ตอนที่ 3 : รางรถไฟ“เปี๊ยกทำไมเพิ่งรับสาย” ในที่สุดลิงเปี๊ยกก็รับสายผมหลังจากเพียรพยายามกดไปหามากกว่าสามครั้ง
“ผมเดินอยู่ครับไม่ได้ยิน”
“เลิกเรียนแล้วใช่ไหม มาหาฉันที่ห้างที่เคยเจอกันได้หรือเปล่า ตอนนี้เลย”
“ด่วนเลยหรือลุงผมมากับเพื่อน” ลิงเปี๊ยกน้ำเสียงลังเล นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมใช้บริการลิงเปี๊ยก หลังจากครั้งแรก
ได้ผลดีเกินคาด ป้าสิชะงักการนัดสาวๆ ในอุดมคติให้ผมเพราะยังไม่แน่ใจว่าผมเปลี่ยนความชอบตามวินไปติดๆ หรือไม่
“เหตุฉุกเฉิน” ผมตอบไปแค่นั้น ลิงเปี๊ยกเงียบไปประมาณหนึ่งนาที ผมได้ยินเสียงคุยดังลอดออกมาเบาๆ
“ลุงรอก่อนนะผมกำลังรีบไป ลุงจะให้ไปเจอตรงไหนส่งข้อความมาบอกด้วย”
“ได้ นั่งแท็กซี่มาเลยจะได้ไม่เสียเวลา” ผมสำทับก่อนวางสายเพราะกลัวลิงเปี๊ยกจะมาช้า
สถานการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ความจริงไม่ได้หนักหนาเกินกว่าความสามารถ แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดและมี
โอกาสว่ามันจะวนกลับมาเกิดขึ้นอีก ผมจึงเลือกตัวช่วยชั้นเลิศอย่างลิงเปี๊ยกมาจัดการแทน
ผมกดส่งสถานที่และสิ่งที่ต้องการไปคร่าวๆ ไม่มีอะไรมากแค่แสดงตัวว่าเป็นเด็กของผม ทำให้คนเชื่อว่าผมเป็นไบเซ็กชวล
ได้ก็พอ
สถานการณ์ของผมตอนนี้ไม่ขอเรียกว่ารถไฟชนกันเพราะทั้งคู่ต่างไม่ใช่แฟนผมและไม่ใช่คนที่ผมจีบ ออมเป็นนักแสดงหน้า
ใหม่ที่กำลังมีชื่อเสียง ส่วนนุ่นคือลูกสาวนักธุรกิจที่ป้าผมเคยหนุนหลังอยู่ แต่หลังจากฟังการปะทะคารมอันชวนปวดหัว
ของทั้งคู่รวมถึงการเกาะหนึบยิ่งกว่าตุ๊กแกแล้วผมคิดตกทันทีว่าควรจะอยู่เป็นโสดต่อไป
“พี่ลมคะทำไมหายไปนาน” ออมทำสีหน้าไม่พอใจ ที่ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำและปล่อยให้เธอนั่งอยู่กับนุ่นเพียงลำพัง
ผมเจอกับออมและนุ่นที่งานการกุศลที่จัดขึ้นในห้างแห่งนี้ ออมถูกเชิญมาร่วมงานในฐานะดารา ส่วนผมกับนุ่นมา
เป็นแขก เราสามคนเจอกันโดยบังเอิญแต่ดูเหมือนไม่มีใครยอมถอยง่ายๆ ผมเกือบจะอ้างว่ามีธุระต้องกลับก่อน แต่คิดอีก
ทีจัดการให้เรียบร้อยไปเลยดีกว่า จึงชวนทั้งสองสาวลงมาหาอะไรกินด้วยกัน
“พี่ติดสายน่ะเลยคุยให้เสร็จก่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ลม นุ่นรอได้ยังไม่หิว”
“พูดเหมือนพี่ลมมากับคุณนุ่นเลยนะคะ เหมือนได้รับเชิญมา”
ผมแอบขำอยู่ในใจ ทั้งสองสาวตามผมเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่ผมควงด้วยหรือเข้ามาพัวพันในชีวิตหนีไม่พ้นแบบ
ฉบับของทั้งสองคน ขึ้นอยู่กับว่าใครวางตัวได้ดีกว่ากันเท่านั้น แม่ของผมบ่นเสมอว่าผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะอยากเข้ามาวุ่นวาย
กับคนเจ้าชู้และไม่จริงจังอย่างผม นั่นเป็นเรื่องจริงแต่ผมเองก็ยังไม่พร้อมจะรับผิดชอบชีวิตใคร ผมไม่เอาเปรียบผู้หญิง
ดังนั้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือผมจึงบอกชัดเจนว่าผมยังไม่คิดคบใครจริงจัง ส่วนหนึ่งจึงเป็นเพื่อนกันอีกส่วนก็เลือกที่จะห่างออกไป
“สั่งอาหารเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ หิวกันไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเสียจะได้สบายหูขึ้น
“เรียบร้อยแล้วค่ะ นุ่นสั่งแต่อาหารที่พี่ลมชอบ” ผมกับนุ่นเจอกันบ้างตามงานแต่ถึงขั้นรู้ว่าผมชอบอะไรน่าจะมาจากป้าผม
เสียมากกว่า
“ออมสั่งพวกอาหารคลีนมานะคะ ออมต้องระวังเรื่องน้ำหนักและอยากให้พี่ลมสุขภาพที่ดีด้วย” ผมเห็นแววมาแต่ไกลว่า
อาหารต้องมาเต็มโต๊ะ ทำไมแม้แต่เรื่องสั่งอาหารก็ยังต้องแข่งกัน
“ดีเลยครับพี่จะได้ไม่ต้องสั่งเพิ่ม เดี๋ยวจะมีคนมาทานด้วย”
“ใครคะ!!” ถ้าผมยกมือขึ้นอุดหูจะเสียมารยาทมากไหม ผมว่าออมน่าจะไปเล่นเป็นนางร้ายมากกว่านางเอก ความแหลม
ของเสียงใช้ได้ทีเดียว
“เพื่อนหรือคะพี่ลม ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ถ้าเทียบกันแล้ว นุ่นรักษามาดได้ดีกว่าในขณะที่ออมค่อนข้างเอาแต่ใจ
“ผู้ชาย” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามแรก แต่ไม่มีใครสนใจอยากรู้แล้วเมื่อได้ยินคำว่าผู้ชาย
“ดีเลยค่ะออมจะได้ทำความรู้จักเพื่อนพี่ลม”
“ครับ” ผมยิ้มรับ ตั้งใจไม่อธิบายอะไร ขี้เกียจหูร้อนก่อนถึงเวลา
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
“พี่ลมฮะ” เสียงเรียกคุ้นหูแต่คำพูดแทบไม่เคยได้ยิน พี่ลมยังไม่เท่าไหร่ ฮะ มาจากไหน
“มาแล้วเหรอ นั่งสิ” ผมเรียกลิงเปี๊ยกให้นั่งก่อนจะเห็นว่าลิงเปี๊ยกไม่ได้มาคนเดียว เด็กหนุ่มหน้าคุ้นตามมาด้วยอีกสองคน
“ออม นุ่น พี่ขอย้ายโต๊ะนะครับเปาพาเพื่อนมาด้วย” ผมหันไปบอกสองสาวก่อนกวักมือเรียกพนักงานมาจัดการย้ายโต๊ะให้
“หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูน้องพี่ลมหรือคะ” ออมยิ้มหวานให้ลิงเปี๊ยก เจ้าตัวดีดันยิ้มหวานตอบ ดูท่าจะเคลิ้มหน้าตาบ่งบอกว่า
ดีใจที่ได้เห็นดาราใกล้ๆ จนผมต้องยกมือสะกิดใต้โต๊ะ
“พี่ลืมแนะนำ นี่พี่นุ่นกับพี่ออมส่วนนี่ก็เปา” ผมยกมือขึ้นลูบหัวลิงเปี๊ยก ทำสีหน้าเอ็นดูเจ้าตัวดี
“อีกสองคน..”ผมมองหน้าเปี๊ยกเพื่อให้เป็นคนแนะนำ
“ภูมิกับกังฟูครับ” เปี๊ยกแนะนำเพื่อนทั้งสองคน ภูมิคือเด็กหน้าตี๋ท่าทางคงแกเรียนส่วนกังฟูคือเด็กใส่แว่นท่าทางอารมณ์ดี
ที่ผมเคยเจอ
“สวัสดีครับ” สามหนุ่มยกมือขึ้นไหว้สาวสวย ทำเสียงอ่อนจนผมกลัวเจ้าตัวดีจะลืมหน้าที่
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างเรา” ผมพาดมือไปบนไหล่ของลิงเปี๊ยก กดมือลงไปหนักๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“ก็ดีฮะแต่คิดถึงพี่ลมอยากมาเจอเร็วๆ”
“เป็นน้องติดพี่หรือคะ น่ารักจัง” นุ่นยิ้มเอ็นดู เข้าใจว่าเปี๊ยกคือน้องชายของผม
“ติดพี่ลมจริงฮะแต่ไม่ใช่น้อง ผมเป็นเด็กพี่ลม อุ๊บ..” ลิงเปี๊ยกยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ทำสีหน้าตกใจ
“เอ่อ..เด็ก..เด็กที่รู้จักสนิทกันน่ะครับ”
“ผมยาวแล้วนะ” ผมสางนิ้วเล่นในกลุ่มผมนุ่มของลิงเปี๊ยก บ่นเบาๆ ทำเป็นไม่เห็นอาการตกใจของสองสาว
“ไม่..ไม่ใช่ญาติกันใช่ไหมคะ” ออมตะกุกตะกักถาม สีหน้าไม่ได้ห่างไกลกับนุ่นที่นั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่
“พี่สาวครับ เปาไม่ใช่ญาติพี่ลมหรอกครับ” เด็กหน้าตี๋ตอบเสียงใส ยกมือขึ้นวางข้อศอกบนโต๊ะก่อนจิ้มนิ้วชี้
เข้าหากันทำหน้าเอียงอายได้กวนประสาทมาก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กท่าทางคงแก่เรียนก็ทำแบบนี้กับเขาเป็นด้วย
“ใช่ครับผมไม่ใช่ญาติพี่ลม เราแค่สนิทสนมกันมากเท่านั้นเอง” เปาหันมาส่งยิ้มจนตาหยีให้ผม ลากเสียงคำว่ามาก
ยาวเหยียด
“ครับเปาเป็นน้องที่พี่สนิทมาก” ผมตอบเสียงเรียบปล่อยให้สาวๆ ทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินกันเอาเอง
และดูเหมือนท่าทางของผมกับเปาจะสื่อสารได้ดีเยี่ยม มื้ออาหารนี่จึงมีแค่เสียงเปา ภูมิและกังฟูชวนผมคุย นุ่นและออม
เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าไม่สู่ดีและรีบกินจนผมกลัวว่าจะติดคอ
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ขอตัวแยกย้าย โดยไม่มีวี่แววว่าจะอยากสานสัมพันธ์ต่อกับผม งานนี้ถือว่าลิงเปี๊ยกสอบผ่าน
เพราะถึงแม้ทั้งสองคนจะเข้าใจว่าอย่างไรก็ตามแต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดยืนยันได้ว่าผมเป็น มันก็แค่คำพูดลอยๆ
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
หลังจากอาหารมื้อใหญ่ที่ได้เด็กวัยกำลังโตมาช่วยจัดการให้จนเรียบ ผมรับอาสาไปส่งทุกคนที่บ้าน เพราะภูมิกับกังฟูพัก
อยู่ละแวกเดียวกับลิงเปี๊ยก จึงไม่ต้องห่วงเรื่องเวลาและระยะทาง
“ถามอะไรอย่างสิ ไอ้ฮะนี่มันมายังไง” ผมถามถึงคำลงท้ายไม่คุ้นหูที่ได้ยินมาตลอดเย็นตั้งแต่เจ้าตัวดีมาถึง ลิงเปี๊ยก
หันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่เบาะหลังก่อนหันมาตอบผม
“กังฟูบอกว่าผมจะได้ดูแต๋วๆ หน่อย”
“นี่แปลว่ามีทีมงานคอยให้คำปรึกษาอยู่ด้วยเหรอ” ผมแซวทั้งสามคน ได้ยินเสียงกังฟูหัวเราะออกมา
“ช่วยๆ กันครับ”
“ผมไม่ได้เอาลุงไปนินทานะแค่เล่าให้เพื่อนฟัง” ลิงเปี๊ยกร้อนตัว ผมอยากจะถามเหลือเกินว่ามันต่างกันตรงไหน
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“พวกผมอิจฉาพี่ลมกันครับอยากหล่อเลือกได้แบบพี่บ้าง” กังฟูรู้จักพูดเอาใจผมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
“ลุงต่างหากไม่ใช่พี่” ลิงเปี๊ยกหันไปแก้คำพูดให้เพื่อน
“พี่ลมยังไม่แก่เลยไปเรียกลุงได้ที่ไหนเปา” ผมว่ากังฟูเป็นเด็กมีความคิดครับ ดูจากการเรียกชื่อผมเป็นต้น
“แก่สิ ลุงแก่อยากมีแฟนเด็ก”
“ฉันไม่ได้อยากมีแฟนเด็ก” แฟนเด็กเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดผม ไม่อยากคุยกันไม่รู้เรื่อง เหมือนคุยกันคนละภาษา
ผมอยากได้แฟนไม่ได้อยากได้ลูกมาเลี้ยง
“อยากสิก็ผมนี่ไง ลุงอยากได้ผมเป็นแฟน ลุงบอกเองในข้อความที่ส่งมาจำไม่ได้เหรอครับ ลุงบอกมาเป็นแฟนฉันที”
ลิงเปี๊ยกอ้างถึงข้อความที่ผมส่งแผนไปให้ แสบไหมล่ะครับ
เสียงหัวเราะขลุกขลักแบบคนพยายามกลั้นดังมาจากเบาะหลัง ผมคงเรียกแสบเดียวไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าสามแสบ
สมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ
✪✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✣✤✥✦✧✪
“เรียกเก็บค่าบริการสองพันครับลุง” ลิงเปี๊ยกแบมือมาข้างหน้าผมทันทีที่รถจอดในลานจอดรถของวัด ผมขับไปส่ง
ภูมิกับกังฟูที่บ้านและมาส่งเปี๊ยกที่วัดเป็นคนสุดท้าย
“มีบทพูดพันห้าไม่ใช่เหรอ” ผมแกล้งต่อรอง แต่มือหยิบธนบัตรใบละพันสองใบออกจากกระเป๋าตังค์ส่งให้
“ใครบอก ผมมียิ้มหวานให้ลุงด้วยนะ ยิ้มหวานสองพันลุงจำไม่ได้เหรอ”
“ตอนไหนหะไอ้ยิ้มหวานของนายฉันแน่ใจว่าไม่เห็น”
“โธ่ตั้งหลายตอนลุง ผมยิ้มจนพี่สาวจะตบเอาอยู่แล้วเกือบได้เก็บเงินเพิ่มจากลุงเป็นค่ารักษาพยาบาล” เจ้าตัวดีทำหน้า
โอดครวญ
“ไหนนายยิ้มยังไงขอดูหน่อยเพราะฉันมั่นใจว่าไม่เห็น”
“ยิ้มอย่างนี้ไง” ลิงเปี๊ยกสาธิตการยิ้มหวาน ผมขำพรืดออกมารู้แล้วว่าทำไมถึงคิดว่าไม่เคยเห็น นี่มันยิ้มเด็กอนุบาลชัดๆ
ยิ้มปากกว้างตาหยีเป็นสระอิ
“นี่หวานแล้วเหรอ” ผมถามให้แน่ใจ
“สุดๆ แล้วลุง ปกติผมไม่ยิ้มแบบนี้ให้ใครนะ” ลิงเปี๊ยกยังคุยโม้โอ้อวด ผมมั่นใจโดยไม่ต้องถามว่าลิงเปี๊ยกต้องไม่เคยมีแฟน
มาก่อนแน่นอน หรืออาจไม่เคยจีบสาวเลยด้วยซ้ำ
“ยิ้มอย่างนายเค้าเรียกยิ้มปัญญาอ่อน ยิ้มหวานมันต้องแบบนี้” ผมก้มหน้าลงไปใกล้ให้ลิงเปี๊ยกเห็นชัดๆ จุดยิ้มที่มุมปาก
ก่อนกระจายไปทั่วหน้า ผมมองสบตาลิงเปี๊ยกด้วยสายตาอ่อนแสง มองเหมือนกำลังสบตากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมสนใจอยู่
โครม!!
จู่ๆ ลิงเปี๊ยกก็ผลักผมกระเด็นติดประตูรถ เพราะไม่ได้ตั้งหลักจึงล้มไปตามแรงอันน้อยนิดได้ง่าย
“โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของนาย” ผมทรงตัวขึ้นนั่ง ยกมือจับหลังศีรษะส่วนที่กระแทกโดนกระจก
“ก็ลุงมองผมแบบนั้นผมเขินนี่ หน้าแดงหมดแล้ว” ลิงเปี๊ยกใช้สองมือตบแก้มตัวเองเบาๆ
“บรื้ออ ขนลุก” จากที่กำลังโมโหผมเปลี่ยนมาเป็นขำแทน ลิงเปี๊ยกนึกยังไงก็แสดงออกมาตรงๆ หน้าเจ้าตัวดีขึ้นสีแดง
เต็มหน้า
“แบบนี้เขาถึงเรียกว่ายิ้มหวานจำไว้”
“เดี๋ยวผมไปฝึกมาใหม่ รับประกันว่าคราวหน้าจะทำให้คุ้มราคาลุงเลย แต่คราวนี้ผมรับสองพันนี่ไปก่อนได้ไหมลุง
ผมต้องจ่ายค่าแท็กซี่ ค่าเสื้อผ้าสามชุดกลัวใส่ชุดนักเรียนกันมาแล้วลุงจะกลายเป็นตาแก่โรคจิต นี่ขนาดซื้อข้างๆ ห้าง
ไม่ใช่ในห้างนะยังหมดไปหลายบาท” ลิงเปี๊ยกทำหน้าซึม ยืนแบงค์พันมาตรงหน้าผมเหมือนต้องการถามว่าขอเก็บไว้ได้ไหม
ผมแกล้งหยิบแบงค์พันคืนมาหนึ่งใบ ลิงเปี๊ยกทำหน้าเสียดายแต่ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี โดยไม่ทักท้วงหรือบ่นผม
สักคำ ผมเปิดกระเป๋าตังค์ทำเหมือนจะใส่เงินคืน เจ้าตัวดีคอตกเก็บเงินพันนึงทีเหลือเข้ากระเป๋าตัวเองบ้าง
“เอ้านี่” ผมยื่นเงินให้สามพัน กะคร่าวๆ ว่าเสื้อผ้าสามชุดต่อให้ถูกแค่ไหนก็ไม่น่าจะต่ำกว่าพันห้าบวกค่าแท็กซี่และค่า
ทำงานของเจ้าตัว
“ให้ผมหมดนี่เลยหรือครับ” ลิงเปี๊ยกหน้าตื่นมองเงินในมือผม
“เอาไปสิค่าเสื้อผ้าพวกนายด้วย”
“ผมขอเพิ่มพันเดียวเป็นสองพันก็พอครับ เสื้อผ้าพวกผมก็ได้เอากลับมาใช้ด้วย” ลิงเปี๊ยกหยิบแบงค์พันไปเพิ่มอีก
ใบเดียวโดยไม่แตะต้องที่เหลือ
“เอาไปเถอะ”
“ไม่เอาครับ” เปี๊ยกส่ายหน้าเก็บเงินอีกพันเข้ากระเป๋า
“เดี๋ยวต่อไปผมจะเตรียมชุดไปใส่ไว้ในล็อคเกอร์ที่โรงเรียนด้วย เผื่อลุงเรียกผมอีกเมื่อไหร่จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่”
“ฉันไม่ใช้บริการนายบ่อยแบบนั้นหรอกน่า”
“ผมรับทำงานพิเศษอย่างอื่นก็ได้นะครับ ลุงจะให้ผมขับรถให้ตอนเมาก็ได้ผมขับเป็น โทรตามได้”
“แล้วให้ตำรวจจับเหรอ”
“แหมลุงก็ เราก็ขับหลบๆ สิครับ หรือไม่อย่างนั้นใช้ผมไปซื้อของ ถือของ ไปเอาของ ทำความสะอาดหรือส่งดอกไม้ให้สาว
ผมก็รับนะ หรืออะไรที่ไม่ผิดกฎหมายผมรับทำหมด” ลิงเปี๊ยกสาธยายงานไปเรื่อยๆ ฟังแล้วก็ทึ่งกับความขยัน ตัวแค่นี้รู้จัก
หาเงินใช้เอง
“เอาเถอะมีอะไรจะโทรเรียก”
“ขอบคุณครับ แล้วก็ขอบคุณที่มาส่งผมกับเพื่อนด้วยครับ” เปี๊ยกยกมือไหว้ผม หยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนตักขึ้นมาถือ
และเปิดประตูลงจากรถไป
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะลุง” เจ้าตัวดีไม่วายหันมาเกาะกระจกรถตระโกนเข้ามา
“อืม ไปเถอะ” ผมรอจนเปี๊ยกเดินหายไปจากสายตาจึงขับรถออกจากลานจอด เด็กคนนี้มีหลายอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจ
ครั้งแรกที่เจอผมนึกว่าเป็นแค่เด็กกวนๆ เกรียนๆ ไม่รู้จักโต แต่พอได้รู้จักยิ่งรู้ว่าเปี๊ยกเป็นเด็กมีความคิด มีความตั้งใจและมี
ไหวพริบที่ดี
หาอะไรให้เปี๊ยกมันทำหน่อยก็แล้วกัน นี่คือความคิดของผมเมื่อรถผ่านประตูวัดออกไป
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
หลังจากตอนนี้จะค่อยๆ เพิ่มดีกรีความน่ารักน่าหยิก ของลิงเปี๊ยกกับลุงโรคจิตให้ได้อ่านกันนะคะ
Darin ♥ FANPAGE