-เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -เสียงของฟัง- แจ้งข่าว วันที่ 24/02/2017 - จบแล้วค่ะ -  (อ่าน 18786 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 12

   ในเมื่อฟังต้องการหยุดเพียงเท่านี้จะให้เราทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ จะให้อ้อนวอนก็ดูจะน่าอายเกินไปที่จะอ้อนวอนเพื่อให้อีกคนกอด ตัดสินใจลุกขึ้นออกจากตัวของฟังเดินไปอาบน้ำไปทำความสะอาดร่างกายตัวเอง อาศัยช่วงที่ฟังเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยใช้เวลาช่วงนั้นรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าที่สามารถออกไปข้างนอกได้พร้อมกับเตรียมตัวจะออกไปจากบ้านของฟัง แต่ไม่รู้ว่าฟังเขาจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วหรือเราเองที่แต่งตัวช้า เพราะลงมาได้แค่ห้องรับแขกของฟัง ฟังก็สามารถเดินมาจับตัวเราเอาไว้ได้แล้ว

“((จะไปไหน?))”

“กลับบ้าน ปล่อย”

“((กลับทำไม?))”

“จะกลับ”

“((แป้ง))”

“ปล่อยจะกลับ อย่ามายุ่งรังเกียจนักไม่ใช่เหรอ? ใช้งานเสร็จแล้วนิพอใจรึยัง? แต่ขอโทษนะที่ทำให้มีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้ มันไม่น่าดูใช่ไหมละในร่างกายเรานะ  ไปหาเอาใหม่ที่มีร่างกายน่าดูแล้วกันนะ”

“((แป้งๆ เดี๋ยวๆ หยุด))”

“ปล่อยเถอะนะ เรา  ปล่อยเรากลับบ้านเถอะนะ”

“((แป้ง หยุดร้องเกิดอะไรขึ้น งง แป้งหยุด))” ในเมื่อฟังไม่ยอมปล่อยสิ่งที่เราทำได้คือยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น ฟังพาเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนนั่งกอดเราเอาไว้ไม่ปล่อยมือออกจากเราเลย หลังจากได้ร้องไห้แล้วได้อยู่ในอ้อมกอดของฟัง มันยังทำให้เราสัมผัสได้ว่านี่คือฟังที่ยังเป็นของเราอยู่ ฟังยังไม่ได้ไปไหนและยังไม่ได้เป็นของคนอื่นอารมณ์ที่พุ่งขึ้นด้วยความโกรธก็ปรับอารมณ์ให้อยู่ในโหมดปกติได้

“((พร้อมจะพูดรึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้น?))” ผ่านไปสักพักฟังก็เป็นคนเริ่มการพูดจาขึ้นมาก่อน ครั้งนี้ฟังใช้ภาษามือในการสื่อสารเพราะว่าเรานั่งเอาตัวพิงตัวของฟังอยู่เลยไม่สามารถมองที่หน้าของฟังได้

“อื้ม”

“((เป็นอะไรครับ? ทำไมอยู่ดีๆ พูดอะไรแบบนั้น?))”

“ก็”

“((เล่ามาเถอะ เราตกใจอยู่ๆ แป้งเป็นแบบนั้น บอกกันได้ไหม?))”

“เห็นมีคนบอกว่าในมหาลัยฟังมีเพื่อนเยอะแล้วก็สนิทกับลูกตาลมากจนคนเขาแซวแล้วว่าสองคนเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน”

“((แล้ว))”

“ที่ฟังหยุดไม่สานต่อไปจนถึงแบบ เอ่อ นั้นแหละ เราอยากรู้ว่าเพราะว่าฟังทำไม่ลงใช่ไหม? เราไม่ใช่แบบที่ฟังต้องการรึเปล่า?”

“.......”

“แล้วฟังก็กำลังจะมีเพื่อนใหม่อีกเยอะ ฟังเลยอายใช่ไหมถ้าจะเป็นเรา?”

“((ไม่เข้าใจ))”

“ ฟังเลยไม่เคยสนความรู้สึกของเราแค่เอาเรามาเป็นที่ระบายอารมณ์ใช่ไหม?”

 “ แล้วฟังก็อยากได้คนอื่นๆ เป็นแฟนใช่ไหม ฟังเลยไม่ขอเราเป็นแฟนสักที? ฟังอยากคู่กับลูกตาลแบบที่ทุกคนมองกันใช่ไหม?”
       
       ณ ตอนนี้เราได้พูดเรื่องในหัวของเราไปหมดแล้ว ฟังไม่ตอบอะไรได้แต่กำมือตัวเขาเองเอาไว้แน่น จากที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเพราะอ้อมกอดนี้ตอนนี้เป็นของเราแล้ว พอฟังไม่ตอบทำให้เรารู้สึกว่าแม้อ้อมกอดนี้จะอบอุ่นแต่มันอาจจะไม่ใช่อ้อมกอดของเราแค่คนเดียว

“((เลิกร้องแล้วดูปากฟังนะ))” ตอนนี้ฟังไม่ได้กอดเราเอาไว้แล้ว ฟังจับหน้าของเราหันไปดูปากของเขาแทน

“((เรื่องแรก เรื่องของลูกตาล เราเคยคุยกันแล้วนิน่าว่าลูกตาลนั้นเพื่อนของฟัง มันไม่มีอะไรที่มากกว่านั้นทำไมเรื่องนี้แป้งยังกังวลอีก?))”

“.............”

“((เรื่องต่อมาเรื่องเพื่อนเยอะ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรที่ฟังจะมีเพื่อนกี่คน เพราะยังไงแป้งยังคงเป็นคนพิเศษของฟังเสมอ))”

“((ส่วนเรื่องมีอะไรกัน ทำไมแป้งถึงคิดว่าฟังรังเกียจครับ ฟังดูไม่มีอารมณ์ร่วมเลยเหรอ?))”

“เปล่า แต่ฟังหยุดตลอด”

“((แป้ง เราเป็นห่วงแป้งนะเราถึงหยุด))”

“ห่วงทำไม? เราไม่เจ็บหรอก เรารู้ว่าต้องทำยังไงเราก็มีศึกษามาบ้างเหมือนกัน”

“((มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แป้งไม่เหมือนคนอื่น))”

“ไม่เหมือนยังไง?”

“((อยากรู้ใช่ไหม?))”

“ใช่” ฟังเลิกใช้คำพูดเป็นตัวอธิบาย แต่ฟังเริ่มใหม่ทุกอย่างตั้งแต่ตอน จูบ สัมผัส ลูบไล้ครั้งนี้เรารู้สึกได้ว่าฟังใส่ใจในการสัมผัสเรามากขนาดไหนในแต่ละส่วนที่ฟังสัมผัสเหมือนฟังจะทิ้งความใส่ใจเอาไว้ในทุกที่

“((ลืมตา))” ฟังหยุดทำให้เราลืมตามามองหน้าฟังแล้วฟังก็บอกให้เราลืมตาแล้วมองแต่หน้าของฟังแม้จะอายแต่เราก็ทำตาม เห็นหมดตั้งแต่ตอนที่ฟังเตรียมตัวให้เรา มันก็รู้สึกแปลกๆบ้างที่เห็นอะไรแบบนี้ เห็นตอนที่ฟังเตรียมตัวให้ตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากที่ฟังเตรียมทุกอย่างให้พร้อมทั้งเขาและเรา ฟังก็ก้มลงมาจูบมาตามข้อต่อต่างๆของเราไม่ว่าจะเป็น มือ หัวเข่า สะโพก

“((ฟังขอนะขอเข้าไปในตัวของแป้งนะ))”

“อื้ม”

“((ถ้าเจ็บตรงไหนบอกนะ))”

“อื้ม” ฟังค่อยๆ เอาตัวเข้ามา มันไม่เจ็บแค่รู้สึกอึดอัดเพราะฟังอ่อนโยนมากกว่าจะมาถึงขั้นตอนนี้ ฟังเอาใจเราทุกอย่างจนลืมความเจ็บนี้ไปเลยมันเป็นความสุขเสียมากกว่าความเจ็บ

“((จะขยับแล้วนะ))” ไม่เข้าใจว่าฟังจะบอกทำไมแล้วแถมยังไม่ยอมให้เราหลับตาลงอีก ช่วงที่ฟังขยับตัวกำลังมอบความสุขให้เราพร้อมทั้งเติมความสุขให้ตัวฟังเองนั้น ใจของเรามีแต่คำว่าเติมเต็มในที่สุดเราก็รู้แล้วว่าฟังไม่ได้รังเกียจที่จะมีอะไรกับเรา ตลอดเวลาฟังพยายามเอามือจับลองเอาไว้ที่หัวเข่ากับสะโพกของเราตลอด ฟังเหมือนพยายามข่มใจไม่เร่งจังหวะให้เร็วเกินไปหรือไม่โถมน้ำหนักมาทีเดียวอาจจะเป็นเพราะว่าฟังเห็นว่าเป็นครั้งแรก ความอ่อนโยนนี้ที่ได้รับทำให้เราดีใจมากที่สุด มากกว่าการที่ฟังยอมกอดเรา

“((ร้องไห้ทำไม เจ็บเหรอ อยากให้หยุดไหม?))” เอามือมาดึงแขนของฟังไว้เอาข้างนึง อีกข้างที่เหลือเอื้อมมาจับตรงสะโพกของฟังเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าเราไม่อยากให้ฟังหยุด

“ต่อให้ จบ นะ” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้แค่ว่าคืนนี้มีความสุขมากเหลือเกิน

“ฟัง” ความรู้สึกแรกที่ตื่นขึ้นมาคือ เจ็บและปวดและหน่วงเบาๆ ในบางจุด แอบเจ็บตรงนั้นนิดหน่อยแต่ปวดเอว สะโพกและช่วงหัวเข่ามากเป็นพิเศษ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นฟังกำลังรื้ออะไรไม่รู้แถวกล่องยา

“ฟัง” เรียกซ้ำอีกครั้งเพราะเรียกไปครั้งแรกฟังยังไม่ยอมเดินมาหากัน ครั้งนี้ได้ผลฟังหันหน้ากลับมามองกันแต่ทำไมแววตาของฟังถึงดูเหมือนกำลังรู้สึกผิด ฟังรู้สึกผิดที่มีอะไรกับเราเหรอ?

“เป็นอะไร? ทำไมทำหน้าแบบนั้นละ?”

“((เจ็บมากไหม?))”

“นิดหน่อยเอง” อ่อที่แท้ก็เรื่องนี้

“อยากไปเข้าห้องน้ำอะ พยายามจะยืดตัวแล้วทำไม่ได้ฟังช่วยหน่อย” ฟังรีบละมือจากกล่องยารีบถลาเข้ามาประคองเราลงจากเตียง แปลกที่รู้สึกเหมือนจะเดินเองไม่ได้ ไม่ได้ปวดหัวเข่าแบบนี้มานานมากแล้ว เข้าห้องน้ำเสร็จฟังก็พามานั่งที่เตียงแล้วก็ออกไปนอกห้อง ฟังกลับเข้ามาก็ได้กลิ่นยานวดพร้อมทั้งกลิ่นของผ้าประคบ

“((มานี่))”

“โห กินข้าวก่อนไม่ได้เหรอ แล้วจะนวดทำไมปวดนิดเดียวเอง”

“((อย่าโกหก))” แล้วฟังก็เปิดเสื้อนอน เปิดผ้าห่มดึงกางเกงนอนลง

“จะต่อเหรอ? ยังเจ็บๆอยู่เลยนะ”

“((นอนลง))” ผิดคลาดเพราะสิ่งที่ฟังทำคือเอายามานวดที่สะโพกสะดุ้งเล็กน้อย

“((เจ็บมากไหม))” หน้าฟังจะร้องไห้อยู่แล้วเจ็บนะยิ่งพอฟังเอามือไปแตะทำให้รู้ว่าเจ็บจริงๆ แต่จะให้พูดไปได้ยังไงในเมื่อคนนวดยาให้น้ำตาจะหยดอยู่แล้ว

“ไม่เจ็บเลย”

“((อย่าโกหกนะ))” ปล่อยให้ฟังเอายามานวดแล้วก็ประคบที่ช่วงข้อต่อ เพิ่งมาสังเกตุตัวเองจริงๆ จังๆ ตอนที่มองตามมือของฟังตรงสะโพกของเรามีรอยช้ำสีเขียวขึ้นนิดๆ ตรงหัวเขามีการบวมขึ้นมานิดหน่อย แล้วก็ตรงเหนือสะโพกมีรอยแดงเป็นเส้นๆ มิน่าทำไมมันถึงเจ็บเหมือนจะเดินไม่ได้เอา หลังจากฟังทายาประคบให้เสร็จฟังก็ดึงเราเข้าไปกอด เราก็เลยต้องลูบหลังปลอบใจฟัง เริ่มพอจะรู้แล้วว่าเมื่อเช้าฟังทำหน้ารู้สึกผิดทำไม

“แค่นี้เองไม่เจ็บเลยจริงๆนะ มันแค่เขียวเองแต่เราไม่เจ็บ”

“((แต่ตอนเด็กๆ แป้งร้องไห้มากเลยนะตอนที่มันเขียวแบบนี้))”

“แต่ตอนนี้โตแล้วไม่เจ็บแล้วจริง”

“((ขอโทษนะ))” ลูบหัวปลอบใจฟังให้เขาใจเย็นลง

“((ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ไม่เคยอยากทำต่อให้เสร็จจนถึงขั้นเมื่อคืนเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ เราไม่อยากให้แป้งเจ็บ))”

“ห๊ะ?”

“((แป้งมีปัญหาเรื่องกระดูกเราก็รู้ว่าถ้ามีอะไรกัน แป้งต้องเป็นแบบนี้เพราะมันเป็นแรงกดจากตัวเรา เรา..))” ฟังพยายามพูดต่อแต่เราโน้มหน้าเข้าไปหาฟังหอมแก้มฟัง ฟังเลยหยุดพูด

“ไม่เป็นไรเลยฟัง แป้งมีความสุขที่เป็นแบบนี้ แป้งอยากมีความรู้สึกแบบนี้กับฟัง อยากให้ฟังสัมผัสอยากเป็นคนนี้ ไม่เจ็บหรอก เทียบกับเรื่องกระดูกเพื่อแลกกับความรู้สึกแบบนี้เรายอม”

“((แป้ง))”

“จริงๆนะเรารู้สึกดีจริงๆ ฟังไม่ต้องรู้สึกผิด”

“((ขอบคุณนะ))”

“หิว”

“((ปะๆ ไปกินข้าวกัน เรามีอาหารเหลือเมื่อวานกินได้ไหม? หรืออยากกินของใหม่จะได้ออกไปซื้อให้))”

“หิวแล้วอุ่นของเก่ากินเถอะ ไม่อยากรอแล้ว”

“((โอเคครับ มาๆ อุ้มไหม เดินไหวเปล่า))”

“เว่อร์ๆ เดินได้นะ”

   วันนี้ฟังเอาใจตามติดเรา ฟังแปลงร่างเป็นคนดูแลที่ดี ไม่ว่าเราจะแค่ขยับตัวไปทางไหนฟังจะต้องเดินตามตลอด อยากกินอะไรก็แค่บอกฟังรีบออกไปซื้อมาให้กิน มื้อเย็นเราอยากอยู่กับบ้านเพราะไอ้ที่ช้ำมันเริ่มออกฤทธิ์แต่ฟังอยากออกไปข้างนอกมากบอกว่ามีร้านที่อยากพาไป พอเห็นหน้าว่าอยากพาเราไปจะให้บอกว่าปวดหลังก็ไม่อยากให้ฟังรู้สึกผิดและอีกใจก็กลัวว่าฟังจะไม่ยอมมีครั้งต่อไปกับเราอีกถ้าเราแสดงความเจ็บปวดใส่ฟัง ก็เลยตกลงใจออกจากบ้านไปที่ร้านที่ฟังบอก ร้านที่ฟังพามาเป็นร้านริมน้ำบรรยากาศดี ฟังพามาที่โต๊ะแล้วก็ขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำ

“((สั่งเลยนะ เอาที่แป้งอยากกิน))”

“อ้าว ก็ไหนบอกว่าร้านนี้อร่อยฟังรู้ฟังก็สั่งสิเราไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”

“((อยากให้เลือกอะ))” โอเคตกลงกันไว้ว่าจะเลือกกันคนละอย่าง พออิ่มของคาวฟังก็เป็นคนเลือกของหวานมาแทนครั้งนี้ฟังไม่ได้ให้เราเลือก ของหวานที่ฟังสั่งเป็นเค้ก แอบแปลกใจนิดหน่อยที่ฟังสั่งมาเป็นเค้กปอนเลยกำลังคิดว่าจะหมดไหมเนี่ยเตรียมขอกล่องเพื่อขอกลับบ้าน กำลังจะตัดแบ่งกินก็เลยอ่านหน้าเค้กที่แต่งไว้ “เป็นแฟนกันนะ” เพียงหน้าเค้กกับตัวอักษรง่ายๆแค่เท่านี้ ก็ต้องวางมีดที่อยู่ในมือลงหมดแรงที่จะตัดเค้ก

“ฟัง” เงยหน้าขึ้นมามองหน้าคนตรงข้าม

“((ขอโทษนะที่ไม่ได้ขอเป็นแฟนกันก่อนหน้านี้ ดันมีอะไรกันก่อนจะมาขอเป็นแฟน))” เพิ่งเห็นหน้าตาของฟังที่เขิลจนหูแดงแก้มแดงไปหมดก็คราวนี้

“ทำไมเพิ่งมาขอกันละ?”

“((ก็คือก่อนหน้านี้กะไว้ว่าจะขอตอนเรียนจบ ก็เหมือนอย่างที่เคยบอก ว่าอยากจริงๆ อยากบอกความรู้สึกตอนที่เรียนจบมหาลัยแล้ว เพราะอยากไปขอกับน้าปิ่นเลยอยากบอกที่บ้านด้วย ถ้ามาขอตอนเรียนน้าปิ่นกับแม่อาจไม่ให้คบกัน แล้วอาจให้เราเลิกคบกันแต่ถ้าทำงานแล้วมันยังดูดื้อได้ไง))”

“ก็เลยไม่ขอเป็นแฟน?”

“((อื้อ แต่เมื่อวานแป้งพูดเหมือนแป้งกำลังเข้าใจเราผิดไปหมด อีกอย่างทุกอย่างที่เป็นในตอนนี้มันก็สมควรใช้คำว่าแฟนได้แล้วละ เลยมาขอกับแป้งก่อน เดี๋ยวค่อยไปขอกับน้าปิ่นอีกที))”

“เอ๋ รับเป็นแฟนดีไหมน่า?”

“((อ้าว จะยอมเจ็บตัวฟรีเหรอ?))”

“ฮ่าๆๆ ปาก เออ จริง เจ็บแล้วก็ต้องหาคนรับผิดชอบ งั้นตกลง”

“((งั้นต่อไปนี้เราก็เป็นแฟนกันแล้วนะ))”

“อื้ม แล้วถ้าใครมาถามเรา เราก็บอกว่าเราเป็นแฟนฟังได้แล้วใช่ไหม?”

“((แน่นอน ต่อไปเราก็จะบอกกับทุกคนเหมือนกันว่าเรามีแฟนแล้ว กินสิ))” หันกลับมามองที่เค้ก

“ไม่อยากตัดกินเลยอะ เสียดาย” แชะ ฟังยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

“((ถ่ายไว้แล้วกินได้))” แต่ก่อนจะตัดเค้ก ยังได้ถ่ายรูปกันอีกหลายรูป รูปที่เลือกเอามาขึ้นจอคือรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันแล้วก็มีเค้กอยู่ตรงกลางหน้าของเราสองคน

   คืนนั้นแม่โทรมาถามว่าจะกลับบ้านไหม แต่ใครจะอยากกลับไปนอนบ้านก็ต้องนอนบ้านแฟนหมาดๆของเราจริงไหม เลยบอกแม่ไปว่าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนฟังเพราะน้าหน่อยไม่อยู่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอนฉลองการเป็นแฟนโดยการนอนจับมือกันแล้วก็ต่างคนต่างหลับไปเพราะฟังบอกว่าถ้ามีอะไรกันอีกสะโพกเราต้องพังแน่ๆ ก่อนนอนหลับไปได้แต่อธิษฐานเอาไว้ว่า วันนี้มีความสุขมากขอให้ความสุขนี้อยู่กับเราไปนานๆเถอะ

   เปิดเทอมปี 2 แล้ว ปีนี้ตัดสินใจกับวิทว่าจะลงเรียนอัดให้เยอะกว่าเดิมเพราะวิทบอกว่าจะได้ไม่ต้องกังวลตอนปี 4 ถ้าเกิดสอบตกตกยังเหลือตอนปี 3 ว่างๆเอาไว้ให้เก็บซ่อมได้ ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคำเชิญชวนที่ดีเท่าไหร่นักแต่ก็ทำตามเพราะกลัวว่าเดี๋ยวไม่มีคนลงเรียนเป็นเพื่อน แต่เห็นตารางเรียนแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเรียนเลย เรียนอัดติดกันตั้งแต่ 9.00 โมงเช้าไปจนถึง 5 โมงเย็น แถมเรียนแบบนี้ 4 วันติด

“ปีนี้ต้องตายแน่ๆเลยไม่น่าลงตามวิทเลยอะจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาเรียนไหมเนี่ย?”

“เอาน่าไม่เคยได้ยินเหรอลำบากวันนี้สบายวันหน้า”

“กลัวจะลำบากวันนี้แล้วก็ไปลำบากเพิ่มในวันหน้าด้วยนะสิ”

“ตลกแล้วตลกแล้ว” แล้วผมที่มีการหวีมาจากบ้านก็ถูกวิทขยี้จนไม่เป็นทรง

“ช่วงนี้อะไรๆ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”

“หื้ม? อะไรที่ดีขึ้นแล้วอะไรไม่ดีเหรอ?”

“ก็เมื่อตอนปิดเทอม ช่วงนั้นดูไม่โอเค”

“อ่อ ดีขึ้นแล้วละ ขอบใจนะที่วิทคอยอยู่ข้างๆ”

“ก็เพื่อนกัน” ดีใจที่มีเพื่อนดีๆเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน จากที่ชีวิตเพื่อนตอนมัธยมเราไม่เคยมีเพื่อนสนิทคนอื่นเลยนอกจากฟัง

   แม้จะโตขึ้นเปิดเทอมขึ้นปี 2 เรากับฟังก็ยังคงเหมือนเดิม ยังเจอกันช่วงวันหยุดเหมือนเดิมแต่ลดลงจาก ศุกร์ ถึง อาทิตย์เหลือแค่เสาร์อาทิตย์เพราะว่าฟังมีตารางเรียนที่เป็นวันศุกร์เพิ่มขึ้นมาด้วย ช่วงนี้ตั้งแต่ใช้คำว่าเป็นแฟนกันเรากับฟังก็ดูเหมือนจะมีเรื่องที่ทะเลาะกันน้อยลง แม้ว่าในความเป็นจริงในทางปฎิบัติมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราทั้งสองไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ แต่ที่เปลี่ยนแปลงก็มีแค่จิตใจของเราที่รู้สึกมั่นใจกันละกันมากขึ้น สามารถตอบความสงสัยในใจให้ตัวเองได้แล้วว่าว่าคนนี้คือแฟนของเรา เลิกกังวลเรื่องที่ฟังจะมีเพื่อนใหม่หรือสนิทกับลูกตาลเพราะยังซะ เราก็ได้ชื่อว่าแฟน

      ผ่านการเปิดเรียนปีสองมาได้เพียงเดือนเดียวเรากับวิทสภาพร่างกายย่ำแย่กันมาเรียนทุกวันจนเพื่อนๆในกลุ่มเริ่มทักว่าเหมือนผีเดินมาเรียนได้ ทำไงได้เด็กบ้านไกลแต่ใจรักเรียนจนเพื่อนๆในกลุ่มเริ่มทนสภาพของเราสองคนไม่ไหว ต่างก็ก็แนะนำให้เราลองหาหอดู อยู่หอน่าจะดีกว่าไปกลับ

“แป้งว่าไงเรื่องหอ เราว่ามันก็ดีนะมันใกล้อะ เดี๋ยวพอมีรายงานก็ต้องอยู่ดึก ตีรถกลับบ้านมาเรียนตอนเช้าตอนนั้นน่าจะตายกว่าตอนนี้”

“เอ่อ เราก็เห็นด้วยนะ น่าคิดด้วยเหมือนกันแต่เรื่องนี้คงต้องถามแม่ก่อน”

“เออ เราด้วย งั้นเดี๋ยวแม่ว่าไงจะมาบอก ไปกลับไม่ไหวว๊ะแค่คิดก็เหนื่อยล่วงหน้าละ”

“เออๆ”

   เอาเรื่องหอไปคุยกับแม่ แม่ก็บอกว่าตามใจเราถ้าไม่ไหวก็ไปดูหอก็ได้เพราะว่ามหาลัยก็ไกลกับบ้านจริงๆ แล้วแม่เองก็ห่วงไม่อยากให้กลับบ้านตอนดึกๆ พอคุยตกลงเรื่องนี้กับแม่เสร็จตอนที่เมสเสจคุยกับฟังก็เลยเอาเรื่องนี้บอกฟังด้วยว่าปีนี้เราอาจจะย้ายไปอยู่หอแล้ว

ติ้ง

แป้ง “ฟังเราว่าเราจะย้ายไปอยู่หอแถวมหาลัย ไปกลับไม่ไหวแล้วเหนื่อย”

ฟัง “แล้วจะไปอยู่ยังไงอยู่คนเดียวได้เหรอ?”

แป้ง “น่าจะไปอยู่กับวิทนะ เพราะว่าวิทก็จะไปอยู่หอด้วย”

ฟัง “คิดใหม่ไหม? แป้งไม่เคยไม่อยู่บ้านนะไม่ดีหรอก”

แป้ง “แต่มันเหนื่อยอะ ไปๆกลับๆ จะไปเรียนไม่ทันเอาด้วย”

ฟัง “คิดถึงจังครับ”

   นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ได้คุยกับฟังเกี่ยวกับเรื่องที่จะย้ายไปอยู่หอ ฟังเองก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่นไม่ได้ตอบหรือออกความคิดเห็นเพิ่มในเรื่องนี้กลับมา เรื่องหอเราตกลงกับวิทไว้ว่าจะไปดูหอกับวิทช่วงอาทิตย์หน้าเลยกำลังคิดว่าจะหาห้องที่กว้างสักหน่อยเพราะอยู่ได้กันตั้งสองคน ห้องแคบๆอาจจะไม่สะดวกอีกอย่างยังไงค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟก็หารสองอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  มันก็น่าจะถูกกว่าที่จะต้องมาจ่ายเอง


.....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ naya-devil ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ปล ไม่ดราม่าค่ะๆ เรื่องนี้ เรื่อยๆๆๆค่ะ กลัวจะเรื่อยจนเอื่อย...ฮาา

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 13

“((พรุ่งนี้จะไปดูหอแล้วเหรอ?))” วันนี้ฟังมาหาที่บ้านตอนนี้เพิ่งจะกินมื้อเย็นกับแม่เสร็จ ก็เลยขึ้นมานอนกลิ้งกันบนห้องนอน

“ใช่พรุ่งนี้จะไปดูหอแล้ว ฟังอยากไปด้วยกันไหม? จะได้ไปช่วยกันเลือก”

“((ไม่ไปดูได้ไหม?))”

“ไม่อยากไปด้วยกันเหรอ? มีนัดกับคนอื่นแล้วเหรอ?”

“((ไม่ใช่ หมายถึงว่าแป้งไม่ไปอยู่หอได้ไหม?))”


“ทำไมละ? ไหนลองบอกเหตุผลที่ไม่อยากให้เราไปอยู่หอหน่อยสิ”

“((อย่าว่าเรางี่เง่าเลยนะ เราหวงแป้ง เราไม่อยากให้แป้งไปอยู่กับคนอื่นเลย))” ในคำพูดนี้ของฟังเราคิดได้ใช่ไหมว่าฟังต้องการเรา เป็นครั้งแรกเลยที่ฟังบอกว่าหวงเรา สิ้นสุดคำนี้เรารู้สึกถึงความตื่นเต้นความดีใจที่เข้ามา เราอยากระบายออกถึงความดีใจที่มีให้ฟังได้ยิน เราไม่รู้ว่าเราจะบอกฟังยังไงว่าเรารู้สึกดีใจกับคำพูดของฟังมากแค่ไหน เราเลยแสดงออกไปกับเซ็กส์ที่เรามอบให้ฟังไปในคืนนั้น เราตามใจฟังทุกอย่างฟังอยากให้เราเป็นคนคุมเกมส์เองแม้ไม่เคยทำเราก็ทำ หลังจากพายุอารมณ์ผ่านพ้นไปฟังก็นั่งนวดตามข้อต่อต่างๆให้เรา

“((ไปอยู่กับฟังไหม?))”

“หื้ม ที่ไหน?”

“((ที่บ้านไงแป้งไปอยู่กับฟังที่บ้านนะ เดี๋ยวตอนเช้าฟังพาไปส่งที่มหาลัยแป้งไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง))”

“แต่ฟังก็มีเรียนเช้าจะไหวเหรอ?”

“((ไหวสิขับรถใช้ทางด่วนกินเวลาไม่มาก อีกอย่างบ้านเราก็เดินทางง่ายกว่าบ้านแป้ง นะไปอยู่ที่บ้านฟัง ไม่ต้องไปอยู่หอหรอก))”

“แล้วน้าหน่อยละ?”

“((แป้งก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยกลับบ้านแม่มาแม่ไม่รู้หรอก บอกน้าปิ่นไว้ว่าจะไปอยู่หอก็พอนะ ไปอยู่กับฟังนะครับ))” ลองคิดๆดูแล้วก็ดีนะจะได้เจอหน้ากันบ่อยๆ ทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอแต่เสาร์อาทิตย์อีกต่อไป

“อื้ม เอาสิ” พอตกลงกับฟังได้ว่าจะไม่ย้ายไปอยู่หอแล้วก็ต้องโทรไปหาวิทเพื่อยกเลิกการไปอยู่หอ

“วิทขอโทษนะแต่เราคงไม่ไปดูหอด้วยแล้วนะ เราคงไม่ได้ไปอยู่หอด้วยแล้ว”

“ทำไมอยู่ๆเปลี่ยนใจละ”

“แม่..”

“แป้ง อย่าโกหก”

“คือ เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังได้ไหม? เราอยากเล่าต่อหน้า แต่เราขอโทษจริงๆนะที่เราผิดสัญญา”

“อื้ม ไม่เป็นไรแต่จะไม่หายโกรธถ้ายังไม่เล่านะ เจอกันต้องเล่าด้วย”

“อื้ม โอเค”

   อาทิตย์ต่อไปเราก็เริ่มเก็บของเพื่อไปอยู่บ้านฟัง แอบรู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้บอกแม่เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านฟังแทนการไปอยู่หอแล้วแต่ก็กลัวว่าถ้าบอกไปแม่อาจจะไม่ให้ไป มาถึงห้องของฟัง ฟังแบ่งตู้เสื้อผ้าไว้ให้แล้วแล้วก็โต๊ะหนังสือฟังเอาหนังสือของฟังเองไปกองไว้มุมนึงของโต๊ะแล้วก็เหลือมุมนึงที่เป็นของเราพอจัดห้องเสร็จมองไปรอบๆห้องมันก็รู้สึกยิ้มออกมาได้เอง

“((ดีใจจัง))”

“ดีใจอะไร?”

“((ดีใจที่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว))”

“อื้ม ดีใจด้วยเหมือนกัน ต่อไปก็ได้เจอกันทุกวันแล้วนะ” เอาตารางเรียนของเรากับฟังมากางเทียบกันตอนแรกฟังบอกว่าจะทั้งไปรับไปส่งแต่มันดูจะหนักเกินไปเลยตกลงกันแค่ว่าไปส่งอย่างเดียวก็ได้แต่เราต้องยอมตื่นเช้าขึ้นมาหน่อยฟังจะได้มีเวลากลับไปเข้าห้องเรียนได้ทัน

   วันนี้เป็นวันไปเรียนวันแรกที่มีฟังมาส่งถึงที่มหาลัยมา ถึงมหาลัยเช้ามากแต่ได้แอบหลับมาในรถก็เลยไม่ค่อยง่วงมากสักเท่าไหร่ มันก็ยังดีกว่าตอนที่ต้องนั่งรถประจำทางมาเองอันนั้นหลับไม่ค่อยจะได้กลัวจะเลยป้าย โทรบอกวิทว่ามาถึงมหาลัยแล้ว วิทเลยบอกว่าให้เข้าไปหาที่หอเพราะวิทเพิ่งตื่นจากหน้ามหาลัยไปหอวิทด้วยมอไซส์แค่ 5 นาทีซึ่งถือว่าใกล้มาก

   วิทลงมารับที่ข้างล่างหอเพราะถ้าไม่มีการ์ดเราไม่สามารถขึ้นไปบนหอของวิทได้ วิทยังแต่งตัวไม่เสร็จก็เลยไปนั่งเล่นที่โซฟารอคุยกันไว้ว่าเดี๋ยวจะแวะกินข้าวก่อนที่เข้าเรียนคาบเช้า

“เล่ามา”

“นึกว่าจะลืมไปแล้วไม่กินข้าวก่อนเหรอ?”

“ไม่เอาเดี๋ยวเบี้ยวเล่ามาเลย ไหนขอเหตุผลจริงๆที่ไม่มาอยู่แล้วสิ”

“คือ........วิท วิทจำเพื่อนราที่ชื่อฟังได้ไหม?”

“ได้”

“คือเรากับฟังแบบไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว”

“หมายความว่า?”

“คือ เรากับฟังคบกันเป็นแฟนแล้วนะ”

“อื้ม”

“.............”

“วิท รังเกียจเหรอ?”

“ทำไมถึงคิดว่าเรารังเกียจ?”

“ก็วิทเงียบไป”

“ไม่ได้รังเกียจ เรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้เปล่า? คือจริงๆก็แอบสงสัยว่าจะคบกันมาพักนึงแล้วละเพราะเวลาไอ้หนุ่มพูดเรื่องของฟังทีไรแป้งจะตั้งใจฟังเป็นพิเศษทุกที อีกอย่างเห็นแววมาตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาลัยเลย”

“จริงดิ เห็นตอนไหน?”

“โห แป้งฟังแสดงออกจะตาย”

“เหรอ แล้ววิทว่าฟังเขารักเรามากไหม?”

“มากนะ ถ้าถามจากที่เราเห็นนะ”

“เหรอ” ดีใจจัง

“ว่าแต่ที่ไม่มาอยู่หอแล้ว เพราะฟัง?”

“อื้ม ฟังขอให้ไปอยู่กับเขาแทนมาอยู่หอ”

“อ้าวแล้วแม่?”

“ไม่ได้บอกหรอก แม่คิดว่ามาอยู่หอกับวิทเหมือนเดิม”

“อ้าว ระวังซวยตอนหลังนะ”

“ไม่หรอกมั้งอย่าขู่สิ”

“งั้นวิทไม่โกรธเราเนอะ?”

“เออ ไม่โกรธคิดมากนะ”

“ขอบคุณนะ”

“เรื่อง?”

“ที่ไม่โกรธกัน”

“เออ ปะ ไปกินข้าวมัวแต่มาง้องอลเดี๋ยวอดกินกันพอดี”

   เป็นปี 2 ที่มีความสุขมากได้เพื่อนที่คณะดี มีวิทที่เข้าใจและกล้าพูดอะไรให้ฟังได้มากขึ้นเหมือนมีเพื่อนไว้ปรึกษาได้เพิ่มมา 1 คน แล้วที่น่าดีใจที่สุดก็เรื่องความสัมพันธ์กับฟังตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันเป็นไปในทิศทางที่ดี ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกันยังไม่มีเรื่องอะไรทะเลาะกันเลย ตอนเช้าฟังก็ไปส่งที่มหาลัยเย็นก็กลับมาที่บ้านเองก็แล้วแต่วันบางวันฟังก็ให้นั่งรถต่อไปหาที่มหาวิทยาลัยของฟังเลยแล้วก็จะได้ไปกินข้าวเย็นกัน บางวันก็เจอกันที่บ้านเราทำกินกันเองบ้างหรือซื้อกับข้าวถุงเข้ามากินกันบ้าง

“เดี๋ยวนี้มาบ่อยเนอะ เหมือนไม่เคยรู้สึกห่างจากแป้งเลยอะ”

 “ฮ่าๆ เบื่อหน้าเรายัง?” วันนี้ลูกตาลลงจากห้องแล็คเชอร์มาก่อนฟัง เห็นลูกตาลบอกว่าฟังติดเคลียร์สอบพรีเซ้นหน้าชั้นกับอาจาร์ยเพราะฟังพูดแล้วไม่มีใครได้ยินทำให้อาจาร์ยจะเปลี่ยนเป็นสอบปากเปล่าแบบฟังต้องเขียนตอบต่อหน้าอาจาร์ยอะไรประมาณนี้เลยลงมาช้าหน่อย

“เบื่อแล้ว”

“จริง?”

“ล้อเล่น ใครจะไปเบื่อเพื่อนสนิทของฟังได้ลงจริงไหม?”

“อื้ม” นั่งรอฟังไปเรื่อยๆโดยที่ลูกตาลนั่งรอเป็นเพื่อนเห็นลูกตาลบอกว่าลุ้นเหมือนกันว่าฟังจะผ่านไหมเพราะช่วงนี้ฟังไม่ค่อยได้อยู่ติวกับเพื่อนๆเลยแถมช่วงเช้าก็มาสาย ไม่ก็มาพอดีคาบเรียนไม่ค่อยได้ทวน

“เออ วันก่อนฟังแอบหลับในห้องเรียนด้วยนะ ไม่รู้จะง่วงอะไรหนักหนาแป้งรู้ไหมฟังทำอะไรดึกดื่น”

“ไม่รู้สิ”

“ยังไงฝากแป้งเตือนฟังหน่อยนะ เราเป็นห่วงนะกลัวว่าจะไม่ไหวเอา”

“อ่อ อื้มได้สิ” สักพักฟังก็ลงมาแอบเห็นหน้ายุ่งนิดหน่อยไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับเรื่องที่ทำสอบรึเปล่า แต่พอฟังเงยหน้ามาเห็นหน้าเราฟังก็ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม

“((มานานยัง?))” ฟังใช้มือถามแทนการพูดด้วยปากอาจจะเป็นเพราะว่ายังเดินอยู่ไกลๆ กลัวเราไม่เห็น ยิ่งเคยมีประเด็นทะเลาะกันเรื่องนี้แล้วด้วย ตั้งแต่นั้นมาฟังก็ไม่เคยพูดด้วยปากแล้วให้เราอ่านปากตอนที่ฟังอยู่ไกลๆ อีกเลย ส่ายหน้าตอบคำถามแทนการตะโกนกลับไป

“นี่แป้งรู้ภาษามือด้วยเหรอ?”

“รู้”

“สอนเราบ้างสิ เราอยากคุยกับฟังแบบนี้บ้างอะ”

“เอ่อ คือ”

“อย่างกน่า สอนหน่อย”

“ไว้ถ้ามีโอกาสนะเราจะสอนให้”

“โอเคขอบใจนะ ฟังเป็นไงบ้างทำได้ไหม?” แล้วเราก็ถูกตัดออกจากโลกของฟังและลูกตาลเป็นอย่างนี้ตลอดสองคนนี้คุยกันทีไรเรามักเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น เลยเลิกสนใจฟังหันมาสนใจมือถือแทน

แป้ง “ทำไรอยู่อะ”

วิท “นอนขี้เกียจอยู่ มีไร”

แป้ง “เปล่าถามเฉยๆ”

วิท “จริงอะ เห็นทักมาทีไรมีอะไรตลอด”

แป้ง “ไม่มีจริงๆ”  โชคดีที่วิทไม่ได้ทำอะไรอยู่วิทเลยคุยกับเราแก้เบื่อในระหว่างที่สองคนนั้นคุยกันอยู่ได้

“((ปะ กลับบ้านกัน))” พยักหน้าก้มลงเก็บของแล้วก็เตรียมตัวไปกินข้าวเย็นกับฟัง

“ฟังพรุ่งนี้เราไปเรียนเองดีกว่า” เลือกคุยกับฟังตอนที่กินข้าวเสร็จแล้วเรากำลังดูทีวีฟังกำลังทำรายงาน

“((ทำไมละ?))”

“ก็ ไม่อยากตื่นเช้า”

“((ก็นอนในรถไปแล้วไง))”

“เอาน่าไม่ต้องไปส่งนะ ไม่อยากตื่นฟังไปเรียนเลย เดี๋ยวไงก็ต้องมาเจอกันตอนเย็นอยู่แล้ว”

“((มีอะไรรึเปล่า?))”

“ไม่มี”

“((แน่ใจนะ))”

“อื้ม แน่ใจ แค่ไม่อยากตื่นเช้าแล้ว”

“((โอเคๆ แต่ถ้าเหนื่อยไม่ไหวบอกนะ))”

“ครับผม”

   หลังจากวันนั้นเรามามหาลัยเองโดยตลอดเพราะไม่อยากรู้สึกว่าเป็นภาระของฟังหรือเป็นตัวถ่วงของฟัง ถ้าฟังได้คะแนนน้อยลงเราจะได้ไม่รู้สึกผิดและที่สำคัญเกิดฟังได้คะแนนน้อยแล้วมาพาลว่าเป็นเพราะเรา ฟังอาจจะไม่อยากอยู่ใหล้เราเหมือนเดิม ส่วนตัวเราเองโดนเพื่อนในกลุ่มแซวบ่อยๆว่ามาอยู่หอยังไงทำไมหน้าโทรมเหมือนเดิม

   เข้ากลางเทอมเริ่มมีรายงานมากขึ้นมีรายงานต้องอยู่ทำที่มหาลัยจนดึกเริ่มรู้สึกเหนื่อยๆ แต่ยังดีที่ตอนเช้าบางทีก็ได้ไปแอบงีบที่ห้องของวิทบ้างไม่อย่างนั้นคงต้องมีหลับกลางคาบทุกวันแน่ๆ

“โอ๊ยย เสร็จแล้วโว๊ย” เพื่อนในกลุ่มรายงานด้วยกันพร้อมใจตะโกนเมื่อรายงานตัวแรกเสร็จแล้วเหลือเอาไปส่งและพรีเซ้นในวันพรุ่งนี้

“ใจเย็นๆมึงอย่าเพิ่งยังเหลือพรีเซ้นหน้าห้องเตรียมตัวยัง”

“โอ๊ยเบื่อไม่ไหวเลยว๊ะ” ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนๆ ไม่ไหวจริงๆ งานหนักมากเสร็จตัวนี้ยังต้องต่ออีกตัวพอคิดได้อย่างนั้นก็เลยส่งสายตาคาดโทษไปหาวิทเพราะวิทเป็นคนต้นคิดให้เก็บวิชาเยอะๆ

“ไม่ต้องมามองเลยแป้งท่องไว้ลำบากวันนี้สบายวันหน้าไง”

“เออ ว่าแต่แป้งไม่มาพักที่นี้เลยว๊ะ เห็นแว้บมานอนบ่อยๆไม่มานอนที่นี้หารค่าห้องกับไอ้วิทมันให้หมดเรื่องหมดราวไป”

“ก็ มีคนไม่ให้มา”

“เฮ้ยๆๆ ใครว๊ะๆ มีแฟนแล้วเหรอปิดเงียบเลย บอกมาๆ”

“ไปแกล้งมันตามันปรือหมดแล้ว แป้งไม่ต้องพูดแล้วพอง่วงพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”

“อื้ม ไม่พูดแล้ว”

“ไปนอนในห้องก่อนไปพักสักแป้ปแล้วเดี๋ยวค่อยตื่นมาล้างหน้ากลับบ้าน”

“อื้ม” เดินเข้าไปในห้องนอนของวิทแบบลอยๆ กะขอนอนแค่ 15 นาทีแล้วจะกลับ

“มันอยู่ในห้องอะ จะมารับทำไมจริงๆ มันนอนที่นี้ก็ได้”

“........................” ได้ยินเสียงวิทพูดอะไรแว่วๆ ที่นอกห้องพยายามจะลืมตาขึ้นมาดูแต่มันหนักตาเหลือเกินครบ 15 นาทียังหว่าลองถามดูดีกว่า

“วิท ครบ 15 นาทียัง?” ไม่มีเสียงตอบจากวิทแต่ข้างเตียงยุบลงและเหมือนได้กลิ่นของฟังมาใกล้เข้าทุกที

“ฟัง” สงสัยจะถึงบ้านแล้วถึงตอนไหน? แต่ถ้ามีกลิ่นฟังก็หมายถึงต้องอยู่บ้านแล้วเอื้อมมืออกไปเพื่อคว้าฟังเอามากอดแบบที่ต้องทำประจำ ช่วงนี้เรากลับบ้านค่อนข้างดึกตลอดทำให้ไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่แถมตอนเช้าก็ไม่ได้ออกมาด้วยก็เลยเหมือนไม่ค่อยได้เจอกันจะมีแค่ตอนนอนเท่านั้นที่ได้เจอกันแม้เราหรือฟังจะหลับกันไปก่อนก็ตาม

“จะเอาไงจะปลุกหรือจะค้าง จะค้างด้วยก็ได้นะ” รู้สึกว่าตัวโดนเขย่าให้ตื่นจากการนอน ในเมื่อนอนไม่สงบเลยเลยฝืนตาลืมขึ้นมา

“((กลับบ้านกันเนอะ))”

“นี้ก็อยู่บ้านไง”

“((กลับบ้านเรากันครับปะลุก ฝืนใจลุกหน่อยนะครับ))” พยายามลุกขึ้นยืนตามฟังบอกแสดงว่าเรายังไม่ถึงบ้าน

“หลับไป 15 นาทีเองนะ ขอนอนต่อไม่ได้เหรอ?”

“((กลับกันครับ))” กลับไปถึงบ้านฟังก็พยายามเช็ดตัวให้ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากเพราะง่วงไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ฟังก็ไม่ยอมให้นอนทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำ เลยต้องทุลักทุเลเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไป

ตื่นเช้ามาก็เหมือนเดิมที่ฟังไม่ได้อยู่แล้วเราลุกขึ้นแต่งตัวไปเรียนตามปกติฟังไม่ได้ว่าอะไรแค่บอกว่าต่อไปนี้ถ้าจะกลับดึกแล้วง่วงไม่ไหวให้โทรมาหาอย่าหลับไปทั้งอย่างนั้น

“วันนั้นไม่ได้ตั้งใจหลับนิน่ากะไว้แค่ 15 นาทีเอง”

“((แล้วมัน 15 นาทีจริงรึเปล่าละ? โทรไปก็ไม่รับ))”

“ โอเคๆ ต่อไปถ้าดึกจนไม่ไหวจะโทรบอกนะครับนะ เลิกทำหน้างอลแล้วมากินข้าวได้แล้ว”

หลังจากวันที่พรีเซ็นจบไป 1 วิชาก็ได้มีเวลาพักหายใจหายคอบ้างแต่พอถึงตอนช่วงที่เราว่างฟังก็ยังคงกลับบ้านดึกเหมือนเดิมแต่ก็ยังกลับมากินข้าวพร้อมเราอยู่เสมอไม่เคยปล่อยให้กินข้าวเย็นคนเดียว

“อ้วนหมดแล้วเนี่ย”

“((ฮ่าๆๆ ไม่เห็นอ้วนเลย นิ่มดี))”

“ไม่อยากพุงนิ่มนิ”

“((ไม่ได้หมายถึงพุงแต่เหมือนถึง))”

“ทะลึ่ง”

“((อะไรจะบอกว่าแขนนิ่มคิดอะไร หื้ม))”

“ไอ้บ้า”

“((หยาบคายมา มาให้ลงโทษเดี๋ยวนี้))”

“ไม่เอา อย่า” ฟังดึงตัวเราไปลงโทษได้ทุกที ปากงี้ช้ำให้ความรู้สึกเหมือนเพิ่งไปโดนต่อยมามากกว่าโดนจูบ
เหลืออีก 2 ตัวที่ต้องพรีเซ็นทำรายงาน 2 ตัวนี้ลงเรียนกับกลุ่มเก่งๆ ไม่ได้ตั้งใจแต่ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนเห็นว่าเคยเห็นหน้ากันเลยกระโดดไปอยุ่ในกลุ่มของเขาที่ไหนได้เขาทำงานกันจริงจังมากกว่าจะเลิกหาข้อมูลปาเข้าไปครึ่งคืนจากที่กลับบ้านทุกวันหลังๆก็ไม่ค่อยกลับบางวันก็นอนที่ห้องของวิท เป็นอีก 1 เรื่องที่ทะเลาะกับฟังบ่อยมากจากที่ไม่ค่อยจะทะเลาะกันก็มาทะเลาะกันแม้จะไม่จริงจังทะเลาะแค่วันเดียวก็ดีกันหรือมีงอลที่ไม่กลับบ้านแม้ฟังบอกว่าจะมารับก็ตาม

“((อยากอยู่กับมันมากนักรึไง?))”

“เปล่า ไม่ได้อยากอยู่ ก็เห็นนิว่าทำงาน”

“((แล้วทำไมไม่กลับบ้าน))”

“ก็มันดึกมาก แล้วเช้าก็ต้องไปเรียนอีกมันไม่ไหวอะ”

“((แน่ใจนะว่าเหตุผลนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะไปอยู่กับมันหรอกเหรอไง?))”

“ฟังมีเหตุผลหน่อย”

“((อื้ม เรามันไร้เหตุผล))”

“ฟัง พูดอะไรแบบนี้ ทีฟังไปอยู่กับลูกตาลละ เรายังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

“((แป้งเราไม่เคยไปอยู่กับลูกตลที่ไหนมากกว่าห้องเรียนและห้องสมุด เราเรียนด้วยกัน))”

“วิทก็เหมือนกัน”

“((ไม่เหมือนอย่างน้อยเราก็ไม่เคยไปนอนอยู่บนเตียงลูกตาล))”

“แล้วไม่ให้นอนที่เตียง ฟังจะให้นอนพื้น?”

“((อย่ามากวนกันนะแป้ง))”

“.........”

“((จะไปไหน))”

“จะไปเรียน”

“((วันนี้มีเรียนบ่าย))”

“จะไปแล้ว”

“((หยุด))”

“ปล่อย”

“ฟัง เจ็บ”

“((ขอโทษ แต่ทีหลังกลับบ้านนนะก็แป้งรับปากแล้ว))”

“อื้ม ได้สิ”

........โปรดติดตามตอนต่อไป......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 14

   เหมือนหลังจากการตกลงครั้งนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิด แม้เราสองคนจะไม่ได้ทะเลาะกันหนักๆ ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อกัน แต่ถ้าวันไหนเราไม่กลับบ้านวันนั้นฟังก็จะตึงๆ ใส่กัน งานเราเองช่วงนี้ก็เยอะก็เลยไม่ค่อยได้ง้ออย่างที่เคย อีกอย่างจากท่าทีที่เห็นจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นฟังเองก็ดูไม่สามารถโกรธเราได้นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นต่อให้เราไม่รักษาสัญญาฟังก็คงแค่ได้แค่ตึงใส่กันคงำม่โกรธกันไปมากกว่านี้ไม่อย่างนั้นก็คงอาละวาดไปแล้วเรารู้ตัวว่าเรากำลังได้ใจ ทำให้รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องคุยกันตอนนี้เอาไว้ค่อยง้อวันหลังก็ได้

“วันนี้ไม่มีงานมานั่งแหมะที่นี้ทำไม?”

“หวงห้องเหรอไง? ถ้าหวงจะได้กลับ”

“แม้ๆ ทำเป็นขี้น้อยใจ ใครจะกล้าหวงด้วย ก็แค่ถามเพราะปกติจะมาที่ห้องก็ต่อเมื่องานเยอะหรือมาพักตอนเช้าเท่านั้น”

“ไม่อยากกลับบ้านอะ”

“เกิดไรขึ้น?”

“ไม่รู้อะ มันเบื่อกลับไปก็เจอฟังมึนตึงใส่ เหนื่อย”

“ไม่คุยกันดีๆว๊ะ”

“คุยแล้วแต่ก็ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย เปลี่ยนเรื่องได้ไหมเบื่อไปเอาเกมส์มาเล่นดิ”

“โห มาอยู่ห้องคนอื่นแถมยังใช้ซะเหมือนทาสอีก ใครออกค่าไฟค่าห้องว๊ะ”

“อย่ามางกน่าเร็วๆ”

      แล้วคืนนั้นก็ไม่ได้กลับบ้าน อยู่ที่ห้องของวิท ห้องวิทสบายอยู่ใกล้กับมหาลัยแถมตื่นสายก็ได้ไม่ต้องรีบนอนแล้วรีบตื่นแต่เช้า หลายครั้งที่รู้สึกอยากมาอยู่ที่นี้ แต่เพราะว่าเรายังไม่พร้อมที่จะห่างจากฟัง จะเรียกว่าเรายึดติดก็ได้ ทำให้เรายังอยู่ที่บ้านของฟังเหมือนเดิมยอมตื่นเช้าขึ้นมาอีกหน่อย 

      กว่าจะกลับไปบ้านอีกทีก็คือเย็นของอีกวันที่เลิกเรียนแล้ว วันนี้ใส่ชุดของวิทออกมาก่อนเพราะชุดเมื่อวานเหม็นเน่าเหลือเกินเลยฝากวิทไว้ให้ซักให้ พอเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามาก็แอบตกใจเพราะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ฟังจะถึงบ้านแต่ตอนนี้รถของฟังจอดอยู่ในบ้านแล้ว

“กลับมาเร็วจังวันนี้”

“................” ไม่มีการตอบรับกลับมา ช่วงนี้เป็นแบบนี้ตลอด เจอแต่การเงียบใส่

“กินข้าวยัง?” เดินไปเปิดตู้เย็นไม่เห็นอาหารเพิ่มมาเลยมีแต่น้ำ ก่อนไปนอนค้างห้องวิทมีอะไรเหลือในตู้เย็นอย่างไรตอนนี้ก็เหลือเท่านั้น

“นี่ได้กินข้าวบ้างยัง?”

“.......”

“ฟัง อย่างี่เง่านะ ถามก็ตอบ อย่าบอกนะว่านอกจากเสียงจะไม่มีแล้วยังมาลามไปถึงหูจะไม่ได้ยินอีกนะ”

“โอ๊ย เจ็บ ” อยู่ๆ ฟังก็ลุกพุ่งเข้ามาบีบแขน

“ปล่อยฟัง ปล่อย เจ็บ”

    ครั้งนี้ฟังไม่ปล่อยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ฟังเลือกที่จะให้เราอยู่กับฟังแทนโดยการบังคับใจ ฟังจับเรากระชากมาให้มายืนใกล้ๆกันแล้วก็พยายามที่จะจูบแต่เพราะเราไม่ยอมฟังเลยเลือกที่จะกัด ฟังกัดปาดกัดคอกัดหัวไหล่ เราเจ็บจนน้ำตาจะไหลแต่ต้องไม่ไหลบอกตัวเองว่าครั้งนี้ต้องไม่อ่อนแอ การมีอะไรกับฟังครั้งนี้มีแต่ความเจ็บปวดไม่เห็นมีความสุขเลย มือที่ฟังคอยเอาใจใส่ก็เปลี่ยนเป็นบีบไปตามตัวเหมือนให้เรารู้สึกเจ็บมากกว่ามีอารมณ์ร่วมไปด้วยกัน ไม่เตรียมตัวให้เหมือนเคยถึงเวลาฟังก็แค่ยัดเหยียดความเป็นตัวตนของฟังเข้ามาให้เรา ฟังไม่ได้สนใจว่าเราจะพร้อมไหม แค่ฟังพร้อมฟังอยากขยับอยากเปลี่ยนท่าอยากจับเราพลิกไปท่าไหนฟังก็ทำ

   กว่าพายุอารมณ์ของฟังจะสงบลงกว่าเราจะได้พัก วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่สามารถไปเรียนคาบบ่ายได้แล้ว ตลอดเวลาที่มีอะไรกับฟังไม่เคยเลยที่จะรู้สึกเจ็บจนลุกไม่ค่อยจะได้แบบนี้ อย่างมากที่เคยเป็นก็แค่ปวดข้อตามตัวหรือมีอาการหน่วงๆทางด้านหลังเท่านั้น แต่วันนี้ นอกจากจะปวดข้อต่อมากจนไม่สามารถขยับช่วงเอวได้แล้ว ทางด้านหลังที่ฟังคอยเอาใจใส่ฟังก็ไม่สนใจมันเลยไม่มีการเตรียมพร้อมไม่มีการดูแลทำความสะอาดให้พอฟังเสร็จพอฟังสมใจอยาก ฟังก็แค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ออกจากบ้านไป

   หรือว่าฟังจะเบื่อเราแล้ว ฟังทำแบบนี้เพราะว่าไม่เห็นค่าของเราแล้วใช่ไหม? เพราะถ้ายังเห็นค่าของเราอยู่ฟังต้องดูแลเอาใจใส่สิ เสียงโทรศัพท์ดังร้องอยู่ในกระเป๋าที่เตรียมจะไปเรียน เราเลยตื่นจากความผวังค์ แต่เราไม่สามารถขยับตัวลุกขึ้นไปรับได้ แต่เสียงเรียกนั้นยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องเราเลยต้องกัดฟันพยายามลากตัวเองไปให้ถึงกระเป๋า คนโทรมาน่าจะมีธุระด่วน ยังดีที่ข้อแขนไม่ปวดอะไรเลย แค่ช่วงเอวลงไปเท่านั้นที่รู้สึกปวดมากแต่มาถึงโทรศัพท์ก็ไม่ทันแล้วเสียงดับลงไปก่อนแต่ยกมาดูชื่อเห็นเป็นวิทสงสัยวิทจะโทรมาเรื่องไม่ไปเรียน

ติ้ง

แป้ง “วิทมีอะไรด่วนรึเปล่าเราไปเรียนไม่ไหวถ้ามีงานด่วนพิมพ์มานะถ้าไม่เราขอนอนพักก่อน”

วิท “ไม่มีพักซะเดี๋ยวเจอกัน”

   ตกช่วงเย็นวิทบอกว่าอาจาร์ยสั่งงาน อยากได้งานแต่ถ้าให้วิทมาฟังก็อาจจะโกรธเพราะนี้คือบ้านของฟัง  ก็เลยบอกให้วิทเก็บงานเอาไว้ก่อนตอนที่เราไปมหาลัยได้ค่อยเอางาน  นอนเฉยๆบนเตียงจนเกือบครึ่งวันถึงได้ตัดสินใจลากตัวเองไปห้องน้ำเพราะปวดฉี่แล้วก็หิวข้าวด้วย แต่สงสัยวันนี้จะทำอะไรไม่ทันสักอย่างพอลงมาจากเตียงได้กำลังจะพยายามบังคับตัวเองเดินไปที่ห้องน้ำ ตรงช่วงเขาเกิดเจ็บจี้ดขึ้นมากระทันหันทำให้เราต้องนั่งลงและแค่นั่งลงเราก็ไม่สามารถกลั้นปัสสะวะได้ทำให้พื้นห้องนอนของฟังตอนนี้ตรงนี้เปียกไปด้วยปัสสวะของเรา ทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อนดีต้องไปหาผ้ามาเช็ดใช่ๆ แต่แค่จะลุกยังไม่ได้เลยพยายามนวดช่วงเข่าตัวเองให้หายจะได้ลุกขึ้นได้เร็วๆ เท่าที่คิดได้เลยหยิบเสื้อของเราที่ตกอยู่แถวนั้นมาเช็ดก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้จัดการให้เรียบร้อยหูก็ได้ยินเสียงรถของฟัง รีบเร่งมือเพื่อให้เสร็จเร็วขึ้นแต่ดูมันยังไม่เร็วพอเพราะฟังเปิดประตูเข้ามาตอนที่ยังไม่เรียบร้อย

“ขอโทษนะฟังขอโทษ เราๆ พยายามจะเช็ดแล้ว เรากลั้นไม่อยู่มันปวดฉี่ ขอโทษๆ” ตัวมันสั่นขึ้นมาเฉยๆ ไม่อยากให้ฟังโกรธ กลัวพอฟังโกรธฟังก็จะไม่ชอบที่จะให้เราอยู่ที่นี้ แล้วเมื่อวานเห็นแล้วตอนที่ฟังโกรธฟังน่ากลัวกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้มาก

“((แป้ง))”

“อย่าเข้ามามันเหม็น ออกไปก่อน”

   ฟังไม่สนใจคำพูดอะไรของเราเลย ฟังเดินเข้ามาอุ้มตัวเราเข้าไปทำความสะอาดในห้องน้ำอาบน้ำให้สระผมให้ ฟังพาเราลงมานั่งข้างล่างที่โซฟา ฟังซื้อข้าวเข้ามาให้อุ่นให้ฟังยกมาให้ตรงโซฟาไม่ต้องเดินไปกินที่โต๊ะกินข้าวจากตอนแรกที่หิวพอเห็นหน้าฟังก็ไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไรทั้งนั้น ได้แต่เมินหน้าหนีไปอีกทาง

   แต่ฟังเหมือนจะไม่ยอมที่เราเมินฟังพยายามเดินมาอีกทางพยายามเอาข้าวมาป้อนให้เราก็หลบไปอีกทางหลบกันไปมาอยู่อย่างนั้นสุดท้ายคนที่หมดความอดทนก่อนคือฟัง ฟังจับปากเราให้อ้าออกแล้วยัดข้าวลงไปในปากเรา แล้วก็กดขอบปากเอาไว้สงสัยคงคิดว่าเราจะบ้วนออกมา มองเข้าไปในตาของฟังไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงทำไมฟังคนนี้ถึงไม่เหมือนกับคนเมื่ออาทิตย์ก่อน

“((กินดีๆ อย่าบ้วนไม่อย่างนั้นจะโดนหนักกว่านี้))”

“.....................”

“((ไม่ต้องมาร้อง ถึงร้องก็ต้องกินกันมันไปทั้งยังงี้แหละ ให้มันรู้ว่าข้าวกับน้ำตาอะไรจะไหลลงไปในคอได้มากกว่ากัน))”

   หลังจากโดนทรมาณให้กินข้าวไปได้ 1 จานเต็มฟังก็เอายามายัดใส่ปากพยายามจะลุกหนีแต่ช่วงหลังลงไปถึงเอวดูเหมือนจะระบมมากกว่าเดิมเลยไม่สามารถลุกได้ เมื่อเช้ายังลุกได้อยู่เลยก็เลยต้องตัดใจไม่ดิ้นไม่หนีนั่งอยุ่เฉยๆ ตามที่ฟังต้องการ ฟังปล่อยเราทิ้งเอาไว้ที่โซฟาแล้วฟังก็หายกลับขึ้นไปข้างบน ไม่รู้ว่าฟังกลับมาอีกทีตอนไหนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตอนนี้ที่ตัวมีผ้าห่มมาคลุมให้แล้ว ขยับตัวลุกขึ้นมานั่งฟังก็รีบเดินเข้ามา

“((จะเข้าห้องน้ำ?))”

“เปล่า”

“..................”

“((หิวรึเปล่า))”

“ไม่” แล้วฟังก็เอามือมาลูบสะโพก

“((ยังเจ็บอยู่ไหม?))” สิ้นคำถามของฟังเหมือนใครมาปล่อยก๊อกน้ำตาที่ขังเอาไว้

“เจ็บ เจ็บ เจ็บๆๆๆ” พูดย้ำๆ ว่าเจ็บอยู่อย่างนั้นเพราะมันเจ็บจริงๆ อยากให้ฟังรู้ว่าสิ่งที่ฟังทำ มันทำให้เราเจ็บขนาดไหน แม้ฟังจะกอดเราแล้ว เราก็ยังคงย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเจ็บๆๆๆ  ฟังไม่ได้พยายามจะพูดปลอบเราฟังแค่กอดเราเอาไว้อย่างนั้น เราเลยเริ่มลงมือหยิกฟัง ทุบฟัง อยากให้ฟังได้รู้สึกเจ็บบ้างอย่างน้อยสักครึ่งของเราก็ยังดี ฟังไม่ได้ปัดป้องปล่อยให้เราหยิกไปเรื่อยๆ ทุบไปเรื่อยๆ จนเราเหนื่อยและหยุดไปเอง

“((เจ็บมากเลยใช่ไหมครับ?))” ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับ

“((ขอโทษนะครับ ฟังขอโทษ))”

“......................”

“((ฟังขอโทษนะที่ทำให้แป้งเจ็บขนาดนี้ ยกโทษให้ฟังได้ไหม?))”

“......................” ฟังขอโทษเราแล้ว ฟังเอาใจใส่เราแล้ว? แต่จริงๆ แล้วเรายังไม่ได้หายโกรธเขา เราบอกเขาได้ไหมว่าเรายังไม่หายโกรธ? แต่ถ้าเราไม่หายโกรธฟังจะยังง้อเราอยู่ไหม?

“ฟัง”

“((ต้องไปหาหมอรึเปล่า เป็นมากไหม? เดินได้รึเปล่าที่พยุงขึ้นมาเจ็บมากไหม?))”

“ฟัง”

“((โอเคไม่นวดแล้วก็ได้))” นี่สิฟังของเราฟังเป็นคนเดิมแล้วต่อให้เจ็บแค่ไหนแต่ถ้าแลกกับฟังยังอยู่ตรงนี้เราก็โอเค

   คืนนั้นฟังก็ยังคอยมาประคบเอาข้าวเอายาเอาน้ำมาให้กินทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกอาการดีขึ้นสามารถลุกเดินเองได้แล้วแต่ว่ายังไม่ค่อยได้นานมาก แต่คาดว่าพ้นจากวันนี้ไปพรุ่งนี้ก็น่าจะไปเรียนได้ เมื่อเช้าฟังทำท่าเหมือนไม่อยากจะไปเรียนกว่าฟังจะยอมไปเรียนได้ก็สายเลย

“วิทไปเรียนยัง?” พอฟังออกจากบ้านไปก็เดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์โทรหาวิท

“มาเรียนแล้ว”

“อ้าวเหรอ ต้องวางก่อนไหม?”

“ไม่ต้องนี่ออกมารับนอกห้อง ว่าไง? ทำไมวันนี้ยังไม่มาเรียนละ?”

“คือ เราไม่สบายนิดหน่อย มีอะไรด่วนไหม?”

“ไม่มี”

“แล้วจะเข้าเรียนเมื่อไหร่?”

“พรุ่งนี้น่าจะไปได้แล้ว”

“อื้ม” ปล่อยให้ความเงียบมาอยู่ในสายโทรศัพท์แทนที่เสียงพูด แต่แล้วก็เป็นเราเองที่ตัดสินใจทำลายความเงียบในสายนั้น

“แค่นี้ก่อนนะวิท”

“อื้ม เจอกัน”

   เย็นวันนั้นฟังกลับบ้านมาพร้อมข้าวเย็น เป็นอาหารที่เราชอบมีขนมมีทุกอย่างที่เราชอบกิน ฟังทำเหมือนเมื่อ 2 วันที่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราก็เลยไม่อยากจะรื้อมันขึ้นมา ปล่อยผ่านไปแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะถ้าไปย้ำจุดโกรธขึ้นมาเกิดฟังไล่เราออกจากบ้านเราจะเป็นคนที่ทนไม่ได้เอง

“((มาๆ มากินข้าวกัน วันนี้ซื้อแต่ของที่แป้งชอบมาทั้งนั้นเลย))”

“อื้ม ขอบใจนะ”

“ฟังพรุ่งนี้หลังจากไปเรียนเราขอกลับบ้านนะ”

“((ทำไม?))”

“เราอยากกลับบ้าน”

“((เดี๋ยวค่อยกลับพร้อมกันวันศุกร์ละกัน))”

“แต่..”

“((กินข้าวเร็วเดี๋ยวเย็นหมด))”

   ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องฟังไม่ปล่อยให้เราอยู่ห่างเลย ตอนเช้าไปส่งตอนเย็นไปรับถ้าวันไหนไปรับไม่ได้หรือต้องช้ามากๆ ฟังจะให้ขึ้นแท๊กซี่กลับมาที่ห้องก่อนขึ้นแท๊กซี่ก็ต้องบอกเลขทะเบียน บ้านจะกลับได้ก็ต่อเมื่อกลับพร้อมกับฟัง ต้องรอฟังว่างฟังถึงจะไปส่งที่บ้านค้างที่บ้านแล้วก็กลับมาที่บ้านฟังด้วยกัน มันไม่ใช่ไม่ดี มันดีที่เราได้อยู่ใกล้ๆกันตลอดเวลา เพราะว่าฟังทำแบบนี้เราเลยวางใจไม่คิดว่าต้องใส่ใจอะไร คิดว่าการที่ฟังทำร้ายเราก็แลกกับที่เราผิดสัญญาแล้ว และเพราะอย่างนี้เราถึงได้ใจว่ายังไงฟังก็ต้องอยู่ตรงนี้กับเราอยู่ดี ต่อให้เราขัดใจฟังมากแค่ไหนก็ตาม

“วิท ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

“อื้มเอาสิ”

“ขอไปคุยที่ห้องได้ไหม?”

“โอเค ได้ดิ”

   วันนี้ฟังมาส่งเรียนตอนเช้าแต่ตอนเย็นฟังมารับกลับไม่ได้เลยใช้เวลาช่วงนี้ขอคุยกับวิทสักหน่อยเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องที่ทะเลาะกันวันนั้นยังไม่มีโอกาสได้คุยกับวิทแบบจริงจังเลย ไม่มีช่องว่างให้เราได้คุยกันเลย

“วิท เราอยากมาอยู่หอกับวิทอะ”

“ทำไมละ? คิดยังไงถึงอยากย้ายมา”

“คือ เราว่ามันใกล้มหาลัยดี”

“แป้ง”

“คือเราว่ามันน่าจะสะดวก”

“แป้ง”

“คือ..”

“แป้ง แป้งรู้ใช่ไหมว่าการที่แป้งมาอยู่ที่นี้ไม่ได้ช่วยแป้งหนีปัญหาได้ อย่าใช้วิธีเด็กมัธยมตอนนี้ปี 2 จะขึ้นปี 3 แล้ว”

“คือ เรื่องที่นี้ดูสบายนะเรื่องจริงนะ แต่สมัยก่อนคิดว่าทนได้แต่ตอนนี้เรามีปัญหากับฟังนิดหน่อย ทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้นว่าเราสมควรออกมาอยู่หอ นะวิทนะ ให้เรามาอยู่ด้วยเถอะนะ”

“อยากเล่าถึงปัญหาไหม?”

“ก็ เราไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้ฟังโกรธ อยู่ๆ ฟังก็ทำร้ายกันคือตอนนี้เขาก็ดูเหมือนเดิมแล้วละ แต่เรารู้สึกอยากให้เขารู้สึกบ้าง ว่าเวลาเขาทำเราเจ็บ เรารู้สึกยังไง”

“ยังโกรธอยู่?”

“เปล่านะ แค่อยากให้เขารู้”

“ย้ายอะย้ายมาได้ แต่คุยให้เรียบร้อยนะแป้ง อีกอย่างการแก้แค้นกันไปมาเราเจ็บเขาต้องเจ็บไม่ได้ช่วยอะไร แป้งรู้ใช่ไหม?”

“อื้ม รู้ แค่วิทให้เรามาอยู่ด้วยก็พอแล้ว ไว้แน่ใจก่อน”

“ตามใจ จะเริ่มเมื่อไหร่?”

“ยังไม่รู้เลยแค่ถามไว้ว่าถ้าจะทำ จะมาอยู่ที่นี้นะ”

   ไม่ได้เปิดเสียงมือถือไว้เลยไม่รู้เลยว่าฟังได้กระหน่ำส่งเมสเสจมาหาเกือบ 15 ข้อความเดินออกมาจากห้องของวิทเรียกแท๊กซี่แล้วกำลังจะส่งเมสเสจไปบอกฟังว่าขึ้นรถแล้วถึงได้เห็นข้อความ ข้อความสุดท้ายที่เห็นทำให้เราต้องเปลี่ยนที่หมายจับคนขับแท๊กซี่กลับไปที่บ้านของเรา

ฟัง “อยากจะเจอแบบเดิมอีกใช่ไหม?”

...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ......

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กำลังลุ้นเลย ยิ่งแป้งทำแบบนี้ ฟังก็ยิ่งขาดความเชื่อใจอย่างที่วิทบอก  :katai1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 15

   กลับมาถึงบ้านของฟังก็ปิดมือถือรีบเก็บเสื้อผ้าที่ยังคงเหลืออยู่อีกเพียงน้อยนิด ยังไงก็ต้องหนี จากข้อความนั้นยังไงก็ต้องหนี เดือนนึงที่ผ่านมาใช่ทางร่างกายเราไม่รู้สึกถึงการเจ็บอะไรแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากเจอฟังในรูปแบบของวันนั้นเรายังไม่พร้อมที่จะเจอฟังทำร้ายกันแบบนั้นอีก

“วิท ขอไปนอนด้วยนะ วันนี้เลยนะๆ”

“แป้งใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆคุย ให้ไปรับไหม?”

“ไม่ ไม่ต้องไม่เอา ไม่อยากรอ อยากไปเลย รอที่นั้นนะ”

“โอเค อยู่ที่ห้องมาถึงบอกเดี๋ยวลงไปรับ”

   โบกแท๊กซี่ตรงไปที่ห้องวิทใจนึกขอให้แท๊กซี่ขับเร็วกว่านี้ ขอให้ฟังยังไม่รู้ว่าเราเก็บของออกมาแล้ว ขอให้ฟังคิดไม่ออกว่าเราอยู่ที่ไหน คำขอในครั้งนี้ของเราเป็นจริงไม่เห็นเงาของฟังที่หน้าหอของวิท  มาถึงที่ห้องของวิทรีบโทรขึ้นไปบอกว่ามาถึงแล้ว วิทบอกว่าอีก 5 นาทีจะลงมารับกำลังยืนรอที่หน้าประตูใต้หอเราก็โดนกระชากจากด้านหลัง

“ฟัง”

“((กลับบ้าน))”

“ไม่ ไม่กลับ ปล่อย”

“((ขนอะไรมา?))”

“ปล่อย”

“((กลับบ้าน กลับ))”

“ฟัง เจ็บ โอ๊ยปล่อยสิ ปล่อย เจ็บปล่อย”

“ปล่อยเพื่อนกูเลย”

“((เสือก // กลับบ้าน))”

“วิท ช่วยด้วย” คนเริ่มมามุงดูว่าสามคนนี้กำลังทำอะไรกันทำไมถึงมากระชากกันตรงหน้าประตูหอตรงนี้ การชุดกระชากพร้อมเสียงตะโกนโวยวายของเราสามคนเกิดอยู่ได้สักพักยามผู้ดูแลก็เดินเข้ามาหา

“มีอะไรกันรึเปล่าคุณ? ให้ช่วยอะไรไหม?”

“พี่ ผมกับเพื่อนจะขึ้นหอ ไอ้นี้ใครก็ไม่รู้มากระชากตัวเพื่อนของผม พี่เรียกตำรวจให้หน่อย”

“วิท” กลับหันไปมองหน้าวิท อะไรทำไมตำรวจเรื่องแค่นี้เองอย่าถึงตำรวจได้ไหม

“ถ้ามึงไม่ปล่อยกูเรียกตำรวจ”

“((เชิญ // แป้งกลับบ้าน))”

“ไม่เอาไม่กลับ ฟังกลับไป”

“((แป้ง))”

“เอาพี่เรียกตำรวจเร็วๆสิครับ”

“เอา คุณๆ ไปๆ ออกไป ถ้าไม่ใช่คนในหอแล้วคนในหอเขาไม่ให้เข้าคุณก็ออกไปเถอะครับ ผมเห็นคุณยังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่อยากให้มีเรื่องถึงโรงพัก”

“((แป้ง))”

   ฟังยอมปล่อยมือออกจากเราเพราะว่ายามที่ดูแลความปลอดภัยที่หอเริ่มหยิบวอออกมา เดินเข้าตัวตึกเข้าไปกับวิทหันหลังกลับไปมองก็ยังคงมองเห็นฟังยืนอยู่ที่เดิม ฟังไม่ได้ไปไหนไกลแค่ลงไปยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย หวังไว้แค่ว่าฟังจะยอมล่าถอยแล้วกลับบ้านไป

“บอกให้เคลียร์มาให้เรียบร้อย”

“ก็....มีอะไรไม่ลงตัวนิดหน่อย”

“โห ยื้อกันขนาดนั้นเรียกว่านิดหน่อย”

“ขอโทษนะ”

“เออ พอๆ กินไรมื้อเย็นยัง?”

“ยัง”

“ไปๆ เอาของไปเก็บแล้วหาอะไรกินไป”

“อื้ม” วิทเอาอาหารออกมาอุ่นให้ เอาช้อนเขี่ยข้าวในจานหิวนะแต่มันกินไม่ลง มันคิดอะไรในหัวเต็มไปหมดไม่รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของเรามันผิดหรือถูก กังวลเกี่ยวกับฟังแต่ก็อยากให้ฟังเขาคิดได้ว่าสิ่งที่เขาทำกับเรามันไม่ถูกต้อง

“นอนไหม? ถ้าไม่กินก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ”

“นอนก่อนเลยวิทเรายังไม่ง่วงเลย” เดินเอาอาหารไปห่อแล้วเก็บเข้าตู้เย็น เอาไว้พรุ่งนี้เอาออกมากินใหม่ก็ได้

“ห่วงมัน?” ชะงักมือที่กำลังเก็บเอาอาหารเข้าตู้เย็น นั้นสิเราห่วงใช่ไหม?

“เปล่า” เราอยากให้ฟังคิดได้มากกว่า

“ตามใจงั้นไปนอนก่อนนะ เมื่อคืนนอนดึก วันนี้โคตรง่วง”

“อื้ม” นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยที่ตรงหน้าโซฟาตั้งแต่ตอนที่วิทเข้านอนไปแล้วจนถึงป่านนี้เข้าไปครึ่งคืนแล้วเราก็ยังนอนไม่หลับ เอาแต่คิดว่าฟังจะยังรอเราอยู่ไหม หรือ จะไม่ยอมง้อแล้วกลับไปแล้ว? เราว่าถ้าไม่ได้ลงไปดูให้แน่ใจว่าฟังกลับไปแล้วรึเปล่าเราก็คงเอาแต่คิดอยู่อย่างนี้ เดินย่องเข้าไปในห้องนอนแอบหยิบพวกบัตรสแกนลิฟท์ของวิทมาขอลงไปดูสักหน่อย ก่อนประตูของลิฟต์จะเปิดออกใจของเราเต้นรัว ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าภานไหนที่เราอยากเห็น ภาพที่ว่างเปล่า หรือ ภาพที่เห็นฟังยังอยู่ตรงนั้น พอประตูลิฟท์เปิดออกมาเราเห็นฟังนั่งหันหลังให้กับประตูทางเข้านั่งพิงเสาอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย เสื้อที่ใส่ยังเป็นชุดนักศึกษาอยู่เลย รู้เลยว่านี่คือภาพที่เราอยากเห็นภาพฟังดูน่าสงสารแต่เรากลับยิ้มกว้าง

“((แป้ง))”  หลบกลับขึ้นไปไม่ทันฟังหันมาเห็นเราพอดี ไหนๆ ฟังก็เห็นแล้ว เลยเดินออกไปหน้าหอ

“กลับไปเถอะนะฟัง อย่ามานั่งตรงนี้เลย”

“((เราไม่กลับถ้าแป้งไม่กลับ))”

“ฟัง”

“((แป้ง))” แววตาของฟังเริ่มแข็งขึ้นร่างกายขยับถอยหลังอัตโนมัติทันที่ที่แววตาของฟังเปลี่ยนไป

“((แป้งกลัวเราเหรอ?))”

“เปล่า” แม้ปากจะบอกว่าเปล่าแต่เรากลับถอยหลังอยู่ทุกครั้งที่ฟังก้าวเท้าเข้ามา

“((แป้ง กลับบ้าน))” ไม่สิ้นคำพูดดีฟังก็คว้าเข้าเอาแขนของเรา เอาไว้ได้ รู้สึกว่าที่ที่ฟังจับมันร้อน ร้อนเหมือนไฟจะเผาต้องรีบกระชากแขนตัวเองออก

“ปล่อย ปล่อย ปล่อย”

“((แป้ง โอเคๆ ใจเย็นๆ ปล่อยแล้วๆ เจ็บเหรอครับ ขอโทษๆ))”

“..................”

“((ขึ้นห้องไปซะนะ ไปๆ ขึ้นไปครับ))” ขึ้นมาบนห้องนอนลงข้างๆวิท ขอยืมแผ่นหลังของวิทให้รู้สึกปลอดภัย เอาตัวเข้าไปหาแผ่นหลังของวิทแล้วกอดเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่าเราเหนื่อยเหลือเกิน หัวของเราถูกใช้งานหนักมากเกินไป  เราเลยหลับไปหลังจากล้มตัวนอนได้ไม่นาน

“ตื่นๆ”

“อื้มม”

“เลิกอื้มแล้วตื่นเว้ย สายแล้วนี่ยอมลุกไปอาบน้ำก่อนตื่นก่อนเวลานะเนี้ยเร็วๆ”

“เคๆ” เดินสลึมสลือไปเตรียมตัวดูหน้าตาตัวเองในห้องน้ำ ดูไม่ได้เลยแหะ ตางี้บวมโหลน่าเกลียดเชียว วิทให้กินนมไปก่อนเพราะเมื่อเย็นก็ไม่ได้กินข้าวและกว่าจะได้พักอีกทีก็ช่วงพักกลางวันเลย

“ฟัง” เดินลงมาจากห้องของวิทก็ยังคงเห็นฟังนั่งอยู่ที่เดิม จุดเดิม

“จะเอาไงจะเดินออกไปหรือจะกลับขึ้นห้องวันนี้ไม่เครียดมากวิชาเดี๋ยวบอกอาจาร์ยให้ว่าป่วย”

“ไม่เป็นไร”

“((ไปขึ้นรถสิเดี๋ยวไปส่ง))”

“ไม่เป็นไร เราไปกับวิทได้”

“((ไปส่งวิทด้วยไงไม่ได้ไปส่งแป้งคนเดียว))”

“เฮ้ย พูดไรกันอะไม่รู้เรื่อง พูดอะไรให้เข้าใจดิไม่ได้เรียนภาษามือมา”

“ฟังบอกว่าจะไปส่งเราสองคนที่มหาลัย”

“ไม่ต้องไปเองได้”

“((ขอให้เราได้ไปส่งนะ))” เหมือนฟังจะพูดกับเรา แต่ตาของฟังกลับมองเลยไปที่ด้านหลังของเรานั้นก็คือวิท ทำไมละฟังต้องคุยกับเราขอเราสิ

“เออ แป้งให้มันไปส่งเหอะไม่อยากเดินอะร้อน”

“แต่” เราต้องเป็นคนตัดสินใจสิไม่ใช่วิท

“เอาไงแป้ง?”

“อื้ม”  บนรถเราสามคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกในรถมีแต่ความเงียบ วิทเป็นคนไปนั่งหน้าเรานั่งด้านหลังทำให้ฟังมองเราผ่านกระจกหลังบ่อยๆ แต่ด้วยความที่หอวิทใกล้กับมหาลัยเลยทำให้ภาวะอึดอัดในรถผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว กำลังจะเปิดประตูลง มือด้านขวาก็โดนฟังที่นั่งอยู่ด้านหน้าเอื้อมมาจับเอาไว้ แต่เป็นเพียงแค่การสัมผัสเบาๆ

“((เดี๋ยวเย็นนี้ขอมารับได้ไหม?))”

“ไม่ต้อง เรายังไม่คิดจะกลับ ว่าจะนอนห้องวิท”

“((เราขอมารับนะ))”

“ไม่เอา”

“((เรา..))”

“แป้งเร็วสายแล้ว” ปิดประตูรถให้แล้วขึ้นตึกเรียนไม่ได้ให้คำตอบกับฟัง ตลอดทั้งวันสิ่งที่เรียนเข้าไปไม่เข้าหัวเลยเหมือนแค่เข้ามาให้อาจาร์ยเห็นเท่านั้นว่าเราอยู่ตรงนี้ เลิกเรียนเตรียมตัวกลับห้องของวิทเดินลงมาจากตึกก็เห็นรถของฟังจอดอยู่แล้วเจ้าตัวก็ลงมานั่งใต้ตึกรออยู่แล้ว

“เอาไงจะกลับกับมันหรือจะเดินกลับกันเอง”

“กลับกันเอง” ไม่ได้หยุดทักไม่ได้หยุดมองหน้าเดินผ่านเลยไปฟังไม่ได้ดึงไม่ได้รั้งเอาไว้แค่เดินตามมาข้างหลัง เราหยุดซื้อข้าวฟังก็หยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เราหยุดยืนอยู่ ตอนที่ถึงห้องแล้ว ฟังก็ไม่ได้ดึงดันที่เข้ามาแค่หยุดยืนอยู่ตรงกระไดหน้าหอพักเท่านั้นเอง ทุกอย่างผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตอนจะนอนก็ยังอดใจไม่ได้ที่จะแอบลงไปดูคนที่รออยู่ด้านล่าง ฟังก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่ตรงบันไดขั้นสุดท้าย ไม่รู้ว่าได้กินข้าวอาบน้ำบ้างรึเปล่า

   เหตุการ์ณแบบนี้เกิดขึ้นวนซ้ำไปเรื่อยจนผ่านจนเข้ามาวันที่สี่ ฟังก็ยังคงไม่หายไปไหนตอนเช้ายังคงขับรถไปส่งตอนเย็นก็เดินตามกลับมาที่หอแล้วก็นั่งรออยู่ตรงหน้าหอแบบนั้น แต่ที่เริ่มทำให้เราลำบากใจอยู่ตอนนี้คืออีกไม่กี่อาทิตย์จะถึงการสอบปลายภาคของปี 2 แล้วแต่ฟังก็ยังคงทำเหมือนเดิม ถ้าฟังยังคงทำอยู่อย่างนี้ฟังจะต้องไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือแน่ๆ  ลูกตาลเองก็ส่งเมสเสจมาหาเราว่าช่วงนี้ฟังไม่ค่อยเข้าเรียนมีอะไรรึเปล่า ก็เลยตัดสินใจแล้วว่าต้องคุยกับฟังให้รู้เรื่องก่อนที่การเรียนของฟังจะเสีย แล้วมันจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ทำให้ฟังเสียการเรียน เราไม่ต้องได้ชื่อว่าเป็นคนทำให้ฟังแย่ลง

“ฟัง” เป็นอีกวันที่ฟังยังอยู่ที่เดิม เราคิดว่ามันพอแล้วละกับการพิศูจน์แค่นี้ก็รู้แล้วว่าฟังรู้สึกไหม ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องให้อภัยเขาได้แล้ว อีกอย่างหลังๆมานี้ ฟังเริ่มสนิทพูดดีกับวิทมากขึ้นก็รู้ว่าคิดแบบนี้มันไม่ดี แต่เราจะผิดไหมที่ไม่อยากให้สองคนนี้เขาดีกัน ทะเลาะกันอย่างเดิมเราสบายใจกว่า อีกอย่างเราก็อยากฟังกลับไปอ่านหนังสือด้วยก็เลยบอกให้วิทกลับขึ้นไปบนห้องก่อน

“((ครับ))”

“ฟังกลับบ้านไปเถอะนะ”

“((ถ้าจะพูดเรื่องนี้แป้งกลับขึ้นไปบนห้องเถอะ เพราะยังไงเราก็ไม่กลับไปนอนที่บ้านตราบใดที่แป้งไม่กลับพร้อมเรา))”

“แต่ ฟังจะสอบแล้ว”

“((ถึงกลับไปเราก็ไม่มีสมาธิอ่านหนังสืออยู่ดี))”

“คือ”

“((แป้ง เรารู้ว่าเราคงทำให้แป้งโกรธ อาจจะเลยไปถึงกลัวเราเลยก็ได้แต่เราอยากขอโทษจริงๆนะ เราไม่ได้ตั้งใจทำให้แป้งเจ็บตัวขนาดนั้น เรายอมรับว่าเราหึง))”

“หึง?”

“((อื้ม เราหึงที่แป้งไม่กลับบ้าน))

“เรานึกว่า”

“((นึกว่าอะไรครับ?))”

“นึกว่าที่ฟังโกรธเราเรื่องอื่นที่เราไม่กลับตามคำพูด”

“((เราหึงแป้ง เราขอโทษ เราสัญญาว่าต่อไปนี้เราจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับแป้งอีก เราขอโทษจริงๆ))”

“ฟัง”

“((นะครับ กลับบ้านเรานะครับ))”

“คือ”

“((นะครับ))”

“อื้ม”

“((ไป งั้นกลับกัน))”

“เดี๋ยวๆ ขอไปเก็บของกลับจากห้องวิทก่อน”

“((โอเค ไปช่วยนะ))”

“อื้ม” ใจอ่อนตั้งแต่ที่ฟังบอกว่าหึงกันแล้ว ฟังไม่เคยพูดคำนี้เลยนี้เป็นครั้งแรกความโกรธความเสียใจที่เคยโดนทำร้ายหายไปพร้อมกับคำนั้น แปลกไหมถ้าจะรู้สึกดีกับการถูกโดนหึงแม้การแสดงออกมันจะดูรุนแรงมากไปหน่อยเถอะ และยิ่งเห็นรอยยิ้มของฟังตอนที่เราบอกว่าจะกลับบ้านมันทำให้เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราควรทำให้ฟังมาตั้งนานแล้ว

“ขึ้นมาได้สักที อ้าว เอาขึ้นมาด้วย?”

“วิท คือ เราจะกลับบ้านแล้วนะ”

“อ่อ อื้ม” เดินเข้าไปเก็บของไม่ได้มีอะไรมากอยุ่แล้วยกเว้นเสื้อผ้าที่ใส่ไปเรียนชุดนอนใส่ของวิท มีของที่เกี่ยวกับชีทเรียนมานิดหน่อย

“ไปก่อนนะวิทขอบคุณนะที่ให้มานอนด้วยอะ”

“อื้มไปเหอะ” ตอนเดินออกมาจากห้องมองกลับไปที่ห้องของวิท ก็ได้แต่หวังว่าเราไม่ต้องกลับมายืนที่ตรงนี้อีก

“มีของสดอยู่ที่บ้านไหม?”

“((ไม่มีไม่ได้ซื้ออะไรไว้เลย เดี๋ยวแวะกินข้างนอกก็ได้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำ))”

“แต่เราอยากทำ” อยากขอโทษที่หนีออกมาหลายวันเลยรู้สึกอยากทำของชอบให้ฟังกิน

“((งั้นเดี๋ยวแวะซื้อกับข้าวแล้วค่อยเข้าบ้านแล้วกัน))” กลับมาถึงบ้านรีบวิ่งเข้าครัวไปทำกับข้าว จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าฟังชอบกินอะไรแล้วชอบฝีมือเราไหม แต่ฟังชอบยิ้มเวลาเราทำกับข้าว วันนี้ก็เลยอยากทำเพราะอยากให้ฟังยิ้ม เลือกทำเป็นกับข้าวง่ายๆ อย่างเช่นพวกไข่เจียวหมูสับและแกงจืดกับหมูปั้นทอด กินข้าวไปดูทีวีกันไป

“ฟังเริ่มอ่านหนังสือบ้างยังเนี่ย?”

“((ก็อ่านบ้างตอนไปเข้าเรียนแล้วก็ตอนนั่งรอตอนกลางคืนนะ))”

“ขอโทษนะ ลำบากเลยขอโทษที่โกรธแล้วหนีไปแบบนี้”

“((แป้ง ต่อไปนี้เราขอได้ไหม ไม่ว่าจะโกรธกันเรื่องอะไรเราขอละอย่าหนีไปแบบนี้อีกนะ))”

“คือ”

“((นะ แป้งรู้ไหมว่าเราไม่ชอบใจเลยที่เรื่องเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันที่แป้งออกจากบ้านไปเรารู้สึกไม่ดีเลย))”

“ขอโทษนะ”

“((ขอได้ไหมต่อไปเราจะต้องคุยกันให้รู้เรื่องจะไม่มีการหนี จะไม่เป็นแบบนี้อีก))”

“อื้ม”

“((รับปากเราแล้วนะ))”

“ครับ”

“((ขอบคุณครับ))”

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึงคุณ Sweettemp มาลุ้นๆ กันค่ะ

ออฟไลน์ iAlexiajang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วหงุดหงิดมากอยากจะจับแป้งมาเขย่าๆๆๆๆๆๆ 555555555555555

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 16

   ช่วงนี้เป็นช่วงสอบเราทั้งสองเลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทำให้มันผ่าน ยิ่งขึ้นชั้นปีใหม่บทเรียนก็ยิ่งยากขึ้น การกลับมาอยู่บ้านฟังครั้งนี้วิถีชีวิตของเราสองคนเริ่มเปลี่ยนไปแต่มันไม่ได้เปลี่ยนเป็นครั้งเดียวครั้งใหญ่ มันเริ่มเปลี่ยนทีละนิดๆ จนเราทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกตัวถึงควาเปลี่ยนแปลงนี้ ฟังต้องอยู่กับเพื่อนที่มหาลัยมากขึ้นเพราะด้วยรายงานกลุ่มหรือกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกับเพื่อนๆในรุ่น เราเองก็ไม่ต่างก็ต้องอยู่กับเพื่อนของมหาวิทยาลัยตัวเองมากขึ้นเช่นกัน

หอวิทจากที่ไม่ค่อยได้ไปอยู่ไปแค่ไปๆ กลับๆ พอขึ้นชั้นปีที่ 4 ก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี้ รู้สึกแปลกเหมือนกันที่ครั้งนี้ฟังก็ไม่ห้ามและดูเข้าใจถึงเหตุผลที่เราต้องไปอยู่ อยากถามเหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้ถึงยอมง่ายจัง แต่ ก็ยังไม่อยากให้เกิดปัญหา ถ้าฟังเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้มาเราเองที่จะแย่

     ผ่านพ้นช่วงมรสุมเรื่องการเรียนมาเหมือนได้ไม่นานเองมารู้สึกตัวอีกทีก็ปีนี้ปี 4 เทอมสุดท้ายแล้ว จะเรียนจบแล้วโชคดีว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเราสองคนไม่มีปัญหากันอีกเลย แม้วิทจะเข้ากับฟังไม่ค่อยได้เจอหน้าต้องมีเขม่นกันแต่ก็ดีกว่าช่วงแรกมาอยู่ ถือว่าช่วงก่อนจบเป็นช่วงปีที่ราบรื่นที่สุดของเราเลยก็ว่าได้

     วันนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนๆของฟังนึกสนุกอะไรขึ้นมาอยู่ๆบอกอยากจัดปาร์ตี้สักหน่อยเพราะเรียนมาหนักแล้วยังไม่เคยได้มีงานสังสรรค์อะไรแบบนี้เท่าไหร่เลย ฟังก็เลยชวนเราไปที่บ้านแต่เราก็อึกอักเพราะไม่รู้จักเพื่อนของฟังคนไหนที่มหาลัยเลยยกเว้นเพื่อนของวิทที่เผอิญไปเรียนที่เดียวกับฟังซึ่งก็แค่คนเดียวเอง เราเองก็กลัวว่าจะไม่สนุก ตอนแรกขอไม่ไปงานด้วย ฟังก็เลยเกิดไอเดียกันว่างั้นก็เอาเพื่อนของแต่ละคนมางานด้วยเลยละกันเป็นงานแนะนำเพื่อนใหม่ไปในตัว

“โห ฟังเพื่อนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” ตอนนี้เพื่อนๆ ของฟังน่าจะมากันครบกันแล้ว เห็นแบบนี้ไม่รู้เลยว่าฟังเองจะมีเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเยอะพอสมควร

“((ไม่หรอกเพื่อนๆที่คณะทั้งนั้น ทุกคนชวนกันต่อๆมาอีกที มีสนิทจริงๆไม่กี่คนเอง))”

“แต่ก็ยังเรียกว่าเยอะอยู่ดี” คืนนั้นว่าแน่นอนในงานปาร์ตี้นอกจากมีอาหารแล้วก็ต้องมีของพวกเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มความสนุกเข้ามา ยังดีที่งานนี้ไม่ได้มีแต่ชายล้วนมีเพื่อนๆผู้หญิงมาร่วมด้วยทำให้อาหารไม่เคยพร่องลงไปจากวงสุราเลย

“ไม่ได้คุยกันนานเลยแป้งเป็นไงบ้าง?”

“สบายดี ลูกตาลละเป็นไงบ้าง?”

“เรื่อยๆนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราสามคนฟังแป้งเรา ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เลยอะทั้งๆ  เพื่อนๆคนอื่นก็หายกันไปบ้างแล้ว”

“อื้ม”

“แต่แป้งกับฟังสนิทกันดีจัง จนบางทีเรารู้สึกอิจฉาเลยนะเนี่ย” ลูกตาลหมายถึงอะไร อิจฉาอะไร

“มองอะไร ล้อเล่นน่า”

“อะหะ”

 เวลาผ่านไปค่อนคืนกว่าแล้วทุกคนก็เริ่มมีมึนๆกันบ้างแล้ว ขนาดตัวเราเองว่าไม่ค่อยจะดื่มเยอะยังรู้สึกมึนๆเลย
“เฮ้ย ไอ้ฟัง จะว่าไปมึงก็หน้าตาไม่ได้แย่อะไรเสียแค่อย่างเดียวที่พูดไม่ได้ในมหาลัยก็มีคนมาชอบนี่หว่าทำไมไม่เลือกๆคบไปว๊ะ?” จะว่าไปเหมือนเคยได้ยินเพื่อนของวิทพูดเหมือนกันว่าฟังแอบมีคนมาชอบในมหาลัยเหมือนกัน แต่จริงเหรอ เผลอกำมือจิกตัวเอง ทำไมเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมฟังไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เราฟัง

“นั้นดิ นั้นไงเพื่อนๆทุกคนเขาก้ลุ้นให้ได้กับลูกตาลทั้งนั้นอะ ทำไมไม่ได้กันสักทีว๊ะ”

“.....................” หันไปมองหน้าลูกตาลคิดว่าลูกตาลจะปฎิเสธแต่ทำไมต้องยิ้มเขิลแบบนั้นกลับมาด้วยหรือว่า? แล้วทำไมฟังไม่ตอบอะไรออกไป พยายามมองหน้าของฟังหวังให้ฟังพูดอะไรบางอย่างออกไปบ้าง แต่ทำไมฟังถึงเงียบ พยายามเข้าใจว่าฟังอาจจะไม่อยากเปิดตัวเรื่องเป็นแฟนกับเราแต่อย่างน้อยก็ช่วยพูดเรื่องลูกตาลได้ไหม?

“พูดไรไม่รู้เรื่อง เฮ้ยใครเรียนภาษามือมาบ้างแปลหน่อยดิว่าไอ้ฟังพูดว่าไร เมาแล้วแม่งเสือกใช้ภาษามือปากมึงขยับก็ได้พวกกูอ่านชินแล้ว” สิ้นเสียงโห่ร้องของเพื่อนในกลุ่มก็เลยกันหน้ากลับไปมองว่าฟังใช้ภาษามืออะไรสื่อสารออกมา

“ไม่เอาพวกมึงเมาแล้วเดี๋ยวอ่านปากผิด ให้แป้งแปลให้แล้วกัน” เราเป็นคนสื่อสารแทนฟังเป็นคนส่งเสียงในขณะที่ฟังกำลังพูดด้วยมือ

“ใช้แป้งแทนเสียงมึงว่างั้น?”

“ใช่ แป้งนี่แหละคือเสียงของเรา”  พูดเองทำไมรู้สึกเขิลเอง เสียงเราสั่นเลย

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ บรรยากาศนี้คืออะไรว๊ะ”

“ถามใช่ไหมว่าทำไมไม่สนใจใคร? ตอบให้ก็ได้เพราะว่ามีแฟนอยู่แล้วไง มีมานานแล้วด้วย”

“ไหนๆ มางานนี้ด้วยปะ?”

“มา ก็นี่ไงคนที่นั่งแปลอยู่ตรงนี้ไง นี่แป้งแฟนเรา”

“ฟัง/ฟัง” เพื่อนๆ ของฟังเงียบไปหมดแล้วมีแต่เสียงของเรากับของลูกตาลที่เรียกชื่อของฟังออกมาพร้อมกัน บรรยากาศความสนุกความล้อเล่นหายไปหลังจากที่จบประโยคที่เราเป็นแฟนกับฟังได้ออกมาจากปากของเรา

“ฟังไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” ลูกตาลลุกมาจากที่ตัวเองนั่งอยู่ เดินเข้ามาหาฟังที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆเรา ฟังส่ายหน้าให้ลูกตาลเพื่อเป็นคำตอบในคำถามนั้น ลูกตาลไม่ได้เดินไปไหนยังคงยืนจ้องหน้าของฟังอยู่อย่างนั้นฟังก็ไม่ได้หลบตาแต่เลื่อนมือมาจับมือของเราเอาไว้

“เออ กูว่าก็ดึกแล้วกลับบ้านกันไหม ฟังจะได้เคลียร์บ้านด้วย” เพื่อนๆ ของฟังเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมา วิทเป็นคนที่เดินมาตรงที่ลูกตาลยืนอยู่

“คุณกลับไปก่อนเถอะ ยืนแบบนี้ก็ไม่ได้คำตอบใหม่หรอก” หลังจากนั้นเพื่อนๆของฟังก็มาพาลูกตาลออกไป วิทอยู่ช่วยเก็บของที่บ้านชวนวิทค้างเพราะเห็นว่าดึกแล้วแต่วิทก็ปฎิเสธ หลังจากทิ่วิทกลับไป เราก็อาบน้ำเตรียมเข้านอน ง่วงนะมึนด้วยแต่นอนไม่หลับก็เลยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

“((นอนไม่หลับเหรอ?))” ฟังใช้ภาษามือชวนเราคุยอาจจะเพราะมืดแล้วภาษามือคือสิ่งที่สื่อสารกันได้ง่ายที่สุด

“อื้ม นอนไม่หลับ”

“((เป็นอะไรครับ?))”

“ฟังเคยรู้มาก่อนไหมเรื่องที่ลูกตาลชอบฟัง?” เราเปลี่ยนจากนอนมาเป็นนั่งคุยแล้ว

“((รู้สึกแต่ไม่ค่อยแน่ใจ))”

“มาวันนี้แน่ใจยัง?”

“((แน่ใจแล้ว))”

“อื้ม”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“กอดเราหน่อย”

“((มาๆ นอนๆ มานอนกอดกันครับ ช่วงนี้ไม่ได้กอดกันเลยคิดถึง))” ล้มตัวลงไปนอนฟังกอดเราเอาไว้ตอนนี้นอนอยู่ในอ้อมกอดของฟังแล้วแต่ยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ความหมายของกอดของเราไม่ใช่กอดแบบนี้

“ไม่กอดแบบนี้”

“กอดแบบที่ทำให้เรารู้ว่าฟังต้องการเรา...ได้ไหม?” สิ้นคำขอร้องฟังก็ไม่ขัดใจ ฟังกอดเราสัมผัสเรา ทุกท่วงท่าทุกอารมณ์ฟังใช้ความใส่ใจ ทำให้เรารับรู้ได้ว่าอ้อมกอดที่ได้มาในคืนนี้ไม่ใช่แค่มาจากความใคร่มันมาจากความรัก ก่อนที่จะหลับไปเพราะว่าหมดแรงฟังกำลังเช็ดตัวให้นั้นมีคำเดียวที่อยากบอกกับฟัง “รักนะขอบคุณครับ”

   จบแล้วในที่สุดก็จบแล้วได้ใบปริญญาแล้ว ตั้งแต่วันที่ได้เปิดตัวว่าเป็นแฟนของฟังไปก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมาก มีบ้างตอนที่ไปหาฟังที่มหาลัยแล้วพวกเพื่อนๆ ฟังเข้ามาทัก แต่สิ่งนึงที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือลูกตาล หลังจากวันนั้นลูกตาลก็ไม่เคยเข้ามาคุยกับเราอีกเลย เจอหน้ากันลูกตาลก็ไม่มองทำเหมือนไม่เห็นเรา จริงๆเราเคยลองทักลูกตาลไปครั้งนึงตอนที่เห็นอยู่ใต้ตึกเรียนแต่ลูกตาลก็นั่งเฉย เราก็เลยละความพยายามไม่ทักต่อเพราะคิดว่าลูกตาลอาจจะลำบากใจที่ต้องคุยกับเรา

   ยังดีที่เพื่อนคนอื่นๆ ของฟังไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่เรากับฟังคบกัน ทุกคนก็ยังดีกับฟังเหมือนเดิมตามที่ฟังเล่าให้ฟัง ส่วนเพื่อนๆ ของเราเองที่ไปงานวันนั้นก็ไม่ได้รังเกียจเราเหมือนกันมีแค่พูดๆ ว่าไม่น่าเชื่อก็เท่านั้นเอง

“ยินดีด้วยนะลูกแม่ จบแล้ว”

“ครับแป้งนี่ดีใจม๊ากมากละแม่ จบซะที”

“จ้า แล้ววางแผนทำอะไรไว้บ้างยังลูก?”

“ยังเลยแม่ขอเวลาแป้งหน่อยนะ”

“ได้สิจ๊ะ”

   เรายังคงลอยคว้างเพราะตอนที่จะเลือกเรียนอักษรก็เพราะอยากเรียนสาขาเดียวกับฟัง แต่พอรู้ว่าต้องไปเรียนกับวิท แล้ววิทเลือกเรียนบริหารก็เลยเบนเข็มเลือกเรียนตามวิททั้งๆ ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วตัวเองชอบอะไรไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ส่วนฟังรายนั้นเขาไม่ค้างแบบเรา พอจบปุ้ปน้าหน่อยก็ฝากงานให้ที่เดียวกับที่น้าหน่อยทำงานอยู่เลย เห็นแม่บอกว่าน้าหน่อยทนทำงานหนักไม่ค่อยได้อยู่กับลูกก็เพราะสิ่งนี้อยากให้ฟังจบแล้วมีงานมีการทำ

“เริ่มงานวันไหนอะฟัง?”  ตอนนี้กำลังนอนกอดพลางเล่นเชือกที่มัดกางเกงอยู่ของฟังไปมาอยู่บนเตียง เมื่อสามวันที่ผ่านมา มาเที่ยวพักผ่อนกันที่เชียงใหม่ฟังบอกว่าอยากมาระลึกความหลังก่อนเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มตัว แต่มาเชียงใหม่ก็ไม่ได้ต่างจากครั้งที่แล้ว ไปร้านเดิมที่เคยไปไปที่เดิมๆที่เคยไป เชื่อแล้วว่าระลึกความหลังจริงๆ

“((จันทร์หน้าแล้วเหลือแค่อาทิตย์นี้อาทิตย์สุดท้ายแล้ว))”

“ทำไมทำหน้าเมื่อยขนาดนี้ละใช้มือพูดไม่ใช่เหรอไง?”  ขอล้อซะหน่อยเถอะ ฟังทำหน้าเบ้เบื่อได้อีก

“((ก็ไม่อยากทำงานเลยนิ อยากไปเที่ยวที่อื่นๆ ไกลๆ กับแป้งก่อน))”

“โธ่ ไว้ทำงานมีเงินค่อยไปเที่ยวไกลๆ กันก็ได้ ไปตอนนี้ก็ไม่ได้ไกลมากอยู่ดี เงินเก็บจากตอนเรียนมาอยู่นิดเดียว”

“((ก็อยากไปนิครับ))”

“ครับๆ รอมีเงินก่อนนะครับ”


“((ว่าแต่แป้งมองที่ทำงานเอาไว้บ้างยัง? ส่งใบสมัครงานบ้างยัง?))”
“ยังเลย ไม่รู้จะไปทำอะไรดีคิดไม่ออกเลย” พอพูดถึงงานตัวเองก็เลิกเลื้อยแล้วเปลี่ยนท่ามาเป็นนอนเอาคางเท้าอยู่บนอกฟังดีกว่าจะได้เห็นฟังพูดชัดๆ ว่าแต่มุมนี้ฟังก็รูจมูกฟังก็ใหญ่เอาเรื่องนะเนี่ย

“((เล่นไรเนี่ย อย่าเอามือแหย่เข้ามา ไม่ลองยื่นใบสมัครละ))” ฟังตอบพร้อมปัดมือของเราออกที่เอาไปแหย่รูจมูกของเขา

“ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไรลงไป”

“((เดี๋ยวทำ CV ให้นะครับ))” ฟังตอบพร้อมลูบผมเราเล่นไปเรื่อย

“อื้ม ขอบคุณครับ”

   กลับมาจากเชียงใหม่ฟังก็เริ่มเข้าทำงานแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำใบสมัครไว้ให้ ตั้งแต่ได้ใบ CV มายอมรับว่ายังไม่ยอมเอาไปยื่นที่ไหนเลย รู้สึกยังไม่พร้อมที่ต้องออกไปหางาน สมัครงานคนเดียว ก็เลยดองใบสมัครงานเอาไว้ก่อน กลับมาจากเชียงใหม่ฟังดูยุ่งๆ ส่งเมสเสจมาเล่าให้ฟังทุกวันว่างานไม่ค่อยเหนื่อยแต่เหนื่อยกับการปรับตัว อีกอย่างที่บริษัทฟังเองก็ดูเหมือนเป็นเด็กเส้นทำให้บางทีก็ดูเหมือนว่าคนที่ทำงานยังไม่ค่อยอยากจะยอมรับฟังสักเท่าไหร่ เราก็ได้แต่คอยให้กำลังใจว่า สู้ๆ

   เสาร์ อาทิตย์ ฟังกับเราจะแอบผลัดกันไปนอนบ้านใครสักคนอยู่เสมอจนแม่กับน้าหน่อยยังเคยบ่นว่าเมื่อไหร่ตัวจะเลิกติดกัน วันเสาร์มีบางวันฟังเอางานกลับมาทำที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้งานออกมาดีอยากให้คนที่ทำงานยอมรับเร็วๆ แม่จะได้เลิกห่วงด้วยซะที

“แป้งออกมากินข้าวไหมเย็นนี้ ? พวกในคณะวันนี้เขานัดกัน”

“อ้าวไม่เห็นมีใครบอกเราเลย”

“ก็บอกอยู่นี่ไง พวกนั้นเขาฝากชวนๆกันมาเราบอกเองละว่าเดี๋ยวบอกแป้งเอง”

“เออๆ ไปดิ วิทไปไงอะ”

“ว่าจะไปแท๊กซี่เพราะว่าเกิดเมาจะได้ไม่ยุ่งยาก”

“โอเค ไปด้วยเดี๋ยวเจอกันหน้าหมู่บ้าน”

   วันนี้เหมือนเป็นวันที่ทุกคนมาปลดปล่อยเพราะหลายคนในกลุ่มที่เริ่มทำงานแล้ว ก็เลยมีมาบ่นเรื่องที่ทำงาน แต่ก็จะมีคนประเภทเดียวกับเราคือที่ยังไม่ได้เริ่มงานเลยก็จะบ่นว่าอยากจะเริ่มงานเร็วๆบ้าง

“เออ ว่าแต่ไม่เห็นแป้งเล่าเรื่องตัวเองบ้างเลย ไหนลองเล่ามาหน่อยดิ สรุปอยากทำงานที่ไหน ได้งานยัง?”

“เอ่อ คือว่า?”

“ว่าไง?”

“ก็มีดูๆ ไว้บ้าง”

“เออ ขอให้ได้ตามที่หวังแล้วกัน” แล้วเรื่องงานก็เป็นเรื่องที่หายไปในบทสนทนาในวงเหล้าตอนนี้มีแต่เรื่องล้อกันสมัยเรียน สักประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็ต่างพากันแยกย้ายเรากลับกับวิทด้วยแท๊กซี่

“สรุปแป้งดูงานอะไรไว้อะ?”

“ไม่มีดูไว้หรอกวิท” เพราะตอนนี้มีแค่เรากับวิทเราเลยกล้าที่จะพูดความจริง

“อ้าว”

“ตอบไปงั้นๆ เอง จริงๆไม่ได้ดูอะไรไว้เลยเพราะยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร”

“เหรอ” แล้วบนสนทาบนรถก็เงียบหายไปไม่มีใครพูดอะไรต่ออีกจนกระทั่งถึงบ้าน แท๊กซี่จอดที่หน้าบ้านของวิทก่อน วิทลงรถไปแล้วแต่สักพักก็มีเสียงมาเคาะที่กระจกด้านเรา แอบแปลกใจนิดหน่อยเพราะลองมองไปดูข้างตัวก็ไม่เห็นว่าวิทจะลืมของหรืออะไรบนรถ

“ลืมไรเหรอ?”

“เปล่า จะบอกว่า ถ้าไม่รู้จะทำอะไรไปลองงานร้านไอติมกับเราไหม?”

“ห๊ะ?”

“พรุ่งนี้เราจะไปสมัครงานที่ร้านไอติม มาด้วยกันสิ 8 โมงนะ”

“โอเค เจอกัน” ยิ้มให้ตัวเองเพราะอย่างน้อยเราก็มีที่ให้ไปแล้ว ลองสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย

.....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง คุณ iAlexiajang ฮ่าๆๆๆ อย่าเขย่าแป้งอย่างนั้นนน งั้นตอนนี้เอาเรื่อยๆๆๆๆ ไปก่อนนะคะ พักยกๆ ค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 17

   ตั้งแต่เรียนจบกันมาเรากับวิทก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่มีคุยๆ กันบ้างแต่ดูเหมือนจะกำลังยุ่งกับการหางานที่ร้านไอติม วิทอยากได้ร้านที่ทำเองทุกอย่างครบวงจรซึ่งหาค่อนข้างยากไม่ใช่เขาไม่เลือกวิทแต่วิทเลือกงานถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการวิทก็จะไม่ยอมรับทำงานนั้น ไม่รุ้ว่างานร้านไอติมของวิทที่จะไปสมัคร วิทจะไปสมัครในตำแหน่งอะไร แต่ตามไปก็คงไม่เสียหายเพราะต่อให้ไม่ไปก็ได้แต่อยู่กับบ้านเฉยๆ เหมือนเดิม

“นึกว่าจะไม่มา” แปดโมงเช้าตรงที่หน้าบ้านของวิทมารอก่อนหน้าไม่กี่นาที

“ทำไมถึงคิดว่าเราจะไม่มาละ”

“ก็ไม่รู้สิ นี่ก็จบมาตั้งนานแป้งแทบจะคนเดียวในกลุ่มเลยมั้งที่ไม่ได้หางานทำ”

“ก็ ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรนี่น่า”

“อ้าว แล้วตอนเข้ามาเรียนบริหารไม่ได้คิดไว้เลยเหรอว่าจบไปอยากทำอะไร?"

“ไม่ได้คิดอะ”

“อ้าว แล้วตอนที่จะเข้ามาสมัครเรียนอะ?”

“ก็ ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ว่าตอนแรกอยากเรียนทางด้านภาษาแต่เห็นวิทเรียนบริหารก็เลยลงเรียนตามวิท ไม่อยากแยกไปเรียนคณะด้านภาษาคนเดียว”

“เฮ้อ แป้งนิน่า” แล้วบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเลือกเรียนของเราก็จบเพียงเท่านี้ ตอนนี้วิทกำลังเล่าเรื่องที่ออกไปหางานมาตั้งแต่ตอนเรียนจบให้ฟัง เรื่องเล่ายังไม่จบเราทั้งสองก็เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว

   ร้านนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านที่เราเคยมาเจอกับลูกตาลวันที่ลูกตาลมาพูดเรื่องฟังตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่าบรรยากาศของร้านดีไม่นึกว่าจะเป็นร้านที่วิทสนใจมาทำงาน

“สวัสดีครับ ผมวิทยา มาสัมภาษณ์ที่สมัครงานไว้ครับ”

“อ่อรอสักครู่นะค่ะ เดี๋ยวบอกพี่หว่าให้ค่ะ”

   การสัมภาษณ์งานใช้เวลาไม่นานพี่หว่าแค่ถามว่าทำไมถึงเลือกมาสมัครเป็นพนักงานเสริ์ฟทั้งๆ ที่เรียนจบปริญญาตรี วิทก็ตอบไปตามความจริง ว่าต้องการเป็นเจ้าของร้านในอนาคตเลยต้องการเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน

“ตรงดีพี่ชอบ ได้สิพี่รับแต่หวังไว้ว่าจะไม่มาเปิดเป็นร้านข้างๆกันแล้วเป็นคู่แข่งกันในอนาคตหรอกนะ”

“ไม่หรอกครับพี่ ใครจะกล้า”

“แล้วเพื่อนที่มาด้วยกันว่าอย่างไรจะมาทำงานด้วยกันเลยไหม? นี่คือหุ้นส่วนในอนาคตรึเปล่า?” พี่หว่าจ้องมองมาที่เรา ก็นับตั้งแต่ที่วิทเข้ามาคุยกับพี่เขาพร้อมยื่นเอกสารการสมัครงานเราก็ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย ได้แต่ฟังสองคนเขาคุยกัน แล้วก็ไม่รู้จะตอบพี่เขายังไง ได้แต่ทำตาปริบๆ ใส่พี่หว่ากับวิท เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าวิทจะสมัครมาเป็นพนักงานเสริ์ฟที่ร้านนี้แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่เขายังจะรับคนเพิ่ม สงสัยจะนั่งไม่ตอบจนนานเกินไป วิทเลยต้องกระทุ้งถามอีกรอบ

“ว่าไงแป้งจะสมัครด้วยเลยไหม พี่หว่าเขาถาม?”

“อ่อ เอ่อ คือ ก็ ผม” เอาไงดี แล้วทุกคนรอคำตอบ แต่ถ้าปฎิเสธงานนี้ไป เราก็ต้องไปหางานไปเจอบรรยากาศที่ทำงานคนเดียวแบบฟังที่อาจจะเจอเพื่อนร่วมงานไม่ดีก็ได้ ลองไปก่อนแล้วกัน

“ครับ ถ้าพี่หว่ายังขาดคนผมขอสมัครด้วยคนนะครับ”

“โอเคจ๊ะ งั้นเริ่มงานวันอาทิตย์หน้าวันที่เริ่มงานเอาเอกสารที่ต้องใช้มาด้วยนะจ๊ะ”

“ครับ/ครับ ขอบคุณครับพี่”

“แน่ใจแล้วนะ” วิทชวนคุยเรื่องเกี่ยวกับที่จะมาทำงานที่ร้าน

“ก็ว่าจะลองดูอะ ก็เหมือนจะสนุกดี”

“ไม่ไหวก็บอกแล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจทำนะ”

“อื้ม”

   กลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องที่จะไปสมัครงานที่ร้านไอติมที่ผสมเป็นร้านกาแฟให้แม่ฟัง แม่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่พอเรายืนยันไปว่าเราเองก็ต้องการค้นหาตัวเองด้วยเช่นกัน แม่ก็ไม่ว่าอะไรบอกแค่ว่าโตแล้วเราจะทำอะไรเราน่าจะรู้ตัวเองดี พร้อมทั้งอวยพรขอให้เราโชคดีให้เจอสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชอบหรือไม่ก็หลังจากไปทำขอให้เจอสิ่งที่ชอบโดยเร็ว

   ยังไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับงานให้ฟังรู้เพราะต้องการสื่อสารต่อหน้ามากกว่า เมสเสจมันไม่ได้อารมณ์ในบางครั้ง แอบตื่นเต้นเล็กๆ ที่จะได้เริ่มต้นทำงานแบบคนอื่นแล้ว แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการรึเปล่าก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่การที่ต้องนอนอยู่กับบ้านแล้วก็รอวันเวลามันผ่านไปเฉยๆ อีกต่อไปแล้ว กะเอาไว้ว่าจะเอาไว้เซอร์ไพล์ฟังวันที่เจอเขาเสาร์นี้

“ฟังเราได้งานแล้วนะ จะเริ่มงานวันจันทร์นี้แล้ว ดีใจกับเราไหม?”

“((หน้าตาดูดีใจมาก ดีใจด้วยครับ ได้งานที่ไหนครับ ?ได้เมื่อไหร่ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย))”

“อยากเล่าต่อหน้ามากกว่า” พูดยังไม่ทันจบฟังก็เลื้อยลงมานอนที่ตักแล้ว

“((อะ ตั้งใจฟัง))”

“คือ เราไปงานเลี้ยงรุ่นกับวิท ฟังจำได้ไหม?”

“((ครับ))”

“ก็พอดีที่ว่า วิทเห็นว่าเรายังไม่มีงานทำ วิทก็เลยชวนไปสมัครงานด้วยพอดีวันรุ่งขึ้นวิทเขาจะไปพอดี”

“((อื้ม))”

“แล้วพอเราเข้าไป พี่เจ้าของร้านเขาก็ดูท่าทางใจดีนะ เห็นเรานั่งเฉยๆ ก็เลยชวนเราทำงานที่ร้าน เราก็เลยได้งาน ทำที่เดียวกับวิทเลยละ น่าสนุกนะ”

“((ร้าน?))”

“อื้มร้าน เป็นร้านไอติม แต่ว่าช่วงเช้าจะขายกาแฟหลังจากนั้นจะขายพวกขนมไอติม แล้วก็พอช่วงเย็นจะเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เรากับวิททำแค่ช่วงเช้าถึงบ่าย” อธิบายจบฟังก็เด้งตัวจากตักของเรา

“((ร้านขายของ? เดี๋ยวนะ เรางง ที่เราทำ CV ไปให้ แป้งเอาไปใช้สมัครร้านอาหาร?))”

“ยังไม่ได้ยื่นให้พี่เขาหรอก แต่พี่เขาก็รู้ว่าเราจบอะไรมาก็บอกให้เราเอาเอกสารไปยื่นให้ทีหลัง”

“((ไม่ใช่แป้ง คือที่เราทำ CV ให้แป้งคือให้แป้งเอาไปสมัครงาน))”

“ก็ใช่ไง พอดีวันนั้นไม่ได้เตรียมไปก็เลยจะเอาไปให้พี่เขาวันหลัง ไม่ต้องห่วงน่ะ ยังไงก็ได้ใช้อยู่แล้ว”

“((แป้ง ไม่ใช่เรื่องตลกเลิกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้สักทีจะได้ไหม โตขนาดนี้แล้ว เราหมายถึงว่าที่เราทำใบนั้นไปให้คือให้แป้งเอาไปใช้สมัครงานในบริษัทต่างๆ ไม่ใช่ร้านไอติมแบบนี้))”

“แล้วทำไมเราถึงต้องเอาใช้สำหรับร้านไอติมไม่ได้”

“((แล้วทำไมแป้งต้องเอาไปใช้กับร้านไอติมนั้น ทำไมแป้งไม่เอาไปสมัครงาน?))”

“แล้วแบบนั้นไม่เรียกว่าสมัครงานตรงไหน?”

“((แป้ง อย่างี่เง่า))”  อะไรคืองี่เง่า เรางี่เง่าอะไร เราดีใจที่จะมีงานทำ ทำไมฟังไม่ดีใจกับเรา เราดีใจที่เราจะไม่ต้องไปเจออะไรที่ทำงานคนเดียว ทำไมฟังไม่เข้าใจ? ในเมื่อพูดอะไรไปก็งี่เง่า งั้นก็ไม่พูดแล้วกัน มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“((อย่ามาเงียบอย่างนี้นะ))”

   พูดก็โดนว่างี่เง่าไม่พูดก็โดนว่า วางตัวไม่ถูกแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรเพื่อให้ฟังพอใจ ลุกขึ้นเตรียมเก็บของถ้าจะทะเลาะกันเรากลับบ้านยังจะดีกว่า

“((อย่ามาเดินหนีแบบนี้นะ))” โดนกระชากแล้วจับหน้าเพื่อให้เห็นในสิ่งที่เขาจะพูด ในเมื่อหนีไม่ได้ก็มีหนทางเดียวที่จะไม่ทะเลาะกันคือหลับตา การหลับตาลงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่ดีที่สุด

   สรุปคืนนั้นเราก็ไม่ได้เคลียร์อะไรกับฟัง เช้ามาก็ต่างคนต่างอยู่แม้จะอยู่ในเขตพื้นที่บ้านเดียวกัน จนมาถึงตอนเย็นฟังคงหมดความอดทนเดินเข้ามาคุยด้วยแต่คงเป็นเราเองที่นิสัยเสียไม่ยอมพูดไม่ยอมมองหน้าของฟังพอฟังโมโหเข้า ฟังก็เริ่มกระชากเริ่มลาก พอฟังลากเข้าไปที่ห้องนอน อยู่ๆ ใจก็เกิดกลัวตวัดกลับไปคิดถึงเรื่องวันที่ฟังทำร้ายเรา เราเลยเริ่มดิ้นอย่างหนัก เริ่มร้องเพราะตื่นกลัว กลัวว่าจะโดนแบบวันนั้นอีก พอฟังไม่หยุดสิ่งที่เราตัดสินใจทำคือ ปิดประตูห้องเพื่อให้หนีบแขนเราเอง ได้ผลพาประตูหนีบแขนเราฟังก็รีบปล่อยมือออกเราเลยหลบเข้ามาในห้องของฟังได้เพียงคนเดียว รู้สึกโล่งอกที่ฟังไม่ได้ตามเข้ามา

   เสียงเคาะประตูดังอย่างต่อเนื่อง ไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกไป ตัดสินใจขึ้นไปบนที่นอนของฟังแล้วก็นอนเอาหมอปิดหูอยู่อย่างนั้นภาวนาขอให้เสียงเคาะที่ดังอยู่นั้นมันดับหายไปเอง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือมาพยายามจับแขนของเรา พร้อมทั้งมีกลิ่นยาที่คุ้นเคย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน

“ฟัง” พอตาเริ่มปรับเข้ากับสิ่งรอบข้างได้แล้วสิ่งที่เห็นสิ่งแรกคือ ฟังกำลังนั่งพันข้อแขนให้เราอยู่ อ่อ กลิ่นยาคงมาจากตรงนี้สินะ พอคิดได้ดังนั้นก็ตกใจพยายามจะกระชากมือออกมา ฟังเลยเลิกพันแขนแล้วดึงเราเข้าไปกอดแทน พอเห็นว่าเราท่าทางจะไม่ดึงตัวเองออกมาแล้วฟังถึงได้คลายอ้อมกอดออก

“((ไม่ต้องกลัวนะไม่ทำอะไรแล้ว))”

“เข้ามาได้ยังไง?”

“((นี่บ้านฟังนะ ฟังมีกุญแจห้องสิ))” ได้แต่พยักหน้ารับรู้ก็ลืมไปว่านี่บ้านใคร

“((พอดีเห็นเคาะอยู่นานแล้วก็เลยเปิดประตูเข้ามา เห็นนอนหลับไปแล้วแต่แขนที่โดนประตูกระแทกเขียวมากเลย เราเลยเอาผ้ามาพันพร้อมทายาให้นะ))”

“อื้ม”

“((โอเค ถ้าแป้งอยากทำงานที่นั้นขนาดนั้นเราจะไม่ว่าอะไรแป้งอีก ตามใจแป้งแล้วกัน))”

“อื้ม”

“((ปะ ลงไปหาอะไรกินกันมื้อเย็นยังไม่ได้กินเลย))”

“ฟังด้วยเหรอ?”

“((อื้ม รอกินพร้อมกัน))”

   เช้าวันจันทร์ฟังมาส่งที่บ้านแต่เช้าเพื่อที่จะได้กลับมาเตรียมเอกสารเพื่อเอาไปยื่นให้พี่หว่าที่ร้านแล้วฟังก็ขับรถไปทำงานต่อ วันนี้พอได้เข้าไปที่ร้านพี่หว่าก็อธิบายงายคร่าวๆ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ว่ามาเป็นพนักงานเสริ์ฟ อย่างเดียวเลยซะทีเดียวพี่หว่าให้เราเช็คของเข้าร้านแล้วก็คอยดูรายรับรายจ่ายด้วย เรียกง่ายๆ ว่าเหมือนจะเป็นผู้จัดการไปในที เพราะพี่หว่าบอกว่าทำแบบนี้จะได้เรีนยรู้ได้เร็วกว่า

“ไหวไหมแป้ง?”

“ไหวๆ แค่ยกของเหนื่อยนิดหน่อย” เพราะวันนี้ต้องเช็คสต้อกแล้วต้องรายงานพี่หว่าว่าขาดเหลืออีกเท่าไหร่ ต้องสั่งเพิ่มไหมเลยมีการต้องยกของเคลื่อนย้ายของเกิดขึ้น เอาเข้าจริงก็เริ่มแอบไม่ไหวเหมือนกันเพราะว่าเริ่มรู้สึกปวดตามข้อแขนบ้างแล้วแต่ถ้าจะให้วิทยกของอยู่คนเดียวมันก็ดูจะไม่แฟร์

“แน่ใจนะ? เห็นว่าแขนพันผ้าอยู่ถ้าไม่ไหวบอกเลยนะ”

“อื้ม ไม่ไหวจะรีบอู้ไปนั่งเลย” งานวันแรกแม้จะเหนื่อยหน่อยแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ลูกค้าที่นี้โดยมากก็จะมานั่งชิวๆ งานเลยไม่ยุ่งเท่าไหร่ กลับบ้านมาอยากรีบเล่าประสบการ์ณให้ฟังได้ฟังบ้างเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เริ่มทำงาน

ตริ้ง
แป้ง “วันนี้ได้เริ่มงานแล้วนะ สนุกมากเลยได้กินข้าวฟรีด้วยนะ”
ฟัง “อื้มก็ดีแล้วที่สนุก แขนเป็นยังไงบ้าง?”
แป้ง “ก็ยังปวดนิดหน่อยแต่ไม่มากเดี๋ยวก็หายไม่ได้เขียวน่ากลัวแบบวันอาทิตย์แล้ว”
ฟัง “อื้ม อย่าลืมกินยาละ”
แป้ง “ไม่ลืมๆ”
แป้ง “อยากเล่าให้ฟังอีกจังอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆจะได้เจอกัน”
ฟัง “อื้ม อยากเจอเหมือนกัน”

   หลายเดือนที่เข้ามาทำงานแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าชอบรึเปล่าแต่พอผ่านไปสัก 3 เดือนก็เริ่มรู้สึกสนุกกับงานที่ทำอยู่ พี่หว่าเริ่มปล่อยให้เรากับวิทดูร้านมากขึ้น วิทก็พยายามเริ่มคิดสูตรไอติมมาบ้างแม้พี่หว่าจะรู้สึกว่ารสชาติที่วิทคิดมาจะไม่เข้าท่าแต่วิทก็ไม่ย่อท้อที่จะนำเสนอสูตรใหม่ๆ ต่อไป ชีวิตการทำงานก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วก็สนุกดี อาจจะเพราะมีเพื่อนร่วมงานน่ารัก ส่วนเรื่องของเรากับฟังก็เรื่อยๆ ฟังก็เหมือนเดิมอาจจะมีพูดอะไรกับเราน้อยลงเพราะสายงานที่ทำไม่เหมือนกันเลยฟังเลยเลือกที่จะพูดคุยเรื่องงานกับลูกตาลมากกว่า เพราะถึงพูดปรึกษาเรามาเราก็แก้ไขให้ฟังไม่ได้ แต่ก็ทุกอาทิตย์ยังคงเจอกันยังคงไปเที่ยวอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

ฟังเคยเกริ่นไว้ว่าอีกประมาณ 2 อาทิตย์ข้างหน้าที่บริษัทจะมีงานเลี้ยงเพราะว่าฟังเองก็ได้เลื่อนขั้นแล้ว พี่ๆที่แผนกก็เลยจะเลี้ยงฉลองแล้วก็เลี้ยงต้อนรับพนักงานคนใหม่ในทีมไปด้วยในตัว พอใกล้วันงานอยู่ๆ ฟังก็ชวนเราไปซื้อเสื้อผ้า เราก็ไปเลือกด้วยกับฟัง แต่สิ่งที่ฟังเลือกกลับเป็นเสื้อผ้าของเราเสียเอง

“ให้เราทำไม ฟังไม่ดูของฟังละ? จะไปงานไม่ใช่เหรอ?”

“((ก็งานนี้เราอยากให้แป้งไปด้วย))”

“หื้ม? มะ ไม่เอาอะ เราไม่รู้จักใครเลย”

“((ไปเถอะนะครับ จะได้รู้จักไงนี่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการในแผนกเลยนะ จะไม่ไปรู้จักลูกน้องของคนรักหน่อยเหรอ?))”

“บ้าอะไร ไม่เอา ไม่อายเขารึไง?”

“((ไม่อาย อายอะไร ไม่ได้ไปเดินป่าวประกาศสักหน่อยถ้าใครไม่ได้เดินมาถามอะนะ))”

“แต่ว่า”

“((อย่าแต่เลยนะครับไปเถอะนะ แป้งไม่เคยไปเปิดตัวที่ทำงานเลย ฟังอยากให้แป้งไป นะครับนะ))”

“ถ้าฟังยืนยันอย่างนั้น แล้วก็จะไม่อาย เราก็โอเค”

“((ขอบคุณครับ ไม่อายครับ อะลองเสื้อๆ))” รู้สึกตื่นเต้นมากไม่เคยคิดว่าฟังจะอยากเอาเราไปเปิดตัวกับที่ทำงานไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน

“งั้นหลังจากกลับมาจากงานเลี้ยงของฟัง ฟังก็ไปที่ร้านเราบ้างสิ อยากให้คนอื่นๆ เห็นฟังบ้างเหมือนกัน”

“((ได้สิครับ อย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม?))”

“ทำไมอะ?”

“((พูดแล้วอยากกอดแป้งเลย))”

“บ้า”

   วันนี้วันงานวันเลี้ยง เราขอพี่หว่าขอเลิกงานก่อนเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพราะอยากไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีให้พร้อมสำหรับงานคืนนี้ ไม่อยากให้ฟังเสียหน้า เตรียมตัวจนพร้อมฟังก็มารับที่บ้านไปที่งานพร้อมกัน เพื่อนๆร่วมงานของฟังมีไม่กี่คนที่อายุจะมากกว่าฟังเท่าที่เห็นจะเป็นคนที่อายุไล่เลี่ยกันเสียมากกว่า ฟังไม่ได้ป่าวประกาศกับทุกคนว่าเราเป็นใครแต่ถ้าใครเดินเข้ามาถามฟังก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่าเราคือแฟนของเขา บางคนก็ยิ้มให้บางคนก็ทำหน้างงๆ แล้วเดินจากไป

“ไม่ต้องบอกเขาแบบนั้นก็ได้บอกแค่ว่าเราเป็นเพื่อนก็ได้”

“((ทำไมอะ?))”

“เดี๋ยวมีปัญหากับเพื่อนที่ทำงานเปล่าๆ”

“((ไม่มีหรอกนะไว้ใจได้))” แค่คำตอบของฟังบวกด้วยกับรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เรามั่นใจได้ขึ้นมาอีกเป็นกอง

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 18

   ยิ่งดึกคนยิ่งมาเพิ่มเยอะขึ้น ฟังก็ดูไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานอย่างที่เคยบ่นๆให้เรารู้ แต่ก็น่าจะเป็นอย่างที่ฟังเคยบอกเราเพราะว่าฟังทำเต็มที่เรื่องเด็กเส้นก็เลยตกประเด็นไป แต่ที่ทำให้เราตกใจได้ที่สุดในงานนี้คือ ลูกตาล อยู่ๆ ลูกตาลก็เดินเข้ามาปรากฏตัวในงานพร้อมกับน้าหน่อยแม่ของฟัง

“อะไรอะฟัง?” ฟังไม่ได้ตอบอะไรแค่เอื้อมมือมาบีบมือเราเอาไว้เฉยๆ

“แป้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยลูก เป็นยังไงบ้าง?”

“สวัสดีครับน้าหน่อยสบายดีครับ นี่น้าหน่อยเพิ่งบินกลับมารึครับ?”

“จ๊ะ น้าเพิ่งมาถึงเอง อ่อ นี้ทั้งสามคนรู้จักกันไหม? เพราะทั้งสองคนก็ต่างเป็นเพื่อนสนิทของฟัง”

“อ่อ รู้จักค่ะแม่ ลูกตาลเคยเห็นหน้าของแป้งเขาบ่อยๆค่ะ ตอนเรียนม.ปลายแป้งเขาตัวติดกับฟังเลยค่ะ”

“ก็ดีแล้วจ๊ะ รู้จักกันไว้ ฟังมากับแม่หน่อยลูก แม่อยากพาไปรู้จักกับเจ้านายที่สาขาสิงคโปร์หน่อยจ๊ะ”

   ฟังพยักหน้ารับแล้วก็เดินตามแม่ไป บรรยากาศรอบๆตัวเรากับลูกตาลมันดูอึดอัดชอบกลทั้งๆ ที่สมัยก่อนก็ไม่เห็นจะเคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น

“มาทำไม?” 

“ฟังชวนมา”

“หึ ดีใจเลยละสิได้มาเลี้ยงฉลองงานของบริษัทแบบนี้”

“ก็  ดี ว่าแต่ลูกตาลมางานนี้ได้ไงเหรอ?”

“อ้าว เป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ? ฟังไม่ได้บอกรึไง ว่าฉันย้ายเข้ามาทำงานที่นี้ได้สักพักแล้ว อยู่ในแผนกเดียวกันนั้นแหละ” ไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลยฟังไม่เห็นเคยเล่าเรื่องนี้ให้เรารู้เลย บอกแค่เรื่องได้เลื่อนตำแหน่งแล้วก็งานเบาขึ้นเพราะว่าที่ทำงานมีรับคนเข้ามาใหม่แล้วก็เข้ามาช่วยงานของฟังโดยตรงแต่ไม่ได้บอกว่าคนๆนั้นคือลูกตาล

“เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ จะไม่ได้รักกันอย่างที่เปิดตัวไป?  ก็อย่างว่าละนะ การเวลาเปลี่ยนคนก็ต้องมีเปลี่ยนกันบ้าง แป้งว่าไหม? จะให้มาเหมือนเดิมตลอดเวลาเหมือนตอนเรียนมันก็คงยาก โตๆกันแล้ว โลกมันกว้างขึ้น”

“อื้ม”  ถึงเวลาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ตอนที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะแต่เหมือนเราเป็นส่วนเกิน อีกแล้วเหตุการ์ณส่วนเกินแบบนี้มักเกิดขึ้นทุกครั้งเลย สมัยเรียนก็ทีนึงแล้ว มาตอนทำงานก็ยังคุยกันในเรื่องที่เราไม่รู้เรื่องอีก

“ว่าแต่แป้ง คิดยังไงไปทำงานเป็นพนักงานเสริ์ฟร้านไอติมละลูก? ลองเข้ามาทำงานที่บริษัทดูไหม? ตำแหน่งเกี่ยวกับคนเรียนจบมาทางบริหารมายังพอมีอยู่นะ ยื่น CV มาสิ เดี๋ยวน้าดูให้ เห็นแม่เราก็มาบ่นกับน้าอยู่บ้างว่าเป็นห่วง”

“เอ่อ พอดีแป้งอยากลองหางานอะไรทำดูอะครับ อยากลองหาความชอบของตัวเองดูครับ”

“โอเค ไว้ถ้างานตรงนั้นมันไม่ใช่ทางของแป้ง แป้งก็มาสมัครดูนะจ๊ะ”

“ครับน้าหน่อย”

   ช่างเป็นงานเลี้ยงที่น่าอึดอัดมากสำหรับเรา อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนแปลกหน้าที่เผอิญไปหลงอยู่ในงานนั้น  ไม่น่าไปเลยน่าจะรู้ตัวแต่แรก ว่าที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ของเรา ตอนแรกอยากจะกลับบ้านตัวเองเพราะว่าน้าหน่อยกลับมาจากต่างประเทศแล้ว น้าหน่อยคงพักที่บ้าน แต่ฟังก็ไม่ยอมฟังบอกว่าขี้เกียจขับรถย้อนไปมา พอเราบอกว่าเดี๋ยวเราจะกลับบ้านด้วยตัวเองเจ้าตัวก็ไม่ยอมอีก ก็เลยต้องเลยตามเลยตกลงนอนที่บ้านของฟัง

“((วันนี้งานเป็นไงบ้าง?))”

“ก็ดี อาหารอร่อยดี”

“((เปลี่ยนใจมาทำงานกับที่ทำงานเดียวกันกับเราไหม?))”

“ยังดีกว่า”

“((ทำไมละแป้ง?))”

“เรายังรู้สึกสนุกกับงานที่เราทำอยู่เลย”

“((ตามใจ))”

“เออ ฟัง ทำไมฟังไม่เห็นบอกเลยว่าลูกตาลมาทำงานที่เดียวกับฟัง”

“((ไม่อยากให้แป้งรู้สึกไม่สบายใจนะ เพราะตอนนั้นลูกตาลเคยแสดงว่าเหมือนชอบเรา แต่ตอนที่เข้ามาทำงานลูกตาลบอกว่า ลูกตาลไมได้คิดอะไรกับเราแล้วนะ เราไม่รู้จะพูดกับแป้งยังไงดี วันนี้เลยเอาไปงานด้วยจะได้เป็นทั้งการเปิดตัวของแป้งที่เป็นแฟนเรากับเรื่องที่ลูกตาลมาทำงานที่นี้ไปพร้อมกัน))”

“อ่อ อื้ม”  จริงๆ เราควรจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้เพราะว่าเราเองก็ได้เปิดตัวกับเพื่อนที่ทำงานบางกลุ่มของแป้งไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมใจของเราถึงไม่รู้สึกถึงความดีใจนั้นเลย

   ผ่านไปสักพักแล้วกับงานเลี้ยงเปิดตัวกับฉลองตำแหน่งของฟังก็ได้เวลาที่เราจะทำตามสัญญาโดยการเอาฟังมาแนะนำตัวกับที่ร้านบ้าง จริงๆ ในร้านก็มีเพื่อนร่วมงานอยู่ไม่กี่คนก็เป็นร้านไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่าเราให้เกียรติ์ฟังเหมือนที่ฟังให้เกียรติ์เรา ฟังดูพอใจมากกับการมาที่ร้านของเราแล้วได้บอกกับทุกคนว่าตัวเองเป็นแฟนของเรา วิทมีแอบทำหน้าเบื่อหน่ายใส่นิดหน่อย บอกว่าเราทำตัวเหมือนพวกเห่อแฟนไปได้ทั้งๆ ที่ก็คบกันมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เพิ่งคบกันสักหน่อย

   วันนี้เป็นวันเลี้ยงงานแต่งของเพื่อนวิทในกลุ่มคนนึง กลุ่มเก่าที่โรงเรียนของวิท วิทอยากให้เราไปด้วยเพราะว่าเวลาขากลับเราจะได้กลับพร้อมกัน วิทยืมรถของแม่วิทมาเพราะไม่อยากนอนค้างเพราะสถานที่จัดงานไม่ได้อยุ่ใน กรุงเทพ เข้าไปขอแม่ว่าจะขอไปงานกับวิทอาจจะต้องกลับบ้านดึก แม่แอบไม่เห็นด้วยและไม่อยากให้เราไป นอกจากจะไม่สนับสนุนให้ไปแม่ก็ร่ำๆ ว่าอยากให้ออกจากงานที่ทำอยู่แล้วไปทำงานที่เดียวกันกับฟังจะได้ไม่ต้องทำงานที่ต้องยกของหนักแบบนี้ ฟังเองก็กรอกหูเช้าเย็นขอให้เราไปทำงานที่เดียวกันกับเขา แต่เรารู้สึกว่าเรายังไหว เราเลยยังไม่ยอมลาออกจากที่ร้าน

ตริ้ง

แป้ง “ออกมาจากกรุงเทพแล้วนะ จะถึงที่จัดงานแล้ว”

ฟัง “อย่าดื่มเยอะนะ ดูแลตัวเองด้วย”

แป้ง “รู้แล้วน่า ฟังเองก็อย่าเคลียดกับงานเยอะนะ นอนเร็วๆด้วย”

ฟัง “ไม่เอาอะจะรอ ถึงบ้านแล้วส่งเมสเสจมานะ”

แป้ง “เดี๋ยวมันดึก”

ฟัง “ดึกก็จะรอ”

แป้ง “โอเคครับ เดี๋ยวจะคอยรายงานแล้วกันนะครับ”

ฟัง “รักนะครับ”

แป้ง “อื้ม รักเช่นกัน”

   เราไม่ได้ดื่มมากเพราะฟังก็คอยชวนคุยให้ถ่ายรูปส่งไปให้ดูตลอด จนเพื่อนๆของวิทยังบอกให้เราวางมือถือลงบ้างเลย ดึกแล้วคนอื่นๆก็บอกให้วิทค้างแต่วิทบอกว่าวิทไหว ก็เลยตัดสินใจขับรถกลับกรุงเทพกันคืนนั้นเลย

ติ้ง

แป้ง “กำลังจะกลับบ้านแล้วนะ”

ฟัง “ดีมาก ง่วงแล้วรีบกลับครับ”

แป้ง “นอนเลยก็ได้เดี๋ยวถึงบ้านกี่โมงจะเมสเสจไปบอกไม่ต้องรอหรอก”

ฟัง “ไม่เอาอะ รอดีกว่า”

แป้ง “โอเคตามใจ”

   แต่แล้วเหตุการ์ณไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อขับมาได้ครึ่งทางวิทเหมือนหักหลบอะไรกระทันหันทำให้รถเสียหลักตกลงไปที่ข้างทางดีที่ไม่ได้ถึงกับพลิกคว่ำแต่ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว ต้องรอให้คนมาช่วย ตอนที่รอเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลเราไม่สามารถขยับตัวได้เลยกระดูกทางด้านหลังเจ็บมาก ขาแขน ปวดจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายตัวได้เลยแต่ก็ไม่ได้บอกอะไรวิท เพราะแค่ที่วิทเสียรถไป 1 คันเราว่าวิทเองก็ตกใจจะแย่อยู่แล้ว ตอนที่ต้องอิดมิทที่โรงพยาบาลคุณหมอสอบถามนิดหน่อยว่าเราเป็นอะไร เพราะว่าไม่มีเลือดออกที่ไหนหนักๆ มีบ้างที่มีรอยถลอกแล้วก็มีข้อมือที่ซ้น เราบอกไปแค่ว่าเราเจ็บตามข้อต่อมากบอกโรคประจำตัวให้คุณหมอไป แต่คุณหมอก็ทำอะไรมากไม่ได้ได้แต่ฉีดยาแก้ปวดให้ เพราะต้องรอสอบถามประวัติการรักษาของเราจากที่เดิมมาก่อน ก็เลยได้แต่นอนบิดตัวอยู่ตรงที่นอนพักด้านในห้องฉุกเฉิน

   โชคเข้าข้างที่คุณหมอท่านนึงน่าจะเข้าใจเลยเข้ามาดูแลแทนไว้ก่อนเราก็เลยค่อยยังชั่วขึ้น หยิบมือถือโทรหาแม่ เห็นแล้วว่าที่หน้าจอมีข้อความของฟังเด้งเข้ามาเยอะมากแต่ถ้าจะให้เราเอื้อมมือขึ้นมาพิมพ์ตอบตอนนี้เราก็คงทำไม่ได้เช่นกัน ก็เลยเลือกที่จะวางโทรศัพท์ลงแล้วก็นอนรอแม่มารับ

   ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เรากลับบ้านได้โดยให้ยาพื้นฐานมาให้เราไว้ก่อนเพราะแม่อยากให้เราไปหาคุณหมอที่ประจำตัวเราเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นมากกว่า กลับมาบ้านแม่เช็ดตัวทำความสะอาดให้ เห็นแม่ร้องไห้หนักมากก็คราวนี้เราว่าเราก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนะทำไมแม่ต้องร้องไห้ขนาดนี้ อยากปลอบแม่แต่ก็ไม่มีแรงมากพอ งั้นคืนนี้ขอนอนก่อนแล้วกันแล้วค่อยปลอบทีเดียว

   เช้าวันรุ่งขึ้นรู้สึกตัวเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมาเอื้อมมือกอดเราเอาไว้ เพราะว่ามันเจ็บที่กอดก็เลยต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นที่ลืมตาคือฟังกำลังนั่งอยู่ข้างกำลังพละตัวออกไปจากเรา

“ฟัง”

“((ตื่นแล้วเหรอ อยากเข้าห้องน้ำไหม?))”

“อยาก” พยายามจะลุกขึ้นมาเองแต่มันไม่ไหว ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวตามใจอยากไม่ได้ ฟังเหมือนจะรู้เพราะไม่ต้องรอให้เราพยายามไปมากกว่าการผงกหัวขึ้นมาฟังก็รีบลุกขึ้นมาอุ้มเราพาไปที่ห้องน้ำ จะเรียกว่าอุ้มได้ไหมนะ? เพราะออกเหมือนทุลักทุเลพาลากบวกอุ้มเราไปที่ห้องน้ำมากกว่า

“อยากอาบน้ำ” เงยหน้าขึ้นไปบอกฟัง เพราะตอนนี้ฟังกำลังพยุงเราเอาไว้อยู่ เมื่อคืนก็ไม่ได้อาบได้แต่เช็ดตัว ฟังจับเรายืนพิงกับกำแพงแต่ด้วยความที่ปวดหลังมากก็เลยทำให้รู้ตัวว่าต้องยืนอยู่ได้อีกไม่นานแน่ๆ

“เปลี่ยนใจแล้วไม่อาบแล้วดีกว่า กลับไปที่เตียงเถอะ”

“((ปวดหลังมากใช่ไหม?))”

“อื้ม”

“((อาบแหละเดี๋ยวอาบไปด้วยกัน))” แล้วฟังก็ยอมเปียกไปกับเรา ฟังเอาเรานั่งกับพื้นห้องน้ำก่อนแล้วค่อยย่อมาอาบน้ำให้แต่เพราะเรานั่งทำให้ฟังถนัดมาก ฟังก็เลยต้องเปียกไปกับเราด้วย

   ออกมาจากห้องน้ำฟังลงไปเอาข้าวมาให้เรากินพร้อมบอกว่าแม่นัดคุณหมอประจำให้เราเอาไว้แล้วเป็นช่วงบ่ายเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวไปหาคุณหมอกัน แม่จะไปเจอที่โรงพยาบาลเลย ไม่ได้ย้อนกลับเข้าบ้านมา มาถึงที่โรงพยาบาลคุณหมอก็ตรวจตามปกติมีการเอ๊กซเรย์ดูข้อกระดูกต่างๆ

“ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้ ยังไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวตัวมากเท่าไหร่นัก เพราะว่าช่วงข้อต่อกระดูกได้รับความกระทบกระเทือน ถ้าขยับมากแล้วไม่ระวังกระดูกอาจจะเคลื่อนได้” อันนี้คือคำแนะนำก่อนออกมาจากห้องของคุณหมอแล้วมารับยา

“ไปลาออกซะ” ท่ามกลางความเงียบในรถของฟังแม่ก็เป็นคนทำลายความเงียบนี้ออกมา

“แต่ หมอแค่ให้พัก รอให้หายแล้วค่อยกลับไปทำไม่ได้เหรอแม่?”

“ไม่ได้ ไปลาออก”

“แต่”

“อย่ามาดื้อตอนนี้นะแป้ง ดูสภาพตัวเองซะก่อน วิทเกือบเอาลูกไปตายนะ”

“แต่วิทไม่ผิด วิทไม่ได้ตั้งใจนะแม่”

“ติดใจอะไรเพื่อนคนนี้หนักหนา คบเพื่อนคนนี้ทีไรมีแต่เจ็บตัว ตอนเด็กก็เล่นกันแรกๆ โตมาก็ชวนกันไปทำงานอะไรที่ไม่เหมาะกับเราเลย แล้วมาตอนนี้ยังจะเอารถไปชน พอสักทีแป้ง”

“แม่”

“เอาสิ ถ้าแป้งยังยืนยันที่จะไปทำงานที่นั้นเราก็ขาดกัน”

“แม่” ฟังได้แต่สบตามามองผ่านทางกระจกหลังเราก็เลยไม่ได้เถียงอะไรต่อตัดสินใจหลับตาลง

   กลับมาที่บ้านแม่ยังคงบึงตึ้งไม่พูดไม่จากับเราเหมือนเคยไม่เป็นคนเอาข้าวเย็นมาให้เรา แต่เป็นฟังที่คอยอยู่กับเราตลอดเวลา หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จฟังก็มาเช็ดตัวให้เอายาให้กิน จนพอถึงเวลาเข้านอนฟังก็เริ่มพูดหลังจากเงียบไปนานเหมือนที่แม่เงียบไป

“((แป้ง ออกจากงานได้ไหม? ถือว่าเราขอ?))”

“ถามจริงๆนะฟัง งานเราไม่มีดีขนาดที่ทุกคนต้องการให้เราออกเลยเหรอ? เราก็มีเงินเดือนนะ ตั้งแต่เริ่มทำงานเราก็ไม่เคยขอเงินแม่เลยนะ”

“((เรื่องเงินมันไม่ใช่ประเด็นนะแป้ง แป้งก็รู้ว่าสิ่งที่คนอื่นเขาห่วงแป้งเขาห่วงเรื่องอะไร))”

“แต่เราไม่ใช่คนพิการ”

“((ใช่ตอนนี้นี้ไม่ใช่คนพิการแต่ถ้าหลังจากนี้แป้งยังดื้ออีก มันจะแย่กว่านี้ไหมใครจะรู้?))”

“แต่เรา”

“((ถามจริง แป้งอยากอยู่กับวิท อยากทำงานกับวิทมากขนาดนั้นเลยเหรอ?))”

“เปล่า”

“((งั้นเปลี่ยนจากทำงานกับวิท มาทำกับเราแทนไม่ได้เหรอ? แม่เราก็บอกแล้วนิว่าจะเป็นคนช่วยเรื่องสมัครงานเอง))”

“แต่ “ เราไม่อยากเป็นตัวถ่วงของฟังแล้ว แล้วตอนฟังเล่าบรรยากาศในที่ทำงานของฟังให้เราฟังมนก็ดูไม่ดีที่จะเป็นเด็กเส้นไม่ใช่เหรอ ทำไมแค่นี้ไม่มีใครเข้าใจเรา

“((ลองดูนะ ถือว่าเราขอ หรือไม่ก็ แป้งอยากทะเลาะกับน้าปิ่นเหรอไง?))”

“ไม่อยาก”

“((งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้โทรศัพท์ไปขอลาออกนะ))”

“เราอยากไปด้วยตัวเอง”

“((จะไปไหวได้ไง? เราลางานเยอะมากไม่ได้โทรไปนะครับ)”

“อื้ม”

“((โอเค งั้นนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้หลังโทรไปลาออกอย่าลืมบอกน้าปิ่นนะ น้าเขาจะได้ดีใจ))”

“อื้ม” 

   วันรุ่งขึ้นพอตื่นมาก็เห็นว่ามีข้าววางไว้ที่หัวเตียง แล้วคุณหมอให้ที่จับที่มีล้อลากมาเราเลยสามารถเดินได้รอบๆห้อง ไปเข้าห้องน้ำทำอะไรเองได้แล้วแค่เพียงยังไม่สามารถลงไปชั้นล่างของบ้านได้เพียงเท่านั้นอีกอย่างคุณหมอเองก็อยากให้เราพักให้ดีขึ้นก่อน ให้ช่วงข้อต่อกระดูกหายอักเสบก่อนก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวมากๆ หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จก็ตัดสินใจโทรหาพี่หว่าเพื่อขอลาออก แอบกระอักกระอ่วนนิดหน่อยเพราะเป็นการลาออกแบบกระทันหันแล้วพี่หว่าจะหาคนทำทันได้ยังไง แต่โชคดีที่พี่หว่าเข้าใจ เพราะพี่หว่าก็เพิ่งรู้เรื่องอุบัติเหตุจากวิทเช่นกัน บอกแค่ว่าให้รักษาตัวให้ดีแล้วกลับมาเยี่ยมกันบ้าง สบายใจไปหนึ่งเปาะ

   ชีวิตช่วงนี้ก็วนอยู่แค่นี้ตื่นเช้ามากินข้าวกินยา นอน อ่านหนังสือทั่วไป ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้เลย ตอนเย็นฟังจะแวะมาหาทุกเย็นมานอนค้างด้วยแล้วตอนเช้าก็ตื่นไปทำงาน แต่ตอนนี้เราดีขึ้นมากแล้วผ่านมาสองอาทิตย์แล้วคุณหมอก็บอกว่าสามารถเดินเหินได้ปกติแล้ว ข้อกระดูกก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วดูท่าทางจะไม่แตกแล้ว แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือตอนนี้เราถูกสั่งห้ามคบกับวิทอย่างเด็ดขาด แม่ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับวิทอีกเลย ไม่อยากขัดใจตอนแม่กำลังใจร้อน รอแม่เย็นๆ เชื่อว่าเดี๋ยวอีกสักพักพอเราเดินได้ปกติไปไหนมาไหนได้มีงานทำแล้ว แม่คงลืมเรื่องให้เลิกคบอะไรนี้ไปเอง

   พอเราเริ่มหายดีฟังก็เริ่มไม่ค่อยได้มาหาแล้วบอกว่างานยุ่ง จริงๆ ก็เข้าใจเพราะบ้านเรากับที่ทำงานของฟังก็ไม่ได้ใกล้ๆ กันต้องเทียวไปเทียวมาก็แอบเห็นใจตอนนี้ก็เตรียมทุกอย่างเตรียมพร้อมที่เข้าไปสมัครงานที่บริษัทของฟัง น้าหน่อยบอกกับทางทีมฝ่ายบุคคลไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายบุคคลเลยขอสัมภาษณ์นิดหน่อย แม่เราค่อนข้างกังวลกลัวเราจะไม่ได้งานแต่ว่าน้าหน่อยบอกว่าให้เชื่อใจยังไงเราก็ได้งานทำแน่นอน แล้วก็จริงอย่างที่น้าหน่อยหลังวันสัมพาษณ์ทางทีมฝ่ายบุคคลก็ติดต่อมาบอกให้เข้าเริ่มงานเดือนหน้าได้เลย

   เนื่องจากบ้านของฟังใกล้กับที่ทำงานกว่าบ้านของเราทุกคนก็มีความเห็นตรงกันว่าให้เราไปอยู่ที่บ้านฟัง แต่แม่ก็อยากให้เป็นลักษณะเช่าอยู่เพราะไม่อยากรบกวนเพื่อนของตัวเองมากเกินไปแต่น้าหน่อยก็บอกว่าไม่งั้นฟังก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวเราไปอยู่จะได้ช่วยกันดูแลบ้าน เพราะฉะนั้นคำตกลงที่ออกมาคือเราไปอยู่ที่นั้นแต่พวกค่าน้ำค่าไฟกับของใช้ในบ้านทุกอย่างต้องหารสองเราต้องช่วยฟังออกด้วย ซึ่งเราก็ว่ามันยุติธรรมดี แม้ฟังจะแอบบ่นตอนที่ต้องรับเงินค่าใช้จ่ายจากเราบอกว่าแค่นี้ออกให้ก็ได้แต่เราก็รู้สึกว่าเราไม่อยากเอาเปรียบฟังมากจนเกินไปแค่นี้ก็รู้สึกว่าฟังช่วยอะไรเราไว้มากแล้ว

   วันนี้ทำงานวันแรกแม้จะไม่ได้ทำงานแผนกเดียวกันแต่ก็มาด้วยกันตอนเช้า ฟังก็บอกอะไรเยอะการวางตัวอะไรแบบนี้เลยทำให้ไม่ค่อยกังวลที่ต้องมาเริ่มงานกับที่นี้ ช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ตอนพักเที่ยงฟังก็มารอที่แผนกไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อนๆที่แผนกของฟังที่รู้ว่าเรากับฟังคบกันก็มีบางคนที่มองด้วยสายตาแปลกๆ แต่บางคนก็ไม่ได้สนใจแค่มารวมกลุ่มกินข้าวด้วยกัน ก็ถือว่าได้เริ่มมีคนรู้จักในที่ทำงานตั้งแต่วันแรก

   ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่เราต้องสรุปเอกสารที่ต้องเอาเข้าไปเสนอหัวหน้าพี่ที่ทำงานมาก่อนลองให้เราลองสรุปดูแล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะเขาเพราะเขาจะตรวจให้อีกรอบ อาจจะเพราะตำแหน่งที่เราเข้ามาเป็นตำแหน่งที่เปิดหาอยู่นานแล้วที่แผนกก็ยุ่งเอาการเพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเข้าด้วยเส้นสายหรือเข้ามาเองดูเหมือนพวกคนอื่นๆ ในแผนกจะไม่สนใจ ขอแค่มีคนเข้ามาช่วยงานก็พอ เพราะยังไม่เจอใครคอยมองเราด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างที่ฟังเจอตอนแรก  กำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกได้ถึงเงาของคนที่มายืนอยู่ตรงที่โต๊ะทำงาน

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สนุกมากเลยค่ะ ชอบการเล่าเรื่องแบบนี้ ดูหน่วงๆดี ติดตามค่ะ  :กอด1:

ฝากเรื่องคำผิดหน่อยนะคะ  เขิล = เขิน  งอล = งอน เคลียด = เครียด  นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 18 วันที่ 18/07/2016
« ตอบ #39 เมื่อ: 19-07-2016 02:26:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
เพิ่งเข้ามาอ่าน รวดเดียวเลย
สนุกดีนะ ชอบมากค่ะ จะรอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 19

“แป้งจริงๆด้วย ว้าว ได้ยินมาเหมือนกันว่าแป้งจะเข้ามาทำงานที่นี้ แบบนี้ก็ต้องฉลอง” หื้มฉลอง ฉลองอะไรทำไมลูกตาลต้องทำตัวดูน่ายินดีขนาดนั้นแค่เราได้เข้ามาทำงานที่นี้ แล้วอย่างลูกตาลอะนะจะดีใจที่เราเข้ามาทำงาน งานเลี้ยงคราวที่แล้วยังดูเหมือนไม่ชอบเราอยู่เลย

“เอ้า งงๆ ปะๆ ไปซื้อกาแฟกันเถอะ เราขอเลี้ยงกาแฟต้อนรับแล้วกันนะ” ยังไม่ทันจะปฏิเสธลูกตาลก็ตรงมาคว้าแขนเราเอาไว้ หรือเราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ลูกตาลอาจจะอยากกลับมาเป็นเพื่อนเราอีกครั้ง

“หน้าด้าน” พ้นจากตัวตึกของสำนักงาน ลูกตาลก็เปิดฉากใส่เราก่อนเลย

“นี่ถึงขนาดต้องมาของานเขาทำที่นี้เลยเหรอ ในชีวิตนี้แป้งคิดว่าจะแป้งจะสามารถยืนขึ้นได้ด้วยตัวเองบ้างไหม? หรือต้องคอยเอาตัวมาเกาะฟังอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ”

“ช่างเถอะ พูดไปก็เท่านั้น คนอย่างแป้งคงไม่รู้สึกอะไร ถ้ารู้สึกก็คงไม่ต้องมาตามให้ฟังเขาวางตัวไม่ค่อยจะถูกแบบนี้”

“ลูกตาลพูดอะไร?”

“อ้าว นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าหลังจากที่เธอขอไปงานเลี้ยงวันนั้นที่ฟังเขาเอานายไปเปิดตัวนะ ฟังเขามีปัญหากับที่ทำงานนะ อย่าลืมเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่ทุกคนจะรับได้ แถมผู้ใหญ่บางคนเขาก็วางตัวกับฟังไม่ค่อยจะถูก แล้วนี่ยังจะตามมาอีก ไม่เรียกว่าสร้างปัญหาแล้วจะเรียกว่าอะไร?”

“ฟังไม่เคยพูด ลูกตาลคิดไปเองรึเปล่า?”

“ฟังเขาก็แค่ไม่อยากให้เธอไม่สบายใจนะสิ คิดเองก็น่าจะได้  ว่ามีใครสักกี่คนที่มองเรื่องความรักระหว่างนายกับฟังเป็นเรื่องปกติ มันไม่ต้องใช้สัมการอะไรเลยก็น่าจะมองออกนะ”

“เอาละเรื่องที่จะพูดก็มีเพียงเท่านี้ อย่าลืมเดินไปซื้อกาแฟถือขึ้นไปด้วยละ”

   ไม่เชื่อไม่เชื่อ เด็ดขาดว่าสิ่งที่ลูกตาลพูดอยู่จะเป็นเรื่องจริงเพราะถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจริงทำไมน้าหน่อยยังคงเป็นคนฝากงานให้เรา แล้ววันนี้ที่ไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนๆ ของฟังในแผนกในกลุ่มก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรยังคงมานั่งกินด้วยตามปกติ ลูกตาลต้องพยายามพูดให้เรารู้สึกไม่ดีแน่ๆ เราไม่เชื่อหรอก เราต้องมั่นคงสิ เราต้องเชื่อใจฟัง พยายามสงบจิตใจตัวเองโดยการไปซื้อกาแฟมาจริงๆ ไหนๆมาแล้วก็เลยตัดสินใจซื้ออีกแก้วว่าจะเอาขึ้นไปฝากฟังด้วย เดินกลับขึ้นมาบนชั้นแผนกของฟังก็ได้ยินคนกลุ่มนึงยืนคุยกันอยู่กำลังจะเดินเข้าไปถามว่าฟังอยู่ที่ห้องรึเปล่า หรืออยู่ที่ประชุมแต่หูไม่รักดีก็ดันได้ยินเรื่องที่เขาคุยกัน

“แกๆ สงสารน้องลูกตาลเนอะ ดูแลคุณฟังมาตลอด อยู่ๆคุณฟังมาเปิดตัวแฟนซะแบบนั้น”

“ใช่ๆ ถ้าฉันเป็นน้องลูกตาลนะ ฉันตายยังจะดีเสียกว่า แฟนที่คุณฟังเอามาเปิดตัวดันเป็นผู้ชายซะอย่างนั้น”

“เออ หรือตอนแรกที่คุณฟังสนิทกับน้องลูกตาลเพราะเขาต้องการเอาน้องลูกตาลบังหน้านะ?”

“อย่าพูดไปแกสงสาร”

“เออ น้องลูกตาลก็ดี้ดี ประกี้เห็นว่าไปชวนแฟนคุณฟังกินกาแฟด้วยนะ”

   ดูท่าเรื่องนี้ไม่น่าจบลงง่ายๆ แต่ไม่อยากอยู่ตรงนี้ให้ได้ยินไปอะไรไม่ดีมากกว่านี้เลยตัดสินใจเดินออกมาจากตรงนั้นเดินไปหาฟังเอง ตลอดทางการเดินจากจุดนั้นเพื่อไปที่ห้องของฟังความจริงมันก็ไม่ได้ไกลมากแต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าห้องนั้นมันไกลออกไปทุกที เปิดประตูเข้าไปฟังไม่ได้อยู่ในห้องสงสัยจะอยู่ที่ห้องประชุม ห้องประชุมให้เดินไปตอนนี้ฟังก็ต้องอยู่กับอีกหลายๆ คน ไม่เอาดีกว่า วางแก้วกาแฟไว้ที่โต๊ะตรงนั้นแล้วก็ตัดสินใจเดินลงมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

   ขากลับบ้านตอนเลิกงานเราไม่ได้คุยกับฟังเรื่องนี้ ซื้อของเข้าบ้านซื้อข้าวเข้ามากินเพราะฟังบอกว่าทั้งเหนื่อยทั้งหิว ถ้ากลับมาทำก็ต้องนั่งรออีก หลังจากกินข้าวเสร็จฟังขอนั่งเคลียร์งานอีกนิดหน่อย แต่เราเองยังมีเรื่องที่ค้างใจยังไงก็ต้องถามแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ได้แต่เดินวนไปมาที่หลังโต๊ะทำงานของฟัง

“((มีอะไรรึเปล่า?))” ฟังหันหน้ามาจับตัวเราเอาไว้ให้หยุดเดินสงสัยจะเดินวนจนฟังรู้สึกตัว

“เอ่อ คือ ฟัง เรื่องที่เราคบกันนะ ฟังแน่ใจนะว่าทุกคนโอเค”

“((แล้วถ้าทุกคนจะไม่โอเค หรือ ทุกคนจะโอเค มันจะต่างกันยังไงเหรอแป้ง?))”

“คือถ้าไม่โอเค เราก็ไม่อยากทำอะไรให้มันเด่นไปมากกว่านี้ ฟังไม่ต้องบอกคนอื่นได้ไหมว่าเราเป็นแฟนกัน?”

“((ทำไม?))”

“ก็เราไม่ชอบเวลามีใครมาพูดอะไรที่ไม่ดีที่เกี่ยวกับเราและฟัง”

“((แป้ง คนอื่นจะพูดอะไรก็ปล่อยเขาไปสิ))”

“เราแคร์ไง บางทีคนพูดก็คนใกล้ตัวด้วย”

“((แต่เราไม่เห็นจะแคร์เลยแป้ง))”

“อย่างน้อยก็ลูกตาลอะ เราไม่ชอบที่ลูกตาลคอยมาพูดกับเราเรื่องที่เราคบฟัง”

“((ลูกตาล? อย่างลูกตาลอะนะพูดอะไรไม่ดี))”

“ใช่ ลูกตาลคอยมาว่าเราเรื่องที่เราคบกับฟังตลอด เราไม่อยากได้ยิน เพราะฉะนั้นฟังจัดการเรื่องพวกนี้ให้เราได้ไหม?”

“((ลูกตาลพูดว่ายังไง?))” เพราะเราต้องการให้เรื่องที่ต้องคอยโดนกระแนะกระแหนนี้จบลงสักทีเลยไมได้คิดอะไรไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี วันนั้นก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างที่ลูกตาลทำแล้วที่พูดกับเรารวมทั้งที่ได้ยินคนที่แผนกของฟังพูดเล่าให้ฟังได้รู้

   หลังจากที่เราเรื่องทุกอย่างให้ฟังรู้ ความอึดอัดเกิดขึ้นในที่ทำงานเดินไปไหนเหมือนมีแต่คนมองไม่รู้ว่าฟังไปทำอะไรเข้า ทำไมจากที่ว่ามันจะดีขึ้นมันกลับเลวร้ายลง อึดอัดมากแต่ก้ไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้เพราะเวลาพูดเรื่องนี้กับฟังทีไรฟังก็เอาแต่บอกเดี๋ยวจัดการเองๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อนคนเดียวที่เราคิดถึงอยู่ตอนนี้ก็คือ วิท ตั้งแต่วันที่วิทมาหาที่หน้าบ้านแล้วโดนแม่เราไล่ไป เราก็ไม่ได้เจอวิทอีกเลย  เรารู้นะว่าวิทไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียเรารู้ว่าวิทกำลังมีความรักแต่เราอ่านอีเมลล์อยู่ตลอด อยากเขียนกลับไปหาวิทบ้างอยากแสดงความยินดี อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้วิทได้ฟังบ้าง แต่เราไม่อยากผิดสัญญากับแม่และฟังเราก็เลยทำได้แค่เขียนแล้วก็ดราฟเอาไว้ไม่ได้ส่งออกไป

   เคยได้ยินแต่สุภาษิตที่ว่าฟ้าหลังฝนไม่น่าเชื่อว่าเหตุการ์ณที่เราต้องเจอมันกลับเป็น ฝนหลังฟ้า ซะได้ เพราะหลังจากวันนั้นที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังได้รับรู้ก็ดูเหมือนว่าลูกตาลจะไม่ได้เข้ามายุ่งกับเราอีก พวกที่ไม่ชอบก็ไม่ใช่ว่าจะชอบเรามากขึ้นเพียงแต่ว่าก็ไม่ได้ต้องมานั่งนินทาให้ได้ยินกันอีก ชีวิตก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนเช้าไปทำงานพร้อมกับฟัง เพื่อนๆพี่ๆ ที่แผนกของเราก็โอเคสอนงานไม่ได้กดดันอะไร ตอนเย็นก็กลับบ้านมาพร้อมกับฟัง เสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดพิเศษก็กลับมานอนบ้านมีไปเที่ยวต่างจังหวัดกับฟังบ้างแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล เหมือนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะดีขึ้นแต่ความจริงแล้วไม่เลย

ตริ้ง ปกติเวลาที่เราได้ยินเสียงของเมสเสจเราจะดีใจมากเพราะมันคือเสียงสัญญาณว่าฟังกำลังจะเลิกงานแล้ว กำลังเตรียมตัวปิดคอมจะกลับบ้านแต่พอดูเมสเสจดีๆ มันไม่ได้มาจากฟัง พยายามโทรกลับไปหาเจ้าของข้อความแต่ก็ไม่มีคนรับสาย พยายามโทรอยู่หลายสายแต่ก็ไม่มีผล จนฟังเดินลงมาตามให้กลับบ้านเลยเลิกโทร

   เพราะว่าคืนนี้เราอยากขอร้องฟังให้ฟังตามใจเราก่อนเข้านอนเราเลยตามใจฟังทุกอย่างไม่ว่าฟังอยากจะกอดเรานานแค่ไหน กอดเรามากหรือรุนแรงแค่ไหนเราก็ไม่ปริปากขอให้ฟังหยุดกอดเรา เหมือนฟังจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ฟังดูเอาแต่ใจเต็มที่แม้จะเห็นแล้วว่าเริ่มเหนื่อยจากการที่โดนเขากอดแต่ฟังก็ไม่หยุด จนถึงจุดที่ฟังพอใจฟังถึงได้เลิกเอาแต่ใจแล้วมาใส่ใจเราโดยการทำความสะอาดร่างกายให้เราเพื่อให้เรานอนสบายๆ

“ฟัง”

“((ครับ))” อ่อนโยนมากทั้งน้ำเสียงทั้งการลูบหน้าทั้งการกอดเราเอาไว้หลอมๆบนที่นอน น่าจะเพราะฟังวันนี้ฟังได้ตามใจตัวเองเต็มที่ ซึ่งปกติเวลาฟังกอดเราฟังต้องคอยถนอมเรามากเป็นพิเศษเพราะเรามีปัญหาเรื่องข้อต่อ แต่วันนี้เราบอกฟังว่าเราขอให้เขาเต็มที่กับการกอด เราเต็มใจเราอยากโดนกอดในแบบที่ฟังอยากกอด ฟังเลยดูอารมณ์ดีและอ่อนโยนกับเรามากเป็นพิเศษ อยากให้ฟังอ่อนโยนกับเราแบบนี้ไปตลอดจัง

“ฟัง ฟังคบกับแป้งคนเดียวได้ไหม?”

“((ทุกวันนี้ฟังก็คบแต่กับแป้งคนเดียวนิครับ))”

“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงมีแค่แป้งเป็นทั้งเพื่อนและแฟน แค่คนเดียวก็พอ”

“((อย่าไม่มีเหตุผลนะแป้ง คนเราต้องมีสังคมบ้าง))”

“แต่เรามีเหตุผล”

“((ถ้าเรื่องที่ลูกตาลเขาเอาเรื่องเราสองคนไปพูดไม่ดี เราก็จัดการให้แล้วไง))”

“แต่”

“((นอนเถอะนะ))”

   ทำไม ทำไมฟังไม่สนใจที่จะฟังเราเลยสักนิดแล้วทำไมแค่ให้เลิกคบกับลูกตาลทำไมฟังต้องปฎิเสธ ฟังยังไม่รู้เหตุผลของเราเลยด้วยซ้ำว่าทำไมเราถึงขอแบบนั้นแต่ฟังถึงไม่คิดจะฟังกัน พยายามจะดิ้นเอาตัวออกจากอ้อมกอดของฟังน่าแปลกที่อ้อมกอดที่อ่อนโยนที่เราเจอในตอนแรกกลายเป็นว่าอ้อมกอดนี้มันไม่อ่อนโยนแล้ว เราอยากออกจากอ้อมกอดนี้แล้ว แต่ฟังก็ไม่ปล่อยสักที อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อนเลยทำให้เราหลับลงในอ้อมกอดที่เรารู้สึกไม่เต็มใจที่จะอยู่

 “ฮัลโหลแป้งเราว่าเราถึงเวลาที่ต้องคุยกัน” ในที่สุดเจ้าของเมสเสจนั้นก็ยอมคุยกับเราสักทีหลังจากที่เราพยายามติดต่อเขากลับไปหลายต่อหลายครั้ง นับจากวันที่เมสเสจ

“มีอะไรก็ว่ามาเลย”

“พร้อมที่จะพิสูจน์รึยัง?”

“เราจะบอกว่าเราไม่เห็นเหตุผลที่เราจะต้องมานั่งพิสูจน์ว่า ฟังจะเลือกใครมากกว่ากัน ระหว่างรับลูกตาลเพราะทุกวันนี้มันก็คือคำตอบอยู่แล้ว ลูกตาลเราขอละอย่าเป็นแบบนี้เลย”

“ถามจริงที่คบกับฟัง ทางผู้ใหญ่มีใครรับรู้บ้างไหม?”

“ลูกตาลต้องการสื่ออะไร?”

“นายมานั่งบอกว่า ฟังเลือกนาย ก็อาจจะใช่ นตอนนี้ละก็นะ ว่าแต่นายคิดว่าแม่ของนายและฟังจะรู้สึกยังไงถ้าพวกท่านสองคนรู้ว่านายคบกัน อยากรู้ไหม?”

“ลูกตาล อยากได้อะไร? ยังรักฟังอยู่เหรอ? ถ้าอยากได้ใจของฟังทำไมไม่ไปทำให้เขารักให้ได้ละมาทำแบบนี้ทำไม?”

“หึ ก็บอกแล้วไง ว่าแน่จริงทำให้ฟังเลิกคบกับฉันให้ได้สิ เอาสิ ถ้าทำได้ฉันก็จะเลิกตอแยกับพวกนาย กล้าไหม?”

“....”
“ก็แล้วแต่ ลองไปคิดดูให้เวลาคิดนะ สักอาทิตย์พอไหม? ลองไปคิดดู แต่ถ้านายไม่รับคำท้า เดี๋ยวฉันจะสงเคราะห์อาสาไปบอกแม่ๆ ของพวกนายให้เองถึงความสัมพันธ์ของพวกนาย”

   หนักอึ้งในใจหนักอึ้งไม่รู้จะแก้ไขสถานการ์ณตรงหน้ายังไง ไม่ใช่เราไม่ลองตามข้อเสนอในเมสเสจของลูกตาล เมสเสจที่บอกว่า “แน่จริงเรามาพนันกันไหมว่าฟังเลือกตัดใครออกไปจากชีวิต?” เราลองทำแล้ว เราขอให้ฟังเลิกคบกับลูกตาลแล้ว แต่ฟังไม่ยอม ถ้าจะให้เราลองอีกหนตามที่ลูกตาลบอกและรับคำท้าเราก็กลัวที่จะแพ้ เราไม่อยากแพ้ แต่ถ้าเราไม่รับคำท้า แม่เรากับน้าหน่อยจะรู้สึกผิดหวังมากไหม?

“ถึง วิท
   ขอโทษนะที่ไม่ได้ตอบอีเมลล์วิทเลย ดูท่าทางวิทน่าจะสบายดีนะ เราอาจจะดูหน้าไม่อายนะ แต่ตอนนี้เราทุกข์มากเลยวิท วิทมาเจอเราได้ไหม? กลับมาจากออสเตรเลียรึยัง? เราอยากเจอวิทมากเลย ถ้าวิทไม่รังเกียจหรือไม่ได้โกรธที่เราหายไปโทรกลับมาหาเรานะที่ 0842...
                           จาก แป้ง

   ตัดสินใจส่งอีเมลล์หาวิทน่าจะเป็นครั้งแรกในรอบปีกว่าได้มั้งหลังจากเหตุการ์ณรถชนในครั้งนั้นที่เราไม่ได้ติดต่อกับวิทอีกเลย ก่อนหน้านี้เราแคร์แม่แคร์ฟัง เราถึงตัดใจไม่ติดต่อกับวิทอีกเลย แต่ตอนนี้มันไม่ไหวแล้วในเมื่อฟังก็ยังไม่อยู่ข้างเราเลยเราก็คงต้องหาที่พึ่งแล้วละ ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงโทรศัพท์เราก็ดังขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่เคยมีการเม้มชื่อเอาไว้แต่เราก็รู้แหละว่าเป็นใครที่จะโทรมา

“ฮัลโหลวิท นานแล้วเนอะที่ไม่ได้คุยกัน” ใช่เบอร์นี้จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากวิท

   วิทเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมายเป็นเพราะเราอยากฟังเรื่องที่ผ่านมาเกี่ยวกับวิทก่อน ยังไม่พร้อมที่เอาปัญหาไปโยนให้วิทเลยอยากฟังเรื่องต่างให้สบายใจก่อน ชีวิตของวิทที่ผ่านมาจริงๆ ก็เหมือนกับเนื้อหาในอีเมลล์ที่วิทส่งมาเล่าให้เราฟังนั้นแหละแต่อาจจะมีเพิ่มเติมในรายละเอียดไปบ้าง

“อะ ตาแป้งแล้ว ที่บอกว่าทุกข์ตอนนี้ทุกข์เรื่องอะไร?”

“เรื่องฟัง”

“อะหะ ไหนเล่ามาสิ” เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่เริ่มจนจบให้กับวิทฟัง วิทขอโทษที่เป็นเหมือนส่วนนึงที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

“ไม่เกี่ยวกับวิทหรอก เรื่องรถชนมันเป็นอุบัติเหตุ”

“ขอโทษจริงๆ เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของแป้งเลย”

“อื้ม เราก็ไม่เคยเล่าให้วิทฟังเองแหละ”

“แล้วนี่จะเอายังไงต่อไป?”

“ไม่รู้อะ วิท เราไม่ต้องการรับคำท้าแต่เราก็ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปกว่านี้ เราไม่รู้สิ”

“ถ้าแพ้พนันจะเกิดอะไรขึ้น?”

“ลูกตาลบอกว่าใครแพ้ก็ต้องออกไปจากชีวิตของฟัง”

“แล้วถ้าไม่มีฟัง แป้งไหวไหม?”

“ไม่รู้สิวิท เราไม่เคยไม่มีเขา เราตอบไม่ได้หรอก”

“เราว่าแป้งน่าจะเล่าให้ฟังรู้”

“เคยพยายามเกริ่นแล้วแต่ฟังไม่ยอมฟังอะไรเลย”

“ลองใหม่สิ” ก็เข้าใจว่าวิทหวังดีอยากให้เปิดอกคุยกันแต่วิทคงไม่รู้ว่าเราเคยได้พยายามแล้วแต่ว่ามันไม่สำเร็จ แล้วเราก็ไม่อยากรู้สึกผิดหวังกับมันอีก

   ใกล้ถึงวันที่ต้องให้คำตอบกับลูกตาลแล้วว่าเราจะเอายังไง จะเลิกหรือไม่เลิก ความคิดวนเวียนยังหาคำตอบไม่ได้สักทีไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนทำไมเราถึงไม่เห็นตอนจบที่ดีเลยนะ เดินเข้าไปอาบน้ำเพราะวันนี้เหนียวตัวเหลือเกิน วันนี้ไม่ได้กลับมาพร้อมฟังเพราะเราต้องออกไปงานนอกสถานที่แล้วยังนัดเจอกินข้าวกับวิทเลยคิดว่าถ้าตรงดิ่งกลับบ้านมาเองเลยจะเร็วกว่าย้อนไปที่บริษัทแล้วกลับมาพร้อมกัน

   ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นฟังนั่งอยู่ในห้องแล้วอยากเดินเข้าไปกอดให้หายคิดถึงวันนี้ทั้งวันแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันแถมตอนกลางวันยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันอีก แต่พอเราเดินเข้าไปกอดฟังก็ขยับตัวหนี

“((รีบกลับมาล้างเนื้อล้างตัวเลยสินะ))”

“อื้ม วันนี้ร้อนมากอะฟัง เหนียวตัวมากเลย”

“((แต่ล้างยังไงก็ไม่ออกหมดหรอก สกปรกจะตาย))”

“ฟังพูดถึงอะไรอะ?”

“((นี่มันคืออะไร?))” ที่อยู่ในมือของฟังตอนนี้ก็คือมือถือของเราเอง

“มือถือเราไง”

“((อย่ามากวนนะแป้ง ประกี้มือถือแป้งดัง รู้ไหมว่าเราเห็นว่าใครโทรมา?))”

“ใคร?”

“((วิท))”

“อ่อ คือ ฟัง ฟังเราก่อนนะ”

“((แอบคุยกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่?))”

“เพิ่งคุยกัน”

“((ไหนสัญญาว่าจะไม่ติดต่อกับมันอีกไง?))”

“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว แล้ววิทก็ไม่ได้ตั้งใจด้วยฟังอย่าไปโกรธวิทอีกเลยนะ”

“((แก้ตัวแทนมัน? แล้วคำพูดเราก็ไม่มีความหมายแล้วใช่ไหม?))”

“ก็วิทเพื่อนเรา”

“((เลิกคบกับมันซะ ไม่งั้นเราจะบอกน้าปิ่นว่าแป้งกลับไปคบเพื่อนคนนี้อีกแล้ว))”

   ไม่เข้าใจ ทำไมทำไม ในหัวของเรามีแต่คำถามนี้เกิดขึ้น ทีเราขอให้ฟังเลิกคบกับลูกตาลทำไมฟังไม่เห็นจะฟังเราทั้งๆ ที่ลูกตาลเป็นคนไม่ดี แม้แต่เหตุผลฟังก็ไม่คิดที่จะฟัง ลูกตาลคือคนที่อยากให้เราเลิกกับฟัง แล้ววิทผิดอะไรทำไมเราต้องเลิกคบกับวิท

“ไม่”

“((แป้ง อย่ามางี่เง่าตอนนี้นะ))”

“ไม่ เราไม่เลิกคบเข้าใจไหม”

“((แป้ง))”

“ไม่ เราจะไม่เลิกคบกับวิทเหมือนที่ฟังก็ไม่เลิกคบกับลูกตาลเหมือนกัน”

“((มันไม่เหมือนกัน))”

“มันเหมือนกันนั้นแหละ มันจะไม่เหมือนกันได้ยังไง”

“((บอกว่าไม่เหมือนไง โธ่เว้ย))”

“((อย่ามาเงียบใส่นะ))”

“((ก็ได้ งั้นเราก็ต้องบอกน้าปิ่นเรื่องนี้แล้วละ))”

“เอาสิถ้าฟังบอกแม่ เราก็จะไป”

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ถึง

คุณ Snowermyhae - ขอบคุณมากค่ะสำหรับเม้นท์ ฟ้ามีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ เรื่องคำผิด เดี๋ยวฟ้าจะแก้ไขที่ลงไปแล้ว แล้วก็ระวังการสะกดใหม่ให้มากขึ้นนะคะ

คุณ Cheyp - ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจมากเลยค่ะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
มาแลกเปลี่ยนอะไรกันแบบนี้
ไม่เข้าเรื่องแท้ๆ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 20

   ฟังไม่สนใจที่เราพูดสักนิด ฟังหยิบมือถือของฟังเองขึ้นมา เราเห็นแบบนั้นเราคิดเอาว่าฟังน่าจะหยิบมันขึ้นมาเพื่อส่งข้อความหาแม่ของเรา รีบเดินเข้าไปประชิดตัวแย่งมือถือออกมา ฟังเห็นเราพยายามแย่งแบบเอาเป็นเอาตายฟังเลยหยุดแย่งกับเราด้วยแต่พอฟังหยุดแรงมันกระแทกกลับเราเลยปล่อยมือถือของฟังตกที่พื้น เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของฟังอีกทีในตอนนี้ ฟังหน้าตาโกรธมาก

“((ถ้ากลัวที่จะต้องเลิกคบมันขนาดนั้น ฟังยอม))” จบประโยคของฟังโดยที่เรายังไม่ได้มีโอกาสได้แก้ตัว ฟังก็รีบเปิดประตูห้องออกแล้วเดินลงไปข้างล่างบ้าน แล้วก็สตาร์ทขับรถออกไปข้างนอก แค่เสียงรถของฟังสตาร์ทน้ำตาของเราก็ไม่สามารถกักอยู่ได้อีกต่อไป เราตัดสินใจค่อยๆ เก็บของทีละอย่างลงกระเป๋าเป้ของตัวเอง น่าแปลกวันแรกที่ย้ายเข้ามาที่นี่เป้ของเราใบเดียวยังสามารถใส่ของได้หมดทุกชิ้น มาวันนี้วันที่ต้องย้ายออกไปเป้ของเรากลับล้นไม่สามารถใส่เสื้อผ้าหรือของของเราได้หมด โทรหาวิทเพื่อที่จะรบกวนขอให้มารับแต่วิทก็ไม่ได้รับโทรศัพท์ เราเลยลงไปข้างล่างเพื่อหยิบถุงพลาสติกออกมาเพื่อใส่ของที่มันล้นออกมาจากกระเป๋า เดินออกมาหน้าปากซอยบ้านของฟังก็มาเรียกแท๊กซี่กลับบ้าน มาถึงบ้านแม่เข้านอนไปแล้วเลยไม่ได้เจอหน้ากัน ดีแล้วที่ไม่เจอแม่เพราะยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเจอหน้าของแม่ตอนนี้ถ้าแม่ถามเรื่องข้าวของที่ขนมามากมายจะตอบแม่ว่าอะไร ทิ้งของเอาไว้ที่มุมห้อง ไม่มีกระจิตกระใจจะเก็บมันเข้าที่พยายามข่มตาให้หลับแต่กว่าจะหลับเข้าจริงๆ ก็พ้นเข้าวันใหม่

   วันนี้โทรลางานแต่เช้าพี่ที่แผนกบ่นนิดหน่อยว่ากระทันหันไป แต่เราไปทำงานไม่ไหวจริงๆ เมื่อคืนพอหลับตาลงก็ไม่สามารถหลับสนิทได้ หลับตื่นๆ อยู่ทั้งคืน ตื่นมานั่งมองดูของที่เก็บมาจากที่บ้านของฟัง พลางทบทวนกับตัวเองว่าเราคิดดีแล้วเหรอที่ปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้? เราเดินออกมาง่ายๆ แบบนี้แล้วจริงๆ เหรอ? แล้วความผูกพันธ์ทั้งหมดที่มีละมันจะต้องหายไปแบบนี้เหรอ ย้อนนึกไปถึงคำถามของวิท ว่าเราพร้อมไหม อยู่ได้ไหมที่เราไม่มีฟัง ตอนนั้นเราบอกวิทว่าเราตอบไม่ได้เพราะว่าเราไม่เคยไม่มีฟังอยู่ในชีวิตของเรา ณ วันนี้เช้านี้ นี่ไงไม่มีแล้ว ถามว่าอยู่ได้ไหม? ถ้าถามตอนนี้คำตอบคือเราคิดว่าเราอยู่ได้ แต่ถ้าถามว่าทำไมเราต้องอยู่แบบไม่มีฟัง ทั้งๆที่ฟังเป็นของเรามาตั้งแต่ต้น นั้นสิทำไม เรื่องนี้ไม่ใช่เราหรือฟังที่ผิดคนผิดคือคนนั้นแล้วทำไมเราต้องยอมแพ้ให้กับคนๆ นั้นทำไมเราต้องแพ้ แบบนี้เราก็แพ้นะสิ

   เช้ามาเราเข้าทำงานสักช่วงสายพยายามไปหาฟังที่แผนก ฟังเห็นเราแล้วแต่ก็ไม่ยอมเดินออกมาหาเรา ตอนพักกลางวันเราเดินตามมาฟังไปกินข้าวด้วย แต่ฟังก็เลือกจะนั่งกับพวกพี่ๆที่แผนก รวมถึงกับลูกตาลโดยที่ปล่อยให้เรานั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ ลูกตาลมองมาทางเราด้วยสายตาเหยาะเย้ย พยายามมองผ่านหน้าผ่านตาของลูกตาลไป เพราะเราอยากเคลียร์เรื่องเรากับวิทให้ฟังเข้าใจก่อน แล้วค่อยไปที่เรื่องของลูกตาล แต่แล้วในทุกๆ วัน มือถือเราต้องได้รับเมสเสจ เป็นภาพระหว่างฟังกับลูกตาลในที่ต่างๆ ไปกินข้าว ไปดูงานข้างนอกด้วยกัน อยากจะเดินเข้าไปกระชากฟังออกมาจากตรงนั้นแต่ไม่ได้ เราทำอะไรแบบนี้ตอนนี้ไม่ได้ ตอนเย็นของอีกอาทิตย์เลยไปดักรอที่รถของฟังก็ไม่สำเร็จไปถึงที่จอดรถประจำของฟัง ฟังก็ออกไปแล้ว กลับมาบ้านเจอแม่ แม่ถามถึงเรื่องที่ย้ายกลับมาบ้านแต่แม่ไม่ได้พูดถึงเรื่องของวิท ไม่รู้ว่าฟังไม่ได้เล่าให้ฟังหรือว่าแม่ไม่ได้สนใจไม่ได้โกรธวิทแล้ว ก็ได้แต่บอกแม่ไปว่าคิดถึงบ้านอยากกลับมานอนที่เตียงตัวเองแม่ก็บ่นเอาแค่ทำไมเราเป็นเด็กไม่รู้จักโต

   ในเมื่อง้อฟังครั้งแรกไม่สำเร็จเราก็เลยต้องใช้ตัวช่วย เราไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยแต่ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีทางได้ฟังกลับมา เรารู้ว่าจุดอ่อนของฟังกับเรามีอยู่เรื่องเดียว

ตริ้ง

แป้ง “ในเมื่อตอนนี้ฟังก็ไม่หันกลับมามองเราแล้ว ฟังก็รู้ว่าคนอย่างเราอยู่ด้วยตัวคนเดียวไมได้ ถ้าฟังไม่อยากให้อภัยเราไม่อยากอยู่กับเรา เราขอไปตามทางแล้วกัน”

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านไปไม่ถึง 2 นาที ฟังก็ส่งเมสเสจกลับมา

ฟัง “คิดจะทำอะไร?”

แป้ง “ก็ในเมื่อฟังไม่สนใจเรา เราก็จะไปตามทาง ขอให้โชคดีโดยที่ไม่มีเรา”

   มันเป็นการวัดใจ เราไม่รู้หรอกว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผลไหม มันดูน้ำเน่ามากไปหน่อยที่พยายามจะส่งเมสเสจไปเพื่อขู่เหมือนจะฆ่าตัวตายแต่ถ้าเราลองวัดใจแล้วปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป โดยที่ต้องมาเห็นฟังใกล้ชิดกับลูกตาลแบบนั้นเราเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

   หลังจากที่เราส่งเมสเสจออกไปวันนั้น เราก็ขอลางารสัก 3 วัน โชคดีที่มีวันหยุดวันลาเหลือก็เลยสามารถเอามาใช้ได้ ฟังเองหลังจากวันนั้นก็มาตามหาเราที่บ้านแต่เราก็หนีหน้าโดยการไปอยู่ที่บ้านของวิทช่วงกลางวัน แล้วค่อยกลับเข้าบ้านตอนดึกๆ หรือไม่ก็ต้องค้างถ้าวันไหนฟังเกิดดื้อรอที่หน้าบ้าน เราปิดมือถือตั้งแต่วันนั้นเพราะเรากลัวว่าถ้าเราเห็นเมสเสจของฟัง เราจะใจอ่อนตอบฟังกลับ ถ้าเราตอบกลับ ทุกอย่างที่เราเริ่มมามันก็จะจบแบบสูญเปล่า มันทรมาณมากนะกับการที่เราอยากเจอใครสักคนแต่ไม่สามารถเจอกันได้ อยากกอดใครสักคนอยากยิ้มกับใคสักคนแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าปล่อยให้มันทรมาณไปก่อนถ้าเรื่องลูกตาลจบลงเมื่อไหร่ ทุกอย่างมันคงจะดีขึ้น วิทบอกว่าเวลาจะช่วยเราเองในเมื่อเราเลือกทางนี้แล้วเราก็ต้องใจแข็งให้มากที่สุด เล่นซ่อนแอบกันนานพอสมควรแต่ในที่สุดการเล่นซ่อนแอบก็ต้องจบลง

“ฟัง”

ในขณะที่กำลังจะข้ามถนนกลับเข้าปากซอยบ้านก็เจอฟังดักอยู่ที่ทางขึ้นสะพานลอย เราพยายามเดินผ่านไปเหมือนเราไม่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ แต่อะไรๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อฟังกลับเป็นฝ่ายที่ดึงแขนเราเอาไว้ทำให้เราไม่สามารถผ่านไปได้โดยง่าย ยื้อหยุดกันอยุ่ตรงนั้นประมาณเกือบ 10 นาทีได้ พยายามแกะมือออกก็แล้วพยายามสะบัดแขนก็แล้วแต่ฟังก็ไม่ยอมเอามืออกไปจากเรา

“ปล่อย”

“((แป้งมาคุยกันก่อน หายไปไหนมา))” สภาพหน้าตาของฟังดูอิดโรยมาก แต่เราต้องไม่ใจอ่อน มันไม่ใช่เพื่อใครแต่มันเพื่อตัวเราเองและก็ฟังด้วย

“((แป้งอย่าผลัก มันจะเจ็บกันหมด))”

“ก็เลิกจับ ปล่อย”

“((คุยกับเราหน่อย))”

“อยากให้คุยเหรอ ได้ ส่งเมสเสจไปหาลูกตาลสิว่าจะเลิกคบกับลูกตาล ส่งไปสิ แล้วเราจะคุยด้วยทำได้ไหม?”

“((แป้ง เรื่องนี้ยังไม่จบอีกเหรอ?))”

“ส่งเมสเสจไปสิ ส่งไป” ด้วยอารมณ์โทสะที่มีอยู่ทำให้เราลืมไปว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ตรงไหน เราเดินพุงเข้าไปหาฟัง พยายามจะล้วงเอามือถือที่อยู่ที่ตัวเขาออกมาก แต่ฟังก็ไม่ยอมให้เราแต่โดยดี

“((มันเรื่องอะไร เกิดอะไรขึ้น? แป้งใจเย็นๆ))”

“บอกว่าให้ส่งไปบอกลูกตาลว่าจะเลิกคบไง”

“((....))”

“ได้ไม่ทำใช่ไหม?” ตัดสินใจก้มหน้าลงไปกัดที่มือของฟังหวังว่าฟังจะปล่อยเรา และแน่นอนฟังไม่ได้ตั้งตัวฟังเลยปล่อยมือออกจากเรา เราเลยเดินมาที่ขอบฟุตบาทถนน

“ได้ถ้าฟังยังไม่ยอมหยิบมือถือขึ้นมา เราจะเดินถอยหลังลงไปเรื่อยๆ”

“((แป้งอย่าๆ))”

“ระหว่างเรากับลูกตาลฟังเลือกได้รึยัง?”

“((แป้ง ทำไมเราต้องเลือก แป้งคือแฟนลูกตาลคือเพื่อน))”

“เพื่อนเหรอ? เพื่อนเขาไม่ทำแบบนี้ฟังไม่รู้อะไรเลย”

“((เข้ามา))”

“ฟัง” แล้วเราก็เริ่มก้าวขาออกไปอีก 1 ขา

“((โอเคๆ เรายอมแล้ว))” ในที่สุดเกมส์นี้เราก็เป็นคนชนะ ยังไงฟังก็ต้องเลือกเรา

“ถ้าได้รับเมสเสจแล้วเกมส์นี้ก็จบได้แล้วนะ จบเกมส์” เราหยิบมือถือขึ้นมาพูดใส่มือถือของตัวเอง เพื่อให้คนอีกฝั่งสายเขาได้รู้ แล้วก็กดวางสาย จบกันซะที

แต่ในขณะที่เรากำลังเก็บมือถือของเราและฟังกำลังหยิบมือถือของเขาเองขึ้นมา เราก็ยังยื่นอยู่ที่ตรงขอบฟุตบาทที่เดิม ฟังกำลังพิมพ์ แต่เราอยากจะเห็นข้อความนั้นด้วย เรากำลังจะเดินก้าวไปหาฟัง แต่เราก้าวพลาด ทำให้เรากำลังจะตกฟุตบาทลงไป ฟังพยายามที่จะมาคว้าเราเอาไว้อีก แต่เราทั้งสองต่างก็มีรูปร่างที่ใหญ่ทั้งคู่ทำให้เราทั้งเสียการทรงตัวฟังเซถอยหลังลงไปพื้นถนนแทนเราตอนที่กลับตัวพยายามประคองกันอยู่ แล้วก็เป็นแค่ช่วงพริบตาเดียว เราก็ไม่สามารถคว้าตัวฟังกลับขึ้นมาได้ แน่นอนว่าฟังปล่อยเราไปแล้ว แต่

“ไม่!!!”  สุดเสียงจำได้ว่าสุดเสียง

“ช่วยด้วยครับๆ ใครก็ได้ช่วยโทรเรียกใครที”


..................................................................................................

“คุณค่ะ เดี๋ยวดิฉันขอเช็ดตัวคนไข้นะคะ”

“ครับๆ ได้ครับ หลุดออกมาจากผวังค์นี่เราคิดอะไรเพลินไปนานแค่ไหนเนี่ย มองดูนาฬิกาเห็นว่าจะเข้าช่วงเย็นแล้ว นี่เราเสียเวลาเหม่อทั้งวันเลยเหรอเนี่ย

“เอ่อ คุณพยาบาลครับ ยังไงเดี๋ยวผมขอลงไปซื้อหาอะไรทานสักหน่อยนะครับ”

“ค่ะ” เดินลงมาจากห้องพักมาที่ร้านขายข้าวใกล้ๆ โรงพยาบาล หาอะไรรองท้องสักหน่อย กลับขึ้นมาถึงห้องพักคุณพยาบาลก็เตรียมตัวเก็บของเพราะเช็ดตัวเสร็จพอดีจัดการมื้อเย็นอย่างเงียบๆ มองคนป่วยอยู่สักพัก แล้วก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำกลับมานั่งมองคนป่วยอีกรอบ

“ถ้าฟังแกล้งหลับก็ตื่นขึ้นมาให้เราได้ขอโทษเถอะนะ เราผิดเองอย่าแกล้งหลับให้เราทรมาณอย่างนี้อีกเลย” ง่วงแล้วสงสัยวันนี้จะเป็นวันที่หนักไปสำหรับเราขอพักสายตาลงหน่อย เดินกลับไปนอนที่ประจำคือโซฟาในห้องพักแห่งนี้ ได้แต่หวังไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าเราตื่นขึ้นมาฟังจะตื่นลืมตาขึ้นมาพร้อมเรา เราหวังแค่นั้นจริงๆ


   ปวดหัวทำไมปวดหัวขนาดนี้พยายามลืมตาแม้เป็นเรื่องง่ายๆ ก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะมองเห็นได้ ต้องกระพริบตาเพื่อไล่ความงุนงงออกไป ความจำแรกที่พุ่งเข้ามาคือแสงไฟและเสียงล้อรถมอเตอร์ไซส์ที่บดไปกับถนน “โครม” หลังจากแสงไฟที่สว่างวาบฉายขึ้นมาก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลยจนมาถึงตอนนี้ ในห้องไม่มีแสงสว่างอะไรอื่นเลยยกเว้นแสงไฟที่ส่องออกมาจากประตูตรงทางขวามือซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ สัญลักษ์คือประตูที่เป็นซี่ๆด้านล่าง แสงไฟที่มีในห้องมันน้อยมากผมเลยต้องใช้เวลาสักพักในการปรับโฟกัสสายตา พอเริ่มมองเห็นและสายตาสามารถมองในความมืดได้แล้วก็มองไปรอบๆ ห้องที่นอนอยู่แน่ใจแล้วว่านี่คือโรงพยาบาลเพราะมีที่แขวนน้ำเกลือซึ่งกำลังมีปลายเข็มติดอยู่กับแขนเราอยู่ เห็นปลายเตียง แต่ก็สะดุดกับโซฟาด้านซ้ายมือ บนโซฟาในห้องนี้มีร่างๆนึงนอนอยู่ตรงนั้น แค่เห็นแค่ด้านข้างของใบหน้าและลำตัวก็รู้ทันทีว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือแป้ง แป้งบุคคลที่เป็นทั้งเพื่อนรักและคนรักของผม

   “อย่าแกล้งฟังนะ” น่าแปลกที่อยู่ๆ คนที่เคยไม่ยอมให้ผมเข้าไปเล่นด้วยกลายมาเป็นคนที่ปกป้องผม แม้ว่าการปกป้องของเขาจะไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยยกเว้นช่วยให้ผมเจ็บตัวขึ้นมากกว่าเดิม แต่มันเป็นความประทับใจที่เกิดขึ้น ความประทับใจนั้นมันเริ่มตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้ามารู้จักกับผมจนพัฒนามาเป็นเพื่อนกัน

   เอื้อมมือไปพยายามจะกดออดเรียกพยาบาลเพราะตอนนี้ต้องการเข้าห้องน้ำและต้องการยาเพราะอาการปวดหัวกำลังเล่นงานผม จากภาพชัดๆก็เริ่มจะเบลอ แต่ออดดันอยู่ซะไกล เพราะฉะนั้นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะสามารถช่วยผมเรียกพยาบาลได้

“เคร้ง” จงใจปัดแก้วน้ำให้ตก หวังไว้เพียงให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นตื่นลืมตาขึ้นมา

“..........”

“ฟัง”

“.........”

“ฟัง ฟัง ฟังตื่นแล้ว ตื่นแล้วจริงๆ ฟังๆ ฟังตื่นแล้ว”

“...........................”

“หิวน้ำเหรอ พยายามจะกินน้ำเหรอ รอเดี๋ยวนะๆ เดี๋ยวเราเอาน้ำให้”

“((เรียกพยาบาลให้หน่อย))”

“โอเคๆๆๆ อยากได้อะไร เดี๋ยวเราเอาให้”

“((พยาบาล))”

   สิ้นคำร้องขอแป้งก็เอื้อมมือไปกดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาให้ รอเพียงแค่อึดใจพยาบาลก็เข้ามาพอเห็นว่าผมฟื้นแล้วก็ทำการออกไปเรียกคุณหมอให้เข้ามาตรวจเพิ่มเติม แป้งโดนบังออกไปจากจุดที่ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นเขาได้แล้ว หมอกับพยาบาลพาผมออกไปนอกห้องที่พักอยู่โดยที่ไม่ได้ให้แป้งตามเข้ามาด้วย ผมโดนเข็ญออกไปอีกห้องเพื่อตรวจเพิ่มเติม ตอนถูกเข็ญกลับเข้ามาในห้องพัก ก็เห็นแป้งเดินวนไปมารอบห้องเหมือนหนูติดจั่น แป้งมักจะเป็นอย่างนี้เสมอถ้าแป้งกลุ้มใจมากๆ พอเห็นเตียงของผมถูกเข็ญเข้ามาแป้งก็รีบวิ่งเข้ามาประชิดเตียง

“เป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากไหมฟัง?”

“ญาติคนไข้ใจเย็นๆนะคะ ตอนนี้คนไข้เพิ่งฟื้นทางเราก็เพิ่งให้ยาไป คนไข้อาจจะตอบสนองช้ากว่าปกติ ลองให้คนไข้พักผ่อนสักพักก่อนนะคะ”

“ครับ ครับ รับทราบครับ ขอบคุณครับ” พอพยาบาลออกไปจากห้องพักแล้วแป้งก็เดินไปลากเก้าอี้มานั่งอยู่ที่ข้างเตียง มือพยายามจะเอื้อมมาจับมือผม แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ ค้างไว้อยู่อย่างนั้น เดี๋ยวพยายามยื่นมือออกมาเดี๋ยวยื่นมือออกไป ดูจากท่าทางแป้งคงจะรู้สึกผิดมากที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น

“เรา คือ เรา” อยากจะพยายามฝืนต่อเพื่อจะรับฟังว่าแป้งจะพูดว่าอะไรแต่ร่างกายไม่สามารถต้านฤทธิ์ยาแก้ปวดได้จริงๆ ก็เลยหลังตาลง

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันเหมือนจะไม่มีคนจะสนใจมองมาที่ผมเลยไม่มีคนรู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว

“มาทำไมอีก ก็ไหนใครเป็นคนตั้งกฎขึ้นมา ว่าใครอพ้ก็ต้องหายไป”

“แต่เรายังไม่ได้เมสเสจนั้นสักหน่อย หรือนายมีหลักฐาน?”

“ก็...”

“ก็ไม่มีไง แล้วจะมีหน้าอะไรมาไล่กัน

ลูกตาลกับแป้งสองเสียงนี้ผมจำได้ เหมือนเขาจะเถียงกันว่าใครจะเป็นคนอยู่ในห้องต่อ ใครจะไป ผมเองก็ต้องการคุยกับลูกตาลเป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นผมว่ามันต้องมีอะไรที่ผมไม่รู้ แต่แล้วก็ไม่มีใครออกไปจะให้ผมเล่นละครแกล้งนอนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง ผมเลยลืมตาขึ้นมองคนทั้งคู่ ลูกตาลดูตกใจเพราะหยุดชะงักตอนที่จะเดินเข้ามาหาผมที่เตียง

“((สวัสดีลูกตาล ดูเหมือนเรามีเรื่องต้องคุยกัน))”

“ตื่นแล้วเหรอ อยากได้อะไรไหม? เรียกหมอ หรือกินอะไรไหม?”

“((ไม่ คุยกันก่อนสิ))”

“ได้สิ เป็นไงเจ็บมากไหมฟัง? แล้วนี้ไปเกิดอุบัติเหตุได้ยังไง ถามแป้งว่าเกิดอะไรขึ้น แป้งก็ไม่ยอมบอกอะไรใครเลย”

   แป้งยังยืนอยู่ที่เดิมไม่เดินเข้ามาหาผมที่เตียงอย่างเช่นลูกตาล ไม่ได้อยากให้แป้งรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ ผมต้องการคุยกับลูกตาลจริงๆ

“((แป้ง กลับไปก่อนนะครับ))”

“แต่”

เพราะผมไม่อยากทะเลาะกับแป้งให้ลูกตาลเห็นผม เลยไม่ได้ฟังเรื่องที่แป้งจะแย้งขึ้นมาได้แต่ ส่งสายตาไปให้หวังว่าแป้งจะเข้าใจ แล้วแป้งก็เดินหันหลังไปเก็บของออกไปอย่างที่ผมขอ

“((ดีขึ้นแล้ว ลูกตาลสิ่งที่เราอยากคุยด้วย คือ เรื่องของแป้ง))”

“ว่ามาสิ”

“((เราจะบอกลูกตาลว่า เราขอบคุณนะที่คอยเป็นห่วงเราทุกเรื่อง ตั้งแต่สมัยเรียนมาจนถึงตอนทำงาน  เราไม่รู้หรอกว่าแป้งกับลูกตาลทะเลาะอะไรกันแต่หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นเราจะบอกว่า เราไม่สนใจแล้วละว่าแป้งจะหนักแน่นพอหรือไม่หรือแป้งจะรักเราที่ตรงไหนเราไม่สนแล้วเพราะช่วงวินาทีที่เรารู้สึกว่าเราจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อ สิ่งที่เราคิดถึงในหัวเรามีอยู่ 2 คนเท่านั้นคือ แม่ กับ แป้ง เพราะฉะนั้นถ้าแป้งทะเลาะกับลูกตาล ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราเลือกแป้งนะ))”

“ฟัง”

   ตอนนี้ผมอยู่ในห้องคนเดียวแล้ว เรื่องทุกอย่างมันมาลงเอยอย่างนี้ได้ยังไง เพื่อนที่ดีสำหรับอีกคนอยู่ๆ เขาเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง มันน่าจะเป็นความผิดของผมเองที่ไปหักหน้าเขากลางงานเลี้ยงวงใหญ่ ผมน่าจะเอ๊ะใจอยู่บ้างว่าลูกตาลเป็นคนที่รักในหน้าตาของตัวเองขนาดไหน แต่ต่อถ้าให้ย้อนไปในวันนั้นผมก็ยังคงจะต้องพูดแบบนั้นต่อหน้าทุกคนอย่างนั้นอยู่ดี ให้เลือกระหว่างหน้าของลูกตาลกับความรู้สึกของแป้งผมคงไม่ผิดถ้าจะเลือกรักษาความรู้สึกของแฟนตัวเอง

   แป้งชอบถามว่าผมชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็คงตั้งแต่เขาลุกขึ้นมาปกป้องผม แถมในโรงเรียนเขายังยอมไม่คบกับใครอื่นยกเว้นผม แต่เหตุการ์ณที่ทำมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองก็คงจะเป็นวันที่ผมให้แป้งนวดให้หลังจากที่ผมไปช่วยแป้งจัดห้องครั้งใหญ่ แป้งที่เอื้อมมาคอยพยายามนวดขาให้ สัมผัสนั้นทำให้ตัวเราไม่กล้าแม้แต่ที่จะกระดิกตัว ไม่กล้าจะหายใจแรงกลัวว่าแค่กระดิกตัวแล้วสัมผัสนี้จะหายไป แต่ผมคงเป็นแค่คนที่ได้คืบจะเอาศอก เลยเลื้อยตัวเองเอาหัวไปพิงที่หัวไหล่ หลับตาลงพร้อมสูดอากาศที่มีกลิ่นของแป้งที่เจือปนอยู่ในอากาศนี้ แป้งในตอนนั้นคงไม่รู้ว่าเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ได้แอบเกิดความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น และมันก็ไม่สมควรเกิดขึ้นด้วย แป้งไม่เคยระวังตัวกับเพื่อนคนนี้เลย ปล่อยให้เพื่อนคนนี้คอยเอาเปรียบอยู่เงียบๆ เรื่อยๆ ทั้งนอนกอดทั้งจูบหน้าจูบตา

กริ้ก

ตื่นจากผวังค์ แม่ลืมอะไรเหรอ? แม่เพิ่งเข้ามาเมื่อตอนสายๆ หลังจากที่ลูกตาลกลับไปแล้ว แม่พยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ๆ ตกลงไปที่ฟุตบาทได้ คนที่ชนให้การว่าผมพลาดตกลงไปเอง ไม่อยากให้แม่รู้ว่าผมกับแป้งทะเลาะกันเลยบอกว่าเดินอยู่แต่พลาดตกลงไปเองน่าจะขาพลิก แม่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแค่บอกว่าทีหลังอย่าประมาทแบบนี้อีก

“เออ คือพอดีเราต้องมาเปลี่ยนเวรเฝ้านะ เราโทรคุยกับน้าหน่อยแล้ว” พยักหน้าให้แป้งว่ารับรู้

“จะกินข้าวเย็นเลยไหม ? เราขอเป็นคนป้อนนะ”

“((.........))”

 “ฟัง กินหน่อยนะ” ปล่อยให้แป้งถือช้อนยืนเตรียมป้อนเราเอาไว้อย่างนั้น ไม่อ้าปากไม่ยอมกิน แต่ถ้าแป้งจะวางช้อนลงเราก็จะทำท่าเลื่อนจานมากินเอง

พลัก / เคร้ง มัวแต่แย่งกันไปมาทำให้จานชามและถาดอาหารตกลงไปที่พื้น

“ฟัง งั้นเดี๋ยวเราไปซื้ออาหารมาให้ใหม่นะ เราขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ”

“เรากลับมา....อิ่มแล้วเหรอ? เดี๋ยวเราเก็บจานให้” คำสุดท้ายจริงๆหมดไปตั้งนานแล้วแต่ผมตั้งที่จะจัดท่าเหมือนเพิ่งอิ่ม โดยการวางช้อนลงที่ถาดอาหารตอนที่แป้งกลับเข้ามาในห้องอีกที

“หื้ม?”ใช้มือดึงปลายแขนเสื้อของแป้งไว้ พอแป้งหันมาก็ชี้นิ้วให้แป้งดูว่าอาหารที่ปัดหกประกี้มันเลอะกับชุดที่ใส่อยู่

“อ่อ เดี๋ยวเราเปลี่ยนให้นะแป้ปนึง”

“ปล่อยก่อนฟัง ฟังดึงเราไว้อย่างนี้เราเปลี่ยนให้ไม่ได้”

   ที่ดึงเอาไว้เพราะว่าผมต้องการที่จะถาม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงที่ผ่านมาผมพลาดอะไรไปทำไมอยู่ๆความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแป้งถึงแย่ลงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ในขณะที่แป้งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม ผมใช้ช่วงเวลานี้สังเกตุแป้ง ผมจำได้ทุกคำพูดนะ คำพูดก่อนที่ผมจะโดนรถเฉี่ยว จะว่าเป็นเรื่องของวิทที่ดูเหมือนจะสนิทกับแป้งมากเกินกว่าเพื่อนพอผมบอกให้เลิกคบเขาก็ไม่เลิกทำให้แป้งพาลมาให้ผมเลิกคบกับลูกตาล หรือจะเรื่องที่แป้งไม่ได้รักผมเลยแค่เพราะไม่มีใคร แต่ผมรู้จักกับแป้งตั้งแต่ 10 ขวบ มันจะเป็นแบบนี้แบบที่ลูกตาลบอกรึเปล่า? ผมเสียใจนะที่ว่าเกิดอะไรขึ้นแป้งไม่เคยเล่าให้ผมฟัง

   ตั้งแต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ แม้บรรยากาศรอบตัวผมกับแป้งจะไม่ดีขึ้นแต่แป้งยังคงจะมาเยี่ยมในช่วงเย็นเสมอ เป็นช่วงหลังแป้งเขาเลิกงาน เห็นหน้าตาของแป้งที่โทรมแล้วเคยบอกแป้งไปแล้วว่าไม่ต้องมาอยู่ก็ได้ แต่แป้งก็ไม่ฟังยังคงมานอนเฝ้าแล้วก็ไปทำงานในตอนเช้า แป้งมาเพียงแค่เตรียมอาหารเย็นแล้วก็เช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายให้ ตอนแรกแป้งดูเรื่องต่างๆ ของผมให้เสร็จค่อยทานของตัวเองต่อ แต่ผมเห็นว่ากว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จมันก็จะดึกเกินไป ผมเลยตัดสินใจบอกแป้งไปว่าให้ทานไปพร้อมๆกัน เอากับข้าวของแป้งที่ซื้อไว้มารวมกับของผม ตอนแรกแป้งก็อิดออดบอกว่าอาหารที่ซื้อมาอาจจะไม่ถูกกับยาที่หมอจัดให้ผม ผมเลยบอกไปว่าผมเบื่ออาหารโรงพยาบาลแล้วถ้าไม่ได้กินก็จะไม่กินข้าว แป้งถึงยอม แป้งทำแบบนี้อยู่ทุกวันเป็นอาทิตย์ มันเลยเป็นความเคยชินของผมที่เหมือนต้องรอกินข้าวเย็นพร้อมแป้ง

    วันนี้เป็นวันหยุดแป้งเลยอยู่ตั้งแต่เช้า ไม่ได้ไปไหน บรรยากาศในห้องตอนนี้เงียบสนิทแป้งเองก็ไม่พูดอะไรเอาแต่นั่งทำตัวเงียบอยู่ที่โซฟา ผมแอบมองเขาเลยเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าที่เขาทำท่าเหมือนจะอ้าปากอยากพูดอะไร หรือทำท่าเหมือนจะลุกแล้วก็ไม่ลุก จนพอถึงเวลาต้องเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกาย แป้งก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลไปแต่พอมาตอนจะกินข้าว แป้งเป็นคนบอกกับพยาบาลว่าขอเป็นคนมาดูแลเอง จนเคลียร์จานชามเรียบร้อย แป้งจึงเดินมาปรับเตียงเพื่อให้ผมพักผ่อน

 “((เดี๋ยวก่อนขอนั่งก่อน ยังไม่อยากนอนเลย เปิดทีวีให้หน่อย))”

“ได้สิๆ เดี๋ยวเอารีโมทมาให้นะ” แป้งเดินมายื่นรีโมทให้แต่ผมคงเผลอมองหน้าแป้งนานไปหน่อยเลยไม่ได้เอื้อมมือไปรับ

“เรา ขอ โทษ นะ เราไม่ได้ตั้งใจให้ฟังเป็นแบบนี้ เรา เรา เราขอโทษที่ทำให้ฟังเจ็บตัว”

“((หยุดร้อง))”

“ฟัง เราขอโทษ”

 “((เราไม่โทษแป้งนะสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เราเข้าใจว่าแป้งไม่ได้ตั้งใจ เราไม่โทษแป้ง))” แต่ทำไมแป้งมีอะไรไม่บอกกัน จนปัจจุบันก็ไม่บอก

 “ฟัง”

“((...))”

“ยังโกรธเราอยู่ไหม?”

“((เราไม่ได้โทษแป้งเรารู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ วางใจได้ ))”

“แล้วเรื่อง.....”

“อ้าวแป้งลูก ไปนั่งกับฟังบนเตียงทำไม? ฟังยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ไปโดนแขนโดนขากันพอดี”

“สวัสดีครับแม่ น้าหน่อย”

“ทานอะไรกันยังลูก พอดีน้าขอตามมาเยี่ยมเราวันนี้ด้วย แม่เราเลยไปรับน้ามาเป็นไงบ้าง?”

“((ก็ดีครับ))”

“เออ ฟังประกี้แม่ไปคุยกับคุณหมอของลูกมา คาดว่าอีกไม่นานอาทิตย์หน้าก็น่าจะกลับได้แล้ว เพราะหมอว่าพวกกระดูกที่เชื่อมน่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แล้วก็จากผลเอ๊กซเรย์การตรวจทุกอย่างก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“((ครับแม่))”

“แต่ใจจริงแม่อยากให้ฟังพักที่โรงพยาบาลแต่คุณหมอบอกว่ากลับไปที่บ้านก็ได้ แม่เลยว่าจะจ้างพยาบาลพิเศษไป ฟังว่าไงลูก?”
“เดี๋ยวผมไปดูฟังเองครับ”

“แต่แป้งก็ต้องทำงานตอนกลางวันนิลูก จะไปดูฟังได้ยังไง?”

“คือผม คือ”

“((ยังไงผมขอคิดดูก่อนนะครับแม่ ถ้าพอช่วยเหลือตัวเองได้ผมก็ไม่อยากให้จ้างใคร มันแพง))”

“จ๊ะ คิดได้ยังไงบอกแม่นะลูก”  แม่กับน้าปิ่นนั่งคุยด้วยกันอยู่จนถึงตอนเย็นแล้วก็ขอตัวกลับไป แม่มาคุยด้วยเรื่องงานนิดหน่อย เพราะว่าแม่เองก็ต้องคอยบินไปๆกลับระหว่าง 2 สาขาเพราะกลายเป็นสาขาที่เมืองไทยยังไม่มีคนมาดูแล เจ้านายตัดสินใจรอผมกลับไปทำงานหลังจากหายแล้วจึงไม่ได้จ้างใครใหม่

วันนี้เป็นวันที่กลับมาพักที่บ้านวันแรก ผมเดินได้แล้วแต่หมออยากให้ใช้ไม้เท้าพยุงเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่คล่องมาก ผมไม่ได้ตอบรับในเรื่องที่แป้งจะเป็นคนดูแลผมแต่ผมบอกแม่ไปแล้วว่าไม่ต้องการ วันนี้ช่วงเช้าแม่ไปรับผมออกมาจากดรงพยาบาลแม่บอกว่าแม่แจ้งทางน้าปิ่นไปแล้วเรื่องที่ผมไม่ต้องการให้แป้งมาดู แต่เหมือนทางแป้งรั้นขอมาดูให้ได้ น้าปิ่นบอกแม่ว่าแป้งคงเป็นห่วงผมมาก น้าปิ่นกับแม่เลยตามใจแป้งแถมยังบอกว่าดีเสียอีก ผมจะได้มีคนดูแม่ก็เบาใจมากขึ้น

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ ทุกครั้งที่เห็นมีกำลังใจค่ะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
ดีนะที่ฟังไม่เป็นอะไรมาก แป้งคงรู้สึกผิดมากแน่ๆ
อยากให้ทั้งสองเข้าใจกันเร็วๆจัง

ปล ดีใจที่เม้นสั้นๆของเราทำให้ผู้เขียนมีกำลังใจนะคะ

ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คุยเปิดอกกันบ้างก็ดีนะ ไอ้นิสัยที่ ไม่อยากให้คอดมากไม่อยากทะเลาะเลยเลือกที่จะเงียบ มันไม่ได้ทำให้เรื่องจบหรอก

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 21

 “((เข้ามาสิ))”  หลังจากแม่กลับไปผมก็ลงมานั่งรอแป้งที่ห้องรับแขกเพราะไม่แน่ใจว่าคราวที่แล้ววันที่แป้งออกจากบ้านไปไม่รู้ว่าแป้งได้เอากุญแจบ้านของหลังนี้ไปด้วยรึไม่ กลัวว่าแป้งจะเข้าบ้านไม่ได้ แต่ผิดคาดแป้งไขประตูเข้ามาได้เลยแสดงว่าแป้งเอากุญแจบ้านของหลังนี้ไปด้วย

“เอ่อ ฟังอยากได้อะไรไหม? ถ้ายังไม่อยากได้อะไร เราขอเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะ” แป้งหายไปที่ห้องนอนด้านบนนานพอสมควรเพราะนอกจากของของแป้งแล้ว แป้งยังคงต้องช่วยจัดของของผมอีกด้วย

ตริ้ง

ฟัง “เดินเข้ามาหาที่ห้องหน่อย”

เกาะๆ

“ฟังเราเข้าไปนะ”

“((ของนี้คืออะไร?))”

“ก็ของของเราไง”

“((ทำไมมาอยู่ในห้องนี้ละ?))”

“ก็..”

“((ย้ายไปที่ห้องนอนรับรองแขกอีกห้องแล้วกัน))”

“แต่..”

“((ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนกลางคืนโดยมากเราก็อยู่แต่ในห้องนี้ละ ถ้าเราอยากลงไปข้างล่างเมื่อไหร่ เราจะส่งเมสเสจไปหาแบบเมื่อกี้แล้วกัน))” ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจแป้ง แต่เวลาที่ผมอยู่ใกล้กับแป้ง ผมก็อยากกอดแป้งอยากแสดงความรักต่อแป้ง และผมก็รู้ว่าถ้าแค่เราได้แสดงความรักต่อกัน แม้มันจะเป็นแค่ทางร่างกายแต่เราสองคนก็จะกลับมาเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมอยากที่จะเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นก่อน ก่อนที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมอยากรู้ว่าแป้งรักผมจริงๆ หรือเป็นอย่างที่ลูกตาลพูดว่าเป็นเพราะแค่ว่าแป้งไม่มีใครแป้งเลยไม่สามารถปล่อยผมไปได้

“แต่..”

“((หื้ม?))”

“เปล่าๆ โอเคๆ เดี่ยวเราเก็บของออกไปอีกห้องแล้วกัน”

ชีวิตหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลก็ไม่มีอะไรมาก ผมก็พยายามหัดเดินอย่างที่หมอบอก ไปตามนัดที่ตรวจทุกครั้งตามที่หมอนัดตรวจ แป้งมักจะขอลางานที่ทำงานแล้วไปโรงพยาบาลกับผมตลอด ตอนเช้าก่อนที่แป้งจะไปทำงานแป้งก็จะเตรียมอาหารสำหรับมื้อเช้ากับมื้อกลางวันเอาไว้ให้ผม ส่วนตอนเย็นก็จะกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน

อ๊อด ออด

เสียงกดเรียกที่หน้าบ้านดังขึ้น วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ผมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าบ้านส่วนแป้งก็ทำครัวอยู่ด้านใน ผมซึ่งอยู่ใกล้กับประตูบ้านมากกว่า เลยตั้งใจจะลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่แป้งก็วิ่งตัดหน้าไปเปิดให้เสียก่อน ผมเลยลงกลับมานั่งอยู่ที่เดิม

“ฟังเป็นไงบ้าง โทรไปหาน้าปิ่นมา น้าปิ่นบอกฟังกลับมาที่บ้านแล้ว ก็เลยแวะมาเยี่ยม”

“((ก็ดี เดินได้แล้วละ แต่ก็ต้องคอยระวัง))” ตั้งแต่วันนั้นวันที่ผมคุยกับลูกตาลที่โรงพยาบาล ผมก็ไม่ได้เจอลูกตาลอีกเลย วันนี้เป็นวันแรกที่ได้มีโอกาสคุยกับลูกตาล

“แป้งไปไหนแล้วละ?”

“((ลูกตาลเราว่าเราคุยที่โรงพยาบาลจบแล้วนะ))”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็แค่ถามว่า แป้งอยู่ที่ไหน เอ่อ ฟัง เราขอถามอะไรอย่างสิ ฟังเคยรู้ไหมว่าแป้งเขาเป็นคนชอบเล่นพนันนะ?”

“((.....))”

“ไม่เหรอ ไม่เคยรู้เลยเหรอ?”

“((...........))”

“แล้วอยากรู้ไหมละ?”

“((ว่า?))”

     นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้เรื่องทั้งหมด เรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ ผมก็รู้ว่าแป้งกับลูกตาลมีเรื่องไม่พอใจกันตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่แป้งเข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้วเหมือนว่าสองคนนั้นจะได้คุยกันเหมือนลูกตาลพูดไม่ถูกหูแป้ง ผมก็เลยเดินไปคุยกับลูกตาลว่าเกิดอะไรขึ้น ทางฝั่งลูกตาลบอกว่าเป็นเพราะแป้งพูดไม่ดีกับเขาก่อน ไปท้าลูกตาลเรื่องที่ผมจะเลือกใครระหว่างเพื่อนกับแฟน

     ผมไม่เชื่อที่ลูกตาลบอกและผมก็เลือกที่จะไม่ถามแป้งว่าแป้งพูดแบบนั้นจริงไหม เพราะว่าผมเชื่อใจเรารู้จักกันมานาน แต่ในวันที่แป้งมาขอให้ผมเลิกคบกับลูกตาล ผมรู้สึกเสียใจที่แป้งทำแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนผมไม่เคยรู้จักแป้งมาก่อนเลย เขาก็น่าจะรู้ ว่าในชีวิตนี้ของผม มีเพื่อนอยู่แค่ 2 คนที่ไม่มองเรื่องที่ผมพูดไม่ได้ นั้นก็คือเขากับลูกตาล แล้วเขาจะให้ผมเลือกทำไม การที่ผมเห็นเขาสำคัญแค่นี้มันยังไม่พอสำหรับเขาอีกเหรอ?

      เพราะฉะนั้นในตอนนั้นที่พอผมมารู้เองว่าแป้งกลับไปคุยกับวิท ผมถึงโกรธมาก ผมเอาแต่คิดว่ามันเป็นเพราะว่าผมไม่ยอมเลิกคบกับลูกตาลใช่ไหม? เขาถึงตัดสินใจทำแบบนี้ มันทั้งไม่เข้าใจทั้งโมโหผมเริ่มเชื่อในสิ่งที่ลูกตาลบอกมากขึ้นก็เพราะว่าทุกอย่างมันตรงตามนั้นแป้งทำทุกอย่าง อย่างที่ลูกตาลบอกเอาไว้ ผมเสียใจที่ผมรักเขาแต่เขาก็แค่ขาดผมไม่ได้เพราะไม่มีใคร เขาเห็นผมเป็นอะไรวันนั้นเราก็เลยทะเลาะกัน

   ลูกตาลกลับไปแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าลูกตาลกลับไปนานแค่ไหนเพราะตั้งแต่ผมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดขึ้นจากปากของลูกตาล ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นแค่หมากตัวนึงในเกมส์ของแป้ง ที่แป้งอยากจะเอาชนะลูกตาลให้ได้ ผมไม่นึกเลยว่าแป้งจะยอมทำทุกอย่างเพื่อแค่ที่จะชนะลูกตาล

“ฟังๆ ?”

“((.....))”

“เป็นอะไรรึเปล่า? ฟังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไปไหนเลย โอเครึเปล่า?”

“((โอเค))”

“งั้นเราไปเตรียมข้าวนะ”

“((อื้ม))”

“มีอะไรรึเปล่า?” เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเอามือไปจับข้อมือของแป้งเอาไว้ ตอนที่แป้งกำลังหมุนตัวกลับไปเตรียมอาหารมื้อเย็น

“((เปล่า))”

   อยากถามแต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าถามไปผมจะได้รับคำตอบที่ออกมาจากใจของแป้งไหม? เพราะตั้งแต่วันที่เรื่องเกิดขึ้นแป้งก็ยังไม่คิดที่จะเล่าอะไรให้ผมฟังสักนิด แล้วที่เขามาทำดีด้วยกับผมตอนนี้ เขาต้องการที่ดูแลผมจริงๆ หรือว่าเขาแค่กลัวแพ้ เพราะถ้าตอนนี้ผมกลับคำไม่เลิกคบกับลูกตาลอย่างที่ผมเคยบอกไว้ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แป้งก็จะกลายเป็นผู้แพ้ทันที

       ตอนนี้ผมคงเหลือทางเลือกแค่ 2 ทาง คือเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ หรือ เลือกที่จะพยายามลืมมันออกไปจากใจ แล้วก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด

“เอ่อ ฟัง เมื่อบ่ายที่ลูกตาลมาที่บ้านลูกตาลมาคุยอะไรเหรอ? ตั้งแต่คุยเห็นฟังเงียบไปเลย มีอะไรรึเปล่า”

“((ไม่มีอะไร))”

“แน่ใจนะ?”

“((อื้ม แน่ใจ))” ผมเลือกแล้วผมเลือกที่จะไม่ถามเพราะผมกลัวในคำตอบ ผมขออยู่อย่างนี้แบบไม่รู้อะไรจะดีเสียกว่า ขอแค่อย่างเดียว ขอแค่แป้งอย่าทำแบบนี้อีก ผมขอแค่นั้น

   ช่วงหลังๆ มานี้ลูกตาลมาหาผมบ่อยขึ้นๆ ทุกครั้งที่มาแป้งก็จะไม่ยอมนั่งอยู่ตรงนั้น แป้งจะเดินไปทางหลังบ้านบ้าง หรือเดินหนีขึ้นไปบนบ้านบ้าง แต่ในทุกๆ เย็นหลังจากที่ลูกตาลกลับไป แป้งก็จะคอยถามตลอด ว่าวันนี้คุยอะไรกันบ้างซึ่งผมก็ไม่ได้บอกอะไร เพราะลูกตาลก็พูดเรื่องเดิมๆ อยู่ทุกวัน 

เกาะๆๆๆๆๆ

      เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องดังอยู่เกือบ 10 นาทีได้ ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับเสียงที่ได้ยิน ช่วงนี้ผมว่าผมเหม่อบ่อยเกินไป ตั้งแต่ลูกตาลกลับไปผมก็ขึ้นไปด้านบนแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนมาถึงตอนนี้ นั่งดูข้าวของที่อยู่ในห้อง ทั้งกระเป๋าห้อยคอตั้งแต่สมัยเด็กที่แป้งให้ผมไว้ เห็นทีไรผมก็ยิ้มได้ทุกที มันเป็นของที่ผมเก็บรักษาไว้กับตัวตลอดเวลา เพราะมันคือของขวัญชิ้นแรกที่ผมได้รับจากคนอื่นที่นอกจากแม่

     สมัยเด็กผมไม่เคยมีเพื่อนเลยเพราะว่าผมพูดไม่ได้เด็กคนอื่นๆ ก็ต่างเมินใส่ผม แน่นอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีความอดทนที่ต้องมานั่งอ่านปากเดาใจคนอื่นเพื่อที่จะเล่นกันหรอก แต่แป้งเป็นคนแรกที่มอบคำว่าเพื่อนให้ผม และเพราะไอ้กระเป๋าห้อยใบนี้นี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มมีเพื่อนในห้องเรียนมากขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วแป้งเป็นเหมือนคนที่ทำให้ผมมีเสียงแม้เสียงนั้นจะไม่ได้เป็นในรูปแบบของการได้ยินก็ตาม

      พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าผมจะเลิกบึ้งตึงใส่แป้งแล้ว เพราะทุกวันนี้ที่ผมทำอยู่มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น บรรยากาสชวนอึดอัด สู้ผมเอาช่วงเวลานี้ทำทุกอย่างให้มีความสุขจะดีกว่า ที่แล้วมาก็ให้มันแล้วไป

“ฟัง ออกมากินข้าวเถอะมันมืดแล้วนะ”

เกาะๆๆๆๆ

“ฟัง”

แกร้ก

“ฟัง”

“((อื้ม ลงไปกันสิ))”

“โอเค เดี๋ยวเราอุ่นให้นะ”

   หลังจากกินข้าวเสร็จปกติแล้ว ผมจะต่างคนต่างอยู่แป้งเก็บล้างผมเดินไปดูความเรียบร้อยรอบๆ บ้านแล้วก็เข้าห้องนอนเลย แต่วันนี้ในเมื่อผมตัดสินใจแล้วหลังจากผมเดินล็อคบ้านปิดประตูเรียบร้อยผมเดินมาเปิดทีวีแล้วก็นั่งอยู่ที่โซฟา

“ยังไม่ขึ้นบ้านเหรอ?”

“((อื้ม ยัง แป้งอยากดูทีวีไหม?))”

“ดูสิดู”

ผมขยับตัวให้แป้งนั่ง เรานั่งดูทีวีข้างๆ กัน แบบเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้นั่งดูทีวีข้างกันแบบนี้ ถ้าให้คิดย้อนไปจริงๆ ก็นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุซะอีก ผมทำงานแป้งทำงาน ยิ่งหลังๆ ความสัมพันธ์เราไม่ค่อยจะดียิ่งแย่ กลับมาก็ทะเลาะกัน ช่วงเวลาเหล่านี้ของพวกเราก็เลยหายไป

“เราไม่ได้ดูทีวีด้วยกันนานแล้วเนอะ”

“((อื้ม)”

“ดีจังที่เราได้กลับมานั่งดูทีวีด้วยกันแบบนี้”

“((ช่วงที่เราทำงานหนักๆ แป้งเหงาไหม?))”

“ก็มีบ้าง แต่ก็พยายามเข้าใจก็ตำแหน่งฟังก็ต้องรับผิดชอบ”

“((แต่ไม่เคยเห็นบ่น))”

“ก็....”

“((ช่างมันเถอะ เรื่องที่แล้วมาช่างมันเนอะได้ไหม?))” บอกทั้งแป้งและก็บอกทั้งตัวเอง ช่างมันเถอะ เรื่องที่ผ่านมาให้มันผ่านไป ต่อจากนี้ ผมกับแป้งเราจะนับหนึ่งใหม่ด้วยกัน

“((แป้ง))”

“จะขึ้นนอนแล้วเหรอ?”

“((เปล่า เราจะบอกว่า คืนพรุ่งนี้ ไปย้ายของแล้วกลับมานอนที่ห้องเราเถอะนะ))”

“ฟัง”

“((แป้งโอเคไหมที่ย้ายมานอนห้องเดียวกัน?))”

“ได้สิได้ โอเคสิ ขอบคุณนะขอบคุณ ว่าแต่ทำไมต้องพรุ่งนี้ วันนี้เลยไม่ได้เหรอ?”

“((พรุ่งนี้แหละ เดี๋ยววันนี้เราขอเก็บของในห้องก่อนดีกว่า แป้งก็เคลียร์ของในห้องนั้นด้วยไง))”

“โอเคๆ” เอื้อมมือไปลูบหัวของแป้ง หวังไว้แค่ว่าการตัดสินใจคราวนี้ของผมคงไม่ผิดพลาด

   ตอนนี้ผมกลับมาทำงานแล้วครับ สุขภาพร่างกายตอนนี้เรียกว่ากลับมาครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ช่วงแรกๆ ผมยังคงขับรถไม่ได้แต่ตอนนี้ผมโอเคแล้วสามารถใช้ขาได้อย่างปกติ เพราะว่าผมหายไปนานเป็นเดือนกลับมาทำงานตอนนี้ผมก็เลยมีงานรอเคลียร์ค่อนข้างเยอะ ความจริงแม่ก็ได้ช่วยผมเคลียร์ไปบ้างบางส่วนแล้ว แต่ผมก็ต้องมาดูที่ทำไว้แล้วด้วยเพราะกลัวว่ามันจะไม่ประติดประต่อ

“((แป้งจะกลับก่อนเลยไหม?))”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวรอ เรารอได้”

   เพราะว่าผมไม่อยากหอบงานกลับไปทำที่บ้านพยายามแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน อยากมีเวลาให้แป้งมากขึ้นไม่เหมือนช่วงก่อนหน้าที่เอาแต่โหมงานจนไม่มีเวลาให้แป้ง ผมเลยเลือกออกจากที่ทำงานช้ากว่าปกติสักหน่อยเคลียร์งานสักชั่วโมงแล้วค่อยกลับบ้าน

   ช่วงแรกๆ แป้งก็กลับไปที่บ้านก่อน แต่หลังๆ แป้งบอกว่ากลับไปแป้งก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี แป้งก็เลยขอที่จะอยู่ที่ทำงานรอให้กลับพร้อมกันไปเลย เพราะฉะนั้นพอแป้งเลิกงาน แป้งก็จะขึ้นมาหาผมที่แผนกแล้วก็นั่งรอผมเคลียร์งานแล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกัน

“ฟัง ทุกวันที่ฟังต้องเคลียร์งานที่นี้ มีคนอยู่ช่วยเคลียร์บ้างไหม?”

“((ก็มีคนที่แผนกช่วยกันบ้าง))”


“แล้ว...”

“((หื้ม?))”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร งั้นต่อไปเราช่วยด้วยแล้วกันนะ”

"((แต่มันไม่ใช่งานฝ้ายแป้ง ไม่ต้องไปช่วยหรอก เหนื่อยเปล่าๆ))"

"ไม่เป็นไร เรายอม ไม่ใช่สิ เราอยากช่วย จริงๆนะ มันเป็นเพราะเรา ฟังถึงต้องมาทำงานเพิ่มขึ้นขนาดนี้"

"((แป้ง เราบอกแล้วไง ว่าเรื่องอุบัติเหตุ เราไม่เคยโทษแป้ง))"

"ฟัง คือ เรื่องนั้นจริงๆ แล้ว..."

"((ครับ?...))"

"เปล่าๆ ขอเราช่วยนะๆๆ"

นั้นคือประโยคที่แป้งคุยถามกับผมในวันที่ผมกลับบ้านช้า ผมรู้สึกดีใจมากที่แป้งเป็นห่วงและใส่ใจในความเป็นไปของผม

“((รักแป้งจังครับ))”

“เราก็รักฟังนะ”

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ // แป้งรู้สึกผิดอยู่มากๆๆๆๆๆๆ เลยค่ะ เขาจะผ่านความรู้สึกผิดนี้ไปได้รึไม่?? 

คุณ Inwoสูร ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะคะ // ใช่ค่ะ เอาแต่ เก็บงึมงำๆ กันอยู่ได้

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อึดอัดมาก
ต่างฝ่ายต่างก็เก็บ มีอะไรไม่คุยกันตรงๆน้า

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปัญหาเดิมๆยังคงอยู่ เพียงแค่ข่มมันเอาไว้ไม่ให้ประทุก็เท่านั้น ลูกตาลเป็นคนฉลาดในการโน้มน้าวใจคนดีนะแต่ใช้ในทางที่ไม่ถูก หรือมองอีกมุมนางก็ดูโง่ไปเลย เพราะท้ายที่สุดนางอาจไม่ได้เค้ามาครอบครองแถมคงต้องเสียเพื่อนไปในคราวเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2016 07:52:57 โดย ศตรัศมี »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 22

      ช่วงหลังๆมานี้ผมต้องไปคอยสรุปงานนนอกสถานที่ค่อนข้างบ่อยแล้วเนื่องจากผมไม่สามารถพูดออกเสียงได้ คนที่ต้องตามผมไปด้วยเพื่อที่จะไปคอยสรุปงานให้ลูกค้าฟังก็คือลูกตาล ผมพยายามอธิบายให้แป้งเข้าใจ แป้งก็บอกว่าแป้งเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องงาน แต่ ช่วงนี้แป้งเกาะติดผมมากกว่าเดิม พยายามมาหาที่ห้องทำงานตลอดทั้งวัน ถ้าวันไหนผมไม่สามารถกลับบ้านพร้อมแป้งได้ แป้งก็จะคอยส่งเมสเสจหาด้วยถ้อยคำประชดกันมากกว่าให้กำลังใจกัน เช่น “ยุ่งขนาดนี้เอางานมาเป็นแฟนอีกสักคนเลยไหม?”  หรือ “อะไรยุ่งขนาดนี้เลยเหรอ?”  แล้วถ้าผมไม่ตอบ จากประชดประชันจะกลายเป็น ที่ผมไม่ว่างมาหาเขา เพราะผมยังไม่ลืมเรื่องอุบัติเหตุ “ยังไม่หายโกรธใช่ไหม? ที่ยกโทษให้แค่พูดส่งๆ ไปใช่ไหม?” แล้วแป้งก็จะกระหน่ำคำขอโทษมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าผมบอกให้เขาหยุดเพราะผมไม่ได้โกรธแล้วก็จะกลายเป็นว่าผมรำคาญเขา ผมอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม มันถึงดีขึ้นได้แป้ปเดียวแล้วทุกอย่างก็วนมาอยู่ที่เดิม

“((ยังไม่ขึ้นนอนรึแป้ง?))” วันนี้งานมีปัญหานิดหน่อยทางหลายๆ สาขาเลยต้องประชุมผ่านสไกล์  มันเลยดึก เพราะสาขาต่างประเทศเวลาไม่ตรงกับเรา

“วันนี้เป็นไงบ้าง?”

“((เหนื่อยมาก ขอกำลังใจหน่อยครับ))”

“ไปอาบน้ำก่อน”

“((อะไรๆ รังเกียจเหรอ?))” เอื้อมมือไปจะแกล้งแป้งเพื่อดึงแป้งเข้ามากอด

“อย่านะ อย่าเอามือมาแตะเรา อย่าเอามือนั้นมาแตะเรา”

“((แป้ง?))”

“เรา เอ่อ เราขอโทษ ฟังไปอาบน้ำเถอะ เราว่า เราคงง่วง”

“((ครับ))”

   ตอนนี้ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าแป้งนอนแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจล้มตัวลงไปนอนตาม พอผมพยายามที่จะดึงแป้งเข้ามากอด แป้งก็สะดุ้งแล้วก็เกร็งตัว ยิ่งแป้งพยายามดึงออก ผมยิ่งพยายามที่จะดึงตัวเขาเข้ามาหา จากที่เหมือนจะแกล้งกันเล่นๆ ตอนนี้สำหรับผม มันเริ่มไม่สนุกแล้ว ผมก็เลย เดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น

“((แป้งเป็นอะไร?))”

“ทำไม? แค่นี้ทำไมฟังต้องอารมณ์เสีย”

“((แป้ง เรายังไม่ได้อารมณเสีย แป้งนั้นละเป็นอะไร?))”

“ฟัง”

“((ครับ))”

“ฟังจำคำสัญญาที่ฟังให้เราก่อนเกิดเรื่องได้ไหม? ฟังบอกว่า ฟังจะเลิกคบกับลูกตาล”

“((แป้ง))"

“ฟังทำตามสัญญาสิ ฟังเลิกคบสิ ทำไมฟังต้องไปคลุกคลีอีกละ”

“((มันเป็นเพราะเรื่องงาน))”

“งานอีกแล้ว อะไรก็งานๆ แล้วที่สัญญาไว้ละ ไหนที่สัญญาเอาไว้ไง จะผิดคำสัญญากับเราเหรอ?”

“((แป้ง เราไม่ผิดคำสัญญา เราแค่บอกว่า มันจำเป็นเรื่องงาน))”

“แค่เรื่องงานจริงๆ นะ?”

“((อื้ม แค่เรื่องงาน))”

   ผ่านไปแล้วกับอาทิตย์ที่ทรหดสำหรับผม วันนี้ผมเคลียร์งานทุกอย่างได้ลงตัวหมดแล้ว ตอนเลิกงานผมเลยเรียกลูกตาลเข้ามาเคลียร์ เพราะผมเองก็ไม่อยากทะเลาะกับแป้ง กะจะคุยกับลูกตาลให้เป็นเรื่องเป็นราวว่า หลังจากนี้ ผมกับเขา คงได้แต่ติดต่อกันเรื่องงาน ผมไม่สามารถอยู่ๆ ก็เมินเฉยลูกตาลไปได้เลยอีกอย่างผมก็อยากจะขอโทษลูกตาลด้วยที่เรื่องราวระหว่างเพื่อนของเรามันจบเพราะผมเลือกคนที่ผมรัก เพราะว่าในสมัยเด็ก ถ้าในห้องที่เรียนผมไม่มีเขา ผมก็อาจจะไม่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ เพราะเขาเป็นที่รักของเพื่อนในห้อง พอลูกตาลเขายอมรับผม มันก็เลยง่ายที่เพื่อนๆ จะต่างเข้าหาผมด้วย ซึ่งตอนที่ผมอยู่โรงเรียนเก่า ก่อนย้ายเข้ามาที่นี้ผมไม่เคยได้สัมผัสกับบรรยากาศของคำว่ามีเพื่อนเลย

“((ลูกตาล ต่อไปนี้ เราคงติดต่อกับลูกตาลได้แค่เรื่องงานนะ เรื่องส่วนตัวเราคงไม่สามารถติดต่อกับลูกตาลได้อีกแล้ว))”

“ฟัง นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นายยอมตัดเพื่อนเลยเนี่ยนะ? เราทำผิดอะไร? ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา เราก็ไม่ได้ทำอะไรแป้งเลยนะ มีแต่ฝ่ายแป้งที่ทำทุกอย่างให้เรื่องมันเกิดขึ้น”

“((เราพูดได้แค่ว่า เราขอโทษ นะ))”

“ก็ได้ เรื่องแบบนี้ เราไม่สามารถห้ามฟังได้อยู่แล้ว จริงไหม? เราขอให้นายโชคดีกับทางที่นายเลือกแล้วกัน”

“((ขอบคุณนะลูกตาลที่เข้าใจ))”

   โล่งอกที่พูดแล้วลูกตาลเข้าใจ แม้เราจะไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องโกรธกัน ผมไม่อยากเดินจากมาจากเพื่อนด้วยการทะเลาะ

“โอ๊ะ” ลูกตาลทำท่าจะล้มลงตอนที่จะเดินก้าวผ่านผมไป ผมก็เลยต้องก้มลงไปจับแขนลูกตาลเอาไว้

“ทำอะไรกัน!!” แป้งเดินเข้ามาในห้องผมดึงลูกตาลออกไปจากมือของผม

“ไหนบอกว่าถ้าแพ้แล้วจะออกไปจากชีวิตไง”

“......”

“แล้วนี่กำลังจะทำอะไร วันนั้นมันก็บอกทุกอย่างอยู่แล้ว เมื่อไหร่เธอจะหยุด”

   แป้งกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? หยุดอะไร ? วันนั้นวันไหน ผมไม่เข้าใจ  ผมรู้แค่ว่าแป้งบอกท้าให้ลูกตาลลองเล่นเกมส์ ว่าผมจะเลือกใคร แต่ผมก็เพิ่งจะเลือกตอนนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าจะพูดเรื่องผลแข่ง ผลมันก็เพิ่งออกนิ แล้วทำไมแป้งพูดเหมือนผล มันเคยออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

“ฟัง ดูเอาไว้นะ นี่ละธาตุแท้ของคนที่นายยอมเลือกที่จะเลิกคบกับฉัน ดูเอาไว้ให้เต็มตา วันที่นายเกิดอุบัติเหตุ วันนั้น..”

“พอๆ ออกไปลูกตาล ออกไป”

“ทำไม? รับความจริงไม่ได้เหรอ กลัวเหรอ? อ้าว ยังไม่เคยเล่าให้เขาฟังเหรอ? หึ นี่นะเหรอคนที่ถูกเลือก ”

“((แป้ง))”

       ในชีวิตนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเสียใจที่ผมไม่สามารถเปร่งเสียงออกมาได้ เพราะตอนนี้ ตอนที่สองคนนั้นกำลังพูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ และผมพยายามเรียกให้สองคนนั้นกลับมา กลายเป็นว่าไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงของผมและหยุดหันมาทำให้ผมกระจ่างขึ้นได้เลย แถมตอนนี้ผมพยายามเรียกแป้ง แป้งก็ยังไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนของผมได้อีก

“เอาละฟัง ฉันไปละ เรื่องที่นายคุยกับฉันเอาไว้ ฉันจะยังไม่ถือว่ามันเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากนายนะ จำไว้ นายยังมีฉันเสมอ”

   หลังจากลูกตาลพูดจบแล้วเดินออกไป ห้องทำงานของผมตอนนี้ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นมาอีกเลย

“((มีอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหม?))” ในที่สุดก็เป็นผมที่ทำลายความเงียบนี้

 “ฟัง ฟัง ให้โอกาสเราได้พูดอธิบายอะไรบ้างนะ อย่าไปฟังลูกตาลนะ”

“((เราฟังอยู่))” หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็ออกมาจากของแป้ง เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาจาก ตอนนี้ผมสับสนเรื่องราวที่ออกมาจากปากของแป้งกับของลูกตาลมันเหมือนกนังคนละม้วน แต่น่าแปลกคือ แม้ตอนต้นและตรงกลางจะไม่เหมือนกัน แต่ตอนจบมันก็เหมือนเดิม คือแป้งเอาผมเป็นเดิมพัน ว่าผมจะเลือกใคร

“เพราะฉะนั้น ฟังต้องรักษาสัญญานะ ที่ฟังบอกว่าจะเลิกคบ ต้องเลิกคบนะ เราก็เล่าให้ฟังหมดแล้ว เราไม่เคยเอ่ยปากเล่าให้ฟัง ฟังเลย เพราะว่าเราไม่อยากดูเหมือนเป็นคนขี้ฟ้อง”

“((แป้งสนใจ แค่เรื่องเราจะเลิกคบกับลูกตาลรึเปล่าแค่ไหนเหรอ?))”

“ใช่สิ เราต้องการแบบนั้น”

“((เพราะอะไร?))”

“เพราะว่า ถ้าเราชนะลูกตาลจะออกไปจากชีวิตของพวกเราไง”

ชนะ คำนี้สินะที่แป้งต้องการ ได้ผมสามารถให้สิ่งที่แป้งต้องการได้อยู่แล้ว แค่เรื่องชนะเอง ทำไมผมจะทำให้เขาไม่ได้

“((ก่อนที่แป้งจะเข้ามา เราบอกกับลูกตาลไปแล้ว ว่าเราจะติดต่อกับลุกตาลแค่เรื่องงานเท่านั้น))”

“ขอบคุณมากนะฟัง ขอบคุณมาก เรารักฟังนะ”

((เหรอ รักเหรอครับ?))” น่าแปลกที่เวลาอื่นๆ แป้งไม่เคยพูดคำว่ารักให้ผมได้ยิน แป้งจะพูดต่อเมื่อแป้งได้สิ่งที่แป้งต้องการแล้ว
“รักสิ”

   ขากลับบ้านมาที่บ้านแป้งดูอารมณ์มาก ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็หาเรื่องมาเล่าให้ผมได้ฟังตลอดเวลาที่ผมกลับบ้าน กลับมาถึงบ้านก็เตรียมอาหารเย็นให้เรียบร้อย เหตุการ์ณแบบนี้ผมว่าผมเคยเห็นมาตลอด ตอนที่แป้งเขาจะขอให้ผมทำอะไรให้แป้งก็จะเป็นคนที่น่ารักแบบนี้เสมอๆ ผมได้แต่เก็บภาพเหล่านี้เอาไว้ รอยยิ้มของเขา ทำให้ผมมีความสุขได้จริงๆนะ แต่ตอนนี้ ผมจะผิดไหมที่ผมอยากมีรอยยิ้มของผมบ้าง และผมก็อยากให้คนตรงหน้า รักผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำให้เขาดีใจแบบนี้บ้าง

“((แป้งครับ))”

“หื้ม?”

“((เราว่า เราสองคน น่าจะลองห่างกันดูสักพักนะ แป้งอยากย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านไหม? ที่บ้านน้าปิ่นก็อยู่คนเดียวไม่มีใคร))”

“ฟัง พูดอะไร ออกมา ฟังเป็นอะไร เราทำอะไรให้ไม่ถูกใจฟังเหรอ? ยังไม่หายโกรธเราเหรอ?”

“((ไม่ใช่ครับแป้ง ฟังไม่ได้โกรธแป้งแล้ว แต่ฟังว่าเราสองคนยังไม่ได้พร้อมที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบคนรักกัน))”

“แต่เราพร้อม เราพร้อม เรารักฟัง”

“((...))”

“นะ ฟังนะ อย่าทำแบบนี้ อย่าไล่เรา ให้โอกาสเรา เราทำทุกอย่างก็เพื่อฟังนะ”

“((เพื่อเรา แป้งแน่ใจนะ ว่าแป้งทำทุกอย่างเพื่อเรา? แป้งทำให้เห็นสิว่ารักกัน ทำได้ไหม ทำสิ))”

“แล้วที่ผ่านมาเราไม่รักฟังตรงไหน?”

“((รักเหรอ แป้งพูดเหรอว่ารัก รักใคร? รักเรา รักตัวเอง รักใคร?))”

“ฟัง”

“((ไหน อะไรที่มันสามารถบ่งบอกว่ารักเราไหน? เราไม่รู้หรอกนะว่าไปแป้งตกลงอะไรไว้กับลูกตาล ตอนไหน เราไม่รู้อะไรเลย จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าที่แป้งมาทำดีกับเราตลอดเวลาแบบนี้ เพราะอะไร เพราะรัก? เพราะรู้สึกผิด? หรือเพราะกลัวจะแพ้?))”

“เรา”

“((ไหน อยากให้เรารู้อะไรบอกมาสิ บอกมา))”

“เรารักฟัง”

“เรารักฟัง เรารักฟังจริงๆ ใครจะว่าอะไรเราไม่รู้ เราไม่รู้ด้วยว่าที่เราตัดสินใจทำลงไปเพราะอะไร เรารู้แค่ว่าเรารักฟัง”

 “((อื้ม))”

“เรารักฟังจริงๆนะ เราไม่รู้ว่าลูกตาลพูดอะไรตอนที่อยู่กับฟัง แต่เราไม่ได้เป็นแบบที่ลูกตาลพูดนะ หรือถ้าเราเป็นเราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นแบบนั้น ที่เราทำทั้งหมดใจเราทำไปเพราะคิดแค่ว่ามันจะดีกับเราสองคนจริงๆนะ”

“เรา แค่ไม่อยากให้น้าหน่อยไม่ชอบเรา ถ้าเกิดเราแพ้ แล้วลูกตาลเอาเรื่องเราสองคนไปบอกผู้ใหญ่”

“((แป้งแค่ไม่อยากถูกใครเกลียด แป้งเลยเลือกที่จะทำแบบนี้))”

“ไม่ๆ ฟัง ฟังเราก่อน”

“((อื้ม))”

“เราไม่อยากให้น้าหน่อยเกลียดเรา เพราะเรากลัวว่าถ้าน้าหน่อยเกลียดเราแล้วน้าหน่อยจะไม่ให้เราเจอกับฟัง เรากลัวเราจะเข้ามาบ้านนี้ไม่ได้อีกต่อไป หรือ ฟังอาจจะไม่สามารถไปหาเราได้อีกต่อไป เราไม่อยากสูญเสียฟังไป เราเลยเลือกทำแบบนี้ ฟังเข้าใจเราไหม?”

“((ทำไมไม่คิดที่จะบอกเราสักคำ?))”

“เรากลัวฟังไม่ยอม พอฟังไม่ยอมเรากลัวว่าในที่สุดผู้ใหญ่ก็ต้องให้เราเลิกกันอยู่ดี”

“((แป้งพอ เมื่อไหร่แป้งจะเลิกเอาคำว่า ลูกตาล มาเป็นข้ออ้างในการกระทำสักที ที่เราอย่างห่างกับแป้ง เพราะเราไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า แป้งรักเราจริงๆ))”

“แล้วเราจะต้องทำยังไงให้ฟังเชื่อ เราต้องทำยังไง?”

      นั้นสิแป้งต้องทำอะไร ถามผม ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องการให้แป้งทำอะไร ที่ผมรู้คือตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะมีแป้งอยู่ตรงนี้ ผมแค่ทำใจเชื่อไม่ได้ว่าแป้งรักผม ระหว่างเราสองคนไม่มีคำพูดอะไรเกิดขึ้นมาอีกเลย  ผ่านไปแล้วทั้งหมดร่วม 2 ชั่วโมง ผมกับแป้งยังคงนั่งกันอยู่ที่เดิม แป้งร้องไห้จนหลับไปแล้ว ส่วนผมยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เขา นั่งมองคนข้างๆ ผมที่ตอนนี้ตาบวมจนน่ากลัว ด้านข้างแก้มก็เป็นรอยปื้นแดงเพราะเช็ดน้ำตาน้ำมูกไปหมด ในขณะที่แป้งหลับผมก็คิดย้อนหลังกลับไป เรื่องนี้จริงๆ มันเริ่มมากจากอะไร เพราะตัวผมเองที่ดื้อรั้นที่อยากมีเพื่อนอีกคนไว้อย่างลูกตาล หรือ เพราะเราสองคนไม่เคยเข้าใจกัน?
 
“ฟัง”

“((ไปล้างหน้าล้างตาไป))”

“ฟัง หายโกรธแป้งยัง?”

“((ลุกเถอะ))”

“เรา” ผมตัดสินใจลุกขึ้นก่อนเพราะถ้าผมไม่ลุกแป้งก็ต้องไม่ลุกแน่นอน หลังจากแป้งลุกไปล้างหน้าล้างตาผมก็ลุกไปเตรียมกุญแจรถออกมายืนรอแป้งที่ข้างล่างบ้าน

“ฟังจะออกไปไหน?”

“((ไปข้างนอกไปด้วยกันหน่อยสิ))”

หลังจากล้างหน้าล้างตาแป้งดูสดชื่นมากขึ้น แม้ตาจะดูช้ำแต่ก็มีรอยยิ้มในมากกว่าเดิม ผมขอเห็นแก่ตัวขอเก็บดวงตาแบบนี้ให้ตัวเองอีกสักหน่อย

“((อื้ม))”

“ฟังจะไปซื้ออะไรอะ? ต้องไปแถวบ้านเราเลยเหรอ? งั้นเย็นนี้ค้างที่บ้านไหม? แม่น่าจะดีใจ”

“....” ผมขับรถออกมาจากบ้านเลยมาแถวบ้านของแป้ง ตลอดทางแป้งดูไม่ได้แปลกใจ จนตอนที่มาถึงแถวทางหน้าหมู่บ้านของแป้งแล้ว แป้งถึงพยายามเอ่ยถามมากขึ้น ว่าทำไมผมต้องมาซื้อของไกลขนาดนี้ จนตอนนี้ผมมาจอดรถที่หน้าบ้านของแป้งแล้ว
 “ฟัง” เสียงของแป้งเริ่มสั่น ผมคิดว่าตัวแป้งเองคงจะสังเกตุอะไรได้บ้างแล้ว

“ฟัง ไม่ดับเครื่องเหรอ ลงไปด้วยกันสิ จะค้างที่บ้านใช่ไหม?” ผมยังคงอยู่ในที่นั่งของคนขับเช่นเดิมไม่ได้ดับเครื่อง ไม่ได้แม้แต่จะปลดสายนิรภัยออก

“((แป้ง ตั้งใจฟังเรานะ))”

“ไม่เอาไม่ฟัง ไม่อ่านปากไม่ดูมือ ไม่อะไรทั้งนั้น ฟังต้องเข้าบ้านก่อน”

     แป้งรีบเอาตัวจะลงจากรถ ผมดึงแป้งกลับเข้ามาในรถตรงที่นั่ง เข้ามาในรถได้แป้งก็เอาแต่นั่งก้มหน้าหลับตา ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมเอามือออกไปจับแก้มของแป้งเอาไว้เพื่อบังคับใบหน้าของแป้งให้มองตรงมาที่ผม แป้งยังคงดื้อรั้นด้วยการหลับตาลง ในใต้เปลือกตานั้นผมเห็นถึงการสั่นของเปลือกตา มันสื่อได้ดีว่าแป้งกำลังรู้สึกอย่างไร แน่นอน หลับตาลงแล้วผมจะสามารถอะไรกับเขาได้ ผมจึงอดทนและเฝ้ารอ

ผมจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ทุกครั้งที่มีปัญหากัน เราสองไม่เคยเคลียร์กันแบบจริงจังสักที ทุกครั้งที่มีปัญหากันเรื่องจะออกมาในรูปแบบที่ว่าแป้งยอมลงให้ก่อนหรือผมทำเป็นลืมให้เรื่องพวกนั้นมันผ่านไป แต่ถ้าผมกับแป้งยังคงปล่อยเรื่องราวให้เป็นแบบนี้ ผมคิดว่าในอนาคตเรื่องความรักของเราอาจจะไม่สวยงามอย่างที่หวังเอาไว้ ผมไม่ได้ต้องการที่จะเลิกกับแป้ง ผมแค่ต้องการเวลาต้องการการปรับตัว ผมนั่งรอจนกว่าที่เขาจะพร้อมแล้วเปิดตาขึ้นมาเพื่อคุยกับผมอีกครั้ง และในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผล แป้งยอมที่จะเงยหน้าเปิดตาขึ้นมาเพื่อคุยกับผมแล้ว

“((แป้ง แป้งว่าความรักของเรามันโอเคจริงๆไหม?))”

“โอเคสิทำไมไม่โอเคความรักของเรามันโอเค อาจจะมีทะเลาะกันบ้างแต่มันโอเค”

“((แต่เราว่ามันไม่โอเค เราขอโทษที่เราไม่สามารถเชื่อมั่นในคำว่ารักของแป้งได้))”

 “ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เพราะว่าฟังยังไม่หายโกรธเราใช่ไหม?”

“((แป้ง ไม่ใช่ครับ เราไม่ได้โกรธแป้งแล้วจริงๆ ถ้าเรายังโกรธเราคงไม่ได้มานั่งคุยอยู่ตรงนี้))”

“แล้วฟังต้องการอะไร?”

 “((อย่างที่เราบอกแป้ง เราต้องการเวลา เราต้องการระยะห่าง เราขอยืนยันคำเดิม))”

 “ไม่ ไม่เอาไม่ห่าง เราไม่อยากห่าง ห่างกันมันจะช่วยอะไรได้ตรงไหน มันอยู่ที่ฟังไม่หายโกรธเรา เราขอโทษนะๆ”

 “((ใจเย็นๆครับแป้ง เราแค่ต้องการให้เราห่างกันเพื่อรักษาใจของตัวเราเอง อีกอย่างแป้งก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเรา ทั้งๆ ที่เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้โกรธแป้งแล้ว แต่แป้งก็ยังคิดว่าการกระทำของเราทุกอย่างที่เราทำลงไปเพราะว่าเราโกรธ อยู่กันด้วยความรู้สึกผิดมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ))”

“ไม่เอา”

“((แป้งครับ))”

แต่ละนาทีที่ผ่านไปมันช่างเป็นความยากลำบาก ผมรู้ผมรู้ว่าการตอบตกลงมันยากลำบากขนาดไหน เพราะตัวผมเองกว่าจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้ผมก็คิดแล้วคิดอีกคิดมา ผมปล่อยให้ความเงียบมันครอบคลุมเราสองคนเอาไว้ เพราะไม่ว่าแป้งจะพูดปฎิเสธข้อเสนอผมยังไง ผมก็ยังต้องการแบบนี้อยู่ดี

“ไม่ เราไม่ตกลง เรายอมเสียฟังไปไม่ได้”

“((เราไม่ได้บอกว่าแป้งจะเสียเราไปสักหน่อยนิครับ))”

“ไม่เรา มะ...”

ก๊อกกๆๆ เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น เงยหน้าขึ้นไปเห็นน้าปิ่นยืนอยู่ ผมเลยลดกระจกลง

“มีอะไรกันรึเปล่า? น้าเห็นรถมาจอดอยู่นานแล้วแต่ไม่เห็นนับเครื่องแล้วลงมากันสักที”

“((สวัสดีครับ ไม่มีอะไรครับ พอดีคืนนี้แป้งเขาจะกลับมานอนที่บ้านครับ))”

“ฟัง..”

“((พอดีผมมีอะไรคุยกับแป้งนิดหน่อยผมเลยไม่ได้ลงครับ))”

“แล้วฟังไม่ลงมาเหรอลูก? ดึกแล้วไม่ค้างที่นี้เหรอ?”

“((ไม่ค้างครับเดี๋ยวผมกลับเลยครับ))” มือที่แป้งจับมือผมเอาไว้มันถูกกำเอาไว้แน่นมาก ผมรู้ว่าแป้งไม่พอใจในการตัดสินใจของผมในครั้งนี้

“งั้นแป้งลงมาได้แล้วลูก เดี๋ยวฟังจะยิ่งดึก”

“ครับ”

“ขับรถกลับดีๆนะลูก”

“((ครับ ผมลานะครับน้าปิ่น แป้ง เราไปนะ))”

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ Cheyp ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ // งึมงำกันตลอดเรื่องเลยคร่าาาาา แหะๆ 

คุณ ศตรัศมี ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ // เนอะค่ะ ลูกตาลเก่งผิดทาง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: -เสียงของฟัง- บทที่ 21 วันที่ 26/07/2016
« ตอบ #49 เมื่อ: 28-07-2016 11:05:11 »





ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ห่างกันสักพัก มันแก้ปัญหาอะไรได้หง่า??? ทำไม่ฟังถึงเลือกการถอยห่างเป็นการแก้ปัญหา ระยะห่างของคนสองคนเมื่อเกิดขึ้นก็จะกลายเป็นช่องว่าง ทีนี้ก็เข้าทางนังลูกตาลนะสิ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย เริ่มเคืองฟังละนะ ถ้าเราสามารถยื่นมือเข้าไปในนิยายได้สิ่งแรกที่จะทำคือตบฟัง แม่จะตบให้หัวทิ่มเลยคอยดู #ทีมแป้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2016 18:46:50 โดย ศตรัศมี »

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
มันวนไปมา หาทางออกให้ตัวละครหน่อยนะ
22 ตอนแล้ว อารมณ์มันซ้ำเดิม คนเขียนเครียดในรายละเอียดของความรู้สึกตัวละครมากไปไหม
เปิดสถานการใหม่ๆ เพื่อให้เรื่องมันเดินหน้าเร็วขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่แค่แยกกันอยู่ เดียวก็กลับมาเข้าเรื่องของ  Feeling อีก
มันอึดอัด และก็จะเกิดอาการอ่านข้ามๆ เพื่อหาเนื้อเรื่อง ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

เป็นข้อแนะนำ+กำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
วนลูปจริงๆ
อ่านตอนนี้แล้วเริ่มรู้สึกว่าเลิกๆกันไปเหอะ...ไม่รู้สินะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 23

หลังจากวันนั้นที่ผมไปส่งแป้งที่บ้าน ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับแป้งอีก แป้งพยายามมาดักเจอผมที่หน้าห้องออฟฟิตของผม ผมก็ไม่ได้หนีหน้าเขา แต่ผมแค่ยืนยันคำเดิมว่าผมต้องการที่จะอยู่คนเดียว แรกๆ แป้งก็ไม่ยอม ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมกำลังทำ มาหาผมที่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากเพราะเป็นช่วงที่แม่ผมกลับมาอยู่บ้านพอดี แป้งพยายามขอโทษและขอร้องให้เราทั้งสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิม จนสามอาทิตย์ผ่านไป แป้งก็มาดักผมที่หน้าบ้านในวันเสาร์

“ฟัง เราขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”

“((เอาสิ จะตรงนี้หรือที่ไหนดี?))”

“ตรงนี้และเราขอคุยแค่แป้ปเดียว”

“((อื้ม เรารอฟังอยู่))”

“เราถามฟังคำเดียว ฟังยังรักเราอยู่ไหม?”

“((รักสิ))”

“งั้น ถ้าฟังต้องการแบบนี้จริงๆ เราโอเค เรายอมแล้ว เราจะรอฟังอยู่ตรงนี้นะ เราไม่รู้หรอกว่าฟังทำแบบนี้ทำไม แต่ถ้าฟังยืนยันว่าการที่ฟังทำแบบนี้แล้วมันเป็นการรักษาหัวใจของฟังให้ดีขึ้นและถ้าทำแบบนี้แล้วเรื่องของเราจะดีขึ้นในอนาคตแบบที่ฟังบอก เราก็ไม่รั้งฟังเอาไว้แล้ว แม้เราจะไม่อยากอยู่ห่างฟัง เพราะเรากลัว แต่เราก็จะยอม”

“((ขอบคุณนะแป้งที่เข้าใจเรา))”

“อื้ม”

ในที่สุดแป้งก็ยอมตกลง ผมขอบคุณที่ในที่สุดเขาก็ยอมเข้าใจ

“((ครับ ฟังรักแป้งนะ ห่างกันครั้งนี้หวังว่าพอเรากลับมา แป้งจะเลิกโทษตัวเองแล้วนะครับ และเราสัญญาว่าวันใดที่เรากลับมามันคือวันที่เราลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นหมดแล้ว แล้วเราจะไม่ระแวงอีกแล้วว่าแป้งรักเราไหม และ เราก็เชื่อว่าในตอนนั้นแป้งจะเลิกโทษตัวเองซ้ำๆ อยู่แบบนี้แล้ว))”

หลังจากวันที่ผมกับแป้งตกลงกันได้ว่าเราจะห่างกันไปใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้มานั่งยึดติดกันและกันแบบนี้ ผมก็ขอทำเรื่องย้ายมาทำงานประจำสาขาที่ประเทศไต้หวัน  ผมมาถึงไต้หวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดีมันเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้คนอย่างผมมีอารมณ์คิดถึงบ้านบ้าง วันที่ผมมาถึงไต้หวันอาทิตย์แรกๆ ผมยังไม่ได้ออกไปเที่ยวดูเมือง ได้แค่ไปกลับระหว่างที่พักกับที่ทำงาน

ช่วงแรกๆผมทำงานหัวหมุนมาก ทั้งภาษาที่ไม่คุ้นเคยแน่นอนว่าเราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารแต่ว่ามันก็ไม่เพียงพอ แถมยิ่งผมไม่สามารถสื่อสารได้ปกติแบบคนทั่วไปผมเลยต้องมีผู้ช่วยอยู่ข้างตัว ผมมีผู้ช่วยคนใหม่ประจำที่สำนักงานที่นี่ ชื่อว่าคุณซ้ง คุณซ้งเป็นคนไต้หวันที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว มันทำให้คุณซ้งช่วยงานของผมได้เยอะมากเลยทีเดียว 

จากเดือนแรกของผมที่มีแต่ความเครียดและงานก็ล่าช้า พอผ่านช่วงนั้นมาได้ งานก็เริ่มเข้าที่และผมก็เริ่มมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น พอมีเวลาเริ่มที่จะว่าง ผมก็เริ่มที่จะวางแผนเที่ยว เพราะตั้งแต่มาเหยียบที่ประเทศนี้ผมยังไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นคนต่างถื่นเลย 

"((คุณซ้งผมอยากออกเที่ยวให้รอบๆ เมืองไต้หวันเสียหน่อย คุณมีสถานที่ ที่อยากจะลองแนะนำผมบ้างไหมครับ?))"

"โอ้ คุณมาถามถูกคนแล้วครับ ผมเป็นนักเที่ยวตัวยงคนนึงเลยทีเดียว"

"((งั้นผมก็คงต้องฝากความหวังไว้กับคุณแล้วละครับ))"

คุณซ้งไม่ได้เป็นแค่คนหาข้อมูลให้ผมเท่านั้น เขายังเป็นคนพาผมไปเที่ยวด้วยตัวเอง ด้วยสาเหตุที่ว่าถ้าผมหลงเขาก็ไม่สามารถมาหาผมเจอเพื่อที่จะพาไปส่งที่พักได้ สู้พามาเลยยังจะง่ายกว่า คุณซ้งพาผมไปในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่โด่งดังในไต้หวัน โชคดีที่ช่วงที่ผมกำลังออกเที่ยวเป็นช่วงที่ฝนตกผ่านพ้นไปแล้ว กำลังเข้าหน้าหนาวผมเลยไปเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ในจำนวนที่คุณซ้งพาไปถ้าถามว่าผมชอบที่ไหนมากที่สุด ผมก็ตอบได้ว่าสถานที่ที่ผมชอบและอยู่่ในความทรงจำมากที่สุดในทริปการเที่ยวก็คือจิ่วเพิ่นเป็นเมืองเก่าแก่ที่เก็บดูแลเอาไว้และเปิดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวได้เที่ยวชม
 
อาทิตย์นี้เป็นอีกอาทิตย์ที่คุณซ้องพาผมมาเที่ยว วันนี้คุณซ้งพาผมมาเที่ยววัด

"((คิดยังไงพาผมมาเที่ยววัดครับ? ผมดูอยากทำบุญมากขนากนั้นเลยเหรอครับ))"

"ผมว่าคุณคงอยากหาที่ทำใจให้สงบ"

"((คุณว่าไงนะครับ?))"

"ไม่รู้สิครับ ทุกครั้งที่ได้ทำงานร่วมกัน ผมมีความรู้สึกเหมือนคุณไม่ได้อยากมาทำงานที่นี้"

"((ผมอยากสิครับ ผมดูไม่ตั้งใจทำงานเหรอ?))"

"เปล่าครับ ผมไม่ได้จะว่าคุณแบบนั้นแต่คุณรู้ไหม ทุกครั้งที่พวกเราในกลุ่มออฟฟิตได้ออกไปกินข้าวด้วยกันทีไร ผมมักจะเห็นคุณเหม่อมองตลอด"

"((ผมอาจจะแค่เหนื่อย))"

"ครับ คุณอาจจะแค่เหนื่อยแต่ ทุกครั้ง คุณยังพกเจ้าสิ่งนั้นอยู่กับตัวตลอดเวลา แล้วทุกครั้งที่คุณเหม่อมอง คุณก็มักจะกำเจ้าสิ่งนั้นเอาไว้ในมือตลอดเวลา"

"((อ่อ))" นั้นก็คือกระเป๋าผ้าห้อยคอที่แป้งเคยให้เอาไว้กับผมตั้งแต่สมัยเด็ก ผมแค่พกติดตัวเอาไว้ มันทำให้ผมอุ่นใจ คนอื่นอาจจะคิดว่ามันเป็นเหมือนพวกเครื่องรางของขลัง แต่ของผม ทุกครั้งที่ผมรุ้สึกเหงา ผมแค่มีเจ้านี้เอาไว้ในมือ

"ถ้าให้ผมเดา สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่คนสำคัญของคุณให้มาใช่ไหมครับ?"

"((ครับ เขาเป็นคนให้มาครับ))"

"คุณคงจะลำบากใจมากสินะครับ ที่ต้องมาดูแลงานฝั่งนี้ ผมเดาเอาว่าคนรักของคุณต้องไม่ได้อยู่ในไต้หวันอย่างแน่นอน"

"((ผมเป็นคนขอเขามาเองละครับ))"

"โอ้ อย่างนั้นเหรอครับ" แล้วตลอดสองข้างทางผมก็ไม่ได้ต่อบทสนทนาให้เกิดขึ้นอีก ผมกับคุณซ้งเดินเรียบทางมาเรื่อยๆ จนถึงตัววัด ลมในหน้าหนาวมันทำให้ผมรู้สึกหัวโล่ง รึอาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นเขตวัดเลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างที่คุณซ้งว่าจริงๆ
   
"มาถึงที่ ที่ผมอยากจะพาคุณมากแล้วครับ นี่ครับ วัดหลงซาน เป็นวัดที่ผู้คนมักจะให้ความเคารพเป็นอย่างมากครับ ผู้คนชอบมาขอพวกเรื่องงานและความรักครับ"

"((อ่อครับ))"

"มันศักสิทธิ์มากเลยนะครับ"

"((ครับ))" 

"พอผมบอกเรื่องว่าขอความรักได้ ดูคุณฟังตั้งใจอธิฐานมากเลยนะครับ"

"((จริงเหรอครับ? ผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอครับ?))"

"ผมล้อคุณเล่นนะครับ?"

"((ผมก็นึกว่าคุณซ้งเป็นพวกหมอดู))"

"ไม่หรอกครับแค่คุณชัดเจนมากเท่านั้นเอง"

"((...))" ผมได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไรคุณซ้งกลับไป

หลังจากผมกับคุณซ้งเดินเล่นกันในวัดและรอบๆ วันเสร็จแล้ว  พวกผมก็ตัดสินใจไปเดินหาของกินเพราะตอนนี้ก็บ่ายมากแล้ว หลังจากกินข้าวกันเสร็จตอนช่วงบ่ายแก่ๆ คุณซ้งพาผมไปช้อปปิ้งที่ ซีเหมินถิง เป็นแหล่งซื้อของขนาดใหญ่ คนเยอะมากผู้คนแน่นขนัดไปหมด แต่ผมก็ได้ของที่ถูกใจมาเยอะ ทั้งของตัวเองและของฝาก จะว่าไปวันนี้ผมก็ต้องขอบคุณคุณซ้งที่พาผมไปสถานที่แห่งนั้น เพราะมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นจริงๆ

 มื้อเย็นผมเลยชวนคุณซ้งมาทำอะไรทานกันที่ห้องกะจะนั่งจิบเบียร์นั่งคุยกันชิวๆ เป็นรางวัลให้แก่ไกด์นำเที่ยวดีเด่น กลับมาถึงที่พักกำลังเก็บของทุกอย่างที่ได้มาให้ที่เข้าทาง ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า สิงที่ผมพกติดตัวมาตลอดมันหายไป กระเป๋าห้อยคอใบนั้นมันหายไป

"((คุณซ้งครับ คุณซ้งเริ่มทานก่อนได้เลยนะครับ เบียร์อยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวผมมา))"

"เฮ้ คุณจะไปไหน"

"((ผมจะไปตามหาของครับ ผมทำของหาย))"

"แล้วคุณรู้เหรอว่าหายที่ไหน มาสิผมไปด้วย ช่วยกันหา"

"((ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมทำหายที่ไหนครับ คุณซ้งไปจะเหนื่อยเปล่า))"

"ไม่เอาน่า ในเมื่อคุณยังไม่รู้เลยว่าคุณทำมันหายที่ไหน แล้วคุณจะไปตามหาได้ยังไง?"

"((แต่ มันเป็นของสำคัญ))"

"โอเค งั้นผมจะไปช่วยคุณ"

พวกเรามาถึงสถานที่แหล่งช้อปปิ้งอีกครั้ง ทุกอย่างก็แถบจะปิดตัวลงแล้วอีกอย่าง คนบางตามากกว่าเมื่อตอนบ่ายก็จริง แต่มองไปตามทางเดินไปรอบๆ เท่าไหร่ก็ไม่เจอ ผมได้แต่นั่งลงตรงฟุตบาทกับริมถนนแถวนั้น ผมรู้แล้วละว่ามันจะหาไม่เจอ แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับออกไปจากที่ตรงนี้แบบมือเปล่า
 
"เฮ้ ฟัง ของสิ่งนั้นมันอาจจะสำคัญมากสำหรับคุณ แต่ในเมื่อมันหายไปแล้ว หายก็คือหายคุณจะมาจมนั่งอยู่ตรงนี้มันก็ไม่ช่วยให้หาของสิ่งนั้นเจอ งั้นทำไมคุณไม่รู้จักปล่อยวางบ้างละ?"

น่าแปลกที่คำพูดของคุณซ้งแม้เขาจะเอ่ยพูดปลอบผมในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งของ แต่ผมกลับรู้สึกถึงสิ่งอื่นไปมากกว่าของที่หายไป
"((คุณซ้ง ผมต้องขอบคุณ คุณจริงๆ นะครับ ในเรื่องของวันนี้))"

"ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มาช่วยหาของ"

"((ครับ))" 

6 เดือนผ่านมา

อากาศเมืองไทยต่อให้ไม่ขึ้นว่าหน้าร้อนมันก็ร้อนอยู่ดี  6 เดือนที่ผ่านมาอาจจะผมไปอยู่ในช่วงหนาวที่ไต้หวันพอดี ผมก็เลยรู้สึกแอบเสียดายอากาศที่นั้นอยู่ลึกๆ ได้แต่ส่ายหัวให้กับตัวเองนิดๆ ผมจะเสียดายอากาศที่นั้นทำไม ในเมื่อการที่กลับมาเมืองไทยครั้งนี้ผมเป็นคนเลือกที่จะกลับมาด้วยตัวของผมเอง 

ก่อนที่ผมจะตัดสินใจกลับมา ทางสาขาที่ไต้หวันมีทีท่าอยากขอต่อสัญญาให้ผมทำงานอยู่ที่โน้นต่ออีก เพราะมันยังมีโปรเจ็คที่ผมสามารถทำต่อไปได้ แต่ผมก็ปฎิเสธโอกาสนั้นไป ขอกลับมาเป็นเพียงแค่ผู้ประสานงานอยู่ที่สาขาที่เมืองไทยก็พอ 

ออกมาจากสนามบินผมก็เรียกแท๊กซี่กลับตรงมาที่บ้านช่วงที่มาถึงก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้วเพราะผมบินกลับมารอบ 2 ทุ่มจากไต้หวันมันมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่ทำให้ผมไม่ได้เดินทางด้วยไฟล์เช้า ใจจริงวันนี้พอกลับมาถึงเมืองไทยผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมอยากจะไปที่ ที่นึงแต่ผมคิดว่าโครงการนั้นผมสมควรที่พับเก็บไป อาบน้ำอาบท่ารื้อกระเป๋าออกจัดข้าวของ จนเอาผ้าไปซักเอาออกมาตากเรียบร้อยทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง น่าแปลกทั้งๆ ที่ผมเพิ่งลงเครื่องมาและทำทุกอย่างขนาดนี้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ผมเลยตัดสินใจขับรถไปที่ที่ผมอยากไป ผมคิดว่าถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมคงได้สว่างคาตาแน่นอน
 
ผมมาถึงที่ ที่ผมอยากจะมาแล้วครับ ทุกอย่างที่บ้านหลังนี้ยังเหมือนเดิม หน้าบ้านของแป้งยังคงมีต้นไม้ต้นเดิมไม่ได้ย้ายไปไหนก็จะมีบ้างบางต้นที่ดูสูงใหญ่ขึ้น ไฟห้องนอนห้องนั้นปิดไปแล้ว ก็แน่นอน นี่มันก็มันจะตีสี่เข้าไปแล้วใครจะมานั่งตื่นอยู่แบบผมได้อีก นั่งมองหน้าต่างห้องนอนบานนั้นมองไปมองไปมองมาผู้ก็รู้สึกง่วงนอน ผมก้อมมองดูนาฬิกาน่าแปลกที่ผมมาหยุดที่บ้านหลังนี้แค่เพียง 10 นาทีเท่านั้นแต่ผมกลับบรุ้สึกง่วงแล้ว ทั้งๆที่ผมพยายามให้ตัวเองหลับตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนก็ไม่เป็นผล 

เช้ามาผมต้องไปรายงานตัวแต่ด้วยที่เมื่อคืนกว่าผมจะกลับมาถึงบ้านตัวเองก็เช้าพอดี ผมเลยไม่มีแรงที่จะตื่นไปรายงานตัวตอนเช้า มีการส่งเมสเสจบอกกับที่ทำงานเรียบร้อยว่าผมขอเลื่อนวันรายงานตัวไป 1 วัน วันนี้ผมเลยนั่งสรุปงานอยู่ที่บ้าน แต่ผมก็ไม่ลืมว่าวันนี้ผมตั้งใจจะทำอะไร ผมตั้งนาฬิกาเอาไว้ ตั้งเตือน ผมเสียเวลาไป 1 วันแล้ว ผมต้องไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง 

ผมมาที่เดิมที่บ้านของแป้ง ผมดักรอแป้งตั้งแต่ 5 โมงเย็นผมรู้ว่าผมคงตื่นเต้นมากเกินไป เพราะกว่าแป้งจะเลิกงานก็ 5 โมงและผมมาตั้งแต่ตอนนี้ แต่ผมอยากมารอเขาจริงๆ ผ่านไปแล้ว 3 ชั่วโมง ตอนนี้ก็สองทุ่มแล้ว ผมรอแป้งในรถจนน้าปิ่นกลับมาแล้วเห็นผม เราสองคนคุยกันในระหว่างที่ผมรอแป้ง น้าปิ่นอยากให้ผมเข้าไปรอแป้งข้างในบ้าน แต่ผม ผมอยากรออยู่ตรงนี้แค่ 3 ชั่วโมงของผมตรงนี้มันเทียบไม่ได้เลยที่ถ้าแป้งยังรอผมอยู่ เท่ากับว่าเขารอผมมาเป็น 6 เดือน กะอีแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมผมจะรอไม่ได้

แกร้ก และในที่สุดคนที่ผมเฝ้ารออยากเจอเขา เขาก็มาถึง เสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านดังขึ้น ใจผมเต้นแรง ความคิด ความห่วงหา ความอยากเห็นหน้ามันมาพร้อมกันอยู่ในช่วงเวลานี้

“ฟัง!!” ทันทีที่แป้งเห็นหน้าของผม แป้งก็ตะโกนชื่อผมออกมาเสียงดัง ปากของแป้งยิ้มกว้างแม้ว่าน้ำตาของแป้งกำลังจะไหลลงมาก็ตาม ผมกางแขนออกทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแป้งจะเข้ามาสู้อ้อมกอดของผมไหม แต่ ต้องขอบคุณที่แป้ง ยังคัดสินใจวิ่งเข้าไปสู่อ้อมกอดที่ผมกางเอาไว้รอ ทันทีที่ผมได้กอดเขาเอาไว้ ผมก็รู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมคิดถึงอ้อมกอดที่กอดกลับมาจากคนๆนี้ กลิ่นนี้ที่คิดถึง คนนี้ที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด

"ฟัง ฟังกลับมาหาเราจริงๆ ใช่ไหม ที่ผ่านมาเรารอฟังมาตลอดนะ เรารอจริงๆนะ"

"((เรารู้ เรารู้ เรากลับมาแล้ว))"

เราสองคนยืนกอดกันให้หายคิดถึงอยู่ตรงโต๊ะหน้าบ้านเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่ได้นับ และก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็ไม่สามารถหายคิดถึงคนตรงหน้าได้เลย

"เข้าบ้านกันไหม วันนี้แม่อยู่บ้านด้วย เรา เอ่อ กลัวแม่เห็น"

"((ครับๆ เข้าบ้านกันครับ))" ผมปล่อยให้แป้งไปจัดการกับตัวเอง กินข้าวอาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อย ผมเองก็ด้วย แล้วตอนนี้ก็เป็นตอนที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันสองคนในห้องของแป้ง
 
"เอ่อ ที่ฟังกลับมา เพราะว่าฟังพร้อมแล้วที่จะคบกับเราใช่ไหม?"

"((อื้ม เราพร้อมแล้ว เราสามารถปล่อยวางเรื่องอดีตได้หมดแล้ว เราพร้อมที่จะเริ่มใหม่ทั้งหมด และเชื่อว่าแป้งรักเราได้แล้ว))"
"ขอบคุณนะ ขอบคุณๆ ที่กลับมา"

"((เราก็ขอบคุณที่รอเรา และ ก็ขอโทษที่ทำให้รอ))"

"ไม่เป็นไรๆ"

"ฟัง ฟังรู้ไหม ในช่วงแรกที่เราไม่มีฟังอยู่ข้างๆกัน เราพยายามทำตัวให้ยุ่งทุกวันงานใครไม่เสร็จเราเสนอตัวเอาตัวเข้าไปช่วยเสมอๆ  ในวันนั้นวันที่ฟังบอกว่าขอห่างกันเรายอมรับว่าเราไม่เข้าใจว่าการห่างกันจะช่วยอะไร แต่เราก็ยอมถอยออกมาด้วยความที่ไม่เข้าใจนั้นแหละ รู้เพียงอย่างเดียวว่าถึงยื้อคนที่ไม่มีใจไว้มันก็เปล่าประโยชน์ แต่พอมาถึงวันนี้ ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้วว่าฟังต้องการสื่อถึงอะไร เรารู้แล้วว่าการห่างมันช่วยอะไร"

"((แป้ง))"

"เดี๋ยวอย่าเพิ่งเราขอพูดให้จบก่อน  ตอนแรกที่ฟังบอกจะห่างกันเราก็คิดเอาเองว่ามันคงไม่เลวร้ายมากเพราะยังไงเราสองคนก็ต้องเจอกันที่ทำงานอยู่ดี แต่พอเอาเข้าจริงหลังจากนั้นฟังทำเรื่องขอไปทำที่ศูนย์ใหญ่อีกสาขา เราแทบทรุดเลยฟังรู้ไหม?"

"((...))" ผมไม่ได้ตอบอะไรผมแค่อยากให้แป้งพูดระบายความในใจออกมาให้หมด ผมแค่แสดงตัวตนว่ายังนั่งฟังเขาอยู่ตรงนี้โดยการที่เอามือเกลี่ยไปตามกรอบหน้าของแป้ง 

"ช่วงแรกที่เรากับฟังไม่ได้เจอกันเป็นช่วงที่เราทรมาณที่สุด ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งกังวลกลัวการห่างกันครั้งนี้จะเป็นการห่างแล้วห่างเลย กลัวว่าฟังจะไม่กลับมา เอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะตัวเองที่ทำให้ฟังต้องไปไกล โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ความรักของเรามันพัง แต่พอได้อยู่กับตัวเองมากเข้าก็ทำให้รู้ว่าคนทุกคนมีความผิดพลาดกันได้ แล้วเราก็รู้แล้วว่าฟังต้องการให้เราเรียนรู้ในจุดนี้ เพราะเราเอาแต่กังวลทำให้ทุกครั้งพอมีเรื่องอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจเราคิดเอาไว้ เราก็โทษกลับไปแค่ว่าเพราะฟังยังไม่ให้อภัยเรา ทำให้เรื่องราวของเรามันก็ไม่เคยดีขึ้นมาเลย หลังจากที่เข้าใจมากขึ้น เราก็เลิกโทษตัวเองแค่ทำวันนี้ต่อไปให้ดีที่สุด  เพราะถ้ายังคงอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกผิดต่อกันความรักของเรามันคงไม่ดีขึ้น เราแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดคือสิ่งที่ฟังต้องการให้เราเข้าใจใช่ไหม?"

"((ใช่ครับ ที่ห่างกันไป เราแค่อยากให้ทั้งเราทั้งแป้งรู้สึกดีขึ้นทั้งสองฝ่าย ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่า มันจะดีขึ้นจริงไหม แต่เราคิดออกแค่วิธีนั้นวิธีเดียวจริงๆ เราไม่อยากให้แป้งมานั่งระแวงเพราะรู้สึกผิด เราเองก็อยากเลิกระแวงว่าแป้งไม่รัก และเราก็ขอบคุณที่แป้งยังรอ เพราะถ้าไม่รักกันแป้งคงไม่รู้กันนานขนาดนี้))"

“อื้ม กลับมาอยู่ด้วยกันนะ ต้อนรับกลับมานะ”
 
“((ครับ กลับมาอยู่ด้วยกันครับ))”

...จบบริบูรณ์.......

คุยกันๆ ค่ะ เรื่องนี้เราวางพล้อตจบตรงนี้เลยค่ะ อันนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราวางพล้อตเรื่องจำได้ว่า เราเขียนว่า จบบริบูรณ์ ได้ก่อนเนื้อเรื่องอีกค่ะ เราตั้งโครงเรื่องเอาไว้ว่า เป็นเรื่องของคนสองคนที่รักกันรักเพราะผูกพันธ์กัน แต่ไม่พูดกันว่าต่างคนต่างรู้สึกอย่างไรจนเรื่องมันบายปลาย เราเลยเอา ฟังเป็นคนที่พูดออกเสียงไม่ได้ซะเลย ส่วนคนที่มีเสียงเช่นแป้งก็ไม่ยอมพูดเพราะฉะนั้นมันจะต่างอะไรกับคนที่ไม่มีเสียงจริงไหมคะ?

เราเห็น ความคิดของเห็นของทุกคนนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ จริงๆ เรื่องที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นเราเห็นด้วยนะคะ เราพยายามแก้แต่มันมาตอนจะจบพอดี เราแก้ไม่ทัน เราพยายามขัดเกลาแต่มันไม่ไป เราขอโทษนะ เรามือใหม่จริงๆ ยังไงเราจะจดเอาไว้ แล้วเอาไว้ปรับปรุงในงานเขียนเรื่องต่อไปให้มีเนื้อเรื่องที่ดำเนินได้ดีกว่านี้นะคะ เราจะพยายามค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจริงๆ ค่ะ

เราขอขอบคุณทุกคนและทุกเม้นท์นะคะ ทุกคอมเม้นท์ที่ปรากฎอยู่ในเนื้อเรื่องนี้ มันทำให้เรามีกำลังใจอันฮึกเหิมมากค่ะ

เราขอขอบคุณที่คนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ ทุกยอดวิวยอดคลิ๊กที่เข้ามาอ่าน มันทำให้เราฟิตมากค่ะ

ถึง

คุณ ศตรัศมี จบแล้วคร่า เดินทางมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหน เราต้องขอแก้ตัวเรื่องหน้านะคะ ฮาาา ขอบคุณสำหรับ ทีมแป้งค่ะ

คุณ wam_sugi ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ และ คำแนะนำคร่า เรื่องนี้ฟ้าปรับปรุงไม่ทัน เรื่องหน้าฟ้าจะพยายามให้ดีกว่านี้นะคะ ยังไง ขอฝากให้ติดตามเลยแล้วกันนะคะ แหะๆ

คุณ Cheyp ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ตอนแรกๆ จนมาถึงตอนนี้เลยค่ะ ทุกคอมเม้นท์ของคุณทำฟ้าฮึด ฟ้าขอบคุณนะคะ ฟ้าจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคร่า เรื่องต่อไปจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ

ปล มันยังมีตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ เราตั้งใจให้เป็นตอนต่อจากตอนจบจริงๆ ค่ะ เราเลยต้องเขียนตอนนี้ว่า จบบริบูณณ์นะคะ ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
แอบตกใจนิดนึงว่าเรื่องมาถึงตอนจบแล้วเหรอเนี่ย
แต่จบแบบนี้ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ คือในใจยังมีอารมณ์พีคอยู่ ฮ่าๆๆ

ปล จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตอนพิเศษคงจะมีบทสรุปของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมือที่สามอย่างลูกตาลนะฮะ ฟังควรจะรู้ทุกอย่างที่ลูกตาลทำกับแป้งไว้ คนที่คอยโหมไฟจนทำให้ความรักของตัวเองย่ำแย่แบบนี้ควรจะคบเป็นเพื่อนอยู่หรือไม่?

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
แอบตกใจนิดหน่อยที่เข้ามาอีกรอบกลายเป็นอ้าว จบซะแล้ว 555+

ช่วงหลังๆดูจะเดินเรื่องไว และเผลอหมั่นไส้ฟังด้วยคือเป็นพระเอกแบบพระเอกเกิ๊นน ไม่มีสะกิดอะไรกับลูกตาลสักอย่าง เชื่อชี ไว้ใจชีไปหมด กลุ้มแทนแป้ง ดีหน่อยที่รักเดียวใจเดียว ไม่งั้นนะ...ฮึ่ม

จะรออ่านตอนพิเศษนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ iAlexiajang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อั๊ยยยย จบแล้ววว ขอบคุณนะคะ~ #ฮาร์ททึ

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เรายังรู้สึกค้างคาใจแปลกๆ ทันไม่เคลียร์บางอย่างอ้ะ
 :ling1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด