-เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -  (อ่าน 18785 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท

          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2017 11:20:18 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #1 เมื่อ13-05-2016 14:22:16 »

บทนำ

    ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงสิ่งเดียวที่ผมอยากขออยากได้ ณ เวลานี้ตอนนี้ก็คือขอให้คนตรงหน้าของผมตรงนี้เขาฟื้นขึ้นมาผมยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ขอโทษเขายังไม่ได้คุยกับเขา เขาไม่จำเป็นต้องให้อภัยผมก็ได้ผมรู้ว่าคำว่าอภัยถ้าขอจากเขาอาจจะมากไปผมขอแค่ให้เขารับฟังผมในสิ่งที่ผมอยากจะพูดออกไปก็พอ ผมแขอแค่นั้นจริงๆ แต่สงสัยสิ่งที่ผมขอมันจะมากเกินไปสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยไม่ให้ผมเพราะนี้ก็ผ่านไป 3วันแล้วที่”ฟัง”ยังไม่ตื่นลืมตามามองผมเลย

“แป้งมึงไปนอนพักกลับบ้านบ้างเหอะ สลับกับกูก็ได้มึงนั่งอยู่ข้างเตียงไอ้ฟังมันแบบนี้มาหลายชั่วโมงแล้วนะ เมื่อวานก็แทบทั้งวันที่มึงไม่ลุกไปไหนเลย”

“ไม่อะ กูอยากให้ฟังตื่นมาแล้วเห็นหน้ากูเป็นคนแรกกูไม่อยากพลาดอะไรอีกแล้วว๊ะวิท ถ้ามึงเบื่อแล้วมึงกลับไปก่อนได้เลย ขอบใจนะที่แวะเอาเสื้อผ้ามาให้”

“แต่มึงอย่าลืมนะ ตัวมึงเองก็ต้องเปลี่ยนท่าบ้างไม่ใช่นั่งท่าเดิมอย่างเดียวทั้งวัน เข้าใจไหม? กูไม่ได้ห้ามที่มึงจะนั้งเฝ้าก็แค่ขอให้มึงดูแลตัวเองบ้างเหมือนกัน ถ้าฟังมันฟื้นขึ้นมาแล้วมึงต้องมาแย่เพราะมันกูว่าตัวไอ้ฟังเองมันก็คงไม่ได้ปลื้มหรอกว๊ะ”

“อื้ม เข้าใจแล้ว”

                จริงรึเปล่าที่ว่าถ้าฟังเขาตื่นมาเขาจะยังต้องการให้ผมสบายดี ผมคนนี้เป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บขนาดนี้ทำให้เขาต้องนอนอยู่ในสภาพนี้เขายังต้องการให้คนๆนี้สุขสบายดีอยู่อีกหรือ? แล้วผมสมควรมีโอกาสได้รับความสบายดีอย่างนั้นหรือ?

“กูต้องไปแล้ว เย็นนี้มีจัดเลี้ยงที่ร้านขอกูกลับไปเตรียมของก่อนกูกลับละนะมีอะไรหรืออยากได้อะไรโทรหากูถ้าไม่ติดก็ดทรหาตะวันได้เลยไม่ต้องเกรงใจห้องตะวันอยู่ใกล้โรงพยาบาลแค่นี้”

“อื้มบายมึง”

    หลังจากวิทยาเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเด็กกลับไปแล้วตลอดทั้งช่วงบ่ายนั้นผมก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองย้อนคิดไปถึงภาพในอดีต เพราะตัวผมเองก็อยากหาคำตอบว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดผมทำอย่างนั้นไปได้ยังไง? ณ ตอนที่ทำตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงใจของฟัง ผมเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเองเอาใจเป็นที่ตั้ง เลยอยากลองนึกย้อนกลับไปว่าถ้าผมได้คิดก่อนทำเรื่องมันจะออกมาในรูปแบบไหนมันจะยังออกมาในแบบนี้อีกไหม?

.....โปรดติดตามตอนต่อไป.......

สวัสดีค่ะขอฝากเนื้อฝากตัวฝากนิยายเรื่องยาวเรื่องนี้ "เสียงของฟัง" ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

แป้งเป็นเรื่องต่อมาจากเรื่องสั้นของ เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า- ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #2 เมื่อ15-05-2016 15:02:25 »

         หลังจากวิทยาเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเด็กกลับไปแล้วตลอดทั้งช่วงบ่ายนั้นผมก็ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองย้อนคิดไปถึงภาพในอดีต เพราะตัวผมเองก็อยากหาคำตอบว่าสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดผมทำอย่างนั้นไปได้ยังไง? ณ ตอนที่ทำตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงใจของฟัง ผมเอาแต่ทำอะไรตามใจตัวเองเอาใจเป็นที่ตั้ง เลยอยากลองนึกย้อนกลับไปว่าถ้าผมได้คิดก่อนทำเรื่องมันจะออกมาในรูปแบบไหนมันจะยังออกมาในแบบนี้อีกไหม?

        บ่ายวันนึงที่บ้านของผม จำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงบ่ายของวันเสาร์ผมอยู่ประมาณประถม 4 ได้ แม่จับผมที่นอนอยู่หน้าทีวีลุกขึ้นมาแต่งตัวดูท่าทางแม่ร้อนรนมากเพราะตัวแม่เองไม่แม้กระทั่งจะแต่งหน้า

“เราจะไปโรงพยาบาลกันนะครับแป้ง”

“ไม่อาวว ฮึก ฮืออ ไม่ไปนะครับแม่”
       จำได้ว่าร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง เพราะคำว่าโรงพยาบาลมันเป็นสถานที่ที่ฝังใจแม่บอกไปโรงพยาบาลครั้งแรกก็ตอนที่พ่อเสีย ไปครั้งที่สองก็เพราะอยู่ๆผมเดินได้ไม่นาน นั่งก็ไม่ได้นานถ้าโดนจับนั่งนานๆจะมีอาการลุกลี้ลุกล้นขยุกขยิกที่นั่งเฉยๆไม่ได้ เพราะว่าผมจะรู้สึกเจ็บตรงข้อขาช่วงข้อต่อหรือช่วงหลัง ทำให้ต้องคอยเปลี่ยนท่าและมันก็เป็นผลพวงทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ เพราะว่าไม่สามารถนั่งฟังคุณครูในห้องเรียนได้นานๆ ครูน่าจะมาฟ้องแม่ แม่เลยพาไปหาคุณหมอ แล้วหลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมต้องไปโรงพยาบาลตลอดเวลาแทบจะทุกเดือน

“ไปนะครับลูก วันนี้ลูกต้องไป จำน้าหน่อยได้ไหม? เพื่อนของคุณแม่”

“จำได้ครับ”

“น้าหน่อยประสบอุบัติเหตุเราต้องไปหาน้าหน่อยกันนะครับ”

      ตอนไปถึงโรงพยาบาลจำได้ว่าน้าหน่อยวิ่งเขามากอดแม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองยังเต็มไปด้วยเลือดผมไม่รู้เรื่องว่าแม่กับน้าหน่อยคุยอะไรกันบ้างแต่พอเวลาผ่านไปตอนที่คุณหมอเปิดห้องเข็ญเตียงเด็กคนนึงออกมาผมก็ได้แต่เดินตามเตียงนั้นไปมองเด็กนึงคนที่มีผ้าอะไรก็ไม่รู้พันอยู่เต็มตัวรู้สึกได้อย่างเดียวว่าทำไมคนนี้มีแต่ผ้าพันคงจะอึดอัดน่าดู

“แป้งลูก น้องคนนี้ชื่อน้องฟังนะครับ น้องฟังอายุเท่าลูกเลยเพราะฉะนั้นลูกพอจะรับน้องฟังเป็นเพื่อนได้ไหมครับ?”

“ได้ครับแป้งชอบมีเพื่อน”

       ผมไม่รุ้เลยว่าคำตกลงวันนั้นจะทำให้ความสัมพันธ์ของผมและฟังยามนานมาจนถึงวันนี้ ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ? เกือบ 16 ปีได้แล้วมั้ง จำได้ว่าตอนเด็กหลังจากที่ฟังออกมาจากโรงพยาบาลน้าหน่อยเคยเอาฟังมาฝากไว้ที่บ้านเพราะว่าต้องเดินทางไปทำงานที่อื่นแล้วไม่สามารถเอาฟังไปด้วยได้ ผมเคยร้องไห้จนบ้านแทบแตกตอนที่ฟังมาอยู่ด้วย

“ฮือออออออออออออออออออ”

“อะไรครับเกิดอะไรขึ้น”

“น้องโดนแกล้ง” ผมรีบยกมือปาดน้ำตาแล้วชี้ไปที่ฟัง

“หรือคะ? ไหนลูกบอกแม่สิว่าน้องฟังแกล้งอะไรลูก”

“ก็ ฮึก แป้ง พยายามคุยกับฟังแล้ว ฮึก แต่ฟังไม่ตอบ ฮึก ฟังเอาแต่ก้มหน้าหาอะไรไม่รุ้  แง้งงง น้องไม่เล่นกับฟังแล้ว”

“จริงเหรอครับน้องฟัง น้องฟังไม่อยากเล่นกับน้องแป้งรึครับ?”

                ภาพที่จำได้คือฟังเองก็ร้องไห้แต่ไม่ได้ร้องเสียงดังแบบผม ฟังร้องไห้พร้อมส่ายหัวผมเห็นแม่ทำท่าจะเข้าไปกอดฟังบ้างผมเลยส่ายหัวบ้างเพื่อที่ว่าแม่จะสนใจแต่ก็ไม่ได้ผลเมื่อแม่วางผมลงแล้วหันไปอุ้มฟังแทน ผมได้แต่ตะเกียกตะกายขึ้นไปบนตักของแม่ แต่ก็ได้แค่ค่อนตักเองมั้ง

“แป้งรอตรงนี้ก่อนนะลูกแม่ขอคุยกับน้องฟังสักหน่อยนะครับ”
          แต่ผมไม่ยอมไปไหนผมยอมแค่ลงมาจากตักแม่แต่ยังคงเกาะเสื้อผ้าแม่ แม่พยายามพาฟังไปที่กระดาษพร้อมยื่นดินสอให้ บอกให้ฟังเขียนให้หน่อย ฟังยังคงร้องไห้แต่ก็ยังเขียนอะไรยุกยิกที่กระดาษก็ไม่รู้
“ฟังอยากเล่นด้วย แต่ฟังตอบแล้วแป้งไม่ได้ยินครับ” นั้นคือสิ่งที่ฟังเขียนอยู่ในกระดาษ

                หลังจากตอนเย็นที่กินข้าวเสร็จฟังไปอาบน้ำในขณะที่ฟังอาบน้ำ แม่ก็เรียกผมให้ไปหา แม่พยายามอธิบายให้ฟังว่าฟังพูดแล้วแต่ไม่มีเสียงไม่ใช่เป็นเพราะว่าฟังไม่อยากคุยกับผมเพราะฉะนั้นผมจะฟังจากเสียงของฟังไม่ได้ เวลาเล่นกับฟังผมต้องให้ฟังเขียนหรือพยายามเล่นอย่างอื่นที่ไม่ต้องใช้เสียง

“ว้า งั้นไม่เล่นด้วยแล้วครับไม่สนุกเลย” ไม่ว่าแม่จะพยายามอธิบายผมยังไงผมก็ไม่ฟังแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเล่นกับฟังไป

                เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ตื่นมาทำกิจกรรมของผมตามปกติฟังก็พยายามเข้ามาหาผมพยายามอ้าปากพูดแต่ผมคงจะเด็กเกินไปที่จะฟังผมเลยวิ่งออกมาเล่นกับเพื่อนในหมู่บ้าน ฟังก็ตามมาด้วย เพื่อนในกลุ่มเห่อเพื่อนใหม่อย่างฟังแต่เพราะว่าตอนถามชื่อฟังไม่ได้บอกชื่อตัวเองออกไป เพื่อนทุกคนก็เลยไม่คุยกับฟัง บางคนก็บอกว่าฟังเป็นเด็กประหลาด ผมไม่ได้สนใจอะไรฟังเลยตลอดครึ่งเช้า พอเที่ยงผมก็กลับบ้านเพื่อที่จะมากินข้าวกลางวันแล้วก็ออกไปเล่นช่วงบ่ายต่อ เหตุการ์ณวนเป็นไปแบบนี้อยู่สามวัน
          เช้าฟังตามผมออกไปเย็นก็ตามกลับบ้านมาแต่แล้วก็มีเหตุการ์ณที่ทำให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปตลอดกาล
วันนั้นเป็นวันที่ 4 ที่ฟังยังต้องมาอยู่ที่บ้านของผมก็เหมือนเดิมผมออกไปตอนเช้าตอนเที่ยงกลับมากินข้าว แม่ไม่อยู่ไม่รู้ไปไหน ผมก็แค่แวะมากินข้าวแล้วก็จะวิ่งกลับไปเล่นต่อแต่เพราะตอนบ่ายของวันนี้เราเปลี่ยนสถานที่เล่นกันผมก็เลยวิ่งไปอีกทางไม่ได้กลับมาทางเดิมจนตอนเย็นผมเข้าบ้านมาเพราะว่ามันเป็นมื้อเย็นแล้วหิวแล้ว

“กลับมาแล้วเหรอลูกมาๆ มากินข้าวกันแม่เตรียมอาหารไว้ให้แล้วนะครับ”

“ครับบบ”

“อ้าว แล้วฟังละลูก?”

“ไม่รู้ครับ”

“อะไรคือไม่รู้ครับ? แม่เห็นฟังตามลูกไปตั้งแต่เช้า”

“ก็หนูไม่รู้อะ หนูไม่เห็นฟัง หนูไม่ได้เล่นกับเขาหนูหิวข้าว หนูจะกินข้าว”

“สรุปว่าทุกวันที่ฟังตามลูกออกไปลูกไม่เคยได้เล่นกับเขาเลย”

“ฟังเดินตามออกไปเองแล้วก็ไม่มีเพื่อนคนไหนอยากเล่นด้วยเพราะฟังไม่พูดหนูก็เลยไม่อยากเล่นกับฟัง”

“แม่ก็เคยบอกแล้วว่าฟังเขาไม่มีเสียงไม่ใช่เขาไม่อยากพูด ทำไมลูกเป็นเด็กแบบนี้ แม่ว่าแม่ไม่เคยเลี้ยงลูกให้เป็นคนใจร้ายแม่สอนเสมอว่าให้ลูกเล่นกับฟังลูกจำวันที่เราไปเห็นฟังที่โรงพยาบาลไม่ได้เหรอครับ? ฟังไม่น่าสงสารเหรอ? นอนที่เตียงไม่ได้ทำอะไรเลย”

       จำได้ว่าวันนั้นไม่ได้ตอบอะไรแม่ไป รู้แค่ว่าสิ่งที่ผมทำคงร้ายกาจมากเพราะแม่ดูร้อนใจมากเป็นพิเศษแถมยังไม่ยอมกินข้าวเย็นกับผมด้วยเพราะว่าอยากรอฟังกลับมาก่อน เวลาผ่านไปจน 1 ทุ่มแล้วฟังก็ยังไม่กลับเข้าบ้านจากที่ผมเฉยๆผมก็เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขแล้วเหมือนกันเพราะปกติต่อให้ผมไม่สนใจ ฟังก็จะเดินกลับตามมาทุกครั้งเพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ฟังไม่ได้เดินตามกลับมาด้วย

“แม่จะออกไปตามหาฟังแป้งอยู่บ้านนะ”

“แม่” อยากบอกว่าขออกไปหาฟังด้วย แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป

“เดี๋ยวแม่มา”

                ไม่สามารถนั่งติดอยู่กับเก้าอี้ได้เลยมันรู้สึกร้อนกังวลคอยแต่ชะเง้อไปหน้าบ้าน น่าจะเป็นเพราะแม่ไม่เคยทิ้งผมให้อยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ แม่กลับเข้าบ้านมาอีกทีตอน 2 ทุ่มสภาพของฟังที่เห็นทำให้ต้องรีบรีบวิ่งหนีขึ้นห้องนอน ตามตัวของฟังแดงเป็นจ้ำๆน่าจะเป็นรอยยุงกัด  มีรอยแดงเหมือนโดนตีแถวหน้าแต่สิ่งที่ทำให้ต้องวิ่งหนีขึ้นมามากที่สุดคือตอนที่ฟังเงยหน้ามาแล้วยังคงยิ้มให้ผม เหมือนดีใจที่ผมยังยืนรออยู่ตรงนั้น แม้จะขึ้นมาบนห้องแล้วแต่ก็ไม่สามารถหลับตาลงได้เลยยังคงนั่งอยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้นอยากจะลงไปข้างล่างไปดูว่าแม่กับฟังทำอะไรกันอยู่แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงไป

        เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่ารอบข้างและข้างล่างบ้านเงียบสนิท แต่ตัวเองก็ยังคงไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เลยตัดสินใจเดินไปที่ห้องนอนของฟังซึ่งเป็นห้องนอนที่ติดกันแต่ไม่เคยคิดที่จะเดินเข้ามา  ตอนที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปในห้อง ห้องนอนมืดมากมองเห็นฟังที่นอนอยู่บนเตียงได้ก็เพราะไฟตรงทางเดินหน้าห้อง ฟังหลับสนิทไม่รับรู้เลยว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในห้องเขาอยู่ 1 คน

“เข้ามาดูฟังเหรอลูก?” คำทักเบาๆที่เข้ามากระซิบทำให้เราสะดุ้งตกใจสุดขีดรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าแอบทำอะไรลับหลังแม่ ได้แต่พยักหน้าเบาๆ ไม่กล้าตอบส่งเสียงออกไปเพราะกลัวว่าฟังจะตื่นขึ้นมา ไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้เพราะถ้าเป็นเราเราก็คงรู้สึกหงุดหงิดถ้าต้องตื่นเพราะคนอื่น

“อยากนอนกับฟังไหมลูก?”

        ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรออกไปไม่รู้ว่ามองฟังด้วยสายตาแบบไหน ไม่รู้ว่าตอนหันกลับไปมองหน้าแม่เรามองหน้าแม่แบบไหนแม่ถึงได้อุ้มเราขึ้นมาบนเตียงแล้วจัดท่านอนให้ลงนอนข้างๆฟัง แม่ค่อยๆ เอาผ้าห่มมาห่มให้รู้แต่ว่าทุกการรกะทำของแม่เราไม่ได้มองที่หน้าของแม่เลยสายตาของเรายังคงจ้องมองไปที่หน้าของฟังพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แม้แม่ออกไปแล้วเรายังมองอยู่ที่เดิม แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ดึกมากเกินไปแล้วก็ได้ จากที่นอนไม่หลับมาตลอดค่อนคืนที่ผ่านมาตอนนี้รู้สึกได้ว่าความง่วงเริ่มเข้ามาครอบงำเราแล้ว ตาเราเลยเริ่มปิดลง แม้ว่าในหัวสมองของเรายังคงสั่งการคิดถึงส่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น เราหลับตาลงไปแล้วโดยที่ไม่รู้เลยว่าอาการที่ทำให้เรานอนไม่หลับมาตลอดคืออาการที่เรียกว่า “อาการของคนเป็นห่วง”

      เช้ามารู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรคอยกระดุกกระดิกอยู่ข้างๆ แต่ไม่อยากลืมตาเลยพอสมองเริ่มคิดอะไรได้ก็ทำให้รู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องตัวเองเมื่อคืนไม่ได้นอนอยู่คนเดียวเลยเด้งตัวเองขึ้นมาจากเตียง หน้าของฟังเช้านี้จากที่แดงเมื่อคืนมันเริ่มเขียวแล้วส่วนแขนที่โผล่ออกมานอกเสื้อก็เป็นลายจุดๆ เต็มไปหมด ฟังเอาแต่ยิ้มตอนที่ผมหยิบผ้าห่มขึ้นเพราะผมต้องการดูที่ขาของฟังด้วย

“นี่” นั้นคือคำแรกที่ผมยอมพูดกับฟังในรอบ 4 วันที่ฟังมาอยู่กับผม

                ยังคงปรับตัวยังลืมว่าฟังไม่สามารถพูดแบบมีเสียงได้ เลยลืมตัวนั่งนิ่งรอฟังตอบแต่ฟังไม่ตอบสักทีจากที่ก้มหน้าอยู่เลยเงยหน้าขึ้นมาเห็นตังพยายามมองไปรอบๆห้องผมเลยจำเหตุการ์ณที่ผมร้องไห้บ้านแตกได้

“แป้งขอโทษเราลืมไปว่าฟังไม่มีเสียง” ฟังหยุดเคลื่อนไหวแล้วหันมามองหน้าของผมด้วยรอยยิ้งที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

“ฟังแป้งขอโทษนะ แป้งไปไหนมาไหนไม่รอฟังเลยแล้วเมื่อวานแป้งก็ ฮึก ทิ้งฟัง แม่บอกว่าเจอฟัง ฮึก ฮืออ ที่ข้างสนามเด็กเล่น แป้งไม่ได้ไปตรงนั้นตอนบ่าย ฮึกทำไมฟังไม่กลับบ้าน” จำได้ว่าพูดไม่เป็นคำเท่าไหร่หลังจากประโยคขอโทษที่พูดออกไปเพราะเอาแต่ร้องไห้มันรู้สึกผิดที่ได้รู้ว่ามีคนๆนึงนั่งรอเราตลอดช่วงบ้ายที่ข้างสนามเด็กเล่นเพราะคิดว่าเราจะกลับไปเล่นตรงนั้น ฟังไม่ได้ตอบอะไรแน่นอนเขาจะตอบอะไรได้ไงในเมื่อผมเองที่มองหน้าเขาไม่ชัดแล้วหน้าตาของผมเต็มไปด้วยน้ำตา

                ฟังไม่ได้พยายามมองหาอะไรในห้องอีกแล้วสิ่งที่ฟังทำคือยกมือป้อมๆของเขาขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมแต่เหมือนผมมีน้ำตากักเก็บไว้เป็นเขื่อนเพราะไม่ว่าฟังพยายามที่จะเช็ดมันออกเท่าไหร่ น้ำตามันก็ไม่หมดไปสักทีผมยังคงนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมบนเตียงของฟัง ฟังเลิกเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วผมใจหายนึกว่าเขาจะโกรธกันที่ผมไม่พูดอะไรที่เอาแต่ร้องไห้ ผมเลยรีบลุกขึ้นไปขว้าแขนของฟังเอาไว้มองหน้าของฟังเอาไว้สงสัยเพราะเป็นเด็กการปรับตัวเลยรวดเร็วขึ้น เพราะรับรู้แล้วว่าฟังไม่มีเสียงเลยพยายามมองที่ปากของฟังเพราะเวลาฟังพูดอะไรออกมาผมจะได้ไม่พลาดอีกผมอยากจะฟังและเข้าใจในสิ่งที่ฟังจะสื่อ

              แต่เปล่าเลยผมคิดผิดสินะ ฟังไม่ได้โกรธไม่ได้จะลุกไปไหน สิ่งที่ฟังทำคือยกแขนทั้งสองข้างโอบล้อมตัวผมเอาไว้กอดผมแน่น ผมฝืนตัวในตอนแรกเพราะนี่เป็นอ้อมกอดจากคนแปลกหน้าครั้งแรกฟังไม่ใช่ญาติและผมก็ไม่เคยให้คนอื่นกอดแนบแน่นแบบนี้ ผมจึงฝืนตัวออกมาแต่ว่าคงต้องขอบคุณฟังละมั้งที่ไม่ลดละความพยายาม ฟังพยายามกอดผมให้แน่นขึ้นน่าแปลกที่ตอนนั้นเราไม่ได้เอ๊ะใจเลยว่าอ้อมกอดของเด็ก 10 ขวบจะสามารถอุ่นได้ขนาดนั้นเราไม่เคยรู้เลยว่าอ้อมกอดของเขาอบอุ่นขนาดไหนแต่ที่รู้สึกในวันนั้นคือพออยู่ในอ้อมกอดนี้ของฟังคนนี้แล้วจากที่ร้องไห้เพราะกังวลว่าฟังจะโกรธ จากที่ร้องไห้เพราะรุ้สึกผิดก็เลิกกังวลเลิกร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบเงียบๆให้เขากอดแล้วตบหลังผมเบาๆเหมือนเป็นการปลอบประโยนจนผมเผลอหลับไปในอ้อมกอดที่แสนสบายนั้น.

            ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฟังมาเขย่าตัวพร้อมขยับปากพูดว่าไปอาบน้ำ ไม่มีการอิดออดเกิดขึ้นเพราะรู้ว่ากะเพาะกำลังเรียกร้องอาหารแล้วแต่ที่ยังสงสัยคือตลอดตอนเช้านี้แม่ไม่ขึ้นมาหาผมเลยแต่แล้วคำตอบก็ชัดเจนว่าแม่คงออกไปทำงานแล้วเพราะลงมาข้างล่างก็ไม่มีใครอยู่ที่บ้านแล้ว หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลงมาหาอะไรกินกับฟังหลังจากกินข้าวเสร็จตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่ออกไปไหนถ้ายังไม่ได้คุยกับฟังให้เรียบร้อย

“รอเราข้างล่างนี้นะห้ามขึ้นข้างบนเด็ดขาด” ฟังพยักหน้ารับแล้วก็นั่งรออย่างสงบเสงี่ยมที่โซฟา

“อะ ให้” ผ่านไปน่าจะชั่วโมงกว่าๆได้ ถึงได้กลับลงมาหาฟังอีกรอบฟังยังคงนั่งรออยุ่ที่เดิมเหมือนที่ผ่านมาชั่วโมงนึงฟังไม่ได้ไปไหนเลย ฟังยื่นมือมารับกระเป๋าห้อยคอ เอากระเป๋าเงินห้อยคอที่แม่ให้ไว้เมื่อตอนอนุบาลมาดัดแปลงเป็นของให้ฟัง

“ในกระเป๋านั้นมีกระดาษเล็กๆที่ฉีกไว้ให้นะแล้วก็มีดินสอกดกับไส้ใส่ไวให้แล้วต่อไปเวลาอยากคุยกับแป้งฟังก็สะกิดแป้งนะแล้วยื่นกระดาษให้แป้ง” สิ่งที่คาดคิดหลังจากให้ของฟังไปแล้วมันไม่ใช่ในสิ่งที่เห็นในตอนนี้ ภาพที่จินตนาการไว้คือฟังต้องยิ้มและรู้สึกดีใจกับของขวัญชิ้นนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือฟังกอดกระเป๋าห้อยคอไว้แน่นแล้วลงไปนั่งร้องไห้ที่พื้น

“ทำไมอะ ฟังไม่ชอบของขวัญของแป้งเหรอ? แป้งขอโทษฟังอย่าร้องไห้สิ เอาคืนมาก็ได้แป้งขอโทษ แป้งอ่านปากฟังก็ได้”

                ฟังไม่ตอบไม่แสดงอาการอะไรไม่ส่ายหน้าไม่พยักหน้าใจเริ่มเสียกว่าเดิมในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปกอดฟังเหมือนที่ฟังได้ปลอบเมื่อเช้า ฟังก็ขว้าตัวเราเข้าไปกอดโดยที่มือของเขาก็ยังไม่ปล่อยกระเป๋าห้อยคอใบนั้นเลย

“ไปเล่นกันไหม?” หลังจากฟังหยุดร้องไห้แล้วก็เลยอยากชวนฟังไปเล่นเพราะสี่วันที่ผ่านมาไม่ได้เล่นกับฟังเลย

“(ไป)” แน่นอนการตอบกลับมาของฟังคือการพยักหน้าแล้วก็เป็นการขยับปาก การอ่านปากของคนมันยากตรงที่เราต้องคอยมองปากของเขาตลอดเวลาห้ามสนใจสิ่งอื่นใด นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เลือกที่จะให้กระเป๋าห้อยคอใบนั้นกีบฟังไป

                พาฟังออกไปที่สนามเด็กเล่นกะไปวิ่งเล่นกันแค่ 2 คน เพราะนี่ก็ตอนบ่ายแล้วปกติคนอื่นๆ ก็จะย้ายไปที่สโมสรเหมือนเมื่อวาน แต่สงสัยจะกะผิดเพราะว่าก็ยังเจอเด็กกลุ่มเดิมที่เคยเจอกันตอนแรก ที่บอกว่าฟังเป็นตัวประหลาด

“ทำไมวันนี้เอาตัวประหลาดมาด้วยละ? หรือแกประหลาดด้วยแล้ว?” เจอกันก็ดีจะได้ประกาศไปเลยว่าฟังไม่ใช่ตัวประหลาดแล้วต่อจากนี้ไปฟังจะเป็นเพื่อนของผมและจะมีสิทธิ์ได้มาเล่นพร้อมผมด้วย

“ฟังไม่ใช่ตัวประหลาดนะ ฟังแค่ไม่มีเสียง”

“ไม่มีเสียงนั้นแหละประหลาดทุกคนมีเสียงหมดมันไม่มีอยู่คนเดียวมันนั้นแหละประหลาด”

“ไม่ประหลาด”

“ประหลาด”

“ไม่ประหลาด”

“ไอ้เล็กหุบปาก”

“ประหลาด”

                แล้วความอดทนของผมก็สิ้นสุดลงเมื่อพูดด้วยคำพูดแล้วไม่ชนะ ก็คงต้องใช้กำลังให้เพื่อนเข้าใจวิ่งเข้าไปชกหน้าคนที่บอกว่าฟังเป็นตัวประหลาด รู้สึกได้ถึงแรงดึงเสื้ออยู่ด้านหลังฟังคงกลัวกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นนี้เลยสะบัดมือที่เกาะกุมเสื้อนั้นอยู่แต่สงสัยคงไม่ได้ชกต่อยบ่อยเลยแพ้ไอ้เล็กอย่างหมดภาพ

             ในขณะที่กำลังเอามือมาบังหน้าอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาบังหน้าเราเอาไว้ เงามือที่บังอยู่ตรงหน้านั้นเข้ามาบังแป้ปเดียวแล้วก็หายไป ลองเปิดตาขึ้นมาข้างนึงเพื่อที่จะดูว่าเงานั้นหายไปไหนแล้วทำไมกำปั้นเล็กไม่ลงมาที่หน้าสักที เริ่มตาขึ้นมาก็เห็นว่าฟังกำลังลงไปล้มลุกคลุกคลานกับเล็กอยู่ตรงหน้า ฟังดูได้เปรียบเพราะตอนนี้สภาพไอ้เล็กยับเยินเกินกว่าที่จะเรียกว่าเป็นผู้ชนะ พอไอ้เล็กล้มลงไปฟังก็ลุกขึ้นมาไม่พูดอะไรแต่เข้ามาลากจูงมือให้กลับบ้าน จากภาพเหตุการ์ณตรงหน้าจะให้ขัดขืนไม่เดินกลับก็ไม่กล้าแต่ที่แน่ๆ รู้แล้วว่าต่อไปนี้เวลามีเรื่องสมควรเอาใครไปด้วยกลับมาถึงบ้านเห็นแม่ยืนชเง้อมองมาจากในบ้านได้แค่ก้มหน้าก้มตา ฟังนั้นแหละที่หลบไม่พ้นแม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้

“ไปไหนกันมาทำไมกลับเย็นกันขนาดนี้?” พยายามดึงให้ฟังก้มหน้าลงมาด้วยกันแต่เหมือนฟังจะไม่เข้าใจพยายามล้วงอะไรออกมาจากกระเป๋าที่ห้อยคอ นี่ขนาดพยายามจับมือของฟังเอาไว้ฟังจะได้ไม่ต้องตอบอะไรออกไปแต่สงสัยสารที่อยากจะสื่อออกไปคงไม่ถึงฟัง

“ใครเป็นคนเริ่ม?” ไม่รู้ว่าฟังเขียนอะไรให้แม่อ่านเพราะไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่จากน้ำเสียงของแม่แล้วคิดว่าน่าจะสามารถวัดความโกรธได้

“แล้วทำไมแป้งถึงไม่ห้ามฟัง?”

“.................................”

“การไม่ตอบคือการยอมรับแสดงว่าแป้งยอมรับใช่ไหมลูกว่าเป็นไม่ยอมห้ามฟังตอนที่ฟังมีเรื่อง” กำลังจะเอ่ยตอบแม่แต่ก็ช้ากว่าฟังตลอด ฟังเขียนอะไรไม่รู้ยาวเหยียด แต่ด้วยความที่กระดาษที่ตัดให้ฟังน่าจะเล็กเกินไป สิ่งที่ฟังอยากจะพูดน่าจะมากกว่ากระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนั้น ฟังเลยดึงมือแม่ลงมาเพื่อให้มองที่หน้าของฟัง

“(แป้งห้ามแล้วครับ ฟังไม่ฟังแป้งเอง)”

“เปล่านะแม่แป้งไม่ได้ห้ามอะไรฟังเลย ก็ไอ้เล็กนิสัยไม่ดี มันว่าฟังแป้งไม่ชอบ มันว่าฟังว่าเป็นตัวประหลาด”

“แต่การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ลูกรู้ใช่ไหม?”

“รู้แต่มันไม่ฟังแป้งเลย” ในขณะที่กำลังเถียงแม่อยู่ฟังกเอาแต่ดึงชายเสื้อยืดอยู่อย่างนั้นจนจะยืดสมชื่อหมดแล้ว

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตามครั้งนี้แม่ถือว่าลูกผิดลูกต้องโดนทำโทษ ฟังก็ด้วยนะลูกต้องโดนทำโทษเหมือนกัน เพราะเราไปทำร้ายคนอื่น แป้งกอดอก”

“(ตีฟังคนเดียวได้ไหมครับ?)”

“ไม่ได้ครับทำด้วยกันต้องรับผิดชอบด้วยกัน” น่าแปลกใจที่การโดนตีในครั้งนั้นไม่รุ้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะทุกครั้งที่ก้านมะยมของแม่ฟาดลงมาจะเห็นคนยืนทำหน้าเจ็บแทน ร้องไห้งอแงอยู่ไม่ไกล แต่ก็น่าแปลกที่ว่าพอถึงตอนที่ตัวเองโดนตีกลับไม่ร้องออกมาสักแอะ สงสัยว่าน้ำตาจะหมดแล้ว

“มานี่ฟังมาทายา แป้งโดนบ่อยถ้าทายาจะไม่เจ็บ” ฟังขยับตัวมาให้ทายาแต่โดยดีพอทาเสร็จฟังก็ยื่นมือมาขอหลอดยาก็เลยหันก้นไปให้ทายา เพราะแสบถึงขนาดจะนั่งไม่ได้อยู่แล้ว กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็มีกระดาษแผ่นนึงยื่นมาข้างหน้า “(ขอบคุณนะ)”

“ขอบคุณอะไร เรื่องยาอะเหรอ ไม่ต้องๆ แป้งก็โดนผลัดกันทาไง”

“(ขอบคุณทุกอย่างเลย)”

“อื้ม แล้วนี่ยอมใช้กระดาษแล้วเหรอนึกว่าไม่ชอบซะอีก เมื่อเช้าเห็นร้องไห้”

“(ไม่ เราชอบเราถึงได้เขียนลงกระดาษอยู่นี่ไง)”

“ดีจังที่ชอบแป้งว่ากระดาษมันใช้ง่ายสุด อีกอย่างอ่านปากมันต้องคอยจ้องตลอดเวลากลัวเข้าใจไม่ครบ”

“อื้มงั้นต่อไปเราจะเขียนนะ”

..............โปรดติตามตอนต่อไป........................................

ขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านนะคะ ผิดพลาดอย่างไรบอกได้เลยค่ะ

ปล

ฟังไม่มีเสียง เพราะฉะนั้นเวลาฟังพูดด้วยปาก เราทำตัวอักษรเอียงนะคะ
ถ้าเขียนใส่กระดาษจะเป็น (............) ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #3 เมื่อ20-05-2016 12:49:09 »

     ตอนเช้าแม่ย้ำก่อนออกจากบ้านอย่างหนักแน่นว่า “วันนี้ห้ามมีเรื่องอีก ถ้ามีเรื่องอีกแม่บอกว่าจะไม่ให้ออกไปเล่นจนกว่าจะเปิดเทอม” ได้แต่พยักหน้ารับแต่ในใจนี่คิดเอาไว้แล้วว่าถ้าไอ้เล็กยังกล้าว่าฟังอีก จะให้ฟังไปซัดให้น่วมเลย

“(วันนี้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นนะ)”

“ไม่รับปาก ถ้ามันมาหาเรื่องอีกแป้งก็จะไม่อยู่เฉยๆ”

“(ไม่เอา)”

“ทำไม ฟังกลัวอะไรแป้งยังไม่กลัวเลย”

“(เรากลัวแป้งเจ็บ เมื่อวานแป้งก็เจ็บตัว)” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ากลัวคำแม่สั่งหรือเป็นเพราะอะไร วันนั้นเลยกลับมาบ้านอย่างไรปลอดภัยไร้แผล แม้ว่าไอ้เล็กจะมาวนเวียนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟัง หรือบางครั้งที่เริ่มทนไม่ไหวแค่ฟังมาจับมือไว้เราก็รุ้สึกเย็นลงแล้วจนไอ้เล็กก็เงียบไปเอง

   ฟังยังอยู่ที่บ้านอีก สองสามวัน น้าหน่อยก็มารับฟังกลับ จริงๆทุกคืนก่อนที่ฟังจะกลับบ้านตัวเองหลังจากที่ยอมสงบกันแล้วเราก็มักจะแอบไปนอนห้องฟังเสมอ แอบเข้าไปเล่นแล้วก็เผลอหลับไป วันที่ฟังจะกลับบ้านไม่อยากให้ฟังกลับเลยไม่รุ้ว่าเพราะอะไรอาจจะเป็นเพราะทะเลาะกับไอ้เล็กแล้วกลัวไม่มีเพื่อนเล่นเหมือนเคยหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้สึกสนุกด้วยแล้วเวลาอยู่ด้วยหันไม่จำเป็นที่หังจะต้องมีเสียงอีกต่อไปและการไม่มีเสียงของฟังก็เกิดเป็นความเคยชิน แต่ยังเด็กอะไรก็ลืมได้ง่ายจากที่งอแงกับแม่ทุกวันว่าอยากเจอฟังพอนานไปสักพักก็เหมือนชื่อของฟังเป็นเพียงแค่ชื่อนึงที่เคยผ่านหูเข้ามาแล้วก็ผ่านไป

“ลูกเข้าบ้านไปก่อนนะ แม่ขอคุยกับน้าหน่อยก่อน” กลับมาจากโรงเรียนก็เห็นน้าหน่อยมาจอดรถรอแม่ที่หน้าบ้าน รีบยกมือไหว้น้าหน่อยและรีบวิ่งเข้าบ้านเพราะว่าปวดฉี่มากแต่ตอนออกมาจากห้องน้ำก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านเช่นกันแล้วก็ไม่ผิดหวัง ฟังยังนั่งอยู่ตรงหน้าโซฟา ดีใจที่สุดตอนที่เห็นว่าที่คอของฟังยังห้อยกระเป๋าใบนั้นอยู่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระเอกที่กอบกู้โลกเพราะในที่สุดก็สามารถคิดวิธีทำให้ฟังสื้อสารได้ รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างสุดตัว

“ร้องไห้ทำไม” นี่คือคำถามแรกที่เห็นหน้าของฟังตาของฟังยังบวมแดงอยู่เลย ฟังไม่ได้ตอบแต่ส่ายหน้าความดีใจของเราจาก 10 หล่นเหลือแค่ศูนย์

“ร้องทำไม”

“(เราทำให้แม่โดนคุณครูเรียกไปพบ)”

“ครูว่าแม่ฟังเหรอ”

“(ไม่รู้เหมือนกันเพราะเราไม่ได้เขาไปด้วยแต่พอแม่เดินออกมา แม่ก็ร้องไห้)”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่แป้งคงปลอบแม่ฟังอยู่เหมือนที่แป้งปลอบฟังอยู่ตอนนี้ไง” ฟังพยักหน้ารับแล้วก็ยิ้มออกมา ดีใจที่ในที่สุดฟังก็ยิ้มออกมาได้ แต่พอมองออกไปหน้าบ้านก็ไม่รู้แม่คุยอะไรกับน้าหน่อย ทำไมน้าหน่อยถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนั้นท่าทางคุณครูของฟังจะว่าแม่ของฟังแรงจริงๆ

“ปิ่น เธอคงจะเบื่อหน้าฉันที่มาทีไรมักจะเอาเรื่องมาให้เธอคอยช่วยเหลือตลอด”

“เราเป็นเพื่อนกัน มีอะไรก็เล่ามาเลย”

“วันนี้ที่โรงเรียนของฟังเชิญฉันไปพบ ฉันตกใจมากคุณครูประจำชั้นบอกว่า ฟังโดนเพื่อนๆ แกล้งทุกวันเลยแถมบางวันฟังไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำฉันไม่เคยรู้เลยปิ่น ฉันเป็นแม่ที่แย่มากเลยใช่ไหม ฉันสงสารลูกปิ่นฟังต้องมาพูดไม่ได้ก็เพราะฉันแล้วพอลูกโดนแกล้งฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลยปิ่น”

“ใจเย็นๆนะหน่อย เอางี้ไหมให้ฟังย้ายโรงเรียนมาเรียนกับแป้งไหม เพราะว่าอยู่ด้วยกันยังไงฟังก็มีแป้ง อีกอย่างฟังเป็นเด็กเรียนดี แต่แป้งเรียนแย่ถ้าได้มาเรียนที่เดียวกันเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยกันเรียน”

“ฉันไม่รู้สิ”

“พรุ่งนี้เราไปคุยกับคุณครูใหญ่ที่โรงเรียนของแป้งกันถ้าย้ายได้ก็ย้ายมาเรียนด้วยกันจะได้ช่วยกันดูมีเรื่องอะไรแม้ฟังไม่พูดแต่แป้งต้องพูดแน่นอน เธอจะได้ไม่กังวล”

“ขอบคุณมากนะปิ่น”

   เช้านี้ตื่นเต้นมากเพราะว่าฟังจะมาโรงเรียนด้วย ไม่เห็นจะรู้เรื่องมาก่อนเลย ตื่นเช้ามาก็เจอน้าหน่อยกับฟังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้วแม่บอกแค่ว่าวันนี้ฟังจะไปที่โรงเรียนด้วยแต่ไม่ได้เข้าเรียนไม่อยากนั่งเรียนอยู่ที่ห้องเลยอยากพาฟังออกมาเดินเล่นรอบโรงเรียนอยากอวดโรงเรียนของเรา

“แม่ ฟังอะครับ” เลิกเรียนรีบวิ่งออกมาหาฟังที่หน้าโรงเรียนที่ไม่เจอ เจอแต่แม่ยืนรออยู่ที่เดิม

“ฟังกลับไปแล้วครับ เรากลับบ้านกันนะ” แอบผิดหวังนิดหน่อยอดอวดโรงเรียนแทบฟังก็ไม่รอกัน นึกว่าเย็นนี้จะมีเพื่อนเล่นแล้ว

“แป้ง ฟังจะย้ายมาเรียนที่โรงรียนของแป้งนะลูก” กำลังจะวิ่งออกมาดูโทรทัศน์หยุดกระทันหัน

“จริงเหรอแม่ ดีจัง เย้”

“จ๊ะ แต่ฟังจะเข้าไปเทอมสองนะจ๊ะ แป้งมานี่ก่อนสิลูก”

“ครับ”

“แป้งต้องคอยเป็นเพื่อนฟังนะลูกแล้วเวลาถ้าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนแป้งต้องมาเล่าให้แม่ฟังนะครับ”

“ครับแม่ แป้งไม่ทิ้งฟังแน่นอน”


   ตลอดเวลาของช่วงประถมและมัธยมต้นเราทั้งสองคนไม่เคยทะเลาะกันแรงๆ เลยสักครั้ง เพราะเวลาตั้งท่าจะทะเลาะกันทีไรฟังก็จะเป็นคนยอมให้ก่อนตลอดหรือบางทีแค่ปล่อยให้น้ำตาให้ไหลออกมาเราไม่ต้องพูดอะไรเลยเราก็สามารถชนะฟังได้แล้ว เรามักจะมีปัญหากันอยู่ไม่กี่เรื่องหลักๆ ก็คือเรื่องที่ฟังไม่ยอมสู้คนตอนเวลามีคนเข้ามาว่ามาล้อและเรื่องที่สองเวลาฟังเขียนตอบอะไรช้าๆ แต่ปัญหามักจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ตามมาตลอดเพราะในเมื่อฟังไม่สู้เราลยสู้แทนแต่ผลจากการสู้แทนคือเราเจ็บตัวแพ้ ทำให้ฟังต้องกลายเป็นคนสู้เพราะเราไปซะอย่างนั้น

“((เลิกทะเลาะกับคนอื่นได้ไหม? อย่ามีเรื่องกันเลย))”

“แล้วที่ทะเลาะกับพวกมันนั้นเพราะใครละไม่รู้สึกอะไรเลยบ้างรึไงให้มันมายืนด่าได้อยู่ป่าวๆ”

“((ก็ถ้าเราไม่สนใจซะทุกอย่างก็จบ))”

“ฟังบ้าปะฟังทนได้ไง ไม่รู้โว๊ยฟังทนได้แต่เราทนไม่ได้”

“((น่าแป้งใจเย็นๆนะ))”

“ไม่ ในเมื่อฟังไม่รู้เราสู้เอง”

“((แต่สุดท้ายเรากับแป้งก็ต้องมาเจ็บตัวทั้งคู่))”

“นี่ฟังกำลังหาว่าเราเป็นต้นเหตุให้ฟังเจ็บตัวใช่ไหม?”

“((เปล่า))”

“เออ ใช่สิทำอะไรก็ไม่เคยเห็นว่าดีหรอก เออ แป้งมันไม่เก่งเองแป้งมันขี้แพ้เอง”

“((แป้ง))”

     การโต้เถียงจะจบลงโดยการที่เราหลับตาปิดกั้นการสนทนาขึ้นทุกครั้งก็รู้ว่ามีเรื่องทีไรก็เจ็บตัวแถมเจ็บทั้งคู่เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากให้ฟังเจ็บตัวแต่มันสู้ไม่ได้นิน่าแล้วจะให้ยืนฟังมันยืนล้ออยู่เฉยก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องแบบนี้เราไม่เคยแก้ไขกันได้เลย ยังคงต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่มีเหตุการ์ณอย่างนี้เกิดขึ้น แต่อีกเรื่องนึงที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันก็คือเรื่องที่ฟังพูดแล้วไม่มีเสียงหรือบางทีพูดแบบไม่อ้าปากกว้างทำให้เราอ่านปากได้ไม่ชัดทำให้เราหงุดหงิดพอหงุดหงิดก็เลยชวนทะเลาะ

“เย็นนี้จะกลับไปกินข้าวบ้านหรือว่าจะหาไรกินที่แถวหน้าโรงเรียนนี้เลย”

“((กินก่อนกลับบ้านนะ แป้งอะกินแถวนี้ได้ไหม กลับไปบ้านแม่ก็ไม่อยู่ซื้อกินเหมือนกัน))”

“อื้มได้” เดินไปหาอะไรกินแถวซอยตรงข้ามโรงเรียนเพราะว่าวันนี้ตอนช่วงบ้ายไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย

“เฝ้าโต๊ะนะ เดี๋ยวคนมาเยอะกว่านี้แล้วไม่มีโต๊ะเดี๋ยวเดินไปซื้อให้เอาอะไร”

“((ข้าวมันไก่ขอน้ำเขียวนะ))”

“ครับๆ ได้ที่สั่งใหญ่เลย”

   เดินไปต่อแถวที่ร้านซึ่งจริงๆแล้วร้านก็ไม่ได้ไกลจากโต๊ะที่จองไว้แต่ด้วยความซวยพอมาถึงคิวข้าวมันไก่ธรรมดาหมดเหลือแต่ข้าวมันไก่ทอดหันหน้าไปหาฟังซึ้งฟังก็นั่งมองมาพอดีก็เลยตะโกนบอกไปว่าข้าวมันไก่หมดเอาไก่ทอดแทนได้ไหม ฟังตอบอะไรกลับมาไม่รู้อ่านปากไม่ออกน่าจะเป็นเพราะไกลแล้วฟ้าก็เริ่มมืดแล้วก็เลยไม่รุ้ว่าฟังตอบอะไรกลับมา จะพิมพ์ถามก็ไม่ได้เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกระเป๋าก็วางอยู่ที่โต๊ะที่ฟังนั่งเฝ้าอยู่ จนแม่ค้าให้เราไปต่อแถวใหม่เพราะว่าคนข้างหลังจะได้ซื้อ ให้ไปตกลงมาก่อนแล้วค่อยมาสั่ง

“เพราะมึงเลยเพราะมึงกูเลยไม่ได้กินข้าวเลย” มาถึงที่โต๊ะก็โวยวายใส่ฟังก่อนเลยอดกินข้าวต้องไปต่อแถวใหม่แล้วแถวก็ยาวหิวก็หิวหันกลับไปมองแถวอีกรอบก็ท้อใจ

“((พูดมึงกูอีกแล้วนะ))”

“ก็หิวนิโมโหด้วย” จะมาเคร่งเรื่องมึงกูอะไรตอนนี้ ก็อารมณ์ไม่ดีอะหิวอะ อดกินอะก็ต้องพูดไหม? จะให้มาแบบฟังครับมันก็ไม่ได้อารมณ์ไหม?

“กลับบ้านแล้วไม่กินแล้ว” กระชากกระเป๋าตัวเองออกมาจากบนโต๊ะแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างไม่สนใจคนที่นั่งจองโต๊ะไว้ให้ ฟังเดินตามมาพยายามจะดึงกระเป๋าไปถือเองแล้วก็พยายามดึงให้เราเดินช้าลงด้วยความที่ฟังกระชากกระเป๋าไปทำให้ข้อมือของเราแอบพลิกไปด้านข้างปวดกระดูกจี้ดขึ้นมายิ่งเป็นการเพิ่มอารมณ์โมโหขึ้นไปอีกและด้วยความโกรธพร้อมความหิวมันบังตาทำให้พูดกับฟังไปว่า

“ไปเลยนะมึงไปไหนก็ไป ต่อไปนี้กูจะไม่กินข้าวกับมึงอีกแล้วมึงมันเป็นตัวที่ทำให้กูไม่ได้กินข้าวไอ้ตัวซวย”

   ฟังไม่ได้เดินตามมาอีกและเราก็รู้สึกโกรธมากและมากพอจนทำให้ลืมตัวไปว่าเราได้หลุดพูดอะไรออกไปบ้าง วันรุ่งขึ้นฟังก็ไม่ได้เดินมาหาที่ห้องเรียน (แน่นอนเด็กหัวดีกับเด็กหัวไม่ดีจะมาอยู่ห้องเดียวกันได้ยังไง) ตอนกลางวันก็ไม่มาตอนเย็นก็ไม่มาหา เหตุการ์ณเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้ประมาณ2 วันในที่สุดเราก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เป็นฝ่ายที่ต้องเข้าไปหาฟัง

“กลับบ้านด้วยกันนะวันนี้แม่ถามหา” แอบคลานออกมาจากห้องเรียนของตัวเองก่อนจะหมดคาบเพื่อที่จะมาดักรอฟังที่หน้าห้องของเขา ดีใจที่ฟังพยักหน้ารับไม่ปฎิเสธขอโทษแม่ในใจอยู่หลายทีที่แอบเอาชื่อมาอ้างโดยไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า ข้อดีของฟังก็คือฟังหายโกรธง่ายแค่มาขอโทษฟังก็พร้อมที่จะให้อภัยแล้ว หลังจากเหตุการ์ณวันนั้นฟังไม่เคยยอมเฝ้าโต๊ะอีกเลยไม่รุ้ว่าจะฝังใจโกรธอะไรหนักหนา แต่ก็ดีไม่ต้องฝ่าฝันการต่อคิวซื้อข้าว

   ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเราแน่นอนว่าข้อแรกมันแก้ไม่ได้เพราะไม่ว่าจะยังไงฟังยังคงก้มหน้ายอมรับการล้อเลียนจากคนอื่นอยู่เสมอแต่ปัญหาที่สองมันต้องแก้ได้สิพยายามหาวิธีแก้ไขที่จะไม่ต้องทะเลาะกับฟังอีก แล้วในที่สุดมันก็ได้แก้ได้และปัญหานั้นได้จบไปแล้ว ณ ปัจจุบันไม่มีเรื่องที่ต้องทะเลาะกับฟังเรื่องที่พูดกันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว เพราะว่าตอนขึ้นม. 1 เราได้ตัดสินใจลากฟังไปขอน้าหน่อยให้พาฟังไปเรียนภาษามือ

“ฟังไม่ได้เป็นใบ้นะลูก”  ครั้งแรกที่ดึงฟังไปหาน้าหน่อย น้าหน่อยไม่ยอมให้ไปเรียนเพราะน้าหน่อยบอกว่าฟังไม่ได้เป็นใบ้ ฟังยังคงขยับปากได้แค่ไม่มีเสียง ก็เข้าใจน้าหน่อยรู้ทั้งรู้ว่าฟังไม่ได้เป็นใบ้แค่ใช้ความตั้งใจเวลาฟังขยับปากแล้วเดาคำพูดก็รู้เรื่องได้ แต่บางทีความหมายมันก็เคลื่อนอ่านปากไม่ออกมันก็มี เช่นเหตุการ์ณข้าวมันไก่ มันเลยมีความหงุดหงิดอยากสื่อสารกับฟังให้เร็วขึ้นไม่อยากรอฟังเขียนอยากพูดตอบกันได้เลยแต่เมื่อน้าหน่อยไม่ยอมก็ได้แต่เดินหัวเสียออกมาจากบ้านของฟัง

   แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านไปแค่ 2 อาทิตย์ฟังก็กลับมาพร้อมบอกว่าแม่ของฟังยอมให้ฟังไปเรียนภาษามือแล้ว จำได้ว่ากระโดดดีใจจนตัวโยนรีบวิ่งไปหาแม่ขอไปเรียนภาษามือกับฟังด้วยเหมือนกัน แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราสองคนก็ไม่ค่อยทะเลาะกันเรื่องฟังตอบช้าไม่ทันใจอีกเลย แต่เรื่องที่ไม่เข้าใจฟังคือฟังยังคงพกไอ้กระเป๋าห้อยคอที่มีกระดาษกับดินสออยู่ไว้กับตัว ทั้งๆที่เวลาคุยกันเราก็ทั้งอ่านปากทั้งใช้ภาษามือแล้วเลยไม่เข้าใจว่าฟังจะยังพกติดตัวไว้ทำไม

“ฟัง มานี่อย่าไปยืนตรงนั้น” ตัวเองเร่งเดินจนเหมือนจะแทบวิ่งเพื่อไปให้ถึงตัวของฟังโดยเร็วที่สุด แม้ว่าทุกครั้งที่พอเริ่มจะออกวิ่งจะได้คำสั่งจากแม่ลอยมาเสมอว่า “ห้ามวิ่งให้มากนะ” แต่ให้ตายเถอะภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่สามารถทำให้ก้าวขาให้ช้าได้ลงแม้แต่วินาทีเดียวเลย

ไม่รุ้ทำไมฟังไม่เคยเดินออกมาสถานะการ์ณบ้าๆ นั้นด้วยตัวเอง ฟังมักจะยืนอยู่ในวงล้อมที่มีแต่คนตะโกนล้อว่า “ไอ้ใบ้ๆ” อยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ประถมจนตอนนี้ขึ้นมัธยมปีที่ 5 แล้วภาพเหตุการ์ณแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ครอบครัวของฟังเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วกระจกรถยนต์ทำให้เส้นเสียงของฟังมีปัญหาและทำให้เวลาพูดไม่มีเสียง

“ไปเลยนะไอ้พวกเหี้ย นี่มึงล้อมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมมึงยังไม่พอใจอีกใช่ไหม? หรือจริงๆ พวกมึงมันขี้อิจฉาพอเห็นไอ้ฟังมันได้คะแนนท้อปห้องมึงก็เลยมายืนล้อมัน”

“โธ่ ไอ้เตี้ยจะมาปกป้องมันมึงได้สำเหนียกดูตัวเองยัง? อ่อ หรืออยากได้ไอ้ใบ้นี้เป็นผัวถึงได้เดินตามปกป้องมันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้”

“ไอ้..” ยังไม่ได้ด่าไอ้พวกนี้ให้สาแก่ใจฟังก็เดินมากระตุกมือพร้อมทั้งยังลากให้ออกมาจากกลุ่มของคนพวกนั้น ได้แต่มองหน้าของฟังด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมฟังถึงไม่เคยต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองเลย ทำไมถึงยอมให้คนอื่นมายืนล้ออยู่ได้ฟังมันเป็นคนไม่มีความรู้สึกบ้างเลยหรืออย่างไรนะ? เป็นเราที่กลับทนไม่ได้เวลาเห็นใครว่ามัน

“นึกว่าจะแน่ ไม่แน่จริงนี่หว่า ว่าแล้วตัวแม่งแค่เนี้ยแม่งจะมาปกป้องคนอื่นได้ไง” 

“มึงอย่าอยู่เลยไอ้เหี้ย” แล้วการตะลุมบอนก็เกิดขึ้น เรื่องมักจะเป็นแบบนี้ทุกทีแต่ที่น่าแปลกใจคือ แม้ทุกครั้งเราจะเป็นคนเริ่มแต่ในตอนจบจะต้องเป็นฟังทุกครั้งที่เป็นอยู่ในวงชกต่อยนั้น

“((วิ่งมาเหนื่อยไหม? เจ็บหัวเข่ารึเปล่า))”

   ไม่ตอบรีบสะบัดมือออกจากมือใหญ่ที่กุมมือเราเอาไว้ข้างนึงพร้อมทั้งยังเอามือทั้งสองข้างล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงเป็นการแสดงออกในจุดยืนว่ายังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา ฟังเห็นดังนั้นก็เงียบไปไม่ได้ตามตื้อที่จะพูดด้วย ตลอดการเดินกลับบ้านของเราทั้งสองคนก็เลยก็เกิดความเงียบขึ้น ไม่สิจะต้องเรียกว่ายังไงดี เรียกว่าเกิดการเดินที่สงบเสงี่ยมมากขึ้นมากกว่าเดิม เพราะถ้าเราเดินคุยมากับฟังสิ่งหนึ่งในร่างกายที่ต้องขยับตลอดเวลาของเราคือปากแต่สำหรับฟังสิ่งนึงเลยที่ต้องขยับตลอดเวลาตอนที่คุยกับเราคือ “มือ” เพราะเวลาฟังตอบกลับฟังเขาใช้ภาษามือ เพราะฉะนั้นถ้าผมเอามือล้วงเข้ากระเป๋าหรือเก็บมือให้ชิดตัวเมื่อไหร่ ฟังจะรู้ได้ทันทีว่าผมยังไม่อยากคุยกับเขา

“อะไร!!” ตกใจอยู่ๆฟังก็วิ่งมายึดแขนผมไว้

“ไม่คุยนะบอกแล้วว่าไม่คุยไง”

     ฟังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ชี้ไปที่ถนนที่ตอนนี้กำลังจะมีรถวิ่งตัดผ่านมา คงมัวแต่เหม่อไม่ยอมมองทางจนฟังต้องเตือนให้ระวังรถแต่เพราะพูดไม่ได้เขาเลยต้องเดินมาดึงเราเอาไว้แทน

“วันนี้ไม่ต้องไปที่บ้านนะไม่อยากเห็นหน้าแล้ว ฟังกลับบ้านไปเลย”

“((การบ้านละ เสร็จแล้วเหรอ))”

“...... “

“((โอเค งั้นไม่กวนละกลับละนะ))”

“อ้าวแป้งกลับมาแล้วเหรอ ฟังละลูก”

“มันกลับไปแล้วแม่”

“โกรธอะไรกันมาละ แล้วเรียกฟังให้เพราะๆ หน่อยไปเรียกฟังว่ามันได้ยังไงตอนเด้กๆ แม่ก็เห็นแทนตัวกันเองดีๆทำไมพอโตมาแล้วมาหยาบคาย”

“เปล่าซะหน่อย” ก็พูดจริงไม่ได้โกหกแม่ ไม่ได้โกรธฟังมันเลยแค่รู้สึกหงุดหงิดที่มันไม่เคยปกป้องตัวเอง มันทำเหมือนใครจะทำอะไรกับชีวิตมันก็ได้แล้วก็เปล่าที่พูดคำหยาบด้วยแม่ก็เว่อร์แค่มันจะหยาบยังไง

ติ้ง เสียงเมสเสจดังขึ้นจริงๆจะเล่นตัวไม่เปิดอ่านก็ได้เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะส่งเมสเสจมาหาในตอนนี้

ฟัง “โกรธอะไรรึเปล่า”

แป้ง “ไม่ตอบ”

ฟัง “ดีกันครับ”

แป้ง “ไม่ดีครับ”

ฟัง”แนบรูป แน่นะครับ?” โห เล่นมาด้วยรูปการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้แต่แนบรูปส่งมาแบบเบลอๆ ไกลๆไม่ครบข้อ ฟังมันร้ายทีงี้ละทำเป็นคิดทันว่าต้องอะไร มันน่าหมั่นไส้นัก

แป้ง “ไม่เห็นจะน่าสนใจ”

ฟัง “ง้อยังไงดีครับ”

แป้ง “ทำให้สิทำให้หมดเลยสิครับแล้วจะดีด้วย”

ฟัง “อ่อ นี่ที่โกรธเพราะอยากหาคนทำการบ้านให้”

แป้ง “ไม่ได้บังคับนะ เลือกเอาไปละ” คว่ำโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะหน้าเตียงรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวฟังก็ต้องลอกให้พรุ่งนี้เช้า ออกไปหน้าหมู่บ้านดีกว่าวันนี้เรียนทั้งวันเลยน่าเบื่อ ต้องออกไปผ่อนคลายสมองสักหน่อย

“อ้าวจะออกไปไหนละแป้ง”

“ออกไปหาวิทนะแม่เดี๋ยวแป้งกลับมานะ”

“ไม่เอา แม่ไม่ให้ไป ไปกลับวิททีไรแป้งชอบไปเล่นอะไรเจ็บๆกลับมาก็ปวดขาปวดแขน แม่ไม่ให้ไปนะ”

“โธ่ แม่ครั้งนี้ไม่แล้วแค่จะไปเล่นเกมส์บ้านวิทเดี่ยวกลับมานะครับ”

   รีบพุ่งตัวก่อนออกจากบ้านก่อนที่แม่จะเปลี่ยนใจคิดทันว่าบ้านไอ้วิทไม่มีเกมส์ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมมีปัญหาเรื่องกระดูก มีปัญหาเพราะว่าตอนเล็กๆ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนออกกำลัง ทำให้นั่งนานไม่ได้นี่คืออีกเหตุผลนึงที่อยู่ในห้องเรียนบางทีสมาธิก็หายไปเพราะการเจ็บที่ข้อต่อแต่พอโตก็รีบออกกำลังกายจะเพราะใครอีกละถ้าไม่ใช่เพราะฟัง อยากโตให้เท่าฟังอยากสูงแบบฟังแต่สงสัยจะหักโหมมากเกินไปทำให้เจ็บกระดูกเลยเลิกออกกำลังกายไป ไปหาคุณหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกเปราะ เพราะฉะนั้นเวลาที่เดินมากหรือวิ่งมากก็มีเสี่ยงที่กระดูกอาจจะร้าวหรือแตกถ้าเกิดอุบัติเหตุ ก็รู้ตัวแต่การเล่นบอลเล่นบาสมันเป็นอะไรที่สนุกอยู่ๆจะมาให้เลิกเล่นเลยก็คงยาก พยายามอธิบายให้แม่ฟังแต่ดูเหมือนแม่ไม่เข้าใจแถมยังพยายามห้ามไม่ให้คบกับวิทอีก เฮ้อเบื่อ

“หน้าบูดเป็นตูดหมามาเชียว”

“หน้าเหมือนตูดรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ปากวิทอะหมา” ยู่หน้าใส่สักทีมาหาว่าหน้าเป็นตูดหมา

“มายู่ปากใส่เดี๋ยวปัดตบปากแตก ไอ้นี้จะเล่นไหมบอลอะ เดี๋ยวก็ล้มเกมส์ไม่เล่นแม่งเลยปะเว้ยพวกเรากลับบ้าน”

“โธ่ๆ พ่อคุณอย่าโกรธกระผมเลยครับกระผมขอโทษ” งี้ตลอดเอ๊ะอะไล่ไม่ให้เล่นด้วยตลอด

“ดีมาก”

   วิ่งในสนามได้ไม่ถึง 20 นาทีก็รู้สึกตึงๆ ที่ขาเลยพยายามวิ่งให้น้อยลงเพราะกลัวว่าตอนเดินกลับบ้านจะไม่ไหวแต่ดูเหมือนเพื่อนร่วมทีมจะไม่เข้าใจขยันส่งลูกมาให้แต่ว่าเราไม่สามารถแม้จะแตะส่งแรงให้ลูกบอลมันไกลไปจากขาเราได้ วิทบอกเพื่อนในทีมขอเลิกเล่นก่อนแล้วก็ลากตัวเราออกมาที่ข้างสนาม วิทไม่เคยรู้เกี่ยวกับปัญหาเรื่องกระดูกของผมแต่เวลาที่อยู่ดีๆผมหยุดเล่นวิทก็จะ ลากออกมานอกสนามแม้จะลากมาแบบไม่ผ่อนแรงต้องกัดใจพยายามลากขาตัวเองให้ทันวิท

“เป็นไร เหนื่อยเหรอ หายใจไหวไหม?”

“ไหวๆ ไม่เป็นไรกลับไปเล่นต่อเถอะ เดี๋ยวนั่งรออยู่ตรงนี้”

“ไม่เป็นไรอะไรว๊ะ เห็นยืนนิ่งไม่ขยับตัวเลยไม่เป็นไรเหนื่อยแล้วด้วยนั่งเป็นเพื่อน”

“กลับบ้านไหม?” วิทสะกิดเตือนให้ลุกขึ้น ไม่รู้ว่าเผลอตัวหลับไปตั้งแต่ตอนไหนทั้งๆที่แค่คิดว่าจะมานั่งพักขาให้หายปวดเท่านั้น

“อื้ม กลับสิ เย็นมากแล้วด้วยการบ้านยังไม่ได้ทำเลย”

“นักเรียนดีเด่นแห่งโรงเรียนเลยปะเนี่ย ปะเดี๋ยวเดินไปส่ง”

“เฮ้ยไม่เป็นไรเดินเองได้”

“อย่าเลยเดี๋ยวล้มไปกลางทางจะหาตัวไม่เจอเอา” หันตัวหลับเตรียมตัวจะกลับบ้านตอนเงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห็นกับคนที่ไม่คิดว่าจะเห็นยืนอยู่ตรงนี้

“ฟัง” เอ่ยชื่อเสียงลอยเหมือนหลุดปากพูดออกไปมากกว่าที่จะตั้งใจเรียก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่หนีมาเล่นกับคนอื่นแล้วถ้าฟังเกิดมาเห็นเข้าทำไมจะต้องรู้สึกผิด ทั้งๆที่สายตาของฟังที่มองมาก็ไม่เคยแสดงถึงความโกรธหรือโมโหที่เราจะมีเพื่อนเพิ่มอีกสักคนสองคน แต่ทำไมทุกครั้งต้องรู้สึกผิดไม่เข้าใจตัวเอง พอรู้สึกผิดมากๆเข้าความรู้สึกผิดก็ผลันกลายมาเป็นรู้สึกโมโหคนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม เพราะถ้าเกิดไม่ปรากฎตัวขึ้นมาเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องรู้สึกผิดแบบนี้

“มาทำไม?” ในเมื่อเรียกชื่อกันแล้วก็ไม่ตอบได้แต่พยักหน้าไม่เดินก้าวเข้ามาก็ต้องเลยต้องถามด้วยคำถามแบบนี้

“มารับกลับบ้าน”  ครั้งนี้ฟังใช้ภาษามือแทนการขยับปากพูด

“เพื่อนแป้งเขาว่าอะไรนะ? ชื่อไรนะ จำไม่ได้ว๊ะ โทษที”

“ชื่อฟัง ไม่มีอะไรสรุปจะยังเดินไปส่งเราอยู่ไหม?”

“อ้าวแล้วไม่ไปกับเพื่อน?” นั้นสิเอายังไงดีฟังมาหาแต่วิทกำลังจะไปส่ง

“ก็ไปด้วยกันนี่ละใครอยากกลับบ้านด้วยกันก็เดินตามมา” ตั้งใจพูดให้ดังเพื่อให้ใครบางคนได้ยินด้วย ไม่ได้หันหลังกลับไปดูว่าเดินตามมาไหม ได้แต่พยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่รู้ว่ารอบข้างเสียงดังมากเกินไปหรือว่าฟังเดินเงียบเกินไปทำไมเงี่ยหูพยายามฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินเสียงที่เดินตามมา

“ถึงแล้วไปเข้าบ้านไป”

“อื้ม” รวบรวมสมาธิที่กระจัดการจายออกนอกตัวให้รวมกลับเข้ามาให้เหมือนเดิม ตลอดทางที่เดินมากับวิทปากได้แต่ตอบคำถามของวิทแค่ “อื้ม อื้ม” ไม่ได้ออกความเห็นอะไรเพราะไม่รู้เรื่องที่วิทพูดมาสักเท่าไหร่

“ขอบคุณนะที่มาส่ง”

“เออ ไว้เจอกัน” มือเอื้อมไปโดยไม่ได้คิดมือมันไปเองเพราะเวลานี้ไม่อยากอยู่คนเดียวยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปที่ถนนแล้วไม่เห็นเงาใครอีกคนเดินตามมา

“เป็นไร?” มือที่วิทใช้ลูบหัวทำให้เรารู้สึกใจเย็นขึ้นไม่กระวนกระวายอย่างเมื่อกี้

“มึงต้องรีบกลับบ้านไหมว๊ะ?”

“ไม่ต้องอะทำไม?”

“นั่งเล่นที่บ้านก่อนไหม?” ทั้งที่วิทยังไม่ได้จะตอบตกลงหรือปฎิเสธแต่หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นเงาของใครคนนึงเดินมา เลยปล่อยมือจากชายเสื้อของวิทอย่างกระทันหัน

“ไม่อะดึกแล้วเราว่าเรากลับดีกว่า”

“อื้ม เจอกัน” ไม่รู้ว่าแม้เพื่อนจะปฎิเสธว่าจะไม่อยู่ด้วยทำไมถึงไม่รุ้สึกเสียใจเลย แถมยังต้องใช้ร่างกายบังคับสายตาอย่างมากให้มองอยู่แต่ที่หน้าของวิทตอนที่วิทยกมือโบกขึ้นลา ต้องบังคับไม่ให้ตัวเองเหลียวหันไปมองฟังอย่างเต็มตา ตอนที่วิทหันกลับไปแล้ว มันก็แค่ไม่กี่ก้าวที่ฟังจะเดินมาถึงหน้าบ้านแล้วมันก็อีกกี่ไม่นาทีด้วยซ้ำแต่ไม่รุ้ทำไมในใจมันเต้นเร็วแล้วก็อยากตะโกนบอกกลับไปว่า “รีบๆ เดินมาสักทีสิว๊ะ ขาก็ยาวทำไมก้าวช้าจัง”

“เจอกันใช่ไหม? ดีแล้วแม่ก็นึกว่าจะคลาดกัน อะไปอาบน้ำอาบท่าไปจะได้มากินข้าวกันคืนนี้ฟังค้างนี้ไหมลูก?”

“((ค้างครับ))”

“มันบอกว่าค้าง แล้วมึงก็รู้ว่าแม่กูไม่รู้ภาษามือมึงก็เสือกตอบแม่เป็นภาษามือแค่พนักหน้าก็พอแล้ว”

“ทำไมเราพูดไม่สุภาพเลยแป้ง ไม่น่ารักสมัยก่อนก็เคยเห็นเรียกว่า แป้ง ฟัง อยู่ดีๆ ทำไมมาเปลี่ยนเป็นมึงกู ติดมาจากวิทแน่เลยเรา”

“แม่อะไรก็โทษวิทๆ เปล่าเหอะไม่ได้ติดมาจากมันไม่คิดบ้างว่าไอ้ฟังมันอาจจะเป็นคนเริ่มคำหยาบก็ได้” ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมทุกครั้งแม่ต้องว่าวิทตลอดเวลา

“(ขึ้นไปทำการบ้านกันไหม?)” ทีงี้เขียนใส่กระดาษยกขึ้นสูงแต่ก็ดีเหมือนเป็นการห้ามทัพ เพราะหลังจากที่ฟังชูกระดาษขึ้นมาแม่ก็เลิกว่าไป

“แป้งไปอาบน้ำก่อนนะฟ้งครับ” ไม่วายขอทิ้งทวนกวนแม่หน่อยก่อนวิ่งหนีขึ้นห้องไปข้างบน

“ไหนว่าจะอาบน้ำไง” มาถึงก็มาขัดจังหวะเลยกำลังจะได้เวลาเปิดเกมส์เล่น

“เดี๋ยวอาบไปอาบก่อนเลย ขอเล่นกับแมวก่อน”

“แมวไหน?”

“เกมส์แมวไง โหไม่ทันสมัยเลยครับ”

“อะไรอยู่ดีๆ มานั่งทำตาปริบๆทำไม ไปอาบสิไป” เห็นว่าเงียบๆก็นึกว่าไปอาบน้ำแล้วที่ไหนได้มานั่งทำตาปริบๆ อยู่ตรงนี้เงยหน้าขึ้นมาตกใจหมด

“แต่ตัวเหม็นมากเลยนะ”

“เฮ้ย จริงดิ ไหนๆมาพิสูจน์ดมให้หน่อยสิฟัง ฟังจ๋า มาพิสูจน์กลิ่นตัวของแป้งให้หน่อยสิจ๊ะ” ว่าดีนักได้มาดมไปซะ จับหัวของฟังให้เข้าตรงมุมของจักแร้พอดี นี่ยังถือว่าไม่ตั้งใจให้ตายนะ เพราะยังใส่เสื้อไว้ ไม่อย่างนั้นละเตรียมตัวตายได้เลยถ้าถอดเสื้อแต่สงสัยเราจะเล่นมากเกินไป หน้าตาหูของฟังถึงได้แดงเถือกขนาดนั้น

“เฮ้ยๆ อย่าตายนะหายใจไม่ออกเหรอ โทษๆ ไปอาบแล้ว อ่อ อย่าลืมที่สัญญานะ การบ้านลอกให้เลยด้วย” ไม่ได้รอดูว่าฟังจะตอบรับหรือปฎิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงซะฟังก็ต้องทำให้ฟังไม่มีทางยอมให้หน้ากระดาษการบ้านของเราว่างเปล่าไปส่งครูแน่นอน

   หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ถึงเวลาของชายฟังเข้าไปอาบน้ำบ้างตอนที่ฟังเข้าไปอาบน้ำก็เลยขอแอบดูหน่อยว่าหิ้วถุงอะไรมารื้อถุงก็เจอกับพวกนมเปรี้ยวซึ่งเป็นของที่เราชอบ สิ่งที่โชคดีอีกอย่างในการเป็นเพื่อนกับฟังคือ ฟังชอบทานอะไรที่คล้ายกันเพราะฉะนั้นประหยัดเงินได้มากอยู่เพราะถึงฟังซื้อมาฟังก็ซื้อมาเยอะกินไม่หมดอยู่ดีมีอยู่ครั้งนึงฟังซื้อมาเก็บไว้จนใกล้จะเสียถึงขนาดต้องรีบมาหาที่บ้านเพื่อเอามาให้กิน

      กำลังนั่งรื้อของกินเพลินๆ ก็แอบเห็นว่ามือถือของฟังมีแสงสว่างขึ้นมารีบหยิบมาดูเพราะกลัวว่าน้าหน่อยจะโทรมาตามฟังจะได้รีบบอกว่าฟังอยู่นี่ไม่ต้องเป็นห่วง แต่มันผิดคาดแหะตัวอักษรที่โชว์ขึ้นมาไม่น่ามาจากน้าหน่อย “ขอบคุณที่ช่วยสอนการบ้านค่ะ” ใครอะ?

......โปรดติดตามตอนต่อไป.......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล (...) คือเขียนด้วยกรดาษ
((...)) คือภาษามือหรือพูดด้วยปากนะคะ พอดีก้อปมาจากโปรแกรมเวิดมาลงแล้วตัวไม่เอียงตามเลยทำเป็น 2 วงเล็บแทนค่ะ

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #4 เมื่อ20-05-2016 13:30:26 »

ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #5 เมื่อ20-05-2016 21:13:04 »

++ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #6 เมื่อ23-05-2016 11:47:46 »

     ไม่รู้ว่าทำไมกับแค่ข้อความสั้นๆแค่นั้นสามารถทำให้อารมณ์ต่อมความหิวเลิกทำงานลงได้ วางของกินลงทันทีนมเปรี้ยวที่เตรียมเจาะดูดวางลงข้างตัวแล้วได้แต่มองจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น น่าจะเป็นเพราะความตกใจเพราะที่ผ่านมาไม่เคยรู้เลยว่าฟังเองก็มีเพื่อนของตัวเอง ฟังเองก็สอนหนังสือคนอื่นเหมือนที่สอนให้เราคิดกับตัวเองมาตลอดว่าเราคือเพื่อนคนเดียวของฟัง วันนี้พอได้รู้ว่าฟังเองก็มีเพื่อนคนอื่นและดูแลสอนการบ้านไม่ต่างจากเรามันเลยรู้สึกตื้อขึ้นมา แถมตอนนี้ข้อสงสัยที่สงสัยมาตลอดว่าฟังจะยังพกกระเป๋าห้อยคอนั้นติดตัวไว้ทำไมมันกลับมีคำตอบออกมาคิดขึ้นมาได้ซะอย่างนั้น ไม่ต้องทนคลางแคลงใจอีกต่อไป ใช่สิเพื่อนคนอื่นที่ไม่ได้ไปเรียนภาษามือกับฟังแบบเราสินะก็ไม่แปลกที่ฟังยังต้องพึ่งกระดาษกับดินสอนั้นอยู่

“((เป็นอะไรหน้าเครียดเชียว))”

“เปล่า จะทำการบ้าน” รีบหันตัวกลับมาที่โต๊ะหนังสือเพราะยังไม่พร้อมที่จะพูดกับฟัง

“หื้ม?” เปิดหน้าสมุดการบ้านตัวเองก็เห็นว่ามันถูกเขียนคำตอบทำให้หมดแล้วแถมลายมือยังเหมือนกันลายมือของตัวเองไม่เหมือนลายมือของฟังสักนิด ทั้งๆ ที่สมควรจะดีใจที่ฟังทำการบ้านให้ ทั้งที่สมควรจะดีใจว่าคืนนี้จะได้มีเวลาเล่นเกมส์ไม่ต้องมานั่งลอก ทั้งที่ต้องรู้สึกดีใจแบบนั้นแต่ทำไมเรากลับไม่รู้สึกอยากจะยิ้มสักนิดเลย

“วันนี้จะมาทำไมไม่บอกละ”

“((ก็ไม่คิดว่าจะไม่เจอกัน))”

“แล้วไม่ออกไปตาม”

“((ไปแล้ว ก็เจอแล้วไง))”

“((เป็นอะไร ทำไมหน้าเครียด))”

“เจ็บขา”

   ไม่เจ็บแล้วแต่ถ้าไม่พูดออกไปฟังคงยังต้องถามไม่เลิก จากที่ตั้งใจว่าจะเล่นเกมส์เลยล้มตัวเองลงนอนเพราะรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะสนทนาต่อไป มันทั้งรู้สึกสับสนเรื่องเพื่อนสนิทเขาคนนั้นและยังเรื่องที่รู้สึกผิด แต่ไม่ทันที่จะได้หลับตาหนีความจริงขาทั้งข้างก็ถูกยกลอยขึ้นแล้วหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงเจลอุ่นๆมาแตะที่ขาชักขากลับแต่ก็รู้สึกว่าช้ากว่าคนที่จับไว้อยู่

“ทำไร”

“((อย่าดิ้นสิเดี๋ยวครีมมันเลอะเตียงหมด ก็นวดขาให้ไงก็บอกว่าเจ็บขาไม่ใช่เหรอต้องไปหาหมอไหม?))”

“ไม่ต้องก็ได้”

“((ว่าแล้วว่าต้องปวดขากลับมาทำไมถึงชอบไปเล่นบอลจัง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าตัวเองเล่นไม่ได้ เฮ้ย เจ็บมากเหรอร้องไห้ทำไม))”

“ฟังดีแบบนี้กับทุกคนเลยรึเปล่า?”

“((ถามอะไรแบบนี้ นี่แป้งเป็นอะไร อ้าว ร้องไห้ทำไมเจ็บมากเหรอ เรานวดแรงไปเหรอ))”

“ฟังมีแป้งเป็นเพื่อนสนิทของฟังคนเดียวไม่ได้เหรอ?” ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนที่คุยอยู่ตัวเองกำลังร้องไห้ไม่ได้รู้สึกถึงน้ำตาที่ก่อตัวขึ้นถ้าแป้งไม่ทักขึ้นมาเราก็ไม่รู้ตัว

“((อยากให้เป็นเพื่อนสนิทมากขนาดนั้นเลยเหรอ))”

“โอ๊ย”

“((ขอโทษ))”


“พอแล้ว ไม่ต้องนวดแล้วไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
“((ไม่ใช่อย่างนั้น))”

“ไม่ต้องนวดแล้วจะนอน” กระชากขาออกตวัดผ้าห่มขึ้นหลับตาลงเพื่อที่จะหลีกหนีการพูดคุยครั้งนี้ น่าแปลกที่ตอนแรกยังรู้สึกว่ามือนั้นคอยจับขาเราไว้ให้อยู่กับเขาสะบัดไม่ออกแต่พอลองสบัดอีกทีขาเราก็ถูกปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดายมือนั้นไม่แน่นพอหรือเราที่แรงเยอะเกินไป

“((ขอโทษที่ทำให้เจ็บฝันดีนะ))” ฟังรุ้ดีว่าพูดไปตอนนี้ต่อให้พูดย้ำซ้ำๆอีกนานแค่ไหนคนที่ตะแคงข้างให้ตอนนี้ก็คงไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ฟังทำได้และหว้งว่าคำขอโทษนี้จะไปถึงก็คือการที่ดึงแป้งเข้ามากอดและหวังไว้ว่าจังหวะกรเต้นของหัวใจมันส่งไปถึงคนที่เขากำลังกอดอยู่

   ตื่นเช้ามาตื่นมาในอ้อมกอดของฟังเหมือนเดิมมันเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้วเพราะตั้งแต่ประถมจนถึงตอนนี้ถ้าได้นอนกับฟังทีไรตื่นมาต้องเจอเจ้าตัวกอดเอาไว้อย่างนี้ เคยถามว่ากอดทำไมมันอึดอัดนะฟังไม่อึดอัดเหรอ ฟังให้คำตอบที่ว่าเพราะว่าเรานอนดิ้นถ้าไม่กอดไว้ก็กลายเป็นว่าเราจะถีบฟังหรือเอาแขนขาไปฟาดให้ฟังตื่น ก็เพราะว่าตอนหลับเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็เลยต้องปล่อยให้เลยตามเลยเพราะว่าอีกห้องที่ฟังเคยนอนฟังก็ไม่ยอมไปนอนอีกแล้วบอกว่าขี้เกียจทำความสะอาดมาค้างทีต้องปูผ้าทีแล้วตอนไปนอนบ้านฟังฟังก็บอกว่าขี้เกียจเข้าไปเปลี่ยนให้เหมือนกันนอนด้วยกันง่ายดี

   ทั้งๆที่ก็ตื่นมาในบรรยากาศเดิมๆฟังก็ยังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิมแต่ไม่รู้ว่าทำไมใจยังคงพะวงกับเมสเสจเมื่อคืน ไม่รู้ว่าเจ้าของเมสเสจเมื่อคืนคือใครเราจะรู้จักด้วยไหม? แล้วเขาจะรู้จักเราด้วยรึเปล่า? ไม่กล้าถามออกไป เพราะฉะนั้นตอนที่ฟังลุกไปอาบน้ำก็เลยแอบเอามือถือฟังมาเปิดดู ดีใจที่ฟังไม่ได้ตอบเมสเสจนั้นกลับไปแต่เรายังคงจดเบอร์เก็บเอาไว้ พอลองเอามาไล่กับเบอร์ที่อยู่ในเครื่องของเราก็ไม่มี หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำอย่างนี้ไปทำไมแค่รู้แค่ว่าต้องทำต้องมีเก็บเบอร์นั้นเอาไว้

“ฟัง อยากเรียนต่ออะไรอะ? คิดไว้ยัง” วันนี้โรงเรียนมีพวกรุ่นพี่ที่จบออกไปแล้วกลับมาให้ความรู้เรื่องวิชาของมหาวิทยาลัยเป็นการแนะแนวปูทางให้รุ่นน้อง ฟังดูจะสนใจอยู่มหาวิทยาลัยนึงเป็นพิเศษเพราะตอนที่รุ่นพี่เปิดโอกาสให้เดินไปถามฟังก็ตรงดิ่งไปหาพี่คนนั้นเลย แต่คงไม่ใช่ฟังคนเดียวที่สนใจคณะนี้เพราะว่าก็มีคนเดินตามฟังไปติดๆ

   หลังจากออกมาจากวิชาแนะแนวสมองรู้สึกเบาหวิวไม่ใช่ว่าสบายแต่เบาไปเลยเพราะว่าไม่รู้เลยว่าใกล้ถึงวันที่ต้องเลือกเส้นทางให้ตัวเองแล้ว ไม่เคยได้เตรียมตัวที่สำคัญยังไม่รู้ด้วยซ้ำกว่าตัวเองชอบอะไรความคิดเรื่องพวกเรียนต่อนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อนเลยลืมไปว่าตอนนี้เราก็อยู่ ม.5 เทอมสองแล้ว คิดว่าคนอื่นต้องเตรียมตัวพร้อมๆกับเราคือช่วง ม.6 เพราะฉะนั้นก็ไม่เคยคิดว่าต้องไปสอบเอ้นท์ที่ไหน

“((อยากเรียนเกี่ยวกับภาษาน่าจะเป็นศิลปศาสตร์นะ ดูมหาวิทยาลัยมาแล้วด้วยที่นึง))”

“ดีจัง นี่ยังไม่รู้ลยว่าจะต้องเรียนอะไรต่อ” รู้สึกแปลกๆที่พอได้รู้ว่า ฟังรู้ตัวเองแล้วว่าอยากทำอะไรอยากไปเรียนที่ไหน แต่ก็ไม่เคยบอกเราว่าเขาอยากจะไปไหนทำอะไรทำไมเราถึงไม่รุ้

“((แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อกลับบ้านเลยหรือว่าจะทำการบ้านด้วยกันก่อน))”

“อยากกลับบ้าน กลับไปทำที่บ้านได้ไหม?”

“((อื้มไปสิจะแวะไปฝากท้องกับแม่แป้งด้วย))”

ติ้ง เสียงมือถือของฟัง

“((เอ่อ เดี๋ยวตามไปที่บ้านได้ไหม? กลับไปกินอะไรก่อนเนอะเดี๋ยวตามไป))”

“ทำไม? จะไปไหนอะ? แม่ให้กลับบ้านเหรอ?”

“((เปล่า แต่จะแวะไปทำธุระแป้ปนึงแป้งกลับไปได้ก่อนเลยไม่ต้องรอ เดี๋ยวหิว))”

“อื้ม รีบตามมานะ”

   ก็ไม่รู้ว่าฟังมีธุระด่วนอะไรเพราะพอฟังเห็นเมสเสจฟังก็ดูเหมือนต้องรีบไปทันที สงสัยจะเป็นธุระที่ด่วนมาก แต่ไม่ได้ถามเพราะตอนนี้ในหัวกำลังสับสนที่ไม่เคยรู้เรื่องความสนใจของฟังมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคณะที่อยากเรียนหรือว่ามหาวิทยาลัยที่อยากเรียน ทั้งๆที่เคยมีความคิดและความตั้งใจไว้ว่าไม่ว่าฟังจะเลือกเรียนอะไรและเข้าที่ไหนจะพยายามเข้าด้วยให้ได้ ไม่ก็จะพยายามชวนฟังไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนกันเพราะอย่างน้อยก็จะยังได้เรียนด้วยกันถ้าเกิดคณะที่ฟังอยากเข้ามันยากมากเกินไปสำหรับเราหรือว่าถ้าเราเอ้นท์เข้าไม่ติด คิดไว้ว่าฟังก็คงไม่อยากไปเรียนที่อื่นที่ไม่มีเราเพราะตลอดระยะเวลาการเรียนที่ผ่านมาก็ไม่เคยอยู่ต่างโรงเรียนกัน แต่ดูเหมือนความคิดของฟังและเราจะไม่เหมือนกันโชคดีที่ไม่ได้พูดออกไปก่อนไม่อย่างนั้นฟังคงไม่กล้าตัดสินใจแบบนี้ก็ได้

   ยืนรอรถเมล์อยู่นานแต่รถเมล์ก็ยังไม่มาก็เลยคิดว่าจะกลับโดยรถตู้แต่มันต้องเดินไปอีก 1 ป้ายรถเมล์ แต่ต้องยอมเดินเพราะว่าถ้าให้ยืนรอต่อไปรถเมล์มาช้าขนาดนี้บนรถคนต้องเบียดเสียดกันน่าดู และอากาศก็ไม่ได้เป็นใจในการเดินเลยแค่ป้ายรถเมล์เดียวแต่ก็ทำให้เหงื่อของตัวเองออกได้เหมือนกับไปวิ่งสี่คูณร้อยมา นี่ถ้าฟังอยู่ด้วยก็ดีสินะจะได้มีคนถือกระเป๋าให้จะได้ลดการออกกำลังแขนออกไปอีกหน่อยคอยดูนะคืนนี้ตอนทำการบ้านนะจะไม่ออกแรงเขียนแม้แต่ตัวเดียวโทษฐานที่ทิ้งกันให้กลับบ้านคนเดียว

   ขณะที่กำลังจะถึงคิวรถตู้กลับบ้านก็หันไปเห็นร้านน้ำที่อยู่ใกล้ๆคิวเลยตั้งใจจะแวะเข้าไปซื้อน้ำสักหน่อยกำลังยืนเลือกเมนูอยู่หน้าร้านตอนที่จะเดินเข้าไปก็ได้เหลือบไปเห็นชายหญิงคู่นึงที่กำลังนั่งดูหนังสืออะไรอยู่ก็ไม่รู้ รุ้แต่ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นได้ถูกส่งไปให้ผู้หญิงคนนั้น น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ใช้เสียงในการสื่อสารแต่ใช้การสื่อสารจากตัวหนังสือที่ทั้งคู่สลับกันเขียนลงในกระดาษแผ่นนึงทำให้เราไม่สามารถรู้เรื่องว่าเขาคุยเรื่องอะไรกันแล้วเรื่องนั้นทำให้เขาทั้งสองคนมีความสุขมากขนาดไหน
   สมองเกิดสั่งการให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อลองโทรหาเบอร์ที่เคยจดมาจากมือถือของผู้ชายคนนั้นในใจได้แต่ภาวนาขอให้โทรไปแล้วไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นที่รับโทรศัพท์ขึ้นมาแต่อย่างว่าคนไม่มีดวงก็คือคนไม่มีดวงเพราะคำภาวนาไม่เคยเป็นจริง ทันทีที่สัญญาณโทรศัพท์ดังออกไปเพียงแค่ 2 ครั้งที่โทรศัพท์ดังผู้หญิงคนนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ เสียงของผู้หญิงคนนั้นหวานมากมิน่าละผู้ชายคนนั้นถึงได้ยิ้มให้ขนาดนั้น ไม่ได้พูดอะไรลงไปเพราะไม่ได้เตรียมใจว่าเธอจะเป็นคนกดรับเลยกดวางแล้วก็เดินหันหลังไปขึ้นรถตู้โดยที่ไม่ได้ซื้อน้ำกินแก้กระหายอย่างที่ตั้งใจไว้ น่าแปลกที่ภาพนั้นทำให้เลิกรู้สึกหิวน้ำโดยทันที

   ตลอดทางกลับบ้านในสมองได้แต่พยายามหาคำตอบว่าเราคือเพื่อนที่ฟังสนิทด้วยจริงๆรึเปล่า เราคือคนที่เขาสนิทด้วยใช่ไหม? ทำไมเราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเราไม่เคยรู้เลยว่าฟังยังมีเพื่อนคนอื่นอีกที่ไม่ใช่เรา ทำไมเราถึงได้รู้สึกแค่ว่าเราคือเพื่อนคนเดียวของฟัง เราไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ฟังทำให้เราฟังก็ทำให้คนอื่นเช่นเดียวกันเพราะสิ่งที่เราทำให้ฟังเราไม่เคยทำให้ใคร มันรู้สึกไม่สมดุลเลยแหะ แล้วเรื่องที่ฟังต้องมาคอยสอนเรื่องเรียนเรื่องทำการบ้านด้วยกันที่ผ่านมาเราแค่เป็นภาระของฟังเท่านั้นเหรอ? เพราะว่าตอนที่ฟังสอนเราทำการบ้านกับเรา เรายังไม่เคยเห็นรอยยิ่มแบบนั้นของฟังเลย ที่ฟังทำอะไรต่างๆให้เราเป็นเพราะแค่ว่าเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฟังเท่านั้นเหรอ เราก็หลงนึกคิดไปเองเสมอว่าที่ฟังทำให้ทั้งหมดเป็นเพราะว่าเขาอยากทำให้เหมือนที่เราอยากทำอะไรให้เขา

“อย่างที่เห็นอะลูก กลับมาเจ้าแป้งก็บอกว่าปวดหัวแล้วก็หนีขึ้นมานอนเลยข้าวปลาก็กินไปนิดเดียว วันนี้ที่โรงเรียนมีออกกำลังกายใหญ่เหรอฟัง?” ได้ยินที่แม่กับฟังคุยกันที่หน้าประตูห้องนอนทั้งหมดแต่ไม่อยากลืมตาขึ้นมาต้องแกล้งหลับตาฟังจะได้กลับบ้านไป ไม่รู้ว่าฟังตอบอะไรแม่ออกไปได้แต่ขอแค่ว่าให้ฟังกลับไปสักที

   เสียงฝีเท้าของแม่ออกไปแล้วแต่อีกน้ำหนักของผีเท่านั้นมันไม่ได้เป็นการก้าวเดินออกไปจากห้องแต่กลับกลายเป็นว่าเดินเข้ามาในห้อง เพราะไม่หลับเลยสามารถรับรู้จากการได้ยินได้ว่าฟังกำลังไปหยุดอยู่ที่โต๊ะทำการบ้าน ไม่นะไม่เอา อย่าทำให้นะไม่อยากให้ฟังทำหารบ้านให้อีกแล้วไม่อยากรับความใจดีหรือทำตัวเป็นภาระของเขาอย่างนี้อีกแล้วถ้าไม่ห้ามตั้งแต่ตอนนี้ฟังต้องทำให้แน่ๆ แล้วเราก็ไม่อยากให้ฟังทำทุกอย่างอะไรลงไปเพราะหน้าที่อีกแล้ว

“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ตัดสินใจตวัดผ้าห่มขึ้นแล้วเปิดตาคุยกับฟังเพราะถ้าให้เลือกระหว่างหลบหน้าหลับไปแล้วต้องทิ้งภาระเป็นสมุดการบ้านให้ฟังทำเลือกลืมตาตื่นขึ้นมาดีกว่า

“((ตื่นแล้วเหรอ ทำให้ตื่นรึเปล่า? ขอโทษที่เสียงดัง แล้วการบ้านก็ไม่ได้ทำเลยเดี๋ยวทำให้นะนอนพักเถอะ แม่บอกว่าป่วยนิ))”
   ขอโทษ ขอโทษอีกแล้วแต่ที่ฟังขอโทษนี่ต้องการขอโทษเรื่องอะไร เรื่องที่ปล่อยให้เรากลับคนเดียวแล้วไปหาธุระหรือขอโทษเรื่องที่ไม่ได้สอนการบ้านเราหรือขอโทษที่ทำให้เราคิดไปเองว่าเราเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว

“ไม่เป็นไรมึงกลับบ้านเถอะดึกมากแล้วเดี๋ยวน้าหน่อยเป็นห่วง”

“((อ้าวแล้ว))”

“ทิ้งสมุดมึงไว้แล้วกันเดี๋ยวกูลอกเองจะได้อ่านทวนไปในตัวด้วย”

“((เออ ท่าทางจะไม่สบายจริงๆ นั้นแหละถึงขนาดจะทำการบ้านเอง เออเดี๋ยวอาบน้ำค้างนี้นะ))”

“ไม่เอา!” ไม่รู้ว่าทำไมต้องขึ้นเสียงใส่ฟังแค่เรื่องไม่ให้ฟังนอนด้วย “มันดึกแล้วอีกอย่างกูก็ไม่สบายเดี๋ยวมึงติด มึงกลับบ้านไปเถอะ”

“((อื้ม พักเยอะๆแล้วกันเจอกันพรุ่งนี้))” จากที่คิดว่าน้ำตาจะไม่ไหลแค่เพียงฟังเอามือมาขยี้หัวเท่านั้นทำไมอยู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมาได้สงสัยน่าจะเป็นเพราะฟังขยี้ผมแรงจนเกินไปทำให้น้ำตามันล่วงออกมา

“((ร้องไห้ทำไม?))”

“ปวดหัว”

“((อะงั้นนอนซะนะ))”

“อื้ม” เสียงฝีเท้าของฟังก้าวห่างออกไปทุกทีพยายามข่มตัวเองเพื่อไม่ให้สะอื้นหนักมัวแต่พยายามที่จะไม่ร้องไห้เลยไม่รู้เลยว่าฟังไม่ได้ก้าวออกไปไหนฟังเพียงแค่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเข้าไปอาบน้ำ แต่แล้วพอมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ที่นอนข้างตัวยุบลง

“((ยังไม่หลับอีกเหรอ? นอนได้แล้วปวดหัวนิเดี๋ยวไม่หายนะ))” แค่น้ำเสียงที่ห่วงใยนั้นส่งผ่านออกมาก็ทำให้เราลืมเรื่องที่เคยรู้สึกแย่ที่ผ่านมาทั้งวันเผลอเอาตัวเองเข้าไปซุกหาอ้อมกอดตอนนอนที่คุ้นเคยนั้น

   เช้าวันรุ่งขึ้นมาพร้อมกับฟังแต่เป็นคนบอกว่าจะเอาสมุดการบ้านไปไว้ที่ห้องพักครูให้เอง ที่ยอมเดินเอาไปส่งครูเองก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ฟังเห็นหรือถามว่าทำไมถึงไม่ยอมลอกการบ้านก่อนเอาไปส่ง ที่ไม่ทำเพราะไม่อยากเปิดสมุดดูว่าฟังกับผู้หญิงคนนั้นนั่งทำอะไรสอนอะไรกันมาก็เลยตัดสินใจส่งไปทั้งหน้ากระดาษเปล่าอีกอย่างเพราะอยู่คนละห้องเลยมั่นใจว่าฟังต้องไม่รู้ว่าเราส่งสมุดการบ้านหน้าเปล่า

   ช่วงเช้าเหตุการ์ณผ่านไปได้ปกติตอนใกล้จะเลิกจากคาบพักเที่ยงยังนั่งคิดถึงเมนูอาหารที่ลงไปซื้อกินที่โรงอาหารอยู่เลยแต่ว่ามันมาไม่ปกติก็ตรงที่วันนี้ไม่ต้องไปหาฟังที่ห้องเรียนเพราะได้รับเมสเสจจากฟังมาซะก่อน
ติ้ง

ฟัง “คาบนี้อาจาร์ยให้ยกของไปไว้ที่ห้องพักครูจะรอกินพร้อมกันหรือกินเลย”

แป้ง “รอ” สงสัเรายจะเป็นคนขี้ลืมจริงๆ เมื่อวานเสียอกเสียใจมากมายไปขนาดนั้นแค่ฟังมาหาเท่านั้นก็ลืมไปแล้วว่าโกรธอะไรเพื่อนคนนี้บ้าง  ช่วงพักเที่ยงเป็นช่วงที่ไม่มีคนอยู่ในห้องเรียนแล้วเลยได้โอกาสที่จะนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆคนเดียว ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเมื่อวานเราถึงรู้สึกแย่ขนาดนี้ถ้าฟังจะมีเพื่อนอีกคนในขณะที่ยังนั่งหาคำตอบอยู่นั้นเสียงเมสเสจก็ดังเข้ามาเลยลุกออกมาจากห้องเพราะคิดว่าฟังต้องเสร็จแล้วแน่ๆเลย

ฟัง “กินไปก่อนเลยนะไม่ต้องรอคงต้องอยู่ช่วยงานอาจาร์ย”

“เฮ้อ รอเก้อแล้วเรา” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฟังจะถูกอาจาร์ยเรียกว่าเพราะฟังเรียนเก่งแม้จะพูดไม่ได้พรีเซ็นต์หน้าชั้นไม่ได้ก็ไม่ถูกตัดคะแนนแค่ไปช่วยงานนิดๆหน่อย หรือทำรายงานเพิ่มก็สามารถเก็บคะแนน เดินตรงไปที่โรงอาหารต้องรีบทำเวลาเพราะว่าเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่นาทีก็จะหมดพักเที่ยงแล้วต้องรีบโซ้ย

   ได้ข้าวมาแล้วกำลังจะเริ่มลงมือกินท้องนี่ร้องโครกครากดังประชดมากแต่ต้องวางช้อนซ้อมเอาไว้ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้ว่าซื้อน้ำเลย รีบวิ่งไปซื้อน้ำเพราะพอเสียงกริ่งดังปุ้ปป้าร้านน้ำจะรักหน้าที่ยิ่งชีพรีบปิดร้านปั้ปตามกฎของโรงเรียน ที่ห้ามขายน้ำถ้าไม่ใช่เวลาพัก

“เดี๋ยวนี้ฟังกับลูกตาลสนิทกันดีเนอะ” ไปต่อแถวที่ร้านน้ำก็เจอผู้หญิงข้างหน้า 2 คนกำลังพูดถึงชื่อที่เราคุ้นเคย ชื่อนึงเรารู้จักเป็นอย่างดีแต่อีกชื่อเราไม่เคยคุ้นหูเลยแหะ

“เออใช่แก วันก่อนก็เห็นว่าไปติวหนังสือด้วยกันเห็นแล้วเหมาะกันสุดๆ”

“ไอ้ฟังมันก็หล่อดีนะแกเรียนเก่งนิสัยดีด้วยเสียอย่างเดียวแม่งพูดไม่ได้”

“แต่หน้าตาให้อภัยได้ว๊ะแล้วฉันก็คิดว่าลูกตาลมันไม่ติดด้วยดูดิไม่งั้นจะหายไปด้วยกันทั้งพักเที่ยงได้ไง”

“เออ นี่หลังๆย้ายไปนั่งด้วยกันแล้วนะฉันว่ามีลุ้นนะคู่นี้”

   ชื่อลูกตาลสินะ ในที่สุดก็ได้รู้จักกันจนได้เพื่อนสนิทคนใหม่ของฟังแต่ก็ไม่รุ้ว่าจะยังคงเรียกสองคนนั้นว่าเพื่อนสนิทได้รึเปล่าเพราะสองคนข้างหน้าเขาก็บอกมาแล้วว่าสองคนดูท่าทางมีอะไรที่มากกว่าเพื่อนและเขาก็ไม่ได้พูดเกินจริง จากที่ร้านขายน้ำใกล้ๆคิวรถตู้วันนั้นเราเองก็เห็นกับตาว่าสองคนนั้นเขาเหมาะกันขนาดไหน

   กำมือจนเจ็บไปหมดอยากจะกระชากผู้หญิงสองคนข้างหน้ามาถามว่าเขารู้เรื่องฟังกับลูกตาลนั้นได้ยังไงแล้วสองคนนั้นเขาสนิทกันแบบนี้มานานรึยัง?แต่ภาพที่ดึงสองคนนั้นมาถามก็เป็นแค่ภาพที่คิดไปเอง เพราะรู้ตัวอีกทีก็ได้เดินออกมาจากร้านน้ำแล้ว รีบเดินจ้ำออกมาเพราะรู้ตัวว่าถ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นต้องไม่สามารถเก็บน้ำตาได้อีกต่อไปเพราะมันเริ่มที่จะไหลออกมาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเพราะเสียใจที่รู้เรื่องของฟังกับลูกตาลหรือเสียใจที่โดยหลอกให้รอเก้อเมื่อตอนพักกลางวัน

   ไม่รู้ว่าเดินออกจากโรงอาหารมาไกลมากแค่ไหนมารู้ตัวอีกทีก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว กำลังจะเดินออกไปแต่ก็โดนยามหน้าประตูดักไว้ เลยอ้างไปว่าป่วยหนักต้องรีบไปหาหมอยามเลยยอมปล่อยออกมาพูดไปร้องไห้ไปไม่รู้ว่าที่ยามปล่อยออกมานี่เพราะเข้าใจหรือเป็นเพราะทนเห็นน้ำมูกน้ำตาของเราไม่ได้

...........โปรดติดตามตอนต่อไป.............

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอขอบคุณทุกเม้นท์ด้วยค่ะ

ถึง คุณ Jitsupa_milk ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามกัน

ถึง คุณ wan_sugi ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ มีอารมณ์ฮึดเขียนต่อเลยค่ะ

ขอโทษที่ต้องตอบแบบนี้นะคะ ฟ้ากดตอบแบบเป็นคนๆไม่เป็นเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2016 10:18:38 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ Maree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #7 เมื่อ24-05-2016 19:18:02 »

รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เวลามาต่อตอนใหม่ เปลี่ยนที่หัวข้อด้วยซิคะ เห็นเรื่องอื่นๆ เค้าทำกันค่ะ
ลงตอน ลงวันที่มาต่อ

 :L2:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #8 เมื่อ25-05-2016 11:53:28 »

รอติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เวลามาต่อตอนใหม่ เปลี่ยนที่หัวข้อด้วยซิคะ เห็นเรื่องอื่นๆ เค้าทำกันค่ะ
ลงตอน ลงวันที่มาต่อ

 :L2:

สวัสดีค่ะขอบคุณที่เข้ามาอ่านแล้วก็กำลังนะคะ

ฟ้าพยายามลองเปลี่ยนหัวข้อตอนที่จะลงตอนใหม่โดยการกดตอบแต่ฟ้าทำไม่เป็นเลยค่ะ พอใส่ลงไปตอนกดตั้งกระทู้มันเด้งกลับมาเหมือนเดิมทุกทีเลยค่ะ แหะๆ ไม่แน่ใจว่าเขาทำกันยังไงค่ะ พยายามหาทางอยู่เลยค่ะ T-T

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #9 เมื่อ25-05-2016 12:17:38 »

รออยู่นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -เสียงของฟัง-
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-05-2016 12:17:38 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #10 เมื่อ25-05-2016 20:37:48 »

แป้งชอบคิดไปเอง ทำไมไม่ถามกันซะ โถ่ๆ หนูน้อย :katai1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: -เสียงของฟัง-
«ตอบ #11 เมื่อ26-05-2016 12:15:28 »

บทที่ 3

   เดินออกมาจากโรงเรียนเดินออกไปอย่างไร้จุดหมายเดินออกมาตัวเปล่าขนาดกระเป๋านักเรียนยังไม่ได้เอาลงติดตัวมาด้วยเลย มารู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านแล้ว นั่งเหม่อมองออกไปที่สนามหญ้าสมองยังจับความคิดอะไรไม่ได้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกยังคงเอาภาพของฟังที่เริ่มรู้จักกับเรามาเรียงไว้เพื่อที่จะหารอยต่อว่าฟังเอาเวลาไปสนิทกับคนอื่นใช้เวลาตอนไหนแต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้คิดออกอยู่ๆก็มีมือใครไม่รู้มากอดคอไว้

“ฟัง” กำลังจะยิ้มดีใจที่ฟังยอมไม่เข้าเรียนรับรู้ว่าเราหนีเรียนออกมาแล้วตามหาเราจนเจอ

“ฟังไร นี่วิทยาเองครับผม มานั่งทำมิวสิคอะไรตรงนี้คนเดียวเนี้ย”

“เสือก” หัวใจยุบจนนึกว่าจะแฟบไปแล้ว

“ถามดีๆ ตอบไม่ดีเลยอะน้องแป้งที่น่ารักของน้าปิ่นหายไปไหนแล้วนะ”

“อ่าๆๆๆ ขอโทษอย่าล้อชื่อแม่สิ ว่าแต่นี่หนีเรียนมา?”

“เออ เหมือนกันนั้นแหละใช่มะ?”

“อื้ม”

“มีอะไรรึเปล่าว๊ะ มานั่งทำมิวสิคคนเดียวเล่าให้ฟังได้นะ”

“ไม่มีไรหรอก แค่เบื่อๆ”

“เออ โคตรเชื่อ ถ้าเบื่อขนาดนี้ไปเล่นบาสกันไหม?”

“ไม่เอาไม่เล่นอะ ไปเล่นเหอะ แต่ขอไปนั่งดูนะ”

“เออ” ย้ายที่จากที่นั่งตรงสนามหญ้าเลยมาตรงที่มีแป้นบาสมีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดียวกันกับวิทอีกประมาณ 2-3 คน นั่งมองไปเรื่อยๆรู้สึกว่าอยากพักตาน่าจะเป็นเพราะร้องไห้มาเมื่อกี้เลยรู้สึกปวดตาก็เลยหลับตาลงเป็นการพักตา

ติ้ง เสียงเมสเสจดังขึ้น

ฟัง “อยู่ไหนทำไมไม่อยู่ที่ห้องเรียนมีแต่กระเป๋าอยู่ เพื่อนบอกว่าแป้งไม่เข้ามาตั้งแต่พักเที่ยง”

ฟัง “ตอบหน่อยอยู่ไหนเป็นอะไรรึเปล่า”

ฟัง “เฮ้ยแป้งไปไหนตอบ”

     แล้วก็อีกหลายๆข้อความที่ส่งมาบอกให้ตอบถ้าแต่ไม่ได้กดอ่านหรือตอบไปรีบปิดมือถือ เหลือบดูเวลาอีกทีโหวิทกับเพื่อนๆมันตั้งใจจะเล่นให้เป็นนักกีฬาทีมชาติเลยรึไง จะฟิตไปไหนเริ่มตั้งแต่เริ่มบ่ายจนถึงเย็นยังไม่เลิกเล่นเลยแต่ว่าไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้วกลัวฟังมาตามหาเจอเลยควักมือเรียกวิทกลับมาข้างสนามเพื่อที่จะบอกว่าจะไปแล้วนะ

“ว่าไงตื่นแล้วไง”

“ไม่ได้หลับซะหน่อย เออว่าแต่ขอตัวไปก่อนนะ”

“แม้ไม่ได้หลับ น้ำลายนี้ยืดไปถึงหัวเข่า รีบไปไหนรอแป้ปดิจะเลิกเล่นแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกัน”

“เออๆ โอเค” ก็ดีเหมือนกันเพราะเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าจะหนีฟังไปไหนเพราะว่าฟังก็รู้หมดว่าเราจะต้องอยู่แถวไหนบ้าง ตอนที่ไปกินข้าวกับวิทแล้วก็เพื่อนๆของวิทก็พอที่ลืมความหม่นๆในใจไปได้ชั่วขณะทุกคนดูเฮฮาแม้ไม่เคยรู้จักกันก็ชวนคุยไม่ทำให้เรารู้สึกว่าแปลกแยก จนเวลาล่วงเลยไปถึง 2 ทุ่ม

“แป้งอยู่ไหนลูก? นี้ฟังส่งเมสเสจมาหาแม่ว่าติดต่อแป้งไม่ได้”

“ส่งมานานยังครับแม่?”

“ส่งมาเมื้อกี้ แม่ก็เลยโทรตามเพราะว่าวันนี้ลูกยังไม่ได้เข้าบ้านเลย”

“เฮอะ” ส่งเสียงออกมาเพื่อที่จะสมเพจตัวเองสักหน่อยทำเป็นหนีแทบตายสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ออกตามหาเราเลยสักนิด แป้งเอ่ยจะเพิ่มความสำคัญให้ตัวเองไปถึงไหน คิดเองเออเองไปทั้งนั้นจินตนาการล้นจริงๆ

“วันนี้แป้งไม่กลับบ้านนะแม่ ลืมบอกการบ้านเยอะจะอยู่ทำงานกับเพื่อน” ไม่รู้ทำไมต้องบอกไปว่าไม่กลับบ้านแค่รู้สึกอย่างประชดประชันหวังไว้แค่ว่าตอนที่แม่ตอบเมสเสจฟังไปเขาจะได้รู้สึกกระวนกระวายบ้าง แต่ในขณะที่พูดออกไปจนจบก็คิดได้ว่าฟังคงไม่กระวนกระวายเพราะเขาก็ไม่ได้ตามหาเรา

“อ้าว ลูกคนนี้จะไม่กลับก็ไม่บอกล่วงหน้า โอเคๆ ระวังๆตัวเองด้วยนะลูก”

“ครับ”  วางโทรศัพท์จากแม่ไปแล้วพยายามจะกลับมากินต่อแต่อาหารตรงหน้าที่ว่าอร่อยในตอนแรกตอนนี้เริ่มไม่รุ้สึกถึงรสชาติแล้วสงสัยถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปได้ผอมสมใจแน่นอนก่อนหน้านี้เพราะไม่ได้ออกกำลังกายก็เลยลงพุงมาตอนนี้เริ่มกินอะไรไม่ค่อยลงอิ่มเร็วขึ้นน่าจะได้ผอมสมใจไม่ต้องคอยมีพุงให้ใครมานอนจับเล่นอีกด้วย

“เป็นไรมึง”

“........” ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงให้วิทเข้าใจ ไม่รู้ว่าวิทเคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนที่นั่งรวมกันในกลุ่มตรงนี้บ้างไหม แต่ที่แน่ๆ เชื่อแล้วไอ้หลักการที่ว่ายิ่งปลอบยิ่งร้องมันเป็นอย่างไรเพราะแค่มือเอามือวางไว่ที่ไหล่แล้วถามเราแค่ว่า
“เป็นไรมึง” ก็รู้สึกว่าน้ำตาจะไหลออกมาซะอย่างนั้น ช่วงนี้ร้องไห้บ่อยจังว๊ะแป้งเข็มแข็งหน่อยสิโว๊ย

 “ถ้าไม่เป็นไรก็กินต่อได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนไอ้พวกหิวกระหายแย่งกินไปหมดหรอก”

“อิ่ม”

“ตามใจ” วิทไม่ได้บังคับอะไรเราอีก ต้องขอบคุณที่ไม่ถามเพิ่มหรือคะยั้นคะยอเพิ่มแค่นั่งข้างๆกัน

   หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันเรียบร้อยแล้วกินก็เรียกพนักงานมาเก็บตังค์ ตอนนี้สมองของเราเริ่มทำงานอย่างหนักเพราะต้องหาที่นอนให้ได้จะไปนอนที่ไหนดีหรือว่าจะเปลี่ยนใจกลับบ้านดีบอกว่ารายงานเสร็จแล้วก็เลยกลับบ้านเพราะว่าตอนที่บอกแม่ออกไปว่าจะไม่กลับบ้านยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน เฮ้อ ยุ่งจริงชีวิต ทำตัวเองแท้ๆเลยด้วย

“เอ้า ยืนงงเป็นคนเข็มทิศหาย จะกลับบ้านเลยไหม?”

“เอ่อ วิทคืนนี้ไปนอนด้วยได้ไหม” ไม่รู้ว่าทำหน้ายังไงออกไปแต่ดีใจที่ได้ยินคำถามแล้วก็ยิ้มกว้างแบบโล่งอกออกมาได้อีกเมื่อวิทตอบ

“ทำหน้าอย่างกับคนต้องหนีออกจากบ้านถ้าไม่ให้ไปนอนที่บ้านนี้จะหนีไปนอนใต้สะพานลอย? มาดินอนได้ แต่แน่ใจนะว่าแม่แป้งจะไม่มาแหกอกหาว่าลักพาตัวลูกชายเขาไป”

   แป้งไม่รุ้ว่าถ้าคืนนั้นแป้งตัดสินใจเดินกลับบ้าน ถ้าคืนนั้นแป้งไม่ได้โกหกแม่ ถ้าคืนนั้นแป้งเกิดไม่ขอวิทไปนอนบ้าน และถ้าคืนนั้นวิทไม่อณุญาติให่ไปนอนที่บ้าน แล้วถ้าแป้งตัดสินใจกลับบ้านมา แป้งจะได้เห็นเงาของผู้ชายคนนึงที่มายืนรอแป้งที่หน้าบ้านตั้งแต่ตอนทุ่มตรงแล้ว และกว่าเขาจะยอมกลับบ้านของเขาเองก็เกือบครึ่งคืนที่ผ่านไป

“เฮ้ย ตื่นเถอะแป้งนี่ก็ทำเสียงดังลั่นห้องเป็นการปลุกทางอ้อมแล้วนะตื่นนนน อย่ามาขี้เซา”

“.....” ไม่รับฟังเสียงยังคงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไม่ได้ไม่ตื่นไม่ใช่ว่าขี้เซาจริงๆ อย่าเรียกว่าได้นอนหลับเลยจะดีกว่าเมื่อคืนก็มีงีบๆ แล้วก็สะดุ้งตื่นทั้งคืนเพราะฉะนั้นแค่วิทกระดิกตัวนิดหน่อยเช้านี้ก็ตื่นแล้วไม่ต้องรอมานั่งให้วิทเปิดปิดตู้เสื้อผ้าเสียงดังขนาดนี้เพื่อปลุกกันหรอก

“อย่ามาดื้อ” วิทคงทนไม่ไหวถึงได้มากระชากผ้าห่มออกไปการม้วนตัวในพื้นที่ที่ปลอดภัยก็มลายหายไป

“ไม่รุ้ว่าทำไมถึงทำท่าเหมือนไม่อยากออกจากผ้าห่มนั้น แต่รู้ใช่ไหมว่าแป้งไม่สามารถหลบอยู่ในใต้ผ้าห่มนี้ได้ตลอดไป”

“รู้”

“ถ้ารู้ก็ลุกขึ้นมาไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะให้เราสายไปด้วย ถ้าเราโดนวิดพื้นหน้าโรงเรียนนะ เราจะกลับมากระทืบแป้งตอนเย็น”

“โอ๊ยย โหดจังอะแล้วถ้าจะใช้คำว่ากระทืบนะไม่ต้องใช้คำว่าเราก็ได้ใช้ กู มึงเถอะ แต่ไม่อยากไปโรงเรียนเลยจริงๆ นะวิท เดี๋ยวตอนแม่วิทออกไปแล้วเราขอนอนเล่นอยู่ห้องไม่ได้เหรอ สัญญาว่าจะไม่เปิดแอร์”

“ขอตอบคำถามแรกก่อนก็แป้งพูดเพราะไม่เคยขึ้นมึงกูเลย แล้วใครจะกล้า ประเด็นที่สองแม้แต่หน้าต่างก็ไม่ให้เปิดลุกขึ้นมาเลยเร็วๆออกไปไม่อณุญาติให้ใช้ห้องเราเป็นกำบัง” แล้วความพยายามจะอยู่ในฐานทัพก็หายไปต้องยอมจนใจลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปเรียน

“((เมื่อวานไปไหนมา? ไม่ได้กลับบ้านเหรอ?))”  สงสัยความพยายามในการยืดเวลาให้มาสายคงไม่มากพอ เพราะผ่านประตูเข้าโรงเรียนมาได้ก็เจอฟังมาดักที่หน้าประตูโรงเรียน

“ไปบ้านเพื่อนมา”

“((เพื่อนคนไหน? ถามในห้องแป้งหมดแล้วไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เลยว่าแป้งไปไหน))”

“เพื่อนคนอื่นนะ ฟังไม่รู้จักหรอก”

“((ใคร))”

“เพื่อนคนนี้ฟังไม่รุ้จักหรอกทีฟัง ฟังยังมีเพื่อนที่เราไม่รู้จักเลย”

“((โอเคครับไม่หน้าบึ้งนะ อะนี้กระเป๋า เมื่อวานไปหาที่ห้องแต่ไม่เจอตัวเจอแต่กระเป๋าทิ้งไว้แล้วนี่การบ้านทำรึยัง?))”

“ยัง ถามอะไรแปลกก็กระเป๋าไม่ได้เอากลับก็ต้องไม่ได้ทำสิ”

“((มาลอกเร็ว มา))”

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร ขอบคุณเรื่องกระเป๋า”

“((เป็นอะไรรึเปล่า))” ฟังขมวดคิ้วแน่นสงสัยคงเริ่มจับความผิดปกตอในตัวเราได้

“เฮ้ยยย มึงมานี่เลยเร็วอาจาร์ยเรียก” ไม่เคยรุ้สึกอยากขอบคุณเพื่อนในห้องคนนี้มากมาก่อนที่มาช่วยกู้สถานะการ์ณตรงหน้านี้ได้ ช่วงกำลังกำลังจะหมุนตัวกลับมือของฟังก็มาจับที่ข้อศอกเอาไว้

“ปล่อยเถอะฟัง เราต้องไปหาอาจาร์ยแล้ว”

   แล้วมหกรรมการหลบหน้าก็เกิดขึ้นตอนพักเที่ยงก็ฝากวานให้เพื่อนซื้อข้าวขึ้นมาให้บนห้องหรือไม่ก็ไปแอบกินหลังโรงอาหาร ตอนเย็นก็ปีนออกกำแพงด้านหลังโรงเรียนไม่ยอมออกทางด้านหน้า เหตุวันเกิดจากว่าเย็นวันนึงเราเห็นฟังยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนจริงๆ ตอนที่เห็นฟังยืนอยู่ที่ประตูก็ตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเพราะคิดเอาไว้ว่าฟังคงต้องรอเราอยู่ แต่แล้วเราคงจะสำคัญตัวเองผิดไปอีกครั้งเพราะฟังเขายืนรอลูกตาลอยู่ เพราะพอลูกตาลเดินมาที่ประตูโรงเรียนคุยกันสักพักทั้งสองคนก็พากันเดินออกไป ดีนะที่ยังไม่เดินออกไปแสดงตัวไม่อย่างนั้นคงจะหน้าแตกละเอียดกลับมา หลังจากวันนั้นไม่ว่าจะเป็นเช้าสายบ่ายเย็นก็ไม่เคยจะได้เจอหน้าของฟังอีกเลย เรื่องมือถือไม่ต้องห่วงปิดเครื่องให้ดับสนิทตั้งแต่วันนั้นที่เจอการหน้าแตกขึ้น บอกแม่ไปว่าโทรศัพท์เสียเอาไปซ่อมอยู่

   ที่หลบหน้าเพราะกลัว กลัวต้องรู้ว่าฟังไปหาคนที่ชื่อลูกตาล กลัวที่ต้องรู้ว่าเราไม่ใช่เพื่อนที่สนิทที่สุดของฟัง ช่วงนี้บ้านวิทเลยเป็นบ้านที่พึ่งตกดึกต้องแอบไปนอนที่นั้นตลอดทุกคืนแรกๆ แม่ก็ไม่สงสัยเรื่องทำรายงานแต่ว่าหลังๆแม่เริ่มไม่พอใจยื่นคำขาดว่าถ้าไม่กลับบ้านก็ไม่ต้องมาเองเงินค่าขนมแล้วก็เลยต้องบอกแม่ไปตามตรงว่ามานอนบ้านของวิทไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหนแม่ก็กำชับแค่ว่าอย่าไปออกกำลังกายให้มากหนักเอาแต่พอดีตัว

“กินให้มากกว่านี้หน่อยกินให้หมดถ้าไม่หมดจะเอามาละเลงหัว” กับวิทนี่เป็นอีก 1 หัวข้อที่ต้องถกเถียงกันตลอดในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็คนมันอิ่มไม่อยากกินก็ไม่รู้ว่าจะบังคับอะไรหนักหนา

“เป็นอะไรมานอนเปลืองไฟเปลืองน้ำบ้านเราจะเป็นอาทิตย์แล้ว เล่าได้ยัง?”

“วิท วิทเคยรู้สึกน้อยใจเพื่อนไหม? แบบรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของคนนั้นอีกต่อไปแล้วแกเคยรู้สึกสูญเสียแบบนั้นไหม?”

“เคยนะ แต่น่าจะตอนเด็กๆ ไม่ใช่ตอนโตแบบตอนนี้”

“เหรอ แล้วคนที่เป็นมันแปลกมากไหม”

“ไม่แปลกคนเราทุกคนมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันกับคนอื่น คนอื่นไม่รุ้สึกก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกของเราจะแปลกหรือผิด ว่าแต่แป้งแน่ใจนะว่ารู้สึกแค่ว่าจะเสียเพื่อนสนิทไป เพราะจากท่าทางที่ผ่านมาเกือบอาทิตย์นี้แป้งดูแย่กว่าคนจะเสียเพื่อนสนิท”

“แล้วมันเหมือนอะไร”

“มันเหมือนคนจะเสียแฟนมากกว่า มีความรักรึเปล่า?”

“ไม่ๆ นี่เป็นเพื่อนกันจริงๆ ความรู้สึกมันเหมือนจะเสียเพื่อนไปซึ่งเราทำใจยอมรับไม่ได้ เราสนิทกันมานานมากเลยนะ เขามีเพื่อนเข้ามาอีกคนแต่เราไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย แล้วอกีอย่างเราก็มีเขาเป็นเพื่อนคนเดียวมาตลอด”

“โอเค เพื่อนก็เพื่อนแค่จะเสียแสดงว่ายังไม่เสีย แต่การที่แป้งมานั่งหลบหน้าเพื่อนอยู่อย่างนี้ อีกไม่นานได้เสียอย่างที่กลัวไว้แน่นอนแต่มีอยู่เรื่องนึงที่อยากฝากไว้ไห้คิดนะว่าเพื่อนกันนะเขาไม่น้อยใจกันเวลาเพื่อนอีกคนมีเพื่อนใหม่กันหรอก แน่ใจนะว่าเรื่องเพื่อน”

“เพื่อนสิ”

“จะตื่นให้เช้าสักวันได้ไหม ทำไมต้องให้ปลุกทุกวันมือถือมีก็ตั้งปลุกสิเฮ้ย”

   วิทปลุกฮาร์ทคอตลอดเวลาปลุกได้ทุกวันไม่เบื่อรึยังแล้วปลุกดีๆสักวันจะเป็นอะไรไหมเนี่ย ได้แต่เดินถอนหายใจเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำพยายามทำทุกอย่างให้ช้าที่สุดไม่อยากไปโรงเรียนซึ่งก็พยายามทำแบบนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนไปถึงก่อนต้องยอมยืนเตร็ดเตร่ไม่เข้าโรงเรียนเพราะไม่รุ้ว่าฟังจะโผล่มาตอนไหนบ้าง  แต่ที่วิทบอกว่าเราไม่สามารถหลบอยู่ในบ้านได้เราต้องออกไปเผชิญโลกแห่งความจริง ก็เข้าใจอยู่แต่ก็ขอเวลาทำใจอีกแป้ปก็รู้ว่าดูงี่เง่าแค่เพื่อนจะมีเพื่อนใหม่ ไว้เลิกงี่เง่าแล้วจะพร้อมเข้าไปคุยกับฟังให้เคลียร์ แต่กำลังใจและความพร้อมที่กำลังจะสามารถสร้างขึ้นมาในช่วงที่อาบน้ำอยู่นั้นก็ดับไปตอนที่อยู่ที่ป้ายรถเมล์

“นั้นเพื่อนแป้งนิ ฟังปะ?”

“.....” ขาก้าวไม่ออกกระทันหันแถมไม่รุ้ว่าทำไมขาถึงก้าวไปด้านหลังอัตโนมัติแม้ไม่ได้ตั้งใจ

“อย่าหนี” วิทก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่ 2 คน หันหน้าไปมองมือของวิทที่จับอยู่ที่หลังของเรา ไม่รู้ว่าวิทรู้อะไรบ้างและทำไมวิทถึงทำเหมือนรู้อะไร ทำไมวิทถึงรู้ว่าเรากำลังจะหนีคนตรงหน้า

“ไม่รู้หรอกนะว่าแป้งกับเพื่อนของแป้งทะเลาะอะไรกัน แต่ที่รู้ๆ เราไม่ยอมให้แป้งหันหลังกลับไปแน่นอนแล้วถ้าเพื่อนของแป้งคนนี้คือคนเดียวกับคนที่แป้งเล่าให้ฟังเมื่อคืนวิทว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องคุยกันนะ” ในเมื่อคนที่เดินมาข้างกันรั้งเราไว้ซะขนาดนี้แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากต้องเดินไปข้างหน้าตามที่เขาบอก

“ถึงอยากหนีก็หนีไม่ได้แล้วปะเล่นเอามือดันหลังซะขนาดนี้อีกนิดเสื้อจะขาดแหละ” พยายามสร้างมุขตลกออกไปเพื่อปลอบให้ตัวเองไม่สั่น พยายามมองตรงไปข้างหน้าแต่ทำไมกลายเป็นว่าตามองต่ำลงมาที่ปลายเท้าตลอดเลย

“ไปละมีอะไรโทรมา” วิทเอาเรามาทิ้งไว้ตรงหน้าของฟังแล้วก็เอาตัวรอดเดินออกไป

“((เมื่อวานไม่กลับบ้านไปอยู่กับมัน))”

“อย่าเรียกเพื่อนเราว่ามันนะเขามีชื่อเขาชื่อวิท”

“((ช่างมันแต่แป้งไม่กลับบ้านเพราะไปอยู่กับมัน? ใครทำไมไม่เห็นรู้จัก))”

“ใช่ไปอยู่กับเขามาแล้วฟังจะทำไม มาตวาดเราทำไม”

“((ทั้งอาทิตย์เลยเหรอแป้ง?))”  แม้ฟังจะไม่มีเสียงที่ออกมาจากปากของเขาแต่ด้วยหน้าตาและท่าทางทำให้รู้ว่าสิ่งที่ฟังกำลังพูดมันคือการตวาดแล้วฟังจะมาทำหน้าเจ็บปวดทำไมเราสิต้องเป็นคนที่เจ็บปวด จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะเข็มแข็งจะไม่ร้องไห้แล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ร้องไห้ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะโกรธที่มาตวาดกันหรือเป็นเพราะว่าเราแพ้ที่ไม่ได้ตวาดก่อนหรือว่าเสียใจที่เขาน่าจะง้อเรากลับมาเป็นว่าเราเหมือนเป็นคนผิดทั้งหมด

 “ฟังจะมาตวาดกันทำไมคนที่ต้องตวาดคือคนนี้ ฟังนะยังเห็นแป้งเป็นเพื่อนอยู่ไหม มึงอะยังเห็นกูพิเศษกว่าคนอื่นอีกไหม?” ออกมาหมดแล้วทั้งคำพูดที่เก็บเอาไว้ ทั้งน้ำตาที่พยายามห้ามเอาไว้มันไม่สามารถกักไว้อีกต่อไปได้แล้ว ชื่อที่เรียกแทนตัวเองแทนตังของฟังมันก็สับสนไปหมดอยากอ้อนทุกครั้งที่ทะเลาะกันแต่ในขณะเดียวกันก็จะอยากจะให้รู้ว่าเราโกรธ
“((สรุปจะมึงหรือฟัง เลือก))”

“ฮือออออออออออออออออ” แค่ฟังก้มตัวลงมามองหน้าแค่นั้นเองทำนบน้ำตาที่กั้นเอาไว้ก็พังทลาย

“((ไม่ร้องนะครับ ไปบ้านฟังนะไปเรียนสภาพนี้คงไม่ไหวกลับบ้านไปน้าปิ่นตกใจแย่เลยไปบ้านฟังนะครับแม่ฟังไม่อยู่))”

     อยู่ๆอ้อมกอดที่คุ้นเคยก็โอบกอดเราไว้ที่หน้าปากซอยบ้าน ฟังไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นเลยสักนิดอยากจะดึงตัวออกแต่อ้อมกอดของฟังนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน 1 อาทิตย์กว่าๆ ที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้เราโหยหาอ้อมกอดนี้อ้อมกอดของเพื่อนที่สำคัญกับเรามากที่สุด

...โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

เรื่องนี้ ฟัง พูดแล้วไม่มีเสียงนะคะ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังพูดจะเป็น ((...)) ค่ะ คือการที่พูดด้วยปากหรือภาษามือนะคะ ถ้าใช้ภาษามือจะเขียนแนบไว้ค่ะ

ถึง

คุณ  Maree ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ไปหามาได้แล้วค่ะ เปลี่ยนหัวข้อได้แล้วค่ะ
คุณ Chaichan มาส่งแล้วค่ะ
คุณ Inwoสูร มาดูแป้งคิดไปเองกันต่อดีกว่าค่ะ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณค่า ..มาต่อเร็วๆ นะคะ
+++ยังรอตอนต่อไป+++

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เฮ้ออออออ อารมณ์สีเทาสุดๆ เข้าใจอารมณ์หวงของของแป้งนะ
แต่เราสงสารฟังจัง แป้งจะดีด้วยก็ต่อเมื่ออารมณ์ดี :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 4

                ไม่ได้พยักหน้าตอบตกลงออกไปว่าจะยอมไปบ้านของฟังแทนการไปเรียน แต่ก็ยอมให้ฟังจูงมือเดินไปขึ้นรถเดินเข้าไปในบ้าน ยอมให้พามานั่งที่โซฟาที่บ้านจนตอนที่ฟังพยายามดึงเสื้อเราออกจากชายกางเกงแล้วลมของพัดลมมาโดนช่วงเอวนั้นแหละถึงได้สามารถเอาสติของเราคืนมา

“((มองอะไรแบบนั้นก็เห็นว่าถึงบ้านแล้วเอาเสื้อไว้ในกางเกงไม่อึดอัดเหรอ?))”

“อ่อ เออ อื้ม” แล้วฟังก็เลิกยุ่งกับชายเสื้อแต่กลับเลื่อนมือมาที่ใบหน้าพร้อมทั้งคอยเช็ดคลาบน้ำตาให้ ฟังเป็นคนมือใหญ่นะแต่ตอนที่เขาเช็ดคลาบน้ำตาให้เขามือเบามากเลยมันรู้สึกอบอุ่นจนต้องเอาแก้มไปแนบกับฝ่ามือของฟังตลอดเวลาเราไม่ได้หลับตาเราสองคนเลยมองตากันอยู่อย่างนั้นที่ไม่หลับตาเพราะเราอยากรู้ว่าฝ่ามือที่อบอุ่นนั้นกำลังมีสายตาอย่างไรอยู่ แค่เช็คเพราะเห็นใจที่เราร้องไห้หรือเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ฟังเคยดูแลเรามาแต่เด็กหรือเป็นเพราะว่าเขาอยากเช็ดน้ำตาให้เราจริงๆ

“((เลิกร้องได้แล้วตาแดงหมดแล้ว))” ไม่ได้ตอบแต่ยังคงร้องต่อไปไม่คิดที่จะหยุดกลัวว่าถ้าหยุดร้องแล้วความอบอุ่นของมือนี้จะหายไป

“((หยุดร้องนะครับ จะต้องให้ฟังทำยังไงถึงจะหยุดร้องครับ พี่ฟังทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ))”

จบจากคำพูดฟังก็โน้มหน้าลงมาหอมที่เปลือกตาเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เหตุการ์ณนี้มันเคยเกิดขึ้นตอนที่โดนไอ้เล็กต่อยช่วงแรกๆ วันที่โดนต่อยจนตาเขียวจำได้ว่าแหกปากร้องลั่นตั้งแต่สนามเด็กเล่นจนถึงบ้านแม่ยังไม่กลับฟังไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยหอมที่ตาแล้วเป่าเพี้ยง ที่ฟังแทนตัวเองว่าพี่ฟังเพราะตอนเด็กไม่สิจนถึงตอนนี้ฟังก็ตัวใหญ่กว่าเรา ตอนที่แม่พาเราทั้งสองออกไปไหนชอบมีคนมาถามแม่ว่าคนไหนพี่คนไหนน้อง แม่เลยหัวเราแล้วตอบไปว่าคนตัวโตเป็นพี่ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาฟังก็พยายามอุปโลคให้ตัวเองเป็น พี่ฟังของน้องแป้งเสมอ

“พี่ฟังก็มีน้องแป้งเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวสิครับแล้วน้องแป้งจะหยุดร้อง” ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเคลียร์กันก็เลยพูดออกไปโดยงัดไม้อ้อนออกมาเพื่อให้ฟังเห็นใจ

“((ได้สิตำแหน่งอะไรพี่ฟังก็ยกให้หมดเลย แต่ไม่ร้องนะครับ))”

“จริงนะ”

“((ครับ))”

                ไปนั่งสงบจิตสงบใจเลิกร้องไห้แล้วก็ออกมากินข้าวกลางวันหลังจากกินข้าวกลางวันโดยฝีมือป้าน้าปากซอยบ้านของฟังพออิ่มก็รู้ตัวว่าสมควรต้องถามเรื่องที่ค้างคาใจสักทีวันนี้มันต้องเคลียร์ถึงขนาดยอมโดดเรียนขนาดนี้แล้ว อีกอย่างคำขู่ของวิทยังอยู่ในหัวอยู่เสมอ ถ้าไม่รีบเคลียร์ระวังจะเสียฟังไป

“ฟัง แป้งมีเรื่องจะถามครั้งนี้ตอบไม่ให้ใช้ภาษามือนะตอบด้วยปากเดี๋ยวอ่านปากเอง”

“((โอเค))”

“เรื่องแรก ทำไมแป้งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฟังอยากเข้าเรียนเกี่ยวกับอักษรพวกภาษาทำไมไม่เห็นเคยบอกกันเลยแล้วเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยทำไมมึงไม่เคยคุยกับเราเลยละ?”

“((แป้งตั้งใจอ่านปากนะไม่เข้าใจให้ถามนะอย่าสรุปเอง อย่างแรกเรื่องเรียนอักษร จริงๆชอบมาตั้งนานแล้วแต่ว่าแม่ไม่เห็นด้วยจนมาเจอคณะภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจพอมาเห็นตรงนี้ก็เลยสนใจแต่ที่ไม่ได้บอกเพราะว่าแป้งไม่เคยถามก็เลยไม่ได้พูดออกไปเพราะก็ยังไม่ได้แน่ใจด้วยว่าชอบจริงไหม จนวันที่รุ่นพี่เขามาแนะแนวของมหาวิทยาลัยนั้นแหละเลยแน่ใจ))”

“((เรื่องที่สองเรื่องมหาวิทยาลัย แป้งอาจจะจำไม่ได้แต่เราเคยชวนแป้งคุยแล้วว่าเราอยากสอบเข้าที่นี้ แต่แป้งบอกเองว่าเรื่องแบบนี้คุยตอน ม.6 เถอะ เราก็เลยไม่ได้เซ้าซี้อีกก็มันยังไม่ถึง ม.6))” พอคิดย้อนกลับไป อื้ม มันก็จริงฟังเคยเกริ่นเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยแต่ตอนนั้นเราไม่พร้อมที่จะฟังเราเลยบอกไปว่ามาคุยกันอีกทีตอน ม.6 แต่ตอนนั้นกำลังเล่นเกมส์อยู่นิน่าใครจะไปใส่ใจ

“ทีหลังถ้าจะพูดเรื่องสำคัญห้ามพูดตอนเราอ่านหนังสือการ์ตูนหรือเล่นเกมส์อยู่เข้าใจไหม?”

“((โอเคครับ))”

“เรื่องที่สองทำไมแป้งไม่เคยรู้เลยว่าฟังมีเพื่อนสนิทคนอื่นๆอีก”

“((เพื่อนสนิทคนอื่น?))”

“ก็ อย่างเช่น คนที่ชื่อลูกตาลไง เห็นพักหลังฟังก็ต้องไปหาเขาก่อนมาหาแป้งแล้วไหนฟังจะชอบไปไหนมาไหนกับเขาอีก”

“((อ่อ ลูกตาลไม่ได้สนิทขนาดนั้นนะเป็นเพื่อนร่วมห้องแล้วพอดีเขาขอให้ช่วยดูการบ้านให้จากที่เขาไปเรียนพิเศษมาก็เลยสนใจอยากดูเป็นความรู้ใหม่นะแต่ก็ไม่สนิทเท่าแป้งนะ))”

“จริงเหรอ แน่นะแต่ทำไมแป้งได้ยินมาว่า ฟังกับลูกตาลแอบชอบกัน”

“((ข่าวมั่วแล้วไม่มีทางเลยแป้งครับ))”

“แต่แป้งไม่ชอบอะ แป้งไม่อยากให้ฟังสนิทกับใครงั้นฟังเลิกไปดูไปอ่านไปติวหนังสือกับลูกตาลได้ไหม?  หรือถ้าไปต้องเอาแป้งไปด้วย”

“((ได้สิแค่นี้เอง))”

                หลังจากได้ยินคำว่าได้สิออกมาจากปากของฟังรู้เลยว่าคำว่ายกภูเขาออกจากอกมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกโล่งสบายใจแบบบอกไม่ถูก 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาความหม่นหมองเศร้าปลิวหายไปเลยแค่เพียงคำเดียวที่ออกมาจากของฟัง

“((งั้นตาเราบ้างนะ))”

“ใครบอกว่าจะสลับกันถาม?”

“((แป้งครับ))”

“เอาสิๆ” กำลังอารมณ์ดีมีอะไรถามมาเลย

“((ทำไมถึงส่งการบ้านหน้าเปล่าละครับ? เห็นนะ))”

“ก็ไม่อยากลอกการบ้านของฟังเพราะคิดว่าฟังคิดว่าแป้งเป็นภาระต้องคอบมาสอนการบ้านเห็นหลังๆไม่ค่อยอยากมา แล้วฟังรู้ได้ไงว่าหน้าเปล่า?”

“((แอบไปเปิดดูที่โต๊ะรวมการบ้านของอาจาร์ย เพราะว่าเห็นว่างมาตั้งแต่วันที่บอกว่าปวดหัวแล้ว จะว่าไม่ทำเพราะปวดหัวก็ไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นก็เห็นว่าว่างมาตลอด ทีหลังอย่าทำอย่างนี้นะมันมีผลต่อคะแนนเก็บในชั้น))”

“อื้ม”

“((ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาแป้งตั้งใจหลบหน้าใช่ไหม?))”

“ใช่”

“((ตอนที่หลบไปอยู่กับวิท นอนห้องเดียวกับวิทรึเปล่า นอนยังไงแล้วนอนกันเฉยๆใช่ไหม?))”

“นอนห้องเดียวกันก็บ้านวิทมีห้องเดียวก็ต้องนอนเฉยๆสิไม่นอนเฉยๆจะให้ทำอะไร อ่อ อีกอย่าง วิทไม่เห็นบอกเลยว่าเรานอนดิ้น”

“((ความหมายของนอนเฉยๆ คือไม่ได้ยอมให้วิทกอดแบบที่เรานอนกอดแป้งใช่ไหมครับ?))”

“ฮึ ไม่ได้ให้กอด มีแต่ฟังคนเดียวนั้นแหละที่ไม่อึดอัดคนอื่นทั่วบ้านทั่วเมืองเขาก็นอนอึดอัดหมดนั้นแหละ ว่าแต่เรื่องนอนดิ้น วิทไม่เห็นบอกเลยว่าเรานอนดิ้น”

“((วิทอาจจะไม่รุ้สึกตัวง่ายเหมือนฟังไงครับแป้ง))”

“อ่อ เออ มั้ง”

“((สรุปเรื่องที่โกรธคือโกรธเรื่องที่ไปสนิทกับลูกตาล))”

                มาเจอคำถามนี้ไม่ตอบแล้วไม่อยากบอกยอมรับความจริงเพราะว่ามันเหมือนกับเราเป็นคนที่ไร้เหตุผลเพราะวิทเองก็บอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมีใครเขาจะโกรธกันเลยเลี่ยงไม่ตอบหลับตานอน แอบเอาหลังพิงกับอกของฟังนอนฟังเสียงหัวใจของฟัง

“((อย่ามาเลี่ยงไม่ตอบสิ))” โธ่ นอนหันหลังให้แล้วยังจะพยายามใช้ภาษามือในการคุยอีก

“ไม่เอาน้องอยู่ท่านี้แล้วคิดอะไรไม่ออกแล้วพี่ฟัง” มุขนี้ละที่มั่นใจว่าฟังต้องยอมไม่ตื้อถามอะไรต่อแล้วยอมให้นอนพิงอย่างนี้ไปเรื่อยๆแน่นอน มือของฟังที่เอาเกลี้ยตรงที่แก้มทำให้เราเริ่มรู้สึกเคลิ้ม

“((ทุกที))”

“อย่าจับแก้มสิจะง่วงเอา เพิ่งอิ่มไม่อยากนอนเลย” ฟังตามใจหยุดเอามือเกลี่ยแก้มเลยพยายามขยับตัวไปมาเพื่อหามุมที่ว่าจะนอนดูทีวี แต่อยู่ดีๆฟังก็จับตัวเราให้ออกห่างพร้อมลุดพรวดยืนขึ้นซะอย่างนั้น

“จะไปไหน”

“((ก็ ก็ แป้งอยากดูหนังไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปหามาให้ดู อยากดูเรื่องอะไรละ))”

“อะไรก็ได้ให้ไปร้านวีดีโอด้วยไหมอยากไปเลือกด้วยตัวเอง”

“((งั้นแป้ปนะเข้าห้องน้ำก่อน))”

“อื้ม” ปวดฉี่ก็ไม่บอกต้องดันตัวออกซะเกือบตกโซฟากันเลยทีเดียว

                หลังจากที่ได้เคลียร์กันไปก็ถึงคราวที่จะต้องสอบแล้วฟังตามที่สัญญาไว้ทุกอย่าง ทุกครั้งที่ฟังถ้ามีลูกตาลก็จะมีเราฟั งไม่เคยไปติวกับลูกตาลสองคนอีกเลยหลังจากนั้น แม้เรากับฟังจะเรียนกันคนละห้องแต่มันก็สาขาวิชาเดียวกันเพราะฉะนั้นก็เหมือนอ่านไปด้วยกันอยู่ดี จากที่เฝ้าสังเกตุมาทุกครั้งที่ได้ออกไปอ่านหนังสือด้วยกันสามคนหรือมากกว่านั้น ลูกตาลก็ดูเป็นคนมีอัธยาศัยที่ดีเพราะขนาดเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนลูกตาลก็ไม่รังเกียจที่เอาเราเข้ากลุ่มติวด้วย แม้ว่าเราจะหัวช้า ไปได้ช้า เข้าใจช้าฟังต้องอธิบายซ้ำลูกตาลก็ไม่เคยว่าอะไรนั่งรอให้ฟังทวนจนเราเข้าใจแล้วค่อยไปข้อต่อไป

                จากที่เจอกันทำให้รู้สึกว่าก็ดีสักอีกที่ฟังจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน เพราะอย่างน้อยคนนี้ก็ดูเป็นคนดีแล้วก็ทำให้รุ้ว่าเรารู้เรื่องของฟังน้อยไปจริงๆ เพราะจริงๆแล้วลูกตาลเล่าให้ฟังว่าตอนที่อยู่ในห้องฟังแทบจะเป็นศูนย์กลางของห้องเลย เพราะฟังเป็นคนเรียนดีใครๆ ก็อยากเอาฟังเข้ากลุ่มทำรายงานด้วยทั้งนั้น

“พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้วววววววว”

“((อย่าเพิ่งโยนหนังสือยังสอบไม่จบเลยแป้ง))”

“โอ๊ย ไม่อ่านแล้วฟังก็รู้ว่าแป้งนั่งอ่านนานๆไม่ได้ นี่ปวดหัวเข่าไปหมดแล้ว”

“((อ้าว แล้วไม่บอกโอเคแป้งไปยืดขารอไปเดี๋ยวไปเอาถุงน้ำร้อนมาประคบให้))”

“อื้ม” เสร็จโจรแค่นี้ก็ไม่ต้องจมอยู่ที่กองหนังสือแล้วแถมมีบริการพิเศษบริการนวดขาพร้อมกับมีคนอ่านชีทสรุปให้ฟังด้วย

                ช่วงหลังสอบเสร็จมีนัดกับฟังว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่กันแต่ว่าพอดีน้าหน่อยกลับมาพักที่บ้านฟังเลยขอเลื่อนไปก่อนขออยู่กับแม่ก่อนซึ่งก็เข้าใจได้เพราะว่าถ้าเป็นเราเราก็อยากอยู่กับแม่ก่อน น้าหน่อยกว่าจะกลับบ้านมาก็นานๆ ทีเท่านั้นไม่ได้อยู่ทุกวันเหมือนแม่เรา สรุปตลอดช่วงปิดเทอมฟังต้องอยู่บ้านกับน้าหน่อยเหลือแค่ 3 วันสุดท้ายก่อนเปิดเรียนก็เลยไม่ได้ไปไหนกันเลยชวนฟังไปเดินเล่นในกรุงเทพนี้แหละไปสวนลุมไปสะพายพุทธไปจตุจักร

“((คิดไงว่าชวนเดินเล่นที่แบบนี้ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยชอบ))”

“ก็เห็นว่าเดี๋ยวพอ ม.6 ก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือแล้วก็เลยชวนมาเก็บบรรยากาศพักผ่อนก่อนเวลาเครียดตอนอ่านหนังสือจะได้งัดเอาความทรงจำนี้ขึ้นมาใช้จะได้ไม่เครียดไง”

“((โอ้โห แป้งมีมุมอยากอ่านหนังสือจะจริงจังในการอ่านด้วย))” จะให้บอกไปได้ยังไงว่าที่อยากตั้งใจจะอ่านหนังสือเนี่ยก็เพื่อที่จะได้เข้าไปเรียนที่เดียวกับฟังตอนมหาวิทยาลัย ไม่บอกอยากเก็บไว้เซอร์ไพร์ถ้าสอบติดละนะ

                ช่วงม .6 น่าจะเป็นช่วงฝันร้ายของผมมากที่สุดแถมไม่ได้ดูเดือนดูตะวันเพราะต้องเอาแต่อ่านหนังสือต้องคอยติวกับเพื่อนในห้องตัวเองบ้างหรือกับฟังบ้าง ฟ้งจะคอยมาสรุปบทเรียนให้ทุกอาทิตย์ตอนแรกสรุปเป็นชีทแต่สักพักฟังก็เปลี่ยนเป็นสรุปด้วยการพิมพ์ลงในโน๊ทในโทรศัพท์เอาไว้ สะดวกเลยเพราะว่าจะได้อ่านไปตลอดไม่ว่าอยู่ที่ไหนตอนนี้ความใส่ใจของฟังก็เลยอยู่กับเราทั้งวัน

                ช่วงใกล้สอบยิ่งไม่ค่อยได้เจอกันเพราะว่าฟังต้องไปติวกับห้องของเขาแล้วเราก็ต้องติวกับเพื่อนของฟ้องเราก็เลยมีการคุยกันทางเมสเสจบ้าง แต่การที่จมอ่านหนังสือทุกวันมาฟิตเอาปีสุดท้ายของการเรียนนี้มันยากจริงๆนะ ก็เลยอยากพักสมองสักหน่อยก็เลยออกมาเดินเล่นแถวสนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน

“เฮ้ย วิท” โบกมือหยอยๆ เรียกวิทเพราะเห็นวิทยังคงวิ่งรอบสนาม

“ไม่เจอนานมาก”

“เออ ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเอ้นท์อะ แล้ววิทไม่เตรียมเอ้นท์เหรอมาออกกำลังกายอยู่ได้”

“โอ้โห ฟิตเว้ยยยยย ก็อ่านนะแต่เอาที่พอไหวอะ พอไม่ไหวก็ไม่อ่านแล้วออกมาผ่านคลาย”

“อ่ออ อื้ม”

“แล้วนี่อยากเข้ามหาวิทยาลัยนั้นขนาดนั้นเลย ถึงฟิตขนาดนี้?”

“อื้ม อยากเข้า”

“เออ สู้ๆ อย่าสมองแตกตายไปก่อนละ”

“เออ” แวะคุยแป้ปเดียวก็กลับเข้าบ้านมาอ่านหนังสือต่อ ยิ่งใกล้วันสอบปลายภาคยิ่งเครียดเพราะนั้นหมายถึงว่าพอสอบปลายภาคเสร็จก็จะเอ้นท์แล้ว พอยิ่งใกล้วันสอบเอ้นท์ทำไมดูเหมือนยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจทำไมยิ่งอ่านแล้วไม่จำ

แป้ง “ฟังอ่านจบยัง”
     ก่อนหน้านี้ส่งไปไม่ถึง5 นาที ฟังก็จะตอบเมสเสจกลับมาแต่เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนี้ตลอดส่งเมสเสจไปก็ไม่ค่อยจะตอบกลับบางทีก็หายไปเลยหรือบางทีก็ตอบกลับหลังจากที่เราส่งไปแล้วประมาณครึ่งวันได้ แรกๆก็รอให้ฟังส่งกลับอย่างใจจดใจจ่อแต่เดี๋ยวนี้พอส่งไปเสร็จสามารถไปทำอะไรได้แล้วไม่หมกมุ่นต่อการรอแล้ว

แป้ง “วันนี้เหนื่อยอะ อ่านไม่รู้เรื่องเลยขอกำลังใจหน่อย”

ผ่านไป 1 ชั่วโมง

แป้ง “เฮ้อ อ่านไม่เข้าหัวเลยขอที่อัดเสียงมาให้หน่อยได้ไหม?”

ติ้ง ตอบมาแล้วววว

ฟัง “รูปภาพ”

                ฟังไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่รูปภาพที่ส่งกลับมาคือฟังกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วคนที่ถือกล้องมือถืออยู่นั้นคือลูกตาลที่กำลังยิ้มให้กล้องแล้วก็นั่งอยู่ข้างๆฟัง ตั้งแต่เปิดเทอม ม.6 ก็ไม่ค่อยได้ไปติวพร้อมฟังกับลูกตาลอีกเลยเฮ้ออ รู้งี้ตัดสนใจไปติวด้วยก็ดีไม่น่าขี้เกียจไปเลย

แป้ง “พรุ่งนี้ขอไปติวด้วยสิ” ผ่านไปจนเราจะเข้านอนแล้วฟังยังไม่ส่งกลับมาเลยส่งไปอีกรอบว่า

แป้ง “ฝันดีนะ....”

…...โปรดติดตามตอนต่อไป..........

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ  Chaichan  ขอบคุณสำหรับเม้นท์คร่า
คุณนางฟ้าเชียงชุน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ปล นี้เลือกสงสารไม่ถูกเลยค่ะ แง้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2016 16:16:55 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะเหินห่างกันตอนนี้หรือเปล่านี่ แต่ยังไงก็เพื่ออนาคตล่ะเนอะ สู้ต่อไป 555++

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่5

   สรุปฟังก็ไม่ได้ตอบมาเรื่องที่ขอไปติวด้วย ไม่ให้ไปก็ไม่โกรธสักหน่อยตอบกันหน่อยแต่นี่ไม่ตอบเลยทั้งวัน ก็เลยตัดสินใจโทรไปหาทั้งๆที่รู้ว่าต่อให้ฟังตอบอะไรมาเราก็ไม่สามารถได้ยินอยู่ดี

ตรู้ดดดด ไม่ถึง 3 ครั้งฝั่งนั้นก็รับโทรศัพท์

“ฟังรึเปล่า?”

“....................”

“เรารู้ว่าฟังไม่มีเสียงแต่เราอยากโทรหานะ เมื่อวานเราไม่ได้คุยกันเลย”

“..................”

“ไม่มีอะไรแล้วละ แค่นี้นะ” เป็นการคุยโทรศัพท์ที่สั้นที่สุดก็ว่าได้ ได้คุยแล้วแค่นี้ก็พอใจแล้ว ในขณะที่กำลังจะไปอาบน้ำเตรียมตัวเพื่อเรียกขวัญกำลังใจมาอ่านหนังสือ มือถือก็ดังเป็นเสียงเมสเสจเข้ามา

ติ้ง

ฟัง “แป้งรออยู่บ้านนะอย่าออกไปไหน”

   รีบวิ่งไปอาบน้ำจะได้ลงมานั่งรอฟัง ปกติอาบน้ำ 15 นาทีเช้านี้อาบแค่ 5 นาทีอาบน้ำกินข้าวเสร็จทุกอย่างตอน 10 โมงเช้าแต่ ณ ตอนนี้คือบ่าย 3 แล้วฟังก็ยังมาไม่ถึงบ้าน

ตรู้ดดด – รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมานึกว่าฟังแอบแปลกใจนิดหน่อยที่ฟังเลือกโทรมา

อ้าว “ฮัลโหลวิท ว่าไง” ไม่ใช่คนที่คิดว่าจะใช่ก็แน่ละฟังจะโทรมาได้ยังไง

“ฮัลโหลอยู่บ้านปะขอเข้าบ้านหน่อยดิลืมเอากุญแจบ้านมาอยากเข้าบ้านไปอาบน้ำว๊ะ กว่าที่บ้านจะกลับมาถ้ารอเค็มตายแน่นอน”

“อ่อ อยู่ๆ มาสิ” พยายามปรับเสียงไม่ให้ดูหดหู่จนมากเกินไป คนที่รอไม่มาคนที่มาคือคนที่ไม่ได้รอ

“ขอบใจนะ” วิทมาถึงหลังจากที่โทรมาเพียง 10 นาที มาถึงวิทก็พุ่งตัวไปอาบน้ำเอาเสื้อผ้าเรามาใส่

“กินไรยัง?”

“ยัง”

“เฮ้ย กินได้แล้วนี่มันบ่ายแล้ว มาๆกินพร้อมกันมีอะไรบ้าง มาม่ามะ ทำให้”

“แม้ เป็นของทำยากเนอะ”

“กว่าจะใส่หมูใส่ผักก็ยากนะเฟ้ย” มื้อบ่ายนั้นอิ่มท้องไปด้วยมาม่าฝีมือของวิทที่เจ้าตัวเขาคุยหนักหนาอร่อยจนคนกินต้องร้องขอชีวิต น่าจะขอให้ชีวิตไม่หายไปมากกว่า

“กินนิดเดียวเองแบบนี้เมื่อไหร่จะโต”

“เราผอมมากเหรอ?” เริ่มเอาแขนขาขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง

“ฮึ ไม่อะ แต่มันไม่สูงอะมันออกข้าง”

“เออ ขอบใจ” หลังจากกินเสร็จก็เป็นคนอาสาล้างจานเองเพราะว่าวิทเป็นคนทำอาหารแล้ว วิทขออยู่ต่อเพราะยังติดต่อกับคนที่บ้านไม่ได้ ก็เลยย้ายถิ่นฐานจากห้องครัวมาปักหลักอยู่ที่หน้าโซฟากัน

   เวลาของคนรอแต่ละนาทีมันช่างยาวนานเหลือเกินทำไมทุกครั้งที่มองดูเข็มนาฬิกาจะรู้สึกว่าเวลามันเดินช้าจัง แล้วการที่เวลาเดินช้าก็ยิ่งทำให้เรากระวนกระวายคอยมองหาแต่ใครบางคน แล้วก็ที่คอยมองหาใครบางคนที่หน้าประตูก็ทำให้เรารู้สึกเหงา แม้วิทจะนั่งอยู่ตรงนี้ทำไมเรายังไม่รู้สึกหายเหงา นี่ไงมีเพื่อนแล้วไงมีเพื่อนคนนี้ก็ได้ไม่ต้องรอเพื่อนคนนั้นแล้ว

“แป้งต้องไปทำอะไรปะ? เรารอตรงนี้คนเดียวได้นะไปอ่านหนังสือไหม อยากเอ้นท์ติดนิ ขอโทษที่กวน”

“เปล่า”

“อ้าวเหรอ นึกว่าจะไปทำอะไรเห็นมองนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา” นั้นสินะ ไม่สามารถละสายตาจากนาฬิกาได้นานๆ เลยแม้ว่าตั้งใจเอาไว้ว่าจะเลิกรอแล้วเพราะนี้ก็เย็นแล้วก็ยังไม่มีแววว่าฟังจะมา

“ทำหน้าเบื่อโลก มาๆ ไหนๆ ก็ไม่อ่านหนังสือแล้วมาเล่นเกมส์ในมือถือกันดีกว่าเพิ่งโหลดมาใหม่” ขยับตัวเข้าไปหาวิทยื่นมือไปรับมือถือมาเล่นเกมส์ ไม่ได้เป็นคนชอบเล่นเกมส์แต่ ก็น่าจะดีกว่ามานั่งรอแบบไร้จุดหมายแบบนี้ละเนอะ

   อาจจะเป็นเพราะว่าเกมส์ที่วิทให้เล่นมันสนุกมากและเราเองก็ไม่ได้เล่นเกมส์มานานแล้วตั้งแต่ตั้งใจว่าจะเอ้นท์ติดที่เดียวกับฟังให้ได้ก็เลยทำให้เราไม่ได้ยินเสียงประตูรั้วบ้านที่เปิดเข้ามาและไม่ได้หันไปมองและก็ไม่ได้มองสภาพตัวเองด้วยว่าตอนนี้กำลังนอนเอาหน้าไปใกล้กับหน้าของวิทมากขนาดไหน

ปัง เสียงคนเปิดประตูเข้ามาในห้องรับแขกแล้วประตูกระเด้งกลับไปโดนกำแพง

“ฟัง” รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าหาที่หน้าประตูห้องรับแขกดีใจที่ในที่สุดฟังก็มาสักที แต่แล้วพอเข้าไปใกล้ฟังก็โยนพวกถุงขนมกับถุงกับข้าวใส่

“อะไรอะฟังเป็นอะไร”

“มึงเป็นไรเนี้ย อยู่ๆมาปาของใส่เพื่อนกูทำไม? แป้งโอเคไหม ใครอะแป้ง”

   เอามือวิทออกจากตัวไม่ได้ตอบคำถามของวิทรีบเดินเข้าไปหาฟังไม่เข้าใจว่าฟังเป็นอะไรทำไมต้องปาของใส่กันแล้วหน้าโกรธขนาดนั้นคืออะไร เราทำอะไรให้ฟังโกรธ ฟังทำท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขกเลยรีบวิ่งไปตะครุบตัวฟังเอาไว้ ขว้าแขนด้านขวาของฟังเอาไว้ได้ แต่ว่าฟังสะบัดมือออกทำเหมือนเราเป็นของร้อนแต่ฟังสูงกว่าแค่ตวัดแขนขึ้นข้อศอกของฟังก็เลยด้านที่มุมปากของเราพอดี

“เฮ้ยแป้ง” วิทเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหา ส่วนฟังหยุดยืนอยู่ที่เดิมมองทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาแต่ก็หยุดเท้าเอาไว้

“ฟัง ฮืออ” ไม่ได้จะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจแต่ว่าน้ำตามันไหลออกมาเอง

“((บอกให้เพื่อนแป้งกลับบ้านไป เดี๋ยวนี้))” ฟังใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับเรา

“วิท ฮึก กลับบ้าน ฮึก ไปก่อนนะ นะ ขอร้อง ฮึก ขอโทษที่ให้อยู่ต่อไม่ได้ อย่า ฮึก โกรธเรานะ ขอโทษนะ ฮึก”

“ไม่เอาไม่กลับอะเพื่อนแป้งทำแป้งขนาดนี้ไม่กลับ มึงเป็นบ้าไรเนี้ย”

“(อย่าเสือกเรื่องคนอื่น)” ฟังยื่นกระดาษมาที่หน้าของวิท

“อ้าว ไอ้เหี้ยนิ” วิททำท่าจะลุกขึ้นและดูเหมือนจะพร้อมเข้าไปมีเรื่องกับฟัง แต่ฟังจะมีเรื่องชกต่อยไม่ได้เพราะฟังต้องอ่านหนังสือเตรียมเอ้นท์เจ็บตัวกันไปจะพาลไม่ได้อ่านหนังสือกันเอา

“วิทอย่า ฮึก ขอร้อง ฮืออ กลับบ้านไปก่อนนะ นะ นะ นะ” ลงไปนั่งเพื่อที่จะขอร้องวิทให้วิทกลับบ้าน รู้สึกผิดเพราะจริงๆ แล้ววิทก็ไม่มีที่ไปแต่ว่าตอนนี้ตกใจฟังมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นไม่เคยเจอฟังตอนโมโหขนาดนี้ อยากรู้ว่าเราทำอะไรผิด

“โอเค มีอะไรโทรมาหาเรานะ” พยักหน้ารับแต่ตายังไม่ยอมละสายตาไปจากฟังเลยเพราะกลัวว่าฟังจะเดินออกจากบ้านไปซะก่อน

“ฟั...” ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นดีๆ เรียกชื่อฟังให้ครบเสียงฟังกูโน้มตัวลงมากอด กอดของฟังเป็นกอดที่แน่นมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นประกี้ฟังยังทำเหมือนโกรธกันอยู่เลยตอนนี้ฟังกลายเป็นคนที่โน้มตัวลงมากอดเราซะเอง ในอ้อมกอดมันมีความรู้สึกอึดอัดอยู่ด้วยแล้วมันคงอึดอัดและรู้สึกถึงความที่รัดแน่นมากเกินไปเราเลยตัดสินใจร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ฟังให้เรานั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เราถึงได้เลิกร้อง

“((ทำให้ร้องไห้อีกแล้ว ขอโทษนะครับ))”

“ทำไมมาช้าละ”

“((พอดีลูกตาลทำชีทหายเราเลยต้องแวะเอาไปให้เพื่อนๆ ก่อน แล้วก็เลยโดนดึงตัวอยู่นานเลยขอโทษนะ))”

“อื้ม”

“((เจ็บมากไหม?))”

“เจ็บปาก”

“((ขอโทษนะครับ))”

“อื้ม”

“((วิทมาตั้งแต่เมื่อไหร่?))”

“เมื่อเช้า”

“แล้วให้อยู่ทำไมถึงเย็น”

“((วิทขออยู่ก่อนเพราะว่าเข้าบ้านไม่ได้ แล้วอีกอย่างฟังก็ไม่มาสักที))”

“((แล้วมาทำอะไรกันบ้าง))”

“ ก็มีเล่นเกมส์ อ่อ วิททำมาม่าให้กินด้วยนะ อร่.........อื้ม”

   ยังไม่ทันได้พูดให้จบประโยคฟังก็โน้มหน้าลงมาตอนแรกที่คิดว่าฟังจะจูบที่ตาเหมือนที่เคยทำตอนที่ร้องไห้ แต่เปล่าเลยคราวนี้ฟังก้มลงเอาปากของฟังมาแตะที่ปากของเรา เริ่มจากแตะเบาๆ เหมือนคนไม่ค่อยมั่นใจก่อนที่จะกดปากนั้นย้ำๆ ลงมาที่ปากของเรา ฟังไล่จากตรงกลางของปากไปที่ทางซ้ายของมุมปากแล้วก็ค่อยเอาลิ้นแตะที่มุมปากของเรา อยากจะทำเลียบแบบฟังเลยอ้าแปกที่จะแลบลิ้นออกมาแตะที่ปากของฟังบ้าง แต่ลิ้นของเรายังไม่ถึงที่ปากของฟังเลยฟังก็เอาเปรียบโดยการที่เอาลิ้นของตัวเองเข้ามาในปากของเราก่อน

   นี่คือจูบใช่ไหม ในขณะที่กำลังให้ฟังทำตามใจชอบอยู่นั้นก็ได้แต่ถามตัวเองย้ำๆ ฟังจูบเราใช่ไหม? จูบทำไม ? เพื่อนกันจูบกันได้เหรอ? ไมสมองกำลังคิด พยายามที่จะคิดแต่พอจะรวบรวมความคิดที่ไรทั้งลิ้นทั้งมือของฟังที่ตอนนี้พยายามลูบหลังของเราเหมือนปลอบใจกันก็ทำให้เราหาคำตอบไม่ออก แล้วเราลงไปนั่งที่ตรงหว่างขาของฟังตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็ยังไม่รุ้ตัวเลย แล้วจะเอาสมาธิที่ไหนที่จะรวบรวมความคิดให้เป็นรูปร่างได้

   แต่อยู่ๆ จากที่กำลังจูบกันอยู่นั้นฟังก็หยุดซะเฉยๆ แล้วเอาหัวเราลงมาซบที่ไหล่ของฟังมืออีกข้างก็ดึงตัวเราเข้าไปกอด รู้ตัวว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วมากเหงื่อก็ออกตามจักแร้อีกด้วย ก็เลยลองเอามือไปจับที่หัวใจของฟังดูค่อยรู้สึกดีที่หัวใจของฟังก็เต้นแรงพอๆกันไม่ใช่เราที่เต้นแรงไปเพียงคนเดียว ฟังใช้เวลาที่กอดเราอยู่ในท่านั้นสักพักก่อนที่จะเอาตัวเราออกมากจากตัวของเขาแต่ฟังก็เปลี่ยนท่านั้นเป็นเอาเรานั่งที่ตักของเขาแล้วก็ให้ตัวเราพิงเขาไว้หลวมๆ

“ให้แป้งลงจากตักเถอะ แป้งนั่งพื้นก็ได้ แป้งตัวไม่เล็กนะ”

“((ไม่เป็นไรอยากให้นั่งอยู่อย่างนี้))”

“อื้ม” ไม่กล้าสบตาของฟังเพราะจะสบตาที่ไรตาไม่รักดีก็เอาแต่มองปากนั้นอยู่เรื่อย”

“((แป้ง คือ))”

   ไม่รุ้ว่าฟังจะพูดอะไรต่อ เพราะพอจบคำว่าคือของฟัง เสียงประตูรั้วบ้านก็เปิดออก รู้เลยว่าแม่กลับบ้านมาแล้ว ฟังดูลุกลี้ลุกลนเอาตัวเราลงจากตักแล้วก็พาเดินไปเข้าห้องน้ำบอกให้ล้างหน้าล้างตา แล้วฟังก็เข้าไปเข้าห้องน้ำต่อบอกแค่ว่าเดี๋ยวออกมาให้เราไปรับแม่ก่อน

“เป็นไรแป้งทำไมดูตาแดงๆ ร้องไห้หรือเอาแต่อ่านหนังสือ”

“ไม่มีอะไรแม่ หิวแล้วว”

“ลูกคนนี้ มาถึงก็ร้องหิวเลยไปรอก่อนนะ เดี๋ยวทำให้กิน”

“แม่ ฟังมานะแม่”

“อ่าว ฟังมาด้วยเหรอลูก ได้ๆ จะได้ทำกับข้าวเยอะๆ อ้าวแล้วนี่อะไรล่วงเต็มพื้น แป้งทำไรไว้นะ”

“((สวัสดีครับน้าปิ่น))”

“สวัสดีจ๊ะฟัง ไปไงมาไงไม่เห็นมานานแล้วนะ”

“((อ่อ พอดีช่วงนี้ติวหนักครับ))”

“อยู่กินข้าวด้วยกันนะ อ้าวแป้งมาเก็บของสิลูกทำอะไรไว้นะ”

“((ผมทำเองครับน้า เพราะผมเป็นคนทำเลอะแป้งไม่ได้ทำครับ))”

   ต่อให้ฟังไม่ออกตัวมาเก็บให้ตายผมก็ไม่มีวันก้มลงไปเก็บของกองนั้นที่กองอยู่ที่พื้นเด็ดขาดเพราะทุกครั้งที่มองไปที่กองกับข้าวกับถุงขนมเรารู้สึกอยากจะร้องไห้ทุกทีกลัวสีหน้าของฟังตอนนั้นกลัวการกระทำตกใจและที่สำคัญตอนนี้กำลังรู้สึกผิดกับวิทด้วยไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นไงบ้างเข้าบ้านได้รึยัง ตอนนี้แม่ก็มาแล้วถ้าชวนวิทมากินข้าวเย็นด้วยกันฟังไม่น่าโกรธอะไรแล้ว ยกโทรศัพท์กำลังจะโทรออกหาวิท

“โอ๊ย” ร้องลั่นเพราะเจ็บข้อศอกที่ล้มลงไปตอนที่ทะเลาะกับฟังแล้วฟังมาจับตรงนั้นพอดี

“((ขอโทษ เจ็บเหรอ))” เห็นแววตารู้สึกผิดก็เลยไม่ได้ว่าอะไรเพราะฟังคงไม่ได้ตั้งใจ

“ไม่เป็นไรแล้วนิดหน่อยพอดีฟังมือมาโดนเลยสะเทือนนิดนึงว่าไง”

“((แม่ให้มาตามไปช่วยในครัวนะไปยืนแปลให้หน่อยสิเดี๋ยวแม่ไม่ได้มองปากเราสั่งอะไรเดี๋ยวไม่รุ้เรื่องกัน))”

“แป้ปนึงได้ไหมขอโทรหาวิทก่อน”

“..............”

“ได้ไหม?”

“((อยากกินข้าวกัน 3 คนเนอะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว แม่ แป้ง และเรา))” ก็จริงอย่างที่ฟังว่า เพราะว่าช่วงนี้ฟังไม่ได้มาที่บ้านเลยถ้าวิทมาแล้วทั้งโต๊ะคุยแต่เรื่องที่เราสามคนรุ้วิทจะกร่อยเอาเปล่าๆ ก็เลยตัดสินใจไม่โทร แต่ส่งเมสเสจไปหาวิทแทน สั้นว่า “ขอโทษนะ”

   แล้วก็เป็นไปตามคาดทั้งโต๊ะคุยกันแต่เรื่องที่โรงเรียนเรื่องที่ติวหนังสือรู้สึกดีที่ไม่ชวนวิทมากินข้าวด้วยไม่งั้นมันคงกร่อยแน่นอนกินข้าวเสร็จฟังก็เดินไปหยิบขนมจากถุงมาให้ ไม่ได้แคะขนมถุงนั้นแต่เดินเลี่ยงไปล้างจานเก็บของเข้าตู้เย็น เพราะว่าอาหารเยอะกินไม่หมดไว้เป็นของรอบพรุ่งนี้แล้วกัน

“วันนี้ฟังจะค้างไหมลูก?”

“((ค้างครับ))”

“อย่าพากันนอนดึกมากนะ เจ้าแป้งไม่รู้เกิดฟิตอะไรขึ้นมาอ่านหนังสือตลอดเลย ฟังมาอย่าเพิ่งมาชวนให้แป้งฟิตไปมากไปกว่านี้เลยเถอะแม่ละกลัวไม่สบายกัน”

“((ครับ))”

   หลังจากมือเย็นจบไปเราสองคนก็ขอแม่ขึ้นมาบนห้องก่อนพอขึ้นมาถึงห้องได้ รีบหนีหน้าฟังโดยการไปอาบน้ำพยายามถ่วงเวลาในห้องน้ำให้นานที่สุดไม่ใช่ว่ายังโกรธเรื่องถูกปาของใส่แต่ยังคงมองหน้าไม่ติดแล้วอายเรื่องถูกจูบมากกว่ามันทั้งอายทั้งไม่เข้าใจ ตั้งแต่เด็กโดนนอนกอดจนเป็นเรื่องปกติแต่เรื่องจูบมันไม่เคยเกิดขึ้นแล้วที่มั่นใจอย่างมากก็คือถ้าคนไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันก็ไม่น่าที่จะต้องมาจูบกันแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่เป็นเพื่อนกันไม่มีทางจูบกันแน่นอน
ไม่รุ้อย่างเรากับฟังอยู่ในเคสไหน? คิดหาคำตอบคิดให้ตายก็คิดไม่ออก ลองเริ่มคิดจากฝั่งตัวเองก่อนว่าทำไมเราถึงยอมให้ฟังจูบทำไมถึงไม่ผลักออกทำไมถึงไม่โกรธ นั้นหมายความว่าเราเป็นคนที่จูบกับผู้ชายได้เหรอ? จูบได้กับผู้ชายทุกคน หรือว่าเป็นฟังคนเดียว? แล้วที่ผ่านมาเราคิดกับฟังเกินเพื่อนงั้นเหรอ? มันจริงอย่างที่เพื่อนๆ สมัยเด็กเคยล้อใช่ไหมว่าเราชอบฟังเราเลยคอยแต่ปกป้องฟัง

.....โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ Chaichan  ชีวิตต้องสู้ต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

รอออออ ติดตามตอนต่อไป 

แป้งไม่รู้ตัวว่ารักฟังแหงๆ  :hao7:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 6

      ความคิดนี้วนเวียนไปมาอยู่ในหัวตลอดเวลาคิดยังไงก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ แต่แล้วก็เลิกหาคำตอบเพราะมีอีกคนที่ยังรอใช้ห้องน้ำอยู่ อีกอย่างจะให้เราอยู่ในห้องน้ำแบบนี้ทั้งคืนก็คงจะไม่ได้ก็เลยตัดสินใจออกมาแต่พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็เจอแต่ความว่างเปล่าใจหายเพราะคิดว่าฟังคงกลับไปแล้ว กำลังนั่งบิ้วน้ำตาอยู่ที่ปลายเตียงเสียง ฟังก็เปิดประตูเข้ามา

“((มานั่งกอดเข่าทำมิวสิคทำไม))”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“คือ แบบ เรา เอ่อ แป้ง คือ แบบ คือ โอ๊ยย” ทำไมมันอึดอัดแบบนี้ตะกุกตะกักไม่กล้าที่จะถามออกไปข้องใจแต่ไม่กล้าถาม

“((ว่าไงครับ))” ฟังรู้รึเปล่าว่าเราจะถามอะไร ทำไมถึงทำหน้ายิ้มกริ่มขนาดนั้น ยิ้มของฟังแบบนี้ไม่ค่อยได่เห็นบ่อยมาก กำลังเพลิดเพลินไปกับยิ้มของฟังมารู้ตัวอีกทีหน้าของฟังก็มาใกล้กับหน้าของเราอีกแล้ว

“((ไม่พูดจะจูบแล้วนะครับ))”

   แล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป หน้าใกล้ขนาดนี้ใครจะไปอ้าปากพูดอะไรได้จูบของฟังทั้งสองครั้งนิ่มนวลมากฟังไม่ได้รุกล้ำเข้ามาแค่ใช้ปากแตะๆกันเหมือนเป็นการขออณุญาติ ฟังขอกันโดยการเอาลิ้นของเขาเริ่มมาแตะที่ปลายปากของเรา เพียงเท่านั้นเราก็ยอมให้ฟังเอาลิ้นของเขาเข้ามาอย่างง่ายดายเปิดปากยอมรับเข้ามาการจูบอนุบาลของเรากับฟังผ่านไปได้สักพักฟังก็หยุดเรารีบหายใจไม่ใช่ว่าเหนื่อยแต่ประกี้ลืมหายใจต้องรีบเอาอากาศเข้าปอด

“ฟัง จูบทำไม” ไม่แน่ใจว่ามีเสียงออกไปรึเปล่าเพราะว่าแต่ที่รู้ๆ คือปากขยับไปแล้วภาวนาให้ฟังไม่ได้ยินเพราะมันไม่ใช่คำถามที่ควรถามในตอนนี้เลยแต่มันห้ามตัวเองไม่ทัน ฟังพยายามจับหน้าของเราให้เงยขึ้นแต่เราไม่อยากเงยหน้าขึ้นเลยก็เลยพยายามเกร็งหน้าตัวเองให้ก้มเอาไว้ตลอด พอสักพักฟังก็เลิกพยายามได้แต่นั่งจับมือเอาไว้ แต่สักพักฟังเอามืออกไปแล้วทำท่าจะลุกขึ้น ใจหายวาบนึกว่าฟังจะเบื่อกันแล้วที่ไม่ยอมเงยหน้าสักทีเลยพยายามดึงมือฟังไว้แต่ฟังก็ไม่ยอมดึงมือตัวเองออกไปจนได้

“(ถ้าไม่เงยหน้าขึ้นมาเราจะคุยกันได้ยังไงครับ?)”

“.....................”

“(เงยหน้ามาสิครับคุยกันนะแป้ง)” โล่งอกที่ฟังหายไปเพราะว่าไปเอากระดาษมาเขียนเพื่อที่จะได้สื่อสารกับเราได้ ก็มันอายจะให้มองหน้าเอาจริงก็ต้องอ่านปากแล้วจาดเหตุการ์ณที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ คิดว่าเราจะมีสมาธิอ่านปากเขาไหม?

“เราพูดแล้วฟังเขียนตอบได้ไหม?”

“(ได้สิอยากคุยกับแป้งจะแย่อยู่แล้วยอม)”

“ฟัง สำหรับฟังเพื่อนกันเขาไม่ได้จูบกันเป็นปกติใช่ไหม?”

“(อื้ม ไม่ปกติ มีเพื่อนคนไหนบ้างที่เพื่อนกันเขาจูบกัน แป้งเคยจูบกับคนอื่นรึไง?)”

“ไม่เคย งั้นทำไมฟังจูบเรา เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”

“(แต่ก่อนนะเพื่อนใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วละ)”

“ฟัง” เลิกก้มหน้าเงยหน้าขึ้นมามองเองอัตโนมัตเหมือนคำตอบนั้นมันบ่งบอกไปทุกอย่างแสดงว่าฟังเองก็ไม่ได้คิดกับเราแต่เพื่อนสินะ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“((ยอมเงยหน้ามาคุยกันแล้วเหรอ?))”

“อย่าแซว เร็วๆ อยากรู้”

“((ก็ไม่รุ้สิ ตอบไม่ได้อยู่ๆ วันนึงก็รู้ตัวว่าเราไม่อยากได้คนนี้เป็นแค่เพื่อนแล้วเราอยากให้เพื่อนคนนี้คิดกับเรามากกว่านั้น))”

“แล้วทำไมไม่เห็นบอกเราเลยละ”

“((อื้ม ก็ไม่รู้ว่าแป้งจะรังเกียจไหม? ก็เลยไม่ได้พูดอะไร จริงๆ ตั้งใจว่าจะบอกตอนที่เรียนจบแล้ว))”

“เรียนจบแล้ว? นี่ก็จบแล้วไง”

“((ไม่ใช่เรียนจบปริญญาตรี))”

“.............” รู้เร็วมา 4 ปี ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี

“ทำไมต้องเรียบจบแล้ว”

“((ไม่บอกได้ไหมครับ? เรายังคงมีความตั้งใจเดิมนะ เราขอเรียนจบก่อนครับแป้งแล้วเราจะบอกให้รู้หมดทุกอย่างเลย))”

“ก็...มันก็สิทธิ์ของฟังว่าจะบอกรึเปล่า”

“((ขอบคุณครับ))”

“.............” อยู่ๆ บทสนทนาก็เงียบสนิทไม่มีใครพูดอะไรต่อ เลยเบี่ยงตัวออกเพื่อที่จะหยิบหนังสือมาทวนอ่านต่อเพราะว่าอีกไม่กี่วันก็ใกล้วันสอบเอ้นท์แล้ว

“(ไหนๆแป้งก็รู้เรื่องของฟังแล้วฟังถามเรื่องแป้งบ้างนะ)” กระดาษถูกยื่นมาตรงหน้าตอนที่เปิดหนังสืออ่านไปได้ 5 หน้าเท่านั้น

“ได้สิ” เงยหน้ามาจากหนังสือเพื่อที่จะพูดคุยกัน

“((ที่แป้งยอมให้ฟังจูบหมายความว่า?))”

“............................” ทำหน้าไม่ถูก รู้แต่ว่าหน้าร้อน ต้องร้อนมากแน่ๆ เหมือนส้นเลือดบนหน้าพร้อมจะแตกออกมาตอนนี้ อยากจะเอามือไปอังกับหน้าเพื่อลดความร้อนที่มีอยู่

“(( ว่าไงครับ))” โอ้โห สายตามาเต็ม มีการเว้นจังหวะด้วย ดีนะที่ไม่มีเสียงถ้ามีเสียงคิดว่าสมองน่าจะแตกตามไปตามหน้าด้วยแน่นอน

“((ว่าไง))” มีเร่ง

“คือ คือแบบ ถ้าเอาจริงๆ ก็ไม่รู้ พยายามหาคำตอบตัวเองในห้องน้ำเหมือนกันว่าทำไมถึงยอมให้จูบทำไมไม่ขัดขืน แต่ว่าก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้” สีหน้าของฟังมีเปลี่ยนไปนิดหน่อยจากตอนแรกที่อมยิ้มตอนนี้หน้านั้นดูนิ่งไป

“แต่ที่รู้ๆคือไมได้รังเกียจที่โดนจูบ” อะหน้าเริ่มไม่ตึงละ

“แล้วก็.....................ไม่ได้รังเกียจที่ถ้าจะต้องเป็นมากกว่าเพื่อนมั้งนะ? เพราะตอนที่คิ..............เหว่ออออออ” ยังพูดไม่ทันจบเงาดำก็โถมทับเข้ามาอย่างกับผีอำ ดีนะที่นั่งอยู่เลยสียหลักเอนตัวไปด้านหลังเท่านั้น ฟังกอดเราแน่นมากแต่เป็นแน่นที่อบอุ่นไม่ใช่แน่นแบบอึกอัดสักพักก็ปล่อยเราออกจากอ้อมกอดแล้วก็จับให้หน้าของเราตรงอยู่กับหน้าของฟัง

“((อย่าเพิ่งพูดอะไรไม่เอาไม่พูดนะ ฟังอยากเป็นคนที่ขอและพูด รอฟังนะครับ))”

“อื้ม” คืนนั้นฟังเอาชีทที่มีซีร้อคการสรุปมาให้ ฟังบอกว่าวันนี้ที่มาช้าส่วนนึงเพราะเอาสมุดไปซีร้อคมาให้เรา

“((ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าแป้งก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเราดีใจจัง))”

“อื้ม” จะให้พูดออกไปได้ไงว่า ที่อยากไปเรียนก็เพราะอยากตามไปนั้นแหละ ในเมื่อเจ้าตัวเขาบอกว่าห้ามพูดเดี๋ยวเขาจะพูดเองเราก็คงต้องรอให้เขาพูดก่อนสิเนอะ นั่งอ่านหนังสือไปได้แป้ปเดียวก็รู้สึกง่วงไม่ไหวแล้วแต่ว่าอยากนอนพร้อมกับฟังเลยฟื้นนั่งไปก่อนไม่รุ้ว่าเปลอหลับไปตอนไหนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟังสะกิดบอกให้ไปนอนดีๆที่เตียง

“ไม่เอาจะนอนพร้อมฟังอะ”

“((ไปนอนดีๆครับ เดี๋ยวขออีกแป้ปนะเดี๋ยวไปนอนด้วยแล้ว))”

“อื้ม เร็วๆนะ”

“((ครับๆ))” ไม่ฝืนต่อลากตัวเองมานอนที่เตียงพอหัวถึงหมอนปุ้ปร่างกายก็ตัดโลกภายนอกออกทันที

   ผ่านมาแป้ปๆ ก็ถึงวันที่สอบเอ้นท์แล้วตื่นเต้นสุดๆ กลัวมากว่าจะไม่ได้คณะที่เลือกเอาไว้ กลัวว่าจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน จริงๆ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาฟังก็บอกว่าจะมาติวให้อีกรอบปิดท้ายก่อนเข้าสนามจริง แต่ทุกครั้งที่ฟังมาเสียงเมสเสจในโทรศัพท์ของฟังจะดังตลอดเวลา มาจากลูกตาลเป็นส่วนมากแรกๆก็ไม่พอใจแต่พอเอาโทรศัพท์ของฟังมาดูก็เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทเรียนทั้งนั้น แล้วนอกนั้นก็จะมีเมสเสจจากเพื่อนที่ห้องของฟังบ้างหรือว่าจากน้าหน่อยบ้าง  ฟังบอกว่าลูกตาลต้องการเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเรานั้นแหละพ่อแม่ของลูกตาลเองก็หวังให้ลูกตาลเอ้นท์ติด พอฟังพูดแบบนี้เราก็เลยเข้าใจถึงความเครียดของลูกตาลเหมือนกัน ก็เลยบอกฟังไปว่าให้ฟังไปติวกับเพื่อนๆเถอะ อยู่ที่นี้ก็ติวเราคนเดียวเราก็ช่วยอะไรฟังไม่ได้มาก แถมอ่านแป้ปเดียวก็ต้องคอยพักเพราะเราชอบปวดกระดูกแต่ถ้าฟังไปติวกับเพื่อนจะได้ผลัดกันติวและเราจะได้ไม่เป็นตัวถ่วง

     แต่ฟังก็ไม่ยอม แม้จะตบปากรับคำไปกับเพื่อนแต่ก็เอาเราไปด้วย ไปแล้วเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินเพราะคนอื่นๆ ก็ช่วยกันผลัดกันติวผลัดกันอธิบาย มีแต่เราที่มาเอาความรู้ของคนอื่นอย่างเดียว จริงๆลูกตาลก็พยายามไม่ให้เราเป็นตัวแปลกแยกนะ โดยการที่พยายามให้เราช่วยติวในบางหัวข้ออยากขอบคุณในความหวังดีคงเห็นว่าเรานั่งเงียบเลยพยายามชวนคุย แต่ว่าเราก็ไม่สามารถติวหัวข้อนั้นๆ ให้กับคนอื่นในโต๊ะได้ ทุกคนก็เลยเมินเราไป

      หลังจากกลับมาจากการติวกับกลุ่มเพื่อนๆของฟังคราวนั้นเราก็ไม่ขอไปด้วยอีกเลยรู้สึกมันไม่ใช่ที่ของเราอย่างไรก็ไม่รู้ก็เลยตัดสินใจบอกไปว่าเรานั่งนานๆ ไม่ถนัดเลยขออยุ่บ้านดีกว่า ช่วงหลังๆ ก็เลยแยกกันอ่านกับฟังโดยสิ้นเชิง  เมื่อวานเครียดมากก่อนสอบอ่านอะไรก็ไม่เข้าหัวก็เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นบอกกับตัวเองแล้ว ว่าวันนี้ไม่อ่านแล้วเดินเล่นได้สักพักก็เลยนึกถึงวิทว่าตั้งแต่วันนั้นที่เจอกับวิทเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยก็เลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา

“ฮัลโหล” เพียงแต่ 3 -4 กริ้งวิทก็รับโทรศัพท์แล้ว

“ฮัลโหล วิทอยู่ไหนอะ”

“บ้าน ว่าไง”

“คือ ไปหาได้ไหม?”

“มาดิมาได้ ซื้อของกินมาด้วยบ้านไร้ของกิน”

“เออๆ” ไปถึงบ้านโชคดีที่วิทก็ยิ้มต้อนรับเราเหมือนเดิมไม่ได้มีความโกรธเคืองเหลืออยุ่บนหน้าเลยที่เราไล่วิทออกจากบ้านไปเมื่อวันนั้น

“เออ วิทเรื่องเมื่อวันก่อนขอโทษด้วยนะ”

“ผ่านมานแล้วแป้งไม่โกรธแล้ว”

“เราก็อยากจะขอโทษอยู่ดี เรารุ้สึกผิดที่ไล่วิทออกมา อีกอย่างส่งเมสเสจมาขอโทษแล้วแต่ไม่เห็นตอบกลับก็เลยคิดว่ายังไม่หายโกรธ”

“อ่อ วันนี้ก็เลยจะมาง้อว่างั้น?”

“อื้ม”

“คิดมากนะไม่โกรธแล้ว ว่าแต่วันนั้นแป้งกับมันโอเคนะ? ไม่ได้ทะเลาะกันต่อใช่ไหม?”

“อื้ม ไม่ได้ทะเลาะกันต่อ”

“ก็ดีแล้ว” นั่งกินขนมคุยเรื่อยเปื่อยเรื่องที่โรงเรียนของวิทแล้วก็เพื่อนที่โรงเรียนเดียวกับวิทที่เคยไปกินข้าวด้วยกันวันนั้น คุยไปคุยมาไม่รุ้ว่าจากเรื่องเรื่อยเปื่อยมันวกกลับเข้ามาเป็นเรื่องเครียดได้ยังไง

“วิท เรื่องเอ้นท์ วิทเครียดไหม?”

“อื้ม ก็ไม่นะ เพราะจริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอ้นท์ติดอยู่แล้วระดับสมองขนาดนี้ แต่แม่ก็อยากให้ลองก็เลยว่าจะลองดู”

“แล้ววิทมองทางเลือกถ้าเอ้นท์ไม่ติดไว้แล้วยัง”

“เลือกแล้วคงเอาคณะที่ชอบเป็นหลัก พอดีมีมหาวิทยาลัยเอกชนที่นึงดังคณะนิเทศชื่อมหาวิทยาลัย...เคยได้ยินไหม?”

“อ่อ เคยๆ เอ่อก็น่าเรียนดีนะเคยดูโปรโมทในทีวี”

“อื้ม เลยว่าถ้าไม่ติดก็จะรีบดิ่งตรงไปที่นั้นเลย”

“แล้วแป้งละ”

“เราเหรอ ยังไม่รู้เลย ไม่ได้มองที่อื่นไว้เลยยกเว้นที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปสอบ”


“คือมั่นใจว่าจะติด?”
“ไม่ เราไม่มั่นใจเลย วันนี้เครียดมากเลยอ่านไม่เข้าหัวเลย เลยไม่อ่านแล้วหนังสือเนี่ย”

“โธ่ เห็นเราเป็นที่ระบายความเครียด คิดไรมากว๊ะแป้ง ไม่ติดก็คือไม่ติด ไม่ติดก็ไม่ตายมีที่หาความรู้ได้อีกเยอะ ถ้าไม่ติดจะไปเรียนที่เดียวกับเราก็ได้นะไม่หวงสถานที่”

“ฮ่าๆๆๆ ไอ้บ้าเป็นคนก่อตั้งรึไงมามีไม่หวง อื้มไว้จะคิดดูนะ”

“โอเค” วันนั้นนั่งกินขนมนั่งคุยกับวิทจนถึงช่วงเย็นแล้วค่อยกลับบ้านรุ้สึกความเครียดหายไปเยอะเลย จัดของเตรียมตัวไปสอบพรุ่งนี้ ไหว้พระก่อนนอนขอพรเพียงอย่างเดียว ขอให้ได้เข้าเรียนที่เดียวกับฟังด้วยเถิดคนละคณะก็ไม่เป็นไรแค่ที่เดียวกันก็ยังดี

   เช้าวันรุ่งขึ้นไปที่สนามสอบไม่ได้มาพร้อมกับฟังแต่นัดกับฟังไว้ว่าจะมาเจอกันที่นี้เลยแทน มาถึงสนามสอบแต่เช้าเพราะว่าแม่มาส่ง เดินไปรอที่จุดที่นัดกันก็เห็นลูกตาลนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้วลูกตาลยิ้มให้แล้วควักมือเรียกเรา ลูกตาลลุกขึ้นแล้วควักมือเรียกอีกคนเลยหันหลังไปดู อ่อ ฟังมาแล้วนั้นเอง คุยอะไรกันนิดหน่อยก็ถึงเวลาเข้าห้องสอบ เป็นการสอบที่ยาวนานออกมาจากห้องสอบเดินออกมาเหมือนคนไม่ได้เอาวิญญาณออกมาด้วยสมองมันเบลอๆ

“เป็นไงทำได้ไหมแป้ง?” ลูกตาลเดินมาสะกิดทักตอนที่เราเดินลงมาจากตึกที่สอบ

“ได้ทำมากกว่า”

“ฮ่าๆๆ แป้งนี้ตลกจังสำหรับเร.....ฟังๆทางนี้ๆ” ยังพูดไม่จบเลยประกี้ลูกตาลจะพูดอะไรนะเราฟังไม่ทันหรือว่าเขาเลิกพูดไปเฉยๆกัน

“ฟังมาพอดีเลย เราหิวมากเลยอะไปหาอะไรกินกันไหม?” ลูกตาลชวนฟังไปหาอะไรกิน ฟังไม่ได้ตอบแต่หันมามองหน้าเราแทน

“ไปกันสองคนเหอะ เราไม่ไหวอะ”

“((งั้นเราไม่ไปนะลูกตาลแป้งดูไม่ไหวจริงๆ ไว้วันหลังแล้วกัน))” กำลังจะท้วงว่าไม่เป็นไรไปกันเถอะ แต่ว่าฟังก็เดินมาดึงแขนบอกให้เดิน

“อ้าว เรารอฟังเลยนะไม่ได้ไปไหนเลย เราหิวนะฟัง”

“((แต่เราไม่หิว))”

“โอเคๆ งั้นไปแล้วละ บะบายเจอกันวันประกาศผลนะ”

“บาย//((บาย))”

......โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

คุณ naya-devil ขอบคุณสำหรับเม้นท์ค่ะ // เมื่อไหร่แป้งจะรู้ตัวมากกว่านี้มาลุ้นไปด้วยกันนะคะ

มาคุยกันๆที่ Twitter @fdfeefa ค่ะ

ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
ตอนที่ 7

   กลับไปบ้านพุ่งตัวเตรียมจะล้มลงนอนที่โซฟาตั้งหน้าตั้งตาจัดท่าทางพอที่ได้ท่าพร้อมกำลังจะเคลิ้มปิดตาลง อยู่ๆที่ริมฝีปากก็โดนจู่โจม “จุ้บ” สั้นๆ ง่ายๆ เร็วๆ มาแป้ปเดียวแล้วก็จากไป อารมณ์ที่ง่วงนั้นหายไปกับตา ลืมตาโพล่ง

“ทำไร”

“((จุ้บไง ดีที่ไม่จูบเห็นง่วงอยู่นะเนี่ย))”

“อะ อะไร ทำได้ไงเล่า ไม่ได้ขออนุญาติเลย”

“((อ่อ ต้องขอนะ ได้ๆ ขอจุ้บนะครับ))”

“ใช่มันต้องขอแบบนี้”

“จุ้บ”

“เฮ้ยย ทำไรอีก จุ้บทำไมจุ้บไปแล้วนิ”

“((อ้าวก็ขอแล้วก็ต้องทำสิ ให้ขอเฉยๆ แล้วไม่จุ้บจะขอทำไม))”

“เจ้าเล่ห์...ว่าแต่วันนี้เป็นไงทำข้อสอบได้ไหม?”

“((ได้บ้าง แป้งละ?))”

“ไม่แน่ใจเลย จริงๆนะ กลัวที่ทำลงไปได้แค่ได้ทำนะสิ”

“((เอาน่าไม่ต้องกังวลนะ ถึงไม่ติดก็ไม่ต้องกังวล ยังไงเราก็ไม่ปล่อยให้แป้งไปเรียนที่ไหนคนเดียวหรอก))”

“จริงเหรอ ไม่ใช่พอติดแล้วเราไม่ติดก็ทิ้งเราเลยนะ”

“((จริงสิครับ ไม่ทิ้งหรอก))”

“แล้วถ้าเราเอ้นท์ไม่ติดจริงละ?”

“((ก็ไปเรียนกับแป้งไงครับ))” สิ้นคำพูดนั้นของฟังเราก็ปล่อยโฮแบบไม่เหลือไว้ซึ่งมาดเลย เพราะเรื่องที่กดดันและหนักใจมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ ม.6 ก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่เราอาจจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน แล้วก็ยังคงน้อยใจอยู่ลึกๆมาตลอดเรื่องที่ว่าฟังอาจจะไม่ได้แคร์ที่ไม่ได้เรียนที่เดียวกับเรา ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฟังก็อยากเรียนที่เดียวกับเราด้วยเหมือนกัน

“ทำไม ถึง ไม่เคย บอกกันเลยว่า จะเรียน ด้วยกัน”

“((โอ๋ ไม่ร้องนะครับขอโทษที่ไม่ได้บอก ก็อยากให้แป้งตั้งใจแล้วทำให้ดีที่สุด ถ้าไม่ได้ก็ค่อยไปเรียนด้วยกัน ถ้าได้ก็ดีเท่านั้นเอง))” ตอนนี้เหมือนตัวเองย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเพราะเอาแต่นั่งร้องไห้โดยที่มีฟังกอดเราไว้จากด้านหลังแล้วก็โยกปลอบเราไปมา ที่น้ำตายังไหลไม่หยุดไม่ใช่เพราะเราห้ามแล้วมันไม่หยุดแต่มันเป็นเพราะเราไม่อยากห้ามเพราะมันคือน้ำตาแห่ความดีใจ โล่งใจเราเลยไม่คิดจะห้ามมัน เราอยากให้ฟังรู้ว่าเราโล่งใจมากแค่ไหนที่ได้รู้ และเราดีใจแค่ไหนที่ได้ยินแบบนี้ หวังว่าฟังคงจะรับรู้มันได้

“มาแล้วครับๆๆๆ” อื้มหื้มเสียงกดออดดังสนั่นมากรีบวิ่งลงจากบ้านมาเปิดประตูแทบตายกลัวว่าข้างบ้านหรือบ้านตรงข้ามจะตีฟังหัวแตกเอา

“เบาๆก็ได้ 2 ครั้งก็รู้เรื่องแล้วเข้ามาแป้ปนึงขอเก็บของก่อน”

     หน้าเอ๋อไปเลยผมเป็นครั้งแรกที่ฟังหัวเราะแบบเปิดปาก เคยถามไปว่าทำไมพอโตขึ้นมาไม่เห็นฟังอ้าปากหัวเราะเลย ฟังบอกว่าจะอ้าทำไมเพราะอ้ากับไม่อ้าก็ไม่ต่างเพราะไม่มีเสียงออกมาเหมือนกัน สงสัยวันนี้ฟังคงจะอารมณ์ดีมากถึงได้หัวเราะขนาดนี้ ก็แน่นอนวันนี้คือวันที่เรา 2 คนจะไปเที่ยวเชียงใหม่กันก่อนวันประกาศผลสอบ เราเป็นคนขอตื้อไปเองละเพราะเครียดดด ยิ่งใกล้วันประกาศผลยิ่งเครียดทั้งๆที่ฟังก็บอกแล้วว่าไม่ติดก็ไม่เป็นไรแม่จะรู้ว่ายังไงก็เรียนด้วยกันแต่ก็ยังอยากติด อาจจะเพราะเราทำไปเต็มความสามารถพร้มกับทุ่มเท และที่สำคัญก็อยากให้ฟังได้เรียนในที่ ที่ฟังอยากเรียนด้วยก็เลยแอบมีการคาดหวังอยู่บ้าง

“ไปเชียงใหม่สามวัน 2 คืนเองจะได้เที่ยวทั่วเชียงใหม่ไหมเนี่ย?” ขณะที่นั่งอยู่ในเครื่องก็แอบตัดพ้อเบาๆ

“((มีเงินค่าโรงแรมรึไง?))”

“ก็....ไม่มี ก็ถ้าไม่นั่งเครื่องก็มีเงินเหลือค่าโรงแรมแล้ว” ฟังไม่ได้ตอบอะไรแต่เอามือมาจับที่ขาของผมก็รู้และว่าเพราะอะไรที่ทำให้ฟังตัดสินใจมาเชียงใหม่ด้วยเครื่องบินทั้งๆ ที่มีรถทัวร์และรถไฟก็เพราะว่าถ้านั่งนานๆผมเองนี่แหละที่จะไม่รอดกระดูกแขนขาต้องเจ็บมากแน่ๆ

“ขอโทษนะเพราะเราเลยฟังเลยต้องเปลือง”

“((ไม่ต้องขอโทษเราเต็มใจ เราอยากมาเที่ยวกับแป้งอยู่แล้ว))” ไม่ได้คุยอะไรกันต่อแค่นั่งจับมือกันไปจนเครื่องลงจอด

“((เดี๋ยวเราไปโรงแรมกันก่อนเนอะไปเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้วเดี๋ยวมากินข้าวกัน))”

“อื้ม โอเค อยากไปกินไอติมร้าน ไอเบอร์รี่อะ อยากไปถ่ายรูป”

“((ได้ๆ งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวร้านแถวนั้นเลยแล้วกันมีคนแนะนำว่าอร่อยเยอะนะในซอยนั้น))”

      รีบพุ่งตัวไปเก็บของที่ห้องเพราะว่ากะเพาะอาหารเริ่มทำงานอย่างหนักมากแล้ว อาหารร้านที่ฟังบอกอร่อยมากจริงๆ โดยเฉพาะเกี้ยวห่อชีทนี้ถึงใจมากๆ แล้วก็แวะไปกินไอติมกันต่อ ชวนฟังไปเดินถนนคนเดินตอนเย็นคนเยอะมากกแต่สนุกดีไปถ่ายรูปแถวคูเมืองตอนกลางคืน ฟังบอกว่าพรุ่งนี้เราน่าจะมาเก็บภาพตอนกลางวันกันด้วย

เก็บเกี่ยวความสุขที่เชียงใหม่อย่างชุ่มปอดก็เดินทางกลับกรุงเทพเตรียมลุ้นกับผลสอบ

ฟัง  “ไม่ต้องกังวลนะได้คือได้ไม่ได้คือไม่ได้นอนซะนะครับ” อย่างกะตาเห็นรู้ได้ยังไงว่าเรายังไม่นอนหรือว่ามาแอบมองหน้าต่างที่หน้าบ้าน รีบวิ่งไปที่หน้าตาแอบแหวกผ้าม่านดูก็ไม่เห็นนะ

แป้ง “อื้ม ไม่เครียดนะแต่มันแอบลุ้นอะ”

ฟัง “ฝันดีนะครับนอนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาที่บ้านนะไปลุ้นผลกัน”

แป้ง “อื้ม ฝันดีนะ”

   เช้าวันรุ่งขึ้นฟังมาหาเช้าเราจะดูผลการสอบเอ้นท์กันตอนบ่ายทางอินเตอร์เน็ทเตรียมพร้อมคอมพิวเตอร์แล้วเวลาเตรียมเชือดก็มาถึงเราบอกว่าให้ดูของฟังก่อนแล้วค่อยมาดูของเรา

“เฮ้ยยยย นี่ไงชื่อของฟัง เย้ๆๆๆๆ ฟังเก่งที่สุดเลย เย้ๆ” ร้องลั่นดีใจเพราะว่าเห็นชื่อฟังแล้ว

“((พร้อมเนอะ))”

“อื้ม” ถึงเวลาค้นหาชื่อของตัวเอง

“ไม่ติด”
     
     มือเท้าเย็นเฉียบขึ้นมากระทันหันรีบพละออกจากที่นั่งดูผลเพราะว่ารู้สึกว่าอยากจะอ๊วกขึ้นมาวิ่งตรงที่ห้องน้ำนั่งนิ่งอยู่ในนั้น เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเสียงดังเท่าไหร่เรายิ่งเวียนหัวจากแค่เข้ามานั่งพักก็เกิดอาการ อาเจียนออกมาจริงๆ แม้เสร็จนานแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมออกไปเพราะว่ายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าฟังไม่รุ้ว่าจะทำหน้ายังไงดีไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรกับฟังดี แต่แม้จะนานผ่านไปแต่ไหนเสียงเคาะประตูห้องน้ำไม่ได้เงียบลงเลยฟังยังคงยืนเคาะอยู่ตรงนั้น

“พอแล้วหยุดเคาะได้แล้ว เดี๋ยวออกไป”

“พอแล้วอย่าเคาะ”

“พอ” แต่ฟังก็ไม่ย่อท้อยังคงเคาะประตูห้องน้ำไปเรื่อยๆ

แกร้ก

    ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดประตูออกมาเราจะมาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำไม่ได้ฟังจะเจ็บมือแค่ไหนอยากให้เขาพอแล้วไม่อยากให้เขาเจ็บมือแล้ว ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นประตูฟังก็เดินมาดึงตัวเราเข้าไปกอด น้ำตาที่หายไปแล้วก็ผุดขึ้นมาใหม่

“((บอกแล้วไงว่าเรายังไงก็ต้องได้เรียนที่เดียวกันไม่ร้องนะ ไม่ติดก็ไม่ติดเนอะ ไม่ร้องนะครับ))”

“อื้ม”
     
    คืนนั้นฟังนอนที่บ้าน รู้แหละว่ายังไงก็ต้องได้เรียนด้วยกันไม่คิดว่าที่ร้องไห้จะเป็นเพราะเรื่องนั้น คิดว่าที่ร้องไห้หนักน่าจะเป็นเพราะว่ากำลังช้อคที่เราไม่ติดมากกว่า เพราะเราเองก็ทำเต็มที่ เช้าวันต่อมาฟังต้องกลับบ้านเพราะว่าน้าหน่อยกลับมาบ้าน คืนนั้นพอแม่กลับมาบ้าน เราก็บอกเรื่องที่เราเอ็นท์ไม่ติด เราขอโทษ แม่บอกว่าไม่เป็นไรเราทำดีที่สุดแล้ว แล้วก็ให้เราเริ่มหาที่เรียนของเอกชนได้แล้ว

ตรู้ด มองดูหน้าจอโทรศัพท์เช้าขนาดนี้ตอนแรกนึกว่าฟังโทรมาแอบแปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ใช่คนที่คิดไว้

“ฮัลโหลลูกตาล”

“หวัดดีแป้งเราขอเจอแป้งวันนี้ได้ไหม?”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“มี แต่การมาเจอกันครั้งนี้ขอนะอย่าบอกฟัง”

“ฟังไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นแต่ถ้าแป้งไม่มาก็ไม่แน่”

“โอเคงั้นรอเราแป้ปนึงนะเอาแถวไหนดี?”

“เราตอนนี้อยู่ที่...แป้งมาตรงร้านกาแฟฝั่ง...แล้วกันนะ”

“โอเค แล้วเดี๋ยวเจอกัน” วางหูจากลูกตาลก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าคว้าเอากระเป๋าตังค์ได้ก็แทบอยากจะกระโดดตัวลอยไปหน้าปากซอยไปเรียกแท๊กซี่เลยทีเดียวรีบวิ่งลงมาจากชั้นบนจนขาแถบจะขวิดกัน

“แป้ง ไปไหนลูกคุยกับแม่ก่อน”

“แม่เดี๋ยวแป้งกลับมาขอรีบออกไปนะ”

“ไปไหน แป้งเดี๋ยวคุยกับแม่ก่อน เรื่องสำคัญ”

“ไม่ทันแล้วแม่ ธุระของแป้งก็สำคัญไปนะ” พุ่งตัวออกที่นอกบ้านโดยไม่ได้หยุดฟังแม่เลยว่าแม่ต้องการจะพูดว่าอะไรรู้แต่ว่าใจของเราตอนนี้มุ่งตรงไปที่ร้านกาแฟที่ลูกตาลนั้นรออยู่แล้ว อะไรทำไมถ้าเราไม่ไปแล้วฟังจะแย่

“หวัดดีลูกตาลเรามาช้าไปไหมรอนานไหมขอโทษนะ” ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาทีเราก็มาถึงที่นัดหมาย

“ไม่นานเลยขอบคุณนะที่ออกมา นั่งพักก่อนไหม?”

“ขอบคุณ” ขอสูดอากาศเข้าปอดสักนิดวิ่งมาจนลืมหายใจ จริงๆบรรยากาศมองไปรอบๆร้านก็ดีนะ นี่ถ้าไม่ได้รีบร้อนก็สมควรเป็นร้านที่นั่งชิวในระดับนึงเลยละ บรรยากาศก็ดี ร้านดูน่านั่ง

“อยากสั่งอะไรกินก่อนไหม?”

“ไม่ละเราโอเค ลูกตาลพูดมาเลยว่ามีเรื่องด่วนอะไรของฟังเราร้อนใจ”

“ดูท่าทางแป้งกับฟังนี่เป็นเพื่อนที่รักกันมากเนอะ”

“ก็...รู้จักกันมาแต่เด็กๆนะ”

“อ่อ อื้ม เอ่อ อย่างแรกเลย เราเสียใจด้วยนะที่แป้งเอ้นท์ไม่ติดนะ”

“อ่อ ขอบคุณไม่เป็นไรตอนนี้เราโอเคแล้ว”

“แล้วแป้งได้ลองหาที่เรียนรึยัง?” ก่อนตอบมองหน้าลูกตาลนิดหน่อยเพราะไม่เข้าใจว่าลูกตาลจะมานั่งคุยเรื่องพวกนี้ทำไม ทำไมลูกตาลไม่เข้าเรื่องเกี่ยวกับฟังสักที

“ยังเลยเพราะว่ากะให้ฟังเลือกอยากให้เขาเลือกที่เขาชอบเราเรียนที่ไหนก็ได้”

“แป้ง ที่เราเรียกแป้งออกมาคุยก็เรื่องนี้แหละ เรารู้ว่าแป้งสนิทกับฟังมากแล้วเราก็รู้ว่าแป้งกับฟังตั้งใจไปเรียนที่เดียวกัน แต่เราขอโทษนะที่พูดแบบนี้แป้งปล่อยฟังไปเจอสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้เหรอ?”

 “ห๊ะ?”

“ขอร้องละฟังอยากเรียนที่นี้จริงๆ ตอนที่ติวกันฟังก็ไม่ได้มองที่อื่นไว้เลย แล้วเขาก็ทำสำเร็จแล้วเขาพยายามมากนะ แป้งรู้ไหมว่าฟังตั้งใจอ่านหนังสือมาก ที่ฟังมาติวให้พวกเราเพราะว่าฟังก็ต้องการทวนตัวเองไปในตัวยังไงแล้วอยู่ๆวันที่เขาทำได้ แป้งจะดึงให้ฟังลงมาอยู่กับแป้ง อย่าดึงฟังไปที่อื่นถ้าแป้งสอบไม่ติดเลยนะ”

“คือ.......”

“เราไม่ได้ว่าแป้งไม่ฉลาดนะ เราก็เห็นว่าแป้งตั้งใจแป้งมาอ่านหนังสือแป้งก็อ่านจริงๆ ไม่ได้มาเล่น แต่ความพยายามของแป้งมันไม่มากพอ แต่ความพยายามของฟังมันมากพอแป้งตั้งใจจะให้ฟังละความพยายามนั้นไปจริงๆเหรอ?”

“เราเองก็ติดที่เดียวกับฟัง ถ้าแป้งเป็นห่วงฟังกลัวฟังไม่มีเพื่อนเข้ากับคนอื่นไม่ได้แป้งไม่ต้องเป็นห่วง เราก็หนึ่งในเพื่อนของฟังเราไม่ทิ้งเขาหรอก อีกอย่างฟังก็แค่พูดไม่ได้นะแป้งไม่ใช่สื่อสารไม่ได้เลยไม่ต้องกังวลไป”

“คือ...เราไม่รู้ ก็เห็นฟังบอกว่าฟังก็อยากมาเรียนกับเรา” ตอบลูกตาลออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา พูดไปก้มหน้าไปไม่กล้าเงยหน้ามามองสู้ตาทำไมสิ่งที่ลูกตาลพูดทำให้เรารู้สึกตัวเล็กลง

“แป้ง แป้งเป็นเพื่อนรักของฟังแป้งลองคิดดูแล้วกันว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุดของฟังเราว่าแป้งรู้”

“แต่...”

“เราเห็นแป้งตัวติดกับฟังที่โรงเรียนตลอดเลย เรื่องการบ้านเราก็รู้นะว่าฟังต้องคอยดูให้แป้งถามจริงๆแป้งคาดหวังจะเอาแต่พึ่งฟังไปอย่างนี้เรื่อยๆเลยเหรอ?”

“เราเปล่า”

“ถ้าเปล่า ทำไมแป้งถึงไม่คิดอยากเรียนคนละที่กับฟังละ? ทำไมแป้งต้องคอยมาตามติดฟังละ”

“คือ...” จะให้บอกออกไปได้ยังไงว่าที่ตามติดฟังก็เพิ่งรู้นี่ละว่าความหมายคือเรารู้สึกอยากอยู่ใกล้กับฟังตลอดเวลาและมากกว่าเพื่อนด้วย

“เราไม่ได้ให้แป้งตอบเราวันนี้เราอยากให้แป้งเก็บเอาไปคิด เรารู้ว่าแป้งจะรู้ว่าแป้งต้องทำอะไร เรารู้ว่าแป้งต้องเข้าใจ ที่เรามาพูดไม่ใช่อะไรนะแต่ว่าเราก็สอบติดที่เดียวกับฟังเรานัดฟังไปเรื่องมอบตัวแต่ฟังบอกว่าฟังจะขอสละสิทธิ์เราถามอะไรก็ไม่ตอบ แต่พอถามถึงแป้งฟังก็บอกแค่ว่าแป้งเอ้นท์ไม่ติดเราก็เลยพอรู้ว่าเพราะอะไรเพราะเราไม่เห็น 2 คนนี้ห่างกันเลย”

“.....”

“เรื่องที่เราจะพูดก็มีแค่นี้แหละฝากไว้ด้วยละกันนะ เราขอตัวก่อนละ”

“อื้ม”

“จะเดินออกไปพร้อมเราเลยไหม?”

“ไม่ดีกว่าเราขอนั่งตรงนี้อีกสักแป้ปนึง”

“บายจ๊ะ”

.....โปรดติดตามตอนต่อไป...........

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 6 วันที่ 03/06/2016
« ตอบ #19 เมื่อ: 07-06-2016 11:03:32 »





ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีตัวแปรเข้ามาซะล่ะ ..จะตัดสินใจไงดีนะ
อ่านรวดเดียวสามตอนเลย

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:


ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:

คุณพระะะะะ

ขอบคุณมากเลยค่ะ นี้ไม่รู้ตัวเลยว่าพิมพ์อย่างนั้นลงไปตอนที่คิดพล้อตคิดไว้แค่ว่าเขียนให้แล้วส่งสรุปแล้วก็มาพิมพ์ลงเครื่องในมือถือให้อีกที แป้งเลยไม่ต้องอ่านเอง ทำไมพิมพ์ว่าอัดเสียงลงไปปปปปป ฉันทำอะไรลงไป ตอนพิมพ์น่าจะเมา ขอบคุณมากนะคะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพิมพ์แบบนั้นลงไป อ๊ากกกก

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อยากอ่านต่อแล้วว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ฟังเข้ารพ. จะรอนะคะ



ปล.งงนิดนึงค่ะ ตรงที่แป้งบอกว่าช่วงสอบเอ็นท์ฟังอัดเสียงให้ไว้ฟังทางมือถือ ฟังพูดไม่ได้นี่คะ หรืออะไร? ยังไง?  :really2:

คุณพระะะะะ

ขอบคุณมากเลยค่ะ นี้ไม่รู้ตัวเลยว่าพิมพ์อย่างนั้นลงไปตอนที่คิดพล้อตคิดไว้แค่ว่าเขียนให้แล้วส่งสรุปแล้วก็มาพิมพ์ลงเครื่องในมือถือให้อีกที แป้งเลยไม่ต้องอ่านเอง ทำไมพิมพ์ว่าอัดเสียงลงไปปปปปป ฉันทำอะไรลงไป ตอนพิมพ์น่าจะเมา ขอบคุณมากนะคะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพิมพ์แบบนั้นลงไป อ๊ากกกก


 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 8

   ยอมรับว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้เลยไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่จะเรียกว่าดึงฟังลงมาหรืออะไรเพราะสำหรับตัวเราเราคิดแค่ว่าเรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญ มันสำคัญแค่คณะที่อยากเรียนแล้วก็ได้เรียนกับฟังและตัวฟังเองก็ดูเหมือนจะพอใจที่จะเรียนกับเรามากกว่าเลือกจากชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ทำให้เราไม่ได้มองจากมุมจากภายนอกเลย จากที่ลูกตาลพูดก็เป็นเรื่องจริง นั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้สักพักก็มีพนักงานมาถามอยากสั่งอะไรไหม  ทำให้รู้สึกตัวว่าที่นั่งมาตั้งนานเราไม่ได้สั่งอะไรกินเลยมีแค่แก้วของลูกตาลวางไว้ 1 แก้ว

“อ่อ ไม่ครับจะออกไปแล้ว ขอโทษครับ” เดินเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย ในใจอยากไปหาฟังมากอยากถามฟังว่าระหว่างไปเรียนที่ฟังเอ้นท์ติดกับมาเรียนกับเราฟังอยากทำแบบไหนมากกว่ากัน แต่ลึกๆในใจก็รู้คำตอบอยู่แล้วก็ไม่รู้จะไปถามให้ฟังรู้สึกลำบากใจอีกทำไม คิดอะไรเพลินๆมารู้ตัวอีกทีก็ถึงบ้านแล้ว

“กลับมาได้สักทีนะแป้ง แม่รอตั้งแต่เช้า”

“ขอโทษครับแม่ ว่าไงครับ?”

“เป็นอะไรรึเปล่าลูกสีหน้าดูไม่ดีเลย?”

“ไม่เป็นไรนั่งรถเมล์เหนื่อย ร้อนนิดหน่อยนะแม่”

“งั้นเรามาคุยกันดีกว่า แป้งได้คุยกับฟังเรื่องเอ้นท์บ้างไหมลูก” เรื่องนี้อีกแล้วทำไมวันนี้ทุกคนต้องคุยกับเราแค่เรื่องนี้มันเป็นวันอะไรเนี่ย วันสรุปเรื่องเข้าเรียนแห่งชาติรึไง

“ก็มีคุยกันบ้างครับ”

“เห็นน้าหน่อยบอกว่าฟังเขาจะสละสิทธิ์ไม่เข้าเรียนที่เขาสอบติด แป้งพอรู้ไหมว่าเพราะอะไร? น้าหน่อยเขาเครียดนะ ฟังไม่บอกอะไรเลยเอาแต่บอกว่าจะไม่ไปเรียน” ไม่กล้าเงยหน้ามองแม่กลัวทำให้แม่โกรธและไม่พอใจ ถ้าแม่เกิดรู้ความจริงว่าที่ฟังจะสละสิทธิ์ไม่ไปเรียนเพราะเราแม่จะว่าเราไหม น้าหน่อยจะมองแม่ไม่ดีรึเปล่า

“แป้ง ยังไงแป้งลองคุยกับฟังหน่อยได้ไหมลูก? แม่เองก็เสียดายแทนฟัง อุตส่าห์ตั้งใจเรียนมาขนาดนั้นทำไมถึงไม่เอามหาวิทยาลัยนั้นก็ออกจะดี”

“ได้ครับแม่” รับปากแม่ไปแต่ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดกับฟังยังไงดี อาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำเพราะตัวเราเองไม่ได้อยากเรียนคนละที่กับฟังซะหน่อย คิดอะไรไม่ออกรู้สึกเหมือนกำลังโดนกดดันในสิ่งที่ไม่อยากทำและยังตัดสินใจไม่ได้ด้วยว่าเราจะเลือกเพื่อตัวเราเองหรือว่าเพื่ออนาคตของฟังอย่างที่คนอื่นบอกดี

   ตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อให้สมองมันโล่งขึ้นเผื่อจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จแม้ว่าอากาศจะเริ่มปลอดโปร่งร่างกายจะรู้สึกสดชื่นสบายขึ้นสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ก็ยังหาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้ อยากจะโทรไปหาเพื่อนในห้องเพื่อขอคำปรึกษาแต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะโทรหาใคร นึกย้อนไปตอนที่เรียนอยู่เราก็เอาแต่ทำตัวติดกับฟังจริงๆนั้นแหละเช้าไปรอฟังที่โต๊ะหินอ่อน กลางวันรอกินข้าวพร้อมฟัง เย็นกลับบ้านพร้อมฟัง ก็ไม่แปลกที่ชีวิตในรั้วโรงเรียนเราจะไม่มีเพื่อนคนอื่นยกเว้นฟัง

“เราเห็นแป้งตัวติดกับฟังที่โรงเรียนตลอดเลย เรื่องการบ้านเราก็รู้นะว่าฟังต้องคอยดูให้แป้งถามจริงๆแป้งคาดหวังจะเอาแต่พึ่งฟังไปอย่างนี้เรื่อยๆเลยเหรอ?” คำพูดคำนี้ของลูกตาลติดอยู่ในหัวตลอดเวลานั้นสิแล้วเราทำตัวติดฟังไปทำไม? เราต้องการอะไรสมัยนั้นเรารู้สึกชอบฟังแล้วจริงๆเหรอ หรือเพียงเพราะว่าฟังเป็นคนเดียวที่คอยใจเย็นสอนการบ้านเราเพราะว่าเราเป็นคนหัวช้าพร้อมทั้งปัญหาเรื่องของกระดูกพอเจอคนให้พึ่งก็เอาแต่พึ่งเขา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราเอาแต่ผลประโยชน์จากฟังนะสิ หรือ ไม่ใช่แต่ที่เราไปอยู่ใกล้เอาตัวไปติดเพราะเราชอบ โอ๊ยย มันยากจังโว๊ยย

“ฮัลโหลวิทแป้งเองนะ” ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกแล้ววิทก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องเรากับฟังเรื่องที่ทะเลาะกัน

“เออ รู้เมมเบอร์ไว้มันขึ้นชื่อ หายไปเลยนะ”

“อื้ม ขอโทษ ว่าแต่วิทเอ้นท์ติดไหม?”

“โหหห กว่าจะถามช้ามากถ้าติดนี่ก็เตรียมตัวไปสอบสัมภาษณ์แล้วเนี่ย”

“แล้วทำไมไม่โทรมาเองละ”

“ก็ไม่อยาก....เออ ช่างแม่งเหอะ เรื่องเอ้นท์ ไม่อะไม่ติดแป้งละ”

“อื้มไม่ติดเหมือนกัน”

“เอ้าเหรอ แล้วคิดหาที่เรียนยัง?”

“ยังเลยวิทละ”

“มองเอาไว้แล้วบอกแล้วไงที่นั้นไงที่เคยคุยกันที่ดังเรื่องบริหารอะ”

“เราอยากเรียนเกี่ยวกับภาษาอะ”

“เอ่อ จะว่าไปที่มหาลัยที่เราจะเข้าก็มีคณะที่เกี่ยวกับภาษานะ ดังพอๆกับบริหารนั้นแหละ สนใจไหมละไปดูมหาวิทยาลัยด้วยกันก็ได้”

“อื้ม”

“แล้วจะไปวันไหนดี?”

“วิท ถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าวิทเอ้นท์ติด”

“โห คิดตามยากจังว๊ะ”

“อย่าขัดดิเอาให้จบ”

“โอเค อะเอ้นท์ติดแล้วไง”

“แล้วเพื่อนสนิทมากๆของวิทไม่ติด วิทจะยอมมาเรียนกับเพื่อนโดยไม่ไปมอบตัวที่เอ้นท์ติดไหม?”

“ไม่อะ ไม่สละสิทธิ์การไม่ได้เรียนที่เดียวกันมันไม่ตายอะ สมัยนี้มีมือถือมีรถวิ่งแล้วนะเพราะฉะนั้นมันเจอกันง่ายอะ”

“เหรอ ไม่รู้สึกอยากไปเรียนด้วยกันเลยเรอ”

“ก็คงอยากนะแหละ แต่ถ้าเอ้นท์ติดแล้วต้องไม่เอาเพราะเพื่อนเราคงไม่ทำ ใจไม่เด็ดพอ”

“แล้วๆ ถ้ากลับกัน”

“เป็นว่าเราไม่ติดแล้วเพื่อนติดจะอยากให้เพื่อนมาเรียนด้วยกันไหมนะเหรอ?”

“อื้ม”

“ก็ไม่อีกเช่นกันอะ อย่างที่บอกไม่ต้องอยู่ด้วยกันก็เป็นเพื่อนกันได้ปะว๊ะ?”

“แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อน”

“แฟนต้องตัวติดกันรึไง ยังไงก็ไม่อะ”

“เหรอ...วิทดูหนักแน่นดีเนอะ”

“ไม่หรอกแป้งเราไม่ได้หนักแน่นแต่เรื่องแบบนี้มันไม่สมควรแค่ว่าเออ เพราะรักนะ มันเป็น 1 ในทางเดินของชีวิต สำหรับเรารักมันต้องคอยส่งเสริมกันมากกว่าเดินตามกัน”

“อ่อ อื้ม”

“นี่เรื่องสมมุติหรือเรื่องของตัวเอง?”

“เอ่อ คือ...”

“ช่างเหอะ ไม่เล่าก็อกแตกตายเอง เอาเป็นว่าเราจะไปดูมหาวิทยาลัยวันพุธหน้าถ้าจะมา มารอที่หน้าบ้าน 10 โมงเช้า ช้าไม่รอ”

“โอเค”

“ไปละ”

“เดี๋ยว”

“อะไรอีก คราวนี้จะทำไมถ้าเอ้นท์ไม่ติดทั้งคู่?”

“บ้า จะบอกว่าขอบคุณนะ”

“เออ วางละ”

“เค”

   หลังจากได้คุยกับวิทรู้สึกว่าสมองดูโล่งขึ้นใช่เราลืมคิดไปว่าเรากับฟังยังไงก็ยังอยู่ในกรุงเทพด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่ว่าจะอยู่กันคนละภาคหรือคนละประเทศซะหน่อย โลกสมัยนี้ทำให้เราใกล้กันตั้งเยอะคงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเรียนกันคนละที่เหลือแค่ว่าเราจะพูดกับฟังยังไงถึงเรื่องนี้เท่านั้นเอง วิทนัดเราเจอวันพุธตั้งใจไว้ว่าจะเคลียร์พูดกับฟังให้จบในวันจันทร์

ตริ้ง

ฟัง “นอนยังครับ?”

แป้ง “ยังเลย ช่วงนี้ฟังหายไปเลยเนอะ”

ฟัง “ขอโทษครับพอดีเคลียร์ๆอะไรนิดหน่อย” คงเป็นเรื่องเรียนสินะนี่คงยังคุยกับน้าหน่อยไม่ลงตัว

แป้ง “อยากเจอ มาหากันวันจันทร์ได้ไหม”

ฟัง “ได้สิ วันจันทร์รอนะครับเดี๋ยวไปหา”


ตรู้ดดดด

“สวัสดีครับน้าหน่อย ผมแป้งนะครับ”

“ว่าไงแป้ง โทรมาพอดีเลยปิ่นคงบอกเรื่องของฟังแล้วสินะ น้ากลุ้มใจเรื่องฟังมากเลยแป้งได้คุยกับฟังบ้างไหม? นี่เราแม่ลูกทะเลาะกันทุกวันเลยตั้งแต่วันที่รู้ผล”

“ครับ วันจันทร์นี้ฟังจะมาหาผม ยังไงน้าหน่อยให้เขามาหาแป้งนะครับเดี๋ยวผมจะคุยกับเขาดู”

“ขอบใจแป้งมากนะลูก”

“ครับ” ผมเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของผมไม่ได้มาจากปากของใครและผมได้ตัดสินใจดีที่สุดแล้วเพื่อตัวฟังเอง

   และแล้ววันจันทร์ก็มาถึง ตื่นเต้นมากไม่รู้ว่าพูดออกไปฟังจะว่ายังไง? โอเค? หรือว่าโวยวายที่ผิดสัญญาที่ว่าจะไปเรียนที่เดียวกันแต่ไม่ว่าผลจะออกมายังไงวันนี้คำตอบเดียวที่ต้องการและต้องได้คือ “โอเคฟังเรียนที่ที่สอบติด” ฟังมาถึงตั้งแต่เช้าเลยชวนฟังไปเดินโลตัสไปซื้อของสดเพราะอยากทำอาหารกินกันที่บ้านมื้อเที่ยงเพราะฉะนั้นมื้อเช้าเราสองคนเลยเอาท้องไปฝากไว้ที่ร้านกาแฟวันนี้เกิดอยากกินแบบเซ็ทอาหารเช้า

“อร่อยเนอะ”

“((เชื่อว่าอร่อยนี่กินไม่พูดเลยมาพูดได้ตอนของหมดเชื่อจริงๆ))”

“เอ้า อยากพูดทำไมไม่สะกิดละ อย่ามาโบ๊ย เห็นอยู่นะว่ากินเหมือนกัน”

“((เออๆ ไม่เถียงละ เดี๋ยวเข้าบ้านเลยไหมหรือไปไหนต่อ?))”

“เข้าบ้านเลยของเยอะให้ถือเดินไปด้วยไม่เอาอะลำบาก ไม่ได้มีรถนะจะได้แบบเอาของไปเก็บก่อนแล้วค่อยเดินเที่ยวต่อ”

“(( เออ งั้นเอางี้เดี๋ยวตอนไปเรียนเราจะลองพูดกับแม่เรื่องรถนะ จะลองขอรถดูแป้งจะได้ไม่ลำบาก))”

“อื้มม”

“เออ ฟัง ฟังบอกแม่ยังเรื่องที่เอ้นท์ติดแต่ไม่เอานะ”

“((อ่อบอกแล้วไม่ต้องห่วงแม่ไม่ว่าไรเลย สบายๆ))”

“เหรอ”

“((นี่ เราหายไปมาเราไปดูมหาวิทยาลัยมาแล้วคณะที่เราชอบมันมีอยู่ที่นึงดังมากเลยแป้งลองดูนะคืนนี้เราเอามาด้วยจะได้ไปดูสถานที่จริงกันถ้าแป้งโอเค))”

“อื้ม”

“((แล้วก็มันแอบไกลจากบ้านว่าจะลองขอแม่อยู่หอแป้งละอยากอยู่หอไหม? เรามาอยู่หอเดียวกันนะ จะได้สะดวกๆหน่อย))”
“อะไรสะดวก”

“((อ่าวก็ เอ่อนะ))”

“อื้ม โอเค” ฟังดูคิดทุกอย่างมาครบแล้วพร้อมแล้วที่จะไปอยู่ด้วยกันไปเรียนด้วยกันเรากำลังจะทำอะไรที่ตั้งใจมามันเริ่มสั่นคลอน.

“((เป็นอะไรของหนักมากเหรอ ดูหน้าไม่ดีเลยมาเราถือให้))”

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรคิดอะไรไปเรื่อยเช่นเรื่องหอไง”

“((อ่อ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวไปดูที่ก่อนก็ได้))”

“อื้มๆ โอเค” ฉีกยิ้มที่คิดว่าเป็นยิ้มที่ดูดีใจมากที่สุดไปให้ฟังหวังว่าเขาจะรับรู้ได้ว่าเราดีใจจริงๆ ที่ฟังมองไปไกลขนาดนั้น

   กลับมาถึงบ้านก็รื้อเอาเกมส์มาเล่นเอาขนมมานั่งกินกันพอตกเย็นแม่กลับมาก็ทำอาหารเย็นกินกัน แม่พยายามจะพูดเรื่องมหาวิทยาลัยกับฟังเราก็พยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากได้ยินมันเลย แต่ก็ไม่ได้ผลแม่ก็ยังคงพูดเรื่องมหาวิทยาลัยพยายามโน้มน้าวให้ฟังไปสอบสัมภาษมอบตัว

“ฟังยังไงลองคิดดีๆนะน้าเป็นห่วง”

“((ครับ))”

   หลังจากกินข้าวเสร็จเรากับฟังก็ขอตัวขึ้นห้องตอนไปห้างฟังซื้อหนังสือมาเยอะมากบอกว่าจะชดเชยที่ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรอย่างอื่นยกเว้นหนังสือเรียนตอนช่วงก่อนสอบเอ้นท์ เราเลยขอตัวไปอาบน้ำก่อน

“เลิกอ่านได้แล้วพอก่อน ไปอาบน้ำเดี๋ยวง่วงจะได้นอนเลย”

“((ไม่เอา เดี๋ยวก่อนอีกบทจบบทนี้เดี๋ยวไปอาบเลย))”

“ฟัง”

“((โอเคๆ อาบก็อาบครับ))” แล้วฟังก็วิ่งมาฉกหอมแก้มเราไป 1 ทีก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ

      ประมาณ 20 นาทีได้ฟังก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบปีนขึ้นมาบนเตียงคว้านหาหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ก็ใช่สิจะไปเจอได้ไงเราเอาถุงหนังสือของทุกอย่างของฟังไปแอบไว้หมดแล้ว เพราะมันถึงเวลาที่เราต้องคุยกันแล้ว

“((อย่าแกล้งสิแป้ง ฟังอยากอ่านแล้ว เอามา))”

“ฟังหยุดอ่านแป้ป แป้งขอคุยเรื่องมหาวิทยาลัยด้วยหน่อยสิ”

“((อ่อ เออ ลืมเลยเรายังไม่ได้เอาโปรชัวร์มหาวิทยาลัยให้ดูเลยใช่ไหม?))”

“ฟัง”

“((แป้ปเดียวๆ หาก่อน))” เพราะว่าฟังไม่ได้หันหน้ามาฟังเลยพูดภาษามือกับเราแทนและฟังก็เลยไม่สามารถเห็นว่าก่อนที่เราจะพูดเราต้องสูดลมหายใจลึกแค่ไหน

“ฟัง เราอยากให้ฟังไปสอบสัมภาษณ์แล้วไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัยที่ฟังเอ้นท์ติดซะ” ฟังหยุดการหาโปรชัวร์ในกระเป๋าของตัวเองไปแป้ปนึงแต่ก็เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น แล้วฟังก็หาใหม่ เหมือนที่เราพูดออกไปฟังไม่ได้ยิน

“ฟังเราพูดจริงๆนะ เราไม่อยากให้ฟังต้องสละที่นั้นเพื่อมาเรียนกับเรา”

“((แต่เราคุยกันแล้ว))” ในที่สุดฟังก็หยุดหาของแล้วหันกลับมาเผชิญกับหน้าเราสักที

“ใช่ แต่แป้งไม่อยากทำอย่างที่คุยกันไว้แล้ว”

“((ไม่มีเหตุผลก็บอกกันแล้วว่าจะไปเรียนที่เดียวกัน))”

“ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นแล้ว นะฟังนะอย่าสละสิทธิ์เลย”

“((บอกเหตุผลมาสิว่าเพราะอะไร เพราะแม่เราใช่ไหม?))”

“ไม่ใช่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับน้าหน่อย”

“((งั้นเพราะอะไร))”

“เพราะเราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นไงก็บอกไปแล้วจะให้พูดซ้ำคำเดิมอีกทำไม”

“((แป้งแต่เราอยากเรียนกับแป้งนะครับ))” แล้วฟังก็ดึงตัวเราไปกอดเป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาฟังอยากได้อะไรที่ตามใจฟัง ฟังจะต้องดึงเราไปกอดทุกทีแต่ครั้งนี้กอดนี้ของฟังไม่สำเร็จหรอก เอามือดันที่ข้างลำตัวของฟังเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าเราอยากคุยแบบเห็นหน้า

“นะฟังนะถือว่าทำเพื่อแป้งนะ ฟังไปเรียนที่ดีๆนะ แป้งอยากมีเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยรัฐนะจะได้เอาไว้คุยอวดกับทุกคนได้ว่าแป้งก็มีเพื่อนเอ้นท์ติด”

“((แต่))”

“ก็จริงนิแป้งไม่ติดแต่มีฟังติดไงแป้งอวดตัวแป้งเองไม่ได้แต่แป้งอวดฟังได้นะ”

“((แต่เราไม่เคยเรียนแยกกัน))”

“เอาน่า มันก็เหมือนเดิมแหละเชื่อดิ ก็ต้องเจอกันอย่างนี้ตลอดอยู่ดี”

“((แต่))”

“อย่างน้อยก็เสาร์อาทิตย์ไงที่ได้เจอกัน”


............โปรดติดตามตอนต่อไป.....................

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 9

“((แป้งต้องการแบบนี้จริงๆเหรอ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพูดอย่างนี้))”

“อื้ม เราต้องการแบบนี้จริงๆ คือตอนนั้นที่ชวนมาเรียนด้วยกันอะ ตอนนั้นมันเอ้นท์ไม่ติดไงก็อิจฉาไม่อยากให้ฟังไปเรียนที่ดีกว่า ก็เลยจะให้มาเรียนที่เดียวกัน แต่มาคิดอีกทีมีฟังเอาไว้อวดคนอื่นว่าเอ้นท์ติดมันเท่ห์กว่าหรือว่างๆจะได้หาเรื่องไปเที่ยวที่มหาลัยของฟังด้วย”

“(.....)” ฟังไม่ตอบอะไรเอาแต่มองเข้ามาในตาของเรา เรารู้ว่าฟังคงไม่เชื่อที่เราพูดแต่เราก็ไม่หลบตาเพราะเราต้องการให้ฟังได้ไปเรียนตามที่ฟังต้องการจริงๆ

“((ทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ อีกอย่างเหตุผลมันไม่เพียงพอ ไม่ตลกไปหน่อยเหรอเอาไว้อวดว่าเอ้นท์ติด?))”

“ก็ ... โอ๊ย พูดดีๆ ก็ไม่ฟังไม่เชื่อกัน เอ่อ งั้นบอกความจริงก็ได้ไม่รักษาน้ำใจแล้วนะ ก็วันนี้ฟังพูดเรื่องเกี่ยวกับการย้ายหอมาอยู่ด้วยกัน ไหนจะพูดเรื่องที่เรียน โน้นนี้นั้นมันดูฟังคอยคิดให้ทุกอย่างวางแผนไว้หมด เรามีสมองเราไม่ได้โง่ขนาดนั้น แค่เราเอ้นท์ไม่ติดไม่ต้องทำมาเป็นอวดว่าเอ้นท์ติดเลยจะเก่งกว่าด้วยการคิดแทนได้ไหมละ?”

“.....”

“คิดอะไรก็ไม่เห็นถามสักคำแล้วคนแบบฟังเนี้ยนะเหรอที่เราต้องไปอยู่ด้วยอีก 4 ปี แค่คิดก็เหมือนจะไม่ไหวละ แล้วไหนจะเรื่องที่ว่าต้องเห็นหน้ากันทุกวันอีก ฟังเราอยากมีสังคมใหม่บ้านตั้งแต่ 10 ขวบมาเรามีแต่ฟังที่อยู่ข้างๆเรา เราอยากมีเพื่อนคนอื่นบ้าง ฟังเข้าใจใช่ไหม?”

“((แป้ง))” อย่า อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่าให้เรารู้สึกอยากต่อยหน้าตัวเองอย่างนั้นอย่าทำหน้าให้เรารู้สึกว่าเราอยากขอโทษแล้วเอาคำพูดพวกนั้นคืนมาให้หมด อย่าทำให้เราอยากล้มเลิกความตั้งใจ

“อื้ม ก็เท่านี้แหละ ตอนแรกที่พูดดีๆ ก็นึกว่าจะเข้าใจก็ไม่เข้าใจสักทีก็ต้องพูดตรงๆแบบนี้แหละ ทีนี้เข้าใจยัง?”

“((เราให้แป้งเลือกมหาลัยเลือกหอที่จะอยุ่เองก็ได้นะ แป้งอย่าโกรธเราสิอย่าเป็นแบบนี้))” พอแล้วพอไม่ไหวแล้วต้องจบการต่อลองนี้ลงแล้วไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถใจแข็งได้อีกต่อไป

“ ก็ดูฉลาดนะ ทำไมไม่เข้าใจ ไม่ได้โกรธและไม่รู้จะให้แก้ไขยังไงด้วย อีกอย่างจำเพื่อนที่เราไปนอนค้างด้วยได้ไหม? เราก็จะไปดูที่เรียนเดียวกับเขาด้วยนัดกันไว้แล้ว”

“((แป้ง ทำไม?))” เจ็บ เราเจ็บมากแขนของเราที่ตอนนี้ถูกฟังจับเอาไว้อยู่เราเจ็บมากฟังจับมันเอาไว้ซะแน่น แต่มันเจ็บไม่เท่ากับความรู้สึกของเราตอนนี้หรอกไม่ได้ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมจะทำไม่ได้ทีตัวฟังเองหายไปตั้งหลายวันใครจะไปรอไหว ใครๆก็ต้องเอาตัวรอดหาที่เรียนกันทั้งนั้นแหละ”

“((เราขอโทษ ยกโทษให้เรานะ))”

“พอๆ ไม่ได้โกรธแค่ไม่อยากเรียนที่เดียวกัน ฟังก็ไปที่ของฟังเหอะ ถึงไม่รับที่นั้นเราก็ไม่ไปที่ใหม่กับฟังอยู่ดีเข้าใจไหม?” 

     ฟังพยักหน้าว่าเข้าใจเริ่มคลายมือออกจากแขนของเรา ใจเราหายหล่นไปพร้อมกับการปล่อยมือของฟังนั้นแหละกำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วฟังก็เอื้อมมือมากอดเราจากด้านหลังรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ล่วงมาที่ไหล่ฟังร้องไห้ ก็แน่นอนไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไหร่ดูปากเราสิพูดแต่ละอย่างออกไปจะไม่ให้เขาร้องไห้ได้ไง รีบหันตัวกลับไป

“พยักหน้านี้คืออะไร?”

“((เข้าใจแล้วจะไม่ตามไปเรียนแล้ว อย่าหันหลังให้เราแบบนี้ อย่าพูดว่าไม่อยากมีเราแบบประกี้อีก ได้ไหม?))” พยักหน้าตอบรับการตกลงว่าจะไม่พูดแบบนี้อีก

“แล้วจะไปมอบตัวเมื่อไหร่?”

“((ทำไม?))”

“อยากไปด้วยไมได้เหรอไง?”

“((อื้ม ได้สิ))”

“ดี  จะลงไปเอาน้ำอยากกินไรมะ ดี๋ยวเอาขึ้นมาให้”

“((ไม่เอา))”

“งั้นเดี๋ยวมา”

     รีบเดินออกมาจากห้องให้เร็วที่สุดลงไปข้างล่างในครัว ไม่ไหวแล้วน้ำตาที่พยายามเก็บเอาไว้มันไหลออกมาแล้ว หวังไว้แค่คำพูดที่ออกไปทั้งหมดฟังจะไม่เกลียดกัน หวังว่าฟังจะเข้าใจ ฟังจะรู้เอาเองว่าเราไม่ได้ไม่อยากเรียนกับเขา อยากให้ฟังรู้ว่าเราดีใจแค่ไหนตอนที่ฟังบอกว่าฟังดูหอที่จะอยู่ด้วยกันเอาไว้แล้ว ดีใจมากแค่ไหนที่เห็นฟังคิดเรื่องการเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมีภาพของเราอยู่ในนั้นด้วย สูดลมหายใจเข้าลึกๆปลอบตัวเองว่าแต่อย่างน้อยในที่สุดเราก็ทำได้นะฟังยอมไปมอบตัวที่นั้นได้แล้วเราทำได้แล้ว แม้ฟังร้องไห้และเราก็ร้องไห้แต่เรามั่นใจว่าน้ำตาในครั้งนี้มันคุ้มค่าที่จะเสียมัน

    กลับขึ้นมาบนห้องฟังก็ล้มตัวลงนอนไปแล้ว ก็เลยล้มตัวล้มลงนอนตาม แต่ก่อนจะนอนมองลงไปที่หมอนก็เห็นข้อความในกระดาษว่า “ขอโทษครับ” วางเอาไว้

     ทุกคืนฟังจะเป็นคนที่กอดเราเอาไว้แต่คืนนี้ขอละนะขอเป็นคนได้กอดเขาบ้าง เอื้อมมือไปพาดไว้ที่ลำตัวฟังเอาตัวเองฝังเข้าไปให้ชิดกับหลังของฟังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

      เมื่อคืนก่อนนอนก็ว่าเป็นคนกอดฟังนะ แต่ทำไมเช้ามากลับกลายเป็นว่าฟังเป็นคนที่กอดเราแทนเป็นการนอนดิ้นที่สลับกันสุดขั้วมาก หันไปข้างของฟัง ฟังยังไม่ตื่นเลยตายังหลับสบายอยู่เลยมองแล้วก็คิดไปว่าเราหลงชอบเพื่อนตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าชอบเพื่อนตัวเอง คิดมาตลอดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราสนิทกันมาก ก็ต้องขอบคุณลูกตาลเหมือนกันที่ทำให้เรารู้ใจตัวเอง ถ้าวันนั้นเราไม่ทะเลาะกับฟังเราก็คงไม่รู้ใจตัวเองแล้วฟังก็คงไม่พูดมันออกมา ปากแข็งนะคนข้างๆเราคนนี้ มือไวเท่าใจคิดหมั่นไส้ก็เลยเอื้อมมือไปตีปากของฟัง

“อรุณสวัสดิ์” พูดด้วยความตกใจเพราะพอตีปากปุ้ป ฟังก็ลืมตาปั้ปเจ็บสินะลืมยั้งมือ  ฟังกระพริบตาอยู่ไม่กี่ทีก็ดึงตัวเราเข้าไปกอด

“ไม่กอดแล้วกอดมาทั้งคืนแล้ว หาไรกินกัน”

“((ฟอดดด ได้ครับ))”

    วันนั้นพอบ่ายๆฟังก็กลับบ้านแอบรู้สึกเคว้งเล็กๆ อยู่เหมือนกันกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไป ต่อไปก็ไม่ได้เห็นหน้ากันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์แล้ว แต่เอานะแรกๆ มันคงจะแปลกๆไปสักหน่อยเพราะตลอดหลายปีที่เรียนด้วยกันมาไม่คิดเลยว่าจะต้องมีวันนึงที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เดี๋ยวก็คงชิน หยิบมือถือขึ้นมาตอนนี้ต้องตัดสินใจเดินหน้าต่อไป

ตริ้ง

แป้ง “เราทำแล้วนะเราปล่อยฟังให้เจอกับสิ่งที่เขาเลือกแล้วฝากดูฟังที่มหาลัยด้วยนะลูกตาล”

ลูกตาล “ขอบคุณนะเรารู้อยู่แล้วว่าแป้งต้องคิดได้”

แป้ง “น้าหน่อยครับไม่ต้องกังวลแล้วนะครับฟังจะไปมอบตัวแล้ว”

น้าหน่อย “ขอบใจมากนะจ๊ะแป้งน้าขอบใจจริงๆ” จบแล้วหน้าที่ของเรา

ตริ้ง ใครจะส่งมาขอบคุณอะไรอีก

ฟัง “วันที่ไปดูมหาลัยกับวิทเราไปด้วยนะ”

แป้ง “ทำไมประกี้ไม่พูด”

ฟัง “ไม่อยากพูดต่อหน้า นะๆ”

แป้ง “อื้ม ได้สิ” หลังจากตอบข้อความของฟังเสร็จก็รีบกดโทรออกหาวิท

“ฮัลโหลวิท อยู่บ้านรึเปล่า?”

“เปล่าไม่อยู่มีอะไรจะมาเลื่อนนัดวันพุธ?”

“เปล่าไม่ใช่จะมาคอนเฟริ์มว่าเจอกันวันพุธแต่จะบอกว่าฟังขอไปด้วยนะ”

“จะไปเรียนด้วย?”

เปล่าจะไปดูด้วยเฉยๆ”

“เออไปดิได้ๆ”

“อื้มเจอกัน”

“เออ เจอกัน” เอานะมองในแง่ดีไปเริ่มต้นใหม่เราก็ไม่ได้ไปเริ่มต้นคนเดียวสักหน่อยมีวิทอยู่อีกทั้งคนเราจะกลัวอะไรจริงไหม?
 
   วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นเพราะว่าเป็นวันที่ต้องไปดูมหาวิทยาลัยกับวิทกับฟัง เรารอฟังที่บ้านเพราะนัดกันไว้ว่าจะไปหาวิทที่บ้านพร้อมกัน นัดวิทไว้ 10 โมงฟังมาตอนประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็เคลื่อนตัวไปบ้านวิทกันไปถึงวิทก็พร้อมรออยู่หน้าบ้านอยุ่แล้ว
 
“จะไปรถเมล์หรือแท๊กซี่ สามคนแท๊กซี่หารไหม?” หันไปมองหน้าของฟังเพื่อขอความคิดเห็น ฟังพยักหน้าเป็นการตอบตกลงเราเลยตกลงกันไว้ว่าจะไปแท๊กซี่กัน ไปถึงมหาวิทยาลัยเห็นแล้วก็ชอบนะ มหาวิทยาลัยสวยดีแล้วก็กว้างมากด้วยแม้จะไกลจากบ้านของเราไปหน่อยก็ตาม ขากลับวิทอยากแวะกินข้าวก่อนแต่ฟังบอกว่าไม่หิวแล้วก็หน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลาก็เลยคุยกันว่ากลับเลยดีกว่า วิทก็เลยยอมกลับมาด้วยแต่ว่าบ่นเรื่องหิวมาตลอดทาง

“สรุปเราเรียนที่นี้นะ แป้งว่าไง?”

“ก็น่าสนใจนะ แต่เดี๋ยวต้องเอาไปคุยกับแม่ก่อนเราตัดสินใจคนเดียวไม่ได้”

“คุยกับแม่นะไม่ใช่คนอื่น”

“ต้องคุยกับแม่สิจะให้คุยกับใคร?” วิทยังไม่ได้ทันตอบอะไร ฟังก็สะกิดแล้วก็บอกว่าง่วงจะหลับแล้วก็เลยขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งให้ฟังพิงหัวหลับได้แล้วหันไปอีกทีวิทก็ไม่ได้พูดไรแล้ว เห็นแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ก็เลยไม่ได้ชวนคุยต่อจนมาถึงบ้านก็ต่างแยกย้ายกัน

“((จะเรียนที่นี้จริงๆเหรอ?))”

“อื้ม ฟังไม่ชอบเหรอ สวยดีนะ”

“((ก็สวยดีกว้างดี แต่มันไกลมากเลยนะ ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยเรา มหาลัยของเราสองคนไกลกันมากเลยนะ))”

“แต่ ก็ชอบที่นี้นิ”

“((ไม่คิดจะไปดูที่อื่นหน่อยเหรอ?))”

“ไม่เอาอะ ชอบจริงๆ”

“((แต่เราไกลกัน))”

“ก็เสาร์อาทิตย์ก็เจอกันไง”

“((หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น))”

“เป็นสิ”

“แม่” ตอนเย็นพอแม่เข้าบ้านมาก็รีบเอาโปรชัวร์ของมหาวิทยาลัยไปให้แม่ดูเล่าเกี่ยวกับสถานที่ ห้องเรียนให้แม่ฟัง

“มันไกลไปไหมแป้ง? ห่างจากบ้านเรามากเลยนะ จะไปเรียนไหวเหรอลูก?”

“ไหวสิแม่ไม่ได้ไกลมากอย่างที่คิด พอไปได้อยู่”

“ทำไมอยากไปเรียนที่นี้ละลูก? แถวบ้านเราก็มีนะ”

“ไม่เอาอะแม่ แป้งเลือกแล้ว นะๆแม่นะให้แป้งไปเรียนที่นี้นะแป้งอยากเรียนที่นี้”

“ถ้าลูกไหวเรื่องเดินทางแม่ก็ตามใจ”

“ขอบคุณครับ”

   อาทิตย์ต่อมาฟังถึงเวลาต้องไปมอบตัว เราก็ไปกับฟังตามที่เราเคยขอเอาไว้ใจจริงกลัวฟังหนีไม่ยอมไปมอบตัวต่างหากถึงได้ตามมาถึงที่มหาวิทยาลัย ไปถึงก็เจอลูกตาลที่หน้าคณะ เพิ่งรู้ว่าสองคนนี้สรุปเรียนคณะเดียวกันรู้ว่าติดที่เดียวกันแต่ไม่รุ้ว่าคณะเดียวกัน ลูกตาลกับฟังคุยเกี่ยวกับเรื่องวิชาที่ต้องลงเกี่ยวกับว่าต้องเลือกอะไรกันก่อนดีเราก็นั่งฟังไปเรื่อยๆ แบบไม่เข้าใจเพราะว่าเราไม่ได้จะเรียนอักษรศาษตร์เหมือนกับฟังเราเปลี่ยนความตั้งใจจะเรียนบริหารเหมือนวิท

   หลังจากที่ฟังมอบตัวเราก็ได้เวลาเข้าไปสมัครเรียนแล้วก็มอบตัวบ้าง ช่วงนี้ห่างๆจากฟังไปเลยเพราะต่างคนต่างยุ่ง ปี 1 ของมหาวิทยาลัยไม่ง่ายอย่างที่คิด ช่วง 1 เดือนแรกเราไม่ได้เจอกันเลยได้แต่คุยกันผ่านทางเมสเสจในโทรศัพท์ ส่งเมสเสจ ส่งรูปหากัน อวดกลุ่มเพื่อนแล้วก็อวดมหาวิทยาลัยของตัวเอง อวดกิจกรรม อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

ติ้ง

แป้ง “ฟัง 4 เสาร์ 4 อาทิตย์แล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน”

ฟัง “ขอโทษครับ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ ช่วยงานเพื่อนที่คณะนะ แต่เดี๋ยวจะได้เจอกันแล้วนะเสาร์ที่จะถึงนี้”

แป้ง “จริงๆนะ? ถ้าโกหกไม่ต้องมาเจออีกเลย”

ฟัง “จริงๆ เดี๋ยวได้เจอกันแล้ว”

แป้ง “อะเค”

“นั่งยิ้มกับโทรศัพท์อยู่ได้ โทรศัพท์มีอะไรดีขนาดนั้น” วันนี้ไม่ได้ออกจากบ้านมาพร้อมวิท ออกมาก่อนเพราะวันนี้แม่มาส่งขึ้นรถตู้แล้ววิทยังไม่ตื่นเลยไม่ได้รอ

“ยุ่งนะมึง”

“โอ้โห น้องแป้งโตขึ้นแล้วนะครับ พูดคำหยาบได้แล้วด้วย”

“เออ หยาบมากด้วย มึง”

“ครับๆ โอ๊ย ง่วงว๊ะ มหาลัยแม่งไกลโคตร”

“กลางคืนก็นอนให้มันเร็วๆหน่อยจะได้ไม่ต้องมานั่งง่วงในห้อง”

“นี่กระผมก็นอนเร็วสุดแล้วครับ”

“เหรอออ เชื่อเนอะ”

“เออ เชื่อเหอะ เหนื่อยว๊ะ”

“สู้ๆวิทยาอีก 4 ปีเองขอรับ หรทางสั้นนิดเดียวเอง”

“อย่าย้ำสิโว๊ย”

   ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาเพื่อนคนแรกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็วิทยาเพื่อนในหมู่บ้านนี้แหละ มหาวิทยาลัยนี้ไม่เหมือนกับของฟังตรงที่ของเราไม่มีรับน้องไม่มีรุ่นพี่ตามรหัสนักศึกษา เห็นฟังเล่าให้ฟังว่าของฟังเหนื่อยเพราะมีพี่รหัส แถมยังต้องมีต้องรับน้องอีกด้วยแต่เห็นบ่นๆว่าเหนื่อย ก็มีเรื่องมาเล่าเหมือนสนุกซะมากกว่าเหนื่อยเสียอีก

“เออวิทว่าตลอดการเรียน 4 ปี เราจะได้มีเพื่อนมากกว่าเรา 2 คนปะ?”

“ถามไรงั้นอะ เราสองคนดูไม่น่าคบเหรอ?”

“ก็เปล่า แต่เนี่ยดูดิ” แล้วก็ยื่นมือถือส่งรูปของฟังที่ถ่ายกับหมู่เพื่อนๆที่ได้จากการรับน้องมาให้ดู มีชีทของรุ่นพี่ด้วยเห็นฟังเล่าว่าได้มาจากพี่รหัส

“อ่อ ก็มหาลัยเราไม่มีอะ แต่เดี๋ยวก็ได้นะเพื่อนจากในเซ็กวิชา เพื่อนในห้อง เพื่อนงานกลุ่ม ก็นี้ยังไม่ได้เรียนจริงจังเลย เออ ว่าแต่จะถามหลายทีแล้วไม่เห็นรู้เลยว่าชอบเรียนบริหารทำไมมาลงเรียนได้ว๊ะ”

“ก็...ไม่รู้สิก็อยากเลยลง” นั้นสิเราชอบบริหารเหรอ

“อ่อ ไปๆ ไปหาเพื่อนกันได้แล้ววันนี้เข้าห้องวันแรก เดินฉีกยิ้มเข้าไปเลยนะจะได้มีเพื่อนเยอะๆ”

“บ้า งั้นวิทยิ้มเดินนำหน้าแล้วกัย เดี๋ยวเดินตามหลังไปเอง”

   และแล้ววันเสาร์ที่รอคอยก็มาถึง นัดกับฟังไว้ว่าวันนี้จะไปดูหนังกันเพราะเห็นฟังบ่นว่าตลอดชีวิตของมหาวิทยาลัยที่ผ่านไป 1 เดือนฟังแถบไม่ได้ไปเปิดหูปิดตาเลย กว่าจะเลิกเรียนกลับมาถึงบ้านก็สลบแล้ว

“โอ้โห มีรถแล้วเหรอ?” วันนี้ฟังไม่ได้เดินมาตัวเปล่าจากหน้าปากซอยอีกต่อไป ฟังขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน

“((ครับ เอามาบริการ))”

“ได้นั่งคนแรกเปล่าเนี้ย?”

“((เปล่าอะ นี่รถเก่าของแม่ แม่เอามาให้ใช้ แป้งเลยไม่ได้นั่งคนแรกนะ))”

“อะโด่ โอ้โหห สบายมากเลยวันนี้ได้นั่งรถสบายๆแล้ว”

“((วันนี้ตามใจนะ ให้แป้งเลือกหนัง))”

“ไม่เอาอะ ดูฟังอยากดูนิฟังเลือกเหอะ”

“((แน่นะ?))”

“อื้ม” วันนี้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะตามใจฟังทุกอย่างก็เลยให้เลือกดูหนังที่ชอบอาหารที่อยากกิน ใช้เวลาในห้องไปเพลินมาก กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกพอดีฟังเลยขอค้างที่บ้านด้วยเลยขี้เกียจตีรถกลับไปบ้านอีก หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เลยมานั่งคุยกันบนเตียง เรานั่งก้มหน้าเล่นมือถืออยู่แล้วฟังเลยมานั่งข้างๆ

“น่าอิจฉาฟังเนอะมีพี่รหัสด้วย มีเพื่อนแล้วด้วย เรายังมีวิทเป็นเพื่อนแค่คนเดียวอยู่เลย”

“((ทำไมละ? เพื่อนไม่คบเหรอ?))”

“ปากเสีย ไม่ใช่สักหน่อยแค่ยังไม่ได้เจอใครเลยเข้าไปเรียนในห้องเหมือนต่างคนต่างเดินเข้าไปเรียนอะ”

“((เอานะ เดี๋ยวพอมีงานกลุ่มก็มีเพื่อน อย่างเราตอนแรกก็ไม่มีคนอื่นยกเว้นลูกตาลแต่พอมีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันก็มีเพื่อนเพิ่มมาเอง))”

“อื้ม” สติเริ่มขาดๆหายๆ เพราะว่าฟังพูดไปเอามือลูบหัวเราไปก็เลยเริ่มรู้สึกเคลิ้มๆจะหลับ จากที่นอนคว่ำหน้าเล่นมือถือ เริ่มตะแคงตัวนอนแล้วไหลไปตามที่นอน

“((ง่วงแล้วก็นอนดีๆ))” ฟังสะกิดให้อ่านปากว่าให้นอนดีๆ

“ฟัง อย่าลืมนะ ฟังสัญญาแล้วว่าจะมีเราเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว”

“.....” ตาจะผิดแล้วไม่รู้หรอกว่าฟังพูดตอบว่าอะไรไม่ได้เปิดตาอ่านปาก

“อย่าลืมสัญญานะ” แค่รู้ว่าเรากำลังอยากพูดอะไรอยู่ก็เท่านั้นเอง

......โปรดติดตามตอนต่อไป.............

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 10

   เหตุการ์ณทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเป็นไปตามที่เราได้คุยกันไว้ก่อนที่ตัดสินใจเข้ากันคนละมหาวิทยาลัย ฟังกับเรายังคงเจออยู่ทุกเสาร์อาทิตย์ เปลี่ยนกันบางอาทิตย์เราไปบ้านฟังบางอาทิตย์ฟังมาบ้านเรา ใรความคิดของเราเหมือนชีวิตในรั้วของมหาวิทยาลัยเพิ่งเริ่มเรียนไปได้แป๊ปเดียว แต่ในความเป็นจริงสอบกลางภาคมันมาถึงแล้ว จากวงจรชีวิตที่เสาร์อาทิตย์พอมาเจอกันต้องออกไปข้างนอกช้อปปิ้ง ซื้อขอ งดูหนัง กินข้าว ณ ตอนนี้เหลือเพียง กินข้าว ดูละครที่บ้าน และอ่านหนังสือ

“((ช่วงนี้มีเพื่อนเพิ่มขึ้นยัง?))” หลังจากขอพักสายตาจากการอ่านหนังสือฟังก็ถามถึงเรื่องเพื่อนที่คณะของเรา

“มีแล้ว มีบ้าง เพื่อนในกลุ่มรายงานนั้นแหละ”

“((แล้วในบรรดาเพื่อนใหม่ มีใครมาจีบไหม?))”

“ไม่มี ทำไมหวงเหรอ?”

“((ครับ))” รู้ตัวเลยว่าสิ้นคำว่าครับ หน้าของเราเหวอตกใจขนาดไหน  เพราะตั้งแต่วันที่ฟังบอกว่าฟังไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อนคราวนั้น ฟังก็ไม่เคยพูดอะไรหวานๆ หรือพยายามทำอะไรให้ดูเหมือนว่าเรากำลังเป็นคนรักกัน ไม่เคยแสดงตัวไม่เคยมีเซอร์ไพล์ขอเป็นแฟนหรืออะไรทั้งนั้น ไม่เคยมีอะไรเกินเลยไปมากกว่าการจูบกัน ไม่มีการจีบ ทุกอย่างใช้ชีวิตด้วยกันแบบปกติเหมือนเดิม เหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมและมัธยม

“ฟัง ยังชอบเราอยู่เหรอ?”

“((ทำไมถามแบบนี้ละ?))”

“ก็ ฟังไม่เห็นจะจีบเลย”

“((ก็ ไม่รู้จะจีบยังไงอะ ก็คิดว่าที่เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว แป้งอยากให้เราจีบเหรอ?))”

“ก็ ไม่รู้สิ” แล้วบทสนทนาก็เงียบจบลงเท่านี้ จนฟังเอาหน้ามาแนบที่ไหล่ถึงได้หันไปมอง

“((ฟังยังคงชอบแป้งอยู่นะไม่เคยเลิกชอบเลย ชอบยังไงยังชอบอยู่อย่างนั้น ขอโทษนะถ้าทำให้ไม่แน่ใจ))”

“ฮื้ม ไม่ได้ว่าอะไรแค่อยากถามให้แน่ใจเพราะเราก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยหลังจากที่พูดกันคราวนั้น”

“((ก็ตอนนั้นบอกแล้วไงว่ารอเรียนจบก่อน))”

“โอเค รอก็ได้ ถ้าไม่แก่ตายไปก่อนละนะ”

     หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ วิทก็บอกว่าต้องผ่อนคลายสมองเพราะว่าใช้สมองไปหนักมากในช่วงสอบ อีกเหตุผลที่วิทยกเอามาอ้างที่ต้องไปกินเหล่าในคืนนี้เพราะตอนนี้เราเริ่มมีเพื่อนใหม่ๆในมหาลัยแล้ว วิทบอกว่าพวกเราสองคนควรไปเพื่อความสนิทสนมที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ตอนแรกก็จะไปกันแต่ในกลุ่มของที่มหาวิทยาลัย แต่วิทดันไปบอกเล่าให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเก่าของวิทฟังว่าวันนี้จะไปกินเหล้า เท่านั้นแหละพวกเพื่อนๆ ของวิทก็ขอตามมาด้วย

    ตอนแรกก็ไม่อยากไปเพราะตัวเองเป็นคนไม่ดื่มแต่เห็นคนไปกันแล้ววิทก็หว่านล้อมเยอะก็เลยตัดสินใจไปนั่งด้วย ไม่ดื่มไปเอาบรรยากาศก็ได้ อีกอย่างไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นที่ทำเล่นตัวก็เพื่อให้วิทมันง้อให้ไปจะได้เอาแต่ใจตอนจะกลับได้ เพื่อว่าบรรยากาศไม่โอเค เข้ามาถึงในร้านนอกจากจะเจอเพื่อนใหม่ในมหาลัยแล้วก็เจอเพื่อนของวิทที่ชอบไปแตะบอลที่สนามของหมูบ้านด้วยค่อยยังชั่วจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะคนในโต๊ะก็เป็นคนที่เราคุ้นหน้าทั้งนั้น

“เฮ้ย เราเคยเห็นนาย แต่จำชื่อไม่ได้ว๊ะเราเคยเจอกันใช่ไหม?”

“อื้ม เคยที่สนามหน้าหมู่บ้านของวิทไง เราแป้ง”

“เออๆ เราหนุ่มนะ แล้วก็นี้นิว...” หนุ่มเริ่มแนะนำเพื่อนๆในกลุ่มที่เป็นเพื่อนเก่าของวิทให้เรารู้จักอีกครั้งเพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว เริ่มลืมเลือนกันไปหมดแล้ว

   เชื่อแล้วว่าเหล้าในบางทีก็เป็นตัวสานสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ เพียงครึ่งคืนผ่านไปทุกคนก็กลายเป็นเพื่อนกันได้หมดไม่สนว่าใครมาจากไหนแค่ชนแก้วก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว ในโต๊ะทุกคนก็เริ่มจะมีกรึ่มๆกันบ้าง คุยกันเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนทุกคนลืมไปว่าทุกคนเพิ่งจะรู้จักชื่อกันไปไม่ถึง 3 ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง

“ไม่ดื่มเหรอ? เห็นเอาแต่ดื่มโค๊กเปลืองนะเนี่ย” หนุ่มหันมาแซว หลังจากที่เราเอารินโค๊กเข้าแก้วตัวเอง สงสัยจะกลัวเปลือง

“ไม่ละเราไม่อยากตื่นมาแล้วปวดหัว”

“แสดงว่าเคยแฮงค์?”

“อื้ม เคย เลยไม่อยากแฮงค์อีกแล้ว”

      ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศในร้านส่งไปให้ฟังดู เพราะน้อยครั้งที่เราจะออกมาตอนกลางคืนกับกลุ่มเพื่อนแบบนี้ก็เลยจะอวดสักหน่อยว่ามีเพื่อนเยอะแล้ว อิจฉาไหม? แต่เป็นช่วงที่หนุ่มหันมาเห็นกล้องก็เลยเอาหน้าเข้ามาในกล้องด้วย

“ถ่ายด้วยสิๆ” ส่งไปแล้วรอเพียงแค่อึดใจเดียว ฟังก็ส่งเมสเสจกลับมา

ติ้ง

ฟัง “คนข้างๆชื่อไรอะ คุ้นหน้า”

แป้ง “ชื่อหนุ่มเพื่อนของวิท”

ฟัง “อื้ม รีบกลับได้แล้วครับแป้ง อยากให้แป้งถึงบ้านแล้ว”

แป้ง “กลับไปก็ไม่เจอฟังสักหน่อยไม่กลับหรอก”

   จริงๆ ฟังงองแงอส่งมาให้กลับบ้านทุกๆ ชั่วโมงนั้นแหละแต่เเราก็อธิบายไป ตัวฟังเองก็เหมือนไม่ได้งอแงจริงจังบอกแค่ว่าจะยังไม่นอนถ้าเรายังไม่กลับ ตั้งใจเอาไว้ว่าสักประมาณ 5 ทุ่มเดี๋ยวจะชวนวิทกลับบ้านแล้วเพราะก็แอบง่วงๆเหมือนกัน

“ยิ้มกับโทรศัพท์ใหญ่เลย มีแฟนแล้วเหรอ?”

“อื้ม”  ก็คงเรียกว่าแฟนได้นะแหละ ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอะไร เรื่องมันยาวก็ในเมื่อฟังชอบเราเราชอบฟังแค่นี้ก็คงเป็นแฟนกันแล้วมั้ง แม้จะยังไม่ได้จีบหรือตกลงเป็นแฟนกันเป็นเรื่องราวก็ตามเถอะ

“เอ่อ หนุ่ม ถามหน่อยสิในความคิดของหนุ่ม ถ้ายังไม่ได้ตกลงกัน แต่ก็ชอบกันเรียกว่าแฟนได้ใช่ไหม?”

“ไม่รู้ดิต้องไปถามคนที่คุยอยู่ด้วย บางคนเขาก็ไม่ได้ต้องขออะ รู้ๆกัน บางคนก็ต้องขอ อ้าวแป้งกับแฟนไม่เคยตกลงกัน?”

“อื้ม ไม่เคยเลย”

“เฮ้ย ดีว๊ะคนนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงง่ายๆดี ชอบว๊ะหายากพวกคบแบบไม่ต้องเอ่ยปากขอนะ ว่าแต่แป้งไม่กังวลเลย?”

“กังวล?”

“เอ้า ก็เขาไม่พูดอะไรสักอย่างแน่ใจได้ไงว่าเขามีแป้งแค่คนเดียว”

“............”

“เงียบไปเลย ขอโทษเศร้าเลยรึ?”

“..........................”

“แกล้งไรมันกัน พอๆ” สงสัยวิทคงจะเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาถามคงคิดว่าหนุ่มคงแกล้งอะไร

“เป็นไรแป้ง เงียบไปเลย”

“อยากกลับบ้าน”

“ไหวไหม?”

“ไม่ไหว อยากกลับบ้าน กลับกันนะ”

“อื้มๆ งั้นไปบอกทุกคนก่อนเนอะ” หลังจากลาเพื่อนรอบโต๊ะก็ขอตัวกลับบ้าน พอหนุ่มพูดขึ้นมา มันก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ

ติ้ง ส่งเมสเสจไปรายงานตัว

แป้ง “ออกจากร้านแล้วนะกำลังกลับบ้าน”

ฟัง “ถึงบ้านส่งเมสเสจมาด้วยนะ”

แป้ง “ออกมารับได้ไหม? กลับไม่ไหวนี่รออยู่บ้านวิท”

ฟัง “ทำไมอยู่บ้านวิท อีดนิดก็ถึงบ้านตัวเองแล้ว?”

แป้ง “แท๊กซี่ไม่เข้าไป นะมารับหน่อยหรือให้นอนกับวิท?”

“ฟัง “รอ เดี๋ยวไปรับ”

“วิท ขอนั่งรออยู่หน้าบ้านนะ” พอรู้แน่ว่าฟังจะมารับก็หันไปคุยกับวิทที่กำลังรอเราเข้าบ้านอยู่

“ไปรอหน้าบ้านทำไมมารอในบ้านก็ได้ ทำไมเดี๋ยวเพื่อนมาหาเหรอ?”

“อื้ม เดี๋ยวมา”

“โอเค เดี๋ยวรอเป็นเพื่อน”

“ขอบใจ” ขอบคุณที่วิทไม่ถามอะไร และขอบคุณที่นั่งรอเป็นเพื่อน เพราะตอนแรกแท๊กซี่ก็จะเข้าไปที่บ้านนั้นแหละ แต่เราบอกวิทว่าปวดฉี่มากขอลงมาเข้าห้องน้ำหน่อยไม่ทันแล้ว วิทบอกให้แท๊กซี่รอแต่เราบอกให้แท๊กซี่ไปเลย

“หรือจะค้างนี้?”

“ไม่ เดี๋ยวเพื่อนมา”

“โอเค”

      ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน เรากับวิทไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย วิทก็นั่งรอเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เราไมได้เข้าบ้านไป มองหน้าวิทแล้วก็อยากบอกกับวิทถึงปัญหาของเรา อยากอธิบายเรื่องต่างๆ อยากระบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าที่ต้องทรมาณร่างกายตัวเองในตอนนี้ไม่ไปนอนพักผ่อนเพื่ออะไร ไอ้การที่อยากจะพูดแล้วไม่พูดของเรา มันเลยทำให้ความเงียบที่เกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวเราในตอนนี้ มันถูกอ้อมล้อมไปด้วยความอึดอัด พอคิดมาถึงตอนนี้ก็แปลกที่ไม่เคยมีความรู้สึกที่อึดอัดเกิดขึ้นกับใครอีกคนเลย แม้จะอยู่ในสภาวะเงียบเหมือนกันแต่เราก็ไม่เคยอึดอัดกับความเงียบที่เกิดขึ้นกับคนนั้น

“มีอะไรพร้อมเล่าก็เล่านะ เราจะรอฟัง”

“อื้มขอบใจนะ”

      หันกลับไปมองวิทที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาลงไปดูมือถือแล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้ามัธยมได้มั้งวันที่เห็นวิทครั้งแรกที่หน้าหมู่บ้าน วิทเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ทำให้เราไม่เคยเห็นหน้า วิทมาก่อน เราเจอวิทครั้งแรกที่สนามบอลของหมู่บ้าน เราเผลอมองวิทอยู่นานเลยตอนนั้น ที่เผลอมองอยู่นาน เพราะเราโดนสั่งห้ามเล่นกีฬาอะไรพวกนี้อย่างเด็ดขาดทำให้คนรอบข้างเราไม่มีคนเล่นกีฬาชนิดนี้เลยแม้แต่ฟังก็ไม่เล่น วิทเริ่มสังเกตุเห็นเราที่มาคอยด้อมๆมองๆ อยู่ที่สนาม วิทเลยเข้ามาคุยด้วย วิทเป็นคนอัธยาศัยดีชวนคุยชวนเล่นบอลด้วยกัน พอเล่นไม่เป็นวิทก็สอน สอนจนเล่นเป็น ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เห็นที่สนามหน้าหมู่บ้านวันนั้นจะยังคงเป็นเพื่อนเราที่นั่งอยู่ข้างกันจนวันนี้

“มองอะไร”

“เปล่า” ในช่วงที่คิดว่าควรเล่าเรื่องของเราให้วิทฟังดีไหม เสียงรถก็มาจอดหน้าบ้านของวิทพอดี

“เพื่อนคนนั้นของแป้งมาละ ไปเถอะ”

“อื้ม ขอบใจนะ”

   ฟังไม่ได้ลงมาจากรถแค่จอดเอาไว้หน้าบ้าน ฟังไม่ได้พูดอะไรเอาแต่มองหน้าแล้วก็ขับรถตรงเข้าบ้านของเรา ฟังไล่ให้ไปอาบน้ำ ตอนฟังลงมาจากรถเดินเข้ามาในบ้านเลยมีโอกาสได้มองชุดของฟังแอบดีใจนิดหน่อยเพราะฟังมาทั้งชุดนอนเลยกางเกงบ๊อกเซอร์เสื้อกล้ามพร้อมนอน แสดงว่าฟังก็รีบมาพอสมควรรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาใจมันชื้นขึ้นมาหน่อยจากตอนที่มันหน่วงๆ ที่วงเหล้า

“((มานอนมา))”

“ฟัง ขอบคุณนะ”

“((ต่อไปนี้ไม่ไปแล้วเนอะร้านเหล้านะไปแล้วกลับเองไม่ได้แบบนี้))”

“รำคาญเหรอ?”

“((เปล่าแต่เป็นห่วง))”

“อื้ม”

“((นอนกันเนอะ))”

   พยายามข่มตาให้หลับแต่มันทำไม่ได้ คำพูดของหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองหันกลับไปมองหน้าฟัง ฟังก็หลับตาลงไปแล้ว จะว่าไปการที่ได้นอนมองหน้าฟังแบบนี้ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงนะเนี่ย หน้าฟังดูโตขึ้นไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีแก้มแก้มดูตอบลง จมูกไม่โด่งแต่เป็นสันสวยเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแล้วมือก็ไวกว่าใจคิด เผลอเอามือไปลูบจมูกเลยขึ้นไปที่คิ้วขนคิ้วที่ไม่เป็นระเบียบ เลยถือโอกาสจัดระเบียบให้โดยการลูบขนคิ้วไปในทิศทางเดียวกัน ไล่มือลงมาที่ขอบหน้าจนไปถึงมุมปาก

“((นอนไม่หลับเหรอ))” ตกใจหมดเลยอยู่ดีๆ ฟังก็ขยับปากขึ้นมาทั้งๆที่ตาก็ยังหลับอยู่อย่างนั้นขอบนิ้วตกลงไปในปาก

“อื้ม”

“((......))”

“ฟังใช้ภาษามือ มันมืดอ่านปากไม่ถนัด”

“((ทำไมไม่นอนดึกมาแล้ว พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ?))”

“มี  แต่นอนไม่หลับ” แล้วก็ไม่ได้ห้ามมือตัวเองที่ยังคงไล่อยู่ตรงขอบหน้าของฟัง จนฟังต้องเอามือตัวเองมาจับมือเราเอาไว้ แล้วก็หันหน้ามาทางเรา

“((พอแล้ว))”

“ทำไมละ”

“((ก็มันดึกแล้วเลิกลูบได้แล้ว))”

“ฟัง”

“((หื้ม?))”

“จูบหน่อย”

....โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ peaceminus1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบกลิ่นอายของนิยายเรื่องนี้ เราเพิ่งตามมาอ่านจนถึงปัจจุบัน
ปกติถ้ามีแววคล้ายๆหน่วงๆนี่ไม่อ่านเลยนะ
แต่เรื่องนี้ แปลกที่มันดึงดูด อยากชมนักเขียน
สู้ๆ รอติดตามอ่านตอนต่อไปจ้า  o13

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 11

      ไม่ต้องให้ขอซ้ำ เพียงอึดใจเดียวฟังก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าของเรา ฟังเริ่มจากจูบลงมาที่หน้าผากไล้มาที่แก้ม ขยับไล่ริมฝีปากของฟังมาตามโครงหน้าของจนเรามันดูอบอุ่นจนเราเองก็เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีความต้องการอยู่ในนั้น ตัวเราเองก็อยากสัมผัสฟังเช่นกัน หน้าตานี้ ร่างกายนี้ที่เราเห็นมานาน ปล่อยให้ฟังใช้ปากสัมผัสเราแต่เราขอใช้มือสัมผัสฟัง เอามือขึ้นจับใบหน้าของฟังเอาไว้หน้านี้ที่เราเห็นมาตั้งแต่ตอน 10 ขวบ ลูบไปตามขอบหน้าขอบจมูกจมูกนี้ที่คอยหอมตอนเราสระผมเสร็จ ฟังยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยจากการสัมผัสของเรา จากจูบที่อ่อนโยนที่ได้รับเหมือนเป็นการทำความรู้จักกัน ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเพิ่มความต้องการลงไป จูบเริ่มมีความหนักแน่นมากขึ้น มือของฟังไล้ลงมาตามช่วงตัวของเราจากที่เราลืมตาจูบเพราะต้องการมองหน้าของฟังให้นานที่สุดความร้อนจากมือของฟังที่ไล่ลงมามันทำให้เราต้องหลับตา

      จากลมหายใจที่ปกติเริ่มเปลี่ยนเป็นการหอบหายใจ หัวใจเต้นแรง มือของฟังเริ่มทำความรู้จักตัวตนของเราจากแผ่นหลังของเรา ฟังดูเหมือนไม่พอใจที่จะหยุดอยู่แค่นั้นเลยเริ่มทำการสำรวจไปรอบๆตัวของเรา แผ่นอก แผ่นหน้าท้องไม่มีพื้นที่ส่วนไหนที่ฟังจะไม่ลากผ่าน จากที่นอนตะแคงมองหน้ากัน กลับกลายเป็นตอนไหนก็ไม่รู้ที่ฟังเปลี่ยนมาอยู่ทางด้านบนโอบล้อมตัวเราเอาไว้ เพราะว่าฟังอยู่ด้านบน เราเลยรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของทั้งสองคน เอื้มมือไปแตะสัมผัสในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลง เริ่มทำความรู้จักกับมัน ฟังเผลอกัดปากของเรา ทุกอย่างกำลังดำเนินไปเรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแล้วเราก็ไม่อยากหยุด แต่ตอนที่มือของฟังเริ่มมาหยุดสำรวจที่หน้าอกของเรา เราก็เผลอส่งเสียงออกไป

     เป็นแค่เสียงสั้นๆ แต่เสียงนั้นทำให้ฟังหยุดมือหยุดทุกอย่าง เราลืมตาขึ้นมามองอยากรู้ว่าทำไมฟังถึงหยุด เสียงเรามันผิดพลาดตรงไหน สิ่งที่เราเห็นก็คือตาของฟัง ซึ่งสายตานั้นก็สื่อถึงความต้องการไม่ต่างจากเรา แม้กระทั่งลมหายใจของฟังก็ยังร้อนไม่ต่างจากเรา ระดับการเต้นของหัวใจก็เต้นแรงไม่ต่างกัน แถมส่วนนั้นก็ตื่นตัวไม่ต่างกัน ยากที่จะเดาว่าทำไมหยุด ในเมื่อฟังหยุดแต่เราพร้อมจะสานต่อเลยพยายามจะจูบฟังต่อพอเราเอาปากขึ้นไปแตะที่ปากของฟัง ฟังกลับหมุนหน้าหนีเรา จากการตั้งใจที่จะจูบบริเวณปากได้เป็นการหอมต้นคอไปแทน โกรธที่หยุดแล้วไม่มีคำอธิบายน้อยใจเลยกัดไปที่ต้นคอของฟังเป็นการระบายความไม่เข้าใจ

ฟังดึงตัวเราเข้าไปกอดเอาไว้ จากที่เรานอนอยู่บนที่นอนฟังจับเราลุกขึ้นมากอดเอาไว้ พยายามดึงตัวเองออกเพราะต้องการไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยไม่อยากจะมานั่งอารมณ์เสียอยู่ตรงนี้แต่ฟังก็ดึงหน้าให้หันไปมองตากัน

“((ให้ฟังช่วยนะ))”

“จะช่วยแล้วหยุดทำไม เมื่อกี้หยุดทำไม” รู้ตัวว่าเสียงที่พูดออกไปยังคงขาดๆ หายๆ อยู่เลย

“((น้าปิ่นอยู่ ไม่มีของด้วย))”

“ของ?”

“((เอานะ มาฟังช่วยแต่อย่าส่งเสียงนะ กัดเราเอาไว้))”

“ไม่ต้อง” แต่ดูเหมือนคำห้ามของเราจะไปไม่ถึงฟัง เพราะฟังยังคงดื้อดึงที่เอามือล้วงเข้าไปข้างในกางเกงของเรา เราเองก็แยกขาออกจากกันให้ฟังอย่างไม่ทันได้คิด

“((ทำให้บ้างสิจะได้ไปพร้อมๆกัน))” แค่เห็นสายตานั้นของฟังก็พยักหน้าให้ฟังแล้วก็เอื้อมมือของเราไปจับของฟังบ้างทำตามฟังที่ฟังกำลังทำ ฟังขยับเราก็ขยับฟังเลื่อนไปด้านไหนเราก็ทำตามมือของฟังทุกอย่าง รู้สึกว่าฟังสัมผัสตรงไหนก็ทำตามเขา แล้วก็ไม่นานทั้งเราและฟังก็ไปถึงปลายทาง

“((มาเช็ดตัวก่อนเดี๋ยวเอากางเกงมาเปลี่ยนให้))” หมดแรงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า แค่การช่วยตัวเองแต่ยืมมือคนอื่นมาช่วยจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยได้มากกว่าทำเองขนาดนี้ ฟังก็ดูเหมือนเพลียแต่ก็ยังคงเอาผ้ามาเช็ดตัวทำความสะอาดให้เรา ไม่อยากเอาเปรียบฟังพอฟังเช็ดทำความสะอาดให้เราเสร็จก็เลยพยายามเอาผ้าไปเช็ดให้ฟังเหมือนกัน

“((ไม่ต้องหรอกนอนเถอะครับ))” พยักหน้ารับรู้ นอนรอฟังที่เตียงไม่อยากหลับก่อนแต่นอนไปสักพักก็เริ่มเข้าสู่หมวดง่วงก็เลยเผลอนอนหลับไป

     น่าเสียดายที่แป้งหลับไปถ้าแป้งไม่หลับแป้งจะได้รู้ว่าคำที่แป้งอยากได้ยินฟังเขาก็พูดมาให้ได้ยินแล้วแต่เพราะแป้งหลับไปแล้วแป้งเลยไม่รุ้เลยว่าหลังจากนั้นมีคนมาบอกข้างหูว่า “รักนะครับ” เป็นการกล่อมให้เราฝันดี แม้เสียงที่ออกมาจะไม่มีแต่ถ้าได้มองตาแล้วอ่านปาดแป้งก็จะเข้าใจ

   เช้าขึ้นมาคนข้างตัวหายไปแล้วทิ้งเอาไว้แต่กระดาษที่วางไว้ที่หัวเตียงว่า “(ไปเรียนแล้วนะครับตื่นแล้วเมสเสจมาด้วย)” น่าแปลกที่เห็นแค่นั้นก็นอนยิ้มได้อีกตั้งหลายนาที มารู้ตัวว่าสมควรตื่นจากฝันสักทีก็ตอนที่วิทโทรเข้ามาในมือถือเพื่อถามว่าจะไปเรียนไหมจะได้รอไปพร้อมกันจะได้หารค่าแท๊กซี่ รีบเด้งตื่นขึ้นมาจัดการกับตัวเองแต่พอมองตัวเองในกระจกก็เขิลคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน แต่ในความเขิลก็มีความดีใจเกิดขึ้นเพราะจากสายตาก็ทำให้เรารู้ว่าฟังยังชอบเราอยู่จริงๆ ความรู้สึกของฟังยังไม่ได้เปลี่ยนไป

“เฮ้ย เล่นอยู่นั้นแหละโทรศัพท์มีอะไรดีว๊ะ?”

“เปล่า” ส่งเมสเสจบอกฟังว่ากำลังจะไปเรียนแล้วอยู่ในรถแท๊กซี่

“วันนี้ดูอารมณ์ไม่เหงาหงอยแบบเมื่อวานแล้วนิ มีอะไรดีๆเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ก็เหมือนเดิม สงสัยนอนเต็มอิ่ม”

“เออๆ เชื่อๆ”

   ชีวิตดำเนินไปอยู่อย่างนี้จันทร์ถึงพฤหัสบดีไปเรียน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ฟังมาหาที่บ้าน หรือไม่ก็ไปหาฟังเป็นมาเรื่อยจนใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องปกติเพราะขนาดวิทยังรู้เลยว่าช่วงวันพวกนี้เราจะหายไปกลับมาติดต่อได้อีกทีคือวันจันทร์
ช่วงนี้ไม่มีอาทิตย์ไหนเลยที่ไม่ได้เจอกับฟังมันเป็นช่วงแห่งความสุขถ้าถามถึงเรื่องเอ่อ บนเตียงก็ยังเหมือนเดิม ไปไกลสุดคือต่างคนต่างช่วยกันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งฟังถึงหยุดอยู่แค่นั้นทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ขัดขืนแล้วก็ไม่เคยห้ามให้ไปต่อมีแต่ฟังพอไปถึงช่วงนั้นทีไรฟังก็จะถอยตัวเองกลับไปทุกที

“ฟัง” เพิ่งจะผ่านเหตุการ์ณที่เร่าร้อนไปแต่ก็เหมือนเคยวันนี้ต่างคนต่างช่วยกันเหมือนเดิมพอเราจะต่อ

“((พอแล้วเนอะวันนี้พอแล้วมากอดกัน))” อยากจะเอ่ยปากถามออกไปแต่วันนี้หมดแรงแล้วเลยหลับไปทั้งที่ยังคงมีคำถามที่คาใจมากมาย

    ผ่านไปแป๊ปๆ ก็สอบจบปี 1 แล้ว 1 ปีในมหาวิทยาลัยผ่านไปไวเหมือนโกหกพอขึ้นปี 2 ก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยมากขึ้นเพราะต้องทำงานร่วมกันเมื่อตอนปี 1 เลยมาสุมหัวลงตัวเดียวกันจะได้ง่ายต่อการติวกันหลังจากสอบเสร็จช่วงปิดเทอมเป็นเหมือนสวรรค์ได้กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบนั้นคือการอ่านหนังสือการ์ตูนไม่ได้อ่านจนบางเล่มวางเก็บไว้ให้ปลวกแทะเล่นแล้วรีบสบัดเจ้าปลวกออกแล้วก็รื้อเอามาอ่านทั้งหมด โชคดีที่วิทก็สายการ์ตูนเหมือนกันเลยมีการผลัดกันซื้อคนละเรื่องเหมาซื้อคนเดียวท่าจะแย่เงินเก็บยิ่งไม่ค่อยจะมีอยู่

“วิท อ่านจบยังงงงง เรื่อง..อะ เอามาแลกกับของเราไหมเราอ่านเรื่อง...จบแล้วนะ”

“เออๆ มาเอาดิ แต่ยังเหลือ 4 เล่มสุดท้ายนะยังไม่จบ แต่เอาของแป้งมาครบชุดเลยนะ”

“โห ไม่ค่อยเลยเนอะ เออ โอเคๆ เดี๋ยวไปเอาที่บ้านนนะ เดี๋ยวเจอกัน”

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ ก่อนเข้ามาแวะซื้อโค๊กมาด้วยดิพวกไอ้หนุ่มมามันด่าว่าบ้านยากจนไม่มีน้ำอัดลม”

“ฮ่าๆๆ โอเคๆ เดี๋ยวซื้อเข้าไปให้” แวะซื้อของที่เซเว่นที่หน้าหมู่บ้านก่อนแวะเข้าไปซอยบ้านของวิทซื้อขนมมาให้เพิ่มนิดหน่อย

“มาแล้วว นี่รอมึงจนเหงือกแห้งเลยบ้านไอ้วิทแม่งโคตรยากจนน้ำอัดลมไม่มีสักกระป๋อง”

“ฮ่าๆๆ อะๆ เอาไป” แล้วมหกรรมการแย่งของกินก็เกิดขึ้นเพื่อนของวิทมารุมที่มุมขนม

“เออ สงสัยต้องหัดซื้อขนมเก็บไว้ที่บ้านบ้างว๊ะ”

“ก็จริง สมควรนะสงสารเพื่อนนะดูสิ” ในขณะที่กำลังรู้สึกสนุกที่เห็นกลุ่มเพื่อนๆ ของวิทรุมทึ้งขนมกันอยู่นั้น หนุ่มก็พูดโพล่งแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขึ้นมาว่า

“เออ สู้บ้านไอ้ฟังเพื่อนกูที่มหาลัยก็ไม่ได้แม่งไปบ้านแม่งทีสบายท้องมีขนมพร้อม”

“ฟัง?” จะฟังเดียวกันรึเปล่านะเพราะน้อยคนนะที่จะชื่อนี้หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักคนชื่อฟังที่อื่นอีก

“อื้ม ชื่อฟัง ชื่อมันแปลกใช่ไหม? ตอนแรกที่รู้ก็แบบ คนห่าไรชื่อฟัง แต่มันนิสัยดีนะเพื่อนติดมากที่มหาวิทยาลัย”

“เหรอ”
“เออ จะทึ่งกว่านี้ถ้ารู้ว่ามันชื่อฟังแต่พูดไม่ได้นะ แต่ขนาดพูดไม่ได้มันยังมีสาวเลย เฮ้ยๆ สาวไอ้ฟังชื่อไรนะ?” มือเย็นตั้งแต่ที่รู้ว่าชื่อฟังแล้วพูดไม่ได้แล้ว มือมันชาจากรอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มุมปากรู้เลยว่าไม่สามารถบังคับยกมันขึ้นมายิ้มได้

“เขามีสาวด้วยเหรอ?”

“เออ มีด้วยเออ นึกชื่ออกแล้วสาวไอ้ฟัง ชื่อ ลูกตาล เป็นเพื่อนในคณะนี้และไปไหนมาไหนนุ้งนิ้งกันตลอด”

“ลูกตาล”

“แป้งเป็นอะไร?”

“เปล่าวิท เรากลับบ้านก่อนนะ”

“รอแป้ป หนังสือการ์ตูน”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่”

“แป้ง ให้ไปส่งนะ”

“ไม่เอา”

“แป้ง” ไม่ได้ตอบปฎิเสธออกไปอีกเพราะว่าวิทตะโกนบอกกลุ่มเพื่อนหมดแล้วว่าจะออกไปส่งเราที่บ้าน ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านมากับวิทมีแต่ความเงียบไม่รู้จะพูดอะไรแล้วก็ไม่กล้าพูดด้วยกลัวว่าแค่ขยับปากน้ำตาก็จะไหลก็เลยพยายามเงียบ แต่พอมาถึงที่ใกล้ประตูบ้านของเรา วิทก็คว้าตัวเราเข้าไปกอด

“แป้ง วิทไม่รู้หรอกนะว่าแป้งกับฟังเป็นอะไรกัน แล้ววิทก็ไม่อยากรู้ถ้าแป้งไม่ได้อยากบอกวิทเลยทำเป็นไม่รู้มาตลอด แต่มาวันนี้ท่าทีของแป้งมันแสดงออกมากเลยนะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมพอได้ยินเรื่องนั้นแล้วต้องเป็นขนาดนี้ทำไมต้องนิ่งไปเลย แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ร้องไห้กับเราได้นะ”

“วิท” เหมือนคำพูดวิทเปิดประตูในใจออก จากอึดอัดที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ปล่อยโฮใส่วิทอย่างเต็มที่อ้อมกอดของวิทจากตอนแรกที่รู้สึกว่ามันอึดอัด ตอนนี้เรารู้สึกได้ว่าอ้อมกอดของวิทก็อบอุ่นดีเหมือนกันนะ

   วิทกลับบ้านไปแล้วตอนนี้เหลือแค่เราที่อยู่ในบ้านรอแม่กลับมา ฟังส่งเมสเสจมาหาแต่ยังไม่ตอบกลับไปไม่รู้ว่าควรทำยังไงดีถามไปเลยดีไหม? แล้วเราควรใช้สิทธิ์อะไรถาม? เพราะว่าแฟนฟังก็ยังไม่ได้ขอให้เป็นแฟนกัน ใช้สิทธิ์คนที่ฟังชอบ แล้วฟังชอบเราคนเดียวอยู่รึเปล่า? หรือว่าฟังเองก็ชอบลูกตาลอยู่ด้วย ถ้าถามไปเราจะดูเป็นบุคคลที่น่ารำคาญมากไหมได้แต่คิดวนเวียนอยู่แบบนี้

ตรู้ดด

“ฮัลโหลวิท”

“อื้ม เป็นไงดีขึ้นยัง?”

“ดีแล้ว”

“อื้ม งั้นก็พักผ่อนนอนได้แล้ว”

“อื้ม”

“บาย”

“เดี๋ยววิท”

“เราคุยกับวิททุกเรื่องได้ใช่ไหม?”

“ได้สิ”

“วิทว่าถ้าเราอยากรู้เรื่องนึง แล้วถ้าเราถามออกไปเราจะดูขี้ระแวงมากเกินไปไหม? เราจะน่ารำคาญรึเปล่า?”

“ถ้าถามเราเหรอ ถามไปเลย อยากรู้ก็ถามจะมาเก็บไว้ทำไม มันไม่มีผลดีอะไรเกิดขึ้นมาหรอก เชื่อสิ”

“อื้ม โอเค ขอบใจนะ”

“เออแค่นี้เองเพื่อนกันมึง”

ติ้ง

แป้ง “ฟังพรุ่งนี้เราจะเจอกันไหม?”

ฟัง “เจอสิ แล้วนี่หายไปไหนมาส่งไปตั้งนานเพิ่งตอบ”

แป้ง “อ่านการ์ตูนนะ”

ฟัง “เดี๋ยวจะเอาหนังสือการ์ตูนไปเผาทิ้งเพราะทำให้แป้งลืมเรา”

แป้ง “ตลกละ”

ฟัง “ฮ่าๆๆๆ จะนอนเลยหรือคุยต่อ?”

แป้ง “ทำไมอะ? จะไปไหนเหรอ?”

ฟัง “เปล่าถ้าคุยต่อจะได้ขับรถไปหาที่บ้านเลยไง คิดถึง”

แป้ง “ประสาท เจอกันพรุ่งนี้”  พออ่านเมสเสจเสร็จก็ยิ้มออกมาได้ หรือว่าที่จริงแล้วเราจะคิดมากไปเอง

   เช้าวันรุ่งขึ้นฟังมาหาแต่เช้า เช้ามากจริงๆ เรายังไม่ได้ลุกตื่นเลยแต่มารู้สึกตัวตื่นเพราะว่าฟังมาปลุกนี้แหละจะเรียกว่าปลุกได้ไหมนะแค่เข้ามานอนกอดเราไว้เฉยๆ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเราคุ้นเคยกับอ้อมกอดนี้พอเขามาเราก็รู้เลยว่าฟังมาแล้วโดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมอง

“มาแล้วเหรอ งื้อออ ยังง่วงอยู่”

“............” ไม่ได้ลืมตามองหน้าของฟัง ฟังเลยประท้วงโดยการที่ไล่จูบไปทั่วเปลือกตาและใบหน้าแต่พอลามมาถึงค้าง เรารีบดันหน้าฟังออก

“ยังไม่ได้แปรงฟันเดี๋ยวปากเหม็นหยุดๆ” พูดไปเสียงอู้อี้ไปไม่รู้ว่าฟัง ฟังเข้าใจรึเปล่าเพราะนอกจากจะหัวเหราะแล้วยังจะดึงตัวเราลงไปกอดแล้วระดมหอมอีก ก็บอกว่าปากเหม็นน้ำลายบูด

“ปล่อยยย จะไปแปรงฟันอาบน้ำแล้ว” ต้องให้ดิ้นต้องให้ตะโกนถึงจะยอมปล่อยกันมาได้ แรงนะจะเยอะไปไหนนี่แป้งเองจะโชว์พลังทำไมกันไม่เข้าใจ

“((แป้งเลือกร้านขนมเลย))” เมื่อเช้ากินอาหารเช้าที่แม่ทำไว้ให้ ตอนนี้ออกมาซื้อของใช้ส่วนตัวกัน กะว่าจะเช่าหนังสักเรื่อง
เข้าไปดูฟังอยากซื้อหนังสือด้วย แต่เราดันบอกว่าหิวขนมฟังเลยบอกว่าให้เป็นคนเลือกร้านเอง

“งั้นร้าน .. นะ ไม่ได้กินนานแล้ว”

“((อื้มเอาดิ จะนั่งกินรอตรงนี้จะได้ไม่ต้องไปยืนรอหรือจะไปร้านหนังสือด้วยกัน))”

“ไปด้วยเพื่อดูการ์ตูน”

“((แต่ไม่ให้ซื้อแล้วนะ))”

“ฮ่าๆๆๆๆ โอเคๆ ไม่ซื้อขอไปยืนดูให้มันชุ่มชื้นหัวใจนะ”

“((ไม่ต้องเลยเพราะการ์ตูนทำให้แป้งลืมเรา))”

“โอ๋ๆ โอเคๆ”

   มีสิทธิ์ได้เลือกแค่ของกินเท่านั้นแหละพอมาถึงเรื่องหนังที่จะดูหรือหนังสือที่อยากอ่านฟังเขาก็รับหน้าที่ตรงนี้ไปหมดเป็นสิทธิ์ขาดที่เขาจะเลือก ก่อนเข้าบ้านแวะตลาดซื้อกับข้าวใส่ถุงเข้าไปเลยจะได้อุ่นกินกันฟังบอกว่าตอนเย็นจะได้ไม่ต้องออกมาอีกเข้าบ้านแล้วจะได้อยู่นานไปเลย

“อิ่มแล้ว” เอามือตบท้องบ่งบอกให้รู้ว่าอิ่มจริง ฟังก็เลยร่วมด้วยช่วยกันเอามือมาตบที่พุงเราด้วย

“((โอ้โห เชื่อแล้วว่าอิ่มพุงแข็งมาก))”

“เอามือออกไปเลยปากไม่ดีห้ามจับ” ฟังยิ้มให้เหมือนปลอบใจที่พุงใหญ่หอมหัวไป 1 ทีแล้วก็เริ่มลุกเอาจานไปล้าง จะให้นั่งขี้เกียจอยู่ตรงนี้ก็แปลกๆ ก็เลยเคลื่อนย้ายตัวไปเอาของที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็นแล้วก็เช็ดโต๊ะให้สะอาด

“ไปอาบน้ำแล้วนะเหนียวตัว”

“((อย่าเพิ่ง อิ่มๆ มานั่งเล่นก่อน))”

“มานั่งพึ่งพุง งี้เหรอ”

“((ใช่ มาๆ))” แล้วฟังก็ตบที่ข้างๆตัวให้มานั่งข้างๆ

“ยังไม่ดูหนังนะ อยากดูตอนอาบน้ำแล้วจะได้ยาวๆ”

“((อื้มได้ มานั่งย่อยก่อนไงทำอะไรทำไปเอาหนังสือมาอ่านไหม?))”

“เอาๆ หยิบให้หน่อยยย”

“((ขี้เกียจ))” แม้จะบ่นแต่ฟังก็หยิบหนังสือมาให้เราแต่โดยดีนั่งอ่านไปได้สักพักฟังก็มาหยิบหนังสือการ์ตูนออกไปจากมือของเราแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำบอกว่าได้เวลาแล้ว

“((อาบน้ำช้ามาก))” ฟังบ่นหลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จ พออาบเสร็จฟังก็เข้าไปอาบบ้างแล้วก็เลยตัดสินใจขึ้นไปดูหนังที่ห้องของฟังเลยเพราะจะได้นอนเปิดแอร์แล้วถ้าง่วงจะได้หลับไปเลย หนังสไตล์ของฟังมักชวนให้เราหลับตลอดแต่วันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่หลับก่อนฟัง

   ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่มารู้สึกตัวก็ตอนที่รู้สึกเหมือนมีมือเริ่มเข้ามาในเสื้อนอน ตกใจนิดๆ แต่พอได้สติก็รู้ว่าเป็นฟัง กลิ่นแบบนี้การสัมผัสลูบตัวเราแบบนี้ ไม่ขัดขืนขยับตัวเพื่อให้ฟังสัมผัสได้แต็มที่ ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้เรากับฟังจะไม่หยุดอยู่ในจุดที่เราเคยหยุดมาแล้ว ทุกที่ฟังอาจจะกลัวว่าเราเจ็บแต่วันนี้เรามีของเตรียมมาเองด้วย

   ฟังถอดเสื้อผ้าของเราออกไปหมดตัวแล้ว ของฟังเองก็เช่นกันวันนี้เป็นวันแรกที่ฟังยอมถอดหมดขนาดนี้ปกติจะไม่ยอมถอดหมด แต่วันนี้เราไม่เก็บอารมณ์ไม่เก็บเสียงปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่หลับตาเพราะต้องการเห็นสีหน้าของฟังแบบชัดๆ ฟังปลนเปรอเราทุกอย่างเอาใจเราหมดไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสในจุดที่ฟังรู้ว่าเราชอบ ฟังไม่ได้เร่งรีบให้มันผ่านไป ค่อยๆเป็นค่อยไป ค่อยๆลูบเอาใจใส่ แถบจะหมดแรงก่อนที่จะถึงปลายทางวันนี้ฟังดูมีอารมณ์ร่วมมากว่าเดิมเพราะฟังเอาของเราสองคนมารวมไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ต่างคนต่างทำให้กันอย่างที่ผ่านมาฟังเอามารวมกันไว้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่มากขึ้นรู้สึกถึงความใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

   ไม่ว่าฟังจะพยายามช้าซะแค่ไหนพยายามยื้อเวลาเพื่อไม่ให้ไปถึงปลายทางมากสักเท่าไรแต่ในที่สุดปลายทางก็มาถึง เหมือนเดิมฟังเหมือนพยายามจะหยุดทุกอย่างอยู่แค่นี้ แต่ครั้งนี้เราไม่ยอมเราเอาขาของเราเกี่ยวที่ช่วงเอวของฟังเอาไว้เพราะมันเป็นส่วนเดียวที่ฟังอยู่ใกล้เรามากที่สุด

“((ปล่อยนะครับแป้ง))” ปากขยับบอกให้ปล่อย แต่ที่ดวงตาของฟังก็ยังสื่อถึงความต้องการ

“ต่อเถอะนะ”

“((แป้ง))”

“นะ ต่อ กัน เถอะนะ” ฟังไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่โน้มหน้าเข้ามาจูบปากอย่างเอาใจจากอ่อนหวานก็เริ่มมีความต้องการเพิ่มเข้ามาและดูจะรุนแรงกว่าครั้งแรกที่เพิ่งผ่านไป

“ฟัง” อยู่ๆฟังก็หยุดลงตอนที่ดันเราลงมานอนที่เตียงแล้วก็หยุด

“((พอเถอะ หยุดนะ ไม่หยุดตอนนี้มันจะ))”

ไม่ไหวแล้วเราไม่ไหวกับคำนี้แล้ว หยุดๆ ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว ไม่เข้าใจรังเกียจเราเหรอ? ไปไกลมากกว่านี้จะรังเกียจกันเหรอ? หรือว่าที่ไม่อยากไปต่อกับเราเพราะว่าอยากไปต่อกับลูกตาลแต่ไม่ใช่กับเรา ฟังแค่ใช้เราแค่ระบายอารมณ์เบื้องต้นเหรอ? มันอึดอัดมันคับแค้นใจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ peaceminus1 ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากเลยนะคะ  ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2016 14:00:19 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :call: :call: :call: :call: :call:

แป้งงอนแล้วว   ดราม่าจะมาไหม  :katai1: :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด