้จะไปค้างบ้านตี้ชั่วคราว ซึ่งข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้าอะไร เราก็ไกต้องเตรียมอะไรมาก เพราะปกติก็ไปค้าง อย่างน้อย เดือนละครั้งอยู่แล้ว ซึ่งตี้เลิกงานก็คงเข้าไปเลย ส่วนผม จริงๆ ก็ตั้งใจจะไปเลยเหมือนกันแหละครับ แต่ดันลืมงานลูกค้าไว้ที่บ้านนี่สิ
“นี่ไง เพิ่งปริ้นตะกี้”เค้าชี้ให้ผมดูสำเนาบัตรประชาชนกับทะเบียนบ้านของเค้าที่วางอยู่ข้างๆ เครื่องปริ้นท์
“ใครส่งมาให้ละ”ผมตั้งคำถามด้วยการคาดเดาว่านี่เค้าคงให้ที่บ้านหรือใครสักคนสแกนแล้วส่งมาให้ทางอีเมล ผมกำลังนึกขอบคุณคนที่ส่งมา เพราะหนุ่ยจะได้ไปติดต่อทำเอกสารของตัวเองให้เสร็จๆ และย้ายออกจากบ้านผมไปสักที
“เปล่า มีในแลปทอปอยู่แล้ว”เจ้าของคำพูดตอบออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วนี่ในเมื่อเค้าก็มีเอกสารสำรองของตัวเองอยู่แล้วแบบนี้ ถึงมันจะไม่ใช่ของจริงก็เถอะ ยังจะมาทำเหมือนไม่มีที่พึ่งที่บ้านผมแบบนี้ทำไมอีกเนี่ย
“ต้องการอะไร”ทั้งที่รู้สึกหงุดหงิดกับคนตรงหน้านี่แล้ว แต่ผมก็ยังพยายามที่จะข่มอารมณ์เอาไว้ คนอย่างหนุ่ยถ้าเราตั้งสติไม่ดี ก็จะหลุดไปตามเกมของเค้าได้ เค้าไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจตอบคำถามของผม จนผมต้องถามย้ำอีกรอบ เค้าเงยหน้าจากจอคอม มองผมด้วยหางตา เหมือนผมผิดที่รบกวนเค้า ทั้งๆ ที่นี่มันบ้านผม แล้วเค้าต่างหากที่เป็นคนมารบกวนผม
“อย่าเพิ่งยุ่งได้ไหมอรรถ ลูกค้าตามงานเนี่ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ส่งงานเสร็จ จะไปแจ้งความบัตรหาย ทำบัตรประชาชน บัตรเครดิต โอเคไหม”พูดจบเค้าก็ก้มลงทำงานของเค้าต่อ ตกลงนี่เห็นผมเป็นอากาศ ธาตุ หรือไงเนี่ย ผมตัดสินใจไม่คุยอะไรกับเค้าต่อ เพราะอย่างน้อย เค้าก็ออกตัวมาแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปดำเนินการเรื่องเอกสาร และถ้าเอกสาร ของเค้าเสร็จเรียบร้อยก็คงไม่มีข้ออ้างอะไรอีก ที่จะเอามาใช้ในการอยู่บ้านผม
ผมเดินไปหยิบเอกสารที่ลืมไว้ ก่อนจะมาหยุดมองเค้าอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจเบาเบา เอาน่าคงอีกแค่ไม่กี่วันผมก็คงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วหนุ่ยอาจจะแค่ต้องการที่พักชั่วคราวเฉยๆ ก็เป็นได้ หรืออาจะบอกเรื่องอยากเอาชนะผมที่ไม่ยอมให้เค้าอยู่ในทีแรก
“ไปนะ ฝากบ้านด้วย ไม่ใช่เรียกพรรคพวกที่ไหนมายกเค้าบ้านอรรถล่ะ”พูดจบผมก็เดินออกจากบ้าน พร้อมๆ กับหยิบโทรศัพท์เพื่อกดหาแฟนสุดที่รักของผม
“อรรถออกมายังอ่ะ เราคงถึงช้าหน่อย พอดีแวะซื้อพวกขอสด ไปใส่ตู้เย็นไว้หน่อย เผื่อเราอยู่กันหลายวัน”แค่ได้ยินเสียงเค้าก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้วครับ แค่คิดว่าเดี๋ยวก็ได้เห็นรอยยิ้มของเค้าแล้ว แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับหวังว่าพ้นจากเรื่องของหนุ่ยไปแล้วเนี่ย จะไม่มีอะไรมาบั่นทอนความสัมพันธ์ของเราอีก นี่ตั้งแต่คุณแว่นกลับเข้ามาสะกิดนี่ ทำเอาผม ระแวงโน่นนี่นั่นไปหมด
“น่าจะถึงพอๆ กันแหละ อรรถก็เพิ่งจะออกจากบ้านเหมือนกัน”ผมวางสาย ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน วันนี้รถก็ยังหนาแน่นเหมือนๆ ทุกวันแหละครับ ช่วงเวลาหลังเลิกงานแบบนี้ ใครๆ ก็คงเดินทางกลับบ้านกันทั้งนั้น แต่ก่อนผมก็เคยหงุดหงิดนะครับ กับการจราจรของกรุงเทพฯ แต่พอเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ง่ายๆ เลยก็ทำใจครับ ทำใจให้ชิน เพราะต่อให้เราเผื่อเวลาไว้ขนาดไหน บทจะติดมันก็ติดอยู่ดีนั่นแหละครับ และดูสถานการณ์แล้ว ผมคงถึงช้ากว่าตี้แน่นอน
ตามคาดครับ วันนี้ดูรถจะติดเป็นพิเศษ นี่กว่าผมจะถึงบ้านตี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้ป่านนี้สุดที่รักผม หิวไส้กิ่วขนาดไหนแล้ว ผมรีบจอดรถรีบเข้าบ้าน อยากจะรีบทำกับข้าวให้เค้าทาน แต่พอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็พบว่า สุดที่รักของผม หลับไปแล้ว ผมอมยิ้มมองภาพตรงหน้า นี่คงเหนื่อยจากงานมาสินะ เห็นช่วงนี้บ่นๆ เรื่องงานอยู่เหมือนกันว่าเหนื่อย นี่คงนั่งรอผมที่โซฟานี่จนผลอยหลับไป
ผมค่อยๆ นั่งลงข้างเค้า ผมชอบมองเวลาเค้านอนหลับแบบนี้ ดูน่าหลงไหล จนตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าเปลี่ยนจากกินข้าวมากินเค้าซะดีไหมเนี่ย ผมเอื้อมวางหลังมือแตะลงที่แก้มของเค้า ลากวนไปอย่างนึกสนุกที่ได้เล่นกับผิวเนียนของเค้า
“มาแล้วเหรอ...ชาร์ป”ผมชะงักมือกับสิ่งที่ได้ยิน เค้าขยับตัวเพียงเล็กน้อย แต่ยังหลับตาพริ้มอยู่เหมือนเดิม สงสัยแค่ละเมอ แต่สิ่งที่เค้าละเมอมันทำใจผมกระตุกวูป ตั้งแต่เค้าย้ายไปอยู่กับผม ผมไม่เคยได้ยินชื่อของผู้ชายคนนี้อีกเลย จนเจ้าของชื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง และพวกเค้าได้เจอกัน แถมบ้านหลังนี้ ก็คงมีเรื่องระหว่างเค้าสองคนเกิดขี้นไม่มากก็น้อย
สรุปว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ในใจของเค้าก็ยังมีอีกคนอยู่จริงๆ สินะ ไม่ใช่ผมไม่รู้นะครับว่าในตอนที่ตกลงคบกัน ในใจเค้ายังตัดอีกคนออกไปไม่ได้ แต่ผมก็หวังว่าวันนึงคนๆ นั้นจะหมดไปจากใจเค้า และเกือบจะเชื่อไปแล้วว่าผมเป็นคนได้ครอบครองเค้าทั้งตัวและใจแล้ว แต่มันไม่ใช่เลย กับสิ่งที่ผมได้เจอตอนนี้ ดูมันชัดเจนเหลือเกิน ผมค่อยๆ ยกมือออกจากแก้มของเค้า และลุกออกจากโซฟาให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้เค้าตื่น
“เฮ้อ”ผมหยุดยืนถอนหายใจอยู่ที่ห้องครัว มันเหมือนสมองตื้อๆ เบลอๆ ไปหมด นี่ผมควรจะรู้สึกยังไง เศร้า เสียใจ น้อยใจ หึง หวง ผมว่าผมคงมีครบทุกความรู้สึกแล้วละครับในตอนนี้ ผมเปิดตู้เย็นดูของสดด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ความรู้สึกมันจุกๆ เหมือนไม่มีทางระบายออกมา ผมมองหม้อหุงข้าวที่ตี้คงหุงทิ้งไว้ ก่อนจะเลือกทำอะไรง่ายๆ เพราะสภาพตัวผมเองตอนนี้ไม่พร้อมจะทำอะไรที่ซับซ้อน
“อรรถมานานแล้วเหรอ”เสียงของเค้าดังมาจากด้านหลังของผม ผมไม่ได้หันไปมองเค้า ทำเพียงตอบรับสั้นๆ ผมอยากหันไปทักทายเค้าให้เหมือนปกตินะครับ แต่ตอนนี้มันบังคับตัวเองให้ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“ทำไม ไม่ปลุกเราละ แล้วนี่ทำอะไรให้กิน ไหนดูซิ”เค้าเดินเข้ามาเกาะที่ไหล่ผม ชะโงกดูสิ่งที่ผมกำลังทำ ผมหันมองดูเค้าพยายามบังคับตัวเองให้ยิ้มออกมา แต่มันคงเป็นยิ้มที่ดูฝืนๆ ซึ่งเค้าอาจจะมองไม่ออก หรืออาจจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะเค้ายังยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีมาให้ผม
“กะว่าทำเสร็จแล้วค่อยไปปลุก ตี้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิ จะได้มากินข้าว แต่วันนี้อรรถทำแค่ ยำปลากระป๋อง กับ ไข่เจียวนะ กลัวจะรอนานเลยทำอะไรง่ายๆ”เค้าพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะผละออกจากผมไป ผมพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าในเมื่อเค้าเลือกผมแล้ว ผมควรต้องรอ รอเวลาให้เค้าตัดอีกคนออกไปจากใจ
“ทำไมไม่กินอ่ะ”หลังจากยกกับข้าวมาวาง ตักข้าวใส่จาน ตั้งใจว่าจะทานข้าวทำตัวให้ปกติ แต่มันกินไม่ลงจริงๆ ครับ เลยกลายเป็นว่าผมเอาแต่นั่งมองเค้าที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยความสงสัย
“ตี้ทานเถอะ อรรถไม่ค่อยหิว”ผมบอกกับเค้าด้วยอาการเหนือยๆ ตอนนี้ผมเหมือนคนเสียสมดุล ที่พยายามปรับอารมณ์แล้วแต่มันก็ยังไม่นิ่ง
“เป็นไรหรือเปล่า”เค้าเอ่ยถามผมด้วยท่าทีเป็นห่วง ผมรู้นะครับว่าเค้าคงต้องรู้สึกอะไรกับผมบ้างแหละถึงได้ยอมคบกับผม และเค้าก็เป็นแฟนที่ดีคนนึง เพียงแต่ตอนนี้ผมต้องการเป็นที่ 1 ในใจเค้า ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ 2 รองจากคนอื่น
“ตี้”ผมเรียกชื่อเค้า เสียงเบาจนเหมือนจะหายไปในลำคอ แต่เจ้าของชื่อก็จ้องมองผม รอฟังว่าผมจะพูดอะไร
“ตี้รักอรรถไหม”
TBC
มาต่อแว้ววว
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคร๊าบบบ