#5.1หลังจากที่เราสองคนกินไปคุยไปผลัดกันตั้งคำถามไปมา มันทำให้ผมเริ่มจินตนาการถึงบริบทที่ต่างออกไป แบบว่า... ถ้าเขาไม่ใช่พ่อมด และผมไม่ใช่มนุษย์ต้องสาป เราสองคนจะมีโอกาสได้มานั่งเดทกันในร้านอาหารแบบนี้มั้ย?
แล้วมันจะดีกว่านี้มั้ยนะ ถ้าเราสองคนเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาๆ ที่พยายามจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จีบกัน หยอดคำหวานให้แก่กัน ก่อนจะจบเดทวันนี้ด้วยการแยกย้ายกันกลับบ้าน โทรหากันหรือไม่ก็ไลน์คุยกันก่อนนอน บอกว่ารักนะ บอกว่าฝันดี แล้วบอกว่าเราจะมาพบกันใหม่..อีกครั้ง
อืม... ผมตอบไม่ได้แฮะ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ก็แค่การลองจินตนาการให้ต่างออกไปเท่านั้น บางทีถ้าบางอย่างเปลี่ยนไป ความรู้สึกเองก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
แต่จากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมว่าผมสามารถตอบคำถามตัวเองได้ข้อนึงนะว่า..
หลังจากที่ใช้เวลาเดทกันเกือบสองชั่วโมงกับนายพ่อมดเหล้า รู้สึกว่าเขาโอเคสำหรับมนุษย์ต้องสาปอย่างผมมั้ย?คำตอบคือ...
โคตรโอเคและนั่นแหละคือความจริง
"ขอเวลาสักครู่นะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเรียกเก็บเงิน" ..ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเองเมื่อเหล้ารัมหันไปพูดกับบริกรเจ้าเก่าที่พาบริกรคนอื่นๆ มาช่วยกันเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย ก่อนที่ทั้งหมดจะปล่อยให้ผมกับเหล้ารัมได้อยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง
รอยยิ้มที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย เพราะรู้ดีว่าน่าจะถึงเวลาสำหรับการทำพันธะสัญญาระหว่างเราสองคนแล้ว เพียงแต่ผมเองก็ยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดบทสนทนาเอง
"โอเค ผมว่ามันถึงเวลาแล้ว คุณพร้อมมั้ยครับวาฬ?"
เอ่อ.. ไม่รู้สิ.. บอกไม่ถูกเหมือนกัน จะว่าพร้อมมันก็พร้อม จะว่าไม่พร้อมมันก็ไม่พร้อม ออกแนวก้ำกึ่งมากกว่า
แต่ทำไงได้ล่ะ "พร้อมครับ" ในเมื่อคำถามมันน่าจะปูทางมาให้ผมตอบได้เพียงคำตอบเดียวอยู่แล้ว ยื้อว่าไม่พร้อมไปก็เปล่าประโยชน์
และเพราะแบบนั้นเหล้ารัมจึงเขยิบตัวให้เข้ามาใกล้โต๊ะมากขึ้น ในขณะที่ผมจดจ่ออยู่กับทุกการกระทำของเขาด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย เหมือนมันลุ้นว่าจะมีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจ
แต่กลับกลายเป็นว่า...
"ผมขอนิ้วก้อยขวาของคุณหน่อยครับ" สิ่งที่นายพ่อมดเหล้าทำก็คือการตั้งศอกขวาบนโต๊ะ ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยของเขามาตรงหน้า พร้อมกับขอนิ้วก้อยของผมเช่นกัน
"หมายถึง..ให้เกี่ยวก้อยกับคุณน่ะหรอครับ?"
ผมเลยถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจในคำขอนั้น อีกอย่าง ผมคิดว่ามันจะมีอะไรที่ดูแฟนตาซีกว่านี้เกิดขึ้นในร้านซะอีก อย่างเช่นว่า..มีลำแสงแห่งมนตราพวยพุ่งออกมาจากตัวของผมกับเขา ก่อนจะสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวอะไรเทือกๆ นั้น
"ใช่ครับ เกี่ยวก้อยกัน : )"
แต่ดูท่าว่าสิ่งที่ผมคิดกับความเป็นจริงมันจะสวนทางกันแฮะ
"โอเค" ซึ่งด้วยความที่อีกฝ่ายยื่นนิ้วก้อยรออยู่นานแล้ว ผมเลยต้องรีบยื่นนิ้วก้อยขวาไปเกี่ยวไว้ตามคำบอกของเหล้ารัม แม้ว่าในใจจะรู้สึกค้านกับความ 'ธรรมดา' ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าก็ตาม
มันช่างดู...เด็กเล่นชะมัด
แค่เกี่ยวก้อยกันแค่นี้ มันจะทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้จริงหรอ?เหล้ารัมหยักยิ้มบางๆ เมื่อยื่นหน้าเข้ามามองนิ้วก้อยของเราสองคนที่กำลังเกี่ยวกันไว้ ช่างไม่ต่างอะไรจากเด็กฝรั่งตัวน้อยที่กำลังสุขใจกับการชื่นชมความสวยงามของตู้ปลาเลยสักนิด ทว่า.. พอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นพลันหายไป และกลับแทนดีด้วยสีหน้าของความกังวลแทน
ทำไมกัน?คำถามผุดขึ้นในใจ.. ทำไมเขาถึงได้มีสีหน้ากังวลแบบนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ถึงสามวินาทีก่อนหน้านี้เขายังยิ้มอยู่เลย
"ช่วยหลับตาลงด้วยนะครับวาฬ"
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไรออกไป คำสั่งใหม่ก็ตามมา ผมเลยชั่งใจอยู่ว่าควรจะทำตามเหล้ารัมเลย หรือว่าควรถามถึงเรื่องความกังวลบนใบหน้าของเขาก่อนดี?
"ถ้าคุณไม่หลับตา ผมทำพันธะสัญญาไม่ได้นะ"
ซึ่งพอเห็นว่าผมไม่ยอมหลับตา อีกฝ่ายก็เลยย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น แต่ก็ยังไม่วายเจือความกังวลที่เด่นจนเห็นได้ชัดน่ะนะ
"โอเค" หลับตาก็หลับตา เอาไว้ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมค่อยถามเขาแล้วกันว่ากังวลเรื่องอะไรกันแน่
แต่ดูท่าว่าความกังวลของเขาจะส่งผลมาถึงผมด้วย เพราะพอภาพสุดท้ายที่เห็นดันเป็นสายตาแสดงความกังวลอย่างที่ผมไม่ทราบสาเหตุ ก็เลยแอบคิดนั่นคิดนี่ในแง่ร้ายจนรู้สึกกังวลใจไปด้วยเหมือนกัน..
..แล้วเวลาต่อจากนั้น ผมก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวบ้างกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงพึมพำภาษาแปลกๆ ที่น่าจะเกิดจากการร่ายคาถาของเหล้ารัม ก่อนจะตามมาด้วยสายลมแรงที่ปะเข้ากับร่าง..!
มันเป็นสายที่ลมประหลาดมาก.. ผมสัมได้ เพราะนอกจากมันจะพัดผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงแล้ว มันยังวิ่งวนกลับมาพัวพันอยู่ที่รอบตัวผม ฉุดดึงผม ราวกับต้องการให้เหล้ารัมกับผมแยกออกจากกัน
โชคดีที่ต่างฝ่ายต่างกระชับนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันไว้ให้แน่นขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครบอกกล่าว เลยทำให้ไม่มีใครหงายหลังแยกจากกันไป ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ดูจะเร่งจังหวะการร่ายคาถาให้เร็วขึ้น ยิ่งลมพัดแรงเท่าไหร่ นายพ่อมดเหล้าก็พึมพัมคาถาออกมาให้เร็วเท่านั้น
ว่าแต่ว่าทำไมใจคอผมมันถึงได้รู้สึกไม่ดีแบบนี้นะ? เหมือนว่า..กำลังถูกเฉียดใกล้และกัดกินความสุขภายในด้วยความทุกข์อย่างแสนสาหัส.. มีเพียงเสียงร่ายคาถาของเหล้ารัมเท่านั้นที่ช่วยพยุงจิตใจผมไว้ไม่ให้อ่อนแอมากไปจนถึงขั้นสติแตก.. วินาทีนั้นผมอยากลืมตาขึ้นดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเป็นการทำลายสิ่งที่เหล้ารัมกำลังทำอยู่ตอนนี้ เลยได้แต่ข่มใจตัวเองให้รอถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะอนุญาต
จนกระทั่งเหล้ารัมเอ่ยคาถาคำสุดท้าย...
"...
อินเทอร์ลีกอร์ช!"
ฟู่ววววววว~...สายลมที่เคยพัดวนอย่างบ้าคลั่งก็พลันสลายหายไป!
รวมถึงความรู้สึกแย่ๆ ก็จางหายไปด้วย เหลือเพียง..ความอบอุ่นใจอย่างประหลาดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของผมเท่านั้น
แต่ผมก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกไปนะ รวมถึงการลืมตาด้วย เพราะถึงยังไงเหล้ารัมก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ผมเลยคิดว่านิ่งไว้ก่อนน่าจะเป็นการดีที่สุด
"โอเค ลืมตาได้แล้วครับ" แล้วไม่นานหลังจากนั้น เสียงของเหล้ารัมที่ดูจะร่าเริงกว่าก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้น
ผมจึงค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ เพื่อที่จะมาพบกับ..รอยยิ้มของเหล้ารัมที่ปราศจากความกังวลใดๆ
แบบนี้แสดงว่า..ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย?
ผมลองมองไปรอบๆ ก็ดูเหมือนว่าลูกค้ารวมถึงบริกรคนอื่นๆ ก็ดูเป็นปกติดี ไม่น่าจะมีใครรับรู้ถึงสายลมนั่นนอกจากผมกับนายพ่อมดเหล้า
แล้วพอลากสายตากลับมาที่เหล้ารัม ก็ถึงได้เห็นว่าตอนนี้เขาไม่ได้ส่งยิ้มมาให้ผมแล้ว แต่กำลังมองนิ้วก้อยของเราสองคนที่ยังคงเกี่ยวกันไม่เลิกแทน
ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามีอะไรให้น่าอมยิ้มนักหนา จนกระทั่งลองสังเกตดูดีๆ ถึงได้เห็นว่ามีบางอย่างที่ต่างออกไป...
...นิ้วก้อยของเราสองคนมีเส้นด้ายเชื่อมโยงเอาไว้ด้วยกัน
"..." เหล้ารัมยังไม่ได้อธิบายอะไรออกมา เขาทำเพียงแค่คลายนิ้วก้อยออกจากผม ซึ่งนั่นทำให้ผมเกือบจะร้องห้าม เพราะเห็นว่าความยาวของเส้นด้ายนั้นน่าจะไม่มากพอให้ปล่อยนิ้วออกจากกัน แต่เมื่อนายพ่อมดดึงมือกลับไป..ความยาวของเส้นด้ายก็เพิ่มขึ้นตามระยะทางความห่างของนิ้วก้อยผมกับเขา
อะ..อเมซิ่ง!
"เส้นด้ายนี่คือพันธะสัญญาหรอครับ?" ผมถามอย่างอดทนรอต่อไปไม่ไหว ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะให้เหล้ารัมเป็นคนบอกทุกอย่างออกมาเอง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายดูจะชื่นชมกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจนลืมบอกสิ่งที่ผมควรจะรู้ให้ฟังเสียแล้ว
"ใช่ครับ" เหล้ารัมยิ้ม "นี่คือ
ด้ายแห่งพันธะสัญญา ทุกคนจะมองเห็นมันได้หากเราสองคนไม่ซ่อนมันเอาไว้ และนี่.." ก่อนที่เขาจะเว้นจังหวะเพื่อชี้จุดแบ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด "เป็นจุดแบ่งระหว่างสายสัมพันธ์ของเราสองคน ซึ่งตอนนี้ฝั่งของผมเป็นสีแดงอ่อน ในขณะของคุณเป็นสีขาว"
"อ๋อ" ผมยื่นหน้าเข้าไปพิจารณาให้ใกล้ขึ้น "แล้วสีนี่บ่งบอกอะไรหรือเปล่าครับ"
"บอกครับ บอกถึงความรู้สึกของเราสองคนที่มีให้แก่กัน อย่างผมเป็นสีแดงอ่อน แสดงว่าผมชอบคุณมากๆ ถ้าสะสมความรู้สึกมากขึ้นๆ อีกไม่นานก็คงจะกลายเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งนั่นหมายถึงฝั่งของผมก็จะเสร็จสมบูรณ์"
"งั้น...ฝั่งผมที่เป็นสีขาวก็แสดงว่า...ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลยหรอ?"
"..." ระดับรอยยิ้มของนายพ่อมดเหล้าดูจะลดลงเมื่อผมถามออกไป.. แต่ก็ยังคงหลงเหลือความสดใสอยู่บ้าง มันเลยทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยแย่เท่าไหร่นัก ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ "ก็ไม่เชิงหรอกครับวาฬ เพียงแต่..คงต้องใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะแดงเท่ากับผม เพราะแบบนั้นผมถึงได้ขอพ่อกับแม่คุณให้คุณย้ายมาอยู่ด้วยกันกับผมไงครับ จะได้สานสัมพันธ์กันได้อย่างเต็มที่ และเมื่อไหร่ที่ด้ายของเราเป็นสีแดงทั้งคู่ พันธะสัญญาครั้งที่สองก็จะเสร็จสมบูรณ์ครับ"
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจทุกคำที่เขาพูด แสดงว่าต่อจากนี้เขามีหน้าที่ทำให้ผมรักเขา ในขณะที่ผมมีหน้าที่ทำให้เขารักผมมากขึ้น แล้วผมก็จะรอดพ้นจากความตายสินะ ว่าแต่.. "แล้วมีกำหนดเวลามั้ยครับ"
คราวนี้เหล้ารัมพยักหน้าบ้าง "มีครับ ก็..ก่อนวันเกิดคุณหนึ่งวัน" ก่อนจะปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้ม เหมือนไม่ต้องการให้ผมกังวลกับคำตอบของเขา
แต่แน่นอนว่าผมอดคิดถึงระยะเวลาที่เหลือไม่ได้ ในเมื่อด้านของผมยังเป็นสีขาวอยู่เลย
"เข้าใจแล้วครับ ว่าแต่.. ตอนที่ผมหลับตา มันเกิดอะไรขึ้นหรอครับ ทำไมผมรู้สึกไม่ดีกับสายลมที่พัดวนรอบตัวผมเลย"
"อ๋อ นั่นไม่ใช่สายลมหรอกครับ มันคือ
ภูตแห่งความเกลียดชัง ผมถึงได้ให้คุณหลับตาไว้ เพราะรู้ว่ามันจะต้องตามมาหลอกหลอนคุณแน่"
"จะ..จริงหรอครับ!" ดีนะที่ผมไม่ลืมตาน่ะ "แล้วคุณรู้ได้ไงครับว่ามันจะมา"
ไม่ใช่ว่าเขาเคยทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับใครมาก่อนหรอกนะ?
"ที่ผมรู้ก็เพราะว่าเจ้าภูตตนนี้มันไปแทบจะทุกที่ที่มีกลิ่นของความรักครับ แล้วเราสองคนก็ทำพันธะสัญญาที่มีสายสัมพันธ์เป็นหลัก ยังไงมันก็คงจะไม่พลาดอยู่แล้ว" คนตรงหน้าค่อยๆ อธิบายให้ผมฟังอย่างใจเย็น ก่อนที่เขาจะสะบัดมือขวาหนึ่งที และด้ายที่เชื่อมโยงเราสองคนไว้ก็จางหายไป ก่อนที่จะใช้มือข้างเดิมยกเรียกบริกรให้เดินมาหา "ดึกแล้ว ผมว่าเรากลับคอนโดกันเลยก็แล้วกันนะครับ"
ผมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาช่วยเหล้ารัมจ่าย แต่นายพ่อมดรีบโบกมือห้าม ก่อนจะส่งการ์ดให้บริการ ก็เลยกลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายที่แค่นั่งรอเฉยๆ จนกว่ากระบวนการการจ่ายเงินจะเสร็จสิ้น
ทำให้ในช่วงเวลานั้น... ผมเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเส้นด้ายฝั่งผมที่ยังคงเป็นสีขาวสะอาดหมดจดแบบนั้น ทำให้ตอนนี้ปัญหาหลักๆ น่าจะอยู่ที่ผมเอง และมันก็ทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
ในขณะที่เหล้ารัมก็คงจะกังวลไม่แพ้กัน ถึงเขาจะยังยิ้มอยู่ได้ แต่ผมรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่อยากให้ผมสบายใจมากกว่า
เฮ้ออออออออ~ เกิดเป็นผมนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ นะ
แต่เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วเปล่าวะ กลับตัวกลับใจก็คงไม่ทันแล้ว เพราะฉะนั้นลองเต็มที่กับมันดูสักตั้ง ไหนๆ วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่าคู่เดทของผมโอเคมากแค่ไหน ต่อจากนี้ไปผมจะเปิดใจให้กว้างๆ เลย แล้วอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป
ตามนี้แหละ : )
อ้อ ยังๆ ยังไม่หมด "นี่เหล้ารัม" ผมคิดว่าผมควรพูดบางสิ่งบางอย่างกับเหล้ารัมให้ชัดเจนก่อนที่คืนนี้จะผ่านพ้นไป
"ว่าไงครับ" เหล้ารัมที่กำลังรอเซ็นบัตรเครดิตหันมาหาผม เขาทำจมูกฟุดฟิดนิดหน่อยด้วย คงจะเกิดอาการระคายเคืองอะไรสักอย่าง แต่นั่นกลับทำให้เขามีเสน่ห์ในสายตาผมอีกแล้ว
"คือ... ต่อจากนี้เป็นต้นไป ผมจะเปิดใจให้คุณนะครับ ผมจะไม่ให้คุณต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว เพราะถึงยังไงคนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ที่สุดก็คือผม แต่.. ถ้าเกิดว่าสุดท้ายแล้วเส้นด้ายของผมยังไม่กลายเป็นสีแดงก่อนกำหนดเวลา ผมก็อยากให้คุณรู้เอาไว้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย ห้ามโทษตัวเองเด็ดขาด เพราะผมรู้ดีว่าคุณพยายามช่วยผมอย่างเต็มที่แล้ว และผมก็ซาบซึ้งใจมากจริงๆ" พอพูดจบ ผมก็ส่งยิ้มให้กับเขา ไม่ใช่แค่รอยยิ้มที่ประดิษฐ์ขึ้น แต่ว่าเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจของผมจริงๆ เพราะต้องการจะยืนยันให้เขาเห็นว่าผมโอเคกับทุกสิ่งทุกอย่างต่อให้ผลสรุปของเรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม
ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ยิ้มออกมาบางๆ เช่นกัน นัยน์ตาสีม่วงของเขาเริ่มฉายแววความจริงจังขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดบ้าง "โอเคครับ ผมจะไม่โทษตัวเอง"
"ดีแล้วครับ ถ้าคุณพูดแบบนี้ผมเองก็สบายใจ"
คนดีๆ อย่างเหล้ารัมควรสุขมากกว่าทุกข์ ผมคิดแบบนั้น
"แต่ผมมีลางสังหรณ์นะว่าทุกอย่างจะสำเร็จนะ"
ก่อนที่คำพูดของเขาต่อจากนั้นจะเรียกความสนใจจากผมที่กำลังแอบหันไปมองบริกรที่กำลังจะเดินมา
"ทำไมถึงคิดงั้นล่ะครับ"
"ก็.. ถ้าเกิดว่าคุณสังเกตนะ คงเห็นว่าก่อนที่เราจะเริ่มทำพันธะสัญญากัน ผมค่อนข้างกังวลนิดหน่อย"
"..." แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด แต่ผมก็รีบพยักหน้ารับ เพราะสังเกตเห็นความกังวลจากใบหน้าเขาจริงๆ
จะว่าไปผมก็ลืมถามเรื่องนี้ไปเลยเนอะ
"เพราะถ้าคุณไม่มีใจ ต่อให้ผมพยายามแค่ไหน เส้นด้ายก็ไม่มีวันปรากฏขึ้น แต่ก็อย่างที่เห็น มันเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้เป็นสีขาวเพราะคุณยังไม่รู้สึกมากเท่าผม แต่อย่างน้อยๆ ผมก็ได้รู้ว่า..คุณเองก็มีใจให้เหมือนกัน : )"
แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะเจ้าตัวเขาอธิบายให้ฟังหมดแล้ว
แถมยังมาแช่แข็งผมด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำอีก..
'คุณเองก็มีใจให้เหมือนกัน''คุณเองก็มีใจให้เหมือนกัน''คุณเองก็มีใจให้เหมือนกัน'ก่อนที่ต้นเหตุอย่างเขาจะหันไปสนใจกับการเซ็นใบเสร็จที่บริการเดินนำมาให้
..โอเค ถ้าจะมาพูดกันแบบนี้ ก็ทำหน้าที่ที่ควรทำเถอะ..คุณหัวใจ
ตึกตัก ตึกตักฝากคอมเม้นติชมกันด้วยนะครับ : )
ป.ล. หากอยากกรีดร้องบอกความรู้สึกกันในทวิตเตอร์ ฝาก #พ่อมดเหล้า ด้วยนะครับ
my page :
แฮมสเตอร์ 