The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]  (อ่าน 15151 ครั้ง)

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2016 22:30:11 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you)
«ตอบ #1 เมื่อ22-04-2016 22:33:08 »

สวัสดีค่ะ ... นี่เป็นนิยายเรื่องแรกของเราที่เก็บพล็อตไว้นานมาก ได้ฤกษ์นำมาเขียนซะที บทแรกๆอาจจะสั้นไปหน่อย เพราะเป็นการเปิดตัวละครแต่ละคน แต่ถึงจะสั้นก็จะพยายามมาลงบ่อยๆนะคะ ... ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันค่ะ / MissDaisy



#1 [PETE]


                    บนทางที่โรยด้วยกรวดก้อนเล็กๆ ผมเดินตามหลังแม่ห่างสัก 2-3 ก้าว เหลียวมองซ้ายขวา บรรยากาศโดยรอบดูคึกคัก ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส คงเพราะเวลานี้อากาศยังไม่ร้อนจัดสักเท่าไหร่ ที่สำคัญคือมีดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่งเต็มไปทั่วบริเวณที่จัดงาน แต่สำหรับเด็กผู้ชายอย่างผม ดอกไม้เหล่านั้นกลับไม่มีอะไรให้สนใจเป็นพิเศษ เหตุที่ผมต้องมาเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนและมวลพฤกษานานาพรรณนั้น ก็เพราะแม่ที่รบเร้ากับพ่อให้พามางานนี้ให้ได้ และพ่อที่แทบจะไม่เคยขัดใจแม่ มีเหรอจะปฏิเสธ ผมซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว จึงต้องมาเดินตามก้นแม่ต้อยๆอยู่อย่างนี้
                    แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้น่าเบื่อไปซะหมด อย่างสิ่งที่อยู่ทางซ้ายมือข้างหน้านั่น ทำให้ผมต้องหยุดเดิน เอียงคอมอง ... เด็กผู้หญิงกระโปรงบานกำลังโค้งตัวลงเข้าใกล้พุ่มดอกอะไรสักอย่างที่มีสีชมพูคล้ายกับชุดฟูฟ่องของเธอ

                    “น้องพลอยขา ยิ้มค่ะลูก ... อ๊าย สวยมากค่ะลูก เอียงอีกนิดนึงค่ะ นิ้วแตะที่แก้มค่ะ สวยที่สุดค่ะลูก” เสียงเชียร์ของคุณแม่ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันไปมองน้องพลอยเป็นตาเดียว

                    น้องพลอยไม่เขินอายที่มีคนมอง เธอยิ้มกว้างจนตาที่เล็กเท่าเมล็ดข้าวสารกลับหยีเล็กลงไปอีก แก้ม กลมๆของเธอก็เป็นสีชมพู รับกับกิ๊บติดผมรูปโบสีเดียวกัน ถ้าเป็นผมถูกมองอย่างนั้น คงได้มุดแทรกเข้าไปหลบในพุ่มไม้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่เธอกลับยิ้มตาหยี โพสท่าทางอย่างกับนางแบบ ผมว่ามันน่าสนใจดี ถุงเท้าที่มีลูกไม้ระบายรอบๆ กับรองเท้าที่มีดอกไม้ดอกโตๆติดอยู่ ทั้งหมดนั้นก็เป็นสีชมพู ... เธอคงชอบมนุษย์ไฟฟ้าสีชมพูด้วยแน่ๆ

                    เมื่อละสายตาจากก้อนสีชมพูข้างทาง แม่ก็เดินทิ้งห่างไปหลายก้าวแล้ว ผมรีบวิ่งตื๋อตามไปคว้ามือของแม่เอาไว้ แม่หันกลับมามอง

                    “อย่าเดินห่างแม่สิ เดี๋ยวหลง” มือเล็กของผมถูกแม่กุมเอาไว้หลวมๆ

                    ผมเงยมองหน้าแม่แล้วตอบยานคาง “ค้าบ”

                    แม่เอื้อมอีกมือมายีหัวผม แล้วหันกลับไปมองทางเดิน “นั่นพ่อมาแล้ว”

                    ผมมองไปข้างหน้า พ่อที่เพิ่งตามมาเพราะต้องนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถ กำลังเดินตรงมาหาพวกเรา ผมวิ่งปรู้ดตรงไปหา

                    ปึ้ก! เพราะไม่ทันระวังผมจึงวิ่งชนเข้ากับด้านหลังของใครสักคนบนทางเดินจนล้มลง

                    “พีท!” ผมได้ยินเสียงของแม่เป็นคนแรก

                    “เป็นไรไหม?” และต่อมาคือเสียงของคนที่ผมวิ่งชน มือขาวๆ ยื่นลงมาตรงหน้า ในขณะที่ผมกำลังปัดเศษหินก้อนเล็กๆที่ติดอยู่บนหัวเข่า

                    ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงนั้น คนที่มองลงมาแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ... ผมอ้าปากหวอ ... ใบหน้าขาวๆนั้นเลิกคิ้วด้วยความตกใจ

                    “เจ็บไหม?” เขาถามอีกครั้ง ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                     แม่เดินกึ่งวิ่งมาถึงแล้วทรุดเข่าลง จับไหล่แล้วยกให้ผมลุกขึ้นยืน ปัดเนื้อปัดตัวผมวุ่นวายไปหมด

                    “เจ็บตรงไหนไหมพีท?” แม่ถามพร้อมลุกยืน

                    “ไม่ครับ” ผมตอบแม่ไปเบาๆ ตายังจับจ้องบนใบหน้านั้น

                    หลังจากสำรวจเนื้อตัวผมว่าไม่เป็นอะไรมากนอกจากเข่าถลอก แม่จึงเงยหน้าขึ้นไปกล่าวขอโทษคนที่ผมวิ่งชน

                    “ไม่เป็นไรครับ น้องไม่เจ็บตัวก็ดีแล้วครับ” พี่ผู้ชายผมยาวที่ผมวิ่งชนยิ้มโชว์ฟันขาวที่เรียงอย่างเป็นระเบียบ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบที่แก้มอย่างไม่รู้สาเหตุ

                    “ดีนะไม่ชนพี่เขาล้มจนเจ็บตัวไปด้วยอีกคน” แม่หันมาบ่น แต่มือกลับลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

                    พี่ผู้ชายผมยาวไม่ว่าอะไร ได้แต่มองหน้าแม่แล้วก้มลงมองหน้าผม แล้วยิ้ม

                    “เป็นไงล่ะ?” พ่อเดินมาสมทบ ส่วนผมยังไม่ยอมละสายตาจากพี่คนนั้น

                    “งั้นผมขอตัวนะครับ”

                    “ขอโทษอีกครั้งนะจ๊ะ” แม่ค้อมหัวนิดๆ ... เขายิ้ม ค้อมหัวตอบ แล้วเดินจากไปพร้อมอีกคนที่อยู่ข้างๆ ... ผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นวางบนหัวพี่ผมยาว แล้วคลอนเบาๆ

 

                    ปีนี้เป็นปีแรกที่เชียงใหม่จัดงานพืชสวนโลก ถึงแม้งานจะจัดไปได้หลายอาทิตย์แล้วในวันที่เรามา แต่ผู้คนก็ยังคับคั่งหนาตา มองดูแล้วบอกไม่ถูกเลยว่าคนกับดอกไม้ อันไหนมากกว่ากัน

                    เราเดินกันไปได้พักใหญ่ๆ แม่ดูจะมีความสุขกว่าใคร ผมเองก็สนุกกับบางจุดที่จัดเป็นน้ำตกจำลอง บางซุ้มก็ทำเป็นอุโมงค์ดอกไม้ แม่บอกให้ผมถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาน้องคูน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของงาน ผมไม่อยากถ่าย แต่ก็ต้องไปยืนข้างๆอย่างอายๆ คิดในใจว่าขออย่าให้แม่เชียร์ให้ผมยิ้มอย่างกับแม่ของน้องพลอย และโชคดีของผมที่แม่ไม่ทำอย่างนั้น

                    “หิวกันหรือยังแม่ลูก?” พ่อเอ่ยถามเมื่อพวกเรายืนพักอยู่ริมทางเดินที่มีต้นไม้พอให้ร่มเงา

                    “หิวๆ” ผมตอบ นอกจากหิวแล้วผมก็ร้อนมากๆด้วย ไม่อยากจะเดินต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว แม้ปีนี้อากาศจะเย็นกว่าปีที่แล้ว แต่ในตอนกลางวัน แดดเชียงใหม่ก็เจิดจ้าไม่แพ้แดดจังหวัดใดๆ ในประเทศไทย

                    พวกเราเลือกกินข้าวในบริเวณงาน เพราะแม่บอกว่ายังไม่อยากกลับ ผมกับพ่อลอบสบตากัน ผมรู้ว่าพ่อก็คงเบื่อที่จะเดินแล้ว แต่เราทั้งสองคนก็เลือกที่จะไม่ขัดใจแม่

 

                    กินอิ่มและพักจนหายเหนื่อยแล้ว แม่ชวนพวกเราออกเดินอีกครั้ง แม่ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปกับดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้สุดโปรดของแม่ ช่วงบ่ายผู้คนยิ่งมากขึ้น ผมถูกจูงมือขนาบข้างด้วยพ่อและแม่เพื่อไม่ให้พลัดหลง เมื่อถึงซุ้มดอกไฮเดรนเยียที่แม่ใฝ่ฝัน พ่อกับแม่ก็สลัดผมไว้ข้างทาง ประหนึ่งผมเป็นส่วนเกิน

                    “ตรงนั้นๆ คุณย่อตัวลงนิดนึง” พ่อออกแบบท่าทางให้แม่ แล้วยกกล้องป๊อกแป๊กขึ้นมากดชัตเตอร์ แม่ยิ้มหน้าบานแข่งกับดอกไม้

                    ผมยืนมองพ่อกับแม่เล่นบทตากล้องและนางแบบไปอย่างเงียบๆ สลับกับมองไปรอบๆ ... ตรงโน้น คุณตาเป็นตากล้อง คุณยายเป็นนางแบบ ... ตรงนั้น พี่สาวสวมกางเกงขาสั้น ยืนแอ็คท่าให้พี่ผู้ชายถ่ายภาพ ... แต่แล้วผมก็ต้องหยุดสายตาลงตรงพุ่มไฮเดรนเยียที่อยู่ไม่ไกล

                    พี่ผมยาวคนนั้นกำลังนั่งยองๆ จ่อกล้องเข้ากับพุ่มดอกสีม่วง ข้างๆ มีผู้ชายคนเดิมยืนมอง

ผมก้าวเท้าเพื่อเดินเข้าไปหาพี่ผมยาวเหมือนโดนมนต์สะกด แต่เมื่อเหลืออีกไม่กี่ก้าวที่จะถึงจุดหมาย พี่ผมยาวก็เงยหน้าขึ้นจากกล้อง ผู้ชายที่มาด้วยกันถามขึ้นว่าไปกันหรือยัง พี่ผมยาวพยักหน้าตอบ ส่งมือให้กับเขาเพื่อฉุดให้ยืนขึ้น

                    “พีท ไปกันได้แล้วลูก” เสียงของแม่ทำให้ผมสะดุ้ง

                    คงเพราะเสียงของแม่เช่นกันที่ทำให้พี่ผมยาวหันมา ... สายตาของเราประสานกัน แม่คว้ามือผมไปจูง ผมหันหลังกลับ เดินตามหลังพ่อและแม่หนึ่งก้าว ... เราเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ใจของผมยังพะวงอยู่กับคนข้างหลัง เมื่อตัดสินใจเอี้ยวคอหันกลับไปมองใบหน้านั้น เขายังคงยืนมองผมอยู่ จนกระทั่งอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆถอดหมวกบนหัวตัวเองวางลงบนหัวของพี่ผมยาวแล้วพูดอะไรสักอย่าง พี่ผมยาวจึงหันไปมองหน้าเขา แล้วส่ายหน้า ทั้งสองคนหันหลัง เดินจากไปในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่ผมกำลังเดินไป

                    ผมหันกลับไปมองเส้นทางเดินของตัวเอง แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง และผมก็พบว่าพี่ผมยาวกำลังหันกลับมามองผมเช่นกัน เขาส่งยิ้มมาให้ หัวใจของผมเหมือนจะหยุดเต้น ผมกัดริมผีปากตัวเอง ไม่ได้ยิ้มตอบกลับไป เขาเอียงคอนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับไปในทิศทางเดิม ผมก็เช่นกัน

                    ผมกำมือของแม่เอาไว้แน่น แม่ก้มลงมอง

                    “เหนื่อยหรือยัง?” แม่ถามด้วยความห่วงใย

                    ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ตอนนี้หัวใจของผมเต้นตึกตัก คล้ายจะกระดอนออกมานอกอก

 

                    งานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ปีนั้น ผมเป็นเพียงเด็กผู้ชายอายุ 8 ขวบ ที่เพิ่งได้เรียนรู้ว่า พี่ชายผมยาวนั้น สวยและน่ามองกว่าเด็กผู้หญิงแก้มชมพูกระโปรงฟูฟ่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2016 13:14:12 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you)
«ตอบ #2 เมื่อ22-04-2016 22:35:14 »

#2 [PETE]



                    “แบม! พ่อกะแม่ยอมให้พีทไปหาแบมแล้วนะ” ผมแทบจะตะโกนหลังจากที่หน้าจอมือถือปรากฏหน้าของหวานใจที่อยู่อีกฟากโลก

                    “จริงอ่ะ?” แบมตอบกลับมาด้วยอาการตกใจ ซึ่งผมคาดไม่ผิด เธอคงคิดไม่ถึงว่าพ่อกับแม่จะยอมปล่อยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงอเมริกาเพียงลำพัง ถึงแม้ตอนนี้ผมโตจนเรียนจบมัธยมปลายแล้วก็เถอะ

                    “พีทไปทำอีท่าไหนท่านถึงยอมล่ะ” แบมมีสีหน้าสงสัย ไม่เห็นจะยิ้มดีใจเลยสักนิด ต่างจากผมที่พอพ่อกับแม่อนุญาตเท่านั้นล่ะ ผมตะโกนลั่นบ้าน แล้วรีบวิ่งขึ้นห้องมาโทรหาแบมทันที

                    “ก็ไม่ท่าไหนหรอก แค่พีทยอมเลือกคณะแพทย์อย่างที่ท่านต้องการ และได้มหา’ลัยที่ท่านทั้ง 2 หมายมั่นเอาไว้น่ะ” อันที่จริงผมยื่นข้อเสนอนี้เอาไว้กับพ่อแม่นานแล้ว แต่ไม่ได้บอกกับแบม เพราะอยากเซอร์ไพรส์เธอ

                    “เอาจริงน่ะ? ... แต่พีทอยากเข้าวิศวะไม่ใช่เหรอ?” แบมยังคงมีสีหน้าตกใจปนสงสัย ก็อย่างว่าแหละ   ผมพูดมาตลอดว่าจะเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ให้ได้ แต่อยู่ๆก็มาเปลี่ยนไปเรียนหมอ ขนาดผมเองยังแอบแปลกใจตัวเองว่ายอมเปลี่ยนได้ยังไง

                    “ก็ อือ แต่ทำไงได้ล่ะ ก็พีทอยากเจอแบม” ผมทำหน้าอ้อน

                    “ต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันอนาคตของพีทเลยนะ”

                    “ก็คนมันคิดถึง หรือแบมไม่คิดถึง ไม่อยากเจอหน้าพีทเหรอ?” ผมทั้งอ้อนทั้งตัดพ้อ นี่ถ้าแบมรู้ว่านอกจากยอมเปลี่ยนแผนอนาคตแล้ว ผมยังยอมไม่เอารถป้ายแดงที่พ่อกับแม่จะออกให้เพื่อแลกกับการที่จะได้ไปอเมริกา แบมจะรู้สึกยังไง จะซาบซึ้งใจกับความรักและความคิดถึงของผมที่มีให้กับเธอไหม?

                    “... คิดถึง”

                    ผมรู้สึกว่าแบมชะงักไปสักครู่ เหลือบตาไปมองอะไรบางอย่างข้างๆ ก่อนตอบมาแบบไม่เต็มเสียง แต่เพียงแว้บเดียวผมก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไป แบมคงกำลังตกใจที่เราจะได้เจอกัน

                    “พีทกึ้ดเติงหาแบมม้ากมาก” ผมยิ้มกว้าง “ส่วนเรื่องเรียน พีทมาคิดอีกที พ่อกับแม่อาจมองอนาคตของเราได้ดีกว่าตัวเราเองก็ได้ ท่านถึงอยากให้พีทเรียนหมอน่ะ” ผมพยายามมองในแง่ดี

                    “อือ ... แล้วจะมาเมื่อไหร่ ขอวีซ่าหรือยัง?”

                    ผมยังไม่เห็นรอยยิ้มของแบมเลย

                    “ยัง พ่อกับแม่ยอมปุ๊บ พีทก็รีบโทรหาแบมเลยนะ”

                    “แต่วีซ่าอเมริกาขอยากมากนะ พีทแน่ใจเหรอว่าจะผ่านน่ะ” แบมยังคงมีสีหน้ากังวล

                    “อืม นั่นสิ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ” ผมลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย มัวแต่ดีใจ เอาเข้าจริงๆจะได้ไปหรือเปล่า   ก็ยังไม่รู้ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด อุตส่าห์ยอมเรียนแพทย์ตามใจพ่อกับแม่แล้วแท้ๆ ทั้งๆที่ผมเองอยากเรียนวิศวะมากกว่า

                    “ก็ ... ลองดูละกันนะ” แบมส่งยิ้มมาให้ ซึ่งมันทำให้ผมเบาใจขึ้นมาหน่อย เพราะผมแอบใจแป้วอยู่นิดๆว่าเธอไม่อยากให้ผมไปหา

                    พักหลังเราคุยเฟสไทม์กันน้อยลง ส่วนใหญ่จะเป็นการส่งข้อความผ่านทางไลน์ เธอให้เหตุผลว่าต้อง เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่เนิ่นๆ ถึงแม้จะไปเรียนที่อเมริกาได้เกือบ 3 ปีแล้ว แต่ภาษาอังกฤษก็ยังเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเธออยู่ดี

                    “ต้องได้ไปสิน่า พีทมั่นใจ” ผมยิ้มกว้างให้คนในโทรศัพท์

                    “เราเอาใจช่วยละกัน” แบมยิ้มตอบกลับมา

                    แบมไม่ใช่คนที่เรียกว่าสวย แต่เธอน่ารักในแบบสาวเหนือ ตัวเล็กๆขาวๆ ผมยาวดำขลับยิ่งขับให้ผิวของเธอขาวผ่อง เวลายิ้มกว้าง ตาจะหยีเป็นสระอิ ซึ่งผมมองว่าน่ารักที่สุด

                    “งั้นแบมขอตัวก่อนนะ วันนี้รับปากแดดดี้จะช่วยเขาตัดหญ้าหลังบ้าน”

                    “อือ ... งั้นก่อนนอนพีทไลน์หานะ”

                    “จ้ะ” แบมยกมือขึ้นบ๊ายบาย แล้วภาพบนจอก็หายไป

                    “เฮ้อ! ยังไม่หายคิดถึงเล้ย” ผมร้องบอกกับตัวเอง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

 

                    ผมกับแบมตกลงเป็นแฟนกันเมื่อตอนขึ้นม.4 ได้เพียงไม่กี่วัน แต่ผมน่ะตามจีบเธอตั้งแต่ม.3 แล้ว เราเรียนกันคนละโรงเรียน แบมเรียนสห ส่วนผมเรียนโรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด ผมเจอแบมตอนไปเรียนพิเศษ แบมทั้งน่ารัก นิสัยดีและเรียนเก่ง เธอร่าเริงสดใสและเป็นดาวเด่นของโรงเรียน ผมต้องรวบรวมความกล้าและฝ่าฟันคู่แข่งมากมายกว่าจะคว้าเธอมาเป็นแฟนได้

                    แต่แล้วผมก็ต้องได้รับข่าวร้าย เพราะแบมต้องย้ายตามแม่ของเธอที่แต่งงานกับชาวอเมริกัน ไปอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ทั้งๆที่ยังเรียนอยู่ระหว่างเทอมต้นของม.4 ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้รัฐเนี่ยมันอยู่ส่วนไหนของอเมริกา รู้แต่ว่าใจผมแทบขาดรอนๆ

                    ก่อนวันที่แบมจะเดินทางออกจากเชียงใหม่ ผมไปหาเธอที่บ้าน เรานั่งกุมมือกันแน่นอยู่บนม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านเธอ ต่างฝ่ายต่างร้องไห้เหมือนเด็กๆ เราให้คำมั่นว่าถึงแม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละทวีป แต่เราจะไม่ยอมให้ระยะทางเป็นอุปสรรคความรักของเรา และผมให้สัญญาว่าผมจะบินไปหาเธอให้ได้ในสักวัน

                    แบมต้องไปเรียนภาษาเพิ่มเติม และเพราะเธอย้ายไประหว่างเทอม จึงทำให้เสียเวลาไป 1 ปี ตอนนี้ผมเตรียมตัวจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่แบมยังคงเรียนไฮสคูล

                    ตั้งแต่วันแรกที่แบมไปอยู่ที่โน่น เราส่งข้อความคุยกันทุกวัน จนเมื่อปีที่แล้วผมได้โทรศัพท์เครื่องใหม่เป็นของขวัญวันเกิด เราจึงเริ่มเฟสไทม์กันแทบทุกวัน มีเพียง 3-4 เดือนหลังๆนี้ที่ทั้งผมและเธอยุ่งๆ และดูเหมือนเวลาว่างจะไม่ค่อยตรงกัน เราจึงเฟสไทม์กันน้อยลง แต่ยังคงส่งข้อความถึงกันไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว

                    เพื่อนๆมันแซวผมตลอดเรื่องความรักที่มั่นคงของผมกับแบม เพราะตลอดเวลาเกือบ 3 ปีที่อยู่ทางนี้ ผมไม่เคยวอกแวก แม้จะมีสาวๆมาโปรยเสน่ห์ให้ไม่เคยขาด อย่าว่าแต่สาวๆเลย พวกที่มาขายขนมจีบให้ผมนั้นมีทุกเพศทุกวัย ทั้งน้องเตยพี่ตุ๊ด แม้แต่ผู้ชายแมนๆชวนกันเตะบอล ก็ยังเคยลากผมเข้าหลังโรงยิมแล้วพยายามจะกดผมให้ได้ ผลก็คือเละกันทั้งคู่ พี่เขาปากเจ่อตาเขียวเพราะโดนหมัดผมเข้าไปเต็มๆ ส่วนผมก็หัวแตกเพราะล้มกระแทกเข้ากับขอบปูนที่พื้น ... คือถึงพี่จะเป็นกัปตันทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย และผมเป็นแค่เด็ก ม.6 แต่ผมสูง 182 และเรียนมวยไทยมานะพี่

                    เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อเทอมต้น แต่ตอนนี้ผมสูงเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย น่าจะ 184-185 เซนติเมตร ได้แล้วล่ะ ถึงผมจะไม่ใช่หนุ่มก้ามปูซิกแพ็ค แต่ก็ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางแน่ๆ ส่วนเรื่องเรียนมวยไทยนี่ผมไม่เคยไปบอกหรืออวดกับใคร เพราะพ่อกับแม่ไม่ชอบอะไรประมาณนี้ ผมจึงต้องแอบใช้เวลาเสาร์-อาทิตย์หลังเลิกเรียนพิเศษ เพื่อไปเรียนกับพี่ๆที่โรงยิม ก็อย่างที่บอกล่ะฮะ ผมอยากเรียนวิศวะ และได้ยินมาว่าถ้าเรียนคณะนี้ไม่เถื่อนจริงอาจเอาตัวไม่รอด ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตใครๆก็ชมผมเสมอว่าผมเป็นเด็กหน้าหวานจิ้มลิ้ม เพราะความที่ผมตัวขาว ตาใส เหงือกแดง ... ใช่ที่ไหนเล้า ปากแดงต่างหากล่ะ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะน่ารักตรงไหน ที่ขาวก็เพราะผมเป็นคนเชียงใหม่ หนุ่มเหนือใครๆก็ขาวกันไม่ใช่เหรอฮะ

                    แต่ที่ทำให้ผมตัดสินใจไปเรียนมวย ก็เพราะพวกเพื่อนๆมันขู่เอาไว้ ว่าถ้าผมได้เรียนวิศวะจริงๆ มันกลัวผมเอาตัวไม่รอด อาจจะตกเป็นเมียใครเขาก่อนจะเรียนจบ ฟังทีไรขนงี้ลุกซู่ ทำไมคนอย่างผมต้องไปเป็นเมียใคร     ผู้ชายแมนๆอย่างผมเนี่ยนะ ไอ้พวกเพื่อนๆมันคงเพี้ยนไปแล้ว

                    แต่ในที่สุดผมก็ไม่ได้เรียนวิศวะอย่างที่ตั้งใจไว้ เหตุเพราะเคยพยายามขอพ่อกับแม่มาหลายครั้งเรื่องที่จะไปอเมริกาหลังจากเรียนจบม.6 แต่พ่อคิดว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะเดินทางคนเดียว ส่วนแม่ก็ใจอ่อนนะ แต่บอกให้ผมรอไปกับท่าน เพราะแม่เคยคิดจะไปเยี่ยมน้องสาวที่ไปมีครอบครัวอยู่ที่นั่นสักครั้ง

                    ผมเกิดและเติบโตที่จังหวัดเชียงใหม่ ชีวิตถือว่าราบเรียบอย่างเด็กต่างจังหวัดทั่วๆไป ผมถือว่าเป็นเด็กเรียนดีถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ไอ้ม่อกเพื่อนสนิทของผมมักบ่นเสมอว่าโลกไม่เคยยุติธรรม มันอ่านหนังสือแทบตาย ติวแทบทุกวิชา แต่เกรดออกมาร่อแร่ตลอด ส่วนผมก็แค่เรียนไปเรื่อยๆ ที่ต้องไปเรียนพิเศษเพราะพ่อกับแม่จัดการให้  แต่ผลสอบกลับติดอันดับท็อปของชั้นทุกครั้ง

                    นอกจากเรื่องเรียนแล้วมันยังต่อว่าผมประจำเวลาที่เราเดินไปด้วยกันทั้งแก๊งแล้วมีสาวๆมาขอไลน์ผมคนเดียวอยู่บ่อยๆ ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องที่ว่าตัวเองเก่งหรือหน้าตาดี ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ผมอาจจะโชคดีที่มีพ่อกับแม่เป็นคนเก่ง ผมจึงได้เชื้อของท่านมาบ้าง ส่วนหน้าตา ผมว่ามันเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน จะว่าไปแล้วผมไม่ชอบตาโตๆและปากแดงๆของตัวสักเท่าไหร่ ส่องกระจกทีไรแล้วขัดใจ มันไม่เท่เอาเสียเลย

                    แม่ผมเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ส่วนพ่อเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัย ... ช่วงปิดเทอมพ่อกับแม่ก็พาไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ถึงเราจะไม่ร่ำรวยอะไรมาก แต่เพราะท่านมีผมแค่คนเดียว ฐานะทางบ้านเราจึงเรียกว่าอยู่กันอย่างสบายพอตัว ... แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจไปเจอแบม แล้วคิดว่าผมอยากไปกับแม่ไหมล่ะฮะ

                    งานนี้ผมอยากบินเดี่ยวบ้าง เนื่องจากช่วงนี้เป็นการเปลี่ยนเข้าระบบ AEC ทำให้การปิดเทอมรอบนี้ยาวนานหลายเดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิด ทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะเตรียมตัวเรื่องบินไปหาแบม และหวังว่า จะได้ท่องเที่ยวโลกกว้างและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับตัวเอง

                    ผมต้องอ้อนวอนพ่อกับแม่อยู่นาน แต่ท่านก็ทำเฉย ผลสุดท้ายคือผมยื่นเงื่อนไขไปว่า ถ้าติดคณะแพทย์ ผมขอไปอเมริกา ซึ่งก็ทำสำเร็จ และจากนี้ก็ลุ้นแค่ว่าจะได้รับวีซ่าไหม และผมจะได้นำพาหัวใจไปพบกับคนที่ผมรักและคิดถึงมากหรือไม่

 

                    จากวันนั้นผมก็ตั้งอกตั้งใจศึกษาเรื่องการขอวีซ่า และเตรียมเอกสารให้พร้อม และในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อพาสปอร์ตพร้อมวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกามาอยู่ในมือของผมเป็นที่เรียบร้อย

                    ถึงจะเคยบอกกับแบมว่าผมมั่นใจว่าต้องได้ไป แต่เอาเข้าจริงๆก็ยอมรับว่าผมกลัวมากว่าวีซ่าจะไม่ผ่าน เพราะปัจจัยหลายๆอย่าง คือผมยังเด็ก อาชีพการงานก็ยังไม่มี เป็นเพียงเด็กนักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังดีที่มีน้าสาวรับรองที่พักทางโน้น คือน้องสาวของแม่ผม ท่านไปเรียนต่อปริญญาโท แล้วได้งานทำจนแต่งงานมีครอบครัวอยู่ทางโน้นเลย นี่อาจเป็นข้อสำคัญที่ทำให้สถานะของผมดูดีพอน่าเชื่อถือได้มั้ง

 

                    ด้วยความกังวลและไม่มั่นใจ ในวันหนึ่งก่อนที่จะไปสัมภาษณ์กับทางสถานฑูต ผมขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ผมไม่ได้บนบานศาลกล่าว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรือลบหลู่ แต่เพราะไม่ชอบการขออะไรทำนองนั้น ผมจึงทำเพียงเอ่ยในใจต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ...

 

                    ถ้าความรักของผมอยู่ที่นั่น ... ผมจะต้องได้ไป

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you)
«ตอบ #3 เมื่อ22-04-2016 22:38:46 »

#3 [PING]

 

                    เมื่อเกือบๆ 2 ปีที่แล้วผมถูกเพื่อนร่วมบ้านลอยแพ ... อยู่ดีๆปอก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะไม่กลับเมืองไทย ทั้งๆที่เรียนจบปริญญาโทเรียบร้อย มันพยายามยื้ออยู่นาน หาทางที่จะได้กรีนการ์ด เพื่อที่จะได้อยู่ต่ออย่างถูกกฎหมาย มันตื๊อให้ผมไปคุยกับเจ้าของร้านอาหารไทยที่ผมเป็นผู้จัดการ ให้เขาออกกรีนการ์ดให้อย่างที่ผมเคยได้รับ แต่คงเพราะความที่มันเป็นคนไม่เอาอ่าวสักเท่าไหร่ แถมยังติดการพนันแทบทุกชนิดจนทำให้เสียงานเสียการอยู่เรื่อย เขาจึงไม่ยอมลงทุนกับมัน

                    แต่ในที่สุดปอก็หาทางสว่างให้กับตัวเองเจอ มีเพื่อนของมันติดต่อผู้หญิงไทยที่ได้ซิติเซ่นให้กับมัน        เขาเรียกเงินเท่าไหร่ผมไม่ได้สนใจถาม แต่มันยอมจ่าย และแต่งงานกับเขาแล้วย้ายไปอยู่แอลเอ

                    ความซวยของผมยังไม่จบเท่านั้น พอปอย้ายออก เฮ้งก็อิดออดว่าบ้านทั้งหลังถ้าต้องหารกับผมแค่สองคน มันคงจ่ายไม่ไหว ผมพยายามหาคนมาเช่าต่อห้องของปอ แต่ก็ถูกติว่าแพงไป ปกติเฮ้งมันก็จ่ายน้อยกว่าผมกับปออยู่แล้ว เพราะมันอยู่ในส่วนของห้องรับแขกที่อยู่ชั้น 1 ซึ่งปรับมาทำเป็นห้องนอน และมันก็ใช้ห้องน้ำร่วมกับปอที่อยู่ชั้นบน ห้องผมก็อยู่ชั้น 2 แต่ของผมเป็นห้องใหญ่และมีห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอน ทำให้ผมต้องจ่ายค่าเช่าแพงกว่าพวกมัน 2 คน

                    หลังจากปอย้ายออกได้ไม่ถึงเดือน เฮ้งก็แอบหอบข้าวของย้ายออกไปโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำ เป็นอันว่าบ้านทั้งหลังผมต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเช่าทั้งหมด

 

                    ตั้งแต่เหยียบย่างลงบนพื้นแผ่นดินของอเมริกา นี่ก็กว่า 4 ปีแล้วที่ผมอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ แม้เพื่อนร่วมบ้านของผมจะเปลี่ยนไปหลายต่อหลายหน้า แต่ผมก็ไม่เคยย้ายไปไหน ... คงเพราะเจ้าของบ้านใจดี ไม่เรื่องมาก   คนที่เช่าในส่วนของเบสเมนท์ถึงแม้จะเป็นใต้* แต่ก็นิสัยดีและไว้ใจได้ โลเคชั่นก็ถือว่าสะดวกในการเดินทางไปทำงาน และใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ที่สำคัญคือย่านนี้มีคนเอเชียอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะชาวเกาหลี เวียดนาม และคนจีน จึงทำให้วัตถุดิบและอาหารการกินหาง่าย แทบไม่แตกต่างจากการเดินอยู่ในตลาดที่เมืองไทย

 

                    หลังจากปอและเฮ้งหอบข้าวของย้ายออกไป ... 3 เดือนเต็มๆที่ผมต้องรับภาระค่าเช่าบ้านทั้งหลัง ถึงผมจะมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านอาหาร เงินเดือนก็ถือว่าดีพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องโยนเงินทิ้งอย่างน่าเสียดายไปกับรายจ่ายที่เกินความจำเป็นแบบนี้ ผมจึงต้องจริงจังกับการหาเพื่อนร่วมบ้าน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางคนมาดูแล้วก็บ่นว่าแพง แต่จะให้หาอีกคนมาแชร์ห้องข้างล่างด้วยก็หาไม่ได้ และอาจเป็นเพราะช่วงนี้อยู่ระหว่างภาคการศึกษา เด็กนักเรียนจึงไม่ค่อยโยกย้ายที่อยู่ แต่ถ้าเป็นช่วงก่อนเปิดเทอมอาจจะหาคนแชร์บ้านง่ายขึ้น เพราะจะมีเด็กใหม่ๆเพิ่มมาเสมอ

                    แต่แล้วในที่สุดเฮียคิด เจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่ ก็ส่งคนมาช่วยชีวิตผมเอาไว้ เฮียแกเกริ่นคร่าวๆแค่ว่าเป็นลูกชายของเพื่อนรักของแก จะมาเรียนปริญญาโท ส่วนผมก็ไม่คิดจะรู้อะไรมากไปกว่านั้น เพราะถึงยังไงก็ต้องเข้ามาอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้ว ถึงไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้

 

                    วันนั้นผมขอเฮียคิดลาหยุดเป็นพิเศษ เพราะต้องอยู่คอยรับเพื่อนบ้านคนใหม่

                    เสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังชงชาอยู่ในครัว

                    “Coming” ผมตะโกนออกไปบอกคนด้านนอก รีบจนทำชาหกไปครึ่งแก้ว ต้องเสียเวลาหาผ้ามาซับก่อนจะไหลนองไปทั่วเคาน์เตอร์

                    ผมเปิดประตูไม้ชั้นใน แล้วผลักประตูกระจกชั้นนอกออกไป แต่ก็ต้องชนเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และเป้ขนาดย่อมๆอีกหนึ่งใบที่วางอยู่บนระเบียง ส่วนคนกดกริ่งไม่รู้หายหัวไปไหน

                    “พี่!” เสียงหนึ่งดังขึ้น

                    “พี่ปิงใช่ป่ะ?” ผมเงยหน้าจากกระเป๋าที่ถูกทิ้งอยู่หน้าประตู มองไปตามเสียงนั้น

                    ผู้ชายตัวสูงสวมรองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีดำ มีแจ็คเก็ตลำลองแบบมีฮู้ทสีเทาสวมทับอีกที ... เขากำลังมองตรงมาที่ผม ส่งยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบ 32 ซี่ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

                    “พี่ปิง?”

                    ผมยังงงๆ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบ

                    เขาละสายตาจากการจ้องหน้าผม แล้วเงยขึ้นมองท้องฟ้า ทำให้ผมต้องเงยขึ้นมองตาม

                    “ปิงที่แปลว่าหิมะใช่ไหม?”

                    เขาถามผมเหรอ? คงใช่ ...

                    ผมทอดสายตาผ่านบันไดหน้าบ้านลงไปมองร่างสูงตรงทางเดิน เขายังแหงนมองบนท้องฟ้า และผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีปุยเล็กๆสีขาวกำลังร่วงหล่นลงมา ทำให้บรรยากาศรอบด้านในตอนนี้พร่างพรายไปหมด ... มันเป็นหิมะแรกของปีนั้น

                    “ชื่อพี่เป็นภาษาจีนที่แปลว่าหิมะป่ะ?” เขาถามซ้ำ

                    ผมเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พยักหน้าอีกครั้งแทนคำตอบ

                    เขายิ้มกว้างกว่าเดิม

                    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ปิงปิง”

                    เขาล้วงสองมือเข้าในกระเป๋าแจ็คเก็ต ส่งยิ้มมาให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้น มันเป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่ได้ฉีกกว้างให้เห็นฟัน 32 ซี่ แต่เป็นยิ้มบางๆที่มองแล้วทำให้ลมหายใจติดขัด

 

                    และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของผมและเมฆ ...

 





* คนไทยที่นี่ส่วนใหญ่จะเรียกคนที่ใช้ภาษาสแปนิชรวมๆว่าคนใต้ โดยไม่จำแนกว่ามาจากประเทศไหน ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนที่หลบหนีเข้าเมืองมาเพื่อขายแรงงาน

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you)
«ตอบ #4 เมื่อ23-04-2016 11:29:02 »

เพิ่งสังเกตชื่อเรื่อง

แสดงว่านางเอกมีชายมากกว่าหนึ่งมารุมรักนี่เอง อิอิ :hao3:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาทำความรู้จักเมฆและปิงกันอีกสักหน่อย ... แถมท้ายด้วยคนสำคัญของเรื่องอีกคนด้วยค่ะ (ดูเหมือนคนสำคัญจะเยอะนะ  :o8:) / MissDaisy

 



#4 [MHEK]



                    เพื่อนร่วมบ้านของผมชื่อ ปิง ... เขาอายุมากกว่าผม 4 ปี แต่ผมเรียกเขาว่าปิงเฉยๆ นานๆทีถึงจะเรียกพี่ ... ไม่รู้สิ ไม่เคยมองเขาว่าเป็นพี่

                    นี่ก็ปีกว่าแล้วที่ผมกับปิงอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ... ผมมาเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในวอชิงตันดีซี แต่ที่ต้องมาอาศัยอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนียเพราะเพื่อนป๊าแนะนำมา

                    ไอ้สองรัฐนี่มันอยู่ติดกัน การเดินทางไปเรียนก็ถือว่าสะดวกพอสมควร เพราะป้ายรถเมล์อยู่หน้าบ้าน แล้วต่อรถไฟใต้ดิน อาจจะเสียเวลาหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าลำบาก เพราะการขนส่งสาธารณะของที่นี่มีประสิทธิภาพสูง สภาพแวดล้อมของย่านนี้ก็ดีและสะดวกสบายในหลายๆด้าน แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ผมไม่คิดจะย้ายไปอยู่หอพัก  หรืออพาร์ต       เมนท์ที่ใกล้มหาวิทยาลัย ก็คงเพราะคนร่วมบ้านคนนี้

                    ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของปิงเมื่อเทียบกับผมแล้ว มันชวนไม่ให้เรียกพี่ แต่ถ้าจะนับเอานิสัยเขาก็น่านับถืออยู่ไม่น้อย

                    ปิงเป็นคนนิ่งๆ พูดน้อย เจ้าระเบียบ แต่ไม่เรื่องมาก และบางทีก็เข้าใจยากอยู่สักหน่อย ตอนที่มาใหม่ๆ ผมได้เขาช่วยเหลือไว้เยอะ ไม่ว่าจะพาไปซื้อเสื้อผ้า ของใช้ พาไปดูมหาวิทยาลัย ติวสอบใบขับขี่ หรือแม้แต่หางานในร้านอาหารไทยให้ทำ

                    นักเรียนไทยที่มาเรียนที่นี่ ส่วนมากก็นับว่าฐานะดีกันทั้งนั้น เพราะไม่อย่างนั้นพ่อแม่คงไม่ส่งมาเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แต่ผมก็เห็นเขาทำงานพิเศษกันแทบทุกคน คงเพราะงานมันไม่ยาก อาจจะใช้แรงบ้าง แต่ไม่ถือว่าหนักหนา เมื่อเทียบกับรายได้ที่รับกันเป็นเงินสดวันต่อวันแล้ว เป็นใครก็คงไม่ปฏิเสธ

                    ผมมาอเมริกาในช่วงปลายปี กว่าป๊าจะใจอ่อนยอมปล่อยตัว  ผมจึงพลาดช่วงฟอลซีเมสเตอร์ไปอย่างน่าเสียดาย โชคยังดีที่มหาวิทยาลัยที่ผมจะเรียนเขามีเปิดรับช่วงสปริงอีกที ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆเป็นปี

                    พอมาอยู่ได้สักพัก หลังเปิดเทอมและเริ่มปรับตัวได้ ผมก็เริ่มงานเป็นเว็ท (คนไทยที่นี่จะเรียกพนักงานเสิรฟสั้นๆว่าเว็ท ย่อมาจาก waiter, waitress) ที่ร้านแห่งหนึ่ง ปิงนั่นแหละฝากฝังให้ แต่ไม่ใช่ร้านที่เขาเป็นผู้จัดการ เพราะตอนนั้นร้านเขาไม่มีตำแหน่งว่าง

                    ปิงช่วยเหลือผมขนาดนี้ จะให้ผมย้ายหนีเขาผมคงทำไม่ลง อีกอย่างเฮียคิด (ผมเรียกแกตามปิง ถึงแกจะเป็นเพื่อนป๊าก็เถอะ ดูแกจะพอใจมากด้วยที่ผมเรียกแกว่าเฮีย)เคยบอกตอนที่ผมเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ว่าถ้าไม่ได้ผม ปิงคงแย่ เพราะหาคนมาแชร์บ้านไม่ได้ บางทีอาจต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่

                    พอผมเข้ามาอยู่ ห้องชั้นล่างที่เคยทำเป็นอีกห้องนอน พวกเราก็จัดใหม่ให้กลับมาเป็นห้องรับแขกอย่างที่มันควรจะเป็น ปิงต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มขึ้น เพราะจากที่แชร์บ้าน 3 คน แต่ตอนนี้มีแค่ผมกับเขา ส่วนผมไม่มีปัญหากับค่าเช่า เพราะพออยู่กันไปได้ 2-3 เดือน ผมเริ่มชิน และรู้สึกว่าการที่บ้านนี้มีแค่ผมกับปิงนั้นมันดีแล้ว ทุกอย่างสงบสุข บ้านก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เราจึงมาคุยกันว่าในเมื่อเราไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อยู่กัน 2 คนก็น่าจะกำลังดี ปิงเองก็เหมือนจะอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก เพราะเขาดูเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก่อนหน้านั้นที่เขาอยู่ร่วมกับคนก่อนๆได้ เพราะพวกนั้นไม่ค่อยกลับบ้าน เนื่องจากติดพนันและชอบสังสรรค์ หลังเลิกงานจึงมักไปแฮงเอาท์กันประจำ กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ดึกดื่นหรือเกือบเช้า ตื่นมาสายๆก็ออกไปเรียนหรือไปทำงาน วันๆแทบไม่ได้เจอหน้าเพื่อนร่วมบ้านสักเท่าไหร่ (อันนี้ปิงเป็นคนเล่าให้ผมฟัง)

                    อันที่จริงผมกับปิงก็ใช่ว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกันที่บ้านทั้งวันบ่อยๆ เพราะผมทั้งเรียนและทำงาน ซึ่งตารางงานของผมก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่มักจะขอสลับตารางกันอยู่เป็นประจำ ส่วนปิงเป็นผู้จัดการร้าน เขาจึงมีวันหยุดค่อนข้างจะแน่นอนอาทิตย์ละ 2 วัน นานๆทีพวกเราถึงจะมีวันหยุดตรงกัน ส่วนมากก็จะทักทายกันในห้องครัว หรือตอนที่ผมหรือเขากำลังดูทีวีที่ห้องรับแขก ซึ่งเป็นทีวีเครื่องเดียวที่เรามีอยู่ในบ้าน

                    ตอนที่ผมมาใหม่ๆ ผมอยากได้ทีวีไว้ในห้องตัวเองสักเครื่อง จึงชวนเขาไปเดินดูด้วยกัน เขาเองก็อยากได้เครื่องใหม่ เพราะเครื่องเก่าที่มีมันเริ่มรวน เราเดินไปหยุดอยู่ที่จอแอลอีดีขนาดยักษ์ แล้วหันมามองตากันปริบๆ คือมันนโคตรเจ๋งถ้าจะมีทีวีจอขนาดนี้ไว้ในบ้าน แต่ด้วยงบอันจำกัด ผมจึงทำได้แค่เหลือบหางตามองจอขนาดพอเหมาะกับเงินในกระเป๋าแล้วถอนหายใจ

                    “ถ้าได้จอขนาดนี้ เวลาซอมบี้โผล่มาทีคงได้อารมณ์สัสๆ” ผมพึมพำ

                    ปิงปรายตามองหน้าผม แล้วถาม “มีงบเท่าไหร่?”

                    “คิดว่าไม่เกิน 6-700”

                    “งั้นเอาเครื่องนี้” นิ้วขาวๆที่มีแหวนหัวสีนิลอันเป้งชี้ไปที่จอทีวีขนาดยักษ์ตรงหน้าพวกเรา

                    ผมค่อยๆเรียนรู้ ... สิ่งที่ปิงจะเอา ปิงย่อมได้ สิ่งที่ปิงคิดว่าดี สิ่งนั้นย่อมดี

 

                    เป็นอันว่าผมและเขาไม่มีทีวีส่วนตัวในห้อง เพราะต้องรวมเงินกันเพื่อเจ้ายักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ห้องรับแขกของเรา อันที่จริงผมต้องควักเกินงบที่ตั้งไว้อีกนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้ม และมันก็กลายเป็นมุมโปรดของผมไปซะแล้ว

 

                    อย่างคืนนี้ ผมก็เอนหลังจิบเบียร์เย็นๆพร้อมดูรายการล่าจับผีรายการโปรดอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ... เหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ... ดึกป่านนี้เพื่อนร่วมบ้านของผมยังไม่กลับ

                    คิดจบปุ๊บ เสียงก๊อกแก๊กหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นนั่ง ชะโงกหน้าส่งเสียงออกไปทักทาย

                    “กลับดึกนะ”

                    “อือ ปิดบัญชีไม่ลง” เขาตอบพร้อมเสียงกุกกัก คงกำลังถอดรองเท้าเข้าเก็บในห้องข้างบันได

                    “เครียดเลยสิ” ปิงกำลังจะขึ้นบันไดไปชั้น 2 กลับต้องชะงักเท้าเพราะเห็นผมเดินออกมาจากห้องรับแขก

                    “ก็นะ” เขาตอบสั้นๆ เขาก็พูดน้อยยังงี้เสมอ

                    “เบียร์ไหม?” ผมยกกระป๋องเบียร์ที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นเชิญชวน

                    “ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” ผมไม่แปลกใจหรอกที่เขาปฏิเสธ ถ้าเขาตอบรับนั่นสิแปลก

                    “พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ?” ถ้าผมจำไม่ผิดนะ

                    “อืม”

                    ผมมองหน้าเขา คือผมรอว่าหลังจากอืมแล้วมันควรมีประโยคอื่นต่อด้วยป่ะวะ เพราะถ้าแค่อืมแล้วจะรู้เรื่องกันไหม ... เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามผมตอบว่าแล้วมึงมายืนมองหน้ากูทำไม

                    “มีธุระแต่เช้าเหรอ?” เป็นผมเองแหละที่ต้องถามออกไป

                    “อือ”

                    “ให้ขับรถให้ไหม พรุ่งนี้ไม่มีเรียน เข้างานกะบ่ายด้วย” ผมเสนอตัว นานๆมีเวลาว่างพร้อมๆกันสักที เผื่อเขาเสร็จธุระเร็ว จะได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันด้วย

                    เขาเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ “ไม่เป็นไร ... คุณกรจะมารับ”

                    คำตอบของเขาทำให้ลมหายใจผมสะดุด 

                    “อ้อ ...” ผมพยักหน้ารับทราบ

                    เราสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปข้างบน

                    ผมกลับมาเอนหลังบนโซฟาตัวเดิม ตามองที่หน้าจอทีวี แต่สมองผมกลับไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า ...

 

                    หลังจากที่ผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงปี ... ผมนัดกับเพื่อนที่ทำงานที่ร้านจะไปนิวยอร์ค ไอ้ป้องอาสาเป็นคนขับรถ เรากะจะออกกันแต่เช้า ผมจึงไปนอนค้างที่คอนโดของมัน เพราะเพื่อนส่วนใหญ่พักอยู่ที่เดียวกัน แต่แล้วแผนทุกอย่างก็ล้มเหลว เพราะพอตื่นมาตอนเช้า เราพบว่ารถไอ้ป้องถูกทุบกระจก ของมีค่าบางอย่างที่มันทิ้งไว้ในรถถูกกวาดเรียบ มันเซ็งสุดชีวิต ไหนจะต้องแจ้งตำรวจ รอให้ปากคำและข้อมูลต่างๆ พวกเราทุกคนจึงลงความเห็นว่าฤกษ์ไม่ดีอย่างนี้ อย่าไปไหนเลย แยกย้ายกันท่าจะดีกว่า

 

                    ผมไขกุญแจบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก วันหยุดที่น่าจะแฮปปี้ของผมถูกทำลายย่อยยับไม่แพ้กระจกรถไอ้ป้อง แต่คุณเชื่อไหม เวลาที่เราเจอเรื่องแย่ๆ เรายังสามารถเจอเรื่องที่แย่กว่านั้นได้อีก ...

                    หลังจากที่ผมผลักบานประตูเข้าไป สิ่งที่ผมเจอ ... ผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเพียงกางเกงนอนลายทางตัวเดียว มือขวาถือกระป๋องเบียร์ มือซ้ายถือแก้วมักสีขาวลายดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ซึ่งเป็นแก้วประจำตัวของปิง เขายืนประจันหน้ากับผมที่โถงหน้าบันได ... จากนั้นขาขาวๆของปิงก็ก้าวลงมาจากชั้น 2 อย่างเร่งรีบ

                    “เมฆ ...” ปากแดงๆของปิงครางชื่อผมออกมาเบาๆ

                    ผมนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร ได้แต่มองใบหน้าของผู้ชายคนนั้น สลับกับใบหน้าขาวๆของปิงที่ตอนนี้เรียกว่าซีด ... ผมดำขลับที่ปิงมักจะรวบไว้ที่ท้ายทอยเสมอ ถูกปล่อยสยายคลอเคลียกับต้นคอและไหล่ขาวที่ถูกเปิดออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปิงคงรีบ จึงทำให้สวมเสื้อคลุมได้อย่างลวกๆ

                    เขาคงเห็นว่าผมกำลังมองสำรวจ จึงกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดขึ้น ก่อนจะหันไปมองหน้าผู้ชายคนนั้น แล้วหันกลับมาหาผม

                    “ไม่ไปนิวยอร์ค?” เขาถาม

                    “ไม่ ... รถไอ้ป้องโดนทุบกระจก” ผมตอบ

                    “โอ้ ... แล้วเป็นอะไรมากไหม?” ปิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย

                    “ก็มาก มันทิ้งของมีค่าไว้ในรถหลายอย่าง”

                    “อือ” คำว่าอือพร้อมพยักหน้าน้อยๆ ความหมายคือการรับรู้ของปิง ทำให้ผมไม่รู้จะต่อบทสนทนานี้ต่อไปยังไง

                    เราต่างคนต่างเงียบกันไป บรรยากาศโคตรน่าอึดอัด แต่แล้วผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้น

                    “เพื่อนร่วมบ้านเหรอ?”

                    “อ่า ... ฮะ” ปิงตอบเหมือนไม่ทันตั้งตัวกับคำถามที่อยู่ๆก็ทำลายความเงียบขึ้นมา

                    “ชื่อเมฆใช่ไหมเรา?” เขาถามผม

                    “ใช่” ผมตอบโดยมองหน้าผู้ชายคนนั้นตรงๆ

                    “ยินดีที่ได้รู้จัก ... ผม ... กร”

 

                    ... นับจากวันนั้นผมไม่เคยลืมชื่อนี้อีกเลย ... กร

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0


#5 [MHEK]



                    เป็นอันว่าเมื่อคืนผมดูรายการโปรดแบบเลื่อนลอยไร้สติ หมดเบียร์ไป 3 กระป๋องแล้วขึ้นไปนอน ตื่นมาสายๆ ปิงก็ออกไปแล้ว

                    ผมใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการซักผ้าและนอนเอกเขนกอยู่หน้าจอทีวี พอบ่ายก็ออกไปทำงาน โดยมีไอ้เนสแวะมารับ

                    ถึงผมจะมีใบขับขี่ แต่ก็ไม่มีรถให้ขับ เพราะยังไม่เห็นความจำเป็นต้องที่ซื้อในตอนนี้ ร้านที่ทำงานอยู่นั้นก็มีรถเมล์ผ่าน แค่เดินลงจากบ้านข้ามทางเดินเล็กๆก็เจอป้ายรถเมล์ แถมแค่ต่อเดียวก็ถึง แต่ที่ผมไปสอบใบขับขี่เอาไว้ เพราะเมื่อหลายเดือนก่อน ขณะกำลังนอนดูรายการล่าผีรีรันรอบดึก ปิงที่ขึ้นนอนไปนานแล้วกลับลงมาข้างล่าง และทำท่าจะออกไปข้างนอก ตอนนั้นตี 1 กว่าๆ คือเขาเกิดปวดท้องอย่างรุนแรงขึ้นมาจนทนไม่ไหว คิดว่าจะไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ผมเห็นสภาพที่ปิงยืนตัวงอ จึงอาสาขับรถให้ แต่ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอม เรายื้อยุดกุญแจรถกันอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ปล่อยให้ผมประคองไปขึ้นรถ ขนาดนั่งตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเบาะ ก็ยังไม่วายปรามผมตลอดทางว่าอย่าขับเร็ว อย่าฝ่าไฟแดง เจอป้ายสต๊อปต้องหยุดจนนิ่ง มองซ้ายมองขวาแล้วค่อยออกรถ เพราะถ้าเกิดผมถูกจับได้ว่าขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ งานนี้คงเป็นเรื่องยาว ...วันรุ่งขึ้นผมก็หาตำราสำหรับติวสอบใบขับขี่มาอ่านทันที

                    แต่บางทีปิงก็ให้ผมขับรถของเขา อย่างตอนที่พวกเราไปซื้อของใช้ ซึ่งก็นานๆครั้ง เพราะส่วนมากปิงจะเป็นคนจัดการเอง ผมต้องการอะไรเขาก็บอกให้จดแล้วแปะไว้ที่หน้าตู้เย็น ซื้อมาแล้วค่อยมาเก็บเงินกันทีหลัง

                    ของใช้เกือบทั้งหมดเราแยกกันเป็นสัดส่วน จะมีก็แค่พวกสิ่งของในครัว เช่นเครื่องปรุงรสอะไรพวกนั้นที่ปิงเป็นคนดูแล เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นคนทำกับข้าว ส่วนผมมักฝากท้องกับอาหารพนักงานที่ร้าน หรือไม่ก็พวกเบอร์เกอร์ง่ายๆ ไม่ก็ออกไปกินกับเพื่อน อย่างวันนี้หลังเลิกงานผมกับไอ้เนสก็แวะกินโจ้กที่ร้านจีน ก่อนที่มันจะแวะมาส่งผมที่บ้าน ... วันไหนที่ผมกับไอ้เนสมีตารางทำงานด้วยกัน มันมักจะแวะมารับมาส่งผมเสมอ เพราะเป็นทางผ่านของมันพอดี

                    ผมกลับมาถึง 5 ทุ่มกว่าๆ บ้านทั้งหลังมืดสนิท ... ปิงคงไม่กลับแล้วมั้งคืนนี้ ...

 

                    ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ผมได้เจอกับคุณกรของปิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าเขานัดแนะไปเจอกันข้างนอกหรือยังไง เพราะปิงก็ไม่เคยพูดถึงคนคนนั้นอีก ผมก็ไม่ถาม เพราะถ้าปิงไม่พูด นั่นคือปิงไม่อยากให้รู้

ที่ผมไม่ถาม ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากรู้ ... ก็ทำไมจะไม่อยากล่ะ ดูก็รู้ว่าคุณกรเป็นคนสำคัญของปิง ... ปิงคนที่โคตรจะไว้เนื้อไว้ตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร พูดน้อยจนถูกมองว่าหยิ่ง ... ปิงที่ใครๆเห็นครั้งแรกก็อยากจะวิ่งเข้าหา เพราะรูปลักษณ์ภายนอกนั้นบรรยายได้สั้นๆว่า “โคตรสวย” แต่ไม่นานผู้คนเหล่านั้นก็ต้องถอยออกมา ไม่ใช่เพราะปิงนิสัยไม่ดีหรือไม่น่าคบ แต่ผมว่าเพราะกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างไว้รอบตัวต่างหาก ที่ทำให้คนอื่นเข้าไปไม่ถึงตัวตนจริงๆของเขา แต่คุณกรคงไม่เหมือนคนทั่วไป ...

 

                    ปิงหายไป 5 วัน 5 คืน ระหว่างนั้นมีเพียงข้อความสั้นๆที่เขาส่งมาบอกว่าเขาโอเค ไม่ต้องเป็นห่วง นี่ถ้าผมไม่ส่งข้อความถามไปก่อนว่าถูกใครลักพาตัวไปหรือเปล่า เขาคงไม่คิดจะบอกกล่าวอะไรกับเพื่อนร่วมบ้านอย่างผม

                    เช้าวันที่ 6 หลังจากเขาหายตัวไป ... ผมกำลังจะออกไปเรียน ในขณะที่เขากำลังลงจากรถแท็กซี่ ... ผมเพิ่งมานึกแปลกใจเอาตอนนี้ว่าทำไมปิงถึงไม่ขับรถของตัวเอง แทนที่จะนั่งแท็กซี่ แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจไม่ได้ถามออกไป แต่เป็นปิงที่ถามขึ้นมาขณะที่เรายืนกันอยู่บนทางเท้าหน้าบันได

                    “ไปเรียนเหรอ?”

                    “ใช่” ผมตอบสั้นๆ เขาพยักหน้าว่ารับรู้ แล้วเดินเบี่ยงตัวขึ้นบันได เข้าบ้านไป

 

                    ผมกลับถึงบ้านตอนเย็นๆ วันนี้เรียนแน่น จึงไม่ได้ทำงาน เปิดประตูบ้านเข้ามาก็ปะทะกับกลิ่นอาหารอันหอมตลบอบอวล หลังจากเก็บรองเท้าแล้วจึงเดินเลยเข้าไปยังห้องครัว

                    ปิงกำลังง่วนอยู่กับหม้อบนเตา เขาถามโดยไม่หันมามอง

                    “ไม่ทำงานเหรอ?”

                    “ไม่ ... มีเรียนทั้งวัน” อยู่ด้วยกันมาปีกว่า ปิงไม่เคยจำได้ว่าผมทำงานหรือมีเรียนวันไหนบ้าง แต่ผมจำได้ วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของปิง เพราะเขาใช้วันหยุดไปแล้วตอนที่หายตัวไป 5 วันที่ผ่านมา

                    “แล้วปิงไม่ทำ?”

                    “ลา”

                    “อ้อ” ผมผงกหัวรับรู้

                    “กินข้าวด้วยกัน” เขาหยิบผักมาหั่นโดยยังหันหลังคุยกับผม

                    “ทำไรกินอ่ะ? หอมเชียว” ผมขยับเข้าไปใกล้ ชะโงกหน้าดูหม้อที่กำลังเดือดปุดๆอยู่บนเตา จังหวะเดียวกันกับที่ปิงกำลังจะหย่อนอะไรสักอย่างลงในหม้อ พอเขาหันมา หัวจึงชนเข้ากับข้างแก้มของผมพอดี

                    “เอ๊ย!” ผมร้องเสียงดัง ไม่ได้เจ็บอะไรนักหนาหรอก แค่ตกใจ

                    “เกะกะน่ะ ออกไปก่อนไป เสร็จแล้วจะเรียก” เขาปั้นหน้าดุ

                    “ก็ได้ๆ ว่าแต่ทำไรกินอ่ะ?” ผมยังอยากรู้อยากเห็น

                    เขาไม่ตอบ แต่เอียงคอทำหน้านิ่งมองหน้าผม

                    โอเคๆ ปิงทำหน้าอย่างนี้ หมายถึงหุบปาก แล้วไปไกลๆ

                    “งั้นขึ้นไปอาบน้ำแป๊บ เดี๋ยวลงมา”

                    เดินขึ้นบันไดไปได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นมาได้ เบียร์กระป๋องสุดท้ายถูกผมจัดการหมดไปตั้งแต่คืนก่อนโน้น ... แม่ง เสียดายฉิบ

 

                    เมนูวันนี้คือก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋น เสริฟพร้อมมะระแช่เย็นกรอบๆและใบโหระพา ผมงี้แทบน้ำตาไหล อร่อยจนอยากก้มลงกราบแทบตักคนทำ

                    “มีเบียร์ในตู้เย็น” ปิงเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว

                    “จริงดิ กำลังนึกเลยว่าถ้าได้เบียร์เย็นๆคงดี นี่คิดว่าหมดไปแล้วนะ” ผมรีบลุกไปที่ตู้เย็นทันที ... นี่มันแพ็คใหม่นี่นา

                    “ซื้อมาใหม่เหรอ?”

                    “อือ”

                    “รู้ใจๆ” ผมโยกหัวอย่างอารมณ์ดี ไม่ลืมที่จะมีน้ำใจ “เอาป่ะ?”

                    “ก็ดี”

                    ผมเปิดกระป๋องแล้วยื่นให้ปิง ตัวเองก็ซดเบียร์หนึ่งโฮก ก่อนจะกลับมาลุยต่อกับก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อย

ถ้าหม่าม้ารู้ หม่าม้าคงปลื้มจนน้ำตาเล็ด ที่รู้ว่าผมมีเมียเป็นแม่ศรีเรือนขนาดนี้ ... ถุย ... ผมเสริฟเองตบเองกับมุกตัวเองอยู่ในใจ ก็ถ้าปิงเป็นผู้หญิง ผมจีบไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า

                    นึกแล้วก็อดขำความคิดของตัวเองไม่ได้ จนต้องหลุดยิ้มออกมา แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเจอกับสายตาและใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของปิงจ้องอยู่

                    “นั่งยิ้มอยู่ได้ เป็นอะไร?”

                    “ห๊ะ? ยิ้มสิ ก็ก๋วยเตี๋ยวอร่อยโคตร อร่อยกว่ากินที่ร้านที่ไทยอีกนะ”

                    “เวอร์”

                    “ไม่เวอร์ นี่กินแล้วคิดถึงบ้านเลย ปิงทำอร่อยเหมือนที่หม่าม้าทำเลย”

                    ปิงเงียบ ก้มหน้าคีบเส้นเข้าปาก

                    “ขอบคุณนะพี่ปิง”

                    “พอได้กินล่ะเรียกพี่เป็นเลยนะ”

                    “ปกติก็เรียกป่ะ?” ผมยักคิ้วกวนๆ

                    “ขี้เกียจเถียง ... กินเสร็จแล้วเก็บล้างให้สะอาดด้วย” พูดเสร็จแล้วถือชามของตัวเองไปวางไว้ในซิงค์ แล้วเดินไปหย่อนตัวลงบนโซฟา หยิบรีโมตมากดหาช่องโปรดของเขา ก็รายการตกแต่งบ้านอะไรทำนองนั้น

                    ผมเบิ้ลไปสองชาม จากนั้นก็เก็บโต๊ะ ล้างจาน แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัวข้างๆกัน ไม่ลืมจะหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ติดมือมาด้วย

                    “ดื่มเยอะๆระวังลงพุง” ปิงพูดโดยที่ตายังจ้องอยู่บนจอทีวี

                    “นิดหน่อยน่า ไม่ได้กินทุกวัน” ผมแย้งเข้าข้างตัวเอง

                    “งานที่ร้านเป็นไง?” ปิงถามขึ้น ยกขาวางพาดบนโต๊ะกลางตัวเตี้ย

ผมมักยึดโซฟายาวเป็นประจำ จนหลังๆผมสังเกตว่า แม้ปิงจะมาก่อน เขาก็จะเลี่ยงมานั่งที่รีไคลเนอร์ตัวสั้นแทน

                    “ก็ดี แต่ตารางลดลง 2-3 ชิฟท์” ผมตอบแล้วเอนตัวเอกเขนกลงบนโซฟาตัวโปรด

                    “ทำไมล่ะ?”

                    “ญาติพี่ปุ๊กมาจากเมืองไทย แกเลยมาขอชิฟท์แบ่งๆไปให้” พี่ปุ๊กคือเจ้าของร้านที่ผมทำงานอยู่

                    “แล้วโอเคไหมล่ะ?”

                    “ก็โอแหละ ว่างมากขึ้นก็จะได้อ่านหนังสือมากขึ้น” จริงๆคือผมไม่อยากไปแก่งแย่งทะเลาะกับใคร เพื่อนๆที่ร้านบางคนก็บ่นว่าชิฟท์น้อยลง แถมบางวันก็ลงเว็ทซะหลายคนจนทิปที่ได้แทบไม่คุ้มค่าเสียเวลาค่าน้ำมันรถ ซุบซิบนินทาว่าเบื่อเด็กเส้น จะย้ายไปทำร้านอื่นบ้างก็มี

                    “ที่ร้านเดลิคนเก่ามาขอลาออก จะทำให้ถึงแค่สิ้นเดือนนี้ สนใจไหม?”

                    เดลิหมายถึง delivery ก็คือขับรถส่งอาหารนั่นล่ะครับ งานจะอิสระหน่อย เพราะไม่ต้องอยู่โยงเฝ้าที่ร้านเหมือนตำแหน่งเว็ท แต่ก็ต้องชำนาญทาง และแน่นอนต้องมีใบขับขี่และมีรถเป็นของตัวเอง

                    “เงินดีป่าว?”

                    “ก็ดีนะ แถวนั้นมีออฟฟิศ ได้ทั้งเที่ยงและเย็น ทิปก็ใช้ได้”

                    “แต่ไม่มีรถ” นี่ล่ะปัญหาของผม

                    “คิดจะซื้อไหมล่ะ?”

                    “ก็คิด แต่เห็นยังไม่จำเป็นไง แต่จริงๆก็เริ่มๆดูแล้วล่ะ” รถที่นี่ถูกกว่าที่เมืองไทยเยอะ ยิ่งเป็นรถมือสอง เสริฟไม่กี่เดือนก็เก็บเงินซื้อได้แล้ว

                    “ถ้าอยากทำจริงๆ ช่วงแรกๆก็ใช้รถพี่ไปก่อนก็ได้” ปิงยื่นข้อเสนอ ... ปิงใจดี นี่คือสิ่งที่ผมรับรู้มาโดยตลอด

                    “อ้าว แล้วปิงใช้อะไรล่ะ?”

                    “วันไหนทำงานก็ขับไปด้วยกันสิ”

                    “เออ ก็เข้าท่าดีแฮะ นี่ก็ชักเบื่อๆที่ร้าน”

                    ปิงมองผมด้วยหางตาเป็นการตั้งคำถามที่ไม่เชิงว่าอยากรู้คำตอบจริงจัง

                    “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เบื่อๆ” เรื่องที่ผมบอกว่าเบื่อ มันก็ไม่เชิงว่าจะน่าเบื่อจริงๆหรอก

                    “เบื่อคนหรือเบื่องาน?”

                    “ก็ทั้ง 2 อย่าง”

                    “ถึงย้ายร้าน ก็ใช่ว่าจะหนีพ้น” ปิงพูดทั้งๆที่ยังจับจ้องอยู่กับรายการในโทรทัศน์

                    “หมายความว่าไง?” ผมมึนๆงงๆ

                    “...”

                     “อะไรเนี่ย พี่ปิงที่ดูนิ่งเฉย ก็สนใจเรื่องของชาวบ้านด้วยเหรอ?” ผมแหย่เล่นๆ

                    “สังคมคนไทยแถวนี้มันไม่ได้กว้างอะไรนักหนา ถึงไม่อยากรู้ ก็ได้รู้อยู่ดี” เขาไหวไหล่

                    “อ่ะนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะหนีอะไรหรอก แค่ไม่อยากมีเรื่อง ว่าแต่ใครเอาไปนินทาถึงร้านโน้น?” ผมล่ะเชื่อเลยเรื่องข่าวลือของคนที่นี่ ไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

                    “หยกเขาเป็นรูมเมทกับเดือน”

                    “เดือนที่เป็นเว็ทร้านปิงน่ะเหรอ?” ผมนึกถึงสาวหมวยร่างเล็กที่เป็นเพื่อนกับหยก

                    “ใช่”

                    “โห งี้เอาผมไปนินทาว่าไงบ้างเนี่ย” ผมเกาหัวแกรก เรื่องใครคบใคร ใครได้กับใคร มักเป็นเรื่องนินทาสนุกปากในกลุ่มเด็กไทยที่ทำร้านอาหารเสมอ

                    จู่ๆปิงก็ลุกขึ้น แล้วหันมาบอก

                    “ให้เวลาคิด 2-3 วัน ถ้าอยากทำจะได้บอกเฮียคิดไว้ จะได้ไม่รับคนอื่น ส่วนเรื่องรถ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก”

                    ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ กับการตัดบทสนทนาแบบกะทันหันของปิง

                    ว่าแล้วเขาก็เดินหนีขึ้นชั้นบน

                    “จะนอนแล้วเหรอ?” ผมส่งเสียงถามตามหลัง

                    “อือ” หลังจากเสียงอือไม่นาน ก็ตามมาด้วยเสียงเปิดและปิดประตู

                    เป็นอันว่าผมถูกทิ้งไว้ตามลำพังอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งๆที่ผมมีคำถามที่อยากจะรู้คำตอบ ... เขาหายไปไหนมาตั้ง 5 วัน 5 คืน ...

 

                    นี่ผมเริ่มอยากรู้เรื่องของปิงตั้งแต่เมื่อไหร่?

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รักหลายเส้าเหรอ

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รักหลายเส้าเหรอ


ใช่ค่ะ ^^

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #6 PETE
«ตอบ #9 เมื่อ24-04-2016 16:03:59 »

ตอนที่ 6 ... น้องพีทมาถึงอเมริกาแล้วนะคะ ได้เจอคนสำคัญของเขาซะทีนะ ^^ / MissDaisy





#6 [PETE]

 

                    ผมมาถึงอเมริกาโดยสวัสดิภาพ ตอนนี้พักอยู่ที่บ้านน้าติ๊ก น้องสาวของแม่ที่แต่งงานกับอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยชาวอเมริกัน ส่วนน้าติ๊กของผมทำงานบริษัทเกี่ยวกับบัญชี ครอบครัวนี้มีลูกสาววัยห่างจากผมหลายปีชื่อทีน่า เพราะน้าติ๊กมัวแต่เรียนและทำงาน จึงแต่งงานและมีลูกช้า

                    บ้านของน้าติ๊กอยู่ที่รัฐวิสคอนซิน ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆแต่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งน้าเขยของผมสอนอยู่

                    ผมอยู่ที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนสักเท่าไหร่ เพราะต้องรอวันหยุดของน้าๆ

อาทิตย์หน้าผมตั้งใจจะบินไปหาแบม ซึ่งผมก็ได้บอกกับน้าติ๊กเอาไว้แล้ว ท่านเป็นห่วงว่าผมเพิ่งมาอเมริกาเป็นครั้งแรก แล้วต้องไปต่างถิ่นคนเดียว จึงได้โทรไปฝากฝังเพื่อนที่อยู่ทางโน้นให้ดูแล แต่เพื่อนของน้าติ๊กก็ไม่ได้อยู่ที่เวอร์จิเนียหรอกนะฮะ เขาอยู่อีกรัฐใกล้ๆกัน ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึง

                    ทีแรกน้าติ๊กจะให้ผมไปพักที่บ้านเพื่อนของท่าน แต่แบมหาที่พักไว้ให้ผมแล้ว พอดีบ้านของเพื่อนแบมที่เป็นคนไทยที่มาตั้งรกรากที่นี่นานแล้ว เขาทำบ้านเช่าให้กับคนไทย และมีบ้านหลังหนึ่งที่ยังมีห้องว่าง ผมจึงให้แบมขอเช่าเอาไว้ ซึ่งมันก็ช่วยผมประหยัดค่าที่พักไปได้มากเลยทีเดียว

 

                    ผมเดินออกมาจากเกท กวาดตามองไปรอบๆ ... แบมยกแขนสูง โบกมือให้ผมแต่ไกล เธอยิ้มร่าเริง ... ผมยกมือโบกตอบ

                    แบมเปลี่ยนไปมาก ทั้งๆที่ผมเห็นหน้าเธอทางเฟสไทม์มาตลอด แต่เมื่อเธอมายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ ผมกลับรู้สึกคล้ายว่าเราเพิ่งเคยเจอกัน

                    “สวัสดีครับน้าน้อย” ผมยกมือไหว้คุณแม่ของแบมที่ยืนรออยู่ข้างๆ

“หวัดดีน้องพีท อู้ย เป็นหนุ่มละเน้อ หล่อขะน้าด” น้าน้อยทักทายผมด้วยสำเนียงคนเมือง ยกมือลูบหลังลูบไหล่ สำรวจตัวผมไปทั่ว

                    “ฮะ” ผมหัวเราะเขินๆ

                    “หวัดดีแบม” ผมหันไปทักทายแบม ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเอง ทำตัวไม่ถูก รู้สึกอายๆ

                    “หวัดดีพีท” แบมตอบพร้อมรอยยิ้ม

                    แบมที่อยุ่ตรงหน้า ดูเป็นสาวและสวยขึ้นกว่าที่เห็นในเฟสไทม์ หน้าตาท่าทางและการแต่งตัวก็ดูแปลกตาไปกว่าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

                    “แบมโทรตามแดดดี้ได้แล้วลูก” น้าน้อยหันไปบอกลูกสาว แล้วหันมาอธิบายกับผม

                    “พอดีน้ามาก่อนเวลา เผื่อๆเอาไว้น่ะ แฟนน้าเขาเลยไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ” น้าน้อยหันมาบอกกับผม

                    “ครับ”

 

                    ระหว่างทางอยู่ในรถ น้าน้อยบ่นนิดหน่อยเรื่องที่ผมไม่ยอมไปพักด้วยกันที่บ้าน แต่ผมออกตัวไปว่าเกรงใจ เพราะอาจอยู่ยาวเป็นเดือน น้าน้อยฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร ผมรู้ดีว่าท่านพูดไปอย่างนั้น เพราะเอาเข้าจริงๆ การที่ผมจะเข้าไปอยู่ที่บ้านของแบมก็ดูจะไม่เหมาะสม น้าน้อยเองมีลูกสาวคนเดียว จะให้ผู้ชายมาอยู่ร่วมชายคาก็คงดูไม่ดี แม้จะมาอยู่ในสังคมฝรั่งแต่ยังไงก็ยังยึดถือธรรมเนียมไทยอยู่ดี

                    ก่อนจะแวะไปส่งผมที่บ้านเช่า เราแวะร้านอาหารไทย น้าน้อยบอกว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับ อีกอย่างก็บ่ายมากแล้ว เขาห่วงว่าผมเข้าบ้านไปแล้วจะไม่มีอะไรกิน ออกมาเองก็คงยังไม่ได้

                    ร้านอาหารไทยร้านนี้ตกแต่งสวยงาม ดูจะเน้นความเป็นไทยมากกว่าร้านอาหารที่เมืองไทยซะอีก ผมกวาดตาดูรอบๆ พนักงานในร้านน่าจะเป็นคนไทยทั้งหมด ตั้งแต่พนักงานต้อนรับที่พาเรามานั่งที่โต๊ะ และพนักงานเสริฟที่เดินเข้ามาทักทายและรอรับออเดอร์ ... ผมเหลือบมองป้ายชื่อที่เขียนด้วยลายมือแปะไว้บนอกเสื้อเชิ้ตสีดำ เขียนว่า Mhek

                    รสชาติอาหารที่นี่อร่อยไม่แพ้ร้านอาหารที่เมืองไทย แต่มีข้อแตกต่างนิดหน่อย เมื่อจิม แดดดี้ของแบมสั่งผัดกะเพราเมนูโปรดของเขา แต่ผมไม่พบใบกะเพราสักใบในจาน มีก็แต่ใบโหระพาทั้งนั้น น้าน้อยเลยอธิบายว่ากะเพราหายาก คนที่นี่จึงปรับใช้ใบโหระพาแทน

                    “เราก็ปลูกโหระพาที่สวนหลังบ้าน” แบมบอกด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

                    “ปลูกผักเป็นด้วยเหรอ?” ผมถามด้วยความแปลกใจ

                    “เป็นสิ ไม่เห็นยาก แค่เอาก้านจิ้มๆลงดิน”

                    “ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังบ้างเลย” คงมีอีกหลายอย่างที่ผมไม่รู้ และแบมไม่ได้เล่า เรื่องราวของแบมในช่วงเวลาที่เราไกลกัน

                    “ก็พีทไม่ถาม” แบมยักไหล่

                    “ก ...” ผมอ้าปาก ยังไม่ทันได้พูด

                    น้าน้อยหันไปกวักมือเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ห่าง “น้องๆ พี่ขอพริกน้ำปลาหน่อย”

                    พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินมาวางผอบเล็กๆลงบนโต๊ะ แล้วเดินออกไปยืนรอห่างๆ

                    จากนั้นผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับแบมอีก จะมีก็แต่น้าน้อยที่ถามเรื่องเชียงใหม่ กับจิมที่พยายามชวนผมคุยเรื่องตุ๊กๆ โดยที่มีแบมคอยช่วยแปลและอธิบายให้บ้างบางประโยค

                    เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาส่งผมเข้าบ้านพัก ซึ่งต้องนั่งรถต่อไปอีกไม่นานนัก

 

                    เพื่อนแบมที่เรียนไฮสคูลด้วยกันและเป็นหลานชายเจ้าของบ้านเป็นคนรอรับพวกเรา ถ้าเทียบอายุแล้วก็น่าจะอ่อนกว่าผมหนึ่งปี เขาชื่อไมค์ หน้าตาดูคล้ายลูกครึ่ง ตัวสูงพอๆกับผม แต่บางกว่า

                    แบมทักทายและฝากฝังผมกับไมค์ สักพักน้าน้อยก็ชวนกลับ ผมได้แต่ยืนมองตามท้ายรถด้วยตาละห้อย ... เอาล่ะ จากนี้ไปผมก็ต้องผจญภัยในโลกกว้างด้วยตัวเองจริงๆซะที

                    “เดี๋ยวพาไปดูห้อง” ไมค์พูดขึ้น เห็นหน้าลูกครึ่งอย่างนี้ แต่พูดไทยชัด แม้สำเนียงจะแปร่งๆสักหน่อย

                    ผมพยักหน้าแล้วลากกระเป๋าตามเข้าไปในบ้าน

                    บ้านนี้มี 2 ชั้น ชั้นล่างมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  ห้องส่วนหน้ามีโซฟายาววาง 1 ตัว ห้องครัวที่เป็นห้องกินข้าวไปในตัว และห้องซักรีด ส่วนชั้นบนมี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่ทุกคนต้องใช้รวมกัน ซึ่งห้องของผมอยู่ที่ชั้น 2 นี่เอง

                    ไมค์บอกว่ามีคนเพิ่งย้ายออก ปกติเขาจะให้ทำสัญญาอย่างน้อย 6 เดือน แต่เพราะแบมบอกว่าเป็นเพื่อนมาจากเมืองไทย เขาจึงยอมให้เป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้เขาก็อธิบายเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ค่าเช่าและการจ่ายเงิน

                    “มีอะไรสงสัยจะถามไหม?” ไมค์ถามเมื่อเราเดินลงมาชั้นล่าง

                    “คงมี แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก” ผมคงต้องใช้เวลาสักพักในการตั้งสติ เพื่อที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆรอบตัว

“ไม่เป็นไร มีอะไรก็ถามได้ เดี๋ยวแอดไลน์ไว้” เขาควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง จิ้มๆ แล้วยื่นมาตรงหน้า เพื่อให้ผมสแกนคิวอาร์โค้ด

                    “อยากไปไหนบอกได้นะ เพราะแบมคงต้องรอ weekend ถึงจะออกมาได้” ดูเหมือนไมค์จะสนิทกับ      แบมมาก

                    “ได้” ผมพยักหน้าตอบ

                    “งั้นไปล่ะ” เขายกมือลา

                    “เอ่อ เดี๋ยวสิ” ผมมีเรื่องคาใจ

                    ไมค์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

                    “คือ นายกับแบมสนิทกันเหรอ?”

                    “งั้นมั้ง” เขาไหวไหล่

                    ผมไม่รู้จะถามต่อดีไหมว่าสนิทกันถึงขั้นไหน จึงได้แต่เงียบไป

                    “บ้านฉันอยู่ใกล้ๆเนี่ย” เขาชี้นิ้ว “มีอะไรก็เรียกได้”

                    “อื้อ ขอบใจนะ”

                    เขาผงกหัว แล้วหันหลังเดินจากไป ผมมองตามจนเขาเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล

                    ผมเดินกลับเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปยังห้องที่ต่อไปนี้จะเป็นห้องของผมไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ

                    ผมทิ้งตัวลงบนเตียง ส่งไลน์บอกพ่อกับแม่ และน้าติ๊กว่าผมถึงบ้านพักเรียบร้อยแล้ว น้าติ๊กส่งสติ๊กเกอร์ โอเคกลับมา ส่วนพ่อกับแม่ยังไม่ได้อ่านทันที ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่ คงจะนอนอยู่ล่ะมั้ง เพราะเวลาที่นี่ห่างจากเมืองไทย 12 ชั่วโมง ... ผมเริ่มรู้สึกเหงาและคิดถึงบ้านขึ้นมานิดๆ ดูเป็นลูกแหง่เลยใช่ไหมฮะ ก็นี่เป็นการ เดินทางไกลคนเดียวครั้งแรกของผมนี่นา

                    แบมจะว่างมาเจอผมในวันเสาร์-อาทิตย์ นี่เพิ่งวันพฤหัสฯเอง พรุ่งนี้ผมคงต้องลองออกไปสำรวจโลกคนเดียว

                    เปิดกระเป๋า จัดเก็บเสื้อผ้าเข้าไว้ในตู้ ผมเอาเสื้อผ้ามาไม่มาก ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน กางเกงขาสั้น เสื้อยืดกับรองเท้าผ้าใบก็พอ จากนั้นก็ถ่ายรูปห้องพัก และลงไปถ่ายชั้นล่าง และบริเวณรอบๆบ้านเพื่อส่งไลน์ไปให้พ่อกับแม่ดู ท่านจะได้สบายใจ ในบ้านตอนนี้เงียบมาก เหมือนจะมีผมอยู่แค่คนเดียว

                    ผมไลน์คุยกับแบม

                    ผม - ดีใจมากที่ได้เจอแบม

                    แบม - เหมือนกัน

                    ผม - แบมน่ารักขึ้นเยอะเลย

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์เขินและขอบคุณ

                    ผม - แต่ไม่ค่อยได้คุยกันเลย เขิน

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม

                    ผม – คิดถึง

                    แบม – เหมือนกัน

                    ผม – อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้เจออีก

                    แบม – วันเดียวเอง เดี๋ยวพาไปเที่ยว

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอ๋ปลอบ

                    แบม – ระหว่างนี้มีอะไรก็เรียกไมค์ได้นะ

                    ผม – เกรงใจเพื่อนแบม

                    แบม – ไม่ต้องเกรงใจ แบมฝากพีทกับไมค์ไว้แล้ว เดี๋ยวเขาพาไปช้อปปิ้ง

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณ

                    แบม – ถึงบ้านแล้ว ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ เดี๋ยวคุยกันใหม่

                    เธอส่งสติ๊กเกอร์ Bye

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ Ok

 

                    ไมค์ส่งไลน์มาชวนไปเดินห้างตอนเย็นพรุ่งนี้ ผมไม่ปฏิเสธ เพราะไหนๆก็ยังไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนจริงจังอยู่แล้ว

 

                    ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ตั้งใจจะมาคุยไลน์กับแบมต่อ แต่เธอส่งข้อความทิ้งเอาไว้ว่าจะเข้านอนแล้ว และสติ๊กเกอร์ Good Night

 

                    ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาทำยังไงก็ไม่ง่วง กว่าจะหลับลงได้ก็ค่อนเช้า และกว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปบ่าย เป็นอันว่าวันแรกของผมก็เสียไปเปล่าๆครึ่งค่อนวัน

 

                    เย็นๆไมค์มาเรียกที่หน้าบ้าน เขาสวมกางเกงสี่ส่วนกับเสื้อยืด หมวกแก้ปและรองเท้าคีบ ดูสบายๆ

ผมอยากให้แบมมาด้วย แต่บ้านเธออยู่นอกเมือง เดินทางไปกลับไม่สะดวก จะให้แดดดี้มารับมาส่งก็เกรงใจ น้าน้อยเองก็ยังขับรถไม่คล่อง จึงต้องรอวันหยุดที่แบมจะนั่งรถไป-กลับเองได้ เป็นอันว่าเย็นนี้ผมก็ต้องไปกับไมค์แค่สองคน

                    ไมค์เป็นคนคุยสนุก ฝรั่งคงเรียกว่าเฟรนด์ลี่ เขาพาผมนั่งรถเมล์และต่อรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่ห้างแห่งหนึ่ง เราเดินดูของแบบไม่จริงจัง ผมไม่คิดจะช้อปปิ้งอยู่แล้ว อาจจะซื้อของฝากพ่อกับแม่บ้าง แต่คงจะเป็นช่วงก่อนกลับเมืองไทย

                    เรากินซับเวย์ที่ห้างเป็นอาหารเย็น ไมค์พาผมไปซื้อเสบียงตุนไว้หลายอย่าง เพราะช่วงแรกๆผมอาจจะยังไปไหนมาไหนไม่คล่อง มีของกินติดไว้ที่ห้องก็น่าจะดี ... ระหว่างนั่งรถไฟกลับบ้าน ไมค์ถามว่าผมมีแพลนไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ผมก็ตอบไปตรงๆว่าไม่มีอะไรมาก ก็คงอยู่แถวๆนี้ เพราะจุดประสงค์หลักของผมคือมาเจอแบม

                    เขากลอกตามองบน เบ้ปาก พูดเป็นภาษาอังกฤษอะไรสักอย่าง

                    “ว่าไงนะ?” ผมถาม เพราะฟังไม่ถนัด

                    “น่าเบื่อ” เขาเบ้ปากอีกครั้ง

                    ผมอึ้งๆไปนิดหน่อยกับคำตอบตรงๆของไมค์

                    “เราแค่อยากมาเจอแบม และอีกอย่าง เราขอเงินพ่อกับแม่มา แค่มาอยู่เป็นเดือนนี่ก็ไม่รู้จะหมดไปเท่าไหร่แล้ว”

                    “ทำไมไม่ทำงานหาเงินเองล่ะ จะได้เที่ยวเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใคร มาทั้งที ไม่เที่ยวได้ไง”

                    ผมอึ้งไปอีกรอบ ไม่เคยคิดเรื่องทำงานพิเศษเลยสักนิด คิดแค่ว่าจะมาอเมริกา โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็แบมือขอพ่อกับแม่ คำพูดของไมค์แม้ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิ แต่ผมฟังแล้วนึกละอายขึ้นมา

                    “แล้วนายทำงานพิเศษด้วยเหรอ?”

                    “ก็ทำ ตัดหญ้ารอบๆบ้าน”

                    “ตัดหญ้าบ้านตัวเอง จะเรียกว่าทำงานพิเศษได้ยังไง” ผมต่อยต้นแขนเขาเบาๆ

                    “ใช่สิ ไม่ได้ตัดแค่หลังเดียว บ้านเช่าตั้งหลายหลัง แล้วก็บ้านเนเบอร์อีก”

                    “อ๋อ” ผมพยักหน้า

                    “บางทีก็เดินหมา แต่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะต้องตื่นเช้า”

                    “อะไรเดินหมา?” เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ

                    “ก็ไปเอาหมาเพื่อนบ้าน พาออกมาเดินเล่น พามาอึ ส่วนมากทำตอนปิดเทอม แต่ขี้เกียจตื่นเช้า เดี๋ยวนี้ไม่ทำละ” ไมค์ยักไหล่

                    “อือๆ เข้าใจละ” อันที่จริงผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องอาชีพพาหมาเดินเล่นอะไรเนี่ย

                    “เซลฟี่กัน” เขาเอียงหัวมาชนหัวผม แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเราสองคน จากนั้นก็ก้มหน้าอยู่กับจอสี่เหลี่ยม

                    “ทำไร?” ผมชะโงกมอง

                    “ส่งไลน์ให้แบม” ไมค์ตอบโดยยังคงก้มอยู่กับหน้าจอ

                    “แบมว่าไง?”

                    “อึ๊อือ” เขาทำเสียงในคอแล้วหัวเราะยักไหล่

                    “ไรวะ?” ผมรู้สึกเหมือนถูกกีดกัน จึงเอาโทรศัพท์ตัวเองมาส่งไลน์หาแบมบ้าง บอกไปว่าไมค์พามาช้อปปิ้ง แบมส่งสติ๊กเกอร์ Good มาให้

                    “ลงสถานีหน้า” ไมค์เอ่ยเตือน เขาอธิบายเรื่องการใช้บริการเมโทรบัสและรถไฟให้ฟังคร่าวๆ

 

                    “วันเสาร์ไปดีซีกันไหมล่ะ?” ไมค์ถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินอยู่ในซอย

                    “ไปสิ” ผมตอบกระตือรือร้น “ชวนแบมไปด้วย”

                    “ก็แหงสิ ฉันจะไปกับนายสองคนทำไม นายมาหาแฟนนายไม่ใช่เรอะ” เขาผลักหัวผมเบาๆ ... ดูเหมือนเราจะสนิทกันเร็วมาก

                    ผมหัวเราะแล้วผลักหัวเขาคืน

                    “หรือนายอยากไปกับแบมแค่สองคน ฉันจะได้ไม่ไปเกะกะ?” เขามองผมแล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์

                    “ไม่หรอก นายไปด้วยน่ะดีแล้ว” ผมไม่คิดว่าไมค์จะเกะกะอะไร

                    จู่ๆไมค์ก็หยุดเดินแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ติดใจฉันแล้วสิ?”

                    ผมไม่ทันตั้งตัวจึงได้แต่อ้าปากหวอกับคำถามและท่าทางของเขา แต่แล้วไมค์ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังลั่น

                    “Got ya!”

                    ผมทำหน้าเอ๋อๆ แต่แล้วก็หัวเราะตามเขาไป

                    “ล้อเล่น” เขาลากเสียงยาว แล้วก้าวเดินต่อ

                    “เออ ตกใจหมดเลย” ผมหัวเราะแหะๆ

                    “นายทำหน้าตลกดี” เขาทำหน้าล้อเลียน

                    ผมผลักไหล่เขาเบาๆ อายนิดหน่อยที่แว้บหนึ่งแอบคิดว่าไมค์พูดจริง

                    “แต่เราอยากให้นายไปด้วยจริงๆนะ ไปหลายๆคนน่าจะสนุกดี” ผมคิดยังงั้นจริงๆ คงเพราะไมค์เป็นคนสบายๆ คุยสนุก เขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ในต่างแดน

                    ไมค์ยักไหล่เบ้ปากน้อยๆ คงหมายถึงโอเคล่ะมั้ง

                    เราเดินมาถึงหน้าบ้านของผมก่อน เขายกมือลาแล้วบอกกู้ดไนท์ ก่อนจะเดินต่อไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่ลึกไปอีกหน่อย

                    จนป่านนี้ผมยังไม่เจอเพื่อนร่วมบ้านเลยสักคน ไมค์บอกว่าทุกคนทำงานร้านอาหารไทย เพราะฉะนั้นเมื่อวานที่ผมมา พวกนั้นยังไม่กลับ และเมื่อบ่ายที่ผมตื่นมา พวกนั้นก็ออกไปทำงานกันหมดแล้ว

 

                    ผมนึกขอบคุณไมค์ในใจ ถ้าไม่มีเขา ผมคงเคว้งคว้างน่าดู ...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The One You Love (& The ones who love you) #6 PETE
« ตอบ #9 เมื่อ: 24-04-2016 16:03:59 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

#7 [PETE]

 

                    วันเสาร์ผมกับไมค์ไปรอแบมที่ยูเนี่ยนสเตชั่น แบมสวมกระโปรงสั้น เสื้อกล้าม มีเสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับ และรองเท้าผ้าใบ ผมยาวรวบไว้เป็นหางม้า ผิวขาวเนียนแบบสาวเหนือเวลาถูกแดดยิ่งขาวผ่อง น่ามองมากๆ ผมรู้สึกปลื้มจนออกนอกหน้าที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้

                    “Hey!” ไมค์กระทุ้งสีข้างของผม ทำให้ต้องละสายตาจากแบม

                    “อะไร?” ผมหันไปถามเสียงดัง

                    “จะไปกันไหม?” เขายกมือท้าวเอว ส่วนแบมฟาดฝ่ามือที่ต้นแขนไมค์ แล้วเกี่ยวคอเขาให้เดินไปข้างหน้า

                    ผมยืนมองตามหลังทั้งสองคน สักพักแบมคงนึกได้ จึงหันกลับมา

                    “มาสิพีท” เธอคว้าข้อมือผมแล้วลากให้เดินตาม

 

                    พวกเราซื้อทัวร์ Hop-On, Hop-Off ที่สามารถขึ้นลงรถทัวร์ได้ตามใจทั้งวัน ตลอดเส้นทางจะมีจุดท่องเที่ยวที่สำคัญๆให้แวะเข้าชมหลายสิบแห่ง เราสามารถลงรถเพื่อเข้าชมและถ่ายรูป และถ้าจะไปที่อื่นก็แค่ออกมารอรถเที่ยวถัดไป

                    ที่เราเลือกซื้อทัวร์ เพราะไมค์สารภาพตามตรงว่าถึงเขาจะเกิดที่นี่ ก็ใช่ว่าจะเคยไปเที่ยวสถานที่พวกนี้ มันเหมือนกับเป็นความคุ้นเคย จึงไม่ได้สนใจจริงจัง ก็คงเหมือนผมเป็นคนเชียงใหม่ แต่ก็ไม่เคยขึ้นดอยอินทนนท์ทำนองนั้นล่ะมั้ง

 

                    หลังจากชมไวท์เฮ้าส์เสร็จแล้ว เรานั่งพักที่เก้าอี้ริมทางเท้า ได้น้ำดื่มและไอติมจากรถที่จอดขายอยู่ข้างทาง

                    “ร้อนมาก” แบมลากเสียงยาว ถอดเสื้อเชิ้ตออกมาผูกไว้ที่เอว ผมเปิดน้ำส่งให้ เธอรับไปยกขึ้นดื่ม แก้มแบมเป็นสีชมพูระเรื่อ มีเหงื่อเกาะตามหน้าผาก เธอส่งขวดน้ำคืนให้เมื่อดื่มเสร็จแล้ว ผมแกะไอสกรีมโคนส่งให้เธอ

                    “I’m melting” ไมค์บ่นพร้อมกับเลื้อยตัวลงบนเก้าอี้จนแทบจะลงไปกองกับพื้น

บ่นแล้วก็ยกไอติมแท่งรสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาดูด ทั้งหน้าผากและแก้มของเขาแดงแข่งกับสีไอติม ... ปากที่กำลังดูด   ไอติมนั่นก็แดง แดงกว่าปากแบมซะอีก ... แล้วผมจะมองปากไมค์ทำไม?

                    ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดประหลาดๆของตัวเอง ... อากาศคงร้อนเกินไป

                    “ไอจะตายอยู่แล้ว” ไมค์บ่นยานคาง

                    “ไหวไหมเนี่ย?” แบมชะโงกผ่านหน้าผมไปถาม

                    “หวาย” ไมค์ตอบยานคางหนักไปอีก

                    “เอางี้ละกัน วันนี้ถ้าจะไปให้ครบทุกที่คงไม่ไหว งั้นเราไปดูลุงลินคอล์นอีกที่ก็พอ” ผมออกความเห็น เพราะดูจากสภาพของคนข้างๆแล้วก็นึกสงสาร

                    “แต่เราเพิ่งไปได้ไม่กี่ที่เองนะ งี้ก็ไม่คุ้มสิ” แบมแย้ง

                    “ก็ดูเพื่อนแบมสิ” ผมพยักเพยิดให้ดูไอ้คนที่เลื้อยดูดไอติมอย่างอ่อนแรง

                    “ไมค์อย่ามาคุณหนู” แบมยื่นเท้าไปสะกิดเท้าของไมค์

                    “ใครคุณหนู? ไอยังหวาย” แม้เสียงจะยังอ่อยๆ แต่ไมค์ก็ยันตัวเองขึ้นมานั่งหลังตรง

                    “พวกกลัวแดดก็เงี้ย” แบมส่ายหน้า

                    “นายกลัวแดดเหรอ? ปกติฝรั่งชอบแดดกันจะตาย” ถึงไมค์จะไม่ใช่ฝรั่ง แต่ก็ใกล้เคียงล่ะผมว่า เพราะเขาเกิดและโตที่นี่ และบางทีก็อาจจะเป็นลูกครึ่ง ดูจากโครงหน้าที่คมกว่าคนเอเชียทั่วไป และผมสีน้ำตาลอ่อน หรือเขาย้อมผมก็ไม่รู้

                    “ไม่ได้กลัว แค่ไม่ชอบ” เขาลุกขึ้นยืน แล้วชวนทุกคน “ไปยัง?”

                    “เดี๋ยว ... เรายังกินไม่หมดเลย” แบมรีบกัดไอศกรีมของตัวเองจนทำให้เนื้อครีมเลอะที่ริมฝีปาก ผมจึงหยิบทิชชู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็ดให้ … ผมติดพกทิชชู่ในกระเป๋า เพราะแม่จะใส่ไว้ให้ประจำตั้งแต่ผมเข้าเรียนอนุบาล แม่บอกว่าถ้าทำเลอะเทอะเมื่อไหร่ให้หยิบขึ้นมาเช็ด

                    “I’m not here.” ไมค์ยักไหล่แล้วแกล้งหันไปมองถนน

                    “อย่ามา” แบมเตะไปที่เท้าของไมค์ ไมค์เตะคืนบ้าง

                    ผมนั่งมองทั้งสองคนขำๆ เขาสนิทกันจริงๆ ผมเองเวลาอยู่กับแบมยังไม่กล้าจะทำอะไรแบบนี้ อีกอย่างคงเพราะคนไทยไม่นิยมใช้เท้ากับคนอื่น เพราะมันดูไม่สุภาพ แต่ระหว่างแบมกับไมค์ คงหมายถึงความสนิทสนมเป็นพิเศษ

 

                    จุดหมายต่อไปของเราคือลินคอล์นเมโมเรียล เมื่อไปถึงก่อนจะเข้าไปทักทายลุงลินคอล์นอย่างใกล้ชิด ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน

                    ออกมาจากห้องน้ำ แบมกับไมค์ไม่ได้รออยู่ที่เดิม ผมจึงเดินตามหา

                    “แล้วเมื่อไหร่ยูจะบอกความจริงเขาซะที”

                    ผมเดินมาใกล้พอจะได้ยินเสียงของไมค์ถามแบมขึ้นมา ทั้งสองคนนั่งหันหลังให้กับผม

                    “ไม่รู้สิ ... สงสารเขา อุตส่าห์มาหาฉันถึงที่นี่”

                    ผมกำลังจะทัก แต่ต้องชะงักฝีเท้า เพราะเริ่มสงสัยว่าผมคือคนที่อยู่ในบทสนทนานี้ของพวกเขา

                    “แต่ถึงไม่บอก เขาก็น่าสงสารอยู่แล้วป่ะ?”

                    “อือ ... ฉันน่าจะบอกเขาตั้งแต่เขายังไม่มา”

                    “แต่เขาก็มาแล้วนี่ แล้วแกจะทำไงต่อล่ะ?”

                    “เห้อ” แบมถอนหายใจเฮือกใหญ่

                    “หรือจะปิดเอาไว้ รอจนเขากลับแล้วค่อยบอก”

                    “ก็คิดว่าคงยังงั้น พีทเขาไม่ผิดอะไร ฉันไม่อยากให้เขาเสียใจ”

                    “ใช่ เขาไม่ผิดอะไร คนที่ผิดคือแกน่ะแหละ”

                    “ฉันรู้ แต่ ...”

                    “แต่แกก็นอกใจเขาไปแล้ว แล้วยังปล่อยให้เขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาถึงที่นี่”

                    “แกจะตอกย้ำฉันทำไมอีกเนี่ย เป็นเพื่อนกันป้ะ?” แบมเอียงซบบนไหล่ของไมค์

                    ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว ก้าวขาไม่ออก บทสนทนาเมื่อสักครู่ก้องอยู่ในหัว

                    “ทำไมพีทไปนานจัง หรือจะหาพวกเราไม่เจอ” ไมค์หันซ้ายหันขวา แล้วก็หันมาเจอผมที่ยืนบื้ออยู่ด้านหลัง ห่างจากที่พวกเขานั่งอยู่ไม่กี่ก้าว

                    ไมค์อ้าปากค้าง ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างออกมา

                    ผมส่งยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้า ผมไม่อยากให้แบมรู้ว่าผมได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนั้นแล้ว เขาจึงถอนหายใจแล้วหันกลับไป ผลักหัวของแบมออกจากไหล่

                    ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เดินเข้าไปหาพวกเขา

                    “มานั่งอยู่นี่เอง หาตั้งนาน” ผมฝืนยิ้ม

                    “อ๊ะ พีท โทษที เห็นว่าตรงนี้ลมเย็นดีก็เลยมานั่งรอ หายไปไหนตั้งนาน แบมนึกว่าพีทหนีกลับไปซะแล้วเนี่ย” แบมพูดขำๆ

                    “อือ พีทว่าจะชวนกลับแล้วล่ะ” แต่ผมอยากกลับจริงๆ

                    “อ้าว ทำไมล่ะ ยังไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปข้างในเลยนะ” เธอลุกขึ้นยืน ฉุดให้ไมค์ลุกขึ้นตาม

                    “ปวดท้องน่ะ”

                    “อ๋อ ที่หายไปนานๆนี่อยู่ในห้องน้ำเหรอ?”

                    “ใช่” ผมพยักหน้าช้าๆ

                    “ไหวไหม?” เธอยื่นมือมาจับมือผม “พีทมือเย็นจัง”

                    “ก็โอเค แต่คงไปเดินต่อไม่ไหวแล้วล่ะ พีทว่าน่าจะกลับเลยดีกว่า”

                    “ไม่ไหวก็กลับเหอะ” ไมค์พูดขึ้น

                    “เอางั้นเหรอ?” แบมมองหน้าพวกเรา

                    ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

 

                    พวกเราแยกทางกันที่สถานีเดิม แบมถามว่าพรุ่งนี้ผมอยากไปไหน แต่ยังไม่ทันได้ตอบ ไมค์ก็พูดขึ้นมาว่าที่บ้านเขาจะไปวัด จะพาผมไปด้วย

 

                    ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งผมและไมค์ เราต่างนั่งกันเงียบๆ แม้ขณะที่พวกเราเดินอยู่ในซอย ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปากออกมาแม้แต่คำเดียว

                    ผมจุกแน่นในอก ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในหัวมันเหมือนสับสน แต่บางทีก็เหมือนมันว่างเปล่า

                    เราเดินมาถึงหน้าบ้านของผม มีใครคนหนึ่งนั่งเล่นกีตาร์อยู่หน้าบ้าน

                    “ไมค์ ไปไหนมา?” ใครคนนั้นทักขึ้น

                    ไมค์ยกมือทักทายก่อนตอบ “ดีซี ... ไม่ทำงานเหรอพี่?”

                    “เนี่ยเซ็งอยู่ ถูกขอตารางให้เด็กใหม่ แม่งเย็นวันเสาร์ด้วย บีซี่น่าดู” เขาวางกีตาร์พิงไว้ที่ผนังข้างประตู

                    “อ้อ ... นี่พีท เจอกันยังฮะ” ไมค์หันมาทางผม “นี่พี่เนส อยู่ห้องข้างบนกับนาย” เขาแนะนำต่อ

                    “ยังเลย พี่นึกว่ายังไม่มา เห็นห้องเงียบๆ”

                    “นายไปอยู่ไหนมา ทำไมพี่เขายังไม่เจอ” ไมค์มองหน้าผมด้วยความสงสัย

                    “...” จะบอกได้ไงว่าผมนอนทั้งวี่ทั้งวัน ตื่นมาก็ไม่เห็นคนในบ้านสักคน

                    “อ้าวไมกี้ มาพอดีกินเหล้ากัน” ใครอีกคนเดินออกมาจากในบ้าน

                    “แต่วันเลยเหรอพี่จิว?” ไมค์หัวเราะหน่อยๆ ดูเขาสนิทสนมกับทุกคนเป็นอย่างดี แต่ก็คงไม่แปลก เพราะเขาเป็นเจ้าของบ้าน

                    “น้องพีทเหรอ?” คนชื่อจิวหันมาทักทาย ผมยกมือไหว้

                    “มาๆ พอดีเลี้ยงต้อนรับ” พี่จิววางแก้วที่หนีบมา 2 ใบ อีกมือถือถังใส่น้ำแข็ง วางลงข้างๆขวดเหล้าและโซดาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก่อนแล้ว

                    “น้องเขากินเป็นไหมเหอะ” พี่เนสเป็นคนพูด

                    “เออว่ะ หน้าตาคุณหนู” พี่จิวสนับสนุน

                    “แต่อย่าประมาท ไอ้คุณหนูจริงๆอย่างไมกี้นี่ก็ ...”

                    “อะไรพี่?” ไมค์ขัดขึ้นก่อนที่พี่เนสจะพูดจบ

                    จริงๆผมเคยกินเบียร์ แอบไปกินกับเพื่อนตอนปิดเทอม เพื่อนๆมันท้า มันว่าผมเป็นลูกแหง่และเป็นคุณหนู ผมก็เลยต้องกินเพื่อลบคำสบประมาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอีก เพราะแม่เคยขอเอาไว้ว่าถ้าอยากกิน ก็รอให้โตเป็นผู้ใหญ่ รับผิดชอบตัวเองได้เสียก่อน ... ผมไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเสียฟอร์ม เพราะไมค์กำลังมองหน้าผมแล้วยิ้มที่มุมปาก

                    “กินเป็นครับ” ผมโกหก

                    “ดีๆ จิวเอาแก้วมาให้น้อง” พี่เนสหันไปใช้พี่จิวที่กำลังแกะห่อมันฝรั่ง

                    “เอาไว้วันหลังนะพี่ พรุ่งนี้ต้องไปวัดกับคุณย่า จะพาพีทไปด้วย” ไมค์ปฎิเสธอย่างรวดเร็ว ... ผมนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ เพราะถ้าเป็นผมคงนึกไม่ออกว่าจะหาทางเลี่ยงยังไง

                    “เหรอ เออน่าเสียดาย แต่เอาไว้วันหลังก็ได้” ถึงจะพูดว่าเสียดาย แต่พี่เนสก็ไม่ได้ทำหน้าจริงจังอย่างคำพูด

                    “เดี๋ยวฉันขึ้นไปข้างบนด้วย” ไมค์พาดแขนลงบนไหล่ของผม

                    ผมยังไม่ทันตอบว่ายังไง เขาก็ดันให้เดินเข้าไปในบ้าน

                    หลังจากปิดประตูห้อง ไมค์เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ส่วนผมลากเก้าอี้ที่อยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงมานั่ง ... นี่ใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่?

                    “ถ้ากินนี่ยาวแน่” เขาดันตัวขึ้นมานั่ง “พวกนั้นคอแข็ง”

                    “ได้ข่าวว่านายก็ไม่เบานี่” ผมเดาจากคำพูดของพี่เนส

                    “นายเชื่อ?” ไมค์ยันแขนกับที่นอน เอนตัว เอียงคอมองหน้าผม

                    ไมค์เป็นคนหน้าตาดี หรือจะพูดอีกทีก็คือหล่อมาก ผมว่าถ้าไมค์ไปเดินแถวพารากอน อาจมีแมวมองมาทาบทามเข้าวงการ

                    “เฮ้ย!” ผมร้องด้วยความตกใจ จู่ๆไอ้คนที่ผมเพิ่งชมอยู่ในใจก็ถีบเท้าเข้าที่หน้าแข้งของผม

                    “ถามไม่ตอบ”

                    “ว่า?” เขาถามผมว่ายังไงนะ

                    “ช่างเหอะ” เขาส่ายหน้าอย่างระอา “ว่าแต่นายโอเคนะ?”

                    ใจผมชาวาบเมื่อได้ฟังคำถามนี้ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมากระทันหันของไมค์ หรือเพราะสมองของผมเพิ่งเริ่มทำงาน และบทสนทนาระหว่างแบมกับไมค์เมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่แล้วก็เริ่มรีรันในหัว

                    “...”

                    “พีท”

                    “...”

                    “แบมเขาไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนายนะ”

                    “...”

                    “เขาแค่ยังไม่รู้จะบอกนายยังไง”

                    “...”

                    “เห้อ ... ถ้านอนไม่หลับให้กินนมอุ่นๆนะ ไมโครเวฟอยู่ในครัว พรุ่งนี้ตื่นแล้วจะโทรมาปลุก”

 

                    ไมค์ออกไปจากห้องนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ แต่ผมยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ...

                    ผมยอมเปลี่ยนอนาคตของตัวเองจากวิศวกรมาเป็นหมอ เพียงเพื่อจะได้มาเจอหน้าแบม พ่อกับแม่ต้องหมดเงินไปไม่รู้กี่แสนเพื่อให้ผมอยู่ที่อเมริกาได้เป็นเดือน ... เพียงเพราะผมอยากใช้เวลากับแบมให้นานที่สุด ... ผมโง่มากใช่ไหม?

 

                    ผมลูบหน้าตัวเอง ... ทำไมถึงเพิ่งคิดได้ในนาทีนี้ ... นาทีที่ไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2016 15:49:44 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #7]
«ตอบ #11 เมื่อ25-04-2016 15:34:42 »

พีทเชิดใส่ชะนีเถอะลูก :z6:

ปล. ยัยแบม ไปเมกานะไม่ใช่ไปเซเว่น เอาไว้บอกทีหลังได้ด้วย  :beat:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #7]
«ตอบ #12 เมื่อ25-04-2016 18:48:56 »

พีทเชิดใส่ชะนีเถอะลูก :z6:

ปล. ยัยแบม ไปเมกานะไม่ใช่ไปเซเว่น เอาไว้บอกทีหลังได้ด้วย  :beat:

ชะนีคงไม่มีที่ยืนมังคะในเรื่องนี้  :hao3:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #8]
«ตอบ #13 เมื่อ25-04-2016 22:01:33 »

ตอนที่ 8 เรายังอยู่เป็นกำลังใจให้น้องพีทกันไปอีกสักตอนนะคะ / MissDaisy




#8 [PETE]

 

                    แบมส่งไลน์มาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมตอบไปสั้นๆแค่ว่าโอเค และบอกไปว่ากำลังจะนอนแล้ว เธอจึงไม่รบกวน ผมบอกพ่อกับแม่ไปด้วยข้อความเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง ผมกำลังนอนลืมตามองฝ้าเพดานท่ามกลางความมืดสลัวของค่ำคืนอันยาวนาน

                    เสียงเพลงจากกีตาร์ของพี่เนสดังขึ้นเป็นระยะ และเงียบหายไปในที่สุด ... ผมพยายามข่มตาแต่ไม่สำเร็จ

 

                    เมื่อรับรู้ถึงแสงของยามเช้าที่ลอดผ่านช่องว่างของม่านหน้าต่าง ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำโดยไม่ต้องรอโทรศัพท์ปลุกจากไมค์ เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วจึงส่งไลน์ไปบอก สักพักเขาก็ส่งข้อความกลับมาว่าให้เดินไปหาที่บ้าน

                    ผมต้องเดินผ่านบ้าน 2-3 หลัง ก่อนจะถึงบ้านของไมค์ เดาว่าบ้านทั้งหมดในบริเวณนี้น่าจะเป็นบ้านที่เขาทำไว้เพื่อให้เช่า เพราะทุกหลังมีหน้าตาคล้ายกัน ยกเว้นแต่บ้านของไมค์ที่ดูจะมีรูปทรงที่สวยงามกว่าหลังอื่นๆ

 

                    คุณย่าของไมค์ท่าทางใจดี ท่านชอบทำบุญ ทุกครั้งที่ไปวัดจะต้องลากไมค์ไปด้วย คงเพราะเขาเป็นหลานชายคนเดียวของท่าน

                    ผมได้เห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ของไมค์ตอนท่านออกมาช่วยยกอาหารและของไปทำบุญขึ้นรถ ไม่เห็นมีใครเป็นฝรั่งสักคน แต่ทำไมไมค์ถึงมีหน้าตากระเดียดไปทางลูกครึ่งก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะเกิดและโตที่นี่ เลยถูกเชื้อฝรั่ง ออสโมซิส

                    คุณย่าของไมค์มีลูก 2 คน คนโตคือพ่อของไมค์ และคนเล็กคือน้าเจนี่ ที่เป็นคนขับรถให้พวกเราในวันนี้

 

                    พอขึ้นรถปุ๊บทั้งคุณย่าและน้าเจนี่ก็ซักประวัติผมยกใหญ่ พอผมบอกว่าเป็นคนเชียงใหม่ คุณย่าก็แสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก ท่านบอกว่าครอบครัวของท่านมาจากเชียงตุง ท่านแต่งงานแล้วย้ายตามสามีมาอยู่ที่อเมริกา ซึ่งก็คือคุณปู่ของไมค์ แต่คุณปู่ก็เสียไปตั้งแต่วัยหนุ่มด้วยโรคมะเร็ง ... นี่คือทั้งหมดที่สมองของผมรับมา อาจจะตกหล่นไปพอสมควร เพราะตอนนี้ข้างในมันโหวงเหวงสิ้นดี รู้สึกปวดท้ายทอยหนึบๆ คงเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับเอาซะเลย นี่ก็เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วที่ผมแทบไม่ได้หลับในเวลากลางคืน

                    คุณย่าหันมาถามอะไรสักอย่างกับผม ... เรื่องเชียงตุงกับเชียงใหม่ ... ในขณะที่ผมกำลังจะตอบแบบเดาสุ่มออกไป เสียงของคนที่นั่งข้างๆตรงเบาะหลังก็พูดขึ้นมา

                    “คุณย่า พีทยังเจ็ทแล็กอยู่เลย ให้เขานอนเถอะค้าบ”

                    “ยังเจ็ทแล็กอยู่อีกเหรอ มาได้กี่วันแล้วน้องพีท” เสียงน้าเจนี่แว่วเหมือนดังมาแต่ไกล

                    “เกือบ 10 วันแล้วครับ” หรือเกินกว่านั้น แต่ตอนนี้ถ้าให้นับวัน คงเป็นงานยากเกินไปสำหรับสมองของผม

                    อยู่ที่บ้านน้าติ๊กผมไม่พยายามปรับตัวเลยสักนิด ผมนอนกลางวันแล้วตื่นกลางคืน เพราะไม่ได้ออกไปไหน น้าติ๊กและสามีออกไปทำงาน ทีน่าก็ไปโรงเรียน เพราะฉะนั้นผมที่อยู่บ้านคนเดียว จึงไม่มีใครมารบกวน

                    “งั้นหลับเถอะลูก อีกนานกว่าจะถึง ร่วมๆ 2 ชั่วโมง” คุณย่าหันมาบอก

                    คนข้างๆยัดหมอนรูปสตรอว์เบอร์รี่ใส่ตักผม ... ผมยกหมอนขึ้นมากอด หลับตาลง ในหัวยังอื้ออึง

                    แล้วอยู่ๆสตรอว์เบอร์รี่ก็ถูกแย่งไปจากอ้อมกอด ผมถูกดันตัวเข้าไปชิดประตูรถ หัวถูกผลักให้เอียงโดยมีหมอนนุ่มๆรองรับ ผมเหลือบหางตามองคนที่จัดแจงทุกอย่างโดยไม่คิดจะขัดขืน อยากเอ่ยปากขอบคุณออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะพอเขาจัดท่านอนให้เสร็จ เขาก็หันกลับไปสนใจเกมบนมือถือต่อโดยไม่พูดอะไร ... ใช้เวลาเพียงไม่นาน ร่างกายของผมก็เหมือนถูกกดปิดสวิตช์

 

                    “ถึงแล้ว” เสียงของไมค์ดังข้างๆหู หมอนสตรอว์เบอร์รี่ถูกดึงออก หัวผมจึงกระแทกกับกระจกรถดังโป๊ก

                    ผมลืมตางัวเงีย ไมค์กำลังก้าวออกไปนอกรถ ผมเปิดประตูตามออกไป ตอนนี้หัวยังมึนๆ แต่ดีกว่าเมื่อสักครู่พอสมควร คงเพราะได้หลับสนิท แม้จะไม่นานเท่าไหร่

                    น้าเจนี่ปล่อยพวกเราลงตรงหน้าโบสถ์ แล้วขับรถไปจอดไว้ตรงลานจอดรถที่ห่างออกไปเล็กน้อย

                    คนมาวัดถือว่าเยอะพอสมควร ต่างคนต่างยกมือไหว้ทักทาย ผมกับไมค์ยกอาหารเข้าไปไว้ในครัว ส่วนของที่คุณย่าจะถวายพระก็ยกไปไว้ในโบสถ์

                    ไมค์เล่าว่าวัดนี้เป็นวัดลาว คือคนลาวมาตั้งขึ้น แต่พระที่มาอยู่ที่นี่ก็มีทั้งพระไทยและพระลาว และคนที่มาวัดก็มีทั้งคนไทยและคนลาว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนลาว คุณย่าชอบมาวัดนี้ ท่านว่าให้ความรู้สึกเหมือนวัดที่เมืองไทย เพราะสิ่งก่อสร้างก็ไม่ได้ดัดแปลงไปจากต้นแบบ เสียอย่างเดียวคือไกลไปสักหน่อย ขับรถก็ราวๆสองชั่วโมง

                    พิธีการก็คล้ายวัดที่เมืองไทย จะมีแตกต่างนิดหน่อยตรงที่พระท่านจะนั่งฉันบนเก้าอี้แทนนั่งกับพื้น อาหารต่างๆก็จะเรียงไว้บนโต๊ะ หรือวัดที่ไทยจะมีแบบนี้แล้วก็ไม่รู้ แต่ตัวผมเองยังไม่เคยเห็น

                    ใครต่อใครก็เข้ามายกมือไหว้ ทักทายคุณย่า และหันมาชมไมค์ว่าหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ ไมค์เองก็ยิ้มสงบเสงี่ยม ยกมือไหว้ขอบคุณได้อย่างนอบน้อม ช่างผิดจากเวลาที่อยู่กับผมอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ

                    มีบางคนถามว่าผมเป็นลูกใคร ไม่เคยเห็นหน้า คุณย่าเลยบอกไปว่าผมเป็นหลานชายคนใหม่ เพิ่งส่งตรงมาจากเมืองไทย

                    “แหม หล่อทั้งคู่เลยนะคะ” คุณป้าที่ไว้ผมมวย นุ่งผ้าซิ่นกับเสื้อลูกไม้เอ่ยชมพวกเรา แถมยังลูบแขนผมไม่วางมือ

                    ไมค์ยกมือไหว้ขอบคุณ ผมทำตามบ้าง

 

                    หลังจากที่พระฉันเสร็จ คนที่มาวัดก็จะกินข้าวร่วมกัน ไมค์ถามว่าจะกินไหม ผมมองสำรวจอาหารแล้วก็ส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าจะกินอาหารวัดไม่ได้ แต่เป็นเพราะอาการของผมตอนนี้ ทำยังไงก็คงกินอะไรไม่ลง

                    “งั้นออกไปเดินข้างนอกไหม? ด้านข้างมีสระบัว” ไมค์ชวน แล้วเดินไปบอกคุณย่าว่าพวกเราจะออกไปนั่งรอที่ศาลาข้างนอก

                    ผมลุกเดินตามไมค์ด้วยอาการสะโหลสะเหล

                    แดดยามสายสว่างจ้า ทำเอาตาพร่าจนต้องหรี่ตาลง ตรงสระบัวมีศาลาเล็กๆ และต้นไม้ใหญ่อยู่ริมสระ

                    “นอนหลับบ้างไหมเมื่อคืน?” ไมค์ถามขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้ามานั่งในศาลาที่ทำเป็นม้านั่งโดยรอบ

                    “ไม่เลย ... ดูสภาพดิเนี่ย” ผมทุบท้ายทอยที่เริ่มปวดหนึบๆ

                    “คิดเรื่องแบมเหรอ?”

                    “... เปล่า” ผมโกหก

                    ไมค์มองหน้าผมนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร หรือเขากำลังคิดว่าผมโกหกได้ไม่เนียนเอาเสียเลย

                    “งั้นคงเพราะเจ็ทแล็กแหละ กลางคืนนายต้องพยายามนอนให้หลับ กลางวันง่วงก็ต้องฝืนไม่นอน อีกสักอาทิตย์ก็ปรับตัวได้” เขาแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ

                    “พอปรับตัวได้ก็ถึงเวลากลับเมืองไทยพอดี” เพราะนี่ก็ปาเข้าไปอาทิตย์ที่ 2 แล้วที่ผมอยู่ที่อเมริกา

                    “ไหวไหมเนี่ย?” เขาดีดนิ้วที่หน้าผากดังแป๊ะ … ผมไม่มีเรี่ยวแรงจะโวยวาย

                    “คิดว่าไหวไหมล่ะ? ทฤษฏีไม่ให้นอนช่วงกลางวันของนายคงไม่ได้ผล” ผมแหงนหน้าเอาหัววางบนพนักพิง

                    “เออ งั้นนอนเหอะ”

                    พูดแล้วเขาก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม ผมจึงนอนเอนหลังยาวเหยียด ลมพัดเอื่อยๆทำให้เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง

 

“ฮ่าๆๆๆ” ผมที่เป็นเด็กตัวเล็กๆหัวเราะอย่างมีความสุข วิ่งไปรอบๆสวนที่มีดอกไม้เบ่งบานสีสันละลานตา

“พี่ถ่ายรูปแมลงปอตัวนี้ด้วย” ผมกวักมือเรียกคนที่กำลังนั่งยองๆ จ่อกล้องถ่ายรูปอยู่กับดอกไม้ ... เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้กับผม ...

 

                    “คุณย่าออกมาแล้ว” ผมรู้สึกโดนตบที่แก้มเบาๆ ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภาพที่มองเห็นคือเพดานไม้ที่ดูไม่คุ้นตา ... ผมอยู่ที่ไหน?

                    “ลุกได้แล้ว” เสียงของไมค์

                    ผมลุกขึ้นนั่งช้าๆ สมองประมวลเหตุการณ์ ... ผมอยู่ที่วัดในอเมริกา และคนที่ยืนอยู่ข้างๆคือไมค์ หลานชายเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่ ...

                    “เอ๊า ทำหน้างง” เขาวางมือบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ

                    ผมจับมือเขาออก ลุกขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ รู้สึกหัวโล่งขึ้นมาบ้าง

                    “คุณย่าเสร็จแล้วเหรอ?” ผมมองไปทางโบสถ์ คุณย่าของไมค์กำลังยืนคุยกับคนกลุ่มหนึ่ง

                    “น่าจะ ... ไปเถอะ” ไมค์เดินนำออกไปจากศาลา ผมเดินตาม

                    คุณย่าคงกำลังร่ำลากับบรรดาคนรู้จัก ท่านยกมือรับไหว้ แล้วคนที่คุยด้วยก็เดินแยกไปขึ้นรถ

                    น้าเจนี่วานให้ผมกับไมค์กลับเข้าไปในครัวเพื่อเก็บอุปกรณ์ที่เราใส่อาหารมาเมื่อเช้า

                    ขณะที่ผมกับไมค์กำลังเก็บของใส่ตะกร้า เสียงคุณย่าที่อยู่ข้างนอกก็ทักทายกับผู้คนไม่ขาดปาก

                    “สงสัยจะไม่ได้กลับง่ายๆ” ไมค์กลอกตา

                    “คุณย่านายป๊อบน่าดู” ผมยังหาตลับที่ใส่ผลไม้ไม่เจอ

                    ไมค์หัวเราะ “ครบยัง?”

                    “ยัง ... หาตลับไม่เจอ ... อ้ะ เจอละๆ” มีคนหวังดี เอาไปล้างแล้วคว่ำไว้รวมๆกับจานชามของวัด

                    เราเดินออกมาเจอฉากไหว้ร่ำลาของคุณย่าอีกครั้งเหมือนกดรีเพลย์ ... คุณย่ายกมือรับไหว้ แล้วคนที่คุยด้วยก็เดินแยกไปขึ้นรถ

                    น้าเจนี่บอกว่าจะไปขับรถมาจอดที่นี่ คุณย่าจะได้ไม่ต้องเดิน พวกผมที่ถือข้าวของเต็มมือจึงยืนรอเป็นเพื่อนคุณย่า

                    “เอ๊า ตายจริง ย่าว่าจะแบ่งสายสิญจน์ให้เขาเสียหน่อย ลืมซะได้ ไมค์เอาไปให้พี่เขาหน่อยสิลูก เร็วๆ เดี๋ยวพี่เขาออกรถไปก่อน” คุณย่าหยิบเชือกสีเหลืองที่ถักเป็นสร้อยข้อมือออกมายื่นให้ไมค์ แต่ไมค์กำลังอุ้มหม้อแกงใบใหญ่ ผมที่ถือตะกร้าแค่มือเดียว จึงอาสาเอาไปให้แทน

                    ผมก้าวเท้ายาวๆตาม ...

                    “เดี๋ยวฮะ คุณย่าให้เอาของมาให้” ผมเรียกเอาไว้ เพราะคนหนึ่งเข้าไปนั่งในรถแล้ว ส่วนอีกคนกำลังจะเปิดประตู

                    คนที่กำลังจะเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเรียกของผม เขาชะงักและหันหน้ากลับมา ...

                    แดดยามสายสว่างจ้า ทอดแสงลอดผ่านเงาไม้ลงมากระทบกับใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม ... ใบหน้าขาวเรียวเล็ก คิ้วดกเข้ม ดวงตายาวรี จมูกแหลมเป็นสัน และริมฝีปากแดงเป็นรูปกระจับ ผมยาวดำมันขลับถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย …

                    ผมหยีตาแล้วยกมือข้างที่ถือสายสิญจน์บังแดดที่ส่องลงมา ผมอาจตาพร่าเพราะความจ้าของแสงระยิบระยับเหนือหัว หรือเพราะความฝันเมื่อสักครู่ ทำให้ผมมองเห็นเขาคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้า

                    ผมเอามือลง และมองภาพเบื้องหน้าให้เต็มตาอีกครั้ง ... มันยังคงชัดเจน ... ภาพของคนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าในขณะนี้ ดึงให้ภาพที่อยู่ในความทรงจำของผมย้อนกลับมาเหมือนหนังที่กำลังฉายซ้ำ …

 

                    ภาพของเด็กชายวัย 8 ขวบและพี่ชายผมยาว ... ในงานพืชสวนโลกปีนั้น ...

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you)
«ตอบ #14 เมื่อ25-04-2016 23:13:11 »

เพิ่งสังเกตชื่อเรื่อง

แสดงว่านางเอกมีชายมากกว่าหนึ่งมารุมรักนี่เอง อิอิ :hao3:


ก็ทำนองนั้นล่ะค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #9]
«ตอบ #15 เมื่อ26-04-2016 23:38:15 »

พีทได้พบกับคนที่อยู่ในฝันของเขามานาน เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนะ? ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามอ่านนะคะ แค่คนสองคน คนเขียนก็ปลื้มแล้วค่ะ ^^ / MissDaisy





#9 [PETE]



                    “มีอะไร?” เสียงของใครสักคนเรียกสติให้กลับคืนมา ผมหันไปตามเสียงนั้น คนที่อยู่ฝั่งคนขับเดินอ้อมรถมาหยุดยืนข้างๆคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ...

                    “คุณตองนวลให้หลานเอาของมาให้”

                    “แล้วยังไม่ได้เหรอ เห็นยืนกันอยู่ตั้งนาน ... ของอะไรเหรอครับน้อง?” คนตัวสูงกว่าคุยกับคนข้างๆ แล้วหันมาถามผม

                    ผมคิดได้จึงยื่นสร้อยข้อมือสองเส้นที่กำเอาไว้จนแน่นให้กับเขา

                    “สายสิญจน์น่ะ” เขามองของในมือแล้วยื่นส่งให้คนผมยาว

                    “ฝากบอกท่านด้วยนะว่าขอบคุณมาก” พูดแล้วก็อ้อมกลับไปฝั่งคนขับ เปิดประตูเข้าไปนั่ง ส่วนอีกคนก็ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ แล้วเปิดประตูรถตามเข้าไป สักครู่รถคันนั้นก็วิ่งไปตามทางเล็กๆ ผมมองตามจนพวกเขาเลี้ยวออกประตูลับตาไป

                    “Hey!” ผมสะดุ้ง หันขวับไปตามที่มาของเสียง ...

                    ไมค์กำลังยืนกอดอกจ้องหน้าผม “ยูรู้จักพวกเขาหรือไง?”

                    “เปล่า?” ผมส่ายหน้าพรืด

                    “แล้วยืนทำอะไรอยู่ตั้งนาน” เขาถามพลางหันหลังกลับ เดินตรงไปยังรถที่สตาร์ทเครื่องรออยู่

                    ผมเดินตามหลังไมค์ แต่ใจกลับลอยไปกับคนในรถคันที่เพิ่งขับออกไป

                    “คนรู้จักเหรอลูก?” คุณย่าถามขึ้นเมื่อพวกเราเข้ามานั่งในรถ

                    “เปล่าครับ” เขาไม่ใช่คนรู้จักของผม ...

                    “อ้าว ... น้าเห็นยืนมองหน้ากันอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะมีเรื่องกันซะแล้ว” น้าเจนี่เอ่ยปนหัวเราะ

                    “ไม่รู้จักครับ” ผมย้ำอีกครั้ง

                    “นั่นเมเนเจอร์ร้านเฮียคิดไม่ใช่เหรอคะ?” น้าเจนี่หันไปถามคุณย่า

                    “ใช่ๆ เห็นว่าคิดแอ็พพลายกรีนการ์ดให้ด้วยนะ ... เจนี่เปิดแผ่นนี้ให้แม่ฟังซิ” คุณย่ายื่นแผ่นซีดีให้น้าเจนี่

                    “แสดงว่าเป็นคนโปรด ... แผ่นอะไรคะคุณแม่?” น้าเจนี่รับแผ่นซีดีใส่เข้าไปในช่องเล่นแผ่น

                    “บทบรรยายธรรมะ หลวงพ่อเพิ่งให้มา ... ปิงเขานิสัยดี แต่พูดน้อย แม่เจอที่วัดหลายหนแล้ว”

                    ปิง ... คุณย่าคงหมายถึงพี่ผมยาว หรือจะเป็นอีกคนที่มาด้วยกัน ซึ่งดูคุ้นตาผมมาก แต่ไม่น่าใช่คนเดิมที่เคยเจอ เพราะถ้าเป็นคนนั้น น่าจะดูมีอายุมากกว่านี้

                    “นายไม่รู้จักแล้วไปยืนจ้องหน้าเขาทำไมตั้งนาน” ไมค์หันมาถามผมด้วยเสียงเบาคล้ายกระซิบ ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากให้คุณย่าและน้าเจนี่ได้ยิน ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้คุณย่าน่าจะหันไปสนใจกับบทบรรยายธรรมะเสียแล้ว

                    “... เพราะเราคิดว่าเรารู้จัก” ผมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถ

                    “แล้วตกลงรู้จักไหมล่ะ?”

                    ผมส่ายหน้า ... ผมไม่รู้จักเขาคนนั้นเลยสักนิด เขาเป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ผมเคยเจอเพียงครั้งเดียว ... ถ้าไม่นับรวมในความฝัน ...

                    “อะไรของนาย” ไมค์พึมพำ น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย ... ผมหันกลับมามองหน้าเขา

                    “ถ้านายเคยเจอใครสักคนตอนที่นายยังเด็ก แล้วเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี นายคิดว่านายจะยังจำเขาได้ไหม?” ผมตั้งคำถามแทนคำตอบ

                    ไมค์จ้องตาผมสักครู่ก่อนตอบ “มันคงขึ้นอยู่กับว่าใครคนนั้นน่าจดจำแค่ไหน”

                    “อืม ... ของีบอีกหน่อยนะ” ผมหยิบหมอนสตรอว์เบอร์รี่ที่วางอยู่ระหว่างเราสองคนขึ้นมาแนบกระจก เอียงตัวลงพิงแล้วหลับตา

                    “What!?” ไมค์กระแทกขาเข้ากับเข่าผม

                    “…”

                    “เออ ช่างเหอะ” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ

                    ผมรู้ว่ามันแย่ที่ตัดบทสนทนาไปดื้อๆแบบนี้ แต่จะให้บอกกับไมค์ว่ายังไง ในเมื่อคนที่ผมเพิ่งเจอหน้าเมื่อไม่ถึง 10 นาทีที่แล้ว เป็นคนที่ผมเคยเจอเมื่อ 10 ปีก่อน และมันก็เป็นเพียงแค่การเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ผ่านไป ... ผมจะไปบอกใครได้ว่าผมไม่เคยลืมเขาคนนั้นอีกเลย ...

                    เสียงบรรยายธรรมะและเสียงดนตรีประกอบเย็นๆ ดังมาจากตอนหน้าของรถ ช่างเป็นบทกล่อมที่วิเศษที่สุดสำหรับผมในเวลานี้ ...

 

                    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมช่วยไมค์เก็บข้าวของลงจากรถแล้วขอตัวกลับมาที่ห้องของตัวเอง

                    มีข้อความไลน์จากพ่อกับแม่ กลุ่มเพื่อนสนิท และแบม ตอนอยู่ที่วัดผมปิดเสียง และก็ลืมเปิดจนถึงตอนนี้

                    แบมส่งรูปที่พวกเราไปเที่ยวในดีซีเมื่อวานมาให้ ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ แต่เธอยังคงคุยและทักทายมาเหมือนทุกวัน ... แบมคงพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม แม้ในใจเธอไม่เหมือนเดิมมานานแล้ว และต่อไปนี้ ผมเองก็คงเช่นกัน

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ขอบคุณและรูปวัดอีก 2 รูปไปให้ แต่ไม่ได้มีข้อความใดๆกลับไป ...

                    ผมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังเรื่องไปวัดกับครอบครัวของไมค์ และส่งรูปเดียวกันที่ส่งให้กับแบม แม่ดูจะตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ครอบครัวของไมค์มาจากเชียงตุง แม่บอกว่าสบายใจที่รู้ว่าผมได้ไปอยู่กับคนบ้านใกล้เรือนเคียง ผมไม่รู้ว่าเชียงใหม่กับเชียงตุงนี่เป็นเพื่อนบ้านกันยังไง

                    ส่วนพวกเพื่อนๆในแก๊งก็เฮฮาไร้สาระไปตามเรื่อง ไอ้ม่อกบอกให้ห่อฝรั่งผมทองไปฝากมันด้วย

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมกำลังขยับตัวจะลุกจากเตียง แต่ก็ช้ากว่าคนข้างนอกที่ถือวิสาสะเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยยังไม่ทันได้รับคำอนุญาต ต่อไปคงต้องล็อกประตูให้ติดเป็นนิสัย

                    “หลับอยู่ป่าว?” ไมค์เดินมานั่งที่เก้าอี้

                    “เปล่า” ผมเขยิบตัวมานั่งพิงผนัง

                    “ดีมาก ... อ่ะ คุณย่าให้เอาแซนด์วิชมาให้” เขายื่นซองพลาสติกใสที่บรรจุแซนด์วิชอัดมาจนแน่น

                    “คุณย่าใจดีจัง ฝากขอบคุณท่านด้วยนะ” ผมรับมาเปิดออกแล้วหยิบใส่ปากทันที “กำลังหิวเลย”

                    “แบ่งมั่งดิ” ไมค์ยื่นมือมาขอ

                    “นี่คุณย่าให้เรา” ผมทำท่าหวง

                    “ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ” เขายังแบมือรอ

                    “ก็แล้วทำไมนายไม่กินที่บ้านนายล่ะ?” แทนที่จะตอบคำถาม ไมค์กลับกระโดดขื้นมานั่งบนเตียงข้างๆผม คว้าแซนด์วิชที่ผมกัดแล้วในมือ ยัดเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ

                    ผมเหวอไปเลย

                    “นมหมดหรือยัง?” เขาหันมาถามหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ยังเคี้ยวแซนด์วิชเต็มปาก ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของผมเลยสักนิด

                    “ยัง” ผมหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ออกมาจากถุง รีบยัดเข้าปากเพราะกลัวจะโดนแย่งไปอีก

                    “งั้นขอหน่อยดิ” เขาล้วงมือไปหยิบแซนด์วิชคู่ใหม่ในถุง

                    “ห๊ะ?” ผมไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดนี่คือกำลังสั่งให้ผมลงไปเอานมในตู้เย็นข้างล่างมาให้เขา

                    “นมไง” เขาถ่างตามองหน้า ทำท่าเหมือนแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ

                    “เออ ...” ผมลงจากเตียง แต่ไม่ยอมทิ้งถุงแซนด์วิชเอาไว้หรอกนะ

                    กำลังเปิดประตู คนที่อยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้น “ขอน้ำผลไม้ด้วยนะ ถ้าได้แครนเบอร์รี่ก็ดี”

                    “พ่อง!” ปกติผมไม่ใช้คำพวกนี้กับคนทั่วไปนะฮะ ยกเว้นกับแก๊งเพื่อนสนิท ส่วนไมค์ นี่ถือเป็นกรณียกเว้น

หลังจากปิดประตูแล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของไมค์ตามหลัง

 

                    กินอิ่มแล้วไอ้หลานชายเจ้าของบ้านก็ยังไม่ยอมไปไหน นอนเล่นเกมในมือถืออยู่บนเตียงของผมอย่าง     สบายใจ ส่วนผมที่เป็นเพียงผู้เช่าบ้าน จึงต้องระเห็จตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง

                    “นายเกะกะ” ขายาวๆของไมค์ที่ชันเข่า กลับยืดเหยียดป่ายเปะปะมาทับบนขาของผม

                    “ฉันควรเป็นคนบ่น ไม่ใช่นาย” ผมยกขาขึ้นวางบนขาของเขา น่าแปลกที่เขาไม่ยกมันออก กลับปล่อยให้ผมวางทับอยู่อย่างนั้น

                    “ก็ฉันเป็นเจ้าของบ้าน” เขาเถียงโดยที่ยังจดจ่ออยู่กับเกมในมือ

                    “แต่ฉันจ่ายค่าเช่านะเว้ย” ผมอยากจะบ้ากับตรรกะของไมค์

                    “ก็ถูกแล้ว นายมาอยู่บ้านฉัน นายก็ต้องจ่ายค่าเช่า”

                    “เออ ...” ผมจะไม่เถียง เพราะมันจะทำให้สมาธิในการขับรถของผมแกว่ง

                    เราต่างมุ่งมั่นกับเกมในมือ ทำให้ทั้งห้องสงบลงได้อีกครั้ง แต่ก็ได้ไม่นานนัก ...

                    “นายจะเอาไงเรื่องแบม?” ไมค์ถามขึ้น ผมชะงักนิ้วที่กำลังกดบนจอโทรศัพท์ หันไปมองหน้าเขา แต่เขายังคงมุ่งมั่นอยู่กับจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าเหมือนเดิม

                    “ไม่รู้สิ” ผมพยายามไม่คิดเรื่องแบม อยากทำเหมือนว่าไม่เคยรับรู้อะไรมา

                    ไมค์เปลี่ยนจากท่านอน ขยับมานั่งข้างผม “นายคิดจะบอกไหมว่านายรู้เรื่องแล้ว”

                    “คงไม่ ... เราอยากให้แบมเป็นคนพูดเอง” ถ้าตราบใดที่แบมยังไม่พูดออกมา ผมอาจเจ็บแค่เพียงครึ่งเดียว

                     “ถ้าแบมไม่ยอมพูดล่ะ?”

                    “ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของแบม” จริงๆแล้วผมอยากให้มันเป็นเพียงการเข้าใจผิดหรือคิดไปเองของผม

                    “แต่มันเกี่ยวกับนาย”

                    มันเกี่ยวกับผมก็จริง แต่ผมจะทำอะไรได้ จะให้เดินไปบอกเธอว่าผมรู้แล้วว่าเธอเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น แล้วมันจะยังไงต่อ?

                    “นายจะทำเหมือนไม่มีอะไรได้เหรอ?” ไมค์จ้องหน้าผมเพื่อรอคำตอบ

                    “จะพยายาม” ผมถอนหายใจ ... ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย

                    ไมค์ทำเสียงหึในลำคอ “นายทำไม่ได้หรอก ... อย่างวันนี้ ถ้าเป็นก่อนหน้าที่นายจะได้ยินฉันคุยกับแบม นายต้องไปเที่ยวกับแบม ไม่ใช่ไปวัดกับคุณย่า”

                    “นายไม่ใช่เหรอที่ชวนเราไปวัด” ผมกอดอกหันมองหน้าเขาบ้าง

                    “แล้วนายอยากไปกับแบมหรือไง?” ไมค์เอาไหล่มาสะกิดต้นแขนของผม

                    “ไป ... ถ้ามีนายไปด้วย” ผมนั่งชันเข่า เอามือออกจากอกไปหนีบไว้ที่ต้นขา ผมรู้สึกว่าถ้ามีไมค์อยู่ข้างๆ เขาจะทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้น

                    ไมค์เงียบไปสักพักจนผมต้องหันหน้าไปมอง ... เขาที่กำลังมองหน้าผมอยู่กลับเลิกคิ้วทำหน้าเลิกลั่ก

                    “เอ่อ ... ตอนเย็นฉันมีตัดหญ้าบ้านหลังนึงในซอย นายอยากไปด้วยไหม?” เขาทำท่าจะลุกจากเตียง

                    “เราว่าจะไปมินิมาร์ท นมหมดแล้ว” อันที่จริงมันคงไม่หมดวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หลานชายเจ้าของบ้านมาซดโฮกแทนน้ำเปล่าแบบนี้

                    “งั้นไปช่วยตัดหญ้าก่อน แล้วจะพาไป” เขาลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู

                    “โอเค” อันที่จริงผมไปเองก็ได้ เพราะร้านสะดวกซื้อร้านนี้ไม่ไกลมาก พอจะเดินไปได้ แต่ที่ตอบตกลงเพราะไปดูไมค์ตัดหญ้า ก็คงดีกว่านอนอยู่ในห้องเฉยๆ

                    “งั้นสักบ่าย 2 นายเดินไปหาฉันที่บ้าน” เขาสั่งแล้วปิดประตูโดยไม่รอฟังคำตอบ

 

                    ผมเดินไปบ้านไมค์ก่อนเวลา เพราะอยู่ที่ห้องก็ไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวจะเผลอหลับกลางวันไปอีก

                    บ้านนี้ไม่มีรั้ว รวมทั้งบ้านหลายๆหลังในบริเวณนี้ด้วย ... ผมเดินตรงเข้าไปในโรงรถที่เปิดอยู่ เพราะเห็นไมค์ก้มๆเงยๆอยู่ในนั้น

                    “ทำไร?” ผมทักขึ้น

                    “เชี่ย!” ไมค์สะดุ้ง สบถเสียงดัง

                    “เฮ้ย! ไปหัดมาจากไหน?” ผมหัวเราะกับคำว่าเชี่ยของเขา

                    ไมค์เป็นส่วนผสมผสานระหว่างฝรั่งและไทยได้อย่างลงตัว หน้าตาท่าทางและนิสัยที่ออกไปทางฝรั่ง แต่กลับพูดและใช้ภาษาไทยได้อย่างกับใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่เกิด

                    “ไปถามแฟนนายสิ” ไมค์ตอบเหวี่ยงๆ คงหัวเสียที่ผมทำให้เขาตกใจ

                    “... แบมน่ะเหรอ?” แฟนผมคงหมายถึงแบมล่ะมั้ง เพราะถึงแม้ผมจะรู้ว่าแบมมีคนอื่น แต่เราก็ยังไม่ได้เลิกกัน

                    “เอ่อ โทษที” ไมค์ทำหน้าเจื่อน

                    “เราล้อเล่นน่ะ แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าแบมน่ะเหรอจะสอนคำพวกนี้ให้กับนาย” ตั้งแต่ผมรู้จักแบมมา เธอไม่เคยพูดไม่เพราะ

                    “เออๆ ไม่ใช่แบมหรอก” ไมค์ลากเครื่องตัดหญ้าออกมาจากโรงรถ

                    “แล้วใครสอนมาล่ะ?” ผมถามขณะพยายามจะช่วยเขายกเครื่องตัดหญ้า

                    “ไม่ต้อง ... นายไปหยิบถุงมือที่อยู่บนชั้นนั้นมาให้ที” เขาชี้นิ้วเข้าไปในโรงรถ

 

                    บ้านที่ไมค์มาตัดหญ้าให้อยู่ถัดจากบ้านของเขาไป 3 หลัง บ้านแต่ละหลังมีสนามหญ้าคั่น แต่ไม่มีรั้ว    จะมีบางหลังที่มีต้นไม้พุ่มเตี้ยๆที่ปลูกไว้บอกอาณาเขต

                    ไมค์เดินไปกดกริ่งหน้าบ้าน สักครู่ก็มีฝรั่งผู้หญิงเดินออกมา เธอกดรีโมทแล้วประตูโรงรถก็ค่อยๆยกขึ้น พวกเขาคุยกันไม่นาน ... เธอหันมายิ้มให้กับผมแล้วเดินเข้าบ้านไป

                    “ปกติฉันจะใช้เครื่องตัดหญ้าของเจ้าของบ้าน แต่วันนี้เครื่องของเขาเสีย ฉันเลยต้องยกเครื่องของตัวเองมา” เขาพูดพร้อมเช็คอุปกรณ์ เดินเข้าไปเสียบปลั๊กในโรงรถ แล้วสวมถุงมือ

                    “มีเก้าอี้พับพิงอยู่ข้างผนัง นายเอามานั่งรอ” เขาออกคำสั่งแล้วกดสวิชต์เปิดเครื่อง ... จะบอกเขาว่าอยากช่วย แต่เสียงเครื่องตัดหญ้าดังมาก และคิดอีกที ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาทำอะไร จึงได้แค่เดินไปหยิบเก้าอี้ผ้าใบมากางบนพื้นคอนกรีตข้างๆสนามหญ้า

                    ไมค์สวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ และหมวกแก้ป มองคล้ายๆพวกนักกีฬาบาสเก็ตบอล   ผิวของไมค์ขาวมาก ตัวผมที่ว่าขาวแล้วยังดูเข้มกว่าไมค์ คงเพราะผมขาวเหลือง ส่วนไมค์ขาวอมชมพู ... ใบหน้าที่มักจะกวนนิดๆ เวลานี้กลับดูแปลกไป หุ่นที่ดูผอมเก้งก้างกว่าผมดูทะมัดทะแมงในขณะที่ไถเครื่องตัดหญ้าเครื่องใหญ่ไปรอบสนาม ... ไหนแบมบอกว่าไมค์เป็นพวกกลัวแดด ถ้ากลัวแดดจะทำงานตัดหญ้าได้ยังไง? ... ผมมองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำงาน คิดไปเรื่อยเปื่อย ...

 

                    เสียงเครื่องตัดหญ้าสงบลง ผมรีบกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ไมค์เดินมาบอกว่าเขาจะไปตัดด้านข้างและหลังบ้านอีกนิดหน่อย ไม่นานก็เสร็จ

                    “เดี๋ยวพาไปกินเฝอ” เขาบอกทิ้งเอาไว้ก่อนจะเดินหายตัวไปทางด้านหลังของบ้าน ไม่นานเสียงเครื่องตัดหญ้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ... ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูภาพและคลิปของคนตัดหญ้าที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อสักครู่ ถ้าเจ้านั่นรู้ว่าถูกแอบถ่ายคลิป เขาจะว่ายังไงนะ แต่คงไม่เอาให้เขาดูหรอก ผมนึกขำตัวเอง ไม่รู้จะถ่ายไปทำไม ... จากนั้นก็ฆ่าเวลารอด้วยการเล่นเกม

 

                    ไมค์ใช้เวลาอยู่เกือบๆสองชั่วโมง หลังจากเสร็จงานและรับเงินเรียบร้อย พวกเราก็เดินกลับมาที่บ้านของเขา

                    “ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาพูดขณะที่เก็บเครื่องมือเข้าไปไว้ในโรงรถ

                    “งั้นฉันรอที่บ้าน จะไปเปลี่ยนรองเท้า” ผมก้มมองรองเท้าแตะที่สวมอยู่

                    เขาก้มมองตาม “โอเค”

 

                    เพราะไมค์จะพาผมไปกินเฝอ พวกเราจึงต้องออกมารอรถเมล์ แต่ถ้าจะไปแค่มินิมาร์ท แม้จะไม่ใกล้แต่ผมก็พอเดินไปไหว

                    เท่าที่สังเกตเห็น ที่อเมริกาจะแบ่งโซนที่อยู่อาศัยแยกจากแหล่งช้อปปิ้งที่มีเฉพาะร้านค้า แตกต่างจากเมืองไทยที่แค่เดินออกจากซอยก็เจอร้านสะดวกซื้อเรียงกันเป็นตับ หรือไม่ก็มีร้านขายของชำเปิดอยู่ข้างๆบ้าน อย่างผมอยู่เชียงใหม่ถ้าอยากไปห้างก็แค่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไป เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วการอยู่ที่นี่โดยที่ไม่มีรถออกจะลำบากสักหน่อยเวลาที่ต้องการจะซื้ออะไรสักอย่าง

 

                    เฝอคือก๋วยเตี๋ยว ร้านเฝอจะเป็นร้านของคนเวียดนาม รสชาติก็คล้ายก๋วยเตี๋ยวน้ำใสแต่จะใส่หอมหัวใหญ่ที่ซอยบางๆ และแตกต่างตรงไม่มีพวงเครื่องปรุงพวกพริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา แต่ที่นี่จะใช้มะนาว และมีซอสสีน้ำตาลรสออกหวานและซอสพริกที่มีรสเปรี้ยวและเผ็ด ไว้สำหรับปรุงและใช้จิ้ม

                    “นายกำหนดกลับเมื่อไหร่?” ไมค์ถามขึ้นขณะที่เรารอเฝอที่สั่งไป

                    “18 มิถุนา”

                    “กำหนดแน่นอนเหรอ?”

                    “ใช่”

                    “Thanks” ไมค์หันไปขอบคุณพนักงาน เมื่อชามเฝอถูกนำมาเสริฟ

                    “นัดเจอแบมอีกเมื่อไหร่?” ไมค์บีบซอสที่มีอยู่บนโต๊ะใส่ชาม

                    “คงรอวันหยุด” ผมทำตามเขาบ้าง

                    “นายมาถึงอเมริกา แต่คิดจะเจอกันแค่วันหยุดน่ะเหรอ? นี่นายคิดก่อนมาหรือเปล่า?”

                    “ก็คิด ... แต่เราคิดว่าจะได้เจอแบมในวันธรรมดา หลังเลิกเรียน อย่างไปเดินห้าง กินไอติม หรือดูหนัง” ผมคิดว่าพวกเราจะทำเหมือนตอนที่อยู่เชียงใหม่ได้ ... ตอนเลิกเรียนผมจะไปยืนรอแบมที่หน้าประตูโรงเรียนของเธอ แล้วเราก็นั่งรถแดงไปกินไอติมที่ห้าง

                    “เห้อ ... สงสารพ่อแม่นายนะ ไม่รู้คิดยังไงถึงกล้าปล่อยคนอย่างนายมาถึงอเมริกาคนเดียว” ไมค์ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า

                    “นายหมายความว่าไง?”

                    “ก็หมายความอย่างที่พูด ... พรุ่งนี้นายทำอะไร?” ไมค์เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ผมยังไม่ทันได้รู้ว่าที่เขาพูดนั่นหมายถึงอะไร แต่กลับต้องมาตอบคำถาม

                    “อืม ... คิดว่าจะนั่งรถเข้าไปในดีซีอีกสักครั้ง”

                    “ไปเองได้?” เขามองผมด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ

                    “ได้สิ ไม่ใช่เด็กๆ” ทั้งๆที่ผมเป็นพี่เขาแท้ๆ แต่ไมค์กลับชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าอยู่เรื่อย

                    “แต่คิดอย่างเด็กๆ” เขาเบ้ปากส่ายหน้า

                    “นายว่าไงนะ?” ผมชักไม่พอใจ

                    “เปล่า ... กินไป” บางทีไมค์ก็ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบออกคำสั่ง อาจเป็นเพราะเขาเด็กที่สุดในบ้าน  จึงติดพฤติกรรมนี้จากผู้ใหญ่ แล้วเอามาใช้กับผม

 

                    เรากินอิ่มแล้วจึงเข้าไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ติดกัน ผมซื้อนม ขนมปังและซีเรียลสำหรับเป็นอาหารเช้า จริงๆอยากได้มาม่าแต่ร้านนี้เป็นร้านฝรั่งจึงไม่มีสิ่งที่ผมต้องการ และไม่ลืมที่จะหยิบน้ำแครนเบอร์รี่มาด้วย ผมไม่เคยกินหรอก แต่เพราะเมื่อตอนกลางวันไมค์ถามถึง แต่ผมมีแค่น้ำส้ม

                    “วันหลังจะให้น้าเจนี่พาไป Thai grocery” เขาคงได้ยินที่ผมบ่นว่าไม่มีมาม่า

                    ผมพยักหน้ารัวๆ คิดถึงมาม่าต้มยำจะแย่แล้ว

                    “นายจะซื้อไปอาบหรือไง?” เขาก้มลงมองนมและน้ำผลไม้ในรถเข็น

                    “ก็เผื่อเจ้าของบ้านที่ชอบมาข่มขู่รีดไถ” ผมเข็นรถไปต่อแถวที่แคชเชียร์

                    “ใครกัน?” ไมค์กลอกตา ... ผมนึกอยากดีดหน้าผากเข้าสักที

 

                    เราเดินออกมายืนที่ป้ายรถเมล์ รอไม่นานรถก็มา

                    “นายไม่ขับรถเหรอ?” ผมถามขึ้นขณะที่เรานั่งอยู่บนรถเมล์

                    เขาส่ายหน้า “ยังไม่มีใบขับขี่”

                    “อายุยังไม่ถึงเหรอ?” ถามไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ ผมเองก็ยังไม่มีสิทธิ์สอบเหมือนกัน

                    ไมค์พยักหน้า

                    “นายเกิดปีอะไร?” นับจากที่เขายังเรียนไฮสคูล คิดว่าเขาเด็กกว่าผมแน่ๆ แต่ก็ถามเพื่อความมั่นใจ

                    “1998”

                    “เด็กกว่าเรา” ไมค์เรียนเกรดเดียวกันกับแบม แต่เพราะแบมเสียเวลาเรียนไปหนึ่งปี

                    “ก็แค่อายุ” ไมค์เชิดคาง ยกแขนขึ้นกอดอกเหมือนไม่พอใจ ... อะไรของเขา?

                    “แล้วนายขับรถไหม?” เขาหันมาถาม

                    “ขับ แต่ไม่บ่อย พ่อบอกว่ารอให้เข้ามหา’ลัยก่อนแล้วจะให้ขับ” ถ้าไม่ขอมาอเมริกา ผมคงได้รถยนต์เป็นของขวัญสำหรับการเข้าเรียนคณะแพทย์

                    “นายมีใบขับขี่เหรอ?” ไมค์ถามด้วยแววตาตื่นเต้นนิดหน่อย ผมว่าเวลาเขาทำหน้าแบบนี้ ดูเป็นเด็กๆ น่ารักดี

                    ผมส่ายหน้า “กลับไปจะไปสอบ”

                    ไมค์พยักหน้า ... เรานั่งเงียบๆกันไปสักพัก แล้วไมค์ก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

                    “ถ้ามาครั้งหน้า ฉันจะขับรถพานายเที่ยว” เขาทำสีหน้าจริงจัง เราสบตากันเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่ไมค์จะหันหน้าออกไปมองนอกรถ

                    “ขอบใจนะ” ผมตอบยิ้มๆ แต่ไมค์คงไม่เห็น เพราะเขายังไม่หันกลับมา

 

                    บ้านยังคงว่างเปล่าเมื่อเรากลับมาถึง ... ไมค์ช่วยผมเก็บของเข้าตู้เย็น

                   “นายเจอพี่ๆที่อยู่ห้องข้างล่างหรือยัง?” เขาถามตอนที่ผมเดินออกมาส่งที่หน้าบ้าน

                    “ยังเลย” ตอนนี้ผมเจอแค่พี่เนสและพี่จิว ที่อยู่ห้องชั้นบน

                    “สงสัยทำงานมั้ง”

                    “อือ”

                    “ไปล่ะ” ไมค์ยกมือลา แล้วเดินจากไป

 

                    ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียง กราบพระที่หมอนแล้วล้มตัวลงนอน ... หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ยังไม่สามทุ่ม

                    วันนี้ผมได้นอนในรถทั้งขาไปขากลับ และได้งีบที่ศาลาริมสระบัวอีกนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นทั้งวันก็ไม่ได้นอนอีกเลย คงต้องขอบคุณไมค์ที่ทำให้ไม่ว่างจนลืมง่วงไปเสียสนิท

                    ผมส่งข้อความไปหาพ่อกับแม่ บอกว่าจะนอนแล้ว และส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปให้แบม ... ผมไม่รอข้อความตอบกลับ ... ปิดเสียงเตือน แล้ววางโทรศัทพ์ไว้ข้างหมอน

                    โคมไฟหัวเตียงถูกปิดลง ผมหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเบาสบายกว่าคืนก่อนๆที่ผ่านมา ความง่วงเริ่มทำหน้าที่

 

                    หลังจากได้ยินความจริงจากแบมเมื่อวาน ผมก็ไม่คิดจะกลับมาอเมริกาอีก แต่เมื่อนึกถึงเสี้ยวหน้าของไมค์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์หลังจากที่เขาบอกว่าเขาจะขับรถพาผมเที่ยว ความคิดที่อยากจะมาอเมริกาอีกสักครั้งก็ผุดขึ้นมา ...

 

                  อเมริกา ... ที่ๆมีคนๆนั้น ... ผมยิ้มออกมา ก่อนที่ความง่วงจะทำงานอย่างสมบูรณ์

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) [update #10]
«ตอบ #16 เมื่อ02-05-2016 23:39:00 »

เรายังอยู่กับน้องพีทนะคะ ต่อจากนี้ผู้เขียนจะอัพเดตตอนใหม่ทุกๆวันจันทร์ หวังว่าจะยังมีคนรออ่านนะ  :katai2-1: / MissDaisy





#10 [PETE]



                         ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น คงเพราะเมื่อคืนเข้านอนเร็วและหลับสนิทจนถึงเช้า หลังจากเช็คและตอบข้อความทางไลน์ แล้วจึงลงจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟัน คิดว่ากินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วค่อยอาบน้ำ วันนี้ จะลองหาทางไปจุดท่องเที่ยวในวอชิงตันดีซีด้วยตัวเอง

                         ผมลงมาชั้นล่าง ตรงไปยังส่วนของครัวเพื่อจัดการกับอาหารให้ตัวเอง ก็มีนมกับซีเรียล น้ำผลไม้และแซนด์วิชอีกหนึ่งคู่ ... ขณะที่กำลังจะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ผมพบกับหญิงสาวคนหนึ่งตรงโถงทางเดิน

                         “หวัดดี” เธอเอ่ยทักทาย

                         “สวัสดีครับ” ผมทักตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว เดาว่าเธอน่าจะเป็นคนที่อยู่ห้องข้างล่าง ... ไมค์ไม่เห็นบอกว่าบ้านนี้มีผู้หญิงอยู่ด้วย

                         “น้องพีทใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยชื่อผมโดยไม่ต้องถามไถ่ ไมค์คงบอกเธอ

                         “ครับ”

                         “พี่เดือนนะคะ อยู่ห้องข้างล่าง” เธอแนะนำตัว ... พี่เดือนเป็นสาวหมวยตัวเล็กๆ เธออยู่ในชุดเสื้อยืด    กางเกงขาสั้น ผมยาวรวบไว้หลวมๆ

                         “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมยิ้ม ก้มหัวเล็กน้อย ตั้งใจจะก้าวขึ้นบันได แต่ก็มีเสียงของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง

                         “หวัดดีน้องพีท”

                         “ฮะ หวัดดีฮะ” ผมหันกลับไปทักทายตอบหญิงสาวที่มาใหม่ เธอคนนี้รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีแทนอย่างคนไทยแท้ ใบหน้าสวยคม เธออยู่ในชุดกางเกงผ้ายืดขายาวกับเสื้อกล้าม ดูจากหน้าตาและผมเผ้า น่าจะเพิ่งลงจากเตียง

                         “นี่พี่หยก” พี่เดือนแนะนำคนที่เพิ่งทักทายผม “เป็นรูมเมทพี่”

                         “ฮะ” ผมพยักหน้ารับทราบ

                         “มาเที่ยวเหรอ?” พี่หยกถามในขณะที่เปิดตู้เย็น “มีไรกินมั่งอ่ะเดือน?”

                         “มีเค้กที่ซื้อมาเมื่อวาน” พี่เดือนหันไปบอกพี่หยกที่กำลังค้นตู้เย็น

                         “แล้วได้ไปเที่ยวไหนแล้วหรือยัง?” พี่เดือนหันกลับมาถามผม

                         “ไปมาบ้างแล้วฮะ แต่วันนี้ว่าจะลองนั่งซับเวย์เข้าดีซี”

                         “เหรอ? ดีๆ ไปนี่สิคะ ...” เธอพูดไม่จบแล้วหันไปหาพี่หยกที่กำลังชงกาแฟ “ลงสถานีไหนนะหยก ที่จะไปแท่งดินสอกับลินคอล์นน่ะ”

                         “ฟ็อกกี้บ็อททอม แล้วก็เดินอีกไม่ไกลหรอก จะไปได้หลายที่เลย สมิธโซเนียนก็อยู่ไม่ไกล ถ้าไม่แน่ใจก็กูเกิ้ลดู เขาจะมีบอกว่าต้องขึ้นรถอะไรแล้วลงตรงไหน” พี่หยกอธิบาย ถือว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากสำหรับผม

                         “ใช่ๆ มันจะลงแถวๆจอร์จวอชิงตัน พี่หยกเขาคุ้นเคยดีแถวนั้น” พี่เดือนยิ้ม ยักคิ้วให้พี่หยกเหมือนมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่

                         “ย่ะ” พี่หยกยื่นหน้ามาทางพี่เดือน

                         “พี่หยกเรียนที่นั่นเหรอฮะ?” ผมรู้สึกทึ่ง เพราะที่นั่นถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีมากแห่งหนึ่งในอเมริกา

                         “เปล่าๆ” พี่หยกรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

                         “เด็กมันเรียนที่นั่น” พี่เดือนพูดแทรกขึ้นพร้อมหัวเราะ

                         “อ๋อครับ ขอบคุณมากฮะ” ผมค้อมหัว “เอ่อ ... ขอตัวก่อนนะครับ” ผมยิ้มแหยๆ เพราะนิ้วด้านที่ถือแก้วน้ำผลไม้และคีบถุงแซนด์วิชเริ่มเกร็ง

                         “เอ้า เห็นไหม ชวนน้องคุยเพลิน” พี่หยกเอ่ยขึ้น

                         “มีอะไรก็มาถามพวกพี่ได้นะ ถ้าอยากมีคนไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่ก็ยินดีค่ะ” พี่เดือนเอียงคอยิ้ม

                         “ฮะ ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินขึ้นบันไดไป

                         “เดือนๆ พอละๆ” เสียงพี่หยกยังแว่วตามหลัง

                         “ก็เด็กมันน่ารักอ่ะแก” และเสียงพี่เดือนก็ดังเข้าหู ก่อนที่ผมจะปิดประตูห้อง

 

                         ผมเสิร์ชหาวิธีเดินทางไปยัง Washington Monument หรือที่พี่เดือนเรียกว่าแท่งดินสอ พบว่าอยู่ไม่ห่างจาก Lincoln Memorial และอีกหลายๆที่ๆควรไปชม ผมจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้

 

                         ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงสถานี Foggy Bottom - GWU แม้จะตื่นเต้นและลังเลอยู่นานกับการจะเลือกเส้นทางของรถเมโทรและรถไฟ แต่ก็โชคดีที่ไม่หลงทาง

                         ทางขึ้นลงของสถานีรถไฟจะเป็นบันไดเลื่อน บางที่สูงชันน่าหวาดเสียวมาก ผมขึ้นบันไดเลื่อนมาโผล่ที่ถนนสายหนึ่งซึ่งคึกคักพอสมควร จากที่ศึกษามาที่นี่เป็นอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัย ผู้คนที่ยืนจอแจอยู่ใกล้ๆสถานีก็น่าจะเป็นนักศึกษา ถ้าดูจากวัยและลักษณะท่าทางการแต่งตัว

                         ผมเดินไปตามเส้นทางที่ดูมาจากเว็บไซต์ อาคารโดยรอบส่วนใหญ่คล้ายหอพัก แต่ก็มีตึกเรียนแทรกอยู่บ้างประปราย ...

                         ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านตึกๆหนึ่ง บนบันไดที่ทอดลงจากด้านหน้าตึกมายังทางเท้าที่ผมเดินอยู่ ชายคนหนึ่งกำลังโบกมือและกล่าวประโยคภาษาอังกฤษที่ผมฟังแบบผ่านๆคือการบอกลาทั่วๆไป จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ มายังทางเท้า จังหวะเดียวกันกับที่ผมเดินมาถึงตรงนั้นพอดี … เขาชะงักฝีเท้า แล้วมองจ้องหน้าผม

                         “อ้าว!” เขาร้องเสียงดังจนผมสะดุ้ง

                         “...” ผมอ้าปากค้าง กำลังคิดว่าผมรู้จักเขาหรือไม่ เพราะหน้าตาเขาดูคุ้นๆ

                         “น้องที่เจอที่วัดใช่ไหม? มาทำอะไรแถวนี้?” ใช่แล้ว เขาคือพี่คนขับรถ ที่มากับพี่ผมยาวนั่นเอง

                         “เอ่อ ... กะ กำลังจะไปเที่ยวครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก เพราะยังตั้งตัวไม่ทัน ที่มาเจอคนไทยแถวนี้ อีกทั้งเรายังคล้ายจะเป็นคนรู้จักกัน คืออย่างน้อยก็เคยพบกันมาครั้งหนึ่งแล้ว

                         “ไปเที่ยวไหน?” คนตรงหน้าวันนี้ ดูร่าเริงกว่าวันที่เจอที่วัด

                         “ก็ลินคอล์นและรอบๆนี้ครับ” ผมตอบทั้งๆที่ยังตกใจ

                         “มาคนเดียวเหรอ?” เขาปลดเป้ที่สะพายที่ไหล่ ยัดหนังสือสองสามเล่มที่ถืออยู่ในมือเข้าเก็บ

                         “ครับ”

                         “อืม” เขาพยักหน้าหงึกๆ

                         ผมไม่รู้จะคุยอะไรต่อ จึงคิดว่าน่าจะขอแยกตัวไปดีกว่า

                         “วันนี้พี่ว่าง เดี๋ยวไปเที่ยวเป็นเพื่อน” เขายิ้มกว้าง ตีมือลงบนไหล่ของผม

                         “ห๊ะ?” ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ผู้ชายคนนี้แปลกๆ คนเพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่กลับบอกว่าจะไปเที่ยวด้วย

                         “เฮ้ย ไม่หลอกไปทำไรหรอกน่า” เขายิ้มปนหัวเราะ คงเห็นสีหน้าหวาดระแวงของผม

                         “เปล่าครับ ไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมรีบปฏิเสธ มาคิดอีกที มีคนไปด้วยก็อาจจะดีกว่าไปคนเดียว … นี่ผมใจง่ายไปไหม?

                         “งั้นก็ไป ... เดี๋ยวเดินไปอีกสักพักก็จะมีอะไรให้ดูละ” เขาพาดแขนบนไหล่ผม

                         “เอ่อ ...” รู้สึกเกร็งนิดๆกับอาการสนิทสนมอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย

                         “ไม่ต้องกลัว เราไม่ใช่เสป็คพี่” เขาก้มลงมาพูดใกล้ๆหู จากนั้นก็หัวเราะอย่างร่าเริง… เขาตัวสูงกว่าผมน่าจะหลายเซ็นติเมตร

                         “... ฮะ” ผมตอบออกไปแบบเอ๋อๆ อะไรคือเสป็คพี่? แล้วผมต้องกลัวเรื่องนั้นด้วยเหรอ? แต่ในขณะที่คิด ผมกับเขาก็เดินคล้องไหล่ไปตามทางด้วยกัน ...

 

                         ระหว่างที่พาทัวร์ เขาก็ซักถามประวัติของผมไปเรื่อย สลับกับการเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง

                         พี่เมฆมาจากครอบครัวคนจีน ป๊ากับม้าของเขามาจากเมืองจีนพร้อมกับอากงอาม่า ครอบครัวทำกิจการเกี่ยวกับงานไม้ พวกประตูหน้าต่างวงกบ

                         ครอบครัวพี่เมฆมีลูกชายคนเดียวคือตัวเขา นอกนั้นก็เป็นพี่สาวสองคนและน้องสาวอีกสองคน ป๊าอยากยกกิจการให้พี่เมฆดูแล ตามประสาครอบครัวคนจีนที่รักและให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เขาไม่พร้อมจะรับช่วงต่อในตอนนี้ จึงขอมาเรียนต่อปริญญาโท จบแล้วถึงจะกลับไปเป็นเถ้าแก่

                         พี่เมฆจบคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่ผมใฝ่ฝันอยากเรียน นี่ถ้าผมไม่เห็นผู้หญิงดีกว่าอนาคตของตัวเอง ป่านนี้คงได้เป็นเหลนรหัสของพี่เขาไปแล้ว เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสนิทใจกับพี่เมฆขึ้นมาเป็นพิเศษ ทำให้การทัวร์ในวอชิงตันดีซีของเราสองคนสนุกสนานอย่างไม่น่าเชื่อ ผมรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวกับพี่ชาย ทั้งๆที่ไม่เคยมี

                         พวกเราเดินเที่ยวและถ่ายรูปกันจนค่ำ เมื่อมองไปยังอนุสาวรีย์วอชิงตันที่สูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เป็นภาพที่งดงามจนต้องยกกล้องขึ้นมาบันทึกเอาไว้

                         “สวยนะ” พี่เมฆมองไปยังภาพเดียวกันกับผม

                         “ถ่ายรูปกันพี่” ผมชวนเขา มองหาที่ๆจะสามารถตั้งกล้องได้

                         พี่เมฆยกนิ้วโป้งขึ้นสูง ยิ้มกว้าง เมื่อผมตั้งกล้องและเวลาเรียบร้อยก็รีบวิ่งไปยืนอีกข้าง โดยมีอนุสาวรีย์วอชิงตันอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเรา ... ผมยกนิ้วโป้งขึ้นชูในท่าเดียวกัน

                         “กูจะยิ้มทำไมเนี่ย!” พี่เมฆหัวเราะเสียงดังเมื่อเราเปิดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อสักครู่

                         “นั่นดิ ผมก็ยิ้มตามพี่อ่ะ” ผมหัวเราะตาม

                         ภาพนั้นเป็นภาพย้อนแสง เพราะฉะนั้นทั้งผมและพี่เมฆ รวมทั้งแท่งดินสอจึงอยู่ในเงามืด มีเพียงท้องฟ้าของวอชิงตันดีซีเท่านั้นที่สดสว่างอยู่ด้านหลังของพวกเรา

                         “หิวยังวะ?” พี่เมฆถามขึ้น

                         “ก็นิดๆ” ตั้งแต่มื้อเช้า ผมได้กินแค่ฮอทด็อกกับน้ำตอนที่พวกเรานั่งพักระหว่างเดินเที่ยว

                         “งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”

                         “อะไรพี่ ไม่เอาครับ เกรงใจ พาเที่ยวแล้วยังจะเลี้ยงข้าวอีก” แค่ที่เขาสละเวลามาเดินกับผมจนเย็นย่ำนี่ก็ถือว่ามากเกินไปแล้วสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

                         “เห้ย คิดมากน่ะ คนไทยด้วยกัน เดี๋ยวจะพาไปรู้จักเพื่อนๆอีกเยอะแยะ” เขาตบไหล่ผม

                         เมื่อคิดว่าดีกว่าที่ต้องกินเบอร์เกอร์หรืออะไรง่ายๆระหว่างทางกลับบ้าน ผมจึงตอบตกลง … ผมคงเป็นเด็กใจง่ายจริงๆด้วย



                         พี่เมฆพาผมนั่งเมโทร ระหว่างอยู่บนรถเราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย

                         “พี่ดูใจดีกว่าวันแรกที่เจอในวัดเยอะเลย” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เรานั่งอยู่บนรถ

                         “เหรอ? ทำไมวันนั้นพี่ดูดุมากเลยเหรอ”

                         “ก็หน้านิ่งๆ” ตอนที่เขาลงมาจากรถวันนั้น ผมยังหวั่นๆว่าเขาจะมาเอาเรื่องที่ผมทำให้เขาเสียเวลา

                         “อ๋อ ... โดนจิกออกจากเตียงแต่เช้าขนาดนั้น ใครจะยิ้มไหว ฮ่าๆๆ” แม้มันจะคล้ายๆการบ่น แต่เขากลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

                         เราคุยกันอย่างออกรส บางจังหวะผมอยากถามเขาเรื่องคนผมยาวที่มาด้วยกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกไป จนเรานั่งมาถึงที่หมายไม่รู้ตัว

                         เมื่อลงจากรถ ผมรู้สึกคุ้นตากับสถานที่นี้ และพอพี่เมฆเดินนำเข้าไปใกล้ๆ ผมจึงนึกออกว่าเป็นร้านอาหารไทยที่น้าน้อยและแบมพาผมมาในวันแรกที่มาถึงเวอร์จิเนีย

                         “พี่ทำงานที่ร้านนี้เหรอครับ?” แม้พี่เมฆจะเล่าว่าเขาทำงานร้านอาหารไทย แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นร้านที่ผมเคยมา

                         “เออ” เขาพยักหน้า

                         “มิน่าผมคุ้นๆหน้าพี่ตั้งแต่เจอที่วัด” ผมนึกออกแล้ว คนที่ติดป้ายชื่อว่า Mhek ก็คือพี่เมฆคนนี้นี่เอง

                         “อะไรวะ?”

                         “ก็วันที่ผมมาถึงที่นี่วันแรก ผมมากินข้าวร้านนี้ แล้วพี่ก็เป็นคนมารับออร์เดอร์ไงฮะ” ผมอธิบาย

                         เขาทำท่านึก “เหรอวะ?”

                         “ใช่ แต่พี่รับออร์เดอร์แล้วก็หายไป เป็นคนอื่นมาเสริฟ” ผมทวนความจำ

                         “อ๋อ ...” เขาลากเสียงยาว “พอดีวันนั้นมีปัญหานิดหน่อย”

                         พี่เมฆเปิดประตู เดินนำผมเข้าไปในร้าน

                         “น้องเมฆ มาทำไรเนี่ย? คิดถึงที่ทำงานมากเหรอ” พี่สาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับเอ่ยทักพี่เมฆ

                         “คิดถึงพี่นีน่ะสิครับ” พี่เมฆหยอดเสียงหวาน ... ร้ายกาจไม่เบานะพี่

                         “ว้าย อย่าเลยค่ะ พี่ไม่อยากเดือดร้อน” พี่นีทำเสียงแหลม ตีมือลงบนแขนของพี่เมฆ

                         “อ่านะ ... ผมพาเด็กมากินข้าวครับพี่” เขาพยักเพยิดมาทางผม

                         “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อพี่นีหันมามอง

                         พี่นียกมือรับไหว้ “ไปเก็บเด็กมาจากไหน? หล่อเชียว”

                         “เก็บได้แถวมหา’ลัยน่ะพี่ ... ผมนั่งโต๊ะมุมนั่นได้ไหม?” พี่เมฆชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงมุมด้านในของร้าน

                         “ได้ๆ” พี่นีเดินนำพวกเราไปยังโต๊ะสำหรับสองคน แล้ววางเมนู 2 เล่มลงบนโต๊ะ

                         หลังจากที่พวกเรามานั่งที่โต๊ะ ก็มีลูกค้าเข้ามาอีก 2 กลุ่ม คงเพราะเป็นเวลามื้อค่ำพอดี จึงทำให้โต๊ะในร้านถูกจับจองจนเกือบเต็ม

                         “มากินข้าวเหรอเมฆ?” คนที่เดินมาทักพี่เมฆทำให้ผมต้องแปลกใจ เพราะเธอคือพี่หยกที่ผมเพิ่งเจอที่บ้านเมื่อเช้า

                         “อ้าว ... หยกทำชิฟท์บ่ายด้วยเหรอ?” พี่เมฆที่กำลังแขวนเป้ไว้กับพนักเก้าอี้เงยขึ้นถามคนที่มาทัก

                         “น้องพีท ไปไงมาไงเนี่ย?” พี่หยกไม่สนใจตอบคำถามของพี่เมฆ แต่หันมาทักผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

                         “เอ่อ ...”

                         “น้องชายเมฆ” ผมกำลังจะตอบ แต่พี่เมฆแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                         “จริงดิ? นี่น้องเขาอยู่บ้านเดียวกันกับหยกนะ” พี่หยกทำหน้าไม่เชื่อ

                         “อ้าว เหรอ ฮ่าๆๆ” พี่เมฆหัวเราะเก้อๆ

                         “ก็ใช่น่ะสิ ... ใช่ไหมพีท?” พี่หยกหันมาหาแนวร่วม

                         “ครับ” ผมพยักหน้าเออออ

                         “แล้วนี่ทำไมมาทำงาน?” พี่เมฆถามซ้ำ

                         “ไอ้เนสท้องเสีย” พี่หยกทำหน้าเซ็ง

                         “หยก แขกโต๊ะแกอยากได้ซอสสะเต๊ะเพิ่ม อย่ามัวเมาธ์” พนักงานอีกคนเดินมาข้างหลังแล้วเอ่ยกับพี่หยกเบาๆ

                         “เออๆ ... งั้นค่อยคุยกันนะเมฆ หยกไปทำงานก่อน” พี่หยกเอ่ยแล้วรีบเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป  2-3 โต๊ะ

                         “พี่เมฆพาเด็กจากไหนมาเลี้ยง?” พนักงานหญิงคนที่มาตามพี่หยกเอ่ยถาม

                         “เก็บได้แถวมหา’ลัย” พี่เมฆตอบแบบเดิม ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกหมาหลงทางที่พี่เมฆเก็บมาเลี้ยงยังไงบอกไม่ถูก

                         “พีทกินอะไร สั่งเลย” พี่เมฆเลื่อนเมนูมาไว้ตรงหน้าผม

                         “อะไรก็ได้ครับ ตามใจพี่” ผมนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร รู้สึกเกรงใจคนที่จะเลี้ยงด้วย จึงให้เขาเลือกน่าจะดีกว่า

                         “เออ งั้นพี่เลือกเอง ... พี่ขอต้มข่าทะเล ไก่ผัดเม็ดมะม่วง หมูทอดกระเทียมพริกไทย ข้าว 2 จาน” พี่เมฆรวบเมนู 2 เล่มส่งคืนให้กับพนักงานเสริฟแล้วหันมาถามผม “พอไหม?”

                         ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

                         “น้ำอะไรดีคะพี่เมฆ?” หลังจากจดรายการอาหารเสร็จ พนักงานคนเดิมก็เงยขึ้นถาม

                         “พี่ขอโค้ก ... พีทเอาอะไร?”

                         “น้ำเปล่าฮะ”

                         “พี่ขอไทยไอซ์ทีแก้วนึงด้วยนะมล” พี่เมฆเอ่ยขึ้นเมื่อพนักงานเสริฟทวนรายการอาหารและเครื่องดื่มจบ

                         “ได้ค่ะ” เธอยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไป

 

                         รอไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟพร้อมกันบนโต๊ะ นอกจากอาหารที่พี่เมฆสั่งแล้วยังมีน้ำพริกอ่องพร้อมผักสดเพิ่มมาอีกอย่าง

                         “อะไร?” พี่เมฆถามพนักงานเสริฟที่ชื่อมล

                         “น้ำพริกอ่อง พอดีวันนี้ป้าแต๋วทำ เห็นหยกบอกว่าน้องพีทมาจากเชียงใหม่ ป้าแกก็เลยให้ตักออกมาให้” พี่มลเป็นผู้หญิงหน้าตาเรียบๆ แต่เธอยิ้มเก่ง

                         ผมฟังแล้วทั้งตื้นตันทั้งแปลกใจ น้ำพริกอ่องและผักที่วางอยู่ตรงหน้าทำให้ผมคิดถึงบ้านขึ้นมาจับใจ ... ว่าแต่ไอ้หลานชายเจ้าของบ้านเอาเรื่องผมไปเล่าใครต่อใครไว้ขนาดนี้เลยเหรอ

                         “เสน่ห์แรงวุ้ย นี่ขนาดยังไม่เห็นหน้า” พี่เมฆพูดยิ้มๆ

                         “ฝากขอบคุณคุณป้าแต๋วด้วยนะครับ” ผมบอกกับพี่มล ก่อนที่เธอจะไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นๆ

                         เสียงข้อความไลน์เตือนขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความจากไมค์ ... นี่แค่นึกถึงก็มาเลย ท่าทางจะอายุยืน

                         ไมค์ – หายไปเลยนะ หลงทางร้องไห้แงๆอยู่ที่ไหน

                         ผม – โด่ว ดับไหนแล้ว

                         ไมค์ – what?

                         ผมแอบยิ้ม ไมค์คงไม่เข้าใจประโยควัยรุ่นไทยๆอย่างนี้

                         ผม – กำลังกินข้าว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ

                         ผมตัดบทเพราะเกรงจะเสียมารยาทที่มัวแต่ก้มหน้าอยู่กับมือถือ

                         “ขอโทษครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมายิ้มแหยๆให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม

                         “แฟนล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” พี่เมฆแซว

                         “ไม่ใช่พี่! เจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่น่ะ” ผมปฏิเสธเสียงหลง

                         “อ้อ ... กินข้าวๆ” พี่เมฆพยักหน้ารับรู้ ยกช้อนส้อมขึ้นมาเคาะกัน

                         “กินแล้วนะครับ” ผมมองอาหารที่ส่งกลิ่นหอมบนโต๊ะ

                         “ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ” ว่าพลางจ้วงช้อนลงในชามต้มข่า

                          “ป๋าแต๋วนี่เป็นใครอ่ะพี่?” ผมนึกถึงป้าแต๋วขึ้นมา เมื่อกำลังตักน้ำพริกอ่อง

                         “อ๋อ ... แกเป็นแม่ครัวน่ะ”

                         “ใจดีจังเนอะ” ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่วันนี้ได้เจอแต่คนใจดี

                         “คนไทยที่นี่ส่วนใหญ่ก็น่ารักทั้งนั้น”

                         “ฮะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

                         ระหว่างที่กำลังกินข้าว พี่หยกแวะเวียนมาทักทาย 2-3 ครั้ง

                         “พี่กับพี่หยกเป็นแฟนกันเหรอ?” ผมถามเพราะความสงสัย

                         “เอ่อ ... ทำไมถึงคิดยังงั้นล่ะ?” พี่เมฆชะงักช้อนที่กำลังจะถึงปาก

                         “ผมเห็นพี่เขาแอบมองพี่เมฆบ่อยๆ เวลามาคุยด้วยก็ ยังไงล่ะ คือมันพอดูออกว่าพี่หยกเขาชอบพี่น่ะ” ผมก็พูดไปตามที่เห็น

                         “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”

                         “แล้วใช่ไหมล่ะพี่?”

                         พี่เมฆส่ายหน้า ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขามองที่หน้าจอแล้วยิ้มก่อนที่จะเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพื่อรับสาย

                         “ว่า?”

                         ...

                         “อยู่ร้าน”

                         ...

                         “ไม่ๆ พาน้องมากินข้าว”

                         ...

                         “ไปสิๆ แล้วไม่ทำงานเหรอ?”

                         ...

                         “ใจดีอ่า”

                         ...

                         “จะเสร็จแล้วล่ะ มาสิ”

                         ...

                         “เค งั้นรอที่นี่นะ”

                         ...

                         “บาย”

                         พี่เมฆวางสายทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ผมไม่สงสัยแล้วล่ะว่าทำไมพี่เมฆปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นแฟนพี่หยก เพราะคนที่เพิ่งโทรมานี่คงเป็นแฟนตัวจริงมากกว่า เพราะดูจากน้ำเสียงและท่าทางของพี่เมฆแล้วช่างเบิกบานเหลือเกิน

                         “แฟนพี่ล่ะสิ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ผมย้อนเอาบ้าง

                         “เฮ้ย! ไม่ใช่” เขาหัวเราะ แต่แววตายังระยิบระยับ

                         “อย่าๆ” ผมยังอดที่จะแซวไม่ได้

                         “จริงๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ... เอ้ย กินๆ” ผมว่าเขาคงกำลังเขิน

                         “กินไรล่ะพี่ นี่เกลี้ยงจานแล้ว” ผมหัวเราะ ชี้ให้เขาดูจานที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ

                         “เอ้อ ...” เขาหัวเราะบ้าง “กินของหวานไหม?”

                         “ไม่ล่ะฮะ ชาเย็นนี่ก็หวานแล้ว” พี่เมฆสั่งชาเย็นให้ผม เขาอยากให้ลอง เพราะมันเป็นเครื่องดื่มที่ลูกค้าแทบทุกคนที่เข้ามาในร้านต้องสั่ง และผมก็พบว่ามันก็คือชาเย็นใส่นมนั่นเอง

                         พี่มลเดินเข้ามาเก็บจาน ถามพวกเราว่าต้องการอะไรอีกไหม พี่เมฆปฏิเสธ แต่บอกว่าขอนั่งอีกสักครู่  พี่มลเดินออกไปพร้อมจานชามเปล่า

                         “เดี๋ยวพี่ไปส่งพีทที่บ้านนะ” เขายกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา

                         “จะดีเหรอครับ เกรงใจ รบกวนพี่ทั้งวันเลย” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

                         “คิดมากน่ะ มืดแล้ว กลับเองคงลำบาก”

                         “ขอบคุณครับพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้ พี่เมฆพยักหน้ารับ เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างในใจของผมมาตลอด

                         “พี่ ผมถามอะไรได้ไหมครับ?” ผมสูดหายเข้าเต็มปอด

                         พี่เมฆเลิกคิ้ว “ว่ามา”

                         “คือ ... พี่คนที่ไปวัดกับพี่วันนั้น เขาเป็นเพื่อนพี่เหรอครับ?” ใจผมเต้นตึกตักรอคำตอบ

                         “อ๋อ ... ก็ไม่เชิง แต่เราอยู่บ้านเดียวกัน” ลมหายใจของผมปั่นป่วน ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นที่จะได้รู้เรื่องของเขาคนนั้นมากขึ้น หรือเพราะอะไรบางอย่างจากคำตอบของพี่เมฆ ...

                         “เอ่อ ... ฮะ” ผมพยายามนึกว่าจะถามอะไรต่อไป ผมอยากรู้เกี่ยวกับพี่ผมยาวคนนั้น

                         “นี่เดี๋ยวก็มา พี่ว่าจะซื้อรถน่ะ เขาเลยจะพาไปดู พอดีมีคนที่รู้จักจะขาย เขาจะกลับไทย นี่ก็เลยนัดกันไปดู เขาว่า ...”

                         พี่เมฆยังคงพูดต่อไม่หยุด แต่เสียงของเขาเหมือนลอยผ่านเข้าหูขวาแล้วก็ลอยออกหูซ้าย  ในอกของผมมันกำลังเต้นตึกๆ

 

                        ... ผมกำลังจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง!!

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
     พี่เมฆสปอร์ตมากกก  เลี้ยงอาหารไทยเชียวนะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชอบน้องพีทค่ะ ตัวสูง หน้าแบ้วนะลูก 5555+

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
     พี่เมฆสปอร์ตมากกก  เลี้ยงอาหารไทยเชียวนะ :katai2-1:

เพราะมันได้ส่วนลดมั้งคะ  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบน้องพีทค่ะ ตัวสูง หน้าแบ้วนะลูก 5555+

ผมไม่ได้ตั้งใจแบ๊วนะฮะ  :o8:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
บทที่ 11 มาเร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะจะใช้เป็นการบังคับตัวเองให้เขียนบทที่ 21 ให้เสร็จในคืนนี้ (เกี่ยวอะไรกัน? ฮ่าๆๆ) ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ / MissDaisy





#11 [PETE]



                    พวกเรานั่งในร้านต่อกันสักพัก พี่เมฆจึงเรียกเช็คบิล

                    “ขอบคุณมากครับพี่” ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

                    “เฮ้ย เล็กน้อยน่ะ นี่ก็ได้ส่วนลดในฐานะที่เป็นพนักงาน” พี่เมฆยื่นธนบัตรหลายใบให้พี่มลโดยกำชับว่าไม่ต้องทอน

                    “ไปกันดีกว่า คืนนี้แขกเยอะ” เขาพูดก่อนจะลุกจากโต๊ะ เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่อยู่ส่วนในของร้าน ... ผมเดินตาม

                    “หวัดดีครับพี่ดิว” พี่เมฆยกมือไหว้คนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... ผมยกมือไหว้ตาม

                    “ไงเมฆ” พี่ดิวทักพี่เมฆ แล้วหันมาทางผม “ไปเก็บเด็กหลงจากไหนมา?”

                    “ฮ่าๆ” พี่เมฆหัวเราะ “ขอบคุณพี่ที่ให้ส่วนลด”

                    “กันเองน่ะ แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อ?” พี่ดิวแม้จะไว้หนวด แต่ท่าทางเป็นคนใจดี

                    “เดี๋ยวพี่ปิงมารับไปดูรถ พอดีคนที่เขารู้จักจะกลับไทย ก็เลยจะขาย” ใจผมสั่นนิดๆเมื่อได้ยินพี่เมฆเอ่ยชื่อเขาคนนั้น

                    “ลูกชายเถ้าแก่โรงไม้ ไม่เอาป้ายแดงไปเลยล่ะวะ?” พี่ดิวเอื้อมมือข้ามเคาน์เตอร์มาตบไหล่พี่เมฆ

                    “ไปดูๆไว้ก่อนน่ะพี่ ไม่ชอบก็ไม่เอา”

                    “แล้วนี่น้องพีทมาเที่ยวเหรอครับ?” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่ดิวเอ่ยชื่อผมโดยไม่ต้องถาม

                    “ครับ”

                    “ลุยเดี่ยวเลยเหรอ?”

                    “ครับ”

                    “เก่งนะ เห็นหยกบอกว่าจะมาอยู่นานเป็นเดือน” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพี่หยกรู้มาจากหลานชายเจ้าของบ้านเช่าอีกที

                    “ครับ”

                    “แล้วพักที่ไหน?”

                    “บ้านคุณย่าตองนวลครับ”

                    “อ๋อ ... เออๆ บ้านเดียวกันกับหยกนี่นะ” พี่ดิวพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองเหมือนเพิ่งนึกได้

                    “ใช่ครับ”

                    “พี่ดิว ขอลองไอร์แลนด์แก้วค่ะ” พี่มลเดินมาที่เคาน์เตอร์ สั่งบางอย่างกับพี่ดิว ผมเดาว่าน่าจะเป็นเครื่องดื่ม

                    “งั้นเดี๋ยวผมไปละพี่” พี่เมฆเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ยกมือไหว้พี่ดิว ... ผมทำตาม

                    “เออๆ เจอกัน” พี่ดิวยกมือลาแล้วหันไปหยิบขวดเครื่องดื่มที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นด้านหลัง

                    “ไปล่ะมล” พี่เมฆบอกลาพี่มลที่ยังยืนเกาะอยู่ที่เคาน์เตอร์

                    “บายค่ะ” พี่มลยกมือลา

                    พี่เมฆก้าวออกไปจากเคาน์เตอร์ ผมจึงรีบยกมือไหว้พี่มล แต่ก่อนจะเดินตามหลังพี่เมฆออกไป ผมเห็นพี่หยกกำลังเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์ ... แต่ก็ไม่ทันพี่เมฆเสียแล้ว

 

                    พวกเราออกมายืนรอที่หน้าร้าน ซึ่งเป็นลานจอดรถ พี่เมฆบอกว่าข้างๆเป็นร้านสเต็ก วันหลังเขาจะพาผมมากิน ผมจึงบอกเขาว่าถ้าเขากลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ผมจะพาเที่ยวให้ทั่วเชียงใหม่เป็นการตอบแทน

                    “ได้ ... ถือว่าเป็นสัญญาลูกผู้ชายระหว่างเรา” พี่เมฆยิ้มกว้าง ยกมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

                    “ครับ” ผมยิ้มตอบ รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก

                    ผมและพี่เมฆหันไปมองพร้อมกัน เมื่อรถคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าพวกเรา ... กระจกด้านคนขับเลื่อนลงอย่างช้าๆ ... ใบหน้าของคนที่ผมรอคอยค่อยๆปรากฏต่อสายตา

                    คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย มองมายังพวกเรา เขามองหน้าพี่เมฆสลับกับมองหน้าผม

                    “เก็บได้ข้างทาง” พี่เมฆชี้นิ้วมาที่ผม ... ผมยกมือไหว้คนในรถที่มีสีหน้าเรียบเฉย

                    “ป่ะ ขึ้นรถ” พี่เมฆดันหลังให้ผมเดินอ้อมไปอีกด้านของรถ เขาเปิดประตูหลังแล้วดันให้ผมเข้าไปนั่ง ผมเอื้อมมือไปปิดประตู ขณะที่พี่เมฆเข้ามานั่งยังส่วนหน้าข้างคนขับ

                    ผมนั่งก้มหน้า ในอกเต้นรัวราวกับกำลังโซโล่กลองชุด ตั้งแต่ได้เห็นใบหน้านั้น

                    “น้องเขาพักอยู่บ้านคุณตองนวลน่ะ เราเห็นว่ามืดแล้วก็เลยอาสาจะไปส่ง” พี่เมฆเอ่ยขึ้นเมื่อรถค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป

                    “กลับดึกได้ไหม?” น้ำเสียงที่ไม่ต่างจากในฝัน ที่ผมไม่เคยลืมเอ่ยขึ้นในที่สุด ... ผมสูดหายใจช้าๆ ค่อยๆเงยหน้า เหลือบสายตามองเสี้ยวหน้าของเจ้าของเสียง

                    “ไม่ไปส่งก่อนเหรอ?” พี่เมฆหันไปถาม

                    “นัดเจ้าของรถไว้ไม่ไกลจากที่นี่” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

                    “งั้นแวะไปดูรถกับพี่ก่อนนะพีท ไม่เป็นไรใช่ไหม?” พี่เมฆหันกลับมาถามผม

                    “ไม่ครับ ไม่” ผมจะเป็นอะไรได้ นอกจากดีใจที่จะได้อยู่ตรงนี้นานขึ้นอีก

                    “งั้นก็โอเค” พี่เมฆยิ้มแล้วหันกลับไป

                    “ต้องบอกใครหรือเปล่า?” คนนั่งหลังพวงมาลัยเอ่ยถาม ผมเงยหน้า สบกับสายตาที่มองมาโดยผ่านกระจกมองหลัง

                    “เออ นั่นดิ” พี่เมฆหันมามองผมอีกครั้ง ผมจึงต้องละจากสายตาคู่นั้น

                    “เอ่อ ... ครับ” ผมอึกอักเพราะนึกไม่ออกว่าต้องบอกใคร ในเมื่อผมอยู่คนเดียว ... หรือมีใครบางคนที่ผมควรต้องบอก ...

                    ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะไลน์บอกไมค์ว่าจะกลับช้า แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมดันแบ็ตเตอรี่หมด หน้าจอดับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ... ผมเก็บมันเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ... บอกหรือไม่บอกก็คงไม่สำคัญอะไร ไมค์เองก็คงไม่ได้มานั่งสนใจว่าผมจะกลับเมื่อไหร่

                    “เอ้า ลืมแนะนำ ... นี่พี่ปิงนะ ที่เราเจอที่วัดไง” พี่เมฆเอ่ยขึ้นหลังจากในรถเงียบไปสักครู่

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ ไม่รู้ว่าพี่ปิงทำหน้ายังไง เพราะเขาตอบมาแค่สั้นๆว่า “อือฮึ”

                    “น้องพีทเขามาเที่ยว วันนี้ตอนแวะไปเอางานกับเพื่อนที่มหา’ลัย เห็นเดินอยู่แถวๆนั้นเลยคว้าคอไปเที่ยวด้วยกัน” พี่เมฆหันไปทางพี่ปิง และหันมาหาผมขณะเล่า ... ผมยิ้มให้พี่เมฆหนึ่งที แต่พี่ปิงแค่ส่งเสียง “อือ” ในลำคอ

                    ไม่นานรถก็จอดลงที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง พี่ปิงดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงจากรถ พี่เมฆตามออกไป ส่วนผมไม่รู้ต้องทำยังไง จึงเปิดประตูลงจากรถตามไปด้วย รอบๆลานจอดรถมีตึกอยู่ 3-4 ตึก ลักษณะน่าจะเป็นอาคารที่พักอาศัย

                    พี่ปิงยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคน ไม่นานก็มีผู้ชาย 2 คนเดินออกมาจากตึกหลังหนึ่ง พี่ปิงและพี่เมฆเดินตรงไปหาพวกเขา ผมเดินตามไปติดๆ

                    พี่เมฆและผู้ชาย 2 คนนั้นพูดคุยและสำรวจดูรถ พี่ปิงยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆ โดยมีผมลอบมองอยู่เงียบๆ ... ถึงแม้พี่ปิงจะไม่ได้เข้าไปเจรจาหรือเช็คสภาพรถกับพี่เมฆ แต่เขาก็มองอย่างไม่ละสายตา ส่วนผมเองไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เมฆจะทำอะไร เพราะสิ่งที่ผมสนใจมีเพียงร่างผอมบางที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ... แค่เอื้อมมือถึง

                    พี่ปิงเป็นผู้ชายร่างเพรียวบาง ความสูงน่าจะเกิน 175 เซนติเมตร สำหรับคนทั่วไปก็ไม่ถือว่าตัวเล็ก แต่ถ้าเทียบกับผมและพี่เมฆ พี่ปิงก็กลายเป็นคนที่น่าทะนุถนอมไปในทันที ... เชิ้ตสีขาวแขนยาวที่พับมาไว้ใต้ข้อศอกถูกเก็บชายเสื้อไว้อย่างเรียบร้อยในกางเกงแสล็กสีดำแบบพอดีตัว ผมยาวที่รวบไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นลำคอขาวรำไร ... เขาคือคนที่อยู่ในความฝันของผมมาเกือบ 10 ปี ... ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ให้ผมได้มองสำรวจอย่างเต็มตา

                    “เราว่าจะขับวนสัก 2-3 รอบ ปิงจะนั่งไปด้วยไหม?” พี่เมฆเดินมาอยู่ตรงหน้าพี่ปิงเมื่อไหร่ ผมไม่ทันรู้ตัว

                    “เอาสิ” พี่ปิงลดมือลงจากการกอดอก

                    “งั้นพีทรอแป๊บนึงนะ ขับวนแค่ลานจอดรถนี่แหละ” พี่เมฆหันมาบอกกับผม

                    “ครับ ตามสบายครับพี่”

 

                    หลังจากพี่เมฆได้ลองขับและคุยกับเจ้าของรถอีกสักครู่ พวกเราก็กลับเข้ามานั่งในรถของพี่ปิงอีกครั้ง

                    “เป็นไง?” พี่ปิงเอ่ยถามขณะเคลื่อนรถออกจากลานจอด

                    “ก็โอเค แต่ถ้าคิดจะใช้ระยะยาว ยอมจ่ายแพงหน่อยอาจดีกว่า”

                    “...”

                    “เราว่าจะลองไปดูป้ายแดง แต่คงต้องคุยกับป๊าก่อน”

                    “...”

                    “ปิงรู้ใช่ไหมว่าบ้านคุณตองนวลไปยังไง?”

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    ผมสังเกตได้ว่าพี่ปิงเป็นคนพูดน้อย ตลอดเวลาจะมีเพียงพี่เมฆที่เป็นฝ่ายพูดเสียส่วนใหญ่ แต่ดูพี่เมฆก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรที่เหมือนว่าเขากำลังคุยอยู่คนเดียว ... ทุกคนที่เจอหน้าผมในวันนี้ล้วนตั้งคำถามว่าผมมากับพี่เมฆได้ยังไง ยกเว้นพี่ปิงคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ใจกับการปรากฏตัวของผม แม้ว่าเราจะเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่งที่วัด ... หรือเขาจะจำผมไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ

 

                    รถของพี่ปิงจอดลงตรงหน้าบ้านเช่า ผมยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณทั้งพี่ปิงและพี่เมฆ

                    “อ้าว ... ไอ้เนส” พี่เมฆเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องมองออกไปนอกรถ พี่เนสนั่งอยู่หน้าบ้านกับใครคนหนึ่งซึ่งนั่งหันหลังอยู่ตรงข้าม ... แน่นอนว่าคือไมค์

                    “เราลงไปทักเพื่อนแป๊บนึงนะ” ประโยคของพี่เมฆฟังคล้ายการบอกให้รู้ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังขออนุญาตจากพี่ปิง

                    พี่ปิงพยักหน้าแล้วดับเครื่องยนต์ พี่เมฆและผมลงจากรถ ผมไม่คิดว่าพี่ปิงจะลงมาด้วย แต่เขาก็เปิดประตูตามลงมา

                    “เฮ้ย! ไอ้เหี้ยเมฆ มาได้ไงวะ?” พี่เนสตะโกนทักเสียงดัง “อ้าว หวัดดีพี่” และยกมือไหว้เมื่อเหลือบมาเห็นพี่ปิง

                    “เออ กูมาส่งพีท” พี่เมฆเดินไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากที่ทั้งสองคนนั่งอยู่

                    เมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าพี่เนสและไมค์กำลังดื่มเบียร์กันอยู่ ... คนที่นั่งหันหลังเอี้ยวตัวมาทางพวกเรา เขาปรายหางตามองผมแค่ปราดเดียวแล้วลุกขึ้นยืน

                    “พี่มีเพื่อนแล้ว งั้นผมกลับละ” ไมค์วางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะ

                    “อ้าว ... อย่าเพิ่งไปดิไมกี้” พี่เนสกวักมือ

                    “ดึกแล้วพี่” เขาตอบพี่เนสแล้วมองหน้าพี่เมฆ “หวัดดีพี่” ไมค์ยกมือขึ้นทักทาย หรือลา ผมไม่แน่ใจ

                    พี่เมฆยิ้มกว้าง ยกมือตอบ

                    ไมค์เดินมาหยุดตรงหน้าพี่ปิงที่ยืนห่างออกมา เขายืนนิ่งจ้องหน้าพี่ปิง ส่วนพี่ปิงมองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมไม่รู้ว่าทำไมไมค์ถึงทำอย่างนั้น แต่เดาว่าเขาอาจจะเมา

                    ในที่สุดไมค์ก็เหยียดยิ้มที่มุมปาก เขายื่นมือออกมาตรงหน้า “Nice to meet you.”

                    พี่ปิงคลี่ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกมาจับมือของไมค์ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

                    เมื่อทั้งสองปล่อยมือกัน ไมค์ก็เดินจากไป โดยที่ไม่กล่าวทักทายผมสักคำ

                    “เชี่ยเนส หยกบอกมึงท้องเสีย แล้วมานั่งแดกเบียร์เนี่ยนะ” พี่เมฆที่ไม่ได้สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านหลัง ตบหัวพี่เนสดังป้าบ

                    “กูหายแล้ว” พี่เนสลูบหัวตัวเองป้อยๆ

                    “เออ ... กูกลับล่ะ” พี่เมฆส่ายหน้า เดินตรงมาหาผม “พีทอย่าลืมส่งรูปที่ถ่ายกันวันนี้ให้พี่ดูบ้างนะ”

                    “ครับพี่”

                    พี่เมฆเดินไปยืนข้างประตูรถ โบกมือลาผมและหันไปบอกพี่เนส “ไปล่ะเว้ยเนส พรุ่งนี้ตื่นไปทำงานด้วยนะมึง”

                    “เออๆ” พี่เนสโบกมือหยอยๆ

                    ทั้งสองคนเข้าไปนั่งในรถ ... ผมอยากขอบคุณและบอกลาพี่ปิงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงาน จึงรวบรวมความกล้าเคาะกระจกรถด้านคนขับด้วยใจเต้นตึกตัก พี่ปิงเลื่อนกระจกลง มองหน้าผมด้วยสายตาที่แฝงด้วยคำถาม

                    “เอ่อ ... ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติ แม้ว่าในอกจะสั่นอย่างกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว

 

                    ริมฝีปากสีระเรื่อของพี่ปิงไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่มันมีรอยยิ้มบางๆเปื้อนอยู่บนนั้น ... รอยยิ้มของพี่ปิงที่มีให้กับผม ...  นี่ไม่ใช่ความฝัน

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สวัสดีค่ะ ... บทที่ 12 มาแล้ว จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละ 2 ตอนนะคะ ซึ่งหมายความว่าต้องพยายามเขียนตอนล่าสุดให้ได้อาทิตย์ละ 2 บท ซึ่งมันยากมาก ฮ่าๆๆๆ / MissDaisy



# 12 (MHEK)

 

                    หลังจากที่พวกเราไปส่งพีทที่บ้าน ปิงต้องกลับเข้าไปที่ร้านเพื่อปิดบัญชี เพราะเขาขอเฮียคิดออกมา ระหว่างเวลาทำงาน

                    ผมเข้าไปสวัสดีเฮียคิดในครัว ขณะที่ปิงทำงานของเขาอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... เฮียคิดนอกจากจะเป็นเจ้าของร้านแล้วแกยังทำหน้าที่เป็นเชฟใหญ่ประจำร้านอีกด้วย ... ตอนเด็กๆผมจำได้แบบเลือนรางว่าป๊าเคยพาไปนั่งกินข้าวที่ร้านของแกที่อยู่ในตรอกเล็กๆ ... ป๊าเล่าว่าเช้ามืดวันหนึ่งแกขับมอเตอร์ไซค์พ่วงออกไปจ่ายตลาดกับเมียแล้วเกิดอุบัติเหตุถูกรถแท็กซี่ชน เมียแกกระเด็นออกไปแล้วถูกรถที่ตามมาเหยียบซ้ำ หลังจากวันนั้นแกก็ปิดกิจการร้านอาหารลง เฮียคิดเหลือตัวคนเดียวเพราะแกไม่มีลูก ป๊าบอกว่าแกเศร้ามากจนไม่อยากจะอยู่ที่บ้านเดิม จึงติดต่อกับญาติที่อพยพไปอยู่อเมริกาก่อนหน้า ไม่นานแกก็ได้ไปเป็นโรบินฮู้ดอยู่ที่ลอสแองเจลิสนานหลายปี แต่ด้วยความขยันขันแข็งและมีฝีมือ แกจึงมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจนทุกวันนี้

               “เริ่มงานได้เมื่อไหร่วะอาเมฆ?” เฮียคิดเดินนำผมออกมาจากครัว หลังจากสั่งงานพนักงานในครัวเสร็จ และทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันกลับ

               “ต้นเดือนหน้าครับ”

               “ไปดูรถมาเป็นไง?”

               “คิดว่าจะขอป๊าออกป้ายแดงครับเฮีย”

               “ดีๆ ไอ้เล้งมันรวย ฮ่าๆๆ” เฮียคิดหัวเราะเสียงดัง ตบหลังผมดังตุบ

               “ป๊าจะยอมไหมก็ไม่รู้”

               “เอ้ย ถ้ามันไม่ยอมให้มันมาคุยกับเฮีย” เฮียคิดเป็นคนพูดเสียงดัง หัวเราะยิ่งดังไปกันใหญ่

               “ครับ” ผมหัวเราะตาม แอบคิดอย่างที่แกพูดอยู่เหมือนกัน

               “ยังไม่เสร็จเหรออาปิง?” เฮียคิดลดเสียงลงเมื่อหันไปถามคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์

               “เสร็จพอดีครับ” ปิงเงยหน้าจากเครื่องคิดเงิน

               “เด็กๆกลับกันหมดแล้วรึ?” แกคงหมายถึงพนักงานเสริฟ ซึ่งตอนผมกับปิงมาถึง ทุกคนต่างกำลังทำไซด์จ็อบของตัวเอง (Side job คือหน้าที่นอกเหนือจากการเสริฟที่พนักงานจะต้องทำ เช่น การวางช้อนส้อมบนโต๊ะ เทขยะ กวาดพื้น เรียงแก้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละร้านว่าเจ้าของจะกำหนดให้ทำอะไรบ้าง)

               “ครับ” ปิงยื่นกระเป๋าผ้าใบหนึ่งให้กับเฮียคิด เดาว่าน่าจะเป็นเงินที่เขาเพิ่งทำบัญชีรายวันเสร็จ

               “ดีๆ งั้นเฮียกลับก่อนนะ” เฮียคิดรับกระเป๋าใบนั้นมา บอกลาปิงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าของแกเลยสักนิด

               “ครับ” ปิงยกมือไหว้เฮียคิด

               “กลับเว้ยอาเมฆ” แกหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกับเมื่อสักครู่ลิบลับ

               “สวัสดีครับเฮีย” ผมยกมือไหว้

               “เฮียแกพูดกับปิงโคตรเพราะ ไม่เห็นเหมือนเวลาที่พูดกับคนอื่น” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเฮียคิดเดินลับประตูออกไป

               ปิงเอียงคอมองหน้าผม ความหมายคือ “แล้วไง?” เขาหย่อนกุญแจดอกเล็กลงในลิ้นชัก แล้วใช้กุญแจอีกดอกล็อค เดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ค่อยๆไล่ดับไฟในร้านทีละดวง เหลือไว้เพียงหลอดไฟที่หน้าร้าน จากนั้นก็เปิดประตูออกไปโดยไม่บอกกล่าวผมสักคำ ผมจึงรีบวิ่งตามออกไป

               “กินไรยัง?” ผมเอ่ยถามขณะเดินมาที่รถ เดาว่าเขาน่าจะยังไม่ได้กินข้าว เพราะวันนี้เขาทำงานแต่ต้องปลีกตัวออกมาหาผม ไม่น่าจะมีเวลาพอ

               ปิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ … ผมเดาถูก

               “งั้นแวะกินโจ้กร้านจีนไหม?” ร้านอาหารจีนเป็นร้านที่ปิดช้ากว่าร้านอื่นๆ จึงกลายเป็นที่พึ่งพิงของคนทำงานที่เลิกดึก

               “ไม่อยากแวะที่ไหน”

               “ไม่กินข้าวเย็นเดี๋ยวปวดท้องนะ” ผมยังจำได้ดี เมื่อตอนที่เขาปวดกระเพาะอย่างรุนแรง จนต้องไปอีอาร์กลางดึก

               “...”

               “งั้นเดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะต้มมาม่าให้กิน”

                ปิงไม่ตอบ ผมเหมาว่าไม่ปฏิเสธ

 

               เมื่อมาถึงบ้าน ผมวางเป้บนโซฟาแล้วรีบตรงเข้าครัว ตั้งหม้อน้ำแล้วเปิดเตา ปิงเดินตามเข้ามา

               “ออกไปนั่งรอ เดี๋ยวทำให้” ผมเปิดสำรวจตู้เย็น ทั้งตู้มีไข่ 3 ฟองที่พอจะใส่ลงไปในมาม่าได้ ผมจึงหันไปบอกปิง “มีแค่ไข่นะ”

               เขาไม่ตอบ แต่ยื่นโจ๊กให้ผมหนึ่งซอง

               “โอเค” ผมรับซองโจ๊กมาถือไว้ เป็นอันเข้าใจว่าปิงจะกินโจ๊กใส่ไข่ ไม่ใช่มาม่า

 

               “เสร็จแล้ว” ผมวางชามโจ๊กหอมฉุยลงบนโต๊ะกลางหน้าทีวี

               “ขอบใจ” ปิงวางรีโมตในมือ

               “เราสิต้องขอบคุณปิง” เพราะผม เขาจึงต้องทิ้งงานออกมา จนไม่มีเวลากินข้าวกินปลา

               “นายต้องไปขอบคุณเฮียคิด” ปิงเงยหน้าจากชามโจ๊ก

               “ขอบคุณไปแล้ว” เพราะปิงต้องพาผมไปดูรถ เฮียคิดจึงต้องทำหน้าที่ดูแลร้านแทนในระหว่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นพนักงานคนอื่นเฮียแกคงไม่ยอม แต่นี่เพราะผมเป็นลูกของป๊า ... หรือเพราะปิงเป็นคนโปรดก็ไม่รู้

               เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในเป้ของผมดังขึ้น ... เป็นหยกที่โทรมา ผมรับสายแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวโปรด เพราะไม่คิดว่าการคุยกับหยกจะเป็นความลับหรือเรื่องส่วนตัวอะไร และก็คงไม่เป็นการรบกวนปิง เพราะเขากำลังตั้งใจกินโจ๊ก ไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการในทีวี

               “ว่าไง?” ผมทักกลับไปเมื่อได้ยินเสียงเฮลโหลจากทางนั้น

               “ถึงบ้านแล้วเหรอ?”

               “ถึงสักพักแล้วล่ะ หยกมีอะไรหรือเปล่า?”

               “ไม่มีแล้วคุยไม่ได้เหรอ?”

               “เปล่าๆ ก็คุยได้ แต่เมฆกำลังจะอาบน้ำ” ผมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่กำลังโกหกคำโต แต่ปิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขายังคงตักโจ๊กเข้าปาก สลับกับการจ้องไปที่จอทีวี

               “จะนอนแล้วเหรอ?”

               “ก็ยังหรอก แต่วันนี้ตระเวนมาทั้งวันไง หยกมีไรเปล่า? ยังไงคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้หยกทำชิฟต์บ่ายไม่ใช่ เหรอ”

               “ใช่ แล้วเมฆทำ 2 ชิฟต์เลยป่ะคะ?”

               “ช่าย ทำทั้งวัน” พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน และได้ตารางทั้งชิฟต์เช้าและบ่าย

               “งั้นหยกไม่กวนละ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

               “เคครับ เจอกัน”

               “บายค่ะ”

               “บาย”

               เมื่อวางสาย ผมจึงนึกได้ว่าต้องกำชับไอ้เนสให้แวะมารับ เพราะพรุ่งนี้ผมเข้างานกับมัน

               ไอ้เนสส่งไลน์กลับมาว่า “เออ” และมันก็บ่นแถมมาว่าหยกซักมันยกใหญ่เรื่องที่ผมไปส่งพีทที่บ้าน ผมไม่เข้าใจว่าหยกจะใส่ใจทำไมกับเรื่องแค่นี้ และถ้าหยกอยากรู้ ทำไมไม่ถามตอนที่โทรมาเมื่อสักครู่ ... ผู้หญิงบางทีก็เข้าใจยาก

               “อร่อยไหม?” ผมหันไปถามคนที่ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กอย่างเงียบๆ

               “ไม่รู้สิ” ปิงหันมาตอบหน้าตาเฉย

               “เอ๊า อร่อยหรือไม่อร่อยก็บอกดี๊” ที่ถามนี่บางครั้งผมก็อยากได้คำชมจากเขาบ้าง เพราะปกติผมเคยทำอะไรให้ใครกินที่ไหนกัน

               “ร้อน” คำตอบสั้นๆของปิง

               “อ้าว ร้อนทำไมไม่เป่าก่อนล่ะ ปากพองไหมนั่น” ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ มองสำรวจ ... ริมฝีปากที่อยู่ตรงหน้า แดงระเรื่อ ...

               ปิงมองหน้าผม กระพริบตาปริบๆ แล้วตอบสั้นๆ “ลืม” ... เห็นท่านี้แล้วผมก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ลุกขึ้นมานั่งหัวเราะ

               “ขำอะไร?” ปิงยกเท้ายันเข้าที่ต้นขาของผม แล้วหันกลับไปตักโจ๊กเข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมหัวเราะหนักเข้าไปอีก ... ผู้หญิงที่ว่าเข้าใจยาก แต่ผมว่าการทำความเข้าใจกับปิงนั้นยากกว่าหลายเท่า

               ผมนอนดูทีวีโดยไม่ได้ใส่ใจรายการอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ฆ่าเวลาเพื่อรอให้ปิงกินอิ่ม ความจริงเมื่อก่อนแล้วผมไม่ได้เป็นผู้ชายละเอียดอ่อนอะไรอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะปิงคอยใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของผม จนตัวผมเองค่อยๆเรียนรู้จากเขาทีละน้อย อย่างเช่นเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วที่ผมถูกงัดออกมาจากเตียงแต่เช้าเพื่อไปวัด สาเหตุมาจากหม่าม๊าโทรมาบอกว่าแกฝันไม่ดีเกี่ยวกับตัวผม แกอยากให้ผมไปทำบุญ ไอ้ผมก็เลยเล่าให้ปิงฟังโดยไม่คิดอะไร แต่ปรากฏว่าปิงยอมสละเวลาเข้างานในช่วงเช้าและบังคับให้ผมไปวัดกับเขา ทั้งๆที่เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับปิงเลยแม้แต่น้อย

               ปิงกินเสร็จแล้วลุกเอาชามไปล้างเก็บ และขึ้นห้องไปโดยไม่พูดไม่จา แต่ผมก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะปีกว่าที่อยู่ร่วมบ้านกันมา ปิงก็เป็นแบบนี้ บทจะไปก็ไป ผมไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาท แต่มันคือนิสัยของเขา เพราะกับคนภายนอก ปิงถือว่าเป็นคนที่รักษามารยาทได้ดีมากๆคนหนึ่ง

               ผมปิดทีวีและไฟบริเวณชั้นล่างแล้วขึ้นห้องของตัวเองบ้าง เมื่อเสียบสายชาร์จโทรศัพท์จึงเห็นว่าพีทส่งรูปที่พวกเราไปเที่ยวในดีซีมาให้หลายรูป เมื่อเห็นภาพที่พวกเราถ่ายก่อนจะกลับ ผมก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกว่าเบื้องหลังเงาดำนั้น พวกเรากำลังฉีกยิ้มกันอย่างสนุกสนาน

               มีข้อความจากหยก ...

               ... ทำไมพักนี้เมฆหลบหน้าหยก ไม่อยากคุยกันแล้วเหรอ …

               ผมตอบกลับไป

               ... ไม่ได้เป็นอะไร เจอกันพรุ่งนี้ …

 

               ความจริงแล้วสิ่งที่หยกคิดก็ไม่ผิด ผมพยายามเลี่ยงที่จะเจอกับเธอให้น้อยลง ทั้งๆที่พวกเราเพิ่งคบกันได้เพียงไม่นาน

 

               หยกเข้ามาทำงานที่ร้านได้สักประมาณ 5 เดือน เมื่อก่อนเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่ภายหลังได้ออกจากโครงการแล้วเปลี่ยนมาทำงานร้านอาหาร ด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการร้านอาหารไทยคนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะย้ายมาทำงานที่ร้านพี่ปุ๊ก

               หยกมาทำงานที่ร้านไม่นานเราก็เริ่มสนิทสนมกัน เพราะบ่อยครั้งที่พนักงานในร้านจะไปสังสรรค์กินดื่มด้วยกันตามประสาเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งหลายๆคนก็เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน

               หยกเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าคมเฉี่ยว บุคลิกเปรี้ยว รูปร่างสูง มีส่วนเว้าส่วนโค้งสำหรับคนไทยทั่วไปที่นิยมผู้หญิงตัวขาวสไตล์เกาหลีอาจจะบอกว่าหยกไม่สวย แต่สำหรับผม ผิวสีน้ำผึ้งของหยกกลับมีเสน่ห์น่ามอง

               เราเคยมีอะไรกันครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ไปงานวันเกิดไอ้ป้องที่คอนโดเมื่อ 3 เดือนก่อน หลังจากที่ทุกคนเมาหลับกันไปหมด บางคนหลับในห้องรับแขก อีกบางส่วนหลับอยู่อีกห้องซึ่งเป็นของไอ้โก้ ... ผมที่เมาอยู่ไม่น้อย เอนหลับอยู่บนโซฟาโดยมีหยกซบอยู่บนอก สักพักเธอก็บอกว่าอยากอ้วกแล้วเดินไปห้องน้ำ ผมจึงเดินตามไปดู เผื่อเธอจะไม่ไหว พอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็บ่นว่าปวดหัว ผมเห็นห้องไอ้ป้องไม่ได้ปิด และไม่มีใครอยู่ในนั้น จึงบอกให้เธอเข้าไปนอนบนเตียง เพราะคงสบายกว่านอนบนโซฟา ผมเดินเข้าไปส่ง และหลังจากนั้น ...

               แม้เรื่องคืนนั้นจะเกิดจากความมึนเมาของพวกเรา แต่ผมก็รับผิดชอบและถือว่าหยกเป็นแฟนของผม

แต่แล้วเมื่อสัก 3-4 อาทิตย์ก่อน หลังเลิกงาน ในขณะที่ผมกับไอ้เนสกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งมาจอดขวาง และมีผู้หญิงคนหนึ่งลักษณะท่าทางห้าวๆลงมาจากรถพร้อมกับผู้ชายอีก 2 คน ... เธอเดินตรงมาหาผม

               “เมฆใช่ไหม?” เธอมองหน้าผม แบบว่าไม่ผิดตัวแน่ๆ

               ผมพยักหน้าอย่างงงๆ

               “หยกเป็นเมียพี่ ถ้าไม่อยากมีเรื่องก็เลิกตอแยกับหยกซะ” เธอจ้องหน้าผมเขม็ง ถึงน้ำเสียงจะไม่กระโชกโฮกฮาก แต่ก็ถือว่าจริงจังและเอาเรื่องอยู่พอสมควร

               ผมกับไอ้เนสหันมามองหน้ากัน ... มันทำหน้าเหวอ ผมเองก็เหวอไม่น้อยไปกว่ามัน

               “แต่หยกไม่เคยบอกผมว่าเขามีแฟน” ผมโต้ตอบเมื่อตั้งสติได้

               “งั้นก็รู้ไว้ซะ เพราะพี่กับหยกคบกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่หยกจะย้ายมาทำร้านนี้” เธอเป็นผู้หญิงร่างท้วม ไม่ถือว่าเตี้ย แต่เมื่อยืนประจันหน้ากับผมที่สูง 192 เซนติเมตร เธอจึงต้องแหงนเกือบคอตั้งบ่า

               “ผมไม่รู้นะว่าพี่กับหยกมีอะไรกันมาก่อน แต่ตอนที่ผมเริ่มคบกับหยก เขาก็บอกว่าไม่ได้มีใคร ถ้าผมรู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วผมก็คงไม่ยุ่ง” ผมถือเรื่องนี้เป็นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ที่จะไม่ยุ่งกับคนของใคร

               “พี่ก็ไม่รู้ว่าหยกบอกกับคุณว่าไงนะ พี่ถึงได้มาคุยกับคุณนี่ไง” เธอลดโทนเสียงลงเล็กน้อย แต่ฟังยังไงก็ยังไม่ถือว่าเป็นมิตรอยู่ดี

               “ผมว่าคงต้องคุยกับหยกไหมพี่ ถ้าหยกยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ เพื่อนผมก็ไม่ผิด” ไอ้เนสที่ยืนเงียบอยู่นานคงเริ่มตั้งสติได้เหมือนกัน

               “พี่อ้อมเขาคบกับพี่หยกนานแล้ว พวกพี่คงไม่รู้” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มากับผู้หญิงห้าวคนนั้นเอ่ยขึ้น

               “เออ แล้วพวกกูจะรู้ไหมล่ะ?” ไอ้เนสสวนขึ้นมา ผมเริ่มหวั่นใจ กลัวไอ้เนสของขึ้น จึงกระตุกแขนเสื้อมันเอาไว้

               “ผมว่าพี่ไปเคลียร์กับหยกก่อนเถอะ ผมเองไม่ได้อยากแย่งของใคร ถ้าพี่กับหยกยังคบกันอยู่ ผมก็คงไม่ยุ่ง” ถึงผมจะชอบหยก แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องกับใครเพราะแย่งผู้หญิง

               เธอยืนมองหน้าผมสักครู่ ก่อนถอยฉากกลับขึ้นรถ ยกพวกจากไป

               ระหว่างทางกลับบ้าน ไอ้เนสให้ความกระจ่างแก่ผมว่าพี่ผู้หญิงที่ชื่ออ้อมคนนั้นเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยในวอชิงตันดีซี ซึ่งก่อนที่หยกจะย้ายมาทำร้านนี้ เธอก็ทำงานอยู่ที่ร้านนั้นมาก่อน ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดพี่อ้อมคนนี้คงเป็นคนที่ช่วยหยกตอนออกมาจากโครงการเลี้ยงเด็ก

               วันรุ่งขึ้นผมจึงเปรยๆกับหยกว่า มีคนบอกว่าหยกเคยเป็นแฟนกับผู้จัดการร้านไทยในดีซี เธอดูอึ้งๆไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับว่าใช่ แต่เพราะพี่อ้อมคนนั้นแอบมีอะไรกับพนักงานในร้าน หยกจับได้และโกรธมาก จึงลาออกจากร้าน และย้ายบ้านหนี

               เมื่อผมฟังเรื่องจากหยก ก็พอเข้าใจได้ว่าพี่อ้อมอะไรนั่นคงสำนึกได้แล้วมาตามง้อ ซึ่งผมว่าผมไม่ผิด ถือว่าเขาเลิกกันไปแล้ว ผมจึงมีสิทธิ์ที่จะคบกับหยกโดยไม่ต้องแคร์ใคร ถ้าเธอคนนั้นอยากได้หยกคืน ก็มาตามจีบเอาใหม่ ซึ่งผมก็ใจกว้างพอที่จะยอมให้เป็นคู่แข่ง

               แต่ดูเหมือนคู่แข่งของผมจะไม่ยอมอยู่ในกติกา วันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามาหาผมที่ร้านในขณะที่กำลังทำงาน แม้จะเคยพูดคุยกันแค่ครั้งเดียวผมก็จำได้ว่าคือเสียงของคนชื่ออ้อมคนนั้น เธอขู่ว่าถ้าไม่เลิกยุ่งกับหยก ระวังจะเจอดี ... และหลังจากนั้นไม่นาน รถไอ้เนสก็โดนกรีดเป็นทางยาว ถึงเราจะจับมือใครดมไม่ได้ แต่ผมกับไอ้เนสก็รู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร

               อย่าคาดหวังว่าผมจะเป็นพระเอก ... แม้จะชอบหยก แต่คงไม่มากพอที่จะไปมีเรื่องกับใคร ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่การเป็นนักศึกษาในต่างแดน ถ้ามีเรื่องขึ้นมา คงไม่คุ้มสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ หลังจากรถไอ้เนสถูกกรีดได้ไม่กี่วัน ปิงเล่าว่าหลังจากที่จอดรถแล้วกำลังจะเดินเข้าบ้าน เขาลืมของ จึงเดินกลับไปที่รถ แต่มีผู้ชาย 2 คน ยืนอยู่ตรงรถของเขา แม้แสงไฟบริเวณนั้นจะไม่สว่างจ้า แต่ก็พอมองเห็นว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำอะไรสักอย่าง เขาจึงกดรีโมตให้ดังขึ้น คนพวกนั้นตกใจจึงวิ่งหนีไป ... เมื่อฟังเรื่องนี้แล้ว ผมก็ไม่ลังเลที่จะถอยห่างออกมาจากหยก

               แต่จนถึงวันนี้ ผมก็ไม่เคยบอกให้หยกรู้ ทั้งเรื่องของคนชื่ออ้อม และการคุกคามข่มขู่

 

               ผมอาบน้ำเตรียมตัวจะเข้านอน จู่ๆก็มีเสียงเคาะที่หน้าประตู จึงรีบดีดตัวออกมาจากเตียง ผลุนผลันไปเปิดประตู ... แน่นอนว่าคนที่อยู่ข้างนอกย่อมเป็นเพื่อนร่วมบ้านของผม แต่ร้อยวันพันปีปิงไม่เคยมาเคาะห้องของผมในเวลากลางคืนอย่างนี้

               “เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมกวาดตาสำรวจไปทั่วร่างบอบบางที่มีเสื้อคลุมปกปิดมิดชิด ... ห่วงว่าเขาจะปวดท้องหนักอย่างคืนนั้น และหวังว่าจะไม่ใช่เพราะโจ๊กฝีมือของผม

               “พรุ่งนี้ทำงานไหม?” คนที่ยืนตั้งคำถามอยู่ตรงนี้ กลับดูสบายดี

               “ทำ” ผมพยักหน้างงๆ

               “งั้นพรุ่งนี้เช้าขับรถไปส่งแล้วเลิกงานมารับด้วย” เพราะปิงตัวเตี้ยกว่าผมน่าจะสิบกว่าเซนติเมตร เมื่อต้องคุยกันในระยะประชิด เขาจึงต้องแหงนหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

               “ห๊ะ?” ผมยิ่งงงเข้าไปอีก

               “มีปัญหา?” ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย

               “ไม่ๆ” ผมส่ายหน้าพรืด

               “งั้นก็ตามนี้” ว่าแล้วก็หันหลังเดินกลับห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตู ผมรีบชิงพูดขึ้นก่อน

               “ช่วงเบรกจะไปหาที่ร้านนะ ... ไปโกรเซอรี่กัน”

               ปิงหันกลับมาทางผม ชะงักมือค้างอยู่บนลูกบิดประตู

               “ทั้งตู้มีไข่แค่ฟองเดียว” ผมหาเหตุผลมาสำทับ

               เขามองหน้าผมต่อสักครู่หนึ่ง แล้วร่างบางๆก็หายผลุบเข้าไปในห้อง จากนั้นประตูก็ถูกปิดลง

               ผมปิดประตูแล้วกลับขึ้นเตียง ส่งไลน์ไปบอกไอ้เนสว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องแวะมารับ

 

               แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ ปิงถึงต้องให้ผมไปรับไปส่ง ทั้งๆที่ปกติเขาก็ขับรถไปทำงานของเขาเองอยู่ทุกวัน แต่ถึงจะยังงงๆ ผมก็แอบดีใจอยู่นิดๆ ที่พรุ่งนี้จะได้ไปเดินจ่ายตลาดกับปิง

 

               อย่างที่บอก ปิงนั้นเข้าใจยาก ... ยากยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆที่ผมเคยรู้จักมา แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่เคยเบื่อที่จะเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับคนๆนี้ ... แม้แต่วันเดียว

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
#13 [PETE]



                    หลังจากพี่ปิงและพี่เมฆกลับไปแล้ว พี่เนสชวนผมให้นั่งดื่มเป็นเพื่อน ผมไม่อยากปฏิเสธ จึงอยู่กินน้ำอัดลมเป็นเพื่อนแกจนพี่จิวกลับมาจากทำงาน จึงได้ขอตัวขึ้นห้อง

                    เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถึงนึกได้ว่าแบ็ตเตอรี่หมดไปนานแล้ว จึงเสียบชาร์จทิ้งเอาไว้แล้วไปอาบน้ำ

                    เมื่อขึ้นเตียงจึงเปิดเพื่อส่งรูปที่ถ่ายกันวันนี้ให้พี่เมฆและพ่อกับแม่ เล่าเรื่องที่ผมไปเที่ยวกับพี่เมฆให้ท่านฟัง ท่านดีใจมากที่ผมได้เจอคนดีๆ และไม่ลืมเล่าเรื่องป้าแต๋วกับน้ำพริกอ่องด้วย

                    แบมส่งข้อความมาต่อว่าที่ผมหายไป พอมาอยู่อเมริกาแล้วกลับคุยกับเธอน้อยลง ... ผมตอบกลับไป

                    ผม – เราคิดถึงแบมมาก อยากคุยด้วย

                    แบม – อยากคุยแต่ทำไมไม่ค่อยตอบข้อความเราเลย

                    ผม – เรามาหาแบมถึงที่นี่ อยากเจอหน้า ไม่อยากคุยผ่านไลน์แล้ว

                    แบม – เดี๋ยวไปเที่ยวกันอีก วันพุธโรงเรียนหยุด

                    ผม – พีทมีของขวัญมาให้

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์ดีใจ

                    แบม – อะไรเหรอ

                    ผม – เอาไว้เจอกันแล้วก็รู้เอง

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

                    ผม – จริงๆจะให้ตั้งแต่เจอกันแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง

                    แบม – วันพุธเราไปเที่ยวกัน 2 คนก็ได้นะ

                    แบม – พีทอยากไปไหน

                    ผม – ที่ไหนก็ได้ ตามใจแบม

                    แบมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

                    จากนั้นเธอก็ถามเรื่องที่ผมไปเที่ยวคนเดียววันนี้ แม้ผมจะไม่ได้บอก แต่ก็ไม่แปลกใจที่เธอจะรู้จากไมค์ ... คุยกันสักพักผมก็ขอตัวเข้านอน แต่ก่อนจะปิดไฟ ผมคิดว่าควรส่งข้อความถึงไมค์เสียหน่อย เพราะอาการที่เขาเมินเฉยเมื่อตอนกลับมาถึงบ้านนั้นมันดูแปลกๆ

                    ผม – หลับยัง

                    ไม่นานข้อความก็ถูกอ่าน แต่ไม่มีการตอบกลับ รอสักพักจึงส่งไปอีกครั้ง

                    ผม – เมาป่ะเนี่ย

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ยังไม่มีการตอบกลับ

                    ผม – เป็นไรป่าว

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ยังไม่มีการตอบกลับเช่นเคย

                    ผมรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่น่าจะปกติ จึงตัดสินใจโทรไป เพราะดูท่าแล้ว ส่งข้อความไปอีก เขาก็คงไม่ตอบเช่นเคย

                    ไม่นานไมค์ก็รับสาย

                    “เป็นไร ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผมยิงคำถามโดยไม่ต้องรอเสียงเฮลโหลจากปลายสาย

                    /เป็นไรก็ไม่เกี่ยวกับนาย/ น้ำเสียงจากทางนั้นฟังขึ้นจมูกนิดๆ

                    “อารมณ์ไหนเนี่ย?”

                    /มีไร?/ แทนที่จะตอบคำถาม ไมค์กลับตั้งคำถามกลับมา

                    “มีไรล่ะ” ผมแกล้งยอกย้อน

                    /ก็โทรมามีอะไร?/

                    “ก็ไลน์แล้วนายไม่ตอบ” ผมเลิกแหย่เพราะท่าทางฝ่ายนั้นจะเริ่มหงุดหงิดเข้าให้แล้ว

                    /ก็แล้วทีนายล่ะ ปิดมือถือทำไม?/

                    “ปิดอะไร? ไม่ได้ปิด” ผมปฏิเสธเสียงสูง

                    “ไม่ได้ปิดแล้วทำไมไม่อ่านข้อความ โทรก็ไม่ติด” ผมว่าไมค์คงเมาแน่ๆ น้ำเสียงของเขาออกจะโวยวายกว่าปกติ

                    “อ๋อ ... แบ็ตหมด” ผมบอกไปตามความจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะปิดโทรศัพท์อยู่แล้ว

                    “...”

                    “นายห่วงเราเหรอ?” ผมรู้สึกอายนิดๆที่ถามออกไปอย่างนั้น แต่เมื่อนึกถึงที่พี่เนสบอกว่าไมค์มาถามว่าผมกลับหรือยัง พี่เนสจึงชวนนั่งกินเบียร์ด้วยกัน ตลอดเวลาเขาพยายามโทรหาผมอยู่หลายครั้ง

                    “...”

                    “ไมค์”

                    “...”

                    “เงียบทำไม หลับแล้วเหรอ?”

                    “ใช่” ในที่สุดไมค์ก็ตอบกลับมา ... ใช่ของไมค์ คือห่วงผม หรือ หลับแล้ว ผมแอบคิดเล่นๆ ... จึงตอบกวนๆกลับไป

                    “งั้นฝันดีนะ” ถึงจะบอกว่าฝันดี แต่ผมไม่คิดจะวางสาย

                    “...” ไม่มีการตอบโต้ แต่ก็ไม่มีการวางสาย

                    “เราไม่ได้ปิดมือถือ แบ็ตหมดจริงๆ อยู่ข้างนอกทั้งวัน เพาเวอร์แบงค์ก็ไม่ได้พกไปด้วย นายก็รู้ว่าไอโฟน    แบ็ตหมดเร็วจะตาย” ผมพยายามอธิบายอีกรอบ

                    “...”

                    “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง ครั้งหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” ผมคงเดาไม่ผิด ที่คิดว่าไมค์เป็นห่วงผม

                    “ทำไมฉันต้องเป็นห่วงนาย” ไมค์รีบสวนกลับมาทันที ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขายังปล่อยให้ผมพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน

                    “โอเคๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง” ผมแอบยิ้มคนเดียว นึกอยากเห็นหน้าคนที่อยู่ปลายสาย

                    “ง่วงแล้ว จะนอน” ไม่พูดเปล่า เสียงหาวหวอดยังเล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินอีกด้วย

                    “งั้นนอนเถอะ ... ฝันดีนะไมกี้”

                    “ ... Good night”

 

                    เมื่อวานผมอยู่โยงเฝ้าห้องแทบทั้งวัน ตอนเย็นเดินไปเตร็ดเตร่บริเวณหน้าบ้านไมค์ แต่ไม่กล้าไปกดกริ่งเรียก ไมค์เองก็เงียบไปเลยตั้งแต่เราคุยกันคืนนั้น

                    วันนี้ผมนัดกับแบมที่ห้างที่ไมค์เคยพามา ... ก่อนออก ผมไลน์ไปถามเรื่องการเดินทางไปห้างเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง เขาก็ตอบกลับมา ผมจึงคิดว่าเขาคงไม่ได้โกรธอะไร คืนนั้นไมค์อาจจะแค่เมาและผมอาจคิดมากเกินไป

                    วันนี้แบมดูสวยขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เราเจอกันซะอีก ไม่ใช่สาวเหนือตาหยีคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก เราเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย แค่ได้เดินข้างกันและได้เห็นรอยยิ้ม ได้ฟังเสียงหัวเราะของแบม ผมก็มีความสุขแล้ว ... แต่ความสุขนี้มันไม่จริง

                    ผมนึกอยากพาแบมไปกินข้าวร้านสวยๆ บรรยากาศดีๆ แต่เพราะเป็นคนต่างถิ่น จึงไม่รู้หรอกว่าร้านพวกนั้นมันอยู่ที่ไหน ถ้าจะพาไปร้านที่พี่เมฆทำงานอยู่ ก็น่าจะไกลเกินไป พวกเราจึงเลือกซื้ออาหารในฟู้ดคอร์ทมากินแบบง่ายๆ

                    “ให้” ผมวางกล่องเล็กๆที่ห่อด้วยกระดาษสาสีชมพูลงบนโต๊ะ แล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าแบม

                    “อะไรอ่า?” แบมยิ้มตาสระอิ จนผมต้องยิ้มตาม ... แค่เพียงตอนนี้ ผมอยากย้อนเวลาให้พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ... ก่อนที่ผมจะได้ยินบทสนทนานั้นระหว่างแบมและไมค์

                    “เปิดดูสิ”

                    แบมแกะกล่องอย่างทะนุถนอม ค่อยๆหยิบของข้างในออกมาอย่างเบามือ เธอเงยขึ้นมองหน้าผม ยิ้มอย่างมีความสุข แต่เพียงไม่นานก็ก้มหน้าลงต่ำ รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า

                    “ชอบไหม?” ผมถามขึ้น เพื่อทำลายบรรยากาศที่เริ่มอึดอัด

                    “ชอบสิ ชอบมากๆเลยล่ะ” แบมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

                    “มานี่สิ พีทใส่ให้” ผมยื่นมือออกไป แบมจึงยื่นแขนออกมา และส่งสร้อยข้อมือที่ทำจากเงินที่มีจี้ห้อยเป็นรูปหัวใจและตัวอักษร BAM ให้กับผม

                    ในขณะที่ผมกำลังเกี่ยวตะขอสร้อยข้อมืออยู่นั้น …

                    “How lovely! You’re a lucky girl.” ผมชะงักมือ เราทั้งสองต่างหันไปมองที่มาของเสียง ผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งหยุดยืนข้างโต๊ะของเรา

                    “Thank you.” แบมเอ่ยยิ้มๆ

                    “Your boyfriend is so cute” หญิงฝรั่งคนนั้นตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่เธอจะทิ้งรอยยิ้มแล้วเดินจากไป

                    “Actually, she’s not my girlfriend.” ผมไม่รู้ว่าหญิงฝรั่งคนนั้นจะได้ยินประโยคนี้ของผมหรือไม่ แต่สำหรับคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ผมมั่นใจว่าเธอได้ยินมันชัดเจน

                    “พีท ...” แบมเอ่ยชื่อของผมออกมา พร้อมหัวคิ้วที่ขมวดปม “หมายความว่ายังไง?”

                    “หมายความตามนั้น” ผมก้มหน้าตอบ ไม่แน่ใจตัวเองว่าพร้อมจะจบเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ลงในวันนี้

                    “ทำไม?” เสียงของแบมแผ่วเบา อย่างกับเธอไม่ได้นั่งอยู่ตรงหน้า

                    “เพราะแบมไม่ใช่แฟนของพีท แล้วพีทจะเป็นแฟนของแบมได้ยังไงล่ะ” ผมเงยขึ้นมองหน้าเธอ ฝืนยิ้มออกไป

                    แบมส่ายหน้า แววตาที่มองมายังผมเต็มไปด้วยคำถาม

                    ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ... ผมจะทำให้มันจบในวันนี้

                    “วันที่เราไปเที่ยวด้วยกัน พีทได้ยินที่แบมคุยกับไมค์”

                    แบมเบิ่งตาค้าง ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูนั้น

                    “ทีแรกพีทคิดว่าจะรอให้แบมบอกเอง แต่ ... ไม่รู้สิ ยืดเวลาออกไป ก็มีแต่จะทำให้เจ็บมากขึ้น สู้ให้มันจบๆดีกว่า แบมเองก็จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนอย่าง         พีทอีก” ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองพูดอะไร และคำพูดเหล่านั้นได้ผ่านการกลั่นกรองแล้วหรือยัง ... ผมก็แค่พูดมันออกไป

                    “พีท ...”

                    “พีทรักแบมนะ แต่แบมไม่ต้องสงสารพีทหรอก” ผมขบฟันตัวเองเอาไว้

                    “เราขอโทษ” แบมกล่าวในขณะที่น้ำตาไหลลงอาบแก้ม

                    “อื้อ” ผมพยักหน้ารับ กลั้นน้ำตาเอาไว้จนรู้สึกเจ็บที่อก

                    “เราอยากให้แบมเก็บสร้อยข้อมือนี้เอาไว้นะ แม้จะไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว แต่แบมคือผู้หญิงคนแรกที่เรารัก”

                    แบมยกมือขึ้นปิดปาก ไหล่ของเธอสั่นไหว ผมรู้ว่าเธอพยายามห้ามเสียงสะอื้นของตัวเอง

                    “ไม่เอา ไม่ร้อง เดี๋ยวคนเขาคิดว่าพีทรังแกแบมนะ” ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ “กลับกันไหม?”

                    “พีท ...” แบมเอ่ยชื่อขงผมปนสะอื้น

                    “ไม่ต้องพูดอะไรหรอก พีทเข้าใจ ... ไปกันเถอะ” ผมลุกขึ้น ยื่นมือส่งให้เธอ ... แบมเงยขึ้นสบตา แม้มันจะเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ผมจะจดจำแววตาคู่นั้นของแบมตลอดไป ... เธอวางมือไว้บนมือของผม เราจับมือกันไว้แน่นตลอดเวลาโดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีก จนผมส่งเธอขึ้นรถ

                    เมื่อประตูรถเมล์ปิดลง และรถที่แบมนั่งค่อยๆเคลื่อนออกไป น้ำอุ่นๆก็ไหลลงมาอาบแก้มของผมอย่างกับทำนบแตก ... มันจบลงแล้ว รักครั้งแรกของผม

 

                    ระหว่างทางกลับบ้าน แบมส่งข้อความมาขอโทษ ผมตอบกลับไปว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้ไลน์บอกด้วย และบอกเธอไปว่าอย่าคิดมาก ผมโอเค พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ Strong กลับไป

                    แต่ในความเป็นจริง ... ผมซุกหน้าอยู่กับฝ่ามือของตัวเอง พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้อับอายพี่มืดที่นั่งอยู่เบาะข้างๆในรถไฟ

 

                    เมื่อกลับถึงห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลออกมาอีกครั้ง ปกติผมไม่ใช่คนขี้แย ตั้งแต่จำความได้ ผมเคยร้องไห้หนักๆอยู่แค่ 2 ครั้ง ... ครั้งแรกเมื่อตอนที่น้องแบมบี้ กระต่ายที่ผมเลี้ยงหลุดออกจากกรงแล้วถูกหมาของคนข้างบ้านขย้ำตายต่อหน้าต่อตา โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรมันได้เลย นั่นเพราะตอนนั้นผมเป็นเพียงเด็กอายุ 7 ขวบ ที่ไม่กล้าเสี่ยงตายกับเขี้ยวหมาเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก ครั้งที่ 2 คือตอนที่ต้องร่ำลาแบมก่อนที่เธอจะบินมาอเมริกา ... และครั้งนี้ ... ทำไมผมต้องเสียน้ำตาให้กับ ... แบม ... แบมบี้ แบม และแบม ... เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าความคิดชักออกทะเล จึงฝืนยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ผมควรอาบน้ำสระผมให้หัวโล่ง เพื่อเรียกสติกลับคืนมา

                    เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมขึ้นเตียงและส่งไลน์หาพ่อกับแม่ เป็นเพียงการทักทายเพื่อให้ท่านสบายใจว่าทุกอย่างทางนี้เรียบร้อยและผมสบายดี ผมไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง จึงไม่ได้เล่าเรื่องของแบมให้ท่านรู้

                    ความตั้งใจครั้งแรกของผมที่มาเวอร์จิเนีย คือจะพักที่นี่สัก 2-3 อาทิตย์ หรือไม่ก็ลากยาวไปจนถึงหนึ่งเดือน เพราะไหนๆก็จ่ายค่าเช่าไปล่วงหน้าแล้วเต็มเดือน และผมก็มีเวลากลับไปอยู่กับน้าติ๊กอีก 1 อาทิตย์  ก่อนที่จะบินกลับไทย เพื่อไปเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในเมื่อเวลานี้เหตุผลเดียวที่ผมมาที่นี่คือการมาใช้เวลาอยู่กับแบม มันจบลงแล้ว ผมก็ไม่เห็นเหตุผลอื่นที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ...

                    เสียงข้อความไลน์ ฉุดความคิดของผมให้หยุดลง

                    What’s up! เป็นข้อความาจากพี่เมฆ

                    ผม – หวัดดีครับพี่

                    พี่เมฆ – ไง

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้

                    พี่เมฆ – หืมมมม

                    ผม – พี่เมฆ ผมอกหัก

                    พี่เมฆส่งสติ๊กเกอร์ตกใจ

                    พี่เมฆ – ไหวป่ะ

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์หม่นหมอง

                    พี่เมฆ – เฮ้ย! อย่าเศร้า พรุ่งนี้พี่รับไปเที่ยว

                    ผม – พี่ไม่มีเรียนเหรอ

                    พี่เมฆ – มีเช้า

                    ผม – ไม่ทำงาน?

                    พี่เมฆ – มีบ่าย แต่ลาได้

                    ผม – อย่าเลยครับ เกรงใจ

                    พี่เมฆ – ไม่ต้องๆ

                    ผม – ไม่เป็นไรจริงๆครับ

                    พี่เมฆ – แต่เออว่ะ พฤหัสฯก่อนก็ทิ้งชิฟต์ไปทีละ งั้นวันเสาร์ พี่ว่างทั้งวัน เดี๋ยวไปรับที่บ้าน

                    ผมยังไม่ทันจะส่งข้อความตอบกลับไป พี่เมฆก็มัดมือชก โดยส่งข้อความย้ำมาอีก

                    พี่เมฆ – ตามนี้นะ

                    ผมคิดอะไรไม่ออก จึงตอบกลับไป

                    ผม – ครับ

 

                    ผมลังเลว่าจะส่งข้อความ “ฝันดีนะ” ไปให้แบมดีหรือเปล่า ... เมื่อตอนเย็นเธอส่งข้อความมาถามว่าเธอยังคุยกับผมได้เหมือนเดิมไหม เป็นผมเองที่บอกไปว่าผมอยากอยู่เงียบๆสักพัก เพื่อจะได้ใช้เวลากับตัวเอง

ตัดสินใจวางมือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วปิดโคมไฟ แต่ยังคงลืมตามองฝ่าความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วห้องสี่เหลี่ยม ...

                    ผมจะทำยังไงต่อไปดี? จะกลับไปบ้านน้าติ๊กเลยไหม? หรือจะอยู่ที่นี่ต่อจนครบกำหนดที่ตั้งใจไว้? ถ้าอยู่ต่อไป แล้วผมจะอยู่ไปเพื่ออะไร? เพื่อใคร? ผมควรกลับไปหาพ่อกับแม่ กลับไปหาไอ้ม่อกและแก๊ง ใช้เวลากับพวกมัน ก่อนจะต้องแยกย้ายไปเรียน โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีก เพราะต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง

 

                    เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาบ่าย ผมลากสังขารไปอาบน้ำและลงไปหาอะไรใส่ปาก เจอพี่หยกกำลังต้มมาม่า ผมไม่อยากให้เธอเห็นสภาพดวงตาที่แดงก่ำและปูดบวม จึงก้มหน้าทักทายแล้วรีบหอบขนมปังและนมกลับขึ้นห้อง โชคดีที่พี่หยกไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าเป็นพี่เดือน ผมคงไม่สามารถเลี่ยงได้อย่างนี้

                    กินอิ่มแล้วก็หลับไปอีก

                    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างกระแทกพื้นตึกๆ … ลืมตาขึ้นมาก็พบไมค์ที่กำลังเลี้ยงลูกบาสอยู่ข้างเตียง

                    “อะไรของนาย?” ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างหัวเสีย ปวดท้ายทอยหนึบๆ เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ซ้ำยังต้องมาสะดุ้งตื่นอย่างนี้ สมองขาดอ็อกซิเจนกันพอดี

                    “ฉันจะไปเล่นบาส” ไมค์ตอบทั้งๆที่มือยังไม่หยุดเลี้ยงลูกบาสเก็ตบอล

                    “แล้ว?” ผมกุมขมับ

                    “นายต้องไปกับฉัน” ไมค์หยุดเลี้ยงลูกบาส แล้วเอามาหนีบไว้ข้างเอว

                    “ไม่ไป จะนอน” ผมตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน

                    “ห้ามนอน!” ไมค์ออกคำสั่งเสียงดัง รั้งคอเสื้อของผมเอาไว้

                    “อะไรวะ!” ผมหงุดหงิดจริงจัง ปัดมือเขาออกจากคอเสื้อ ในเวลาปกติเขาจะเอาแต่ใจยังไงผมไม่ว่า แต่ไม่ใช่ในเวลานี้

                    ดูท่าไมค์จะตกใจกับท่าทีของผมอยู่ไม่น้อย ผมเองก็เริ่มรู้ตัวว่าทำกิริยาที่ไม่ดีกับเขา

                    “เรา ... ขอโทษ เราอยากนอน เราไม่อยากเล่นบาส” ผมลดน้ำเสียงให้เบาลง เมื่อเห็นสีหน้าของไมค์

                    ไมค์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ปล่อยลูกบาสลงบนพื้น เขาหันมามองสำรวจใบหน้าของผม แล้วเอื้อมมือมาบีบที่ท้ายทอยของผมเบาๆ

                    “ฉันอยากมาดูว่านายโอเคไหม แต่เห็นสภาพแล้ว ฉันคิดว่าไม่โอเค”

                    ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มองหน้าเขา ไมค์คงรู้เรื่องจากแบมแล้ว แน่นอนล่ะเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นะ

                    “เราอยากกลับบ้าน ...” ผมเอ่ยออกมาอย่างคนอ่อนแอ และน้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อท้น ร่วงหล่นต่อหน้าต่อตาไมค์ ... ผมโคตรอาย แต่ก็ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้

                    คิดว่าเขาคงแอบหัวเราะและล้อผมแน่ๆ แต่เขากลับทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง ... ไมค์ดึงตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ ผมฝืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็เลิกขืนตัวเอง แล้วปล่อยสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

                    เป็นอันว่าเย็นนั้นเราไม่ได้ไปเล่นบาส ... เมื่อผมหยุดร้องไห้ เขาจึงชวนไปกินข้าวที่บ้าน ทีแรกผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ใครเห็นสภาพในตอนนี้ แต่ไมค์บอกว่าไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากคุณย่า ซึ่งท่านกำลังดูละครอยู่ในห้องส่วนตัวของท่าน ผมจึงยอมออกจากห้อง และไปกินข้าวที่บ้านไมค์

                    ระหว่างกินข้าวผัดที่คุณแม่ของไมค์ทำเอาไว้ให้ เขาเล่าว่าคุณย่าติดละครไทย ซึ่งสามารถหาดูได้จากโปรแกรมแบบจ่ายรายเดือน โดยจะมีรายการจากประเทศไทยของทุกช่อง พร้อมหนังต่างประเทศอีกมากมาย และเนื่องจากไมค์เป็นหลานคนเดียว เมื่อว่างจากการเรียน ไมค์จึงมีหน้าที่นอนดูทีวีเป็นเพื่อนคุณย่า

                    ไมค์รักคุณย่ามาก เพราะคุณย่าเป็นคนเลี้ยงเขามา คุณพ่อคุณแม่และน้าเจนี่ต้องทำงาน ทุกคนจึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับเขา

                    ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไมค์ถึงใช้ภาษาไทยได้อย่างกับเกิดในเมืองไทย เพราะเขาดูละครไทยกับคุณย่าเป็นประจำนี่เอง

                    หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ไมค์ชวนผมเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน เราเดินกันไปเงียบๆ ผ่านสนามบาสเก็ตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของไมค์ มีวัยรุ่น 3-4 คนกำลังเล่นกันอยู่ … ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เราเดินกลับมาถึงหน้าบ้านพักของผม ก่อนจะแยกกัน ผมคิดว่าควรบอกเขาเรื่องที่พี่เมฆจะมารับไปเที่ยวในวันเสาร์นี้

                    “นายจำพี่ที่มาส่งเราเมื่อวันก่อนได้ไหม?”

                    “คนไหน?”

                    “ก็คนที่พาเราไปเที่ยวในดีซีไง”

                    “อือ” ไมค์พยักหน้า

                    “นั่นล่ะ วันเสาร์พี่เขาจะมารับเราไปเที่ยว”

                    ไมค์จ้องหน้าผม ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขออนุญาตพ่อกับแม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วรอลุ้นว่าท่านจะอนุญาตไหม

                    “เที่ยวไหน?”

                    “เอ่อ ... ไม่รู้สิ ไม่ได้ถาม”

                    “เขาจะพาไปไหนก็ไม่รู้ คนเพิ่งรู้จักกัน ไว้ใจได้แค่ไหน”

                    “เอ่อ ...” ทำไมไมค์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กไม่ได้ความยังงี้นะ

                    “บอกเขาไปว่านายไม่ไป”

                    “ได้ไงเล้า เราตอบตกลงไปแล้ว พี่เมฆก็ไม่ใช่คนร้ายที่ไหน เราดูคนออกหรอกน่า” พี่เมฆออกจะใจดี แล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาหลอกลวงผม

                    ไมค์ยังจ้องหน้าผมเขม็ง

                    “ขอบใจนะที่เลี้ยงข้าวเย็น” ผมหลบสายตา รีบตัดบท

                    “งั้นฉันไปด้วย” ไมค์พูดจบแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ผมมองตามร่างสูงนั้นอย่างงงๆ

                    “โอเค ... อยากไปก็ไปสิ” ผมรำพึงอยู่ตามลำพัง

                    ก่อนที่ร่างสูงจะเดินห่างออกไปไกลกว่านี้ ...

                    “ไมค์!” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง

                    ร่างสูงชะงักฝีเท้า

                    “พรุ่งนี้เราจะไปเล่นบาสกับนาย” ผมตะโกนบอกไป

                    ไมค์หันหน้ากลับมา แล้วตะโกนกลับมาที่ผม

                    “งั้นนายรีบเข้านอนเลย พรุ่งนี้ฉันจะมาปลุกนายแต่เช้า เพราะพรุ่งนี้ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ฮ่าๆๆ”

 

                    แม้ว่าไมค์จะยืนห่างออกไปหลายเมตร แต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างที่เขาส่งมานั้นกลับชัดเจนเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันบนขอบฟ้า

 

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) Ping's image
«ตอบ #25 เมื่อ16-05-2016 13:38:51 »

สวัสดีค่ะ ... ก่อนอัพตอนที่ 14 ขอพูดเรื่องอิมเมจของพี่ปิงกันสักหน่อย ... ตั้งแต่เริ่มต้นผู้เขียนก็มีภาพของพี่ปิงชัดเจนอยู่ในหัว อาจจะมีภาพซ้อนของศิลปินท่านหนึ่งที่ผู้เขียนเคยชื่นชอบ แต่ก็ไม่เหมือนไปเสียทีเดียว จนเมื่อมาพบภาพของ XingYe ใช่เลย!! พี่ปิงที่เป็นคนจริงๆแบบสัมผัสได้คือคนนี้เลย ร่างบอบบาง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเล็กรูปไข่ ดวงตายาวรีสีนิลอย่างกับท้องฟ้ายามค่ำคืน คิ้วเข้ม จมูกเล็กแหลม ปากสีแดงระเรื่อ และผมยาวดกดำ ... และน้ำตาของพี่ปิงในตอนนี้ / MissDaisy

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2016 21:32:53 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #26 เมื่อ16-05-2016 21:30:44 »

#14 [MHEK]



                    เพราะวันก่อนเจ้าเด็กหลงส่งข้อความมาบอกว่ามันอกหัก ผมไม่รู้จะปลอบใจมันยังไง จึงบอกไปว่าจะพาไปเที่ยว แต่แล้วก็นึกไม่ออกว่าจะพาไปเที่ยวไหน

                    “ปิงจำพีทได้ไหม?” ผมถามขึ้นขณะที่เราเอกเขนกอยู่หน้าทีวี

                    “อือ”

                    “มันอกหัก”

                    “...”

                    “ทีนี้เราเลยบอกจะพาไปเที่ยวปลอบใจ ... ไปไหนดีอ่ะ?”

                    “เมื่อไหร่?” ปิงถามโดยไม่ได้ละสายตาจากจอทีวี

                    “ก็บอกไปว่าวันเสาร์”

                    “พรุ่งนี้?” คราวนี้ปิงหันมาทิ้งสายตาระอาไว้ตรงหน้า ผมรู้ว่าเขากำลังคิดว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงพรุ่งนี้อยู่แล้ว มึงเพิ่งจะมาถาม

                    “ก็พรุ่งนี้แหละ ฮ่าๆ พอดีเมื่อวานยุ่งๆ เลยลืมไปเลย” ผมไม่เชิงจะแก้ตัว

                    ปิงส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย

                    “พาไปสวนสนุกดีไหม?” ผมคิดว่าวัยรุ่นอย่างพีทน่าจะชอบพวกเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีมต่างๆ

                    “ก็ดี”

                    “ปิงไปด้วยนะ” ผมสะกิดต้นขาที่อยู่ภายใต้กางเกงขายาวลายอุลตร้าแมน ... คงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ... จนชิน

                    อาการส่ายหน้าคือคำตอบจากปิง

                    “ไปเหอะ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ” ผมพยายามทำเสียงออดอ้อน

                    “ไม่” น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นของปิง ทำให้ผมรู้ว่าอย่าอ้อนวอนซ้ำให้เสียเวลา

                    “ปิงอยากไปไหน?” ผมเปลี่ยนแนวทาง

                    “อยู่บ้าน”

                    “งั้นอยู่บ้าน ดูหนัง ทำอาหารกิน” ผมยื่นหน้าไปใกล้

                    “ใครทำ?” ปิงโขกหัวผมด้วยรีโมทคอนโทรล

                    “พี่ปิงไง” ผมคลำหัวตัวเองป้อยๆ

                    ปิงถอนหายใจ วางรีโมตคอนโทรลที่ถือครองอยู่ในมือลงบนโต๊ะกลาง

                    “อย่าลืมส่งข้อความไปคอนเฟิร์มนัดให้เรียบร้อย” พูดพร้อมลุกขึ้นยืน

                    “ได้ๆ” ผมรับคำอย่างลิงโลด

                    “กินเที่ยงก็แล้วกัน ช่วงเช้าจะได้มีเวลาไปโกรเซอรี่” ปิงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน

                    “ครับ!” ผมตอบเสียงดัง “ขอบคุณนะพี่ปิง ... ฝันดีนะ” แม้เขาจะเดินหายไปแล้ว แต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน

                    ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวัน ผมยิ่งได้รับรู้ถึงด้านอ่อนโยนของปิง ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าปิงเป็นคนเย็นชา ด้วยความที่เขาเป็นคนพูดน้อย ถามคำตอบคำ แต่สำหรับผม ปิงเป็นคนใจดีและขี้สงสารที่ปากแข็งชะมัด

                    ผมส่งข้อความไปนัดพีทว่าจะไปรับมากินข้าวที่บ้านตอนเที่ยง พีทตอบกลับมาว่าขอชวนเพื่อนไปด้วย ผมตอบกลับไปว่ายินดี คนเยอะๆ จะได้สนุก

                    หยกส่งข้อความมา

หยก – พรุ่งนี้ไปเอาท์เล็ทกันไหม

ผม – ไม่ทำงาน?

หยก – แลกกับเนส

ผม – เมฆไม่ว่าง มีนัดแล้ว

หยก – ไปไหนกับใคร

ผม – พีท

หยก – พีทที่อยู่บ้านกะหยกเนี่ยนะ

ผม – ใช่

หยก – ไปสนิทกันตอนไหน เพิ่งเจอกันไม่ใช่เหรอ

ผมไม่ตอบ ขี้เกียจอธิบาย

หยก – ไปไหนกัน

หยก – หยกไปด้วยได้ป่ะ

ผม – ไม่ไปไหน มากินข้าวที่บ้าน

หยก – เหรอ น่าสนุก

ผมเดาว่าหยกคงจะขอมาด้วย

ผม – พี่ปิงก็อยู่ด้วย

หยก – งั้นไม่เป็นไร ไว้เจอกันวันอาทิตย์ หยกเข้าเช้าด้วย

ชื่อพี่ปิงยังใช้ได้ผลเสมอ

ผม – อือ

หยก – เรายังไม่มีเวลาได้คุยกันเลยนะเมฆ

ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ผม – จะนอนแล้วนะ

หยก – ไม่อยากคุยกับหยกเหรอ

ผม – วันนี้เรียนเครียดมาก ตอนเย็นก็ทำงานอีก เมฆปวดหัว

หยก – ค่ะ งั้นนอนเถอะ

ผม – บาย

หยก – ฝันดีค่ะ

                    ผมมองข้อความสุดท้ายของหยกด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ... อาจถึงเวลาที่ต้องทำอะไรให้เด็ดขาดสักที

 

                    “เมฆ” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นหลังจากเสียงเคาะประตูเงียบลง ผมปรือตา ยกนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู ... เก้าโมงกว่า

                    ลงจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูห้องนอน ... ปิงยืนอยู่หน้าห้อง สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ซีดขาดเข่าตัวโปรดที่ผมเห็นเขาใส่ประจำในวันหยุด ผมยาวถูกรวบเอาไว้หลวมๆเช่นเคย ในรอบเกือบ 2 ปีที่อยู่ร่วมชายคากันมา แทบนับครั้งได้ที่จะเห็นปิงปล่อยผมสยาย แต่ครั้งที่ผมจำได้ติดตาไม่เคยลืม คือวันแรกที่เราได้พบกัน วันที่ปิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู และหิมะก็โปรยปรายลงมา และอีกครั้งคือวันที่ผมพลาดจากทริปนิวยอร์ก แล้วกลับบ้านมาประจันหน้ากับคุณกร

                    “จะไปตลาด อยากกินอะไร?” ปิงเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว คงไม่พอใจที่ผมเปิดประตูออกมายืนจ้องเขาโดยไม่พูดอะไร

                    “ไปด้วยดิ กินอะไรก็ได้ แล้วแต่ปิง”

                    “ให้เวลาสิบนาที”

                    “ห้านาทีก็พอ” ผมยิ้มแป้น

                    “สิบนาที อาบน้ำด้วย” สั่งแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง

                    ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำอย่างว่อง

 

                    หลังจากจ่ายตลาดเสร็จ ผมส่งปิงกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหาร ส่วนตัวเองออกไปรับพีท

                    เพื่อนที่พีทชวนมาด้วยคือไมค์ หลานชายคุณตองนวลนั่นเอง ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพีทเพิ่งมาไม่กี่วัน จะรู้จักใครที่ไหน

                    ไมค์เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงชะลูด สูงพอๆกับพีท แต่ดูบางและเก้งก้างกว่า คงเพราะพีทมีกล้ามเนื้อมากกว่า ส่วนไมค์ออกแนวผอมอย่างวัยรุ่น แต่ไม่เพรียวบางอย่างปิง เมื่อมองชัดๆ ไมค์ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเอาการ ใบหน้าคมสัน บวกกับผิวที่ขาวออกชมพูและผมสีน้ำตาลอ่อน ถ้ามองเผินๆ อาจคิดว่าเป็นลูกครึ่ง แต่ไมค์ยืนยันว่าเขาไม่ใช่ ในขณะที่เรานั่งรถมาที่บ้าน

                    “เออ แต่คล้ายๆนะ” ผมยังยืนยันความคิดตัวเอง

                    “ไม่ใช่หรอกพี่ ผมเคยเห็นพ่อกับแม่เขาแล้ว” พีทยืนยันเชื้อชาติให้กับไมค์

                    “ผมคงเหมือนคุณปู่ เพราะมีเชื้ออยู่บ้าง แต่ไหงพอมาผสมกับคุณย่า พ่อผมถึงออกมาเป็นอาเจ็กได้ก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ” ไมค์เล่าประวัติของตัวเองไป ขำไป

                    “เออ สงสัยหล่อได้คุณปู่” ผมหัวเราะผสมโรง

                    “พี่เมฆว่าผมหล่อใช่ป่ะล่ะ?” ไอ้เด็กเชื้อฝรั่งชะโงกหน้าออกมาจากเบาะหลัง

                    “เออ” ผมตอบหนักแน่น ให้สาแก่ใจไอ้คนหลงตัวเอง

                    “นายว่าฉันหล่อไหม?” ไมค์หันไปเอาคำตอบจากเพื่อนที่นั่งเบาะข้างๆผม

                    “นายอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ?”

                    “แบบไหนก็ตอบมา!” น้ำเสียงไมค์มีอาการข่มขู่

                    “เฮ้ย! จะฆ่ากันรึไง” พีทส่งเสียงโวยวาย ผมจึงหันไปมอง ปรากฏว่าไมค์กำลังเอาแขนล็อคคอพีทให้ติดอยู่กับเบาะ

                    “เอ้าๆ อย่ามาฆ่ากันตายในรถกูนะโว้ย ขี้เกียจเป็นพยาน” ผมหัวเราะให้กับไอ้เด็กสองคน

                    “ตอบ!” ไมค์ยังคาดคั้นไม่ปล่อย

                    “เออ!” ไอ้พีทพยายามเค้นเสียงให้เล็ดลอดออกจากคอที่ถูกล็อคเอาไว้แน่น

                    “เอออะไร?” ไอ้เด็กแสบข้างหลังยังไม่ยอมลดละ

                    “หล่อ แค่กๆ” ไอ้พีทแค่นคำตอบออกมาพร้อมไอค่อกแค่ก ส่วนไอ้เด็กเชื้อฝรั่งยอมปล่อยแขนให้เพื่อนเป็นอิสระ เมื่อได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ

                    “That’s it!” ไมค์ยอมกลับไปนั่งพิงเบาะอย่างสบายอารมณ์ ผมล่ะนึกสงสารพีทจับใจ

 

                    พีทดูตื่นเต้นเมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน

                    “บ้านพี่น่าอยู่” เขามองไปบริเวณรอบๆ “มีป้ายรถเมล์หน้าบ้าน เจ๋งอ่ะ ดูดิ” พีทสะกิดให้ไมค์มองตามนิ้วของตัวเอง ไมค์ก็พยักหน้ารับไปอย่างนั้น

                     “มาแล้วคร้าบ” ผมส่งเสียงทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไป ปิงเดินออกมารับที่โถง ก่อนหน้านี้คงกำลังดูรายการตกแต่งสวน หนึ่งในรายการโปรดของเขา

                    พีทยกมือไหว้ปิง ส่วนไมค์มองอย่างลังเล ก่อนจะยกมือไหว้ตาม

                    ปิงเตรียมบาร์บีคิวไว้ให้ เขาให้เหตุผลว่าน้องๆจะได้มีอะไรทำ ดีกว่ามานั่งกินเฉยๆ ผมเห็นด้วย ได้ช่วยกันปิ้งไปด้วย กินไปด้วย น่าจะสนุก

                    เรามีสนามหญ้าเล็กๆตรงหน้าบันได จึงวางเตาไว้ตรงนั้น แม้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่อากาศไม่ร้อนเพราะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ริมถนนที่ให้ร่มเงาครอบคลุมไปจนถึงบันไดหน้าบ้าน

                    พวกเรานั่งบนเก้าอี้สนามแบบพับคนละตัว ดื่มเบียร์กระป๋องกันทุกคน ยกเว้นพีทที่ทีแรกทำท่าลังเล แต่ไมค์บอกว่าขี้เกียจเห็นคนอ้วกแตก และยึดเบียร์ที่เป็นส่วนของพีทเอาไปไว้เสียเอง ไอ้เจ้าพีทก็โวยวายว่าไมค์รู้ได้ยังไงว่ามันจะเมาแล้วอ้วก แล้วมันทั้งสองก็เถียงกันโหวกเหวก ส่วนปิงก็นั่งจิบเบียร์มองเด็กๆไปเงียบๆ แต่ผมดูออกว่าปิงมีความสุข เพราะใบหน้าเขาฉาบด้วยรอยยิ้มนิดๆ บางครั้งยังเผลอหัวเราะไปกับเจ้าเด็กสองคนนั้น

                    ผมสังเกตว่าพีทลอบมองปิงอยู่บ่อยๆ บางครั้งเหมือนอยากพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็ชะงักไป เพราะเจ้าไมค์คอยหาเรื่องมาแหย่มันอยู่ตลอดเวลา

                    ไมค์เล่าเรื่องของมันกับเพื่อนๆและวีรกรรมแสบๆในโรงเรียนอย่างออกรส พอผมถามว่าพีทมีอย่างไมค์บ้างไหม ไมค์ก็ตอบแทนเสียเองว่าพีทเป็นคุณหนู เป็นหนอนหนังสือ รับรองไม่มีวีรกรรมอย่างมันแน่ๆ ไอ้เจ้าพีทรีบเถียงว่ามันเคยต่อยรุ่นพี่ปากแตกตาเขียวมาแล้ว พอถามว่ามีเรื่องอะไรกัน เจ้าพีทก็อึกอัก ตอบว่าไม่มีอะไร ทำให้เจ้าเชื้อฝรั่งไม่เชื่อ ทำหน้าดูถูก ไอ้พีทจึงลุกขึ้นคว้าข้อมือไอ้ไมค์มาไพล่หลังแล้วล็อคคอ เด็กเชื้อฝรั่งถึงกับหน้าซีดอยู่ในวงแขนไอ้คุณหนู ... นั่งมองเจ้าเด็กสองคนนี้ไปนานๆ ผมชักเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง ... แก่

                    “ดูหนังกันไหม?” ผมเอ่ยขึ้น ก่อนที่ตัวเองจะนั่งแก่ไปกว่านี้

                    “เอาดิ เรื่องอะไรพี่?” ไมค์ถามอย่างกระตือรือร้น คงเบื่อสถานการณ์ตรงนี้ ตั้งแต่ถูกไอ้คุณหนูจับล็อคคออย่างหมดท่า

                    “เยอะ ไปเลือกดู” ผมชอบดูหนัง แต่พอมาอยู่อเมริกาก็ไม่ได้ออกไปดูตามโรง แต่เลือกที่จะซื้อแผ่นมาดูที่บ้านแทน ... ในเวลาว่าง ได้นอนบนโซฟาตัวโปรด จิบเบียร์เย็นๆ ดูหนังดีๆ มีตีนขาวๆของปิงคอยถีบเวลาผมกวนๆ ... มันคือความสุขของผม

                    พวกเราช่วยกันเก็บของขึ้นบ้าน เจ้าสองคนอาสาล้างจาน แต่เพราะเราใช้จานกระดาษกันเสียส่วนใหญ่ ปิงจึงบอกให้พวกเราไปดูหนัง เขาจะเคลียร์ของในครัวเอง

                    Avatar เป็นหนังที่พวกเราเลือก แม้ทุกคนจะเคยดูกันมาแล้ว แต่ก็ลงความเห็นว่าดูกี่ครั้งก็ยังสนุก

                    ผมเอนหลังอยู่กับไมค์บนโซฟายาว ส่วนพีทนั่งบนรีไคลเนอร์ที่ประจำของปิง ... ปิงเคลียร์ของในครัวเสร็จจึงเข้ามาร่วมวงด้วย ผมขยับนั่งตรง กะจะให้ปิงมานั่งด้วย แต่ก็ช้ากว่าพีทที่ลุกขึ้น แล้วบอกให้ปิงนั่งแทนที่เขา

                    “ไม่เป็นไร” ปิงทำท่าจะไปลากเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวมานั่ง แต่พีทดึงข้อมือปิงเอาไว้ แล้วดันให้ปิงนั่งลงตรงที่เขาเคยนั่งและพีทก็เลือกที่จะนั่งลงบนพรมข้างๆรีไคลเนอร์ของปิง

                    “ขอบใจนะ” ปิงก้มลงไปส่งยิ้มให้กับพีทที่เงยหน้าขึ้นมามอง ไอ้พีทไม่ยิ้ม แต่มันทำหน้า ... ผมว่ามันทำหน้าเหมือนกำลังเขิน ... ผมได้แต่นั่งมองอยู่เงียบๆ เมื่อหันไปมองไอ้เด็กเชื้อฝรั่งที่นั่งอยู่ข้างๆ มันกำลังเบือนหน้ากลับไปหาจอโทรทัศน์

                    เราดูหนังกันไป วิจารณ์กันไปเพราะต่างคนต่างเคยดูกันมาก่อนแล้ว ผมลอบมองไปยังคนคู่ข้างๆหลายครั้ง ก็พบว่าแทบทุกครั้งพีทกำลังเหลือบมองปิงเสียมากกว่าจะมองที่หน้าจอ ... ไม่รู้ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า

                    ก่อนหนังจะจบ ปิงพูดขึ้นมา “กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

                    “ใช่ๆ ไหนๆก็อยู่กันจนเย็นแล้ว” ผมเห็นด้วย

                    “ครับ” พีทตอบขึ้นมาเสียงดัง

                    “ไม่เกรงใจเล้ย” เสียงไมค์เอ่ยลอยๆ เพราะมันพูดโดยที่ยังจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ ผมว่ามันประชดเพื่อนมัน

                    “เกรงใจอะไรเล้า อยู่กันจนป่านนี้” ผมตบไหล่ไมค์

                    “งั้นดูกันไป เดี๋ยวจัดการให้” ปิงเอ่ยพร้อมลุกขึ้น

                    “ผมช่วย” พีทรีบเสนอตัวและลุกตาม

                    “เอางั้นเหรอ” ปิงยิ้ม ... ผมว่าวันนี้ปิงยิ้มพร่ำเพรื่อเกินวิสัยปกติ

                    “ครับ” ไอ้พีทก็ยิ้ม ... ทั้งสองคนเดินเข้าไปในครัวด้วยกัน

                    ผมเหยียดขา ถีบไมค์เบาๆ “ไปนั่งนั่นดิไมกี้”

                    ไมค์มองหน้าผมก่อนย้ายไปนั่งที่รีไคลเนอร์ “ไหวไหมพี่?” มันถาม

                    ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถามยังงั้น แต่ก็ตอบกลับไป “เออ”

 

                    หนังจบแล้วแต่สองคนในครัวยังทำอาหารไม่เสร็จ โผล่หน้าเข้าไปในครัวก็ถูกไล่ออกมา จึงชวนไมค์ให้ดูรถที่ผมสนใจจะซื้อและกำลังศึกษาข้อมูลอยู่ เจ้าเด็กนี่รู้เรื่องรถมากกว่าที่ผมคิด มันบอกว่ามันก็อยากได้สักคัน ได้ใบขับขี่เมื่อไหร่มันจะซื้อ

                    “มีตังค์เหรอเรา?” ผมเย้าเล่นๆ ทั้งๆรู้ว่าคุณตองนวล ย่าของไมค์นั้นรวยมาก

                    “เก็บได้แล้วบางส่วน ที่เหลือจะยืมคุณย่า แล้วจะทำงานมาคืน” สีหน้ามันจริงจัง ผมว่าเด็กฝรั่งแตกต่างกับเด็กไทยก็ตรงนี้ พอายุ 18 ก็เริ่มรับผิดชอบตัวเอง ไม่คอยแบมือขอเงินพ่อแม่ ว่าไปแล้วผมก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป จนป่านนี้ยังขอเงินพ่อแม่ใช้ แม้ตอนนี้จะเริ่มทำงานพิเศษ แต่ก็พอแค่จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ ส่วนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็ยังเป็นเงินของพ่อแม่อยู่ดี จากนี้ไปผมคงต้องปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ ไม่งั้นคงอายไอ้เจ้าเด็กเชื้อฝรั่งนี่

                    “พี่จะอยู่อีกนานเหรอ ถึงซื้อรถใหม่” ไมค์เอ่ยถาม

                    “ก็กะว่าให้นานเท่าที่จะทำได้ นี่พยายามเรียนให้จบช้าๆ ฮ่าๆๆ”

                    “ไม่ใช่สอบไม่ผ่านเหรอ?” ไอ้เด็กนี่มันรู้ทัน … แต่ก็ไม่เชิง จริงๆผมพยายามยืดเวลาจบให้ช้าที่สุด จึงเรียนไปเรื่อยๆ ตกบ้าง ผ่านบ้าง ผมไม่อยากรีบกลับไปเป็นเถ้าแก่โรงไม้ นี่อยู่มาปีกว่า ถ้าเป็นคนอื่นก็คงเหลืออีกไม่เยอะก็น่าจะจบ แต่สำหรับผม อย่างน้อยก็อีกเป็นปี และผมจะพยายามหาที่ฝึกงานให้ได้เพื่อจะยืดเวลาออกไปอีก

                    “รถใหม่ขับสบายใจกว่ารถเก่า” ผมเฉไฉกลับไปคุยเรื่องรถ

                    “ถ้าพี่กลับเมืองไทย แล้วใครจะอยู่กับพี่ปิง?” คำถามของไมค์ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ไมค์ตั้งคำถามที่ผมไม่เคยนึกถึง และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องนึกถึงเรื่องนี้ แต่พอไมค์ถาม มันทำให้ผมเริ่มนึก ... คำถามของไมค์ทำให้ผมมึน

                    เสียงกริ่งที่หน้าประตูช่วยผมเอาไว้ได้ ... ใครมาเวลานี้?

                    “เดี๋ยวไปดูเอง” ผมตะโกนบอก

 

                    ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ...

                    “คุณปิงอยู่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถาม เมื่อผมโผล่หน้าออกไป

                    “เอ่อ ... ครับ ... คุณ?” ผมควรจะรู้เสียก่อนว่าเธอคือใคร ถึงเธอจะเป็นคนไทย แต่ก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แม้ท่าทางและการแต่งตัวของเธอจะดูเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าทุกอย่างบนตัวเธอล้วนเป็นของแบรนด์เนมระดับไฮเอ็นด์

                    “ใครมา?” เสียงของปิงดังอยู่ข้างหู เมื่อหันกลับไป ปิงก็มายืนอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                    “สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยทัก ปิงจึงชะโงกหน้าออกมา ผมสังเกตเห็นว่าปิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็เพียงแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะปรับให้กลับมาราบเรียบตามเดิม

                    “ฝากในครัวต่อด้วยนะ เสร็จแล้วกินกันก่อนเลย” ปิงหันมาบอกผม ก่อนจะเบี่ยงตัวเบียดออกมานอกประตู ผู้หญิงคนนั้นขยับเท้าไปข้างหลังเล็กน้อย ปิงหยุดมองหน้าเธอ ก่อนจะเดินนำลงบันไดไป โดยที่มีผู้หญิงคนนั้นเดินตามไปติดๆ

                    ผมกลับเข้ามาในบ้าน เจ้าสองคนสนอกสนใจกันใหญ่ว่าใครมา แล้วปิงหายไปไหน ผมตอบได้คำเดียว “ไม่รู้”

                    พีทบอกว่าปิงจะทำเนื้อผัดกระเพา ไข่เจียวกับต้มยำกุ้ง เตรียมของไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือปรุง เราทั้งสามคนจึงช่วยกันละเลงต่อ

                    พวกเราจิบเบียร์รอ คุยกันไปเรื่อยเปื่อย กว่าจะรู้ตัวปิงก็หายไปเป็นชั่วโมง

                    “พี่ว่าไมค์กับพีทกินกันก่อนเถอะ หิวแย่แล้ว” ผมมองอาหารบนโต๊ะที่ไม่มีใครยอมแตะ

                    “ยังไม่หิวพี่ ตอนกลางวันกินไปเยอะ” ไมค์เอ่ย

                    “พี่ปิงจะโอเคแน่นะพี่เมฆ” พีทถามพลางลูบกระป๋องเบียร์ในมือ ท่าทางมันดูกังวล ไมค์ถึงยอมอนุญาตให้ดื่มได้

                    “ไม่เป็นไรหรอก พี่ส่งไลน์ไปถามแล้ว พี่ปิงบอกว่าเพื่อนมาจากเมืองไทยแวะมาทักทาย” ไอ้ประโยคเรื่องเพื่อนนี่ผมเพิ่มเอง เพราะเห็นสีหน้าเจ้าพีทแล้ว ถ้าบอกแค่ว่าโอเคมันคงไม่หยุดผุดลุกผุดนั่ง

                    นั่งกันไปอีกสักพัก ผมตัดสินใจจะเดินออกไปดูว่าปิงไปคุยกับเพื่อนถึงไหน นี่มันนานเกินไป ถ้าเป็นเพื่อนดีๆ ทำไมไม่เข้ามาคุยกันในบ้าน แบบนี้มันแปลกเกินไป แต่พอจะลุกจากโต๊ะอาหาร ปิงก็ผลักประตูเข้ามาพอดี

                    ปิงเดินตรงมายังโต๊ะอาหารที่พวกเรานั่งกันอยู่ มองอาหารบนโต๊ะ แล้วมองหน้าพวกเราทีละคน

                    “ทำไมไม่กินข้าว?” ปิงทำหน้าเหมือนผู้ปกครองกำลังเอ็ดลูกๆ

                    “รอพี่” พีทตอบ

                    “เฮ่อ ... จะรอทำไม ก็บอกให้กินกันก่อนเลย” ปิงถอนหายใจ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างผม

                    “ผมกลัวตาย” ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองเจ้าของคำพูดนี้

                    “ก็คิดดู ผมทำไข่เจียว พีททำผัดกระเพา ส่วนพี่เมฆทำต้มยำ พี่คิดว่ามันจะโอเคเหรอ?” ไมค์ยังพูดต่อหน้าตาย

                    พีทตักกระเพายัดเข้าปากไมค์ “กินเลย!”

                    พวกเราทั้งโต๊ะเลยฮากันครืน

                    “กินข้าวกันเถอะ” ปิงยิ้ม

                    “กินๆ” ผมเห็นด้วย หิวจนไส้จะขาดแล้ว

                    “ขอด้วยสิ” ปิงมองที่กระป๋องเบียร์

                    ผมลุกไปหยิบเบียร์ในตู้เย็น เปิดแล้วยื่นส่งให้ อาหารมื้อนี้รสชาติเหี้ยมาก แต่พวกเรากลับกินมันอย่างมีความสุข ... ผมคิดยังงั้นนะ เพราะแต่ละคนกินไปคุยไป หัวเราะกันไป ไม่เว้นแม้แต่ปิงที่ดูจะหัวเราะมากกว่าปกติ และดื่มมากกว่าปกติเช่นกัน ระหว่างกินข้าว ปิงลุกไปหยิบเบียร์มาเปิดเองอีก 2 กระป๋อง

                    กินข้าวอิ่มแล้ว พีทบอกอยากดูหนังต่ออีกสักเรื่อง แต่ไมค์บอกว่าเขานัดกับคุณย่าเอาไว้ตอน 3 ทุ่ม พีททำหน้าผิดหวังอย่างแรง ผมกับปิงจึงขับรถไปส่งพวกเขา

 

                 

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #27 เมื่อ16-05-2016 21:35:14 »

ต่อ ...

                    เมื่อรถเคลื่อนออกจากหน้าบ้านพักของพีท ผมอยากถามปิงเรื่องผู้หญิงคนนั้น แต่เมื่อเหลือบมองคนข้างๆ กลับพบว่าเขาหลับตาเอนตัวพิงประตู ผมไม่อยากรบกวน จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้

                    กลับถึงบ้าน ปิงก็เดินตรงขึ้นห้องของเขาโดยไม่พูดจา

                    ผมอาบน้ำ ขึ้นเตียงนอนอ่านอะไรในโลกโซเชียลไปเรื่อย สักพักได้ยินเสียงของปิงเปิดประตูห้องออกมา และเดินลงไปยังชั้นล่าง เมื่อรอจนได้ยินฝีเท้าเดินกลับขึ้นมา ผมจึงเปิดประตูห้องออกไป

                    ปิงสวมเสื้อคลุม ปล่อยผมสยาย ในมือมีเบียร์สองกระป๋อง

                    “อะไรกัน นายดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ” ผมอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกไป วันนี้ปิงดื่มไปเยอะมาก ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปิงดื่มเบียร์ยังกับดื่มน้ำเปล่า

                    ปิงมองหน้าผมสักครู่ แล้วเดินตรงไปยังห้องของเขา ถ้าเป็นวันอื่นๆ ผมคงปล่อยให้เขาเดินหนีไปง่ายๆ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างนี้ ...

                    ผมเดินตามเขาไป ปิงจะปิดประตู แต่ผมเอาตัวไปขวางเอาไว้ เขาจ้องหน้าผม ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก

                    “นายเป็นอะไร?”

                    ปิงไม่ตอบ แต่หันไปวางเบียร์ไว้บนชั้นข้างประตูหนึ่งกระป๋อง แล้วเปิดกระป๋องที่เหลือ ยกขึ้นดื่ม ผมแย่งมาถือเอาไว้ เขาพยายามจะคว้ากลับคืน แต่ผมผลักอกเขาออกไป

                    “เกิดอะไรขึ้น? นายแปลกมากตั้งแต่กลับเข้ามา มีอะไรก็บอกกันสิ”

                    “ไม่เกี่ยวกับนาย” แม้ในเวลาอย่างนี้ น้ำเสียงของปิงก็ยังราบเรียบ

                    “แล้วเกี่ยวกับใคร?” แต่ผมกลับเสียงดังใส่เขา ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ผมว่าผมคงเป็นห่วง

                    “...”

                    “ผู้หญิงที่มาเมื่อบ่ายนี้ใช่ไหม?” ผมวางกระป๋องเบียร์ลงบนชั้น

                    “...”

                    “เราไม่อยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของนายหรอกนะ แต่เพราะนายดื่มขนาดนี้ ตอนเย็นก็แทบจะไม่ยอมแตะข้าวเลย ถ้าเกิดโรคกระเพาะของนายกำเริบขึ้นมาจะทำยังไง” ใช่แล้วล่ะ ผมแค่เป็นห่วงปิง ส่วนเรื่องอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็นแค่เรื่องรองลงมา

                    “นายจะมาห่วงฉันทำไม?” ใบหน้าเรียบเฉยของปิง กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

                    “ก็ทำไมจะห่วงไม่ได้” ผมเริ่มโมโหกับกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างมากั้นตัวเองไว้

                    “ฉันไม่ต้องการ!” ปิงตะคอกใส่หน้าผม นี่เป็นครั้งแรกที่ปิงขึ้นเสียง ผมชะงักเพราะความตกใจ จ้องมองใบหน้าแดงก่ำของปิง ผมคิดว่าเขาเมาแล้ว

                    “มองสิ มองให้เต็มตา นี่แหละคือฉันอีกคนที่นายไม่เคยเห็น” ปิงพูดแล้วเริ่มร้องไห้

                    ผมยืนตัวแข็งทื่อมองใบหน้าเหยเกของปิง

                    “ฉันที่ไม่ใช่คนดีอะไร ฉันที่มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ มีความรัก มีโกรธ มีความต้องการ มีความเห็นแก่ตัว!” เขาเค้นเสียงปนร้อองไห้ ผมทำอะไรไม่ถูก งงไปหมด

                    “นายอยากรู้มากกว่านี้ไหมว่าฉันเป็นคนยังไง?!” เขาตะโกนเสียงดัง คว้าคอเสื้อ เหวี่ยงผมลงไปบนเตียงแล้วกระโดดขึ้นมานั่งคร่อม ... ทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ผมตกใจสุดขีด ทำได้เพียงอ้าปากค้าง มองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของปิง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้คิดหรือพูดอะไรออกมา ใบหน้านั้นก็โน้มลงมา ปิงกดริมฝีปากลงบนปากของผม ลิ้นร้อนๆพยายามแทรกซอนเข้าไปในโพรงปากของผม ... ผมกำลังถูกปิงจูบ!

                    เมื่อตั้งสติได้ จึงผลักร่างบางภายใต้เสื้อคลุมที่หลุดลุ่ย เผยให้เห็นว่าข้างในนั้นเปลือยเปล่า ผมพลิกตัวขึ้นมาแล้วกดร่างของปิงลงบนเตียง ก้าวขาคร่อมร่างของเขาเอาไว้ ปิงมีสีหน้าตกใจ แต่เพียงไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย มีเพียงแววตาที่ส่งมาอย่างท้าทาย

                    “นายอยากมีอะไรกับฉันไหม?” ปากแดงเอื้อนเอ่ย

                    ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าคำพูดประโยคนี้จะหลุดออกมาจากปากของปิง ... ผมพูดอะไรไม่ออก

                    “หึ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอ แสดงสีหน้าเจ็บปวดอีกครั้ง

                    “...”

                    “นายคงนึกขยะแขยงฉันแล้วใช่ไหม? นี่แหละคือตัวตนอีกด้านของฉัน” น้ำใสๆไหลจากตาทั้งสองข้างของปิง ผมรู้สึกหน่วงในอก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตา ลูบผมของเขาอย่างเบามือ

                    ที่เงียบ ไม่ใช่เพราะนึกรังเกียจเขา ผมเพียงแค่ตกใจ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของปิง รู้แค่เพียงว่าในเวลานี้ ผมไม่อยากเห็นใบหน้าอันงดงามนี้อาบไปด้วยน้ำตา ไม่อยากให้เขาเจ็บปวด เขาคงไม่มีทางรู้ว่าผมต้องมีสติและเข้มแข็งแค่ไหนเพื่อไม่ให้พ่ายแพ้ต่อริมฝีปากที่ยั่วยวน และร่างขาวนวลที่นอนทอดกายอยู่เบื้องล่าง

                    ผมก้มลงไปใกล้ๆใบหน้าที่แดงก่ำของปิง ต้องการให้เขาได้ยินชัดๆ ...

                    “เมฆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อยากให้ปิงรู้ไว้ ที่เมฆไม่ทำอะไร ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่ไม่อยากฉวยโอกาสในเวลาที่ปิงอ่อนแออย่างนี้”

                    เราจ้องตากัน ผมหวังว่าเขาจะเชื่อในทุกๆคำพูดที่บอกออกไป

                    ผมปาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่ขาดสาย ก้มลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากของปิง ลมหายใจร้อนๆของเขาปนด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้ง หากไม่ใช่เพราะปิงกำลังร้องไห้เมามายอยู่อย่างนี้ ผมคงทำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในฝันไปแล้ว ... ใช่ ... ผมเคยฝันว่ามีอะไรกับปิง ... บ้าดีไหมล่ะ?

                    “นอนซะ ไม่ว่าปิงจะผ่านอะไรมา กำลังทำอะไรอยู่ สำหรับเมฆแล้ว ปิงก็คือปิง คนที่เมฆอยู่ด้วยแล้วมีความสุขที่สุด” ผมผละออกมาจากร่างที่นอนแน่นิ่ง ลงจากเตียง ก้าวเดินไปที่ประตู ไม่ลืมจะหยิบเบียร์สองกระป๋องติดมือไปด้วย

 

                    ก่อนจะปิดประตูลง เสียงแผ่วเบาของปิงเอ่ยขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นคือภรรยาของคุณกร”

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #28 เมื่อ17-05-2016 01:56:02 »

ปิง  :sad4: ยังมีเมฆอยู่นะเลิกกับกรเหอะ

ไมค์นี่แปลกๆกับพีทหลายตอนละนะ เป็นห่วงซะเหลือเกิน แล้วยังถามเมฆแบบนั้นอีก ฉลาดหลบในป่ะเนี่ย


รอๆๆๆ ช่วยดันๆ  :impress2:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #29 เมื่อ17-05-2016 13:57:41 »

เดินเรื่องแบบค่อยๆ ไปแบบ Slice of life แต่อ่านแล้วก็วางไม่ได้ รู้สึกว่ามีอะไรชวนติดตามอยู่ตลอด อาจเพราะมาแบบอึมครึม ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นตัวเอก หรือใครจะคู่ใคร
ชอบมากครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด