C h a p t e r 1 3"แซค"เสียงเรียกจากหัวหน้างานดังขึ้น เคร่งเครียดกว่าทุกที ทำเอาผมที่นั่งแต่งภาพในคอมเอี้ยวตัวกลับไปมองยังต้นกำเนิด พี่จิ๊บยังสวมกระโปรงสั้น รองเท้าส้นสูง ริมฝีปากสีส้มสดเป็นสาวมั่นทั้งๆ ที่แววตากังวล ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยซ้ำถึงประเด็นที่ทักผมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเมื่อครู่ "คุณวิสุทธิ์โทรมาให้ไปช่วยงานหน่อย พี่ไก่ลื่นล้มในห้องน้ำ เหมือนจะแขนหัก พากันไปโรงพยาบาลอยู่"
"ที่สตูเหรอพี่"
"อืม เหลือฉากเดียว เดี๋ยวไปฟังบรีพจากโจ วันนี้ได้คิวนายแบบวันสุดท้าย"
“พี่หมายถึงวันนี้?”
“ตอนนี้ ถ่ายคากันอยู่ตั้งแต่เช้า ขาดอีกฉากเดียว”
"หา?" ร้องอุทาน งานด่วนอะไรขนาดนั้นวะ "บ้าไปแล้ว ครึ่งวันบ่าย งานยังไม่ได้บรีฟ แล้วให้ผมรับมือต่อจากพี่ไก่"
"เมื่อก่อนตากล้องรองของพี่ไก่ก็แกไม่ใช่เหรอ บ่ายสองฉันมีประชุม จะให้ไปถ่ายให้หรือไง"
“แล้วตากล้องรองพี่ไก่ตอนนี้ล่ะ”
“โอ๊ย แกฝีมือดีกว่าเยอะ ฉากสุดท้ายเวลาจำกัด วุ่นวายกันจะตายแล้วกองนั้น อย่าท่ามากน่ะแซค”
"ไม่ได้ท่ามาก แต่งานผมก็ยังไม่เสร็จ ไลท์รูมแม่งเปิดไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไร"
"ก็นี่ไง ไปดูทางนั้นก่อนค่อยกลับมาทำต่อ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สีหน้าพี่จิ๊บไม่ได้ดีไปด้วยเลย “ถ้าเลือกได้ฉันไม่อยากให้แกไปยุ่งเลยนะ แต่รีบๆ ไปเถอะ เขามีเวลาไม่มาก แถมยังยุ่งๆ อยู่ด้วย”
“ถ่ายให้ใครวะเจ๊”
“อู๋ธาม”ผมยืนปรับฟังก์ชั่นของกล้องขนาดใหญ่บนขาตั้ง ภาพตรงหน้าคือคนที่ผมไปเฝ้าถ่ายแบบที่สตูดิโอของเพื่อนเก่าไม่กี่วันก่อน เราทำได้เพียงลอบมองกัน แล้วผินหน้าออกเหมือนคนไม่รู้จัก พี่นิดตามคุมตัวแจ ส่วนผมได้เพียงข้อความสันๆ จากนิธานว่าอย่าตามมาอีกแล้วก็ขาดการติดต่อไป
เป็นความสัมพันธ์ที่ใจหนึ่งก็บอกให้ถอย อีกใจก็ไม่อาจห้าม ผมกลับมาทำงาน พยายามเลิกฟุ้งซ่านถึงนิธานแต่ก็ทำไม่ได้ ลึกลงไป ในตะกอนก้นบึ้งยังเรียกหา ถ้าไม่โดนส้มหล่นวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอหน้าอีกเมื่อไหร่
“อ้าว น้องคนที่ไปสตูวันก่อนใช่ไหม” ธาราธรณ์เดินมาทักอย่างอารมณ์ดี เขาแต่งหน้าทำผมเสร็จก่อนนิธาน เพราะทรงผมที่สั้นกว่า คอนเซปต์ของวันนี้คือคู่รักที่ซุกซน นิธานสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว ผูกโบว์หูกระต่ายสีชมพู เอี๊ยมกางเกงขาสั้นประมาณเข่าสีน้ำตาลโกโก้ นายแบบที่ถ่ายคู่สวมเป็นกางเกงขายาว กับเสื้อสูทสีน้ำตาลแบบเดียวกัน ขณะที่ตรงคอเป็นเนกไทสีชมพู
ช่างเหมือนคู่รักในจินตภาพยังไงอย่างนั้น
“เตรียมตัวเถอะครับ”
“อ้า..เริ่มเลยเหรอ อ้อ ใช่สินะ เหลือเวลาไม่มาก” ธาราธรณ์พึมพำ เหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านหนึ่งพร้อมกันโดยอัตโนมัติ “ผมไม่มีปัญหาหรอกถ้าถ่ายซ่อม พี่ธามน่ะสิ คิวแน่นตลอด”
“ถ้ารู้แล้วก็เข้าฉากสิครับ คุณนิธานเหมือนจะเสร็จแล้ว”
“อ๊ะ จริงด้วย” เขายักคิ้ว ยกมือขึ้นวางบนบ่าผมอย่างคนอารมณ์ดี “รบกวนด้วยนะน้อง”
ผมไม่ตอบ สบตากับนายแบบอีกคนแล้วก้มลงมองปุ่มชัตเตอร์เพื่อหลบสายตา
มันไม่ง่ายจริงๆ ที่จะต้องเห็นคนของตัวเองคลอเคลียกับผู้ชายคนอื่นด้วยสีหน้าชื่นบาน ธาราธรณ์ทำหน้าทะเล้น เดี๋ยวเกี่ยวเอว เดี๋ยวก้มลงมองใกล้ ผมกดชัตเตอร์ตามหน้าที่ กล้ำกลืนฝืนทนแม้นึกหงุดหงิดแต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นแค่งาน ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจรู้สึกดีนักและเผลอทำตาดุใส่นายแบบทุกทีที่สบตา
นิธานเป็นมืออาชีพ เรื่องนี้ผมรู้ เขาสามารถทำให้ใครเชื่อได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในภวังค์รักกับธาราธรณ์ เป็นการแสดง ที่บางครั้งผมก็ไม่อาจแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียงการแสดงในแบบที่เจ้าตัวต้องการให้เป็นไปหรือไม่
และสุดท้ายก็มีแค่ผมที่บ้าไปคนเดียว
“ช่างช่วยเติมหน้าหน่อยครับ”
เอ่ยเสียงเรียบก่อนเหลือบสายตามองไปยังนิธานที่หลบมุมขอเข้าห้องน้ำ ผมล้วงกระเป๋า ทำทีว่าไปทำธุระส่วนตัวเช่นกัน ถ้าไม่ได้คุยหรือทำอะไรสักอย่างผมต้องเป็นบ้าแน่ เปิดประตูห้องน้ำ มองหน้าอีกฝ่ายผ่านกระจกก่อนเปิดบทสนทนาก่อน
“พี่นิดไม่มาเหรอครับ”
เสียงซู่ของน้ำดังจากก๊อก ผมปิดประตูห้องน้ำชาย หลังจากแน่ใจว่ามีเพียงผมกับนิธานตามลำพัง พี่ธามสบตาผมผ่านกระจก พยักหน้าเนือยๆ ไม่มีทีท่าแปลกใจนักเมื่อเห็นผมตามมาแบบนี้ แน่นอน เขาอ่านผมออกเสมอๆ
“ไปเช็กเอกสาร พรุ่งนี้มีถ่ายแบบที่นิวยอร์ค”
“พรุ่งนี้?”
“ไปสองสัปดาห์”
“ใจคอจะไม่บอกผมหน่อยหรือไง แล้วไอ้นั่นไปด้วยไหม” คู่สนทนาขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมเอ่ยขยายความในประโยคถัดมา “พี่อู๋”
“ไม่ได้ไป”
“สนิทกันเหรอ”
“ไม่เท่าไหร่ ก็แค่ทำงานด้วยกัน”
“เล่นบทอะไรบ้าง”
“เริ่มออนแอร์แล้วก็ไปดูสิ”
“ผมไม่อยากเห็นภาพพี่กับผู้ชายคนไหนหรอกนะ” กอดอกสบตา ขณะที่นิธานได้เพียงถอนหายใจ
“อย่างี่เง่า แซค มันก็แค่เรื่องงาน”
“จูบหรือเปล่า”
“อะไร”
“มีฉากจูบหรือเปล่า”
“ไร้สา–“ ผมไม่ยอมให้นิธานมองมันเป็นเรื่องเล็กๆ ดึงหัวไหล่ให้คนตัวบางกว่าเอี้ยวตัวกลับ ล็อกต้นคอดึงเข้าหาบดเบียดริมฝีปากนุ่มที่มันวาวด้วยลิปกลอสสีอ่อน มือข้างหนึ่งโอบรอบเอว แทรกหัวเข่าแยกหว่างขาบังคับให้ถอยหลังไปชนผนัง ผมยกเข่าขึ้น บดเบียดหน้าขาตัวเองกับร่างกายอีกฝ่าย ดูดดึงกลีบปากทั้งบนและล่าง แทรกลิ้นเข้าลึกเรียกร้องความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจากอีกฝ่ายอย่างจาบจ้วง
นิธานร้องประท้วงในลำคอ ก่อนจะโอนอ่อนผ่อนตาม กระทั่งสาแก่ใจถึงผละออก เสื้อเชิ้ตสีขาวของอีกฝ่ายยับย่น ส่วนชายหลุดออกจากกางเกง กระดุมบางเม็ดไม่อยู่ในรังดุม แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่หนักหนาเท่าริมฝีปากที่แดงช้ำของอีกฝ่าย เขาปาดน้ำลายและลิปสติกที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้า มองค้อนก่อนผลักผมออกห่าง
“คุมสติบ้างนะแซค”
“ก็เพราะใครกันล่ะวะ”
“อย่ามาเอาแต่ใจนักได้ไหม โตเป็นผู้ใหญ่สักที”
“ผู้ใหญ่แบบที่ฟังแต่ไม่เชื่อ จูบแต่ไม่รักอย่างนั้นน่ะเหรอ ใจร้ายมากนะธาม”
“ก็เพราะใช้แต่อารมณ์แบบนี้ไงล่ะถึงคบด้วยไม่ได้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”
“ก็เป็นผัวพี่ไงล่ะ”
ผลั่ก!
สมองผมมึนงงไปชั่วขณะ ใบหน้าเอียงจากลำคอที่ตั้งตรง นายแบบหนุ่มเดินเฉียดไหล่ผมไป ทิ้งไว้เพียงความเจ็บที่แล่นริ้วจากริมฝีปากสู่กลางใจ
ชกแล้วเดินหนีแบบนี้เลยนะ
ได้เลย นิธาน!
งานของวันนี้ผ่านไปได้ในที่สุด ผมไม่ใช่แซค ตากล้องขี้เล่นของคนอื่นเหมือนทุกที แต่อย่างน้อยพี่ไก่กลับมาจากโรงพยาบาลเห็นภาพแล้วก็ค่อนข้างพอใจ หลังจากนี้อาจต้องหยุดพักงานสักระยะเพราะแขนที่ใช้การไม่ได้ข้างหนึ่ง เป็นหน้าที่ของหัวหน้าที่นี่เองว่าจะจัดสรรยังไง ส่วนผมก็แค่ตากล้องแก้ขัดชั่วคราว
พระอาทิตย์ตกดินทางทิศเดิม ผมทิ้งรถไว้ที่บ้าน ไอ้เหลือซึมลงบ้างเพราะไม่มีเวลาให้ แต่ผมก็งุ่นง่านไม่แพ้กัน เรียกแท็กซี่มาหานิธานที่คอนโด ดักรอมุมเดิม กระทั่งนายแบบหนุ่มเดินลงจากรถตู้ พักนี้เขามีรถไปรับไปส่งตลอด อาจเพราะข่าวเสียหายที่หลุดไปรอบนั้น
“ธาม”
ผมร้องเรียก เจ้าของห้องหยุดขาทั้งสองไว้ ล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง เขาดูไม่แปลกใจสักนิดที่ผมจะมาหาแบบนี้ ไม่เห็นแววตาในแว่นกันแดดสีดำ ไม่มีคำพูดทักทาย เขาเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปด้านในขณะที่ผมก้าวขาตามเข้ามาติดๆ เปิดประตูห้องด้วยรหัสผ่าน ถอดแว่นกับกระเป๋าถูกวางบนที่ของมันด้วยความเคยชิน ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออก หันมาประจันหน้ากับผมตรงๆ
“มีอะไร”
“พี่จะทำแบบนี้กับผมไปถึงไหนวะ”
“ฉันไม่คุยกับคนพูดไม่รู้เรื่อง”
“พี่ก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับพี่ พี่ปล่อยให้เรื่องของเราเลยเถิดมาขนาดนี้แล้วก็พูดว่าไม่ได้คิดอะไรกับผมเลยอย่างนั้นเหรอ” มองลึกเข้าไปในดวงตา มันเวิ้งว้าง ว่างเปล่า ล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด “พี่เลิกปั่นหัวผมเล่นสักที”
“ต้องการอะไรกันแน่”
“คบกับผมสิ” เอ่ยเสียงจริงจัง เป็นความจริงจังมากที่สุดเท่าที่ผ่านมา เรามาไกลเกินกว่าจะหยอกล้อให้ใจเต้นแล้ว ผมตกหลุมรักเขาเข้าเต็มๆ เหมือนหลงอยู่ในเขาวงกต และผมยินดีอยู่ในเขาวงกตนี้หากนิธานยินดีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วย “หรือไม่ก็ปล่อยผมไป”
“ฉันไม่เคยขังนายไว้”
“นี่เป็นคำตอบจริงๆ ใช่ไหม”
ไม่เคยคิดว่าหัวใจจะเจ็บได้ขนาดนี้ ผมมองคู่สนทนาด้วยสายตาตัดพ้อ สิ้นหวัง หลับตาลงก่อนความร้อนในกระบอกตาจะกลั่นตัว เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มข้างที่โดนต่อย ตอกย้ำว่าแผลที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้ช่างเล็กน้อยยิ่งนัก
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
“แซค” ข้อศอกผมถูกรั้งเอาไว้ ใจทั้งปรารถนาและไม่ต้องการในเวลาเดียวกัน ผมพลิกตัวหันหลัง ดึงตัวเองออกจากพันธนาการ ยังไม่ทันเดินไปจับที่ลูกบิด สองแขนก็กดประตูไว้โดยมีผมถูกคร่อมอยู่ตรงกลาง “จะไปจริงๆ เหรอ”
“พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่!”
“มันมีอะไรมากกว่าฉันกับนาย และฉันก็ไม่อยากให้นายไป”
“พี่มันเห็นแก่ตัว”
“ฉันรู้ แต่ฉันก็จะรั้ง”
ผมซบหน้าผากลงบนบานประตู ขณะที่หน้าผากของนิธานก็วางลงบนแผ่นหลังเช่นกัน เป็นความรู้สึกประหลาด ผมสัมผัสได้ถึงความลำบากใจแต่ไม่อาจอธิบายได้ถึงสาเหตุ เหมือนกับที่เวลาพี่ธามหงุดหงิดหรือสบายใจผมก็รู้สึกถึงมัน แย่ตรงที่ผมไม่รู้ ไม่เคยรู้เลย เขากอดผม เขาจูบผม ยินยอมให้ผมทำความรู้จักเรือนร่างทุกซอกทุกมุม แต่กลับไม่เคยเปิดโอกาสให้เข้าไปอยู่ในใจสักเสี้ยวนาที
“แซค ถ้าคบกันแล้วจะทนได้ยังไง ฉันอาจจะ มีข่าวกับคนนั้นที คนนี้ที อาจจะไม่มีเวลาให้ ขนาดแค่งานวันนี้นายยังคุมตัวเองไม่ได้เลย”
“เพราะผมไม่มั่นใจในตัวพี่เลยน่ะสิ” นั่นคือความจริงอย่างที่สุด สองแขนที่กักขังไว้โอบกอดรอบเอว รับรู้ได้ถึงความสั่นไหว ไม่ใช่แค่จากนิธาน ตำแหน่งที่ยืนอยู่ก็เหมือนกัน “ไม่มั่นใจว่าพี่คิดยังไงกับผม ไม่มั่นใจว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของหัวใจพี่ ไม่รู้ ผมไม่เคยคิดมากขนาดนี้เลย แต่ทุกอย่างเป็นเพราะพี่ เพราะผมรักพี่”
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เข้าใจใช่ไหม แต่ฉันอยากให้นายอยู่ตรงนี้”
“อยู่แบบไม่มีตัวตนน่ะเหรอ”
“แซค”
“ผมพูดจริง ผมต้องการผูกมัดพี่ แล้วผมก็ไม่ทนให้พี่มีข่าวกับใคร หรือมีคนเลี้ยง ถ้าเป็นนายแบบแล้วมันเปลืองตัวนักก็ออกมา ผมเลี้ยงพี่ได้ จะกินจุสักเท่าไหร่เชียว”
“ถ้าเป็นแค่ฉันคนเดียวจะไม่ลังเลเลยแซค” เสียงนั่นเอ่ยกระซิบ เต็มไปด้วยความขลาดเขลาแบบที่น้อยครั้งนักจะพบเจอได้จากนายแบบหนุ่ม “คิดว่าเขาจะปล่อยนายไปเหรอ”
“หมายความว่าไง พี่มีคนเลี้ยงจริงๆ ใช่ไหม”
“มันสำคัญอะไรนอกจากถ้าเราคบกันเขาเล่นนายตายแน่ด้วยแซค ที่ทำทุกอย่างก็เพื่อปกป้องอยู่ ไม่รู้ตัวเลยหรือไง”
“ผมต่างหากที่จะเป็นคนปกป้องพี่”
“มันไม่เหมือนในละครที่พระเอกจะทำอะไรก็ได้ตามใจหรอกนะ! นายไม่รู้จักอำนาจ ไม่รู้จักเงินเลย! คิดทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นสนุกทั้งนั้นเหรอ!”
“ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมรักพี่ มันยังไม่พอให้เราลุกมาปกป้องใครสักคนอีกหรือไง ต่อให้ตายก็ต้องทำ”
“โง่!”
“จะบอกว่าโง่ก็ได้ แต่ผมซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”
หันหน้ามาเผชิญหน้าอีกฝ่าย นิธานหลับตา ราวกับกลัวว่าหากปล่อยให้ตัวเองสบตากับผมแล้วจะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ ผมรู้ว่าเขาอ่อนแอ เก็บเรื่องราวมากมายไว้ในหัวจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ความกดดันทั้งหมดทั้งมวล และมิตรสหายที่ไม่มีจริง
เข้าใจคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว
แต่ไม่ว่าจะหนาวเท่าไหร่ ผมก็ยินดีจะกอดเขาเอาไว้
“พี่ธาม คบกับผมได้ไหม”
ถามอีกครั้ง และจะเฝ้าเพียรถามเรื่อยไป ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา ผมขยับตัว โน้มลงไปจูบเหนือริมฝีปากผะแผ่ว กอดร่างผอมสูงไว้ด้วยอ้อมแขน “ที่ผ่านมาจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ สู้ไปด้วยกันได้ไหม”
“พรุ่งนี้ฉันต้องไปถ่ายแบบที่นิวยอร์คสองสัปดาห์” เสียงทุ้มเอ่ยสั่น ผมพยักหน้ารับรู้ “เอารถไปใช้สิ”
“ไม่ใช่คำถามของผมเลยนะ”
“แล้วจะเอาไปนอนคิดดูที่โน่นแล้วกัน”
“แล้วผมจะรอของฝากจากนิวยอร์ค”
เขาไม่ตอบ โอบกอดผมด้วยสองแขน ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน ผมขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น และไม่เหนื่อยที่จะพยายามขอเพียงแค่เห็นว่ามันมีผลอะไรต่อจิตใจพี่ธามบ้างสักนิดก็พอ
รักที่เหมือนคนโง่
รัก...ที่เหมือนคนบ้า
“หวังว่าจะเป็นข่าวดี”
กลิ่นของกาแฟดำหอมกรุ่นจากเครื่องบดที่ทำงานหนัก ผมยืนรอที่เคาน์เตอร์ สักพักเจ้าของร้านก็เดินลงมาจากชั้นบน ผมยกมือไหว้ พี่หม่อนเพียงพยักหน้าให้ยิ้มๆ แล้วหันไปพูดกับบาริสต้า
“เดี๋ยวขออเมริกาโน่ด้วยนะ เอาขึ้นไปเสิร์ฟข้างบนเลย ไปด้วยกันสิแซค”
ร้านอาหารของพี่หม่อนยังเป็นเหมือนเดิม ผมมีโอกาสแวะมาไม่บ่อยนักในช่วงหลังๆ เพราะสาเหตุแรกเริ่มของผมคือนิธาน ดังนั้นเมื่อในพักหลังนิธานมีงานในวงการค่อนข้างชุกแบบหาเวลาว่างได้ยากผมเลยพาลไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่ายด้วย สองสัปดาห์นี้ยิ่งบินไปถ่ายแบบที่ต่างประเทศยิ่งแล้วใหญ่ ดูเหมือนหลังจากละครเริ่มออนแอร์กระแสอู๋ธามก็หนักขึ้นจนผมไม่อยากติดตามผลงานของนิธานไปด้วย
“เดี๋ยวนี้เอารถธามมาใช้เลยเรอะ พัฒนาขึ้นเยอะนี่”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมว่า หลังจากคู่สนทนาจับจ้องยังกุญแจโฟลคสวาเก้นที่ผมถืออยู่ “พี่หม่อนมีอะไรหรือเปล่า”
“ได้ความว่าไงบ้างล่ะ”
“นี่พี่ให้ผมจีบพี่ธามเพราะอยากสืบเรื่องเพื่อนของตัวเองแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ”
“มันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็ดีไม่ใช่หรือไง อย่าบ้าน่า แซค ใครจะอยากอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต พี่เองก็เห็นใจมันที่ไม่ค่อยได้เปิดโอกาสให้ตัวเอง อีกอย่าง เราก็ดูไม่กลัวอะไรอยู่แล้วนี่”
“ที่จริงผมก็รักตัวกลัวตายนะ” แสร้งพูดยิ้มๆ ผมไม่ชอบพี่หม่อนเลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาทำกับผมเหมือนเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมนั่นก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ความรู้สึกระหว่างเราเปลี่ยนไป “อีกอย่าง ผมยังไม่ได้เป็นแฟนพี่ธามสักหน่อย”
“ให้กุญแจรถหลักล้านมาถือแล้วเนี่ยนะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่มีข่าวกับผมพี่ธามก็ไม่ได้ใช่รถเลย พี่นิดคุมเข้มมาก ไม่อยากให้ก่อเรื่อง” ถึงแม้หลังจากนั้นเราต่างก่อเรื่องที่ลึกซึ้งกว่านั้นไปแล้วก็เถอะ เอาเป็นว่าผมจะวงเล็บเรื่องพวกนี้ไว้ในใจแล้วกัน “รถไม่ได้ใช้เดี๋ยวก็มีปัญหา”
“นี่โฟลคสวาเก้นรุ่นล่าสุดนะ”
“แล้วไง ใช่ว่ามันพังไม่ได้ ว่าแต่พี่หม่อนเรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นเรื่องคนที่เลี้ยงดูพี่ธามล่ะก็ ผมไม่มีอะไรจะบอกหรอกนะ”
“มันไม่เล่าอะไรเลย?”
“โธ่ พี่” ม็อคค่าเย็นของผมมาเสิร์ฟพร้อมอเมริกาโน่ของพี่หม่อน พนักงานสาวสวยเดินออกไปแล้วถึงได้กลับเข้าเรื่องใหม่ “ขนาดพี่รู้จักพี่ธามมาตั้งกี่ปี ยังไม่รู้เลย ผมเป็นใครมาจากไหนกันครับ”
“แต่ดูเหมือนเราจะเข้าถึงธามมากกว่าพี่”
“เขามีกำแพงสูง พี่ก็รู้ อีกอย่าง ผมจีบพี่ธามนะ ถ้าเขามีเสี่ยเลี้ยงจะมาบอกผมทำไม” เมธัสถอนหายใจ มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมมองเขา เข้าใจถึงความอึดอัดที่เป็นอยู่ ดูระแวดระวังความสัมพันธ์ของเพื่อนรักกับพ่อแท้ๆ บอกตรงๆ ว่าผมเองก็ใช่จะไว้ใจ นิธานมีพิรุธ แต่ตราบใดที่ยังไม่หลุดออกมาจากปาก ผมก็ยังคงหลอกตัวเองว่ามันไม่มีอะไรต่อไป หรือต่อให้มีจริงๆ ผมก็จะเลือกบอกพี่หม่อนเป็นคนสุดท้าย เพราะอย่างน้อย ผมก็อยากให้เขาเหลือเพื่อนสักคนเวลาที่ทุกข์ใจ ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่มองว่าพี่ธามเป็นเพื่อนก็ตาม
“ว่าแต่ มันไปนิวยอร์คใช่ไหม ช่วงนี้”
“ครับ”
“โอเคกับกระแสอู๋ธามหรือเปล่า มาแรงเลยนี่ เปิดไปช่องไหนก็เจอโฆษณา” เมธัสพูดยิ้มๆ โคลงหัวไปด้วย “แต่ตอนที่มันรับงานนี้พี่กับพี่นิดก็เครียดเหมือนกัน ดูก็รู้ว่าค่ายอยากปั้นอู๋ ธามมันเก่ง มันมีความรับผิดชอบก็จริง แต่ไม่ค่อยขวนขวายด้วยตัวเอง หมายถึง ถ้าคิดจะไปไกลกว่าตอนนี้ก็ลำบากคนดัน”
“จริงๆ ผมว่าพี่ธามก็ไม่ได้อยากจะดังอะไรนะ เผลอๆ อยากใช้ชีวิตสงบๆ ด้วยซ้ำ”
“ไม่รู้สิ เป็นความตั้งใจของแม่มันตั้งแต่ลูกชายเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เสียดาย ตายไปก่อนเห็นจุดสูงสุดของธาม แต่สำหรับตัวมันเองพี่ก็ไม่รู้ว่ามันต้องการจะไปไกลหรืออยู่ในวงการนี้นานแค่ไหน” เมธัสยกกาแฟขึ้นดื่ม ยกยิ้มที่มุมปาก “บางทีพี่ก็ไม่รู้นะว่ารู้จักกับธามมันจริงๆ หรือเปล่า”
“ผมว่าพี่ธามรักพี่มากนะครับ” ผมหมายถึงในนัยยะของเพื่อน ใช้เซนส์ล้วนๆ “เขาไม่ยอมให้ใครอยู่ข้างๆ นอกจากพี่”
“ตอนนี้ก็มีเราไง” เมธัสยิ้ม เป็นรอยยิ้มเชิงให้กำลังใจก่อนหลับตาลง “พี่ก็รักมันมากเหมือนกัน”
“ตอนนี้คงใช้คำว่าเคย”
“ทำไม” เสียงหัวเราะหยันในลำคอดังขึ้น รับรู้ได้ว่าทั้งขมขื่นและเจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าสาเหตุเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความระแวงในใจเมธัสกัดกินความสัมพันธ์ของตัวเขาและนิธานไปมากแล้ว “ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่ได้รักมันแล้ว”
“เพราะพี่กลัวว่าสิ่งที่พี่คิดจะเป็นความจริง”
“พี่ถึงอยากได้คำตอบไง แซค อยากให้มันปัดความไม่เข้าใจ ตอบคำถามที่พี่ไม่เคยตอบตัวเองได้สักทีว่าทำไมธามถึงมีวันนี้ แล้วข่าวลือบ้าๆ นั่นมาจากไหน เรื่องที่พ่อพี่...”
“ผมรู้ มันเจ็บปวด” ยิ่งนิธานปิดบังมากเท่าไหร่ คนที่เคยเคียงข้างก็กลับห่างออกไปมากเท่านั้น เมธัสถอนหายใจ มองแก้วกาแฟที่เย็นชืดลงไปทุกขณะด้วยแววตาเลื่อนลอย
“คนหนึ่งพ่อ อีกคนเพื่อนสนิท มันไม่ตลกเลยรู้ไหม ถึงจะเคยเชื่อมั่นในตัวมันมากเท่าไหร่แต่ยิ่งค้นก็ยิ่งทำให้พี่ระแวงมากเท่านั้น ตอนแรกแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนกุข่าวขึ้นมา แต่ไปๆ มาๆ ไม่รู้สิ พอใกล้เจอคำตอบแล้วพี่ก็ไม่กล้าลงลึกไปรับรู้มัน”
“แต่พี่ก็ยังอยากให้ผมสืบ”
“ไม่ใช่แค่นั้น”
เราสบตากัน เมธัสเฉลยทุกอย่างออกมาทั้งด้วยน้ำเสียงและแววตา “พี่รู้มาว่าพ่อไปหามันบ่อยๆ ไม่ก็ให้คนตามไปเฝ้าบ้าง พี่เลยอยากให้มันมีนาย แล้วเลิกยุ่งกับพ่อเสียที”
“ถ้าพี่ธามเลิกยุ่งกับคุณเมธี พี่หม่อนจะรักพี่ธามแบบเพื่อนคนหนึ่งได้สนิทใจหรือเปล่าครับ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาคู่นั้นเศร้าสร้อย และโดดเดี่ยว
“ทั้งชีวิตพี่มีเพื่อนแค่คนเดียว
คือมัน”
TBCพี่หม่อนเฉลยปมตัวเองแล้ววว ส่วนแซคก็ยังต้องรอต่อไป ฉากวันนี้พี่ธามค่อนข้างแสดงความรู้สึกออกมาเยอะกว่าที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะอิแซคมันน้อยใจขั้นสาหัสสากันจริงๆ ช่วงต่อจากนี้ความสัมพันธ์ของสองคนจะค่อยๆ ดีขึ้นนิดหน่อย(มั้ง) ฮร่า ส่วนดราม่ามีอีกแน่นอน ท้ายๆ อาจสปีดลงถี่ขึ้น สงสารตัวละครตัวเอง เดี๋ยวคนอ่านเทหมด กรี๊ด
เจอกันใหม่พุธหน้า
และนี่คือสีหน้าของแซคตอนบอกธามว่า
