#7.2ในระหว่างนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ผมตัดสินใจโทรหาเพื่อนทั้งสามคนเพื่อขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งแต่ละคนก็มีคำพูดตอบกลับที่แตกต่างกันออกไป
เริ่มจากหลิว...
"ไม่เป็นไรหรอกวาฬ อย่าคิดมาก หลิวว่าก็ตลกดีออก แถมทำให้รู้ด้วยว่าวาฬนี่ฮอตกว่าหลิวอีกนะ ฮ่าๆๆ~" ...ซึ่งน่าจะเบาที่สุดในสามคนแล้ว
ส่วนบอย...
"มึงเมาแล้วเรื้อนมาก! แล้วยังมาจูบกูอีก นี่ดีนะที่มึงหน้าตาน่ารักอะ ไม่งั้นกูต้องฝันร้ายกว่านี้แน่! แต่ก็เอาเถอะ กูไม่โกรธมึงหรอก สบายใจได้ กูเข้าใจดีว่ามึงก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย เลยไม่ค่อยจะรู้ลิมิตตัวเอง" ...ก็มีความแรงขึ้นมานิดนึง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่โอเค
แต่คนสุดท้ายเนี่ยดิ...
"มึงบอกพวกกูว่ามึงเคยแดกค็อกเทลมา พวกกูเลยไม่ห้าม คิดว่ามึงคงเอาอยู่ แต่ที่ไหนได้ มึงกลับไม่รู้ลิมิตตัวเอง จนทำแต่เรื่องแย่ๆ! ไอ้ที่มึงจูบกูกับเพื่อนๆ น่ะพอรับได้ เพราะยังไงพวกกูก็เป็นเพื่อนมึง ไม่ได้ถือสาอะไรกันอยู่แล้ว แต่เรื่องที่มึงไปเข้าห้องน้ำพร้อมคนแปลกหน้าจนเกือบจะโดนเอา แถมยังไปจูบกับไอ้พี่ปูนที่มึงเกลียดต่อหน้าต่อตาไอ้เหล้าอีก อันนี้บอกตรงๆ ว่ากูรับไม่ได้ กูเห็นเลยนะว่าสายตาที่ไอ้เหล้ามันมองมึงกับพี่ปูนคือแม่งเสียใจมาก แล้วมึงก็จะเอาเรื่องเมามาเป็นข้ออ้างไม่ได้ด้วย เพราะมึงดื่มอย่างไม่รู้จักรับผิดชอบ! อ้อ อีกอย่างนะ กลับไปอยู่กับพ่อกับแม่เหอะ เพราะถ้าเกิดว่าการย้ายมาอยู่กับเหล้ารัมทำให้ได้อิสระจนปล่อยให้ตัวเองเละเทะแบบนี้ กูว่ามึงกลับไปอยู่ในกรอบของที่บ้านแบบเดิมจะดีกว่า" ...เป็นการพูดที่แรงที่สุดแล้ว ทำเอาผมน้ำตาคลอเลย แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่โกรธมันเลยนะไอ้เอกน่ะ เพราะเข้าใจดีว่าเจตนามันคือห่วงผมนั่นแหละ เพียงแต่เอกไม่ใช่หลิว เอกก็คือเอก วิธีการพูดจึงเป็นไปตามสไตล์ของมัน
แต่ถึงทั้งสามคนจะมีระดับความแรงแตกต่างกันออกไป ทว่าก็มีสองอย่างที่พวกมันพูดเหมือนกันเปี๊ยบ
คือหนึ่ง..ถามว่าผมกลับออกมาตอนไหน?
ซึ่งก็อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าตอนที่ผมออกมา ทุกอย่างถูกหยุดเวลาเอาไว้ ทำให้พวกเพื่อนๆ ไม่มีทางรู้แน่ว่าผมออกมาตอนไหน ผมก็เลยตอบกลับพวกมันไปว่า.. "กูออกมาตอนที่พวกมึงไม่ทันได้สังเกตน่ะ" ..แต่แน่ล่ะว่าพวกมันดูจะยังติดใจกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ตัดจบแค่นั้น เพราะไม่สามารถพูดความจริงทั้งหมดออกไปได้
ส่วนอีกเรื่องที่พวกเพื่อนๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือ...
"ต่อจากนี้ไป ห้ามดื่มจนเมาอีก"แต่ผมแอ๊ดวานซ์กว่านั้นครับ เพราะผมสาบานกับตัวเองแล้วว่า ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกเด็ดขาด
ย้ำ
เด็ดขาด!ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมจะรับผิดชอบ หลังจากการเมาของตัวเองเมื่อคืนนี้
ลากันทีร้านเหล้า ไม่เอาอีกแล้วจริงๆ
"ถึงแล้วครับ"
แล้วในขณะที่ผมเหม่อลอยคิดนั่นคิดนี่หลังจากวางสายจากไอ้เอกที่โทรหาเป็นคนสุดท้ายอยู่นั้น รู้ตัวอีกที พี่คนขับแท็กซี่ก็ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านผมเรียบร้อยแล้ว
"นี่ครับ ไม่ต้องทอนนะ" ผมส่งเงินเกินจำนวนไปให้ ก่อนจะรีบลงจากรถแล้วเดินเข้ามายังส่วนของบ้านผม โดยไม่สนใจคำชมของพี่คนขับที่พยายามจะบอกว่าบ้านผมใหญ่อย่างกับวัง
"อ้าว คุณวาฬ" พี่ฟ้าคือคนแรกที่ผมเจอ เธอทักผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างคนดีใจ
"สวัสดีครับพี่ฟ้า คุณพ่อคุณแม่อยู่มั้ยครับ" แต่ผมคงไม่มีเวลาคุยเล่นด้วยตอนนี้ เพราะอยากเจอพ่อกับแม่ก่อน
"อยู่ค่ะ ที่ห้องนั่งเล่น"
"โอเคครับ" เพราะฉะนั้นเมื่อได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของตัวเองอยู่ที่ไหน เลยผละออกมาจากพี่ฟ้าทันที
แล้วพอเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ก็ได้เห็นว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งกันอยู่คนละมุมของโซฟา คนพ่ออ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนคนแม่กำลังทำความสะอาดเครื่องเพชร โดยมีพี่มดแดงนั่งเป็นกำลังเสริมอยู่ใกล้ๆ
"สวัสดีครับ" ผมกล่าวทักทาย พอพ่อกับแม่เห็นว่าเป็นผมก็ออกอาการดีใจใหญ่ โดยเฉพาะแม่ที่ถึงกับวางแหวนเพชรในมือลง แล้วก้าวยาวๆ มากอดผมไว้
"นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าลูกซะแล้ว" ไม่พูดเปล่า แม่ยังจับผมหอมแก้มทั้งซ้ายและขวาด้วย นี่ผมไม่อยู่บ้านแค่ไม่กี่วันเองนะ คิดถึงกันขนาดนี้เชียว ฮ่าๆๆ~
"แล้วเหล้ารัมล่ะลูก" แต่คำถามของพ่อเนี่ยสิที่ทำให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะภายใจของผมมันจ้างหายไปเลย
"..."
"เกิดอะไรขึ้นหรอวาฬ?" ทำให้แม่ที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุดถามออกมาด้วยความเป็นห่วง ตามมาด้วยพ่อที่ก้าวยาวๆ เข้ามายืนใกล้ๆ เช่นกัน
"เขาไม่ได้มาที่นี่หรอครับ" ผมไม่ได้ตอบกลับแม่ในทันที แต่เลือกจะถามหาเหล้ารัมเพื่อความแน่ใจ ทั้งที่จากคำถามของพ่อก็พอจะเดาได้แล้วว่านายพ่อมดคงไม่ได้มาที่นี่แน่
จนกระทั่งพ่อและแม่ส่ายหน้าปฏิเสธนั่นแหละ ผมก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โฮออกมาทันที ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดให้พวกท่านฟังทั้งน้ำตา
แน่นอนว่าพ่อโกรธมาก ถึงขนาดให้พี่มดแดงไปหาไม้มาฟาดผมแรงๆ สิบทีเพื่อเป็นการลงโทษ จนผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น
เจ็บนะ.. แต่ก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดใจที่เห็นสายตาผิดหวังจากพ่อและแม่.. ในเมื่อพวกท่านเลี้ยงผมมาด้วยรักและความห่วงใย อยากให้อยู่ในลู่ทางที่ดีๆ แต่แค่ผมก้าวออกไปจากบ้าน ก็สร้างเรื่องเสียแล้ว แบบนี้ก็สมควรจะกลับมาอยู่ในกรอบของพ่อกับแม่อย่างที่ไอ้เอกมันว่าจริงๆ นั่นแหละ
"พ่อเองก็ผิด" ยิ่งพอพ่อเริ่มกล่าวโทษตัวเอง ผมยิ่งรู้สึกว่าน้ำตามันยิ่งไหลออกมามากขึ้น "ที่เลี้ยงลูกให้อยู่ใต้ปีกมากเกินไป ถ้าพ่อปล่อยๆ เราบ้าง ก็อาจจะทำให้ลูกรู้ขอบเขตของตัวเองมากกว่านี้"
พอพูดจบ พ่อก็โยนไม้เรียวในมือทิ้ง ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ที่มุมหน้าต่างแบบที่ชอบทำประจำเวลาต้องการปรับอารมณ์ของตัวเอง ในขณะที่แม่ซึ่งร้องไห้ตามผมไปแล้วก็รีบสั่งให้พี่มดแดงขนเครื่องเพชรทั้งหมดไปเก็บ พร้อมทั้งไม้เรียวด้วย
"ลุกขึ้นก่อนลูก" ก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น แต่ผมขืนตัวไว้
"ไม่เป็นไรครับแม่" ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นห้าม พลางปาดน้ำตาที่ไหลเลอะเต็มหน้าด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วหันไปคุยกับพ่อที่กำลังหันหลังให้ "ผมรู้นะครับว่าพ่อโกรธผม และคงจะผิดหวังในตัวผมมาก"
"..."
"ซึ่งมันก็สมควรแล้ว เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าผมเป็นต้นเหตุ"
"..."
"มันไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูของพ่อกับแม่หรอก มันผิดที่ผมแค่คนเดียว และผมก็ขอยอมรับผิดทุกอย่าง"
"..."
"พ่อจะลงโทษผมยังไงก็ได้ ผมยอมทั้งนั้น แต่ว่าตอนนี้ผมอยากจะขออนุญาตพ่อไปทำยารักษาให้กับเหล้ารัมก่อนนะครับ"
พูดจบแค่นั้น ผมก็รีบลุกขึ้นทันทีโดยไม่รอคำตอบจากพ่อ เพราะอยากที่จะรีบไปเตรียมเก็บส่วนผสมต่างๆ ในสวน
แต่แล้ว.. "ลูกควรรู้ไว้นะวาฬ ว่าเหล้ารัมต้องเสียสละไม่น้อยเพื่อทำพันธะสัญญากับลูก เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้จะพูดหรือทำอะไรก็ตาม จงคิดถึงจิตใจเขาให้มาก ในเมื่อตอนนี้ลูกก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้ว ว่าทุกคำพูดและสิ่งที่ลูกทำมีผลกับเขามากแค่ไหน" ..จังหวะที่แม่กำลังจะบอกบางอย่างกับผม พ่อก็พูดขึ้น ทั้งที่ยังคงหันหลังให้แบบนั้น
นี่เป็นอีกครั้งที่คำพูดของพ่อตอกย้ำชัดเจนให้ผมได้รู้ว่าการทำพันธะสัญญาครั้งที่สองนั้นจะต้องมีเงื่อนไขอื่นอีกที่ผมไม่รู้ และเงื่อนไขนั้นก็จะต้องเกี่ยวกับการเสียสละของเหล้ารัมด้วย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดกับทุกคำพูดแย่ๆ ที่ได้พูดออกไป
ในขณะที่อีกใจก็อยากจะเค้นถามพ่อไปเลยว่า 'เสียสละ' ที่ว่านั่นมันคืออะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถาม เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางประตูเสียก่อน..
"แต่นายพ่อมดนั่นก็ผิดที่ทำกับคุณวาฬแบบนั้นนะคะ ถึงจะเพราะโมโหที่คุณวาฬพูดจาไม่ดีก็เถอะ แต่ทำแบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลย เหยียบย้ำศักดิ์ศรีกันชัดๆ!"
ผม พ่อ และแม่รีบหันไปมองพร้อมกัน ถึงได้เห็นว่าเป็นพี่ฟ้าที่น่าจะยืนแอบฟังอยู่นานแล้ว
"..." นั่นทำให้ผมได้เห็นความลำบากใจที่ฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าของพ่อกับแม่..
ซึ่งผมรู้ดีว่าพ่อกับแม่เองก็ติดใจเรื่องนี้เหมือนกัน เพียงแต่คงจะไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่นัก ในเมื่อ... สิ่งที่เหล้ารัมทำไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านพอใจแน่ แต่ทำไงได้ล่ะ เขาเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ เพราะฉะนั้นผมรู้ดีว่าพ่อแม่ผมก็ต้องยอมจำใจหลับตาข้างนึงเหมือนกันนั่นแหละ..
"พอเถอะครับพี่ฟ้า"
"แต่คุณวาฬ..."
"ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ฟ้านะครับ" ผมเดินตรงเข้าไปบีบมือพี่ฟ้าไว้ เพื่อให้เธอเข้าใจว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเธอจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าพี่ฟ้าจะไม่ใช่ญาติ เป็นเพียงหัวหน้าแม่บ้าน แต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จากสมัยที่ยังเป็นแค่หลานสาวอดีตหัวหน้าแม่บ้าน ทำให้ความรู้สึกระหว่างผมกับพี่ฟ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพี่น้องแท้ๆ นั่นแหละ "แต่ตอนนี้มันหมดเวลาที่จะมาโทษกันว่าใครผิดใครถูกแล้ว เพราะว่าผมขอยอมรับความผิดทั้งหมดไว้เอง และจะขอแก้ไขมันด้วยตัวของผมเองครับ"
พอเห็นว่าผมพูดแบบนั้น พี่ฟ้าก็ไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงแค่พยักหน้าทั้งที่น้ำตายังคงคลอหน่วยแบบนั้น ส่วนแม่ผมนี่ไม่ต้องพูดเลย ท่านน้ำตาไหลเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
"พอเถอะครับแม่ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ" ผมเลยเดินเข้าไปช่วยเช็ดน้ำตาให้แม่ ท่านจึงจับมือผมไว้
"โอเค แม่ไม่ร้องแล้วจ้ะ" แล้วแม่ก็พยายามหยุดร้องอย่างที่บอกจริงๆ "ว่าแต่ลูกจะไปเก็บส่วนผสมทำยารักษาเหล้ารัมใช้มั้ย เอ? ไอ้ยารักษาเครื่องรางไร้มนตร์นี่มันต้องใช้
หญ้าขนนกเพลิงด้วยหรือเปล่าลูก?" ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงหนึ่งในส่วนผสมสำคัญของการทำยารักษาแทน
"ใช่ครับ ต้องใช้ด้วย"
"ตายจริง ถ้างั้นทำไงดีล่ะ คือ.. เมื่อสองวันก่อนแม่เพิ่งถอนทิ้งไปเอง พอดีว่ามันติดโรคพืชน่ะลูก แม่เลยต้องรีบถอนออก กลัวมันมีผลกับต้นอื่นๆ แล้วจะพาลแย่กันไปหมด"
"จริงหรอครับ ตายๆ งั้นผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย" ผมรู้สึกเฟลเลยเมื่อได้รู้ว่าหนึ่งในส่วนผสมถูกถอนทิ้งไปเสียแล้ว แล้วแบบนี้ผมจะทำยารักษาได้ไงล่ะเนี่ย?
"ที่สวนของคุณเบลไงคะ ต้องมีแน่ๆ เพราะที่นั่นคุณไรเกอร์ดูแลอยู่ แต่ว่า..." แต่ในขณะที่ผมกับแม่กำลังคิดหาทางอยู่นั้น ก็เป็นพี่ฟ้าที่เสนอไอเดียขึ้น ทว่า.. ก็ละประโยคช่วงท้ายไว้ เพื่อมองหน้าผมกับแม่สลับกันไปมา
ซึ่งต่อให้พี่ฟ้าไม่ต้องพูดจนจบผมก็รู้ว่าพี่ฟ้าหมายถึงอะไร ก็ในเมื่อพี่เบลและแม่พี่เบลไม่ชอบครอบครัวผม การไปเอาของที่สวนบ้านเขาคงเป็นเรื่องยากแน่ๆ
"งั้นพ่อจะเป็นคนไปเอาให้เอง" ทำให้จังหวะนั้นมีฮีโร่เกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพ่อของผมเอง
ถึงแม้ว่าแม่ของพี่เบลจะไม่ชอบพ่อผมเหมือนกัน แต่ยังไงลุงวิน (พ่อพี่เบล) กับพ่อผมก็เป็นพี่น้องกัน และพี่เบลก็ยังให้ความเคารพพ่อของผมอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นพ่อเนี่ยแหละน่าจะเป็นตัวละครที่เหมาะที่สุดที่จะไปขอหญ้าขนนกเพลิงจากบ้านของพี่เบล
แต่ว่า...
"ไม่เป็นไรครับพ่อ" ผมตัดสินใจเข้าไปขวางพ่อที่กำลังตั้งท่าจะเดินออกจากห้องนั่งเล่น "ผมขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองดีกว่า"
"..."
ในเมื่อการทำยารักษาคือสิ่งที่ผมจะต้องรับผิดชอบ แล้วผมจะให้พ่อเป็นคนไปขอส่วนผสมแทนได้ยังไงกัน
"แต่ว่า..." ยังไม่ทันที่พ่อจะได้พูดอะไร แม่ผมก็ตั้งท่าจะพูดอีกแล้ว ซึ่งผมเข้าใจ ว่าแม่คงเห็นว่าการที่ผมไปเองมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
แต่ผมตัดสินใจแล้ว จึงพูดแทรกแม่ตัวเองทันทีเพื่อเป็นการตัดบท "อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะครับ"
แล้วพอพูดจบแค่นั้น ผมก็เดินตรงออกจากห้องมาเลย และบอกกับตัวเองว่าต่อให้ใครห้ามก็จะไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าไม่ติดว่า...
"วาฬ.." เสียงที่เรียกไว้..เป็นเสียงของพ่อ เลยทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดิน แล้วหันกลับไปมอง
ถึงได้เห็นว่าพ่อเดินตามออกมาจากห้องนั่งเล่น โดยมีแม่กับพี่ฟ้าหยุดยืนอยู่ด้านหลัง
"ว่าไงครับ"
"พ่อ.. พ่อขอโทษนะ" แล้วพ่อก็ขอโทษ.. โดยที่ไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร แต่ผมก็พอจะเดาได้ ว่ามันคงเกี่ยวกับสิ่งที่พี่ฟ้าพูด.. "แล้วพ่อก็ขอบคุณมาก ที่วาฬยอมสารภาพความผิดทั้งหมดกับพ่อ ทั้งๆ ที่ลูกจะปิดมันเอาไว้ก็ได้ แต่ลูกเลือกที่จะไม่ทำ พ่อขอบคุณลูกมากจริงๆ" ก่อนจะขอบคุณผมเป็นการปิดท้าย
และนั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในที่สุด รวมถึงแม่กับพี่ฟ้าด้วย เพราะคงจะรู้สึกโล่งอกเหมือนกันที่พ่อยอมให้อภัยผมแล้ว ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่การที่พ่อพูดออกมาแบบนี้ มันก็ตีความได้อย่างเดียวเท่านั้นว่าเป็นบทสรุปที่ดีมากกว่าร้ายน่ะนะ
ผมจึงวิ่งเข้าไปกอดพ่อแน่นๆ หนึ่งทีแบบที่ไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ก่อนจะผละออก แล้วเดินหนีมาเลย เพราะไม่อยากให้พ่อเห็นความรู้สึกเขินของผมจากการกระทำของตัวผมเอง..
..ผมใช้เวลาเดินหลังจากนั้นไม่นานมากนัก ในที่สุดก็มาถึงโซนบ้านพี่เบลซึ่งมีความสูงทั้งหมดสี่ชั้น ยืนพื้นทุกสิ่งด้วยสีขาว และตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสีทองอร่ามตา
แม้ตอนนี้จะยังไม่เจอกับใครสักคน แต่ประตูบ้านที่เปิดออกกว้างก็บอกให้รู้ว่าเจ้าของนั้นพร้อมต้อนรับแขกอยู่แล้ว เพียงแต่.. ต้องไม่ใช่แขกที่มาจากบ้านผม ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจเดินเลี้ยวมายังทางเดินเล็กๆ ด้านซ้ายของบ้าน ที่เป็นทางไปสู่สวนของบ้านพี่เบลแทน
โอเค ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผิด และไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างอย่างมาก เพราะผมกำลังตัดสินใจที่จะแอบเข้าไปในสวน แล้วขโมยหญ้าขนนกเพลิงออกมา
และที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะว่าผมคิดคำนวณดูอย่างดีแล้วว่า ถ้าขอกับพี่เบลหรือป้าสะใภ้ดีๆ ยังไงก็ไม่ได้ แถมยิ่งถ้ารู้ว่าผมอยากได้ ก็จะยิ่งหวงมากขึ้นอีกเป็นสิบเท่า ต่อให้ผมคุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาแตก ยังไงก็ไม่ทีทางสำเร็จแน่นอน เผลอๆ จะถูกยิ้มเยาะและเหยียบย้ำซ้ำเติมเสียด้วย
ผมไม่ใช่คนที่แคร์เรื่องศักดิ์ศรีถึงขนาดที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครหรอกนะ แต่ประเด็นคือ ถ้าไม่สำเร็จ คนที่ลำบากก็คือเหล้ารัมที่จะต้องเจ็บปวดต่อไปโดยไม่มียารักษา เพราะฉะนั้นทางเลือกเดียวตอนนี้ก็คือขโมย และผมก็ต้องทำมันให้สำเร็จด้วย
"เอ๊ะ เมื่อกี้เหมือนเห็นคุณวาฬเดินมาที่บ้านนะ หรือว่าฉันตาฝาดวะ"
"จะเป็นไปได้ไง ขืนมาแล้วคุณเบลกับคุณผู้หญิงรู้เข้า คงได้เกิดศึกแน่"
เสียงพูดคุยจากตัวบ้านของผู้หญิงสองคนที่น่าจะเป็นคนงานในบ้าน..ทำให้ผมรีบเอาตัวแนบกับกำแพงทันที! ตายๆๆ ใจนี่หล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยนะเมื่อกี้เนี้ย เฮ้ออออ~ การแอบเข้ามากระทำความผิดในบ้านของคนอื่นนี่มันยากจริงๆ จะเดินอกผายไหล่ผึ่งเข้ามาก็ไม่ได้ ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เป็นอะไรที่ไม่ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตเลยสักนิด!
ผมหยุดยืนรอสักพักจนเสียงคุยสองเสียงนั้นไกลออกไป ทีนี้ก็รีบก้าวยาวๆ ตรงไปยังสวนของบ้าน และหลังจากนั้นไม่นาน สวนสวยที่ตรงกลางเป็นเรือนกระจกอย่างดีของสวนบ้านพี่เบลก็ปรากฏแก่สายตาของผม
เอาจริงๆ นะ ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันเลือนลางมาก แต่ภาพความงดงามของเรือนกระจกที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ยังคงติดตาตรึงใจผมอยู่เสมอ
ผมหันซ้ายหันขวาไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปในเรือนกระจกที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้วิเศษมากมายจากฝีมือการปลูกของไรเกอร์
ถึงแม้ว่าผมกับไรเกอร์เราจะไม่ได้เป็นคู่พันธะสัญญากัน แต่ว่าเราสองคนก็มีโอกาสคุยกันบ่อยมากเวลาที่พี่เบลไม่รู้ ทำให้ผมได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาค่อนข้างเยอะ อย่างการที่เขาจบมหา'ลัยเวทมนตร์ด้านสมุนไพรวิเศษวิทยา เคยฟื้นคืนชีพให้กับพืชวิเศษหลายชนิดที่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว แถมยังได้รับรางวัลด้านพืชวิเศษจากเวทีใหญ่ๆ ของโลกเวทมนตร์อีกมากมาย นั่นทำให้เมื่อมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไรเกอร์ โดโนแมนจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลสวนแห่งนี้เป็นงานสำคัญ เพราะว่าพี่เบลแกเป็นคนรักพืชวิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งขัดกับภายนอกที่หยาบกร้านของเธอเหลือเกิน
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปเรื่อยๆ โดยสายตาก็พยายามสอดส่ายหาหญ้าขนนกเพลิงซึ่งจะต้องปลูกเอาไว้ในกระถาง เพราะถึงชื่อจะบอกว่าเป็นหญ้า แต่แท้จริงแล้วมันคือไม้ประดับที่มีสรรพคุณเป็นยา ลักษณะของมันจะมีหน้าตาเหมือนกับขนของนกฟินิกซ์ เป็นสีแดง เกิดซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไม่มีดอก และ.. นั่นไง เจอแล้ว!
เจ้าหญ้าขนนกเพลิงที่ผมตามหาอยู่ในกระถางขนาดใหญ่ทางด้านขวามือติดกับกระจกบานกลาง ผมรีบสืบเท้าเข้าไปหามัน แต่ก็พยายามจะก่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะหากว่าผมเสียงดังเกินไป อาจจะทำให้เผลอไปปลุกพืชวิเศษบางชนิดที่มีนิสัยดุร้ายขึ้นมาก็ได้
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินเข้าไปถึงตัวกระถางด้วยซ้ำ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน..!
"มาขโมยหรอ"
ชะ..ช่างเป็นคำถามที่เรียบง่าย แต่ทำเอาผมตัวแข็งทื่อ! ผะ..ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เลยได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะหันไปทางเสียงนั้นราวกับผู้ร้ายที่ยอมมอบตัวกับตำรวจก็ไม่ปาน
แล้วก็ทำให้ได้พบกับชายร่างสูงชาวอังกฤษสุดหล่อที่หัวยุ่งๆ อยู่ตลอดเวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นทำให้ผมถึงได้สามารถถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะลดมือลง และเรียกชื่อของเขา
"ไรเกอร์"
"ใช่ ฉันเอง คิดว่าใครล่ะ" เขายิ้มยียวน เหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าผมกลัวว่าใครจะเดินเข้ามาแทนที่จะเป็นเขา
ผมจึงเลือกที่จะไม่ตอบอะไร แต่เปลี่ยนไปเป็นคำถามสำคัญแทน "นะ..นายจะไม่บอกพี่เบลกับป้าใช่มั้ยว่าฉันมาขโมยของน่ะ"
"ก็ขึ้นอยู่กับว่าวาฬต้องการอะไร ถ้าให้ได้ ฉันก็จะให้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ แล้วยังยืนยันที่จะเอา ฉันก็คงต้องเรียกเบลมา" จริงอยู่ที่ไรเกอร์เป็นคนใจดี สามารถเจรจาต่อรองกันได้ แต่แน่ล่ะว่าคนเราทุกคนก็มีของรักของหวงที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถให้ได้
"คือ... ฉันอยากได้หญ้าขนนกเพลิง คุณให้ผมได้มั้ย" ผมจึงถามเขาออกไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก ขณะที่ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ไอ้เจ้าหญ้าขนนกเพลิงที่มีอยู่แค่กระถางเดียวนี่เป็นสิ่งที่ไรเกอร์หวงเลยเถอะ เพี้ยง!
"อืม..." โอ๊ยยย อย่ามาลากเสียงเหมือนกำลังช่างใจแบบนี้ได้มั้ย มันลุ้นนะ!
"ว่าไง ได้หรือไม่ได้" ผมจึงชิงถามอีกครั้งอย่างคนต้องการคำตอบโดยไว
แล้วในที่สุด... "ได้สิ" นายพ่อมดอังกฤษก็ตอบรับออกมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสะบัดมือหนึ่งทีเพื่อเสกอุปกรณ์การตัดขึ้นมาไว้ในมือ
ผมรีบหลีกทางด้วยความดีใจให้กับไรเกอร์ที่ตรงเข้าไปตัดหญ้าขนนกเพลิงออกมาทั้งหมดห้าใบ ซึ่งจริงๆ แล้วผมต้องการแค่สามใบเท่านั้น แต่ไรเกอร์คงตัดเผื่อเลย เพราะห้าใบนี่ถือเป็นจำนวนขั้นสุดของการนำไปทำยาแล้ว ก่อนจะหันกลับมา และยื่นเจ้าหญ้าขนนกเพลิงเหล่านั้นให้ผม ทว่า...
"เดี๋ยวก่อนสิ" ..เขากลับดึงมือออกเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะรับ ละ..เล่นอะไรของเขาเนี่ย!? "ไม่คิดว่าให้กันแบบนี้มันจะง่ายไปหน่อยหรือไง"
อะ เอาแล้วไง จู่ๆ ไรเกอร์ผู้จิตใจดีก็จะทำตัวเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเสียดื้อๆ แบบนี้หรอ!?
"แล้วนายอยากได้อะไรแลกเปลี่ยนล่ะ" ผมถามออกไปตรงๆ อย่างไม่อยากจะเสียเวลา
ไรเกอร์จึงยิ้มกว้างซะจนตาคมคิ้วเข้มของเขาส่องประกายความหล่อมาให้ "ง่ายนิดเดียว แค่บอกฉันมาวาฬ ว่านายจะเอาหญ้าขนนกเพลิงไปทำอะไร"
"ก็จะเอาไป..."
"แล้วก็ขอคำตอบแบบละเอียดด้วยนะ : )"
"..."
เยี่ยม! นี่ไรเกอร์รู้ทันว่าผมจะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า 'เอาไปทำยา' หรอเนี่ย!?
เฮ้ออออ จะให้เล่าละเอียดน่ะมันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ผมแค่อยากจะประหยัดคำพูดกับไรเกอร์ให้น้อยที่สุดมากกว่า เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดยาวไปถึงเรื่องพันธะสัญญาด้วย ยิ่งเป็นคนเก็บความลับไม่ค่อยเก่งอยู่
แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ไรเกอร์ก็ใจดีช่วยผม ผมก็จะเล่าให้เข้าฟังแบบละเอียดขึ้นกว่าเดิมหน่อยก็แล้วกัน
"คือ... พอดีฉันมีเรื่องกับเหล้ารัมนิดหน่อยน่ะ ก็เลยใช้เครื่องรางไร้มนตร์ทำร้ายเค้า" พอได้ยินคำว่าเครื่องรางไร้มนตร์ ไรเกอร์ที่ตอนแรกกำลังทำหน้าตั้งอกตั้งใจฟัง ถึงกับทำหน้าเหยเกขึ้นมาเลย "ก็เลยจะเอาไอ้หญ้าขนนกเพลิงไปทำยารักษาน่ะ แต่พอดีว่าของสวนที่บ้านฉันมันติดโรคพืช ก็เลยต้องแอบมาขโมยที่สวนนี้ เพราะรู้ว่าสวนที่นายดูแลมีทุกอย่างที่ฉันต้องการ"
"เดี๋ยวนะ แล้วหลังจากที่นายใช้เครื่องรางไร้มนตร์กับเขา เขาทำอะไรนายบ้างเนี่ย"
"ก็เปล่านะ" แค่ตัดพ้อแล้วเดินจากไปเอง..
"พูดเป็นเล่น!?" แต่ดูเหมือนว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูจะไม่เชื่อเลยสักนิด เขาดูตกใจมากที่เหล้ารัมไม่ทำร้ายอะไรผมเลย ทำไมอะ นายพ่อมดเหล้าเป็นพวกชอบความรุนแรงหรอ?
"จริง เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย"
"โห~ ดูท่าว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนายจะไม่ธรรมดาซะแล้วนะวาฬ" ไรเกอร์ที่เห็นว่าผมย้ำเรื่องที่ตัวเองปลอดภัยดีอีกครั้ง ก็ถึงกับต้องพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมา
ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องจริง และผม..ก็อยากรู้สึกให้ได้สักครึ่งนึงของเขาบ้าง..
"ว่าแต่ว่า..." ผมเกือบจะจมลงกับความคิดในหัวของตัวเองแล้ว ถ้าไรเกอร์ไม่เอ่ยปากถามต่อ "ทำไมหนึ่งในห้าพ่อมดหนุ่มผู้เก่งกาจที่สุดในทศวรรษนี้ ถึงต้องมายุ่งกับนายด้วยล่ะ"
"..." คำพูดที่ว่า 'พ่อมดหนุ่มผู้เก่งกาจที่สุดในทศวรรณนี้' ทำให้เสียงของผมหายไป... เพราะที่ผ่านมา ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้รู้จักกับเหล้ารัม เขาไม่เคยแสดงให้ผมเห็นถึงความเก่งกาจเหล่านั้น เอาจริงๆ เขาเกือบจะเหมือน 'มนุษย์ธรรมดาๆ' เลยด้วยซ้ำเมื่ออยู่กับผม พอได้มาฟังสิ่งที่น่าจะเป็นฉายาที่แท้จริงของนายพ่อมดเหล้า ก็ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเหมือนกันนะ "ก็..." แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรอคำตอบอยู่ ผมจึงรวบรวมคำตอบขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ทว่า..สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่เปล่งเสียงคำว่า 'ก็' ออกไปเท่านั้น ก่อนจะรีบหยุด เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังจะหลุดพูดถึงเรื่องของพันธะสัญญาที่เหล้ารัมกำชับว่าห้ามบอกใครเสียแล้ว!
"ก็?"
"โทษทีนะไรเกอร์ แต่ฉันคิดว่าเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับเหล้ารัม มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับหญ้าขนนกเพลิงนะ หวังว่าคงจะไม่ว่ากัน หากว่าฉันจะไม่ตอบคำถามนี้"
ไรเกอร์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเลยที่เจอผมพูดออกไปแบบนั้น เพราะมันทำให้เขารู้ว่าผมรู้ตัวแล้ว และเขาก็คงจะไม่สามารถหลอกถามผมได้อีก
"โอเค" และถึงแม้ว่าหน้าตาจะแสดงออกว่าเสียดายกับคำตอบของผมที่เกือบจะหลุดออกมา แต่ไรเกอร์ก็ยอมยื่นหญ้าขนนกเพลิงในมือให้ผมตามสัญญาน่ะนะ "อะนี่ รักษาให้ดีล่ะ ถ้าขออีกฉันไม่ให้แล้วนะ เดี๋ยวเบลจับได้ขึ้นมาล่ะซวยกันหมดแน่"
"โอเค ขอบคุณที่ช่วยนะไรเกอร์"
"ด้วยความยินดี : )"
ผมยิ้มตอบกลับไรเกอร์หนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบเดินกลับ เพราะในใจก็แอบกลัวเหมือนกันว่าถ้าขืนอยู่นานกว่านี้ พี่เบลอาจจะโผล่มาตามไรเกอร์ก็ได้
"เดี๋ยวก่อนวาฬ" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงประตูประตูของเรือนกระจก ไรเกอร์ที่ดูเหมือนจะจบเรื่องแล้วก็เรียกผมไว้อีกครั้ง
ทำให้ผมต้องหันกลับไปหาเขา พร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเห็นว่ารอยยิ้มได้จางหายไปจากใบหน้าของพ่อมดหนุ่มชาวอังกฤษแล้ว เหลือไว้เพียงสายตาที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมา..
"ฉันไม่รู้หรอกนะวาฬว่าเหล้ารัมมาเกี่ยวข้องกับนายด้วยเหตุผลอะไร แต่ฉันอยากจะเตือนไว้ ว่าอย่างเหล้ารัมน่ะ เขาไม่ใช่พ่อมดธรรมดาๆ ที่มนุษย์อย่างนายจะไปถลำลึกด้วยหรอกนะ"
"..."
ผมเงียบ ได้แต่มองหน้าไรเกอร์นิ่งๆ ทั้งที่ใจก็อยากจะถามเกี่ยวกับคำเตือนของอีกฝ่ายมากกว่านี้
แต่ทำไงได้ล่ะ... ในเมื่อ 'การถลำลึก' เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ผมรอดตาย และผมก็ได้ทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับเขาไปแล้วด้วย
เพราะฉะนั้นต่อให้ไรเกอร์จะพูดเตือนอะไรออกมาตอนนี้..
..ก็คงจะสายไปเสียแล้วล่ะ
ฝาก #พ่อมดเหล้า เมื่อต้องการพูดถึงนินายเรื่องนี้บนทวิตเตอร์ด้วยนะครับ : )
