PART II บทที่ 3
หึง
AUT’s Part
“พี่อรรถ พี่อรรถ”ผมหันไปตามเสียงของรุ่นน้องที่สะกิดผม ก่อนจะรู้สึกตัวว่านี่ผมกำลังประชุมกับลูกค้าอยู่ แต่นี่ผมดันเหม่อจนสติไม่อยู่กับการประชุมเสียได้
“ลูกค้าถามว่า ถ้าจะขอเปลี่ยนรูปแบบงาน ค่าใช้จ่ายมันจะเป็นไง”รุ่นน้องคนเดิม แอบกระซิบผม ผมสังเกตุเห็นว่ามีลูกค้าในห้องนี้บางคนส่ายหน้า เล็กน้อย แต่โทษเค้าไม่ได้หรอกครับที่จะไม่พอใจ เพราะผมดันแสดงความไม่เป็นมืออาชีพออกไปให้เค้าเห็นเอง ผมรีบสลัดเอาเรื่องส่วนตัวออกจากหัว ก่อนจะอธิบายรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการให้เค้าฟัง ดีที่ผมพอจะรู้รายละเอียดอยู่ก่อนแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เลยทำให้ไม่ติดขัดสักเท่าไหร่ แต่กว่าจะตกลงกันได้ ก็เล่นเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันครับ
“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ยพี่ หรือพักผ่อนน้อย ผมละใจหายแวปเลย ตอนลูกค้าจี้แล้วพี่ดันเงียบ นี่ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เห็นพี่เป็นงี้เนี่ย ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างนะพี่ เป็นห่วงวะ”เสียงเพื่อนรุ่นน้องบอกกับผม แต่จริงๆ ผมไม่ได้เหนื่อยหรือพักผ่อนน้อยหรอกครับ เพียงแต่ตอนมาถึงตึกนี้ก่อนจะขึ้นมาพบลูกค้า ที่ร้านกาแฟด้านล่าง ผมบังเอิญเจอคน คนนึงเข้านี่สิ
“อ้าวคุณอรรถ ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะครับ”ผมหันไปตามเสียงทักทาย ก่อนจะเจอกับชายหนุ่มใส่แว่นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แม้ผมจะรู้จากข้อความในโทรศัพท์ของตี้ในวันก่อน ว่าเค้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าโลกมันจะกลม แล้วความบังเอิญมันจะเป็นไปได้ขนาดนี้ ผมยิ้มตอบพร้อมกล่าวทักทาย
“สบายดีครับ แล้วคุณชาร์ปละครับเป็นไงบ้าง เห็นตี้พูดอยู่เหมือนกันว่าคุณชาร์ปมาติดต่องานที่กรุงเทพฯ”ผมบอกกับตัวเองเสมอว่าเค้าก็แค่เพื่อนของแฟนผม ส่วนเรื่องในอดีตระหว่างเค้ากับตี้ผมจะไม่เก็บเอามาเป็นประเด็นสำคัญอะไรกับชีวิตรักในปัจจุบันของผม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอด แต่พอมาเจอเค้าจังๆ แบบนี้ ผมกลับนึกอยากจะโกหกออกไป โกหกให้เค้ารับรู้ว่าระหว่างผมกับตี้ไม่ได้มีความลับต่อกัน ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าแท้จริงแล้ว ตัวเค้าเองรู้สึกยังไงกับแฟนผมกันแน่ แต่การที่เค้าเคยถอนหมั้นกับน้องปลานั่น มันคงมีสาเหตุอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกไม่อยากจะวางใจเค้าสักเท่าไหร่
และผมว่าผมตัดสินใจถูกที่บอกกับเค้าออกไปแบบนั้น เพราะผมว่าผมแอบเห็นอาการชะงักเล็กๆ ของเค้าเหมือนกันตอนที่ผมพูดถึงปาร์ตี้ แม้จะเป็นแวปเดียว แต่ผมที่จ้องมองเค้าอยู่แล้วเลยสังเกตได้ทัน
“นี่ก็เพิ่งคุยเรื่องงานเสร็จแหละครับ พรุ่งนี้เย็นๆ ก็กลับภูเก็ตแล้วครับ เย็นนี้ว่าจะชวนคุณอรรถกับตี้ไปทานข้าวด้วยกันอยู่พอดี ผมนัดกับไอ้เหมาแล้วก็แพทไว้แล้ว วันก่อนเห็นว่าคุณอรรถกับตี้ไม่สะดวก วันนี้ไปด้วยกันนะครับ ไม่ได้สังสรรด้วยกันนานแล้ว”ในใจก็อยากจะหนักแน่นนะครับ ว่าผมคือตัวจริงคนปัจจุบันของตี้ แต่การที่เค้าไม่พูดถึงเรื่องคุณแว่นนี่เลย มันทำให้ผมเริ่มรู้สึก เค้าไม่บอกผมว่าคุณแว่นมากรุงเทพฯ ไม่บอกสาเหตุที่ปฏิเสธนัดกับเพื่อนในวันก่อน ว่าที่เค้าเลือกจะไม่ไป เพราะไม่อยากเจอคุณแว่นนี่
ถ้าจะบอกว่าสาเหตุที่เค้าปิดผม เพราะไม่อยากให้ผมคิดมาก กลัวผมไม่สบายใจ มันก็ไม่ใช่เพราะเรื่องระหว่างคุณแว่นนี่กับเค้า ผมก็รับรู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้เค้าไปเจอเพื่อน เพราะผมเชื่อใจเค้า แม้เพื่อนคนนั้นจะคือคุณแว่นนี่ผมก็ยังจะเชื่อใจเค้า ถ้าเค้าบอกผมตรงๆ แต่พอเค้าเลือกที่จะปิดบังผม ความไว้ใจที่ผมเคยมีให้มันอาจจะลดลงก็เป็นได้
“ผมคงต้อง ขอตัวนะครับพอดีเย็นนี้ติดเลี้ยงลูกค้าจริงๆ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ส่วนตี้ยังไงลองถามเค้าดูเองแล้วกันนะครับ ไม่ได้เจอเพื่อนตั้งนานแล้วเค้าน่าจะไปแหละครับถ้าว่าง”ผมจงใจเน้นคำว่าเพื่อน แม้จะไม่รู้ว่าเค้าจะรู้หรือเปล่าว่าผมรู้เรื่องราวระหว่างเค้ากับตี้ แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่าไม่ควรจะคิดมาแทรกกลางระหว่างเรา นี่ถ้าไม่ติดว่าผมต้องไปเลี้ยงลูกค้า ผมคงจะเป็นคนพาตี้ไปให้รู้แล้วรู้รอดครับ
“คุณอรรถไม่ไปแบบนี้ สงสัยปาร์ตี้จะเบี้ยวพวกผมอีกละม้างเนี่ย”ก็อยากจะให้เป็นอย่างที่เค้าพูดนะครับ เพราะชักเริ่มไม่อยากจะให้เค้าทั้งคู่ได้เนอกันนอกสายตาผมเสียแล้ว
“ยังไงลองชวนเจ้าตัวเค้าดูแล้วกันครับ ผมต้องไปแล้วพอดีนัดลูกค้าไว้”ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะขอปลีกตัวจากเค้า
“ไว้เจอกันครับ ยังไงว่างๆ ก็ชวนตี้ไปเที่ยวที่ภูเก็ตได้นะครับ เดี๋ยวผมเป็นไกด์นำเที่ยวให้”ผมรับคำก่อนจะเดินออกมา และนั่นคือสาเหตุที่วันนี้ผมเกือบจะทำงานพลาด ผมไม่ได้กังวลที่เจอคุณแว่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ ตี้เค้าจะไปตามนัดของคุณแว่นหรือเปล่า แต่ส่วนที่ผมเก็บมากังวลมากที่สุดคือ เค้าจะบอกผมหรือเปล่า ถ้าเค้าจะไป
ผมว่าการไปแล้วบอก มันก็คงดีกว่าการไม่บอกและเราไม่รู้เลยว่าตกลงเค้าไปหรือไม่ไป หรือกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในใจของอีกคนคิดอะไรอยู่ ถามว่าระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมามันทำให้ผมมั่นใจในตัวของตี้ไหม ถ้าก่อนที่คุณแว่นมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ ผมพูดได้เต็มปากว่าผมมั่นใจในตัวเค้า แต่พอมาวันนี้ ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึก ระแวง หรือหึงหวงได้ถูกไหมครับ แต่ผมก็คงไม่ทำอะไรที่ออกนอกหน้า หรืองี่เง่าจนเกินไป เพราะถ้าเกิดมันไม่มีอะไรเลย จะกลายเป็นว่าผมอาจจะมีปัญหากับตี้เสียเปล่าๆ
“ตะกี้เจอคุณแว่...”ผมหยุดการพิมพ์ข้อความไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนใจลบแล้วพิมพ์ใหม่
“วันนี้ยุงทั้งวันอรรถคงไม่ได้โทรหา เย็นนี้ก็ต้องกลับดึก อยู่คนเดียวอย่าเหงาล่ะ”ผมพยายามส่งข้อความให้ดูเป็นปกติ จริงๆ เวลาทำงานเราก็ไม่ค่อยได้โทรหากันหรอกครับ อาจจะมีตอนพักกลางวันบ้าง ส่วนใหญ่จะทิ้งข้อความไว้ในไลน์มากกว่า นอกจากจะมีอะไรด่วนจริงๆ ผมไม่ได้รอดูข้อความตอบกลับของเค้า เพราะก็ต้องทำงานต่อ วันนี้เป็นวันที่คิวงานผมหนาแน่นเหลือเกิน แน่นจนแทบไม่มีเวลาจะเช็คข้อความส่วนตัวอีก
“พี่อรรถ ซวยแล้ว ลูกค้าจะขอเปลี่ยนร้าน”เพื่อนน้องหันมาบอกผมหน้าตาตื่น หลังรับสายจากลูกค้า เคยได้ยินคำว่าลูกค้าคือพระเจ้าไหมครับ ถ้าเคยอาจจะพอเข้าใจความรู้สึกของพวกผมบ้างแหละครับ แต่สำหรับผมแค่พระเจ้านี่ไม่เท่าไหร่นะครับ ต้องรุ่นพ่อพระเจ้า แม่พระเจ้า หรือปู่ย่าตายายของพระเจ้าครับ อย่างกรณีล่าสุดนี่ เรื่องร้านรับรองลูกค้าไม่ใช่ว่าลูกค้าเพิ่งจะทราบเมื่อเช้าที่ไหนกันว่าจะไปร้านไหน
แจ้งกันล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ร้านก็จองล่วงหน้าไว้แล้ว อาหารเครื่องดื่มก็สั่งไปแล้ว แล้วนี่จะขอเปลี่ยนร้านก่อนเวลานัดไม่ถึงชั่วโมง แต่นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับที่ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ ประเภทไปถึงร้าน นั่งแล้วด้วย อาหารเครื่องดื่มเสิร์ฟมาแล้ว ขอเปลี่ยน ก็ต้องยอมครับ เพราะลูกค้าที่กล้าทำขนาดนั้นคือลูกค้ารายใหญ่มาก ทางบริษัทผมก็ได้ผลกำไรจากพวกเค้าไม่น้อยก็ต้องยอมๆ กันไปแหละครับ แม้บางทีจะหมั่นไส้บ้างก็ตามที
“ติดต่อทางร้านที่เราจองไว้ อาหารถ้าอันไหนทำเสร็จแล้วให้เค้าห่อ เครื่องดื่มขอคืน แต่ถ้าไม่คืนก็เก็บมาเลย ถ้าร้านจะคิดค่าเสียโอกาสในการเสียลูกค้าอะไรก็ดูตามสมควร แล้วส่งคนไปรับของที่ร้าน อย่าลืมใบเสร็จด้วย อาหารก็ให้คนที่ออฟฟิศจัดกันไปตามสบาย แต่เครื่องดื่ม ไม่เน่าไม่เสียถ้าเค้าไม่ให้คืน ก็เก็บไว้เลี้ยงลูกค้ารายอื่น”ผมอธิบายให้น้องไปประสานงานต่อ เพราะฝั่งผมคงต้องคุยกับทางลูกค้าที่จะเปลี่ยนร้านนี่แหละครับ ว่าจะเอายังไง
“แล้วเราจะหาร้านใหม่ทันเหรอพี่”เล่นเปลี่ยนกันกระทันหันขนาดนี้ ผมว่านี่คงมีร้านในใจกันอยู่แล้วละครับ ผมบอกน้องไปว่าไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจัดการเอง ผมโทรหาทางลูกค้าของเรา และก็จริงครับที่ทางเค้ามีร้านในใจอยู่แล้ว แถมบอกว่าผมไม่ต้องลำบากติดต่อร้าน ก็แน่ละครับ จัดแจงมาขนาดนี้ ทางผมก็มีหน้าที่แค่ไปจ่ายตังค์สินะ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดดูข้อความ ที่ผมรู้สึกกังวลมาตลอดทั้งวัน ซึ่งก็ทำให้ผมต้องแปลกใจกับข้อความของเค้า ผมมั่นใจว่าคุณแว่นน่าจะชวนตี้ หรือไม่เหมาก็ต้องเป็นคนชวนอยู่แล้ว และถ้าชวนแล้วตี้จะไปหรือไม่ไป เค้าน่าจะต้องบอกอะไรผมบ้าง เพราะเค้าน่าจะรู้จากเพื่อนเค้าแล้วว่าวันนี้ผมบังเอิญเจอใคร หรือคุณแว่นไม่ได้บอกว่าเจอผม
“เสร็จแล้วรีบกลับนะ”นั่นคือข้อความที่เค้าส่งถึงผม จากเวลาส่งที่ขึ้น เพิ่งจะผ่านมาแค่ครึ่งชั่วโมง ซึ่งเลยเวลาเลิกงานแล้ว เรื่องที่คุณแว่นจะนัดตี้ไปกินข้าวน่าจะมีการพูดคุยกันเกิดขึ้นแล้ว หรือตี้ไม่ไป เลยไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้กับผม ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยติดใจอยู่นาน ผมว่าผมควรถามเค้าออกไปตรงๆ เลยจะได้ไม่ต้องกังวลอยู่แบบนี้
“ขอโทษค่ะ ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้”ผมกดย้ำอยู่หลายรอบทั้งที่ ก็รู้ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่เค้าแบตหมด หรือว่าปิดเครื่องกันนะ ปกติแล้วเค้าก็ไม่ค่อยปล่อยให้มือถือแบตหมดนี่นา ถ้าผมจะโทรหาเพื่อนเค้านี่ผมจะดูงี่เง่าเกินไปไหมนะ
“พี่อรรถลูกค้าเร่งแล้ว ไปยังพี่”ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนิ ผมรีบปรับอารมณ์และสีหน้า แม้จะรู้สึกกังวลเรื่องส่วนตัว แต่ในเมื่องานผมยังไม่เสร็จผมก็คงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อให้เรียบร้อย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ผมอาจจะคิดมากไปเอง
การเลี้ยงรับรองลูกค้าครั้งนี้แม้จะมีทีมงานของผมมาด้วย แต่ตัวหลักที่ต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าก็ยังเป็นผมอยู่ดี บรรยากาศก็สนุกสานดีนะครับ สำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับผมแม้จะยังทำหน้าตายิ้มแย้มอยู่ แต่ในใจนี่อยากให้เวลามันผ่านไปเร็วๆ เหลือบมองนาฬิกาครั้งแล้ว ครั้งเล่า เกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว ไม่มีการติดต่อกลับจากตี้มาถึงผม ผมทิ้งข้อความไว้แล้วว่าให้เค้าโทรหาผมด้วย นั่นทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า เค้าน่าจะไปทานข้าวกับเพื่อน
ผมตัดสินใจปลีกตัวจากลูกค้า ออกมาโทรศัพท์ แน่นอนว่าเบอร์โทรของแฟนผมยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม ผมเลือกที่จะกดเบอร์เพื่อนของเค้า แต่ผมก็มีเบอร์เพื่อนเค้าแค่คนเดียว คือเหมา แต่ผมกดโทรออกอยู่ 2 ครั้งและรอจนสายตัดไป ก็ไม่มีคนรับสาย จากที่ว่าจะไม่ระแวงมันก็อดไม่ได้จริงๆ ผมกำลังจะกลับเข้าไปบอกลูกค้าว่าคงต้องขอกลับก่อน แล้วให้น้องๆ ดูแลลูกค้าต่อ แต่มีสายเรียกเข้ามาเสียก่อน
“สวัสดีครับ”ผมกรอกเสียงลงไป อย่างสุภาพเพราะเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก
“อรรถ ตี้เองนะ”เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาผมโล่งใจว่าอย่างน้อยก็ติดต่อเค้าได้แล้ว
“อยู่ไหนเนี่ย เราติดต่อตี้ไม่ได้เลยอ่ะ งอนแล้วเนี่ย”แม้จะรู้สึกอารมณ์ตึงๆ ไปบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากให้เรื่องมันไปกันใหญ่เลยพยายามปรับเสียงให้ดูเป็นการพูดแซวเค้าแค่นั้น
“เรามาทานข้าวกับพวกเหมา”เป็นคำตอบที่ไม่ได้ต่างจากที่ผมคาดเดาไว้
“โทษที ที่ไม่ได้โทรบอกนะ พอดีแบตเราหมด แล้วโดนไอ้เหมามันหักคอบังคับมา รถก็ไม่ได้เอามาเนี่ย”ผมพยายามจะยอมรับนะครับว่าทุกอย่างคือเหตุผล คือคำอธิบาย แต่ในใจส่วนลึกมันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นข้ออ้างหรือเปล่า
“แล้วกลับยังไง ให้อรรถไปรับเปล่า”ผมลองหยั่งเชิงดูครับ แต่คิดว่าเค้าคงปฏิเสธแน่นอน และก็จริง เค้าปฏิเสธไม่ให้ผมไปรับ โดยให้เหตุผลว่าเหมากับแพทจะเป็นคนมาส่ง
“แล้วนี่ไปกันกี่คนเนี่ย”จริงๆ อยากจะถามตรงๆ ไปเลยว่าคนที่ผมเจอเมื่อกลางวันนั่นไปด้วยหรือเปล่า แทบไม่ต้องเดาคำตอบแล้วครับว่าไปด้วยอยู่แล้ว แต่ที่ทำเอาผมเริ่มรู้สึกอยากไปรับเค้าด้วยตัวเองคือเจ้าของเบอร์ที่เค้าใช้โทรมาหาผมในตอนนี้ ทำไมเค้าไม่ใช้เบอร์เหมา เบอร์แพท โทรมาหาผม ตอนนี้ผมแทบจะอยากให้เค้าเปิดกล้องคุยกับผมให้รู้แล้วรู้รอดว่าเค้าไม่ได้อยู่กันสองคน แต่ผมก็ทำได้เพียงบอกเค้าว่าอย่ากลับดึกมาก แล้วค่อยเจอกันที่บ้าน
ผมกลับเข้าไปร่วมโต๊ะกับทางลูกค้าอีกครั้ง แต่รอบนี้ผมดื่มเยอะขึ้น ผมว่าผมเคยเป็นคนหนักแน่นกว่านี้ แต่ทำไมครั้งนี้ผมถึงคิดเล็กคิดน้อยไปหมด ผมกลับกลายเป็นคนคิดมาก ว่ามันจริงไหมที่มือถือเค้าแบตหมด จริงไหมที่เค้าติดรถไปกับเหมา จริงหรือเปล่าที่เค้าบอกว่าทั้งเหมาและแพทไม่ได้หยิบมือถือลงมาจากรถ เค้าถึงต้องใช้มือถือของนายแว่นนั่นโทรหาผม
ผมกลับถึงบ้านตอนตี 1 กว่าแล้ว ดีที่ปาร์ตี้กลับมาแล้ว ไม่งั้นผมคงฟุ้งซ่านยิ่งกว่ากว่าเดิม ผมเดินตรงไปยังห้องนอนของเราสองคน เค้านอนตะแคงอยู่ฝั่งเดิมเหมือนทุกคืน ผมถอดถุงเท้า กางเกงและเสื้อทิ้งไป เหลือเพียงกางเกงบอกเซอร์ตัวบางก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ เค้า ปาร์ตี้ยังคงหลับโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัว ผมสอดมือเข้าไปสวมกอดเค้าจากด้านหลัง
ริมฝีปากผมกดลงที่ซอกคอเค้าจากด้านหลัง สองมือผมเริ่มป่ายสะเปะสะปะ จากแผ่นอกลากต่ำลงมาที่หน้าท้อง แล้วก็ค่อยๆ ต่ำลงไปเรื่อยๆ ตามด้วยตัวของผมที่เบียดชิดเค้าเข้าไปเรื่อยๆ ผมแค่อยากรู้สึกว่าคนๆ นี้ยังเป็นของผมอยู่ จะด้วยความคิดมาก คิดไปเองของผม หรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ผมแค่ต้องการความมั่นใจ
“กลับมาแล้วเหรอ”เค้าตอบผมเสียงงัวเงียพร้อมกับมือเค้าที่จับข้อมือผมให้หยุดการเคลื่อนเข้าไปในกางเกงนอนของเค้า ผมไม่ได้พูดจาตอบโต้อะไรเค้า เพราะริมฝีปากผมยังไม่หยุดปฏิบัติการฝากรอยไว้ที่ผิวเนียนของเค้า และตามด้วยรอยเขี้ยวที่กัดลงไปเบาเบา
“เดี๋ยวก่อนอรรถ”เค้าพยายามขืนตัวออกจากผม พร้อมกับหันมาเผชิญหน้า แต่ผมก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรกับเค้า เป้าหมายต่อไปของผมคือริมฝีปากอิ่มนั่น แต่ผมถูกหยุดด้วยแรงผลักของอีกฝ่าย
“เป็นไรเนี่ย ดื่มมาเยอะเหรอ กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”ผมจับข้อมือเค้ายกขึ้น พร้อมๆ กับพลิกตัวคร่อมร่างเค้าไว้
“โทษฐานที่ทำให้เราหึง”แน่นอนว่าผมไม่คิดจะอธิบายคำพูดของตัวเอง เพราะต้องรีบอาศัยจังหวะที่เค้าเผลอ เพื่อเริ่มการสำเร็จโทษคนตรงหน้าโดยไม่ปล่อยให้เค้าได้ขัดขืนอีก
TBC
มาต่อแล้ววววว
ฝากติดตามกันด้วยนะคร๊าบบบ