The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]  (อ่าน 15150 ครั้ง)

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #30 เมื่อ18-05-2016 21:15:40 »

ปิง  :sad4: ยังมีเมฆอยู่นะเลิกกับกรเหอะ

ไมค์นี่แปลกๆกับพีทหลายตอนละนะ เป็นห่วงซะเหลือเกิน แล้วยังถามเมฆแบบนั้นอีก ฉลาดหลบในป่ะเนี่ย


รอๆๆๆ ช่วยดันๆ  :impress2:

ขอบคุณมากค่ะ  :mew6:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #14
«ตอบ #31 เมื่อ18-05-2016 21:17:08 »

เดินเรื่องแบบค่อยๆ ไปแบบ Slice of life แต่อ่านแล้วก็วางไม่ได้ รู้สึกว่ามีอะไรชวนติดตามอยู่ตลอด อาจเพราะมาแบบอึมครึม ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นตัวเอก หรือใครจะคู่ใคร
ชอบมากครับ

ขอบคุณมากค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ตอนที่ #15 [19/5/2559]
«ตอบ #32 เมื่อ19-05-2016 21:23:16 »

# 15 (PETE)

 

                    พี่เมฆและพี่ปิงมาส่งพวกเราที่บ้าน เมื่อรถของพวกเขาแล่นออกไปจากหน้าบ้าน ผมจึงหันไปบอกกับไมค์  “กู้ดไนท์นะ” ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน แต่เมื่อเปิดประตู ร่างสูงของไมค์กลับแทรกเข้าไปข้างในก่อนผมซะอีก

                    “อะไรของนาย?” ผมถามด้วยความแปลกใจ แต่ไมค์กลับไม่ได้สนใจ เขาเดินตรงไปยังบันได ผมล็อกประตูบ้านแล้วเดินตามขึ้นไป

                    ไมค์เปิดประตูห้องทิ้งเอาไว้ ตัวเขาเองนอนแผ่หราอยู่บนเตียงนอนของผม

                    “นายจะมานอนอะไรตรงนี้ ไหนบอกว่านัดคุณย่าเอาไว้ไง” ผมใช้เท้าสะกิดเท้าข้างหนึ่งของไมค์ที่ห้อยตกมาข้างเตียง

                    “ฉันโกหก” เขาตอบทั้งๆที่ยังหลับตา

                    ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมต้องโกหก แต่เขาชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “อย่าถาม” ผมจึงหุบปากเอาไว้

                    “แล้วนายจะมานอนทำไมที่ห้องฉัน กลับไปนอนบ้านนาย” ผมที่มึนๆเพราะดื่มเบียร์ไปสองกระป๋อง เริ่มมีอาการหงุดหงิด ผมเองก็ง่วงและอยากจะนอนบ้างเหมือนกัน แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวก็เหม็นกลิ่นควันจากบาร์บีคิวเมื่อเที่ยงเกินจะทนไหว ผมมองร่างเหยียดยาวที่หลับตาอยู่บนเตียงอย่างขี้เกียจตอแย คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกไป

 

                    อาบน้ำสระผมแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่อาการง่วงก็ยังคงอยู่ ผมยกเท้าเขี่ยขาไมค์ ปลุกให้เขากลับบ้าน

                    “ไม่กลับ” เขาตอบงัวเงีย พลิกตัวนอนตะแคง

                    ผมถีบก้นเขาเบาๆ “ไม่กลับก็ไปอาบน้ำ ตัวนายกลิ่นยังกะหมูย่าง”

                    “ทำไมนายขี้บ่นยังงี้” ไมค์ลุกขึ้นนั่ง ทำเสียงจิ๊จ๊ะหน้ายุ่ง ก้าวลงจากเตียง มองไปรอบๆห้อง ผมจึงโยนผ้าเช็ดตัวที่กำลังจะเอาไปตากให้กับเขา

                    ใครจะยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ขอแค่ได้นอนก็พอแล้ว ผมล้มตัวลงบนที่นอน และหลับไปแทบจะในทันที

 

                    “พี่ดูนั่นสิ พี่ว่าเมฆบนฟ้าก้อนนั้นเหมือนรูปอะไร?” ผมตัวเล็กๆนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว ชี้นิ้วชวนให้พี่ชายผมยาวที่นอนอยู่ข้างๆดูเมฆบนฟ้า

                    “เมฆก็คือเมฆ เมฆจะเป็นอะไรได้ล่ะ” คำตอบของพี่ชายผมยาวทำให้ผมผิดหวัง

                    “แต่ผมว่ามันคือหัวใจ” ผมทำแก้มป่อง นึกงอนพี่ชายผมยาว เพราะผมมองเห็นมันเป็นรูปหัวใจดวงเบ้อเร่อ

                    เขายันตัวขึ้น ก้มมองหน้าผม นิ้วเรียวยาวของเขาดีดเข้าที่หน้าผากของผม ไม่เจ็บหรอก เพราะเขาทำแค่เบาๆ

                    “เด็กน้อย” พี่ชายผมยาวเอ่ยพร้อมหัวเราะน้อยๆ

                    “ผมไม่ใช่เด็ก สักวันผมจะตัวโตกว่าพี่” พูดแล้วก็โถมตัวเข้าใส่ พี่ชายผมยาวทิ้งตัวลงกลับไปนอน มีผมนอนทับอยู่ข้างบน เราสองหัวเราะกันอย่างมีความสุข ...

 

                    “พี่ปิง” ผมลืมตาเพราะเสียงของตัวเอง เมื่อตั้งสติได้จึงรู้ว่ากำลังนอนเกยอยู่บนร่างของใครคนหนึ่ง ผมดีดตัวขึ้นนั่ง จ้องมองไปยังใบหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียง

                    “ไมค์!”

                    “เออสิ ไม่ใช่พี่ปิง” ไมค์นอนหนุนแขนตัวเอง เขาจ้องหน้าผมเขม็ง

                    “ตะ ตื่นนานแล้วเหรอ?” ผมตกใจนิดหน่อยที่ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ได้ยินเสียงเรียก “พี่ปิง”

                    “นานพอที่จะได้ยินนายละเมอ” ไมค์แสยะยิ้มที่มุมปาก

                    “ระ เราละเมอว่าไง?” ผมใจแป้ว ไม่รู้ว่าตัวเองละเมอคำไหนออกมาบ้าง

                    “ก็ ...” ไมค์ยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง

                    “อะไร?” ผมคาดคั้น

                    “เฮ้อ ... ขอบใจนะที่ให้นอนด้วย” ไมค์ลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังประตู ก่อนจะก้าวออกไป เขาหันมาทิ้งท้ายเอาไว้ “แต่เวลานอน นายเซ็กซี่ชะมัด”

                    “ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมปาหมอน กะจะให้โดนหน้าเต็มๆ แต่เขาปิดประตูหนีไปเสียก่อน

                    “นอนเซ็กซี่ยังไงวะ! แล้วใครอยากรู้เรื่องนั้นกัน!” ผมรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ขึ้นม.1 ผมก็มีห้องเป็นของตัวเอง และหลังจากนั้นก็ไม่เคยนอนร่วมห้องกับใครอีกเลย นอกจากตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน แต่นั่นคือพวกเรานอนรวมกันหลายๆคนในห้องเดียว และเอาเข้าจริงๆคือก็แทบไม่ได้นอน เพราะพวกมันทั้งดื่มและเล่นไพ่ ... แต่ เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนซบอยู่บนอกของไมค์ ...

                    ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง พยายามนึกทบทวนว่าเผลอไปนอนกอดไมค์ตอนไหน ... อาจเป็นตอนนั้น ที่ผมฝันถึงพี่ปิง

                    หลับตาทอดถอนใจ นึกถึงใบหน้าขาว ดวงตายาวรี และปากสีแดงระเรื่อของพี่ปิง ... คิดถึงน้ำเสียงที่บอกขอบใจและก้มลงมาส่งยิ้มให้ ในตอนนั้นไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าด้วยความอาย เพราะในเสี้ยวเวลานั้นที่เงยขึ้นไป ผมนึกอยากจูบพี่ปิงขึ้นมา จึงรีบหลบตาก้มหน้า หวังว่าพี่ปิงคงอ่านความคิดของผมไม่ออก

                    ผมเคยเชื่อมั่นและคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มั่นคงในความรัก จากการพิสูจน์มาแล้วหลายปีที่ไม่เคยนอกใจแบมเลยแม้ในความคิด ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้า และผมไม่เคยคิดว่าความรักของผมกับแบมจะจบลงง่ายดายเพียงนี้ เมื่อหลังจากที่ได้รับรู้ว่าแบมไม่ได้รักผมอีกต่อไป เธอมีเพียงแค่ความสงสารให้กับผม ผมคิดไม่ออกว่าชีวิตต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไง จะยังรักใครได้อีกไหม ผมคงจมอยู่กับความเศร้าไปตลอดชีวิต แต่ ...

                    เพียงแค่เมื่อวานที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเพื่อนที่ดีอย่างไมค์ พี่ที่ดีอย่างพี่เมฆ และพี่ปิง ... ผมกลับลืมเรื่องราวของแบมไปจนหมดสิ้น ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่ผมจะนึกถึงแบม หรืออาจเป็นเพราะไม่มีใครเอ่ยถามถึงเรื่องนี้เลยก็เป็นได้

                    สิ่งที่อยู่ในความสนใจของผมกลับเป็นท่วงท่าของพี่ปิง คำพูดของพี่ปิง รอยยิ้มน้อยๆ และเสียงหัวเราะเบาๆของพี่ปิง

                    ผมถอนหายใจยาวอีกครั้ง กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ความรู้สึกในตอนนี้คล้ายๆกับตอนที่ตกหลุมรักแบม แต่มันต่างกันอยู่ตรงที่ ตอนนี้เมื่อนึกถึงทุกๆอย่างที่เป็นพี่ปิง ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้อง คล้ายมีผีเสื้อเป็นหมื่นๆตัวบินอยู่ในนั้น ...

                    ผมขมวดคิ้ว สงสัยตัวเองที่เอาความคิดเรื่องผีเสื้อนี้มาจากไหน?

เสียงข้อความเข้า

ไมค์ – จะนอนไปถึงไหน

ผม – นายรู้ได้ไง

ไมค์ – ฉันรู้มากกว่าที่นายคิดซะอีก

ผมส่งสติ๊กเกอร์ตกใจ

ผม – มีไร

ไมค์ – ฉันมีเดินหมาให้เพื่อนบ้าน นายอยากไปด้วยไหม

ผม – ไปๆ

น่าตื่นเต้น นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยทำ

ไมค์ – สิบโมงมาหาฉันที่บ้าน

ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเค

 

                    พวกเราไปรับหมาที่บ้านคุณไบรอันที่อยู่ถัดไปสองหลังจากบ้านไมค์ ไมค์บอกว่ามันคือพันธุ์ Labrador Retriever ตัวเมียชื่อ Tilly สาเหตุที่ต้องให้พวกเราเดินเจ้าทิลลี่ เพราะคุณไบรอันเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าเฝือก จึงไม่ได้พาทิลลี่ออกมาเดินเล่นไกลๆหลายวันแล้ว เขาบอกว่ามันเริ่มมีอาการหงอยๆ เพราะปกติทิลลี่จะชอบเล่นกลางแจ้ง อย่างขว้างบอลแล้วให้ไปเก็บอะไรพวกนี้

                    เราพกน้ำดื่มมากันคนละขวด น้าเจนี่ทำแซนด์วิชให้ เมื่อรู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเช้า และกำชับให้พวกเรากลับมากินมื้อเที่ยงที่บ้าน

                    เราเดินกันไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศสบายๆ รอบๆหมู่บ้านของไมค์มีต้นไม้ใหญ่ตลอดริมถนน เมื่อมาครั้งแรก ผมยังนึกแปลกใจที่เมืองใหญ่อย่างอเมริกา กลับมีต้นไม้ต้นใหญ่แทรกอยู่กับบ้านเรือนมากกว่าแถวบ้านผมที่อยู่ต่างจังหวัดเสียอีก

                    “นายต้องไป Time Square” ไมค์เอ่ยขึ้นเมื่อผมเล่าความคิดเรื่องนี้ให้เขาฟัง

                    “ทำไม?” ผมยกน้ำขึ้นดื่ม

                    “เพราะมันมีแต่ตึกไงเล้า นายไม่เคยเห็นในหนังเหรอ?”

                    ผมพยายามนึกถึงฉากในหนังหลายเรื่อง ก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย

                    “แต่ถ้านายเดินไปอีกหน่อย นายก็จะเจอต้นไม้เต็มไปหมด” ไมค์ที่เป็นคนถือสายจูงทิลลี่เล่าต่อ

                    “มันคือ Central Park” เขาพูดแล้วหันมามองหน้าผม ผมจึงแสดงสีหน้าให้รู้ว่ากำลังสนใจในสิ่งที่เขากำลังพูด

                    “นายอยากไปไหม?” เขาถาม

                    “มันอยู่ที่ไหนเหรอ?” ผมรู้สึกคุ้นๆ แต่ขี้เกียจนึกว่ามันอยู่ที่ไหน

                    “New York” ไมค์ตอบด้วยสำเนียงฝรั่ง มันช่างน่าฟังจริงๆ

                    “อยากไปสิ แต่เราคิดว่าอีกวันสองวันเราจะกลับไปหาน้าติ๊ก และอยู่ที่นั่นจนถึงวันกลับไทย”

                    ไมค์หยุดฝีเท้า ทำให้ทิลลี่ที่เดินนำหน้าต้องชะงักไปด้วย มันหันกลับมามอง ไมค์จึงก้าวเท้าต่อ เราเดินกันไปอย่างเงียบๆ ผ่านสนามบาสเก็ตบอลที่เรามาเล่นเมื่อวันก่อน และเดินต่อไปอีกสักครู่ผมก็พบว่ามีสนามหญ้าเขียวขจีลาดต่ำลงไป เมื่อเดินไปหยุดอยู่กลางสนาม ทำให้รู้สึกเหมือนเรายืนอยู่บนเนินเตี้ยๆ

                    ไมค์หยิบลูกเทนนิสออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาชอบสวมกางเกงอย่างพวกนักกีฬาบาสเก็ตบอลกับเสื้อกล้ามตัวหลวมๆและรองเท้าผ้าใบ เขาปาลูกเทนนิสออกไปจนสุดแขน ทิลลี่ที่ถูกปลดสายจูงแล้วออกตัววิ่งห้อไปยังทิศทางที่ลูกเทนนิสลอยไป ไม่นานมันก็คาบกลับมา แต่ไม่ยอมปล่อย ไมค์ต้องวิ่งไล่แย่งอยู่นาน ก่อนจะปาออกไปอีกครั้ง และทิลลี่ก็วิ่งไปคาบกลับมาอีก ...

                    ผมทิ้งให้ทั้งสองเล่นกันอยู่กลางสนาม แต่ตัวเองมานั่งหลบอยู่ได้ร่มไม้ใหญ่ตรงขอบสนาม ท้องฟ้าที่นี่แจ่มใสและสีสดกว่าที่เมืองไทย อาจเป็นเพราะมลพิษน้อยกว่า ผมมองเมฆก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า นึกถึงความฝันเมื่อคืน ... ใบหน้าของพี่ปิงผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมได้แต่ถอนใจ ถ้ากลับไปเมืองไทย คงไม่ได้พบกับพี่ปิงอีก แค่คิดถึงข้อนี้ ก็ทำให้แทบจะเปลี่ยนใจ อยากย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเสียเลย

                    ผมหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน นึกได้ว่าเมื่อวานแอบถ่ายรูปของพี่ปิงตอนที่กำลังย่างบาร์บีคิว ตอนนั้นไมค์ไปเข้าห้องน้ำ และพี่เมฆขึ้นไปหยิบอะไรสักอย่างในครัว ผมแกล้งเดินเตร็ดเตร่ออกมาริมถนน แล้วกดชัตเตอร์ด้วยมือที่สั่นหน่อยๆ

                    ภาพของพี่ปิงที่ก้มหน้านิดๆ มือขาวกำลังจับที่คีบเนื้อ พี่ปิงใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์เก่าๆเปื่อยๆ ขาดที่เข่าทั้งสองข้าง ชายกางเกงก็หลุดลุ่ย ผิดกับครั้งแรกที่ผมเห็นลิบลับ วันนั้นที่เราไปดูรถ พี่ปิงแต่งตัวเรียบร้อยกางเกงสแล็คกับเสื้อเชิ้ตซึ่งทำให้พี่ปิงหล่อเนี้ยบ แต่ความเซอร์เมื่อวานทำให้ผมนึกถึงพี่ปิงเมื่อ 10 ปีก่อน เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ และหมวกแก้ปที่ผู้ชายคนนั้นสวมให้ ดูแล้วแทบไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แม้เวลาจะผ่านมาจนวันนี้ที่ผมตัวโตกว่าพี่ปิงแล้ว แต่ใบหน้าของพี่ปิงเหมือนกับหยุดวันเวลาเอาไว้

                    ผมถ่ายรูปพี่ปิงได้ทั้งหมดหนึ่งรูปถ้วน เพราะมัวแต่ตื่นเต้น กลัวเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็น อีกทั้งไมค์ก็เดินลงบันไดมาพอดี ... ผมเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภาพของไมค์กำลังไถเครื่องตัดหญ้า และถัดไปคือคลิปที่ผมแอบถ่าย ไมค์ในคลิปดูๆไปก็คล้ายวัยรุ่นในหนังฝรั่ง แบบที่เรียกว่า boys next door เอ๊ะ หรือมันจะมีแค่ girls next door ... ผมส่ายหัวให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

                    “ดูอะไร!” ไมค์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมปิดหน้าจอโทรศัพท์แทบไม่ทัน

                    “เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ

                    “ในคำว่าเปล่า ล้วนแต่มีบางสิ่งซ่อนอยู่ทั้งสิ้น”

                    ผมมองหน้าไมค์ด้วยความรู้สึกทึ่ง บางทีการใช้เวลาอยู่กับคุณย่ามากๆ ก็ทำให้เขามีคำพูดมาให้ผมแปลกใจได้เรื่อยๆ

                    “ก็รูปต้นไม้ ทิวทัศน์” ที่ผมตอบไปก็มีความจริงอยู่บ้างส่วนหนึ่ง

                    ไมค์ยกน้ำขึ้นดื่ม หยิบแซนด์วิชขึ้นมากินอย่างไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่นัก

                    ทิลลี่ตามมานอนลิ้นห้อยอยู่ไม่ห่าง

                    “นายคิดจะกลับแล้วจริงๆเหรอ?” ไมค์ตั้งคำถามแล้วเอนตัวลงนอน

                    ผมไม่ตอบ เพราะยังไม่แน่ใจ

                    “ถ้านายกลับก่อนกำหนด ฉันไม่คืนเงินค่าเช่าให้นะ” ผมรู้ว่าไมค์ไม่ได้คิดจริงจังอย่างที่พูด

                    “เราก็ไม่คิดจะขอส่วนเกินคืนหรอกน่า นายให้เรามากกว่านั้นอีก” ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง ถ้าไม่ได้เขาคอยดูแล ผมคงแย่

                    “นายสำนึกบุญคุณฉันไว้ก็ดีแล้ว” น่าแปลกที่วันนี้ผมฟังคำพูดกวนๆของเขาโดยไม่รู้สึกหมั่นไส้เลยสักนิด

                    “ถ้านายอยู่ต่อ ฉันจะพานายไป Central Park” ไมค์แหงนมองใบไม้ที่อยู่เหนือหัวของพวกเรา

                    “แต่นายยังไม่มีใบขับขี่นะ” ผมจำได้ เขาเคยบอก

                    “ก็นั่งบัสไปสิ นายจะโง่ไปไหนเนี่ย” ไมค์ยกมือขึ้นตีหน้าผากผมดังเผียะ ผมไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ คงเริ่มชิน

                    “เห้อ ...” ผมถอนหายใจ เลื้อยตัวลองนอนข้างๆไมค์ “เรายังไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร”

                    “...”

                    “วันที่เจอแบมครั้งสุดท้าย เราตัดสินใจว่าจะไปจากเวอร์จิเนียให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม แต่ตอนนี้เราเริ่มลังเล ถ้าจะบอกว่าเราคิดอยากอยู่ต่อไป        อีกนานๆ นานแบบเท่าที่จะนานได้ นายจะคิดว่าเราเป็นพวกโลเลเปลี่ยนใจง่ายไหม?”

                    “คิด”

                    คำตอบสั้นๆของไมค์ทำให้ผมต้องถอนหายใจอีกครั้ง ตั้งแต่มาอเมริกา ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย หลายอย่างที่กลับมาคิดทบทวน ผมได้แต่เสียใจกับตัวเอง และเสียใจแทนพ่อกับแม่ที่มีลูกไม่เอาไหนอย่างผม

                    “อะไรที่ทำให้นายคิดอยากจะอยู่ต่อในเมื่อนายเลิกกับแบมแล้ว” ไมค์หันหน้ามาถาม และเขายังมองหน้าผมอยู่อย่างนั้นเหมือนรอคำตอบ

                    “...” อะไรน่ะเหรอ ... ผมจะบอกไมค์ได้ยังไง ... ผมหลบตา แกล้งมองไปยังทิลลี่ แต่เมื่อเหลือบกลับมา ไมค์ยังคงมองหน้าผมอยู่ในท่าเดิม

                    “เพราะพี่ปิง?” เป็นไมค์ที่ตอบคำถามตัวเองด้วยประโยคคำถาม

                     “...” ผมอึ้งกับสิ่งที่ไมค์เอ่ย ทำไมเขาถึงรู้ …

                    “นายชอบพี่ปิง” ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบของไมค์ ทำให้ผมเดาไม่ถูกว่าประโยคนี้ของเขาคือประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำถาม

                    “นายจำได้ไหมที่เราเคยถามนายตอนที่เรากลับจากวัด” ผมหันไปมองหน้าไมค์ เขาพยักหน้า “พี่ปิงคือคนที่อยู่ในความทรงจำของเรามาเกือบ 10 ปี เราเคยพบเขาครั้งหนึ่งเมื่อเรา 8 ขวบ หลังจากนั้นเราก็ฝันถึงเขามาตลอด”

                    “เมื่อคืนนายก็ฝันถึงเขาล่ะสิ”

                    “ใช่” ถ้าจะปฏิเสธก็คงไม่ได้ ในเมื่อผมละเมอเรียกชื่อพี่ปิงออกมาซะขนาดนั้น

                    “นายชอบผู้ชายเหรอ?” คำถามนี้ของไมค์ทำเอาผมถึงกับสำลักน้ำลาย

                    “จะบ้าเรอะ! นายก็เห็นอยู่ว่าเราชอบผู้หญิง”

                    “แต่นายทำเหมือนนายกำลังตกหลุมรักพี่ปิง”

                    คำพูดของไมค์ทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ... ผมเป็นอย่างนั้นเหรอ?

                    “ไม่รู้สิ เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย ไม่เคยอยู่ในความคิด เคยมีผู้ชายมาจีบ เรายังต่อยซะคว่ำ” ผมนึกถึงรุ่นพี่นักกีฬาคนนั้นขึ้นมา

                    “...”

                    เมื่อไมค์เงียบ ผมจึงปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดที่สับสน ผมไม่เคยคิดว่าความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อพี่ปิงมันคือความรัก ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

                    เมื่อก่อนพี่ปิงเป็นเพียงคนที่อยู่ในความฝัน แต่เมื่อความฝันตลอดเวลาเกือบ 10 ปี กลายมาเป็นความจริง พี่ปิงที่มีตัวตนสัมผัสได้  ผมไม่อยากให้เขาหายไปอย่างในความฝัน เมื่อลืมตาตื่น ผมอยากเห็นใบหน้าของเขา อยากได้ยินเสียงพูด อยากเห็นรอยยิ้ม อยากรู้ทุกๆเรื่องในชีวิตของเขา ... แบบนี้จะเรียกว่ารักได้ไหม? ... อันที่จริงผมก็เคยรู้สึกอย่างนี้กับแบม แต่แบมไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อหมื่นๆตัวบินอยู่ในท้อง ... ผมอยากหอมแก้มแบม แต่ความรู้สึกนั้นมันแตกต่างจากที่ผมมองริมฝีปากของพี่ปิงแล้วอยากจูบ ... บอกตรงๆ ตั้งแต่คบกับแบม ผมเคยหอมแก้มเธอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ในวันทีผมไปลาเธอใต้ต้นมะม่วง

                    ผมเหม่อมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า นึกเล่นๆว่ามันจะเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นรูปหัวใจอย่างที่เห็นในฝันไหม ... แต่แล้วมันก็ไม่ มันยังคงเป็นก้อนเมฆรูปทรงธรรมดาๆอย่างที่เมฆควรจะเป็น

 

                    เราส่งทิลลี่ให้คุณไบรอันเมื่อเกือบเที่ยง วันนี้สมาชิกในบ้านของไมค์อยู่กันพร้อมหน้า คุณแม่ทำขนมจีนแกงเขียวหวานและไก่ทอดสำหรับมื้อเที่ยง ผมกินไป 2 จาน อิ่มจนแทบคลานกลับบ้าน

                   ไมค์เดินตามกลับมาที่ห้องกับผมด้วย เราก็แค่นอนบนเตียง ใช้เวลาเงียบๆอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง

 

                    ตอนค่ำผมก็กลับไปฝากท้องกับอาหารของคุณแม่ที่บ้านไมค์อีกครั้ง ผมรู้สึกโชคดีที่ได้เจอกับไมค์และครอบครัว ถ้าไม่มีพวกเขา ผมนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะย่ำแย่สักแค่ไหน

                    เมื่อช่วยเก็บล้างจานชามจนเรียบร้อย ผมลาจะกลับห้อง ไมค์ก็เดินตามมาเหมือนเมื่อกลางวัน ผมคิดว่าเขาจะขึ้นไปนอนเล่นโทรศัพท์อย่างเคย จึงเดินเข้าบ้านอย่างไม่ได้ใส่ใจ

                    “พีท” แต่ไมค์กลับหยุดยืนอยู่แค่หน้าประตูเมื่อผมหันกลับมาตามคำเรียกของเขา

                    ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

                    “ถ้าเป็นฉัน นายจะต่อยจนคว่ำไหม?”

                    “...”

                    เราต่างเงียบไปทั้งคู่เมื่อไมค์จบคำถามของเขา ผมเงียบเพราะไม่เข้าใจความหมาย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตั้งคำถามนั้น ... ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

                    “ฉันยังไม่ต้องการคำตอบในวันนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่นายพร้อม นายค่อยมาตอบคำถามของฉัน”

 

                    ผมยืนมองร่างสูงของไมค์จนเขาเดินลับหายไป นึกทบทวนคำถามและประโยคที่เขาทิ้งเอาไว้ ... หวังว่าสักวันผมจะเข้าใจความหมายทั้งหมดของมัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2016 21:43:58 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
 :pig4: :pig4: ตามอยู่ตลอดนะคะ เนื้อเรื่องมีเสน่ห์มาก อย่าหายไปไหนนะคะ  :L2:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
:pig4: :pig4: ตามอยู่ตลอดนะคะ เนื้อเรื่องมีเสน่ห์มาก อย่าหายไปไหนนะคะ  :L2:

ขอบคุณมากนะคะ จะพยายามเขียนจนจบ จะไม่ท้อค่ะ  :o12:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
พี่ไมค์ชัดเจนมากนะ
พีทเหมาะกับการโดนดูแลมากกว่าไปดูแลคนอื่นยังไงไม่รู้ค่ะ

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) Mike Image
«ตอบ #36 เมื่อ22-05-2016 23:15:33 »

ว่าด้วยเรื่องของอิมเมจคนต่อมา หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ ตอนหน้าเราจะได้รู้ความในใจของไมค์กันบ้างแล้วนะคะ

"นายรู้ใช่ไหมว่านายไม่ควรขัดใจฉัน"


(Robinson Bancroft)


ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
«ตอบ #37 เมื่อ23-05-2016 20:11:37 »

มารับรู้มุมมองความคิดของไมกี้กันบ้างนะคะ ... สีหน้าของไมค์ในตอนท้ายของบทคงเป็นอย่างนี้ ฮ่าๆๆ ... อิมเมจของไมค์ชัดเจนพอสมควรเมื่อเทียบกับนายแบบหนุ่มน้อยสุดหล่อคนนี้ ... หน้าตาเอาเรื่องเอาราวและเอาแต่ใจสุดๆ

ปล. จากบทนี้อาจจะได้ลงอาทิตย์ละตอนจริงๆแล้วค่ะ เพราะสต็อกเริ่มร่อยหรอ ผู้เขียนติดซีรีส์และเด็กจีนหนักมากจนไม่มีเวลามาต่อบท ฮ่าๆๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่หยุดกลางครันแน่นอนค่ะ รอติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบคุณมากจริงๆที่ยังมีคนรออ่าน / MissDaisy





(Robinson Bancroft)



# 16 (MIKE)

 

                    ผมเดินกลับบ้านด้วยใจที่เต้นระรัว ... ทั้งๆที่ไม่มั่นใจว่าพีทจะเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกไปไหม และถ้าให้เดา ผมว่าเขาไม่ ... คนอย่างพีท ถ้าคิดอะไรได้ไวขนาดนั้น คงไม่ต้องมาอกหักไกลถึงอเมริกา

 

                    “ไม่นอนกับพีทอีกเหรอคืนนี้?” น้าเจนี่ทักขึ้นเมื่อผมเดินเข้าบ้าน

                    “Nope.” ผมส่ายหน้า เดินไปหย่อนก้นบนเก้าอี้ในครัว

                    “พีทน่าสงสารนะ” น้าเจนี่พูดขณะที่กำลังง่วนกับอะไรสักอย่างบน Island

                    “ทำไร?” ผมชะโงกหน้ามองสารพัดผักในกล่อง

                    “Salad”

                    “Diet?”

                    “Yah”

                    “Again?” ผมมองสลัดในกล่อง สลับกับสีหน้าที่เอาจริงเอาจังของน้าสาว อดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมา เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะนี่เป็นรอบที่ล้านได้แล้วมั้งที่น้าเจนี่บอกว่าจะไดเอ็ท แต่ทุกครั้งก็ทำได้ไม่เกิน 3 วัน

                    “ไปเลยไป” น้าเจนี่สะบัดมือไล่ผมอย่างกับหมอผีเขวี้ยงข้าวสารเสก เหมือนที่เคยเห็นในหนังผีปอบที่เคยดูกับคุณย่าในโปรแกรมไทยทีวี 

                    “ล้อเล่นน่าคุณน้าคนสวย” ผมยื่นหน้าเข้าไปง้อ ถึงจะเป็นน้าหลานที่อายุห่างกัน 20 กว่าปี แต่เราสนิทกันมาก ผมกับน้าเจนี่คุยกันได้แทบทุกเรื่องเหมือนเพื่อนสนิท ... ยกเว้นก็แต่เรื่องที่กำลังอยู่ในใจของผมขณะนี้

                    “แล้วพีทเป็นไงบ้าง? เมื่อคืนเมาอ้วกเลยเหรอ?” คุณน้าเงยหน้าขึ้นจากกล่องผักสารพัดสี

                    ที่น้าเจนี่ถามอย่างนี้ ผมคงต้องสารภาพว่าเพราะเมื่อคืนตอนเข้าไปอาบน้ำ ผมส่งไลน์บอกว่าพีทเสียใจหนักมาก ดื่มไปเยอะจนอ้วก ผมเลยต้องอยู่ดูแล

                    “ก็นิดหน่อย ... คุณย่านอนแล้วเหรอฮะ?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้

                    “ใช่ บอกจะดูละคร แต่พอเปิดทีวีให้ไม่ถึง 5 นาทีก็หลับผล็อย”

                    ผมพยักหน้ารับทราบ แล้วทิ้งให้น้าสาวง่วนอยู่กับสลัดของเธอต่อไป

 

                    ก่อนขึ้นห้องของตัวเอง ผมแวะห้องของคุณย่าที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งนอนร่วมกับน้าเจนี่ คุณย่าหลับอยู่บนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น ท่านบอกว่าไม่ถนัดที่จะนอนบนเตียง แม้ว่าจะย้ายมาอยู่อเมริกานานหลายสิบปี แต่บางอย่างที่คุณย่าเคยปฏิบัติมาก่อน ท่านก็ไม่ยอมเปลี่ยน เหมือนอย่างเรื่องที่ลูกๆและหลานอย่างผมต้องพูดและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง

                    คุณย่าแม้จะเกิดที่เชียงตุง แต่กำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก ครอบครัวเพื่อนของคุณพ่อท่านจึงรับมาเลี้ยงดูที่กรุงเทพฯ คุณย่าพบกับคุณปู่ในสมาคมของชาวเชียงตุงในประเทศไทย คุณปู่ของผมมีสายเลือด Australian นี่อาจทำให้เชื้อมาโผล่เอาที่ผมบ้าง คุณปู่มีโอกาสได้มาทำงานที่ประเทศอเมริกา คุณย่าและลูกๆ คือคุณพ่อและน้าเจนี่ที่ยังเป็นเด็กประถม จึงต้องย้ายตามมาด้วย ถึงแม้คุณย่าจะเป็นชาวเชียงตุง แต่อีกใจหนึ่ง ท่านก็ถือว่าท่านเป็นคนไทย เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องพูดภาษาไทยให้ชัดถ้อยชัดคำเมื่อคุยกับท่าน

                    ผมสีเงินยวงที่ถูกขมวดเป็นปมในเวลากลางวันถูกปล่อยสยายในเวลานอน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยดูผ่อนคลายในยามหลับใหล ... เพราะคุณปู่จากไปในวัยหนุ่ม คุณย่าจึงต้องดูแลลูกๆมาโดยลำพัง ท่านเป็นคนที่ผมรักและเทอดทูนมากที่สุดในชีวิต ... ผมก้มลงจูบแก้มคุณย่าเบาๆ จัดผ้าห่มคลุมหน้าอกให้เรียบร้อย อย่างที่คุณย่าเคยทำให้ผมมาตลอด จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่ท่านเข่าไม่ดี เดินขึ้นบันไดไปหาผมที่ห้องไม่สะดวก ผมจึงเปลี่ยนมาเป็นคนที่เข้ามาจูบคุณย่าก่อนนอนแทน

 

                    เมื่อเดินขึ้นมาชั้นบน พบไฟในห้องทำงานของพ่อเปิดอยู่ ผมจึงโผล่หน้าเข้าไป “Still Working?”

                    “Hey boy, is everything alright?” พ่อหันมา ขยับแว่นสายตา

                    พ่อเป็นคนบ้างาน ท่านทำอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความรับผิดชอบนี้สูงมาก เพราะตัวเลขของท่านต้องส่งให้รัฐบาลนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลของประเทศ

                    “ดีฮะ” ผมยืนเกาะที่กรอบประตู  “แม่นอนแล้วเหรอครับ?”

                    “วันนี้วันพระ เห็นว่าจะเข้าไปสวดมนต์”

                    ผมพยักหน้ารับรู้

                     “Don’t stay up late.” ผมบอกด้วยความเป็นห่วง

                    “Ok, have a good night boy.”

                    “Love you, dad.”

                    “Love you too.”

                    ผมเดินผ่านห้องพระโดยไม่แวะ เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของแม่

                    แม่เป็นคนธรรมะธรรมโม ท่านพบกับพ่อ ตอนที่พ่อพาคุณย่าไปวัด แม่มาเยี่ยมญาติที่นี่ พ่อเคยเล่าว่าท่านตกหลุมรักแม่ในทันทีที่พบ แม่เรียบร้อย กิริยาอ่อนหวาน คุณย่าเองก็รักลูกสะใภ้คนนี้มาก เมื่อถึงเวลาต้องกลับเมืองไทย พ่อแทบใจสลาย จนต้องลางานตามกลับไป และไม่นานท่านก็ขอแม่แต่งงาน และทำเรื่องให้แม่ติดตามมาอยู่ที่นี่

                    แม่เป็นคนขยัน มาอยู่อเมริกาแล้วท่านก็ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษจนคล่อง และหางานทำ จนทุกวันนี้ได้เป็นผู้จัดการแผนกในโรงแรมระดับ 5 ดาวของที่นี่

 

                    คืนนี้ผมอาบน้ำแล้วขึ้นเตียงทันที ไม่มีกระใจจะคุยกับเพื่อนหรือฟังเพลงจากช่องรายการดีเจคนโปรด ... ผมเลือกที่จะนอนมองดวงไฟดวงจิ๋วที่ส่องแสงอยู่เหนือเตียงนอน เมื่อรอบกายมืดสนิท ดวงไฟเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับดวงดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

                    แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เป็นข้อความจากลูคัส เพราะไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร ผมจึงทิ้งข้อความนั้นไว้โดยไม่เปิดอ่าน ... ส่วนคนที่ผมรอ กลับเงียบหาย ... ตอนนี้เจ้าบ้านั่นกำลังคิดอะไรอยู่? ... ผมควรเล่าเรื่องนี้ให้แบมรู้ดีไหม? ถ้าเธอรู้แล้วจะรู้สึกยังไง? จะรู้สึกเหมือนตอนที่ผมรู้เรื่องของเธอหรือเปล่า?

 

                    ผมรู้จักแบมเมื่อครั้งเดินสวนกันที่โรงเรียน ด้วยหน้าตา Asian และผมสีดำ ทำให้ลองทักออกไป จากวันนั้นเราก็คุยกันมาตลอดเพราะในโรงเรียนไฮสคูลของเรามีเด็กไทยอยู่แค่ 2 คนคือผมกับแบม

                    แบมเพิ่งย้ายมาอยู่อเมริกาได้ไม่นาน เธอยังไม่รู้จักคนไทยวัยเดียวกันในเมืองนี้ ผมจึงเป็นเหมือนทุ่นที่แบมเกาะไม่ปล่อย เธอคุยกับผมทุกวันและทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน แหล่งช้อปปิ้ง แฟชั่น การบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟน และนั่นทำให้ผมรู้จักพีท ทั้งๆที่ยังไม่เคยพบหน้า

                    ในโรงเรียนผมมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน ชื่อลูคัส เราเป็นเหมือนฝาแฝดเพราะไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน จะต้อง   มีลูคัสติดอยู่ข้างๆเสมอ หลังจากที่ผมและแบมรู้จักกัน ทุกครั้งที่เราเจอกันในโรงเรียน นั่นหมายถึงเธอต้องเจอลูคัสด้วย และกว่าที่ผมจะรู้ตัว เขาทั้งสองก็คบกันเสียแล้ว

                    เมื่อรู้เรื่อง ยอมรับว่าโกรธมาก เพราะทั้งแบมและลูคัสคือเพื่อนสนิทของผม แต่กลับปิดเงียบเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา

                    “ยูเอาพีทไปทิ้งไว้ที่ไหน?” คำถามแรกที่ผมถามแบมเมื่อรู้ว่าเธอคบกับลูคัส ส่วนแบมก็เอาแต่ร้องไห้ คร่ำครวญว่าฉันผิดไปแล้วอยู่ซ้ำๆ ผมพยายามทำความเข้าใจแบมอย่างที่เธอพยายามอธิบาย ... ความเหงา ความห่างไกล ความใกล้ชิด อนาคตที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่ความขี้เล่นและความหล่อของลูคัส ... อย่างที่เคยได้ยินมา หากถามว่ารักเพราะอะไร เรามักจะตอบไม่ได้ แต่หากถามว่าทำไมถึงจะไป เรากลับมีเหตุผลมากมายมาอธิบาย อย่างแบมในตอนนั้น

                    ถึงแม้ผมจะไม่เคยพบตัวจริงของพีท แต่ก็เห็นรูปของเขาจากแบมมาตลอด มีครั้งหรือสองครั้งที่แบมเฟสไทม์แล้วเธอต้องการให้ผมทักทายพีท ผมปฏิเสธ แต่ก็ไม่วายจะลอบมองคนที่อยู่ในจอ

                    พีทเป็นคนสดใสร่าเริง ดวงตาโตใสเป็นประกายคู่นั้นก็ดูเหมือนตื่นเต้นตลอดเวลาที่อยู่หน้ากล้องกับแบม เมื่อนึกว่าคนที่สดใสอย่างนั้น ต้องมาเสียใจในสักวัน ... มันน่าเศร้า

                    แบมคบกับลูคัสมาเกือบปี และแล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เธอโทรมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะพีทกำลังจะเดินทางมาหาที่อเมริกา ผมเองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ เรื่องของใครก็คงต้องรับผิดชอบกันเอง ผมทำได้แค่เพียงช่วยเรื่องหาที่พักให้กับพีท เมื่อแบมขอร้องมา

                    คุณน้าน้อย คุณแม่ของแบมให้ผมช่วยโกหกว่าเพราะบ้านของแบมอยู่นอกเมือง เดินทางไม่สะดวก จึงมาหาพีทบ่อยไม่ได้ ทั้งๆที่บ้านของแบมและผมอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ พีทคงไม่รู้ว่าที่ผมและแบมเรียนไฮสคูลเดียวกัน เพราะบ้านเราอยู่ในเขตเดียวกัน และด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่ในใจ ผมจึงเต็มใจที่จะดูแลพีทในทุกๆเรื่อง

                    ผมไม่เคยคิดว่าการเทคแคร์ของผมที่มีให้กับพีท จะเป็นอะไรที่มากไปกว่าการช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเห็นใจ อีกทั้งยังอยู่ในต่างแดนเพียงลำพัง แต่ ...

                    วันที่เขาออกไปเที่ยวคนเดียวในดีซีแล้วกลับมาถึงบ้านเอามืดค่ำ อยู่ดีๆเขาก็ขาดการติดต่อ ผมพยายามส่งข้อความและโทรหาอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ ใจผมในเวลานั้นร้อนรนจนนั่งอยู่กับบ้านไม่ติด จึงต้องเดินเตร่มาที่บ้านของพีท โชคดีที่พี่เนสนั่งดื่มเบียร์อยู่ ผมจึงไปร่วมด้วย ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นภาพที่น่าอายอยู่ไม่น้อย ถ้าพีทกลับมาพบว่าผมตั้งใจมานั่งรอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน

                    ผมดีใจมากเมื่อรู้ว่าพีทกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่เมื่อหันกลับมาพบกับใครคนหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเขาคือคนที่พีทยืนจ้องอย่างตกตะลึงเมื่อวันที่เราไปวัดลาว ... ความรู้สึกไม่พอใจก็ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล …

 

                    ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า พยายามปัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง แต่แล้วแววตาของพีทที่คอยจับจ้องทุกๆอิริยาบทของพี่ปิงเมื่อวาน กลับเข้ามา       รบกวนจิตใจของผมไม่หยุด

                    ผมสังเกตเห็นว่าพี่เมฆก็มีสายตาที่คอยมองพี่ปิงอยู่เสมอเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ทำให้ผมว้าวุ่นใจ เท่ากับเวลาที่หันไปพบว่าพีทกำลังลอบมองพี่ปิง ... ใบหน้าระรื่นของพีทเวลาที่เขาได้คุยกับพี่ปิง ยิ่งนึกแล้วยิ่งทำให้หงุดหงิดในอารมณ์

                    เพราะท่าทางกระตือรือร้นอยากอยู่ต่อของพีทเมื่อคืน  ทำให้ผมต้องโกหกว่ามีนัดกับคุณย่า และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงพาตัวเองมานอนในห้องของพีท …

                    อาจเพราะไม่อยากพกเอาความขุ่นมัวกลับไปห้องของตัวเอง เพื่อจะไปนอนตาค้างอยู่บนเตียง แต่เจ้าคนที่เป็นต้นเหตุ กลับได้หลับสบายอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ผมคิดว่ามันไม่แฟร์ ...

                    ภาพพีทที่นอนอยู่บนเตียง สวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ทำให้ผมร้อนวูบวาบไปทั้งแก้มจนถึงใบหู แต่เมื่อมาคิดอีกที นั่นอาจเพราะเบียร์เกือบครึ่งโหลที่ผมดื่มเข้าไป การนอนข้างๆพีท จะต่างอะไรกับการนอนร่วมเตียงกับลูคัส คิดได้อย่างนั้นผมจึงทิ้งตัวลงข้างๆเขา แล้วหลับใหลไม่ใส่ใจอะไรอีก แต่ ...

                    เมื่อลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งต่างๆที่มองเห็นทำให้งงงวยไปสักพัก และเมื่อหันไปพบว่าข้างกายมีใครคนหนึ่งนอนอยู่ ยิ่งทำให้งุนงง แต่เมื่อคิดทบทวน ก็จำได้ว่าผมมานอนอยู่ที่ห้องของพีท

                    ใบหน้ายามหลับใหลของพีทเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา ซึ่งจริงๆแล้วก็แทบไม่ต่างกับในเวลาปกติของเขาสักเท่าไหร่ พีทมีคิ้วที่ดกหนาเป็นปื้น ผมสงสัยว่าเขาเคยโดนเพื่อนล้อว่าคล้ายชินจังหรือเปล่า เมื่อนึกอย่างนั้นก็ทำให้ผมอมยิ้มกับตัวเอง เจ้านั่นมีขนตาหนายาวเป็นแผง จมูกแม้จะคมไม่มากนัก แต่ก็โด่งอย่างคนเอเชีย พีทมีริมฝีปากแบบที่คุณย่าเรียกว่าปากอิ่ม มันเผยอหน่อยๆในยามที่เจ้าตัวหลับสนิท ...

                    ขณะมองสำรวจใบหน้าของพีทเพลินๆ อยู่ๆเขาก็ขมวดหัวคิ้ว ผมจึงใช้นิ้วชี้แตะไปเบาๆ เพื่อคลายมันออก แล้วเจ้านั่นก็ทำให้ผมแทบหัวใจวาย พีทพลิกตัวโตๆของเขาแล้วโถมทับลงบนตัวของผมจนแนบไปกับที่นอน แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่กระตุกใจผมจนแทบหยุดเต้น คือคำว่า “พี่ปิง” ที่พีทเรียกออกมา … ผมไม่รู้จะเรียกความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นว่าอย่างไร

                    ผมไม่คิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย เพราะไม่เคยมีใครทำให้ความแมนในตัวของผมสั่นคลอนได้ ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำกับลูคัสที่ขึ้นชื่อว่าหล่อติดอันดับของไฮสคูล (แต่อันดับต่ำกว่าผม) ก็ยังไม่ทำให้ผมสะทกสะท้าน แต่กับพีท ... เพียงแค่รอยยิ้มที่ปราศจากการเสแสร้ง เสียงหัวเราะที่สดใสราวกับแสงแดดยามเช้า ดวงตากลมใสที่ไม่เคยปกปิดความรู้สึกของเจ้าตัวได้มิด ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผมเข้าเดินเข้าหาอย่างไม่อาจต้านทาน ... เพียงแค่นั้นกระมัง

                    และเพียงแค่ได้เห็นสีหน้าเขินอายของพีทเมื่อตอนที่พี่ปิงก้มลงไปเอ่ยขอบใจที่เขาเสียสละที่นั่งให้ตอนดูหนัง กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ...

 

                    จากบทสนทนาของเราเมื่อกลางวัน ย้ำให้ผมรู้ว่าพี่ปิงมีอิทธิพลต่อพีทมากแค่ไหน ... มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดมานานแล้วกว่า 10 ปี ... แต่สำหรับผมที่เพิ่งพบกับพีทได้เพียง 10 วัน ...

                    “Nooooooooooo!!!!” ผมกดหมอนลงบนใบหน้าให้แน่นขึ้น ฟาดขากับที่นอนสุดแรง

                    Line! เสียงข้อความเข้า

                    ผมโยนหมอนทิ้งไป รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู

                    พีท – ดูดิ อาหารของแม่นาย 2 มื้อ ทำเอาซิกแพ็คของเรามากองรวมกันเป็นก้อนเดียว

                    พร้อมแนบรูปหน้าท้องที่ดูยังไงก็รู้ว่าพยายามเบ่งให้กลมพองอยู่เหนือบ็อกเซอร์ลายกระต่าย

                    สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำเอาผมเลือกอารมณ์แทบไม่ถูก ขำก็ขำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

                    ผมส่งอีโมติคอลหน้าตาไร้อารมณ์กลับไป และพีทส่งสติ๊กเกอร์หัวร่องอหายกลับมา

                    พีท – ฝันดีนะไมกี้

                    ผม – อืม

                    ผมวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนอย่างไร้เรี่ยวแรง และแล้วสิ่งที่คาดเดามันก็เป็นจริง ... พีทไม่เข้าใจอะไรเลย

 

                    “ถ้านายจะโง่ขนาดนี้ ฉันคงบอกออกไปตรงๆว่าฉันชอบนาย แล้วยอมให้นายต่อยฉันจนคว่ำ ยังจะดีซะกว่า” 

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
«ตอบ #38 เมื่อ23-05-2016 20:55:13 »

เป็นกำลังใจให้ไมค์นะหนุ่มน้อย

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
«ตอบ #39 เมื่อ24-05-2016 22:12:26 »

เป็นกำลังใจให้ไมค์นะหนุ่มน้อย

ไมกี้ฝากมาบอกว่า "เชื่อมือผมเถอะ" ยกยิ้มที่มุมปาก
เดี๋ยวๆๆๆ ถามคนแต่งก่อนหน่อยไหมน้องไมค์!! :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The One You Love (& The ones who love you) #16 MIKE [updated 23/5/2559]
« ตอบ #39 เมื่อ: 24-05-2016 22:12:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #17 MHEK [updated 26/5/2559]
«ตอบ #40 เมื่อ26-05-2016 19:18:31 »

มาอีกแล้วค่ะ แหะๆ คนเขียนใจอ่อน เพราะมีผู้อ่านมาขอบทต่อไปแต่เช้า มีคนให้ความสำคัญและรอคอยขนาดนี้ แม้เพียงคนเดียวก็เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายเลยนะคะ ... วันนี้คุยกับพี่ท่านนั้นว่าตัวละครของเราค่อยเป็นค่อยไปเหลือเกิน คนอ่านหลายคนอาจรอไม่ไหว ฮา แต่หลังจากบทที่ 18 ไปแล้วดูเหมือนเรื่องราวจะมากขึ้น (วัดจากจำนวนหน้ากระดาษ A4 ของแต่ละบทที่เขียน) ยังไงก็ติดตามกันต่อไปนะคะ รับรองว่าเรื่องนี้เขียนจบแน่ๆ ไม่ทิ้งไว้กลางทางแน่นอนค่ะ / MissDaisy



# 17 (MHEK)

 

                     ผมตื่นมาในเช้าวันอาทิตย์ ด้วยอาการมึนหัวนิดๆ คงเพราะเมื่อวานดื่มไปมาก อีกทั้งเมื่อคืนยังนอนไม่หลับ ... ก่อนเข้าห้องน้ำ ผมเดินเลยไปยังห้องของปิง นึกเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นยังไง เพราะเมื่อคืนหนักเอาการ แต่เมื่อเคาะประตูเรียกสักพัก มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องว่างเปล่า เตียงนอนถูกเก็บอย่างเรียบร้อย

                    เดินลงมายังชั้นล่าง ไร้ซึ่งเงาของปิงอีกเช่นกัน ... เขาคงออกไปทำงานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสภาพอย่างเมื่อคืน ปิงจะตื่นไปทำงานได้ไหว ... กลับขึ้นไปอาบน้ำ วันนี้มีเข้าชิฟต์เช้า

                    ผมมาถึงร้านสายไปเกือบชั่วโมงเพราะรถเมล์คันที่นั่งมาเกิดเสียขึ้นมากลางทาง กว่าจะรอคันต่อไปก็เสียเวลาไปมาก ที่ซวยไปกว่านั้นคือเช้านี้พี่ปุ๊กเข้ามาดูร้าน เลยโดนบ่นไปตามระเบียบ ทั้งๆที่โทรมาบอกพี่ดิวไว้แล้ว ผมแอบคิดว่าที่แกบ่นๆ อาจจะหาเรื่องลดชิฟต์ของผมลงไปอีก

                    “โอเคไหม?” หยกเข้ามาทักเมื่อเธอว่างจากการดูแลลูกค้า

                    “โอเค ... ขอโทษด้วยนะที่หยกต้องคัฟเวอร์แทนเมฆ” เช้าวันอาทิตย์พี่ปุ๊กลงเว็ท 3 คน คือผม หยก และญาติของแก หยกจึงต้องดูแลสเตชั่นให้ในขณะที่ผมยังมาไม่ถึง

                    “ไม่ยุ่งหรอก แขกยังไม่เข้าเท่าไหร่”

                    ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน ก็จริงของหยก แต่อีกสักพักก็คงจะเริ่มยุ่ง เพราะจวนจะถึงเวลามื้อกลางวัน

                    “เมฆ ...”

                    “หืม?” ผมกำลังก้มหน้าผูกผ้ากันเปื้อนที่เอว

                    “ออกไปหาไรกินช่วงเบรกกันไหม?”

                    ผมเงยขึ้นมองหน้าหยก พอจะเดาได้ว่าเธอต้องการคุยเรื่องอะไร

                    “ไปสิ” ผมตอบตกลงเพราะรู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องเคลียร์ให้จบ

                    หยกยิ้มกว้าง ... เธอยิ้มสวย

                    “งั้นหยกไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจ๊ปุ๊กแหกเอา” หยกหัวเราะก่อนจะเดินไปถามลูกค้าโต๊ะที่เธอดูแลว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม

 

                    เมื่อถึงเวลาเบรก หยกพาผมขับรถออกมานั่งที่ร้านเบอร์เกอร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านพี่ปุ๊ก ... ไอ้เนสมันไปสืบมาได้ว่ารถที่หยกใช้คันนี้ เป็นรถที่พี่อ้อมซื้อให้ ถึงแม้จะเป็นรถมือสอง แต่ก็ถือว่าพี่อ้อมคนนั้นทุ่มเทให้กับหยกอยู่ไม่น้อย

                    เมื่อได้อาหารที่สั่งไปแล้ว พวกเราจึงหาที่นั่ง จากนั้นหยกก็เปิดประเด็นทันที

                    “เมฆเปลี่ยนไป รู้ตัวไหม?”

                    ผมเม้มปาก พยายามคิดให้ดีก่อนจะพูดอะไรออกไป

                    “รู้” ผมตอบสั้นๆ คงไม่ต้องอ้อมค้อมกันแล้ว

                    หยกขมวดหัวคิ้ว สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมตอบออกมา

                    “เมฆ ...” เธอเอ่ยชื่อผม แล้วเราสองคนก็เงียบกันไป หยกเองคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบอย่างนี้ ส่วนผมกำลังคิดว่าจะพูดอะไรต่อไป

                    “เพราะอะไร?” ในที่สุดหยกก็ถามขึ้นมา

                    ผมสูดลมหายใจลึก เอาล่ะ ... มันถึงเวลาแล้ว

                    ผมเล่าเรื่องที่พี่อ้อมมาหา หยกนั่งฟังด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก

                    “หยกจำได้ไหมที่รถไอ้เนสโดนขูดเมื่อเดือนก่อน?” ผมเปิดประเด็น

                    “อือ” หยกคงกำลังตกใจกับเรื่องที่ผมได้เจอแฟนเก่าของเธอ จึงพยักหน้าตอบอย่างงงๆ

                    “นั่นล่ะ หลังจากพี่อ้อมมาหาเมฆไม่นาน เขาก็โทรมาขู่ว่าให้เมฆเลิกยุ่งกับหยก”

                    “จริงง่ะ?” หยกทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ

                    ผมพยักหน้าตอบ

                    “เมฆก็เลยทำตาม? กลัวเหรอ?” น้ำเสียงของหยกคล้ายจะผิดหวังในตัวผมอยู่ไม่น้อย

                    “ไม่กลัวนะ เพราะถ้ากลัวเมฆก็คงบอกเลิกหยกไปตั้งแต่วันที่เขามาหาแล้ว ก็ที่กำลังจะบอกไง พอเขาโทรมาขู่ อีกไม่กี่วันรถไอ้เนสก็โดน หยกคิดว่าใครจะทำล่ะ?”

                    หยกย่นหัวคิ้วเหมือนไม่เชื่อ ก่อนจะเอ่ย “แต่จำได้ไหมล่ะ รถป้องก็เคยโดนทุบกระจก”

                    “ก็ใช่ แต่ของไอ้ป้องตั้งใจทุบกระจกเพื่อเอาของในรถ แต่ของไอ้เนสนี่คือการขูดสีด้านข้างไปทั้งแถบนะ” ผมพยายามชี้ให้หยกเห็นความแตกต่าง แต่เธอคงไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ

                    “อาจเป็นอุบัติเหตุก็ได้” เธอพูดเสียงอ่อย

                    “เห้อ ... หยกไม่เชื่อ เมฆก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่นอกจากไอ้เนสจะโดนแล้ว พี่ปิงยังโดนด้วย นี่ขนาดจอดที่ลานจอดรถของที่บ้านนะ”

                    “มีอีกเหรอ?” สีหน้าเธอตกใจอีกครั้ง

                    “ใช่ เมฆว่านี่มันมากไป”

                    “เมฆก็เลยจะเลิกกับหยกเพราะเรื่องนี้?” เธอแสดงหน้าผิดหวังอีกครั้ง ในเวลานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรไม่เป็นลูกผู้ชาย ที่แก้ปัญหาด้วยการหนี แต่ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว

                    หยกถอนหายใจ “คือ ... หยกเลิกกับพี่อ้อมไปนานแล้ว เมฆเข้าใจป่ะ?”

                    “เข้าใจ แต่เขาไม่ยอมปล่อยหยก”

                    “แล้วจะให้หยกทำยังไง? หยกไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา เขามาหาเรื่องเอง เมฆจะให้หยกทำยังไง?”

                    “แล้วหยกเข้าใจเมฆป่ะ เมฆไม่อยากมีเรื่อง หยกก็รู้นี่ว่าพี่อ้อมเขามีพรรคพวกประเภทไหน คนไทยในดีซีเขาก็รู้กัน เมฆไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้” เพื่อนไอ้เนสที่อยู่ในดีซี เตือนพวกผมว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้ มันทำตัวไม่ต่างอะไรกับพวกมาเฟีย อีกทั้งยังมีเรื่องการพนันและยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

                    “เมฆแม่งขี้ขลาด” ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าด้วยคำพูดนี้ของหยก

                    ผมพยักหน้า “อือ ยอมรับ ถ้าแค่ตัวเมฆคนเดียวมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่คนรอบข้างเมฆต้องมาเดือดร้อนด้วย หยกว่ามันสมควรไหมล่ะ?”

                    หยกจ้องหน้าผมเขม็ง ผมรู้ว่าเธอโกรธและผิดหวังมาก “แล้วหยกล่ะ? ไม่สำคัญพอสำหรับเมฆเหรอ?”

                    ผมถอนหายใจยาว คำตอบที่อยู่ในใจ ทำให้รู้ว่าผมแม่งเลว

                    “ตอบสิ” เธอคาดคั้น

                    “สำคัญ ... แต่คนที่เมฆอยากปกป้องก็มี”

                    “หมายความว่ายังไง?”

                    ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วปล่อยออกมาจนหมดก่อนจะเอ่ย “หยก ... เมฆชอบหยกนะ แต่เมฆก็มีคนสำคัญ ที่ไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”

                    เม็ดน้ำตาผุดขึ้นมาแล้วร่วงลงอาบแก้ม ใจผมหายวาบ ผมทำให้หยกต้องร้องไห้ ผมเอื้อมมือจะไปเช็ด แต่หยกปัดมือผมออก เธอหยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะมาซับน้ำตาจนแห้ง จ้องหน้าผมเขม็งแล้วตั้งคำถามสั้นๆ “ใคร?”

                    คำถามที่แม้แต่ผมเองยังไม่กล้าตอบกับตัวเอง ...

                    ผมถอนหายใจ ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ หยกไม่ยอมละสายตาของเธอไปจากผม นานหลายอึดใจ แต่ในที่สุดเกมส์จ้องตานี้ผมก็เป็นฝ่ายแพ้ ... ผมหลุบตาลงต่ำ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลานี้ จะไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปากของผม

                    “ใครคือคนสำคัญคนนั้น?” หยกยังไม่ลดละที่จะเอาคำตอบ

                    “จวนได้เวลาเข้ากะบ่ายแล้ว หยกควรกลับเข้าร้านได้แล้วนะ” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พยายามหาทางออกให้ตัวเอง

                    “มันจะจบง่ายๆแบบนี้เหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังแล้วร้านรานใจไม่น้อย

                    “มันไม่ง่ายนะหยก เมฆยอมรับว่าชอบหยก ถึงเราจะเมาแล้วมีอะไรกัน เมฆก็เต็มใจยอมรับเว้ย แต่นี่ไง มันมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แฟนเก่าหยกเป็นมาเฟีย เขาขู่เมฆ ขู่เพื่อนเมฆ ถ้าวันหนึ่งคนของเมฆถูกทำร้ายขึ้นมา เมฆจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย เราทุกคนต่างมีคนสำคัญป่ะ?” เอาล่ะ เชิญด่าผมได้ตามสบาย ผมแม่งฟันผู้หญิงแล้วทิ้ง ผมมันขี้ขลาด

                    “คนสำคัญเหรอ? เมฆชอบคนอื่น แค่นี้ไง ง่ายๆ ทำไมไม่พูดอะไรที่มันง่ายๆ แค่บอกหยกว่าเมฆชอบคนอื่น ง่ายๆ” น้ำตาของหยกไหลพรูออกมาอีกคำรบ น้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้นทำให้ฝรั่งที่อยู่ในร้านเริ่มหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว

                    “อืม ... ถ้าหยกอยากให้มันง่ายๆแบบนี้ ก็ใช่ ... เมฆชอบคนอื่น”

                    เมื่อผมพูดจบ ฝ่ามือของหยกก็ฟาดลงที่แก้มของผมเสียงดังสนั่น แล้วเธอก็ลุกเดินออกจากร้าน ผมลูบแก้มที่ชาและวิ่งตามออกไป

                    หยกเข้าไปนั่งในรถ เลื่อนกระจกลง “ขึ้นรถสิ หยกไปส่งที่ป้ายรถเมล์”

                    “ไม่เป็นไร เมฆเดินออกไปเองได้”

                    “เค” เธอตอบสั้นๆ หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม

                    “หยก ... ขอโทษนะ” ผมก้มลงไปบอกด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

                    “เมฆ แม่ง เหี้ย” หยกเน้นชัดทุกคำ ก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้น แล้วกระชากรถออกไป

                    ผมถอนหายใจ พึมพำกับตัวเอง “เออ กูแม่งเหี้ยแหละ”

 

                    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืด เปิดเบียร์เย็นๆ แล้วลงนอนบนโซฟาตัวโปรด เปิดทีวี กดหารายการไปเรื่อยอย่างไม่มีเป้าหมาย ในใจนึกถึงแต่สีหน้าและแววตาที่ทั้งโกรธ ผิดหวัง และเสียใจของหยก ถ้าคืนนั้นผมไม่มีอะไรกับหยก วันนี้ผมคงไม่รู้สึกผิดมากขนาดนี้

                    รายการทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เข้าโสตประสาทของผมเลย ในหัวมันคิดวนเวียนอยู่แค่ความรู้สึกผิดที่ทำให้หยกต้องเสียใจ แต่ผมหาทางออกที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้

                    พยายามคิดเพื่อเข้าข้างตัวเองว่าถึงแม้จะไม่มีเรื่องของพี่อ้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมกับหยกก็อาจจะคบกันไปได้ไม่นาน ผมชอบหยกก็จริง แต่มันก็เป็นแค่ความชอบที่ไม่ถึงกับทำให้ขาดไม่ได้หรือทำให้ใจสั่นไหวเวลาได้อยู่ใกล้ เผลอๆบางทีถ้าคบกันไปนานๆ หยกเองนั่นแหละที่จะบอกเลิกผมก่อน เหมือนอย่างแฟนเก่าของผมทั้ง 3 คนที่ผ่านมา

                    คนแรกผมคบกับเธอตั้งแต่เรียนมัธยมต้น เลิกเรียนเราจะนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน เพราะบ้านเราอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าไหร่ พอขึ้นมัธยมปลายก็ได้เรียนห้องเดียวกันอีก แต่เพราะผมได้เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน ต้องมีซ้อมแทบทุกวันหลังเลิกเรียน แรกๆเธอก็นั่งรอ แต่หลังๆมาเธอคงเบื่อ เพราะกว่าจะเลิกก็มืดค่ำ กว่าจะรู้ตัวเธอก็มีคนอื่นนั่งรถเมล์ไปส่งที่บ้านแทนผมเสียแล้ว ผมไม่เสียใจนะ กลับดีใจที่เธอมีคนคอยดูแลแทน

                    คนที่สองตอนเรียนปีหนึ่ง เธออยู่คณะอักษรศาสตร์ มีคนมารุมจีบเธอเยอะ แต่ผมก็ชนะทุกคน แต่ได้หัวใจเธอมาครองได้แค่ปีเดียว เธอก็ไปกับหนุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนที่เทียวรับเทียวส่งด้วยออดี้สีแดง นี่ผมก็ไม่รู้ตัว จนเพื่อนในกลุ่มมันมาบอก ก็มีเรื่องมีราวเกือบวางมวย เธอบอกว่าเวลาชีวิตของเธอมีค่ามากกว่าจะต้องมานั่งรอผมในวงเหล้า ในเวลานั้นผมคิดว่า ถ้าเธอไม่พร้อมจะรอ ก็ไม่ต้องรอ

                    ผมใช้ชีวิตโสด เรียนกับเมาอยู่กับเพื่อนมาเป็นปี ระหว่างนั้นก็เปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย จนวันหนึ่งผมเมาแล้วไปมีเรื่องชกต่อยจนต้องขึ้นโรงพัก น้ำตาของหม่าม้าตอนที่ลูบหน้าลูบตาของผมที่แตกยับ แต่กลับไม่ด่าสักคำ ทำให้ผมคิดได้ จากนั้นจึงเพลาเรื่องกินเหล้า และกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งจนติดทีมของมหาวิทยาลัย พอปีสามผมก็มีแฟน คราวนี้เธอเป็นสาวพยาบาล เรียบร้อยน่ารัก เราคบกันได้ดีจนเรียนจบ แต่เมื่อผมต้องการมาเรียนต่อที่อเมริกา เธอก็ยื่นคำขาดว่าถ้าผมไป เราเลิกกัน ... ไม่ต้องบอกก็คงรู้คำตอบ ผมคงเห็นแก่ตัว เพราะถ้าไม่หนีมาเรียนต่อที่นี่ ผมต้องรับตำแหน่งเถ้าแก่เฝ้าร้าน ชีวิตคงจบอยู่แค่นั้น ซึ่งมันไม่ใช่ความต้องการของผม

                    หยกจึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมบอกเลิกก่อนและเป็นครั้งแรกที่รู้สึกผิดจริงๆ ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเพราะไม่มีสำนึกหรือเพราะอะไรที่ทำให้ผมเพียงแค่เสียใจบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ได้รู้สึกผิดอย่างกับตอนนี้ที่กำลังรู้สึก

 

                    ผมละสายตาจากจอทีวีเมื่อมีเสียงข้อความเข้า ... รูปขนมจีนแกงเขียวหวานกับไก่ทอดที่พีทส่งมาอวดว่าที่บ้านไมค์ทำให้กิน พร้อมใบหน้ายิ้มทะเล้นของพวกมันทั้งสอง เตือนกระเพาะให้รู้ว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเย็น อีกทั้งมื้อกลางวันก็ไม่ได้แตะเบอร์เกอร์ที่สั่งมาเลยสักคำ ... ความหิวทำให้ต้องสลัดความขี้เกียจออกจากร่าง แล้วลากตัวเองไปต้มบะหมี่ในครัว จริงๆแล้วก็แค่ต้มน้ำแล้วเทใส่บะหมี่ถ้วยนั่นเอง

                    กินอิ่มแล้ว ผมยังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา คิดลังเลว่าจะเล่าให้ไอ้เนสฟังดีไหม แต่มานึกอีกที ถ้ามันถามว่าแล้วผมชอบใคร ... ผมคงไม่มีคำตอบให้มัน เมื่อคิดได้แบบนี้ เงียบไว้คงดีกว่า

 

                    เสียงประตูหน้าบ้านปลุกผมให้งัวเงียลืมตาขึ้นมา ทั้งบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากจอโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้

                    “กลับมาแล้วเหรอ?” ผมเอ่ยทักออกไป คงไม่มีใครนอกจากปิงที่จะมาในเวลานี้

                    “ทำไมอยู่มืดๆ” เสียงของปิงมาพร้อมกับแสงสว่าง “หลับเหรอ?”

                    ผมลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวให้หายมึนงง “อือ ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป”

                    “...”

                    “...”

                    ปิงยืนห่างออกไป 5-6 ก้าวจากโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ใบหน้าขาวดูซีดเซียว เมื่อคืนปิงอาจจะนอนไม่หลับเหมือนกันกับผม ... จู่ๆภาพร่างของปิงบนเตียงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในมโนนึก ... เราสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะเลี่ยงหลบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังของปิง เพราะกลัวว่าถ้าเขามองตาผมไปนานกว่านี้ เขาจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

                    “อย่าลืมปิดไฟล่ะ” ปิงเอ่ยแล้วเดินจากไป

                    ผมลังเล ก่อนจะตัดสินใจรั้งเขาเอาไว้ “ปิง ...”

                    เสียงฝีเท้าบนบันไดหยุดลง ผมลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงไปยังทางขึ้นชั้นสอง ปิงยืนเกาะราวบันไดแล้วหันกลับมามองผมที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได

                    “โอเคไหม?” ผมถามด้วยความห่วงใยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน

                    “โอเค” สายตาที่ทอดมองลงมา ดูอ่อนล้าตรงข้ามกับคำตอบ

                    ผมก้าวขึ้นบันได ไปหยุดห่างจากจุดที่ปิงยืนอยู่ 2 ขั้น   

                    “เมฆเป็นห่วง” ผมบอกความรู้สึก เงยขึ้นไปมองใบหน้าที่ตอนนี้ห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ ... ใกล้จนได้กลิ่นบางอย่างบางๆรอบตัวปิง

                    “นายสูบบุหรี่เหรอ?” ผมอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

                    “...”

                    “เมฆไม่เคยรู้เลยนะว่าปิงสูบบุหรี่” ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคากันมา ผมไม่เคยเห็นปิงสูบบุหรี่ แม้แต่กลิ่นติดตัวก็ไม่เคยมี

                    “หึ ...” ปิงแค่นเสียงในลำคอคล้ายกำลังเย้ยหยัน “นายยังไม่รู้อะไรอีกมากเกี่ยวกับตัวฉัน”

                    “นายก็บอกสิ เราจะได้รู้” ผมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่เรียว พยายามค้นหาว่าลึกลงไปในความสงบนิ่งที่เจ้าตัวมักแสดงให้คนอื่นเห็น แท้ที่จริงแล้วอาจคล้ายกับทะเลที่มีคลื่นซ่อนอยู่เบื้องล่าง

                    ปิงถอนหายใจอ่อน “ถึงนายรู้ นายก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้”

                    “นายรู้ได้ยังไงว่าเราจะช่วยนายไม่ได้ ... ฟังนะ ไม่ว่าปิงจะเป็นอะไรมาก่อน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสำหรับเมฆ ปิง ...”

                    มือขาวของปิงเอื้อมมาวางบนหัวของผม “ขอบใจนะ” เขากล่าวแล้วยิ้ม ทำท่าจะหันหลังก้าวขึ้นบันไดต่อ ผมจึงรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้

                    “เมฆยังพูดไม่จบเลยนะ”

                    ปิงหันกลับมา เขามองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “อย่าเพิ่งพูดออกมา จนกว่านายจะรู้ใจของตัวเองจริงๆ” ปิงบิดข้อมือ ผมจึงยอมปล่อย

                    “ไปนอนเถอะ” เขาพูด ก่อนจะหันหลังให้กับผม

                    ผมปล่อยให้ปิงเดินหายลับไปในความมืด ส่วนตัวเองกลับทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันได ... ผมยกมือขึ้นวางบนหัวของตัวเอง สัมผัสจากมือของปิงยังคงติดอยู่ …

 

                    ผมมั่นใจว่าสาเหตุที่ปิงเป็นอย่างนี้ คือผู้หญิงคนนั้นที่เป็นภรรยาของคุณกร ถึงแม้ปิงจะไม่เคยเอ่ยถึงคุณกรเลย แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ที่จะไม่เข้าใจว่าภาพของเขาและปิงที่ผมเห็นในวันนั้นหมายความว่ายังไง แม้หลังจากวันนั้นผมจะบอกกับตัวเองว่ารสนิยมทางเพศของเพื่อนร่วมบ้านไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะต้องนำมาใส่ใจ แต่มาวันนี้ผมกลับอยากใส่ใจกับทุกๆปัญหาที่เพื่อนร่วมบ้านของผมคนนี้ต้องเผชิญ

                    ผมอาจไม่รู้ว่าที่ผ่านมาปิงทำอะไรมาบ้าง คนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่ ณ ปัจจุบันและในอนาคต ผมรู้แค่ว่าผมอยากอยู่เคียงข้างและปกป้องเขา อยากให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว และผมพร้อมที่จะเข้าใจในตัวตนจริงๆของเขา แต่ผมจะทะลายกำแพงน้ำแข็งที่ปิงสร้างขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ได้ยังไง?

 

                    ขึ้นเตียงแล้วแต่กลับนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะงีบไปเมื่อตอนหัวค่ำหลายชั่วโมง ... แล้วคนที่นอนอยู่ในห้องถัดไปจะหลับใหลหรือยังคงนอนลืมตามองความมืดอยู่เหมือนกันกับผม?

                    “เป็นไรว้าเมฆ?” ผมพึมพำกับตัวเอง ถอนใจ ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก แต่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปวางบนหัวของตัวเองตรงที่มือของปิงเคยสัมผัสอีกครั้ง ... ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่

 

                    เช่นกันกับสัมผัสเมื่อคืน ... ริมฝีปากของปิงที่กดลงมาบนริมฝีปากของผม จนถึงวินาทีนี้ ยังรู้สึกถึงความร้อนผ่าวนั้นราวกับมันถูกประทับเอาไว้อย่างแน่นหนา

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) #17 MHEK [updated 26/5/2559]
«ตอบ #41 เมื่อ26-05-2016 20:26:31 »

ชอบตรงผู้หญิงในเรื่องถูกกำจัดออกไปทีละคนนี่แหละ  :katai2-1: :mc4: :hao7:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #18 PETE [updated 30/5/2559]
«ตอบ #42 เมื่อ30-05-2016 20:35:14 »

# 18 (PETE)

 

                    เย็นวันนี้น้าเจนี่พาผมกับไมค์ไปโกรเซอรี่ของไทยที่อยู่ห่างจากบ้านออกไปราวๆครึ่งชั่วโมง เมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมแทบผวาเข้าไปซบชั้นวางของ นี่มันกรุสมบัติชัดๆ!!

                    ในร้านนี้คุณสามารถหาทุกสิ่ง อย่างที่ร้านขายของชำและตลาดในประเทศไทยมี ทั้งของคาวของหวาน อาหารแห้ง อาหารสด ปลาร้า กะปิ ตั๊กแตนทอดแช่แข็งก็ยังมี นอกจากนั้นยังมีพวกนิตยสารและหนังสือนวนิยายอีกด้วย

                    น้าเจนี่บอกว่าผมโชคดีที่ได้มาอยู่เมืองนี้ เพราะเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชาวอเมริกันเองก็ไม่เหยียดสีผิว จะเห็นได้จากร้านค้าและร้านอาหารที่มีแทบทุกเชื้อชาติ ของทางฝั่งเอเชียเองก็มีชุมชนเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะชาวจีน เกาหลีและเวียดนาม ที่ดูจะมีประชากรหนาแน่นมากพอสมควร

                    เวอร์จิเนียเป็นรัฐที่อยู่ติดกับเมืองหลวงอย่างวอชิงตันดีซี แต่กลับมีความสงบ ไม่พลุกพล่านจอแจอย่างเมืองใหญ่เช่นนิวยอร์ก แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความสะดวกสบายและทันสมัย และด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและการเปิดกว้างยอมรับ ที่นี่จึงถือว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่เป็นอย่างมากในความคิดของผม

                    ผมเดินสำรวจจนทั่วร้านซึ่งเป็นห้องกว้าง 2 คูหา ไมค์บอกว่าห้องที่ติดกับโกรเซอรี่นี้เป็นร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน ... หลังจากเดินเข้าช่องนั้นออกช่องนี้ ผมก็หอบห่อบะหมี่และขนมมาเต็มสองมือ

                    “นายจะไม่กลับไทยแล้วหรือไง?” ไมค์ยื่นตะกร้าพลาสติกมาตรงหน้า เหลือบหางตามองสิ่งของในมือผม

                    “ยังต้องอยู่อีกหลายวัน หรือนายอยากให้เรากลับแล้ว?” ผมวางสิ่งของที่หอบอยู่ลงในตะกร้า แล้วรับมาถือเอาไว้เอง เพราะในอีกมือหนึ่งของไมค์มีตะกร้าที่เขาถือให้กับน้าเจนี่อยู่

                    ไมค์ไม่ตอบคำถามของผม แต่แยกไปเดินตามคุณอาของเขา

                    สักพักไมค์ก็เดินมาหย่อนบางอย่างลงตะกร้าของผม ... ผมมองตาม สิ่งนั้นคือผักสีเขียวหนึ่งมัด

                    “อะไร?” ผมรู้ว่ามันคือผัก แต่ไม่เข้าใจว่าไมค์จะมาหย่อนในตะกร้าผมทำไม

                    “นายควรกินผักด้วย” ไมค์ยักไหล่

                    “เอาไปทำอะไรกิน? เราทำไม่เป็นหรอกนะ” ผมมองผักใบเขียวในตะกร้า

                    “มาม่าของนายควรต้องมีผักด้วย”

                    ผมอ้าปากจะบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ แต่ไมค์ก็พูดขึ้นมาก่อน “นายเป็นลูกแหง่แล้วยังไม่กินผักอีกเหรอ?”

                    แล้วขายาวๆก็ก้าวจากไป ... บางเวลาผมก็คิดว่าไมค์จู้จี้มากกว่าแม่ซะอีก

 

                    “Are you sure, you’re on diet?” เสียงไมค์พึมพำขณะยืนรอพนักงานร้านทยอยเก็บของออกจากตะกร้าทีละชิ้นเพื่อคิดเงิน

                    “Shut up, boy” น้าเจนี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ปรายหางตามองมาทางหลานชาย

                    ไมค์ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนผมได้แต่ยืนยิ้มมองความสนิทสนมของอาหลาน ... น้าเจนี่เป็นสาวโสดอายุ 44 รูปร่างท้วมส่วนสูงกะทัดรัด ผมเดาว่าไม่น่าจะเกิน 155 เซนติเมตร เมื่อยืนอยู่ข้างๆไมค์ที่สูงไม่น่าต่ำกว่า 185 เซนติเมตร จึงทำให้เกิดภาพที่มองแล้วอดยิ้มไม่ได้

                    ผมเดาว่าไมค์น่าจะสูงประมาณนั้น ถ้าเทียบกับตัวผมที่ตอนนี้วัดได้ประมาณ 184 เซนติเมตร บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเราตัวสูงพอกัน แต่บางทีก็ดูเหมือนไมค์จะสูงกว่า อาจเป็นเพราะเขาตัวบางกว่าผม แต่ก็ไม่ถึงกับผอมเก้งก้าง คงเพราะผมฝึกมวยไทยมาหลายปี ทำให้มีกล้ามเนื้อมากกว่าเด็กหนุ่มที่แค่เล่นกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างไมค์

                    วันนี้ผมจ่ายไปเกือบ 100 ดอลล่าร์ แต่ก็ได้ของมาเต็ม 2 ถุง น่าจะเป็นเสบียงได้ไปจนถึงวันกลับไปบ้านน้าติ๊ก

 

                    มื้อเย็นวันนี้ผมจึงได้ซดบะหมี่รสต้มยำใส่ไข่และใส่ผักที่น้าเจนี่เรียกว่าวอเตอร์เครส และพิเศษใส่หอยลายกระป๋อง ที่ไอ้ม่อกเคยบอกว่าให้ลอง รับรองอร่อยเหาะ อันที่จริงน้าเจนี่ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้าน แต่เพราะความเกรงใจที่ไปรบกวนมาหลายมื้อแล้ว ผมจึงปฏิเสธ

                    เพราะความคิดถึงอาหารรสแซ่บ ผมจึงแกะบะหมี่รสต้มยำลงหม้อไปสองห่อ และด้วยความที่กะเวลาไม่ถูก บะหมี่จึงอืดแทบล้นหม้อ เล่นเอาอิ่มแทบจุก ครั้นจะกลับขึ้นไปบนห้อง คงต้องท้องอืดตายบนเตียง ผมจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้านเพื่อเป็นการฆ่าเวลาและย่อยอาหาร

                    ตั้งแต่มาที่นี่ได้สิบกว่าวัน ผมแทบไม่ได้ออกกำลังกายเลย มีแค่ที่ได้เล่นบาสเก็ตบอลกับไมค์เมื่อวันก่อน กลับถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ คงต้องเริ่มฟิตอย่างจริงจัง ก่อนที่ซิกแพ็คของผมมันจะมากองรวมกันเป็นแพ็คเดียวอย่างถาวร

                    ผมเดินไปเรื่อยๆบนทางเท้าที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บ้านเรือนที่นี่สวยงามสะอาดเป็นระเบียบทุกหลัง ช่วงเวลาเย็นๆอย่างนี้ เพื่อนบ้านบางคนก็พาหมาออกมาเดินเล่น บางคนจ็อกกิ้ง ที่ปั่นจักรยานก็มี ... ผมคิดในใจว่าพรุ่งนี้น่าจะตื่นแต่เช้ามาวิ่งให้ได้เหงื่อเสียหน่อยคงดี

                    ผมหยุดเดินเป็นระยะเพื่อบันทึกภาพเอาไว้เป็นความทรงจำ น่าเสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องออกมาด้วย ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นถ่ายรูปกระรอกตัวน้อยที่กำลังไต่อยู่บนกิ่งไม้ อยู่ๆเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ทำเอาตกใจจนโทรศัพท์แทบหลุดจากมือ

                    “ว่า?” ผมส่งคำถามไปแทนคำทักทาย

                    “นายหายไปไหน?” เสียงปลายสายออกจะโวยวายสักหน่อย

                    “ออกมาเดินเล่น” ผมมองตามกระรอกที่วิ่งหายขึ้นไปบนยอดไม้ด้วยความเสียดาย

                    “ฉันมาหาที่ห้อง”

                    “มีอะไร?”

                    “ฉันต้องมีอะไรถึงจะมาหานายได้หรือไง” น้ำเสียงโวยวายของไมค์ ทำเอาผมต้องหลุดยิ้มเพราะนึกไปถึงท่าทางและหน้าตาที่รั้นเหมือนเด็กชอบเอาชนะของเขา

                    “ก็แล้วถ้านายไม่มีอะไร แล้วนายจะตามหาเราทำไม” ผมแหย่เจ้าคนขี้โวยวายปลายสาย

                    “นายรีบกลับมา ฉันจะรออยู่บนห้อง” พูดจบก็ตัดสายไปเลย

                    ผมหัวเราะให้กับโทรศัทพ์ เวลา 10 กว่าวัน ทำให้รู้ว่าถึงแม้ไมค์จะเป็นเด็กเอาแต่ใจ ชอบออกคำสั่ง แต่เขาก็คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างผมเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเอาแต่ใจกับผมแค่ไหน ผมก็ไม่ถือสา

 

                    ผมออกมาโดยไม่ได้ล็อกประตูบ้าน เพราะวันนี้พี่จิวไม่ได้ออกไปไหน ส่วนห้องนอน ถ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกไกลๆ ผมก็ไม่เคยล็อก เพราะไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่กล้องถ่ายรูปหนึ่งตัวเท่านั้น

                    เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พบไมค์นอนเหยียดยาวเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงของผม

                    “ไง?” ผมเอ่ยทัก

                    ไมค์ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยม มองตรงมายังผมที่เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ... เขาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง     “อาทิตย์หน้าฉันก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว”

                    “ทำไมล่ะ?” ผมลงนั่งตรงปลายเตียง

                    “ปิดเทอมไง” ไมค์ยกมือขึ้นผายแล้วยักไหล่ ทำท่าอย่างกับว่าผมไม่รู้หรือยังไง

                    “โอ้ ...” ผมเอ่ยออกไป ในสมองก็คิดว่าต้องทำยังไง? ต้องแสดงความยินดีด้วยไหม? ก็ควรสินะ เพราะเขาอุตส่าห์มาบอกถึงที่นี่ คิดได้ยังงั้นจึงเอ่ยออกไป “ดีใจด้วยนะ”

                    ไมค์ยักคิ้ว ยิ้มมุมปาก เวลาเขาแสดงสีหน้าอย่างนี้ ดูเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ไม่เบา นี่ถ้าสาวๆที่เมืองไทยเห็น จะต้องกรี๊ดแน่ๆ เผลอๆไมค์อาจกลายเป็นเน็ตไอดอลก็ได้

                    “นายจะกลับไป Wisconsin เมื่อไหร่?” คำถามของไมค์ทำให้ผมหยุดคิดเรื่องเน็ตไอดอล

                    “ก็คิดว่าอาทิตย์หน้า เพราะเรากะว่าจะไปอยู่กับน้าติ๊กอีกสักอาทิตย์ ก่อนกลับไทย” ผมมีกำหนดวันเดินทางกลับเมืองไทยที่ชัดเจน เพราะเมื่อตอนไปยื่นเอกสารขอวีซ่า ผมต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เพื่อยืนยันว่าจะกลับออกจากประเทศนี้แน่นอน

                    “อาทิตย์หน้าแล้ววันไหน?” ไมค์ยกมือขึ้นกอดอก สีหน้าคล้ายกำลังไม่พอใจ

                    “ก็ยังไม่แน่ อาจเป็นต้นอาทิตย์ หรือปลายๆอาทิตย์ เราต้องคุยกับน้าติ๊กก่อน” ผมไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของน้าติ๊กและน้าเขย เพราะถ้าผมไปถึงช่วงกลางวัน เขาต้องทิ้งงานเพื่อขับรถมารับที่สนามบิน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพอสมควร จึงต้องเช็คเสียก่อนว่าน้าทั้งสองสะดวกวันไหน

                    “ปลายอาทิตย์” น้ำเสียงของไมค์คล้ายกำลังออกคำสั่ง

                    “นายมีอะไรหรือเปล่า?”

                    ไมค์ยกเท้าขึ้นมายันต้นแขนของผม “ฉันอยากพานายไปเที่ยว”

                    “ไปวันเสาร์หรืออาทิตย์นี้ก็ได้นี่นา” ผมดีใจที่ไมค์อุตส่าห์นึกอยากพาไปเที่ยว ถึงแม้ว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องมาเทคแคร์ผมเลยก็ได้

                    ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องหน้าผมนิ่ง ผมเรียนรู้มาแล้วว่าควรทำอย่างไรให้เจ้าของดวงตาคมคู่นี้พอใจ

                    “โอเคๆ เอาเป็นว่าเราขอคุยกับน้าติ๊กก่อนนะ”

                    “อือ” ไมค์ยักคิ้วอย่างพอใจในคำตอบของผม

                    “ว่าแต่นายจะพาเราไปเที่ยวที่ไหน?”

                    “ที่ไหนนายก็ต้องไป” ไมค์ยักไหล่

                    “เหรอ?” ผมลากหางเสียง ...คำตอบของไมค์ทำให้นึกหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปหยิบหมอนที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมาฟาดลงบนหัวเจ้าเด็กกวนโอ๊ยคนนี้

                    “นายบังอาจทำร้ายเจ้าของบ้านเหรอ!” ไมค์ร้องโวย ยกแขนขึ้นป้องกัน

                    ผมหัวเราะด้วยความพึงใจที่ได้เอาคืนบ้าง

                    เสียงเรียกสายของไมค์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ “ครับคุณย่า ... ครับ ... ไปเดี๋ยวนี้ครับ”

                    ไมค์ลุกจากเตียงหลังจากวางสาย “ไปล่ะ แล้วไปเที่ยววันไหน ฉันจะบอกอีกที” พูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้อง

                    “อือ” ผมพยักหน้าให้กับแผ่นหลังที่กำลังจะหายลับไปจากกรอบประตู

 

                    หลังจากส่งข้อความคุยกับพ่อแม่ และเพื่อนๆในแก๊ง รวมทั้งตอบข้อความของแบมที่หายไปหลายวัน ในที่สุดเธอก็ส่งข้อความมาถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง ผมจึงตอบกลับไปว่าสบายมาก และส่งสติ๊กเกอร์ Good night ไปเพื่อตัดบทสนทนา ไม่ใช่ว่าผมลืมเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ไม่อยากรู้สึกว่าการที่แบมยังคุยกับผม มันเกิดเพราะความสงสาร

                    ผมกดหน้าจอไปยังปุ่มรายชื่อเพื่อน ภาพโปรไฟล์ดอกไฮเดรนเยียสีม่วงทำให้ใจสั่น ... เมื่อวันก่อนโน้นที่ผมกับไมค์ไปบ้านของพี่ปิงและพี่เมฆ ระหว่างที่ผมและพี่ปิงเข้าครัวด้วยกันเพื่อเตรียมอาหารค่ำ ทำให้มีโอกาสได้คุยกับพี่ปิงตามลำพัง ผมจึงขอไลน์เขาเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เพื่อนของพี่ปิงมาขัดจังหวะเสียก่อน เราจึงยังไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก

                    เมื่อวานผมห้ามใจตัวเองไม่ให้ส่งข้อความทักทายไปหาพี่ปิง เพราะกลัวเขาจะรู้ตัวว่าผมสนใจเขา ผมไม่อยากให้พี่ปิงรำคาญ แต่นี่ก็ผ่านไปเกือบสองวันแล้ว ถ้าส่งไปตอนนี้ เขาคงไม่ว่าอะไร ... ในที่สุดผมก็กลั้นหายใจ กดนิ้วลงไป

                    ผมทักทายด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ ... ส่งไปแล้วก็รอด้วยใจระทึกว่าเขาจะเปิดอ่านไหม ไม่อยากจะบอกเลยว่าในเวลานี้ความรู้สึกตื่นเต้นนั้นยิ่งกว่าการรอคำตอบจากแบม ในวันที่ผมขอเธอเป็นแฟน

                    ผ่านไป 7 นาที ข้อความถูกอ่าน ผมต้องเอามือกดลงตรงหน้าอกข้างซ้าย เพราะกลัวว่าหัวใจที่กำลังเต้นตึกๆอยู่ข้างในจะหลุดออกมานอกอก

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์ทักทายกลับมา

ผม – นอนหรือยังครับ

พี่ปิง – กำลังครับ

ผม – ขอโทษครับ ผมกวนหรือเปล่า

พี่ปิง – ไม่ครับ

พี่ปิง – มีอะไรหรือเปล่า

ผม – ไม่มีครับ

พี่ปิงอ่านข้อความ แต่ไม่ตอบอะไรกลับมา ผมขยุ้มหัวตัวเอง แทบอยากเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง พีทเอ๊ย! ทำไมแกถึงตอบพี่เขาไปอย่างนั้น! เมื่อตั้งสติได้จึงตอบกลับไปอีกครั้ง

ผม – มีครับๆ

พี่ปิง – ครับ?

ผม – ผมดีใจที่ได้เจอพี่

บอกความรู้สึกออกไปตรงๆ แล้วก็ได้แต่นอนใจเต้นตึกตัก

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้มมาให้

ผมยิ้มให้กับสติ๊กเกอร์ของพี่ปิง แล้วส่งสติ๊กเกอร์หน้าแดงกลับไป

พี่ปิง – พี่ก็ดีใจที่ได้รู้จักเรา

ถึงตรงนี้ผมม้วนตัวกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง หัวหูร้อนไปหมด

ผม – ผมอยากเจอพี่อีก

พี่ปิง – ก็เจอได้นี่ครับ

ผม – ผมกลัวรบกวนครับ

พี่ปิง – ไม่รบกวนหรอก แวะมาหาที่ร้านก็ได้

ผมดีใจจนต้องทุบกำปั้นลงบนที่นอนเพื่อระบายความสุขที่คับแน่นอยู่ในอก ยิ้มกว้างให้กับหน้าจอโทรศัพท์

ผม – ถ้าไปที่ร้าน ผมกลัวรบกวนเวลาทำงานของพี่

ผม – แต่ผมก็อยากไปกินข้าวที่ร้านของพี่นะครับ ผมเคยไปกินที่ร้านของพี่เมฆมาแล้ว 2 ครั้ง

พี่ปิง – เหรอครับ

พี่ปิง – มาได้นะ ไม่รบกวน

ถ้าไปที่ร้าน ผมคงทำได้แค่นั่งมองหน้าพี่ปิงอยู่ห่างๆ เพราะเขาต้องทำงาน พี่ปิงเป็นผู้จัดการร้าน คงต้องยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เหมือนอย่างพี่ดิวที่อยู่ร้านพี่เมฆ คงไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาคุยกับผม ... ผมจึงคิดหาหนทางอื่น

ผม – พี่มีวันหยุดไหมครับ

พี่ปิง – มีสิ

ผมนอนหัวเราะให้กับคำถามของตัวเอง สมองของผมเริ่มคิดแผนการทันที

ผม – ถ้างั้นผมจะรบกวนพี่ในวันหยุดได้ไหมครับ

พี่ปิง - ?

ถึงตรงนี้ เริ่มเกรงว่าผมจะรุกเขาเร็วเกินไป แต่ผมมีเวลาอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่วัน ถ้ามัวชักช้าก็คงไม่ได้การ

ผม – ผมอยากไปซื้อของฝากให้พ่อกับแม่ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี

พี่ปิง – ได้สิ แต่พี่มีวันหยุดอีกทีคือวันพุธนะ

ผม – วันพุธดีเลยครับ

ผมส่งสติ๊กเกอร์ดีใจ

พี่ปิง – งั้นเดี๋ยวนัดเวลากันอีกที

ผม – ครับ!!

ผม – ขอบคุณนะครับพี่ปิง

พี่ปิงส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มกว้าง

พี่ปิง – พี่นอนก่อนนะ

ผม – ครับ ขอบคุณมากครับ

พี่ปิง – ครับ

ผม – ฝันดีครับพี่ ^0^

พี่ปิง – ครับ ^^

 

                    พรุ่งนี้วันอังคาร ตื่นมาอีกทีก็วันพุธ ... ผมนอนมองข้อความที่เพิ่งสนทนากับพี่ปิงไปเมื่อครู่ รู้สึกร้อนที่หูผะผ่าว ผมไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย

 

                    แทบไม่อยากเชื่อว่าเวลาผ่านไป 10 ปี ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาอีกครั้ง รอยยิ้มและน้ำเสียงที่ผมบันทึกเอาไว้ในความทรงจำไม่เคยเลือนหาย … พี่ปิง ... ผู้ชายที่อยู่ในฝันของผม

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) ##18 PETE [updated 30/5/2559]
«ตอบ #43 เมื่อ30-05-2016 20:41:14 »

น้องพีทจะฝันค้างมั้ยนะ
แล้วน้องไมค์ล่ะคะลูก (พอดีป้าเป็นแม่ยกน้องไมค์ :ling1:)

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) ##18 PETE [updated 30/5/2559]
«ตอบ #44 เมื่อ31-05-2016 21:18:55 »

น้องพีทจะฝันค้างมั้ยนะ
แล้วน้องไมค์ล่ะคะลูก (พอดีป้าเป็นแม่ยกน้องไมค์ :ling1:)

มาเอาใจช่วยน้องไมค์กันค่ะ  :z1:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #19 PETE [updated 3/6/2559]
«ตอบ #45 เมื่อ03-06-2016 20:48:06 »

# 19 (PETE)



                    หลังจากออกไปวิ่งและกลับมาหาอาหารเช้าแบบง่ายๆกิน ผมกลับขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนเล่นอยู่บนเตียง ใจจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ ... เมื่อไหร่พี่ปิงจะนัดเวลามาเสียที

                    ผมส่งข้อความไปถามน้าติ๊กเรื่องวันเดินทางกลับ น้าติ๊กเสนอว่าให้มาวันเสาร์หรือวันอาทิตย์น่าจะดีที่สุด นั่นก็หมายความว่าผมมีเวลาอยู่ที่เวอร์จิเนียต่อประมาณ 2 อาทิตย์ แค่คิดก็ใจหายแล้ว

                    จากนั้นก็เฟสไทม์คุยกับพ่อแม่เรื่องที่จะกลับไปหาน้าติ๊ก และวันพุธจะไปซื้อของฝาก แม่อยากได้กระเป๋าสะพาย แต่ผมไม่รู้จะเลือกแบบไหน แม่คงคิดว่าผมจะไปกับแบม จึงให้ผมบอกแบมให้ช่วยเลือก เพราะผู้หญิงคงรู้ว่าแบบไหนสวยและเหมาะกับการใช้งาน ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เลิกกับแบมให้ท่านทราบ จึงได้แต่รับปากว่าจะเลือกมาให้สวยที่สุด ส่วนพ่อก็อย่างเคย คือบอกว่าไม่เอาอะไร แต่ผมก็มีอยู่ในใจแล้วว่าจะซื้ออะไรไปฝากท่าน

                    นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องน้าเจนี่พาไปร้านไทย และผมได้อาหารและขนมมาหลายอย่าง ซึ่งทำให้แม่สบายใจมากขึ้นว่าผมไม่ได้ลำบากเรื่องอาหารการกิน ในครั้งแรกแม่กังวลเพราะคิดว่าที่เวอร์จิเนียจะเหมือนกับวิสคอนซินที่น้าติ๊กอยู่ ที่คนไทยและร้านอาหารไทยมีไม่มากนัก

                    ผมวางสายแม่แล้วจึงส่งข้อความทักทายกับแก๊งเพื่อน พอพวกมันรู้ว่าผมจะไปช้อปปิ้งก็ร้องหาของฝากกันยกใหญ่ ส่วนไอ้ม่อกก็ยังยืนยันขอแหม่มฝรั่งเป็นของฝากสักคน

                    ก๊อกๆ ... เสียงเคาะที่หน้าประตูทำให้ผมวางโทรศัพท์ลง นึกสงสัยว่าใครมาหา ที่แน่ๆคือไม่ใช่ไมค์ เพราะเจ้านั่นไม่เคยสักครั้งที่จะมีมารยาทพอที่จะเคาะประตูให้เสียเวลา

                    “ครับ” ผมร้องออกไปขณะลุกเดินตรงไปที่ประตู

                    “หวัดดีน้องพีท!” สาวหมวยเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อผมเปิดประตูออกไป

                    “ฮะ หวัดดีครับ” ผมทักตอบแบบไม่ทันตั้งตัว

                    “ไปกินข้าวกัน วันนี้พี่หยุด” พี่เดือนที่ดูแล้วเหมือนจะยังอยู่ในชุดนอน เอ่ยชวน

                    ผมถูกจู่โจมกะทันหัน จึงยังนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ถามออกไปแบบงงๆ “ที่ไหนฮะ?”

                    “เอาน่า เดี๋ยวพาไป ร้านนี้มีก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อย”

                    “มีก๋วยเตี๋ยวเรือขายด้วยเหรอฮะ!” คำว่าก๋วยเตี๋ยวเรือกระตุกต่อมตื่นเต้นของผมขึ้นมาทันที

                    “มีสิ อย่างแซ่บ ไปกันนะๆ” พี่เดือนจับมือผมขึ้นมาเขย่า “วันหยุดทั้งที ขอควงหนุ่มหล่อไปอวดชาวบ้านหน่อยสิ” พูดแล้วก็หัวเราะจนตาหยี

                    ผมก็หัวเราะแหะๆตามไป แต่ในใจคิดถึงคำว่าก๋วยเตี๋ยวเรือ จึงตอบออกไปโดยไม่ลังเล “ไปสิครับ”

                    “ว้าย!” พี่เดือนยกมือขึ้นปิดปาก อีกมือฟาดลงที่แขนของผม “เด็กใจง่าย น่ารักอะไรอย่างนี้” แล้วเธอก็    หัวเราะต่อไปอีก “งั้นเดี๋ยวสัก 11 โมงเจอกันข้างล่างนะ”

                    “ครับ” ผมก็ยังหัวเราะแหะๆอย่างเดิม

                    ถึงแม้ผมจะเคยคุยกับพี่เดือนแค่ไม่กี่ครั้งเวลาที่เราเจอกันในครัว แต่เพราะความสดใส ช่างคุยและเป็นกันเองของเธอ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เธอเองก็ดูน่าจะจริงใจไร้มลพิษ อีกอย่างหนึ่ง ... ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือ

                    เมื่อพี่เดือนจากไปแล้ว ผมกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ตอนนี้ 10 โมงนิดๆ ... หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง มีคำเตือนข้อความเข้าจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ...

                    ผมสไลด์หน้าจอด้วยนิ้วที่สั่นนิดๆ แค่เปิดอ่านข้อความผมยังตื่นเต้นขนาดนี้ ถึงวันพรุ่งนี้ผมจะยังมีชีวิตรอดไหม?

                    พี่ปิง – พรุ่งนี้ 11 โมงพี่จะไปรับที่บ้านนะครับ จะได้กินข้าวเที่ยงกันก่อนไปเดินซื้อของ

                    อ่านข้อความแล้วผมก็ม้วนตัวอยู่บนเตียง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับตัวหนังสือบนหน้าจอ

                    ผม – ครับ

                    พร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าตาร่าเริงสดใสไปด้วย

                    ส่งข้อความไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ข้อความจะถูกเปิดอ่าน แต่ผ่านไป 5 นาทีก็แล้ว 10 นาทีก็แล้ว ครึ่งชั่วโมงก็แล้ว ข้อความของผมก็ไม่ถูกเปิดอ่านเสียที ถ้าโทรไปตอนนี้จะถือว่าเป็นการเร่งเร้าเขาเกินไปไหม? แต่ผมจะโทรไปคุยเรื่องอะไร ในเมื่อพี่ปิงก็บอกเวลานัดชัดเจนแล้ว

                    เมื่อรอจนจวนจะ 11 โมงข้อความก็ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ผมจึงลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงไปรอพี่เดือนข้างล่าง วันนี้บ้านทั้งบ้านเงียบกริบ เดาว่าคงออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว เพราะช่วงเช้าผมยังได้ยินเสียงของพี่เนสและพี่จิวดังเข้ามาในห้องอยู่เลย

                    “มาแล้วเหรอ?” พี่เดือนทักขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องออกมาเจอผมที่นั่งรออยู่ที่โซฟาตรงห้องรับแขก

                    ผมยิ้มแทนคำตอบแล้วลุกขึ้นยืน

                    พี่เดือนเดินมาหยุดใกล้ๆ แหงนหน้ามอง “น้องพีทหล่อม้าก” เธอลากหางเสียงยาว

                    ผมอายที่ถูกชมตรงๆ จึงทำได้แค่ยกมือขึ้นลูบท้ายทอย

                    “ไปๆ หิวแล้ว” พี่เดือนคว้ามือผมไปจับเอาไว้ แล้วลากให้เดินตามเธอไป

 

                    ร้านที่พี่เดือนพามาเป็นร้านที่ไม่ใหญ่โตมากนักถ้าเทียบกับร้านที่พี่เมฆทำงานอยู่ ซึ่งตกแต่งหรูหราและกว้างขวางกว่า เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับโฮสที่คอยต้อนรับ เธอทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

                    “นังเดือน! ฉันนึกว่าแขก” พนักงานต้อนรับเปลี่ยนสำเนียงภาษา เมื่อพวกผมมายืนอยู่ตรงหน้า

                    “วันนี้ฉันเป็นแขกนะยะ” พี่เดือนส่งเสียงร่าเริง

                    “รักร้านมากนะแก” พนักงานต้อนรับเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วกลับไปมองหน้าพี่เดือน “ไปหลอกเด็กที่ไหนมา หล่อลาก” เธอทำท่ากระซิบกระซาบ

                    “ไม่บอก” พี่เดือนยิ้มกริ่ม “ไปๆ หาโต๊ะให้ฉันนั่ง หิวแล้วๆ เดี๋ยวลูกค้าเข้า ฉันขี้เกียจรอ”

                    ผมเดินตามพนักงานต้อนรับและพี่เดือนไปยังโต๊ะที่อยู่ชิดผนัง แต่แล้วผมก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อร่างของใครคนหนึ่งผลักประตูที่อยู่ด้านในของร้านออกมา ...

                    ผมหยุดยืนอยู่กลางร้าน ในขณะที่เขาคนนั้นมองตรงมายังผมพอดี เขามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้

                    ผมส่งยิ้มกว้างกลับไปและยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”

                    เขายังยิ้ม ผงกหัวให้กับผม “มาได้ไง?”

                    “พี่ปิงสวัสดีค่ะ” พี่เดือนที่เดินไปถึงโต๊ะเอ่ยขึ้น

                    พี่ปิงหันไปตามเสียงนั้น วางสีหน้าเรียบ ถามกลับไป “มากินข้าวเหรอ?”

                    “ค่ะ อยากกินเตี๋ยวเรือ”

                    “เสริฟอยู่ทุกวัน ไม่เบื่อหรือไง” พนักงานต้อนรับคนเดิมเอ่ยขึ้น

                    “ก็ฉันเสริฟ แต่ไม่ได้กินนี่นา”

                    พี่ปิงเดินเข้าไปยืนหลังเคาน์เตอร์ ผมจึงเดินไปยังโต๊ะที่พี่เดือนยืนรออยู่ รีบเลื่อนเก้าอี้ให้กับเธอ

                    “น่ารักจัง เป็นสุภาพบุรุษด้วย” พี่เดือนยิ้มเอียงอายก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมเลื่อนให้

                    ผมยิ้มให้เธอและลงนั่งฝั่งตรงข้าม จากตรงนี้ผมจะมองเห็นพี่ปิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ได้อย่างชัดเจน   ถ้าช้ากว่านี้สักนิด ผมคงพลาดโอกาสทองเพราะพี่เดือนทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้พอดี

                    พี่เดือนเป็นคนคุยเก่งอย่างที่เคยบอก เธอมีเรื่องมาเล่าตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่ในร้าน ผมมีหน้าที่ยิ้มและพยักหน้าเออออกับเธอ แต่สายตาและสมาธิทั้งหมดของผมรวมอยู่ที่ร่างเพรียวบางหลังเคาน์เตอร์

                    พี่ปิงที่เห็นในตอนนี้แตกต่างจากพี่ปิงเมื่อหลายวันก่อนที่ผมได้สัมผัสที่บ้านพี่เมฆ ใบหน้าขาวเรียวเล็กมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับรูปปั้นหิมะ แต่เมื่อพี่ปิงเหลือบสายตามาพบว่าผมกำลังจ้องมองเขาอยู่ ใจผมแทบหล่นไปอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าออกไปยังไงถึงทำให้พี่ปิงหลุดยิ้มออกมา ผมจึงยิ้มตอบกลับไปอย่างอายๆ

                    ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว เพื่อนๆในร้านของพี่เดือนแวะเวียนมาทักทายพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง และทั้งหมดคือการซักประวัติโดยย่อของผมว่ามาจากไหน อายุเท่าไหร่ จะอยู่ที่นี่อีกนานไหม มีแฟนหรือยัง มีพี่คนหนึ่งขอเซลฟี่กับผม สักพักอีกคนก็มาขอเหมือนกัน แต่ก็มีพี่อีกคนเดินมาบอกว่าพี่ปิงเตือนว่าให้รักษามารยาท เพราะจะเป็นการรบกวนลูกค้าคนอื่นในร้าน ทำเอาทุกคนตรงนั้นหน้าเจื่อนกันไปหมด แต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะอีกนิดผมจะคิดว่าตัวเองเป็นแพนด้าหลินปิงอยู่แล้ว

                    แต่จากการถูกดุจากพี่ปิง ทำให้พี่เดือนเรียกเช็คบิลทันที ผมอยากขออยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอและรู้สึกเกรงใจพี่เดือนที่อุตส่าห์พามาด้วย

                    ก่อนกลับพี่เดือนเดินไปไหว้ลาพี่ปิง หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาอีกครั้งในระยะแค่เคาน์เตอร์กั้น ผมยกมือไหว้ พี่ปิงพยักหน้ารับ ผมดึงเวลาให้พี่เดือนเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                    “พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

                    พี่ปิงส่งยิ้มให้กับผม หัวใจผมพองคับอก รู้สึกถึงเลือดร้อนๆที่พุ่งสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า ผมก้มหน้างุดก่อนจะเดินตามพี่เดือนออกจากร้านไป

 

                    “พีทรู้จักกับพี่ปิงด้วยเหรอ?” พี่เดือนถามขึ้นเมื่อเราเข้ามานั่งในรถ

                    “ครับ ผมเคยไปบ้านพี่ปิงกับพี่เมฆ”

                    “อ๋อ ใช่ๆ เหมือนหยกจะเคยบอก” พี่เดือนพยักหน้า

                    “พี่อยากแวะไปซื้อของนิดหน่อย น้องพีทไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ” พี่เดือนหันมาทำหน้าอ้อน

                    “ครับ” ผมคงไม่มีทางปฏิเสธ ก็นั่งอยู่ในรถพี่เขาซะขนาดนี้

 

                    พวกเรากลับมาถึงบ้านราวๆ 2 ทุ่ม ไม่เคยคิดเลยว่าการเดินตามผู้หญิงช้อปปิ้งจะเป็นอะไรที่โหดร้ายขนาดนี้ ร่างเล็กๆของพี่เดือนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมรู้สึกโชคดีที่ตอนเป็นแฟนกับแบมไม่ต้องมาเดินตามก้นเธอช้อปปิ้งแบบนี้ และหวังว่าแฟนคนใหม่ในอนาคตของผมจะไม่ชอบช้อปปิ้งอย่างพี่เดือน

                    เมื่อปิดประตูห้องนอนลงผมถึงกับถลาลงเตียง หมดแรงขั้นสุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความถึงไมค์ เพราะระหว่างที่ผมกำลังกินอาหารมื้อค่ำ (พี่เดือนเลี้ยงซับเวย์เป็นการตอบแทนที่ผมไปเดินเป็นเพื่อนและช่วยเธอหิ้วของ) เขาส่งข้อความมาบอกว่ามาหาผมที่ห้องแต่ไม่เจอ ถ้ากลับถึงห้องเมื่อไหร่ให้บอกเขาด้วย

                    อันที่จริงไมค์ก็รู้ว่าวันนี้ผมออกไปข้างนอกกับพี่เดือน เพราะก่อนออกไปผมส่งข้อความไปบอกเขาก่อนแล้ว

                    ผม – ถึงห้องแล้ว

                    ข้อความถูกอ่านทันที

                    ไมค์ – เดี๋ยวฉันไปหา

                    ผมรู้สึกล้า คงเพราะเมื่อเช้าตื่นมาวิ่งเกือบ 2 ชั่วโมง และยังต้องเดินอยู่ในห้างอีกหลายชั่วโมง ตอนนี้อยากอาบน้ำแล้วนอนแผ่บนเตียงเท่านั้น แต่ถ้าปฏิเสธไป ไมค์จะโกรธไหม?

                    ผม – นายมีอะไรหรือเปล่า

                    ผม – เราเหนื่อยอ่า อยากอาบน้ำนอน

                    ไมค์อ่านข้อความของผม แต่ไม่ตอบทันที ผ่านไป 2-3 นาที จึงตอบกลับมา

                    ไมค์ – Good night

                    วันนี้ไมค์มาแปลก ไม่เอาแต่ใจอย่างที่เคย

                    ผม – ฝันดีไมกี้

 

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #19 PETE [updated 3/6/2559]
«ตอบ #46 เมื่อ03-06-2016 20:49:59 »

ต่อ ...


                    ผมชาร์จโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้แล้วไปอาบน้ำ เมื่อเปิดตู้สำรวจดูเสื้อผ้าที่นำมาด้วย นึกเสียดายนิดๆว่าน่าจะหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวหล่อที่แม่ซื้อให้ตอนที่ต้องสวมไปงานแต่งงานของญาติเมื่อหลายเดือนก่อนมาด้วย ถ้าได้ใส่ตัวนั้น พรุ่งนี้ผมคงหล่อพอที่จะเดินข้างพี่ปิงได้อย่างภาคภูมิ

                    กลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้าไลน์ ดอกไฮเดรนเยียสีม่วงบนหน้าจอเหมือนจะเรียกร้องให้ผมกดส่งข้อความไปหา

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์แอบมอง รอหลายนาทีก็ไม่มีการเปิดอ่าน แล้วก็นึกได้ว่าพี่ปิงคงยังทำงานอยู่ ผมจึงโทรหาพ่อกับแม่แทนการรอ เมื่อวางสาย ความง่วงก็เข้าครอบงำ ผมผล็อยหลับไปโดยไม่ได้รับรู้ถึงข้อความที่ถูกส่งเข้ามากลางดึก

 

                    ผมลืมตาขึ้นมาพบกับแสงจ้าของยามเช้า แต่ต้องสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีนัดกับพี่ปิง มือไวเท่าความคิด รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ค่อยโล่งอกที่เพิ่ง 8 โมงกว่า แต่แล้วคำเตือนข้อความเข้าบนหน้าจอก็ทำให้เลือดของผมสูบฉีดแรงแต่เช้า ... ข้อความจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง เข้ามาเมื่อเวลา 5 ทุ่ม 7 นาที

                    พี่ปิง – ขอโทษนะที่ไม่ได้อ่านข้อความ

                    ผมรีบตอบกลับทันที

                    ผม – ขอโทษครับ ผมเพิ่งเห็นข้อความของพี่

                    ผม – เมื่อวานผมลืมไปว่าพี่ทำงาน ขอโทษนะครับที่ส่งข้อความไปรบกวน

                    ผม – พี่ไม่ต้องตอบข้อความผมก็ได้นะครับ

                    ผม – แล้วเจอกันครับ

 

                    ก่อนจะลงไปหาอะไรกิน ผมนอนอ้อยอิ่งต่อบนเตียง เปิดนั่นนี่ในโซเชียลดูไปเรื่อยเปื่อย แต่ในสมองกลับมีแต่ภาพจินตนาการที่ผมเดินเคียงข้างพี่ปิง และเขาก็หันมาส่งยิ้มให้กับผม

                    เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ผมขึ้นมาเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ ไม่ว่าตัวไหนก็ไม่หล่ออย่างที่ใจคิด เมื่อรู้สึกว่าสิ้นหวัง ผมจึงเลือกเสื้อยืดสีดำสกรีนแนวร็อคตามแบบที่ผมชอบกับกางเกงยีนส์ขายาวตัวโปรด

                    เพราะใช้เวลาในการเลือกเสื้อผ้าที่มีอยู่ไม่เกิน 10 ชิ้นในตู้ ทำให้เมื่ออาบน้ำเสร็จก็จวนๆจะ 11 โมง ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องเสียเวลาเลือกเสื้อผ้าอย่างกับเวลาที่แม่จะต้องไปงานสังสรรค์หรืองานแต่งงานของคนรู้จัก แม่จะใช้เวลานานมากในการเลือกค้นตู้เสื้อผ้า และสรุปสั้นๆว่าไม่มีอะไรจะใส่ ทั้งๆที่แม่มีตู้เก็บเสื้อผ้า 3 ตู้อัดแน่นเอี๊ยด

                    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ข้อความของผมที่ส่งไปถูกเปิดอ่านแล้ว แต่ไม่มีการตอบกลับ

                    ผมกดส่งข้อความไปอีกครั้ง

                    ผม – ผมรอพี่อยู่นะครับ

                    ผมรู้ว่ามันจะไม่ถูกเปิดอ่าน เพราะพี่ปิงคงกำลังขับรถมาหาผม แค่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอหน้าพี่ปิง อกข้างซ้ายของผมก็เริ่มบรรเลงกลองรัวๆ

                    ผมลงไปนั่งรอที่ระเบียงหน้าบ้าน สักพักพี่เนสก็เดินออกมานั่งข้างๆ

                    “แต่งหล่อไปไหนน้องพีท?” พี่เนสถามแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ

                    “ไปช้อปปิ้งครับ”

                    “ไปกับใครอ่ะ ไมกี้ไม่ไปโรงเรียนเรอะ?”

                    “ไม่ได้ไปกับไมค์ครับ”

                    “อ้าว แล้วไปกับใครอ้ะ”

                    ผมยังไม่ทันได้ตอบ เสียงรถยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ต้องหันไปมอง

                    ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น รถของพี่ปิงเคลื่อนมาหยุดลงที่หน้าบ้าน ผมหันไปบอกพี่เนส

                    “ไปก่อนนะพี่”

                    ผมก้าวยาวๆไปยังรถที่จอดรออยู่ เอื้อมไปเปิดประตูรถด้วยมือที่เย็นเฉียบ คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอี้ยวคอมามองเมื่อประตูรถถูกเปิดออก ผมสูดหายใจลึกก่อนจะเข้าไปนั่งบนเบาะข้างๆ ปิดประตูลง และหันไปยกมือไหว้

                    “สวัสดีครับ” ใจผมเต้นตึกตัก

                    พี่ปิงส่งยิ้มมาให้ “อยากกินอะไร?”

                    “อะไรก็ได้ครับ” ผมค่อยๆหันไปมอง ใบหน้าด้านข้างของพี่ปิงที่อยู่ห่างแค่หนึ่งไม้บรรทัด ชัดเจนและงดงามอย่างกับในความฝัน แม้ว่าพี่ปิงจะสวมแค่เสื้อยืดสีขาวพื้นๆที่ไม่มีลวดลายอะไร กับกางเกงยีนส์สีซีด แต่ในความเรียบง่ายนั้นกลับทำให้พี่ปิงดูสะอาดสะอ้านขาวกระจ่างใสเหมือนในโฆษณาผงซักฟอก ผมยาวที่รวบเอาไว้ตรงท้ายทอยถูกสวมทับด้วยหมวกแก้บหนังสีดำ

                    “ชอบกินไก่ทอดไหม?” พี่ปิงถามขึ้น

                    “ชอบครับ” อะไรผมก็กินได้ ขอแค่มีพี่ปิงอยู่ข้างๆ ... ผมอยากตอบออกไปอย่างนี้

                    “งั้นเดี๋ยวพาไปร้านนี้” พี่ปิงหันมายิ้ม ผมรู้สึกเหมือนแก้มกำลังจะละลายด้วยความร้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                    “ครับ” ผมตอบแล้วต้องกัดปากตัวเองเอาไว้ เพราะกลัวจะยิ้มกว้างเกินไปจนดูน่าเกลียด

 

                    ร้านที่พี่ปิงพามาเป็นร้านไก่ทอดที่เหมือนจะธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาตรงที่พนักงานเสริฟเป็นสาวสวยหุ่นสะบึมสวมกางเกงขาสั้นจุ๊ดและเสื้อกล้ามที่คอคว้านลึกจนเห็นร่องอกที่ขนาดคัพไม่ธรรมดาทุกคน

                    “ไง น่ากินไหม?” พี่ปิงกระทุ้งข้อศอกเข้าที่สีข้างของผมเบาๆ ในขณะที่ผมกำลังกวาดตามองสิ่งแวดล้อม รอบๆตัว

                    “อะๆ อะไรครับ?” ผมรู้สึกอาย เพราะพี่ปิงจ้องตาผมแล้วหัวเราะ เขาต้องรู้แน่ว่าผมลอบมองหน้าอกของสาวที่เข้ามารับออร์เดอร์จากเราเมื่อสักครู่

                    “พี่อย่ามาอำ ไก่ทอดยังไม่มา ผมจะรู้ได้ยังไงว่าอร่อยไหม?” ผมตอบอย่างรู้ทัน

                    พี่ปิงหัวเราะ ผมว่ามันน่ามองกว่าหน้าอกของสาวๆในร้านซะอีก

                    ไก่ทอดร้านนี้มีหลายรสชาติ แบบที่มีซอสเปรี้ยวๆเคลือบก็อร่อยไม่เบา พี่ปิงบอกว่ากินไก่ต้องใช้มือถึงจะอร่อย ผมเหลือบมองลูกค้าคนอื่นๆในร้าน ฝรั่งเองก็ใช้มือหยิบทั้งนั้น ผมจึงจัดการไก่ด้วยนิ้วทั้งสิบอย่างเอร็ดอร่อย

                    ผมเลิกคิ้วเพราะพี่ปิงยื่นส่งกระดาษแนปกิ้นมาให้

                    “ซอสเลอะที่มุมปาก” พี่ปิงพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่มุมปากของตัวเอง

                    ผมหยิบกระดาษมาเช็ด แล้วมองหน้าพี่ปิงเป็นเชิงถามว่าสะอาดหรือยัง แต่พี่ปิงกลับส่ายหน้า แล้วหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาแตะลงบนปากของผม ... ราวกับมีกระแสไฟส่งตรงมาจากดวงตายาวรีที่มองริมฝีปากของผมอย่างตั้งใจ ความร้อนเห่อขึ้นที่แก้มในทันที

                    พี่ปิงเอียงคอมอง “เรียบร้อย”

                    “ขอบคุณครับ” ผมค่อยๆสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเบาที่สุดเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะรู้ถึงความผิดปกติในอกของผม

 

                    เมื่อก้าวพ้นออกจากร้าน ผมรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นทำให้รู้สึกตื่นเต้นแต่ก็อึดอัดไปในขณะเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าตัวเองชอบดูรูปร่างของผู้หญิงที่อยู่ในชุดเซ็กซี่หรือไม่ แต่สายตามันก็พาลจะไปหยุดอยู่กับสาวๆที่เดินผ่านไปผ่านมาในร้านอยู่เรื่อย แต่ในขณะเดียวกันใบหน้าขาวที่ลอยเด่นอยู่อีกฟากของโต๊ะ ก็ดึงสายตาของผมกลับมาได้อยู่เสมอ

 

                    เรานั่งรถต่อกันมาอีกพักใหญ่ๆก็ถึง Outlet ที่พี่ปิงจะพาผมมาช้อปปิ้ง ที่นี่เป็นศูนย์รวมสินค้ายี่ห้อต่างๆมากมาย ซึ่งอยู่ในราคาที่จับต้องได้ไม่ลำบากเงินในกระเป๋ามากนัก

                    “มีลิสต์ที่ตั้งใจจะซื้อมาหรือเปล่า?” พี่ปิงเอ่ยถามเมื่อเราเดินออกมาจากลานจอดรถ

                    “แม่อยากได้กระเป๋าสะพายครับ ส่วนของพ่อ ผมว่าจะซื้อกระเป๋าสตางค์กับเข็มขัดไปฝาก”

                    “มียี่ห้อที่สนใจเป็นพิเศษไหม?”

                    “ไม่ครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่” ผมส่ายหน้ารัวๆ

                    “งั้นเดินๆดูไปก่อนก็ได้ มีให้เลือกเยอะแยะ” พี่ปิงแนะนำ

                    เราเดินดูสินค้าในร้านต่างๆแบบสบายๆ ผมเองไม่อยากรีบเร่งตัดสินใจซื้อเพราะพี่ปิงบอกว่ามีร้านอีกเยอะและมีหลายยี่ห้อให้เลือก เดินดูให้ครบทุกร้านค่อยตัดสินใจก็ได้ ผมเองก็เห็นด้วย เพราะถ้ารีบซื้อ นั่นหมายถึงการช้อปปิ้งกับพี่ปิงก็ต้องจบลง ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะการได้เดินเคียงข้างและสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวพี่ปิง มันคือที่สุดของความสุขของผม ณ เวลานี้ ... ผมอยากให้มันยาวนานที่สุด

                    ขณะที่ยังไม่ได้ของฝากพ่อกับแม่ ผมกลับได้ของหลายอย่างสำหรับตัวเอง ส่วนพี่ปิงขอแวะเข้าร้านขายหมวก พี่ปิงคงชอบหมวกแก้ปมาก เพราะวันนี้เขาก็สวมมันมาด้วย ผมนึกถึงวันแรกที่เจอพี่ปิงเมื่อ 10 ปีก่อน วันนั้นเขาไม่ได้สวมหมวก แต่สุดท้ายแล้วผู้ชายที่พี่ปิงมาด้วยก็ถอดหมวกของตัวเองมาสวมให้เขา

                    “ใบนี้เท่” ผมชี้ไปที่หมวกที่ทำด้วยผ้าเดนิมใบหนึ่ง

                    “เหรอ?” พี่ปิงหันมาเลิกคิ้วถาม

                    ผมพยักหน้า “พี่ลองสวมดูสิ”

                    พี่ปิงหยิบหมวกใบนั้นขึ้นมาแล้วถอดหมวกของตัวเองออก ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบมาถือเอาไว้ แล้วสวมลงบนหัวตัวเอง

                    พี่ปิงมองแล้วยิ้ม “เหมาะกับเรานี่”

                    “จริงเหรอฮะ?” ผมถามด้วยความดีใจ โมเมว่าพี่ปิงกำลังเอ่ยชม

                    “อื้อ” พี่ปิงพยักหน้า

                    “งั้นผมซื้อแบบของพี่บ้าง ... มีไหมนะ?” ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน

                    “พี่ยกให้” พี่ปิงยิ้ม

                    “จริงเหรอครับ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะจะได้ประหยัดตังค์ที่ไม่ต้องซื้อของใหม่ แต่เพราะมันคือของของพี่ปิง แล้วเขาเต็มใจจะยกให้กับผม

                    “จะพูดเล่นทำไมล่ะ”

                    “งั้นผมเอาจริงๆนะ” ผมจับหมวกบนหัวไว้แน่น

                    “อื้อ” พี่ปิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เขาสวมหมวกใบใหม่แล้วถามความเห็นจากผม “เป็นไง?”

                    “เท่มาก” ผมลากหางเสียง มันเหมาะกับเขาจริงๆ

                    “งั้นเอาใบนี้” พี่ปิงถอดหมวกใบนั้นออก แล้วเดินไปที่แคชเชียร์

                    “เดี๋ยวๆ พี่จะไม่ลองใบอื่นก่อนเหรอครับ?” ผมทักท้วง เพราะนี่เป็นแค่ใบแรกที่เขาได้ลอง

                    พี่ปิงส่ายหน้า “พีทเลือกแล้ว พี่ว่ามันต้องดี” พูดจบแล้วยักคิ้ว และเดินไปที่แคชเชียร์

                    ส่วนผมได้แต่ยืนมองร่างบางที่กำลังจ่ายเงินด้วยแข้งขาที่ไร้เรี่ยวแรง ... ผมแพ้พี่ปิง แพ้รอยยิ้ม แพ้สายตา แพ้คำพูด ผมแพ้เขาทุกทาง

 

                    เมื่อผ่านไปหลายชั่วโมง เวลาที่ผมยื้อก็ต้องสิ้นสุดลง พี่ปิงช่วยเลือกกระเป๋าใบสวยให้แม่จากยี่ห้อดังที่คนไทยทั่วไปนิยม ซึ่งผมจำได้ว่าแม่เคยเอ่ยถึงอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังช่วยเลือกกระเป๋าสตางค์และเข็มขัดให้พ่ออีกด้วย ส่วนพวกแก๊ง ผมซื้อเสื้อยืดฝากพวกมันคนละตัว โดยมีพี่ปิงช่วยเลือกอีกเช่นกัน

                    ความสุขของผมยังไม่จบ เมื่อพี่ปิงเอ่ยชวนกินข้าวมื้อค่ำ ... คิดว่าผมจะปฏิเสธไหม?

                    เมื่อลงจากรถ พี่ปิงเดินนำผมไปที่ร้าน แต่ก่อนจะถึงประตูหน้าร้าน ผมรีบเดินแซงขึ้นไปเพื่อที่จะได้เปิดประตูให้กับเขา พี่ปิงชะงักเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าผมแล้วเอ่ย “ขอบใจ” พร้อมรอยยิ้มที่ผมคิดว่าหวานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

                    สำหรับผมแล้วพี่ปิงเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าสวยเกินกว่าผู้ชายด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าจะสวยอย่างผู้หญิง เมื่อยืนข้างกัน พี่ปิงน่าจะสูงราวๆใบหูของผม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นผู้ชายที่เตี้ยเลยสักนิด ร่างเพรียวบางของพี่ปิงก็ไม่ได้อ้อนแอ้นอย่างผู้หญิง แต่กลับน่าทะนุถนอมได้อย่างบอกไม่ถูก

                    ร้านที่พี่ปิงเลือกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ บรรยากาศภายในตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแบบเรียบง่าย เหมาะกับการนั่งกินและพูดคุยกันไปเรื่อยๆ

                    “ขอบคุณนะครับสำหรับหมวก และช่วยเลือกของ แถมยังเลี้ยงไก่ทอดผมอีก” ผมเอ่ยขึ้นขณะที่เรารออาหารมาเสริฟ ตอนเช็คบิลค่าไก่ทอด ผมพยายามจะจ่ายเอง แต่พี่ปิงไม่ยอม แถมยังขู่ว่าถ้าดื้อ เขาจะไม่พาไปช้อปปิ้ง จะส่งกลับบ้านเลย

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่ส่งยิ้มบางๆมาให้

                    “พ่อกับแม่ต้องชอบมากแน่ๆ” ผมนึกถึงกระเป๋าใบสวยของแม่ กระเป๋าสตางค์และเข็มขัดของพ่อที่ถูกห่ออย่างดีอยู่ในกล่อง

                    รอไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมา พี่ปิงบอกว่าร้านนี้ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ แต่อาหารรสชาติดีมาก ซึ่งเมื่อกินแล้วผมก็เห็นด้วยโดยไม่มีคำคัดค้าน

                    “ลองชิมเหล้าสาเกดูหน่อยไหม?” พี่ปิงเอ่ยถาม เมื่ออาหารเริ่มจะร่อยหรอ

                    “ได้เหรอครับ?” ผมนึกเกรงใจและที่สำคัญคือผมไม่เคยดื่มเหล้าสาเก

                    “ได้สิ มากับผู้ปกครองนี่นา” พี่ปิงวางศอกข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ เท้าคางมองมาที่ผมแล้วยิ้ม สารภาพได้ว่ามือไม้ผมแทบหมดเรี่ยวแรง สำหรับคนอื่นมันคงเป็นแค่การวางท่าทางธรรมดาๆ แต่สำหรับพี่ปิงที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะขยับท่าไหนก็ทำให้หัวใจของผมอ่อนยวบได้เสมอ

                    พี่ปิงเรียกพนักงานเสริฟมาสั่งเหล้าสาเกร้อน และพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด

                    “พนักงานกลัวพี่มอมเหล้าเรา พี่เลยต้องบอกว่าน้องชายแค่อยากลองชิมดูเท่านั้น” พี่ปิงพูดแล้วอมยิ้ม ผมควรจะเชื่อคำพูดของคนที่กำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์ตรงหน้าดีไหม?

                    จานอาหารถูกยกไปเก็บ ตอนนี้บนโต๊ะมีแค่เหล้าสาเกขวดเล็กและจอก 2 ใบ

                    “ชิมดูสิ” พี่ปิงยกจอกเล็กๆยื่นให้กับผม

                    ผมรับมายกขึ้นจิบ รสชาติดีกว่าที่คิด ที่แน่ๆคือดีกว่าเบียร์ขมๆหลายเท่า

                    “เป็นไง?” ดวงตายาวรีเบิกกว้างขึ้น

                    วันนี้ทั้งวันผมได้เห็นพี่ปิงในหลากหลายแง่มุมที่ไม่เคยคาดฝัน พี่ปิงยิ้มเก่ง หัวเราะเสียงดังเมื่อผมเอากางเกงขาเดฟไปลองแล้วถอดไม่ออกจนต้องโผล่หน้ามาเรียกให้เขาเข้าไปช่วยดึง เราปลุกปล้ำกับมันอยู่นาน เสียงหัวเราะของพวกเราดังจนพนักงานต้องมาเคาะประตูถามว่าเกิดอะไรขึ้น

                    พี่ปิงทำหน้าเจ้าเล่ห์เมื่ออยากให้ผมลองจิบเหล้าสาเก และพี่ปิงที่กำลังทำตาโตรอคำตอบจากผมในเวลานี้

                    “อร่อย” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก และยกเหล้าสาเกที่เหลือในจอกลงคอจนหมด แล้วยื่นแก้วไปตรงหน้าเขา

                    “หมดโควต้าของเด็ก” คิ้วดกดำถูกยกขึ้นข้างหนึ่ง

                    “อะไรอ่า” ผมโอดครวญ แต่ก็ยอมวางจอกลงบนโต๊ะแต่โดยดี ผมไม่ดื้อหรอก ผมอยากเป็นเด็กดีของพี่ปิง

                    พี่ปิงยกจอกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อตัดกับผิวขาวๆช่างชวนมอง ผมแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือความจริง พี่ปิงที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

                    ถ้าผมเล่าเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนให้ฟัง เขาจะจำผมได้ไหม?

                    “พี่ปิงเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ไหมครับ?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขาวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะแล้ว

                    “เคยสิ”

                    “ไปกับใครครับ?”

                    “อืม ก็ไปกับเพื่อน 2-3 ครั้ง”

                    “พี่เคยไปงานพืชสวนโลกไหมฮะ?” ผมดึงเข้าประเด็นด้วยใจที่เต้นโครมคราม

                    พี่ปิงพยักหน้า ทำท่าลังเลก่อนเอ่ย “น่าจะเป็นปีแรกเลยนะที่จัดงานนี้”

                    คำตอบของพี่ปิงทำให้ลมหายใจของผมขาดห้วง จนต้องสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่

                    “ปีนั้นผมก็ไปเหมือนกัน”

                    พี่ปิงทำตาโตอีกครั้ง “น่าจะ 10 ปีแล้วนะ ตอนนั้นพีทก็น่าจะเด็กมาก”

                    “ครับ 7-8 ขวบ ผมไปกับพ่อกะแม่”

                    พี่ปิงเท้าคาง ดวงตายาวรีรับกับคิ้วเข้มทอดมองมาที่ผม

                    “แม่ผมชอบดอกไม้มาก โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยีย” ผมมองสบดวงตาสีนิลคู่นั้น “ด้วยความเป็นเด็ก   วันนั้นผมวิ่งชนคนๆหนึ่งจนล้ม หัวเข่าผมเจ็บแปล้บเพราะถูกก้อนกรวดเล็กๆปัก ผมเกือบจะร้องไห้ แต่เมื่อเงยขึ้นไปเห็นหน้าของคนที่ผมวิ่งชน ความเจ็บทั้งหมดก็หายไปในทันที” ผมยังมองสบสายตาของคนตรงหน้า ใบหน้านิ่งของพี่ปิงทำให้เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ หรือเขาแค่กำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าของผม

                    พี่ปิงละสายตาจากผม เทเหล้าสาเกใส่จอกแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด

                    “ปีนั้นพี่ปิงไปเที่ยวงานกับใครเหรอครับ?”

                    พี่ปิงไม่ตอบ ใบหน้านิ่งนั้นดูเย็นชาขึ้นมาจนทำให้อกของผมอึดอัด ไม่รู้เพราะความตื่นเต้นที่ได้เล่าเรื่องความทรงจำครั้งแรกที่ได้พบกัน หรือเพราะความกลัวที่จะผิดหวัง ถ้าพี่ปิงไม่เคยจำเรื่องราวของผมได้เลย ทั้งๆที่มัน ก็คงเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่จะไม่มานั่งจดจำกับแค่การถูกเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งวิ่งชน

                    “กลับกันเถอะ?” น้ำเสียงที่ราบเรียบทำให้ผมใจเสียจนแทบอยากร้องไห้ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมจู่ๆพี่ปิงที่ยิ้มใจดีมาทั้งวันกลับทำสีหน้าไม่ต่างจากตอนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ในฐานะผู้จัดการร้านอาหาร

                    “ครับ” ผมตอบเบาๆ พยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดอย่างช้าๆ

 

                    ตลอดเส้นทางจากร้านอาหารจนถึงบ้านพักของผม พี่ปิงไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ ส่วนผมนั่งบีบมือตัวเองมาตลอดทาง พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ในหัวคิดทบทวนว่าผมทำอะไรผิดพลาดไป ผมไม่ควรเล่าเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนให้พี่ปิงฟังงั้นเหรอ ในเมื่อเขาจำเรื่องราวเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ แล้วเขาไม่พอใจเรื่องอะไร? มีแต่คำถามที่ผมหาคำตอบไม่ได้เต็มไปหมด ... ทำไมวันที่แสนดีถึงจบลงอย่างนี้?

                    รถจอดลงที่หน้าบ้าน ผมยกมือไหว้ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในวันนี้ พี่ปิงเพียงหันมาพยักหน้า ความเงียบทำให้ผมต้องเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เมื่อปิดประตูลง พี่ปิงก็เคลื่อนรถออกไปทันที

                    ผมถือถุงสิ่งของเต็มสองมือ ยืนมองจนรถของพี่ปิงเลี้ยวลับตาไป เมื่อหันกลับมา จึงพบว่าไมค์นั่งอยู่ที่หน้าบ้าน

                    “นายไปไหนทำไมไม่บอกฉัน แล้วโทรศัพท์มีไว้ทำไม ถ้าโทรไปแล้วไม่รับ?” ไมค์ซักทันทีที่ผมเดินมาถึง

                    ผมวางถุงในมือ ล้วงกระเป๋าควานหาโทรศัพท์ เสียงถูกปิดไว้จริงๆ ผมอาจจะปิดไปเมื่อคืนนี้ และเพราะความตื่นเต้นเมื่อเช้าอาจทำให้ลืมเปิด แต่ที่แน่ๆ ผมลืมส่งข้อความบอกไมค์ว่าจะไปไหนกับใคร

                    “เราขอโทษ เราน่าจะปิดเสียงไว้เมื่อคืนแล้วลืมเปิด”

                    ดวงตาคมของไมค์มีแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด บางทีมันอาจจะผสมความโกรธเอาไว้ด้วย แต่ผมไม่กล้ามองนานไปกว่านั้น

                    “ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันจะรู้ได้ยังไง?” ไมค์ขบกรามจนเป็นสันนูน เขาไม่เคยแสดงสีหน้าอย่างนี้มาก่อน มันทำให้ผมกลัว

                    “เรา ... ขอโทษ” ผมรู้ว่าผิด รู้ว่าเขาเป็นห่วง ผมไม่มีคำแก้ตัว

                    “นายเคยเป็นห่วงใครสักคนไหม?” ไมค์กำหมัดแน่น ... เขาจะต่อยผมไหม? แต่ถ้าเขาต่อย ผมจะยอมยืนนิ่งๆให้เขาต่อยได้อย่างเต็มที่ แต่แล้วเขาก็คลายหมัด แล้วหันหลังเดินจากไป ... ผมมองจนร่างสูงหายลับไปกับความมืด จึงเดินเข้าบ้าน

                    ผมวางข้าวของลงบนพื้นแล้วทรุดลงนั่งข้างเตียง ดวงหน้าเรียบเฉยราวกับตุ๊กตาหิมะของพี่ปิง และความโกรธบนสีหน้าของไมค์ … ผมควรจัดการกับความรู้สึกไหนก่อน?

 

                    ก่อนนอนผมส่งข้อความถึงไมค์

                    ผม – เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะปิดนายว่าเราไปไหน เราไม่ได้แก้ตัว แต่เราลืมจริงๆ แต่เพราะเราไปกับพี่ปิง ถึงคิดว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เราเลยลืมนึกไปว่ายังไงก็ควรบอกนายก่อน

                    ผม – เราขอโทษที่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

                    ผม – เราขอโทษจริงๆ

                    ข้อความของผมไม่ถูกเปิดอ่าน และผมมั่นใจว่าไมค์จะไม่อ่านมันแน่ๆในคืนนี้

                    ผมส่งข้อความถึงพ่อกับแม่ เล่าสั้นๆเรื่องไปช้อปปิ้ง และก่อนจะปิดไฟ ผมส่งข้อความถึงพี่ปิง

                    ผม – ขอบคุณนะครับสำหรับทุกๆอย่างในวันนี้

                    ผม – ผมไม่รู้จริงๆว่าผมพูดหรือทำอะไรผิดไป ถึงทำให้พี่อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา แต่ถึงไม่รู้ ผมก็ต้องขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ไม่พอใจ

                    ผม – ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับพี่วันนี้ ผมไม่เคยคิดจะพูดหรือทำอะไรให้พี่ไม่ชอบเลยนะครับ พี่อย่าโกรธผมนะ ผมขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ

                    รอจนแสงสว่างบนหน้าจอดับลง แต่ข้อความของผมก็ไม่ถูกเปิดอ่าน พี่ปิงก็คงไม่อ่านข้อความของผม   เหมือนกับไมค์ ผมวางโทรศัพท์ลงข้างหมอน ปิดไฟหัวเตียง พยายามข่มตาทั้งๆที่ในอกยังหนักอึ้ง

                    ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ เสียงข้อความเข้าปลุกผมให้หลุดจากความคิดอันสับสน ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใจที่หนักอึ้งกลับบีบรัดถี่ๆ ... คำเตือนจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง …เมื่อเปิดหน้าจอ กลับไม่มีข้อความในนั้น

 

                    แต่สิ่งที่พี่ปิงส่งมาให้กับผม คือภาพด้านหลังของหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกุมมือเด็กชายตัวน้อย เดินไปบนทางที่รายล้อมไปด้วยพุ่มหนาของดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
«ตอบ #47 เมื่อ07-06-2016 18:40:37 »

#20 [MHEK]

 

                    เมื่อหลายวันก่อนผมคุยกับป๊าเรื่องจะซื้อรถ ที่ต้องคุยเพราะจำเป็นต้องยืมเงินจากเขาส่วนหนึ่ง เพราะเงินที่ผมเก็บได้เองคงซื้อได้แค่ล้อเท่านั้น ทีแรกป๊าจะไม่ยอมให้ยืม ไม่ใช่ว่าป๊างกหรืออะไร แต่คือเขาจะให้เฉยๆ เพราะตลอดชีวิตของผมก็แบมือขอเงินจากป๊ามาตลอด แต่เมื่อผมยืนยันว่าอยากซื้อรถคันนี้เอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วป๊าน่าจะภูมิใจกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นของผม เขาก็เลยยอมแพ้ ... ถ้าไม่มีโอกาสได้คุยกับไมค์ ผมคงไม่มีความคิดที่โตขึ้นอย่างนี้ ต้องขอบคุณไอ้เด็กเชื้อฝรั่งคนนี้จริงๆ

                    ผมคุยกับไมค์มาตลอดเรื่องรถ เพราะเรามีความสนใจเหมือนกัน เมื่อผมบอกมันไปว่าจะซื้อรถรุ่นไหน มันตื่นเต้นมาก ขอว่าวันที่ผมถอยรถออกมา ให้เอามาโชว์มันด้วย ผมจึงบอกว่าวันเสาร์จะได้รถ แล้วจะเอาไปอวด ไมค์จึงบอกมาว่าวันนั้นมันตั้งใจจะพาพีทไปเที่ยวสวนสนุก ผมจึงอาสาจะพาพวกมันไปเอง เพราะคาดว่าเรื่องรถน่าจะเสร็จก่อนเที่ยง เนื่องจากผมได้เข้าไปทำเรื่องเอกสารไว้แล้วบางส่วน

 

                    เมื่อวันพุธผมกลับมาจากมหาวิทยาลัย ตั้งใจจะชวนปิงออกไปกินข้าวข้างนอก เพราะวันนั้นเป็นวันหยุดของเขา แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับพบว่าประตูล็อคอยู่ ไม่รู้ว่าเขาไปไหน เพราะเมื่อเช้าตอนออกไปเรียน ยังได้ทักทายกันในครัวอยู่เลย ... หรืออาจจะไปซื้อของ? ... ผมส่งข้อความไปหา แต่มันไม่ถูกเปิดอ่าน ขณะที่ลังเลว่าจะโทรไปดีไหม ไอ้เนสก็โทรเข้ามาพอดี

                    /มึงเลิกเรียนยัง? แดกข้าวกัน/ เสียงตามสายกระแทกเข้าหูของผมทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้น

                    “ไม่ทำงานเหรอมึงอ่ะ?” ผมตอบกลับไป

                    /วันหยุดกู มึงเสือกจำไว้บ้างดิวะ/

                    “มึงสำคัญงี้?”

                    /สัส ไปๆแดกข้าว กูอยากกินเนื้อย่างเกาหลี เดี๋ยวกูไปรับ/

                    “กูว่าจะออกไปกินกับพี่ปิงว่ะ”

                    /เออ ก็ชวนพี่ปิงไปด้วยดิวะ/

                    “ไม่อยู่ว่ะ ไม่รู้ไปไหน ปกติวันหยุดไม่เคยไปไหนเลยนะเว้ย”

                    /เอ๊า ยังไม่กลับเหรอ?/

                    “กลับไหนวะ?” ผมไม่รู้ไอ้เนสมันหมายถึงอะไร งงกับมัน

                    /ก็เมื่อเช้ากูเห็นพี่ปิงของมึงมารับไอ้พีทถึงหน้าบ้าน/

                    “...” คำบอกเล่าของไอ้เนสทำให้ลมหายใจของผมกระตุก

                    /เห้ย! ห่า เงียบทำไมล่ะ ถ้าเขายังไม่กลับ มึงก็ไปกินกับกู/

                    “...” ปิงไปกับพีทเหรอ? ที่ไอ้เนสบอกคงหมายถึงยังงั้น

                    /กูว่าป่านนี้เขาคงกินข้าวเย็นด้วยกันแล้วมั้ง/

                    “...” ไปกันได้ยังไง?

                    /สัส เงียบอีก ยังอยู่ไหมเนี่ย?/

                    “เออ” ผมตอบไปสั้นๆ ตอนนี้ในหัวคิดแค่ว่าปิงออกไปกับพีทได้ยังไง

                    /เออ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มารอกูหน้าบ้านเลย/

                    “เออ” ผมตอบแล้วกดวางสายไปด้วยอาการมึนงง ปิงออกไปกับพีททำไมเขาไม่บอกผม แต่เมื่อคิดอีกที เขาจำเป็นต้องบอกผมด้วยเหรอ? แต่อย่างน้อยเมื่อเช้าที่เราเจอกันในห้องครัว เขาก็ควรจะเล่าให้ฟังบ้างว่าจะไปไหนกัน เพราะจะว่าไป ผมรู้จักกับพีทก่อนเขาเสียอีก ... นี่ผมกลายเป็นผู้ชายคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ?

 

                    ไอ้เนสจอดส่งผมที่หน้าบ้าน แสงไฟที่ระเบียงบอกให้รู้ว่าปิงกลับมาแล้ว แต่เมื่อเปิดเข้าไปในบ้าน ชั้นล่างกลับมืดสนิท ปิงคงอยู่ที่ห้องของเขา

                    ขาทำงานเร็วกว่าความคิด ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของปิง และสมองสั่งให้ผมยกมือขึ้นเคาะประตู รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก

                    ปิงที่สวมกางเกงนอนลายทางกับเสื้อยืดย้วยๆ มองหน้าผมโดยไม่เอ่ยถามคำใด แต่ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่ต้องพูดอะไรออกไปสักอย่างในตอนนี้

                    “กลับมาแล้วเหรอ?” ผมโพล่งออกไป

                    ปิงกะพริบตาช้าๆ ... โอเค ผมรู้ว่าคำถามของผมมันไม่เข้าท่า

                    “เออ หมายถึงจะถามว่าทำอะไรอยู่?” ผมแก้ตัวใหม่ หลบเลี่ยงสายตามองเลยเข้าไปยังห้องนอนของเขา และก็พบว่าบนเตียงนอนของปิงมีกล่องหนึ่งใบและภาพถ่ายที่วางเกลื่อนกระจัดกระจาย

                    ปิงไม่ตอบ คำถามของผมคงยังใช้ไม่ได้

                    “วันเสาร์อย่าลืมไปรับรถด้วยกันนะ” ผมพยายามอีกครั้ง

                    “นายบอกแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าระอาของปิงทำให้ผมเริ่มรู้สึกอาย

                    “เออ จริงด้วย” ผมหัวเราะแหะๆแก้เก้อ “งั้น ฝันดีนะ” ผมยกมือลา แล้วเดินกลับห้อง รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหี้ยๆ

 

                    เมื่อไม่กล้าถามเอาความจริงจากปิง ผมจึงหันไปทางพีท

                    ผม – โย่!! วันนี้ไปไหนมาไอ้คุณหนู ...

                    พิมพ์แล้วแต่ไม่ได้ส่ง ผมลบมันทิ้งไป แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างที่นอน คว้าผ้าห่มมากอด ... รู้สึกสะเทือนใจ นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนพวกเมียๆที่กำลังตามสืบว่าผัวไปติดหญิงที่ไหนอยู่งั้นเหรอ? ... เศร้าสัสๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม!

 

                    วันพฤหัสฯและวันศุกร์ผมมีเรียนตอนเช้าและทำงานชิฟต์บ่าย ปิงเองก็ทำงาน ทำให้เราแทบไม่ได้เจอหน้ากัน มีแค่เพียงแสงไฟที่ส่องสว่างตรงหน้าต่าง ที่ทำให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบ้านของผมยังอยู่

                    ผมไม่อยากคิดว่าปิงพยายามหลบหน้า แต่ก็อดคิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่คืนนั้นที่เขาเมามาย เราแทบจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันที่ห้องดูทีวีเลย ทั้งๆที่คืนวันศุกร์มีรายการโปรดของเขาแท้ๆ แต่เพราะผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา ยังไงคืนนี้ก็คงต้องบุกไปถึงห้อง

                    ผมอาบน้ำอย่างรีบเร่งเพราะกลัวปิงจะหลับไปเสียก่อน แต่ถ้าไม่อาบก็เกรงว่ากลิ่นอาหารที่ติดตามเนื้อตัวมาจากร้านจะทำให้ห้องหอมๆของปิงแปดเปื้อน ... ผมเป็นผู้ชายละเอียดอ่อนสินะ หม่าม้าคงภูมิใจ …

เมื่อหอมสดชื่นแล้ว ผมจึงไปยืนอยู่หน้าห้องของปิง บรรจงเคาะหลังมือลงบนประตู

                    “ปิง นอนหรือยัง?”

                    เพียงอึดใจเดียวประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปิงในกางเกงนอนลายอุลตร้าแมนและเสื้อยืดย้วยสีขาว แต่สิ่งที่แปลกตาไปคือแว่นตาที่ผมเคยเห็นเขาสวมแค่ไม่กี่ครั้ง เขาขมวดปมที่หัวคิ้ว

                    “พรุ่งนี้เมฆรับปากไมค์ไว้ว่าได้รถแล้วจะขับไปให้ดู” ผมรีบเอ่ยขึ้น เพื่อให้เขารู้ว่าผมมีธุระมาคุยด้วย

                    ปิงพยักหน้ารับรู้

                    “ทีนี้ไมค์มันตั้งใจจะพาพีทไปคิงส์โดมิเนี่ยน แต่ก็อยากลองนั่งรถเรา ... เราก็เลยบอกไปว่าจะพาไป คือ พาไปคิงส์โดมิเนี่ยนน่ะ” ผมอธิบายรวดเดียวจบ ในใจก็ลุ้นว่าปิงจะแสดงอาการยังไง

                    ปิงเพียงพยักหน้ารับรู้เช่นเคย

                    “ไปด้วยกันนะ” ผมรวบรัดเข้าประเด็น

                    “อือ”

                    คำตอบสั้นๆง่ายๆของปิงทำเอาผมแปลกใจจนต้องทำตาโต ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ ความใจดีของปิงทำให้ผมได้ใจ อยากอยู่ตรงนี้นานอีกสักหน่อย จึงหาเรื่องชวนเขาคุย

                    “นี่นอนไปหรือยัง เมฆมากวนหรือเปล่า?”

                    “ยัง” ปิงตอบสั้นๆ แต่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะถ้าปิงไม่อยากคุย เขาจะไม่ตอบ

                    “ทำไรอยู่เหรอ? ไม่เห็นลงไปดูรายการโปรด”

                    “อ่านหนังสือ”

                    “หนังสืออะไร?” ผมชะโงกหน้า มองข้ามไล่ของปิงเข้าไปในห้อง เห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

                    “อยากรู้จริงๆ?” ปิงเลิกคิ้ว ปล่อยมือที่เกาะอยู่บนขอบประตู แล้วยกขึ้นกอดอก

                    “แฮร่ๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน มีเหรอที่คนอย่างปิงจะไม่รู้ว่าผมพยายามหาเรื่องคุยกับเขา “งั้นไปนอนละ”  ผมยอมล่าถอย

                    “ฝันดี”

                    ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำสองคำของปิง ใช่ว่าจะได้ยินกันง่ายๆซะทีไหน

                    “ฝันดีพี่ปิง”

                    ผมยืนรอจนประตูถูกปิดลง แล้วทอดถอนใจ ... ริมฝีปากที่เอ่ยคำว่าฝันดีนั้น ... น่าจูบชะมัด

 

                    ผมตื่นแต่เช้าเพราะนัดเซลล์คนที่ดูแลเรื่องรถไว้ตอน 9 โมงตรง การซื้อขายของผมไม่ยุ่งยากนัก เพราะผมจ่ายเป็นเงินสดทีเดียวหมด

                    เมื่อลงมาชั้นล่าง ก็พบว่าปิงกำลังจิบกาแฟอยู่หน้าทีวี

                    “มอร์นิ่ง” ผมเอ่ยทักแล้วเดินเข้าครัวเพื่อชงกาแฟให้กับตัวเองบ้าง ตอนนี้ยังมีเวลานิดหน่อย

                    “มีแซนด์วิชบนโต๊ะ” เสียงปิงลอยตามมา

                    “โอ๊ะ แต๊งกิ้วครับ” ผมหันไปยิ้มให้จานแซนด์วิชบนโต๊ะอาหาร ... พี่ปิงใจดีอีกแล้ว

 

                    เราเสร็จเรื่องรถราวๆ 11 โมง เฮียคิดใจดีแวะมาดูรถกับผมด้วย แกเป็นอีกคนที่ให้คำปรึกษากับผมจนทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์ว่าไม่เกินชั่วโมงจะไปถึง เพราะต้องแวะเอารถของปิงไปเก็บที่บ้านก่อน

 

                    เมื่อไปถึง ไมค์และพีทนั่งรออยู่หน้าบ้าน มีตัวพ่วงคือไอ้เนส ... ผมเปิดประตูรถลงไป ไมค์ก้าวยาวๆมาถึงข้างรถก่อนใคร แต่เสียงไอ้เนสดังสุด

                    “สาส” ไอ้เนสลากเสียงยาว “หล่อโคตรๆ” มันเข้ามาลูบกระโปรงรถผม

                    “Damn cool อ่ะพี่!!” ไมค์เดินวนรอบรถ

                    “สวัสดีครับ” พีทยกมือไหว้ปิงที่ยืนอยู่ข้างหลังของผม แล้วหันมาไหว้ผมอีกที “รถหล่อมากพี่เมฆ”

                    ผมยิ้มด้วยความภูมิใจและยักคิ้วตอบ

                    “Let’s go กันเถอะ อยากลองนั่งแล้ว” ไมค์ถูมือไปมา หน้าหล่อๆตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

                    “ไปไหนกัน?” ไอ้เนสพี่เดินลูบรถผมไปรอบๆ เงยขึ้นมาถาม

                    “Kings Dominion!” ไมค์หันไปบอกด้วยเสียงอันดัง เหมือนเด็กที่กำลังโอ้อวด

                    “เห้ย! ได้ไงวะ ไปโดยไม่ชวนกูได้ไง?” ไอ้เนสโวย

                    “ห่า กูจะรู้ไหมว่ามึงว่าง” ตารางการทำงานของมันไม่แน่นอน ตั้งแต่มีเด็กเส้นเข้ามาทำงานในร้าน มันก็โยกตารางงานของมันเปลี่ยนไปเรื่อย ผมว่าอีกไม่นานมันคงลาออกจากร้านนี้

                    “มึงก็ควรชวนกูก่อนไหมสัส” มันเดินมายืดตัว ยื่นแขนขึ้นตบหัวผม ... ไอ้เนสมันเตี้ย มันบอกว่ามันสูง 175 แต่ผมว่า 170 ก็นับว่าโกงขั้นสุดแล้ว

                    ผมหันไปมองหน้าปิงเพื่อขอความคิดเห็น เขายักคิ้วหนึ่งข้าง เป็นอันว่าผ่าน

                    “เออ อยากไปก็ไปดิวะ” ผมตบหัวไอ้เนสคืน

                    “Go go go!!” ไมค์พูดพลางเปิดประตูรถด้านหลัง เร็วพอๆกับไอ้เนสที่เปิดประตูอีกฝั่ง ส่วนไอ้คุณหนูพีทหัวเราะอย่างเดียว เมื่อเห็นคนอื่นเข้าไปนั่งในรถ มันจึงก้าวตามเข้าไป

                    ผมหันไปส่งยิ้มให้กับปิง ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้าข้างๆที่นั่งของผม

 

                    Kings Dominion อยู่ห่างจากวอชิงตันดีซีราวๆ 80 ไมล์ เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าจะมาถึง เพราะที่อเมริกากฎการจราจรของเขาเคร่งครัดกว่าบ้านเรา          ถ้าเหยียบเกินสปีดลิมิตเมื่อไหร่ คุณก็รอรับ ticket ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านได้เลย

                    ระหว่างทางไมค์คุยเรื่องรถกับผมด้วยความตื่นเต้นโดยมีไอ้เนสแทรกมาเป็นระยะ พีทมีหน้าที่หัวเราะไปตามจังหวะปล่อยมุกของไอ้เนส ส่วนคนที่นั่งข้างๆผม เงียบมาตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าปิงอารมณ์ดี เพราะมีบางครั้งที่ปิงหัวเราะเบาๆกับมุกเบรคกันของไอ้เนสกับไมค์

                    สวนสนุกที่นี่เป็น Theme park ที่มีความหลากหลาย ทั้งเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีม สวนน้ำ ไดโนเสาร์ การแสดง ร้านอาหาร ร้านค้า และโชว์อีกมากมายที่เปลี่ยนไปตามเทศกาล เพราะฉะนั้นคนที่มาที่นี่จึงมีทุกเพศทุกวัย ไม่ได้เน้นแค่เด็กๆหรือวัยรุ่น

                    พีทและไมค์ดูจะสนุกที่สุด พวกมันเล่นเครื่องเล่นแทบทุกชนิด คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นไอ้เนส มันเล่นไปแค่ไม่กี่อย่างก็อ้วกแตก ถึงกับต้องมานั่งแผ่ ปล่อยให้เด็กหนุ่มๆเขาเอ็กซ์ตรีมกันต่อ

                    แต่คนที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดคือปิง ผมไม่เคยคิดว่าคนที่นิ่งๆเงียบๆดูเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาจะยอมเล่นเครื่องเล่นประเภทนี้ ทีแรกที่พีทชวนให้ขึ้น Anaconda ปิงเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อพีทคว้ามือปิงขึ้นมาจับแล้วพยักหน้า ปิงก็เดินตามไปแต่โดยดี ... ผมกับไมค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าไมค์กำลังคิดอะไร เพราะแม้แต่ความคิดของผมเอง ผมยังไม่รู้เลย

                    เพราะไอ้เนสพ่ายแพ้ต่อ Anaconda ผมจึงต้องมานั่งเป็นเพื่อนมัน ปล่อยให้ 3 คนนั้นสนุกนำไปก่อน

                    “ไหวไหมวะมึง?” ผมตบไหล่ไอ้เนสที่ตอนนี้หน้าเหลืองอย่างกับไก่ต้ม

                    “ไหวดิ กูแค่แพ้แดด” มันยกกระป๋องโค้กขึ้นซด

                    “แพ้แดดแล้วมึงอ้วกด้วยงี้?” ผมแซวมัน

                    “เออ สัส มึงอยากล้อก็ล้อไป” มันวางกระป๋องโค้กลงแล้วหยิบทิชชู่ขึ้นซับเหงื่อ

                    “เออๆ กูไม่ล้อหรอก กูออกจะห่วงมึง นี่กูอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน” ผมตบไหล่มัน

                    “กูซึ้งเหี้ยๆ แม่ง” มันทำท่าฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ขัดกับคำพูด

                    ผมหัวเราะให้กับท่าทางของมัน

                    “พี่ปิงมึงท่าทางสนุกโนะ ตั้งแต่รู้จักเขามา กูเพิ่งได้ยินเขาหัวเราะเสียงดังเหมือนคนปกตินี่แหละ” ไอ้เนสเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องมองตามสายตาของมัน ...

                    ไกลออกไปหลายเมตรตรง Drop Tower พวกเขา 3 คนกำลังเดินตรงมายังทิศทางที่พวกผมนั่งอยู่ ไมค์กำลังพูดอะไรสักอย่าง แล้วพวกเขาก็หัวเราะ รวมทั้งปิงด้วย อยู่ๆพีทก็ถอดหมวกที่อยู่บนหัวตัวเองออก แล้วสวมไปบนหัวของปิง ปิงชะงักเท้า พีทจึงหยุดเพื่อหันไปจัดหมวกให้เข้าที่ ส่วนไมค์แค่หันไปมองแล้วก้าวเดินต่อ

                    “พี่ปิงของมึงนี่เป็นป่าววะ?” เสียงไอ้เนสแทรกขึ้นมา ทำให้ผมละสายตาจากภาพข้างหน้าแล้วหันมามองหน้ามันแทน

                    “เป็นไรวะ?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ

                    “ก็เป็นอย่างว่า มึงดูดิ กูว่าไอ้พีทแม่งชอบพี่ปิงว่ะ” มันพยักเพยิดไปยังภาพที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

                    “เป็นเหี้ยไรล่ะ มึงหมายความว่าไง?”

                    “ห่า มึงอยู่บ้านเดียวกันมาจะ 2 ปีละ เสือกทำเป็นไม่เข้าใจ ใครๆเขาก็ว่าพี่ปิงแม่งเป็นทั้งนั้น” ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้เนสหมายถึงอะไร ... จริงๆแล้วผมก็เคยได้ยินเข้าหูมาเหมือนกันว่ามีคนพูดถึงผู้จัดการร้านเฮียคิดว่าเป็นเกย์ บางคนถึงกับนินทาว่าที่ปิงได้กรีนการ์ดจากร้านนั้นทั้งๆที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน เพราะมีอะไรกับเจ้าของร้าน ซึ่งผมว่ามันไร้สาระ จึงไม่ได้สนใจ ... อีกอย่างหนึ่ง ผมเองก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และใครเป็นใคร

                    แต่สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจของผมอยู่ในตอนนี้ คือท่าทีของพีทที่มีกับปิง และความมีชีวิตชีวาของปิงเมื่อมีพีทอยู่ด้วย ... ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในใจ ผมเคยคิดว่าผมคือคนเดียวที่ได้เห็นและสัมผัสปิงในมุมที่คนอื่นไม่เคยรู้เคยเห็น มันเป็นความภูมิใจของผมไม่น้อย แต่ตอนนี้คนที่ทำให้ปิงหัวเราะได้เสียงดัง กลับเป็นพีท ไอ้คุณหนูที่ปิงเพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่วัน

 

                    พวกเรากลับออกมาจากสวนสนุกแล้วแวะร้านอาหารที่เน้นขายปูและอาหารทะเลโดยเฉพาะ โดยไอ้เนสเป็นคนเลือกร้าน เหตุผลสั้นๆเพราะมันอยากกินและทุกคนก็ไม่ขัดเพราะต่างก็ไม่มีไอเดียกันอยู่แล้ว

                    “แล้วจะกลับไทยเมื่อไหร่น้องพีท?” ไอ้เนสเอ่ยถามขณะที่มันหยิบปูไปกองไว้ตรงหน้า

                    “18 มิถุนาครับ” พีทตอบขณะที่กำลังเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาวางกุ้งที่แกะแล้วบนจานของปิง

                    “ขอบใจ พี่แกะเองได้” ปิงเงยหน้าขึ้นจากจานตรงหน้า

                    ผมเหลือบหางตามองกุ้งที่วางอยู่บนจานของปิง ... เด็กอนุบาลก็คงมองออกว่าไอ้พีทมันคงไม่เคยแกะกุ้งกินเองมาก่อน ... ยับเยินซะขนาดนั้น

                    “ถ้าชอบแกะ ก็แกะให้ฉันกิน” ไมค์เขี่ยกุ้ง 3-4 ตัวไปไว้ตรงหน้าพีท

                    พีทมองที่กุ้งแล้วมองหน้าไอ้ไมค์ “อยากกินนายก็แกะเองสิ”

                    “แกะ!!” ไมค์จับกุ้งวางกระแทกลงบนจานของพีท

                    ผมเริ่มหวั่นใจว่ามันจะวางมวยใส่กัน เพราะสีหน้าของทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้กำลังหยอกเย้ากันเล่น แต่แล้วเสียงสวรรค์ก็มาช่วยผ่อนผันสถานการณ์ลง

                    “ไมค์ชอบกินกุ้งเหรอ? เดี๋ยวพี่แกะให้” เสียงนุ่มๆของปิงแทรกขึ้นมา กุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามถูกยื่นข้ามฝั่งไปวางบนจานของไมค์

                    “ขอบคุณฮะ แต่ไม่เป็นไร” ไมค์เอ่ยขอบคุณปิงแต่ทำหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วมันก็กระทุ้งศอกใส่แขนไอ้พีทที่นั่งอยู่ข้างๆ “นายมันไม่ได้เรื่อง!”

                    “อะไรของนาย!” พีทกระแทกกลับคืนบ้าง

                    “เอ้าๆ พวกมึงทะเลาะกันไป กูจะกินให้หมดเลย” ไอ้เนสเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

                    “ปิงแกะให้เมฆสิ” ผมหันไปบอกปิง อยากจะปลอบที่เขาถูกไมค์ปฏิเสธน้ำใจ

                     ปิงหันมามองหน้าผมนิ่งๆ แต่แค่อึดใจเดียวกุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามก็ถูกวางบนจานของผม ... ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ... ผมหยิบขึ้นมากินอย่างมีความสุข รู้สึกถึงชัยชนะเหนือใครๆในโต๊ะ

                    ส่วนไอ้เด็กสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังคงไม่เลิกกระแทกกระทุ้งกันกลับไปกลับมา

                    “นายกล้าขัดใจฉันหรือไง?” ไมค์บ่นขณะที่ใช้ค้อนเล็กๆทุบลงไปบนก้ามปู “โอ้ย!” แล้วอยู่ๆมันก็ร้องออกมา

                    ทุกคนหันไปมองมันเป็นตาเดียว แต่คนที่เอ่ยถามขึ้นมาคนแรกคือไอ้พีท

                    “เป็นไร? เข้าตาไหม?” พีทจับหน้าของไมค์ที่ตอนนี้กำลังหลับตาปี๋ เพราะตอนที่มันทุบก้ามปู ผงที่โรยมาบนตัวปูคงกระเด็นเข้าตามันพอดี

                    ไมค์สะบัดหน้าหนี ไอ้พีทจึงบีบคางมันเอาไว้แล้วบังคับให้ไอ้ไมค์หันมาทางมัน ... ไอ้คุณหนูหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาปัดๆบริเวณหัวตาให้ไอ้เด็กเชื้อฝรั่ง

                    “ลองลืมตาดูสิ” มันออกคำสั่ง ไอ้ไมค์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย “แสบไหม?” พีทถามย้ำพร้อมซับน้ำตาที่ซึมออกมาจากหัวตาให้ไมค์

                    ไมค์ส่ายหน้า แล้วก้มหน้างุด มันหยิบค้อนจะมาทุบก้ามปูต่อ แต่ถูกพีทแย่งทั้งค้อนทั้งปูมาถือเอาไว้

                    “มานี่ เราแกะให้” ไอ้พีทเอ่ย มันทุบก้ามปูด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

                    ไอ้คนนั่งข้างๆจึงดึงกลับคืนไป “ฉันแกะเอง”

                    เพียงครู่เดียวเนื้อปูขาวๆก็ถูกแกะออกมา ไมค์วางมันลงบนจานของพีท แล้วออกคำสั่งสั้นๆ “กิน”

                    พีทหยิบปูขึ้นมากินอย่างว่าง่าย ... เป็นอันว่าสงครามฝั่งนั้นก็จบลงอย่างสงบ โดยมีเสียงของไอ้เนสพึมพำอยู่ข้างๆผม “แม่ง กูนึกว่าผัวเมียทะเลาะกัน”

 

                    พวกเราออกมาจากร้านอาหารราวสามทุ่มกว่าๆ จากร้านนี้เราจะผ่านบ้านของผมก่อน ปิงจึงขอให้ผมแวะส่งเขาที่บ้าน ก่อนจะเลยไปส่งพวกไอ้เนส

                    ผมเลี้ยวเข้าจอดตรงริมฟุตบาตรหน้าบ้าน เมื่อทุกคนด้านหลังรถร่ำลากันเรียบร้อย ปิงก้าวลงจากรถ โดยมีไอ้เนส   สลับจากข้างหลังเพื่อมานั่งข้างๆผมแทน

                    ผมมองตามร่างบางของปิงเพื่อรอให้เขาเข้าบ้านและเปิดไฟให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่เมื่อปิงเดินไปเกือบถึงบันได ร่างของใครบางคนที่คงนั่งรออยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นยืน

                    จากแสงไฟริมถนน แม้จะไม่สว่างจ้ามากนัก แต่ผมก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกับปิงคือใคร ...

 

                    ผมกลับถึงบ้าน ไฟตรงระเบียงถูกเปิดเอาไว้ เมื่อมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องนอนของปิง กลับมืดสนิท ... ไฟในบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ 1 หลอดตรงโถงบันได

                    ผมก้าวขึ้นบันได ลังเลว่าจะไปเคาะห้องของปิงดีไหม และแล้วความกังวลบางอย่างในใจก็นำพาผมไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนของปิง ... ผมเคาะประตูแล้วยืนรอ ภายในห้องเงียบกริบ

                    “ปิง” ผมเอ่ยเรียกพร้อมเคาะอีกรอบ ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมา ผมจึงลองขยับลูกบิดดู ... มันไม่ได้ล็อก เมื่อผลักบานประตูเข้าไป ภายในห้องมืดสลัว แสงไฟจากริมถนนส่องเข้ามาทางช่องกระจกเหนือหน้าต่าง ทำให้มองเห็นว่าภายในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ผ้าห่มยังคลุมอยู่บนเตียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

                    ผมปิดประตูลงและเดินกลับห้องของตัวเอง เมื่อเข้ามานั่งบนเตียงด้วยความร้อนใจ บางอย่างสั่งให้ผมกดโทรออกเบอร์ของปิง ... เขาไม่รับสาย นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน จึงโทรออกไปอีกครั้ง ... เสียงเรียกเข้าดังอยู่นาน แต่ในที่สุดปลายสายก็ตอบกลับมา

                    /เฮลโหล/ เสียงของปิง

                    “อยู่ไหน?” ผมถามกลับไปโดยไม่สนใจที่จะทักทาย

                    ปิงเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ /แถวๆแฟร์แฟ็กซ์/

                    “อยู่กับใคร?” ผมถามทั้งๆที่มีคำตอบอยู่ในใจ

                    /คุณกร/ น้ำเสียงของปิงฟังแผ่วลงเมื่อเอ่ยชื่อของคนๆนั้น

                    “จะกลับหรือยัง? เมฆจะออกไปรับ” ความรู้สึกร้อนรนภายในคล้ายจะโหมแรงขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้

                    ปิงเงียบไปอีกครั้ง

                    “อยู่ตรงไหน เมฆจะออกไปรับ”

                    /คืนนี้ไม่กลับ/

                    คำตอบของปิงเหมือนมีใครเอาไฟมาจี้ที่กลางใจ

                    “มีอะไรหรือเปล่า?” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่ง

                    /เมฆ ... คุณกรไม่ใช่เพิ่งจะเคยมา/

                    “...”

                    /ไม่ต้องเป็นห่วง/

                    “...”

                    คำตอบของปิง ล้วนเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังดิ้นรนที่จะก้าวล้ำเข้าไปในเขตอันตราย ที่มันจะทำให้เจ็บ

                    /เมฆ .../ เสียงเรียกชื่อของผมที่ดังมาจากปลายสาย เหมือนกำลังเตือนให้รู้ว่า ผมเป็นใคร ...

                    “อือ” ผมส่งเสียงตอบ ในลำคอขณะนี้คล้ายมีก้อนบางอย่างจุกจนตีบตัน

                    /ขอบใจนะ/

                    เมื่อเสียงของปิงเงียบลง สัญญาณตัดสายก็ดังขึ้น

                    ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ...

 

                    ในอกหนักอึ้งและปวดแปลบ ความรู้สึกเหมือนกำลังอกหัก ... แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ...

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
«ตอบ #48 เมื่อ08-06-2016 13:09:44 »

เมฆ น่าฉงฉาน :o12: พี่ปิงเสน่ห์แรงเกิ๊นนน
ส่วนไมค์พีท ทะเลาะบ่อยๆ เค้าว่าลูกดกนะ :laugh:


ปล. เนสนี่มองออกหมดเลยเนอะ ตัวชงชัดๆ ขำดี

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
«ตอบ #49 เมื่อ08-06-2016 21:07:45 »

ปล่อยพี่ปิงไปดีมั้ย แล้วเราก็วนกินกันเอง  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The One You Love (& The ones who love you) #20 [updated 7/6/2559]
« ตอบ #49 เมื่อ: 08-06-2016 21:07:45 »





ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
«ตอบ #50 เมื่อ13-06-2016 21:38:29 »

# 21 (PETE)

 

                    พี่เมฆมาส่งพวกเราที่บ้านแล้วรีบกลับทันที พี่เนสกำลังจะร่ำลา แต่ก็ต้องโบกมือค้าง

                    “เอ้ย เหี้ย มันจะรีบไปไหนของมันวะ?” พี่เนสบ่นอย่างหัวเสีย

                    ผมกับไมค์ได้แต่มองหน้ากัน

                    “พี่ขึ้นห้องละ เหนียวตัว อยากอาบน้ำ” พี่เนสตบไหล่ผม แล้วหันไปพยักเพยิดให้ไมค์ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

                    เมื่อพี่เนสไปแล้ว แต่ไมค์ยังยืนนิ่ง ผมจึงชิงพูดขึ้นก่อน “ฉันก็เหมือนกัน รู้สึกไม่สบายตัว อยากอาบน้ำเต็มที”

                    ไมค์พยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป ... ผมเริ่มแปลกใจในท่าทีที่ว่าง่ายของไมค์ แต่อาจจะไม่มีอะไร เขาเองก็คงจะเหนื่อยและอยากไปพักผ่อนเหมือนกัน

 

                    เมื่อกลับเข้ามาอยู่เพียงลำพังในห้อง ความคิดก็กลับมาวนเวียนตั้งแต่แวะส่งพี่ปิงที่บ้าน และมีใครคนหนึ่งรอเขาอยู่ ... แม้แสงไฟในยามค่ำคืนจะไม่สว่างมากนัก แต่ก็พอทำให้เห็นรูปร่างและหน้าตาของคนๆนั้นได้ชัดเจน ความคุ้นเคยบางอย่างทำให้ภาพของเขารบกวนจิตใจผมตั้งแต่นาทีนั้น แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเขาคือใคร และผมเคยพบเจอเขาที่ไหน

                    ความสงสัยใคร่รู้ทำให้ผมส่งข้อความไปหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – ถึงบ้านแล้วครับ

                    ผม – วันนี้ผมสนุกมาก ขอบคุณนะครับ

                    ผม – พี่ปิงอาบน้ำนอนหรือยัง

                    ผม – นอนหลับฝันดีนะครับ

                    แต่ละข้อความถูกส่งห่างกันราวๆ 5 นาที แต่ทั้งหมดก็ไม่ถูกเปิดอ่าน

 

                    แม้จะไม่รู้ว่าวันนั้นที่ไปช้อปปิ้งด้วยกันพี่ปิงโกรธอะไร แต่มาวันนี้เขาไม่ได้มึนตึงกับผม ก็ทำให้หายกังวัล และตั้งแต่คืนนั้นที่พี่ปิงส่งภาพถ่ายของผมที่มีพ่อและแม่จูงมือมาให้ ผมก็มีความกล้าที่จะเดินเข้าหาเขามากขึ้นอีกก้าว แม้ว่าพี่ปิงจะไม่เคยจดจำเรื่องราวของผมเลย แต่อย่างน้อยในเสี้ยวเวลาหนึ่งเขาก็ได้บันทึกมันเอาไว้เป็นภาพถ่ายที่เขาบอกกับผมว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจ เพราะเขาเองไม่เคยมีช่วงเวลาเช่นนั้นในวัยเด็กอย่างผม

                    พี่ปิงเป็นคนพูดน้อย ผมจึงแทบไม่รู้เรื่องราวอะไรของเขาเลย ส่วนผมเองก็ไม่กล้าจะซักถาม เพราะรู้สึกได้ถึงโลกส่วนตัวของเขาที่ไม่ต้องการให้ใครก้าวเข้าไป

                    แต่อย่างน้อยผมก็ได้ทักทายเขาผ่านทางไลน์วันละ 2 ครั้ง คือช่วงเช้าเมื่อตื่นนอนและช่วงกลางคืนก่อนเข้านอน ผมเคยส่งภาพเซลฟี่บนเตียงไปให้พี่ปิง และขอให้เขาส่งภาพของเขามาให้บ้าง พี่ปิงเงียบหายไปหลายนาที ก่อนจะส่งภาพถ่ายโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงมาให้ ผมใช้ภาพนั้นเป็นสกรีนหน้าจอโทรศัพท์ แม้จะไม่มีพี่ปิงอยู่ในภาพ แต่ผมก็รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น

 

                    เมื่ออาบน้ำออกมา พบว่ามีข้อความเข้าจากแบม เธอต้องการพบผมอีกสักครั้งก่อนที่ผมจะกลับไปวิสคอนซิน เธอคงรู้จากไมค์แล้วว่าผมจะไปวันไหน

                    ผมลังเลว่าควรจะพบกับแบมดีหรือไม่ แม้ความเสียใจจากการถูกทิ้งจะไม่มากมายอย่างที่คิดว่ามันควรจะเป็น แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าในอกมันยังปวดแปลบเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าตลอดเวลาหลายเดือนก่อนที่จะมาที่นี่ แบมพูดคุยกับผมเพียงเพราะความสงสาร

                    ผม – แบมอยากนัดเจอเรา

                    ผมเลือกที่จะส่งข้อความหาไมค์ โดยยังไม่ตอบข้อความของแบม รอไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ก็ไปสิ

                    ผม – จะดีเหรอ

                    ไมค์ – แล้วไม่ดียังไง

                    คำถามย้อนกลับของไมค์ทำให้ต้องหยุดคิด ... ก็คงจะจริง การไปพบแบมมันไม่ดียังไง?

                    ผม – ก็คงดีมั้ง

                    ไมค์อ่านแต่ไม่ตอบ

                    ผม – นายไปด้วยกันนะ

                    ผมคิดว่าถ้ามีไมค์อยู่ด้วย อาจทำให้บรรยากาศระหว่างผมและแบมไม่ตึงเครียดจนเกินไป

                    ไมค์ – ทำไมฉันต้องไป

                    ผม – เพราะนายเป็นเพื่อนเราและเป็นเพื่อนแบม

                    ไมค์ – พวกยูควรคุยกัน 2 คน

                    ผม – มันไม่มีเรื่องของ 2 คนระหว่างเรากับแบมอีกแล้ว

                    ไมค์เงียบไปอีกสักพัก

                    ไมค์ – เมื่อไหร่

                    ผม – นายหมายถึงวันไหนใช่ป่าว

                    ผม – เอาที่นายสะดวก เราจะได้บอกกับแบม

                    ไมค์ – วันจันทร์

                    ผม – โอเค งั้นเดี๋ยวเรานัดแบม

                    ผม – ขอบคุณนะไมกี้

                    ไมค์ – ขอบคุณเรื่องอะไร

                    อยู่ๆก็นึกอยากได้ยินเสียงของไมค์ขึ้นมา ผมจึงเลือกโทรออก เสียงเรียกดังแค่ 2-3 ครั้ง ทางนั้นก็รับสาย

                    ผมกรอกเสียงลงไปทันที “ขอบคุณที่นายแกะปูให้เรากินจนพุงกางไง”

                    ผมลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงท่าแกะปูอย่างตั้งอกตั้งใจของไมค์ แม้จะบอกว่าไม่ต้อง เขาก็ไม่ยอมฟัง     ทำเอาคนแกะปูไม่เป็นอย่างผมได้กินจินอิ่มแปล้

                    /นายมันงี่เง่า ขืนให้แกะเองคงเสียของ/ เสียงจากปลายสายฟังกุกกัก

                    “นายทำไรอยู่?”

                    /นอนสิ ดูเวลาซะบ้าง/ แม้จะบอกว่านอน แต่ฟังแล้วเสียงทางนั้นยังสดใสอยู่เลย

                    “นอนเร็วไปนะ” ผมรู้ว่าปกติไมค์จะนอนดึกกว่านี้ เพราะเขามักจะฟังเพลงและแชทกับเพื่อนๆ ซึ่งเวลานั้นถือเป็นเวลาส่วนตัวที่สุดของเขา ... ผมรู้เพราะเขาเคยเล่าให้ฟัง

                    /พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นไปวัดกับคุณย่า/

                    “ไม่เห็นชวน” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่ไมค์ไม่บอกผมเรื่องนี้ ทั้งๆที่เมื่อครั้งก่อนเขายังชวนผมไปด้วยแท้ๆ

                    /ไม่คิดว่านายจะว่าง เห็นไปนั่นไปนี่กับคนนู้นคนนี้/ น้ำเสียงจากทางนั้นแม้จะตอบแบบเนือยๆ แต่ผมสัมผัสได้ถึงการประชดประชัน

                    “เราว่าง ไปด้วยดิ” การไปวัดกับคุณย่าและไมค์ คงดีกว่าการแกร่วอยู่กับบ้านเพราะพี่ปิงเองก็ทำงาน และคงเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ง้อไมค์ในเรื่องที่ลืมบอกเขาวันที่ไปช้อปปิ้งกับพี่ปิง

                    เสียงถอนหายใจลอยมาตามสาย /ตื่นเองนะ ฉันไม่ปลุก/

                    “โอเค้” ผมยิ้มให้ฝ้าเพดาน แบบนี้คงหมายความว่าไมค์หายโกรธแล้ว

                    /นอนละ/

                    “ฝันดีไมกี้”

                    /G’nite/

 

                    เมื่อวางสายจากไมค์ ผมส่งข้อความไปแจ้งแบมเรื่องนัด และส่งข้อความหาพ่อกับแม่ เล่าเรื่องไปสวนสนุก และพรุ่งนี้จะไปวัด

                    ข้อความที่ส่งถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วงยังไม่ถูกเปิดอ่าน ... พี่ปิงกำลังทำอะไรอยู่ หรือเขาจะหลับไปแล้ว? …

 

                    เช้าวันอาทิตย์ผมตื่นแล้วเดินไปหาไมค์ที่บ้าน การไปวัดครั้งนี้แทบไม่แตกต่างกับครั้งก่อน มีเพียงน้าเจนี่ที่ไม่ได้ไปด้วย แต่เป็นคุณพ่อคุณแม่ของไมค์ที่ไปแทน

                    เมื่อกลับจากวัดน้าเจนี่ทำข้าวคลุกกะปิสำหรับมื้อเที่ยงไว้ให้พวกเรา ผมว่ารสชาติดีกว่าที่เคยกินแถวๆบ้านซะอีก ไมค์บอกว่าเป็นสูตรของคุณย่า

                    เมื่อก่อนคุณย่าเคยเปิดร้านอาหารไทยอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะลูกๆไม่อยากให้ท่านทำงานแล้ว จึงต้องปิดกิจการลง ทั้งคุณพ่อของไมค์และน้าเจนี่ต่างไม่มีใครสนใจที่จะดำเนินธุรกิจต่อ เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำกันอยู่แล้ว

                    หลังจากกินอิ่มกันแล้ว ไมค์ชวนผมขึ้นไปเล่นเกมบนห้องของเขา ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นห้องของไมค์ ... เมื่อเปิดประตูเข้าไป เตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้องคลุมทับด้วยผ้าห่มลายธงชาติอเมริกาเป็นจุดเด่นของสายตา บนผนังมีโปสเตอร์วงควีนแผ่นใหญ่โดดเด่น ข้างๆเป็นภาพเดี่ยวของ Freddie Mercury และภาพขนาดโปสการ์ดอีกหลายสิบภาพแปะอยู่เต็มผนัง ซึ่งมองดูคร่าวๆอาจเป็นภาพของไมค์และเพื่อนๆของเขา เหนือเตียงมีไฟดวงเล็กๆ เรียงร้อยเป็นสายระโยงระยางลงมาจากฝ้าเพดาน ผนังด้านซ้ายมีโซฟายาวที่ถูกจับจองด้วยเป้ แจ็คเก็ต 2-3 ตัวและแผ่นซีดีกองๆอยู่หลายแผ่น ส่วนผนังอีกฟากเป็นหน้าต่าง มีโต๊ะ เก้าอี้ และชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยโมเดลซุปเปอร์ฮีโร่ ... ลูกบาสเก็ตบอลที่เราใช้เล่นกัน นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นข้างเตียง

                    “นายเป็น FBI มาสืบสวนคดีหรือไง” ไมค์พูดพร้อมหยิบลูกบาสขึ้นมาโยนใส่ผม โชคดีที่ผมไหวตัวทัน จึงรับเอาไว้ได้

                    “ห้องนายแนวดี” ผมกวาดตาไปรอบๆห้องอีกครั้ง

                    “แนว?” ไมค์กอดอก เขาคงไม่เข้าใจความหมายของคำว่าแนว

                    “ก็ อืม มีสไตล์ อะไรแบบนั้น” ผมพยายามอธิบาย ห้องไมค์เหมือนจะรกแต่ไม่รก คงเพราะเขามีของเยอะ แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะวางอยู่ในที่ทางของมัน

                    ไมค์ยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ผมเดินไปอีกฝั่งและเอนตัวลงข้างๆ แต่เพราะเตียงของไมค์เป็นเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ผมจึงใช้ตัวเบียดให้เขาขยับเพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเอง

                    “นายจะมาเบียดฉันทำไม?” ไมค์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ แต่ก็ขยับตัวเพื่อให้ผมได้นอนลงไป

                    “ก็ทีนายยังไปนอนเตียงเราบ่อยๆ” แม้ไมค์จะขยับแล้ว แต่ไหล่ของผมก็เกยอยู่บนไหล่ของเขานิดหน่อย เพราะตัวของเราสองคนใช่ว่าจะเล็กกันเสียเมื่อไหร่

                    “ก็นั่นมันบ้านฉัน” ไมค์ใช้สิทธิ์เจ้าของบ้านอย่างหน้ามึนๆอีกตามเคย

                    “ฉันจ่ายค่าเช่าป่ะวะ?” ผมก็เถียงเขาด้วยประโยคเดิมๆ

                    “Whatever” ไมค์กระแทกขาของเขาใส่ขาผม

                    ผมไม่คิดจะโต้ตอบเพราะรู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น และความจริงแล้วผมก็ไม่เคยนึกรำคาญหรือไม่พอใจไมค์เลยสักครั้งที่เขาไปถือกรรมสิทธิ์เจ้าของบ้านบนเตียงนอนในห้องเช่าที่ผมต้องจ่ายเงินให้กับเขา เพราะการที่มีไมค์อยู่ข้างๆ มันทำให้ผมอุ่นใจและไม่รู้สึกเดียวดาย

                    “นายชอบวงควีนเหรอ?” ผมถามเพราะนึกขึ้นได้ว่าจะถามตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องครั้งแรก

                    “Yah”

                    “We are the champions my friends …” ผมร้องท่อนฮุกของเพลงที่แทบจะเป็นเพลงประจำชาติของวง

                    “No times for losers.” ไมค์เอ่ยประโยคหนึ่งในเนื้อเพลงออกมา เขาไม่ได้ร้องเป็นทำนอง แต่คล้ายๆการรำพึงกับตัวเอง

                    เราหันมาสบตากัน ... ดวงตาคมสีน้ำตาลวาวและสันจมูกแหลม อยู่ห่างแค่คืบ ... ผมรู้สึกหวิวในท้องขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

                    “He’s a legend.” ไมค์เอ่ย ก่อนจะหันหน้ากลับไป

                    ผมสูดหายใจลึก แปลกใจกับความรู้สึกของตัวเองเมื่อสักครู่ … ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง บางทีการนอนเบียดกันอย่างนี้อาจทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดเพี้ยนไปก็เป็นได้

                    “นายชวนเรามาเล่นเกมไม่ใช่เหรอ?” ผมหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

                    ไม่มีคำตอบจากไมค์ แต่กลับรู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาจับที่ต้นคอ แล้วผมก็ถูกดึงให้กลับลงไปนอนในท่าเดิม

                    “ฉันไม่อยากเล่นเกม” ไมค์พูดพร้อมกับพลิกตัวขึ้นมาเท้าแขนคร่อมอยู่เหนือร่างของผม

                    ในใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ มันผิดจังหวะไปหมด ยิ่งเมื่อสบกับดวงตาคมกริบที่มองลงมา แทนที่จะตกใจกับท่าทางแปลกๆของไมค์ ผมกลับรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

                    “นายจำคำถามของฉันเมื่อครั้งก่อนได้ไหม?” ไมค์เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

                    ผมที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ร่างของเขา พยายามคิดทบทวนว่าคำถามนั้นคืออะไร ...

                    “นายอย่าบอกนะว่าจำไม่ได้” ไมค์ย่นหัวคิ้ว

                    จะตอบอย่างไรดี ก็ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาหมายถึงคำถามไหน ในเมื่อเราคุยกันสารพัดเรื่อง

                    “เฮ่อ!” ไมค์ถอนหายใจยาว เขาคงระอากับความไม่เอาไหนของผม

                    “ก็ ...” ผมพยายามจะหาทางแก้ตัว ในขณะที่สมองกำลังทบทวนถึงคำถามของไมค์ ... หรือเขาจะหมายถึงเรื่องนั้น? แต่ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยตอบ อยู่ๆไมค์ก็งอแขนลง ทำให้ใบหน้าของเขาลดต่ำลงมา จนปลายจมูกของพวกเราแทบจะชนกัน

                    “ถ้าฉันจูบนายตอนนี้ นายจะต่อยฉันไหม?” คำถามแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบของไมค์คล้ายมีใครเป่าลมเข้าไปในอกข้างซ้ายของผมจนรู้สึกโหวงเหวง

                    “อะ อะไร นายหมายความว่าไง?” ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ชั่วแว้บหนึ่งที่คิดว่าควรจะผลักไมค์ออกไป แต่แล้วก็ไม่ได้ทำ

                    “ฉันอยากจูบนาย” ไมค์ขยับใบหน้าลงมาใกล้จนริมฝีปากของเราแทบจะสัมผัสกัน

                    ผมหลับตาและยกแขนขึ้นผลักอกไมค์ออกไปในที่สุด ... ไมค์กลิ้งตกลงไปข้างเตียงเสียงดังโครม ผมตกใจจึงรีบลุกขึ้นนั่งและก้มลงไปมองข้างเตียง

                    “เจ็บไหม!? เราขอโทษ” ผมใจเสียเพราะรู้ตัวว่าผลักเขาสุดแรง

                    “ฮ่าๆๆๆ” แต่ไมค์ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นข้างเตียงกลับหัวเราะเสียงดังลั่น

                    ผมที่นั่งอยู่บนเตียงจึงได้แต่มองอย่างงงๆ

                    “ฉันโชคดีใช่ไหมที่นายไม่ได้ปล่อยหมัดออกมา” เขาพูดและยังหัวเราะหึๆในลำคอ

                    “ก็ ... เราตกใจ นายเล่นอะไรพิเรนทร์” แม้ไมค์จะหัวเราะ แต่สีหน้าของเขากลับทำให้ผมรู้สึกผิดยิ่งขึ้น

                    “ฉุดฉันขึ้นที” เขาส่งมือมาให้ผม

                    ผมดึงเขาขึ้นมาและไมค์ก็นั่งลงบนเตียงข้างๆผม

                    “นายล้อเราเล่นใช่ไหม?” ผมก้มหน้าถาม ไม่กล้ามองสบตาเขา ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าไมค์กำลังคิดอะไรอยู่

                    “เปล่า ... ฉันอยากจูบนายจริงๆ” แม้ผมจะไม่ได้เห็นสีหน้าของไมค์ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขา มันทำให้ผมรู้ว่าไมค์ไม่ได้ล้อเล่น

                    “ทำไม?” ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไร

                    “ถามโง่ๆ นายไม่เคยรู้สึกอยากจูบใครสักคนหรือไง?”

                    “กะ ก็ ...” ผมนึกถึงริมฝีปากแดงระเรื่อของพี่ปิงขึ้นมา

                    “ว่าไง?”

                    “แต่เราเป็นผู้ชายนะไมค์” คำพูดของผมย้อนแย้งกับความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน

                    “นายแคร์ด้วยเหรอ?”

                    คำถามของไมค์ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น และพบว่าเขากำลังมองผมอยู่

                    “ถ้าฉันชอบซะอย่าง ฉันก็ไม่แคร์หรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ไมค์พูดทั้งที่ยังจ้องตากับผม

                    “แต่ ...” ผมเลือกที่จะหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เพราะประโยคที่เหลืออาจทำให้ไมค์ต้องเสียใจ

                    ไมค์ไม่ยอมละสายตาไปจากผม เขาคงกำลังรอคำพูดที่เหลือ แต่ผมเลือกที่จะเลี่ยงมันโดยการก้มหน้าลงเช่นเดิม

                    “นายแน่ใจได้ยังไงว่านายชอบเราจริงๆ” ผมตั้งคำถามเพื่อให้ไมค์มีโอกาสทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้จักผมได้เพียงไม่กี่วัน เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าความรู้สึกนั้นมันคือความชอบจริงๆ

                    “ใจของฉัน ทำไมฉันจะไม่รู้” ไมค์โน้มตัวไปข้างหน้า วางแขนไว้บนต้นขา มือสองข้างประสานกันอย่างหลวมๆ

                    จากคำตอบของเขา ผมไม่มีอะไรจะโต้แย้ง

                    “เราก็ชอบนายนะไมค์ แต่ในฐานะเพื่อน นายเป็นเพื่อนที่ดีมาก แม้เราจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เราก็ชอบนายมากนะ” หวังว่าคำตอบของผม คงไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของเขา

                    “หึ ...” เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของไมค์ คล้ายของมีคมที่จิ้มลงไปในอกของผม “นายอาจเพิ่งรู้จักฉันแค่ไม่กี่วัน แต่นายรู้ไหมว่าฉันรู้จักนายมานานแค่ไหน?”

                    ผมประสานนิ้วเข้าด้วยกันแล้วบีบมันจนแน่น

                    “ฉันรู้จักนายตั้งแต่แบมมาเข้าเรียนที่นี่ ฉันรู้ทุกเรื่องของนายเท่าที่แบมรู้”

                    ผมสูดหายใจลึก แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไมค์จะรู้จักผมมาก่อนเพราะเขาคือเพื่อนของแบม แต่การที่เขาบอกว่าเขารู้ทุกเรื่องของผมเหมือนที่แบมรู้ ... ผมควรรู้สึกอย่างไร?

                    ผมควรไม่พอใจที่แบมนำเอาเรื่องของผมมาเล่าให้คนอื่นฟังจนหมด หรือผมควรจะปลื้มใจที่ไมค์ให้ความสนใจกับเรื่องราวของผม ... แต่มันใช่เวลาที่ผมต้องมาคิดเรื่องนี้ไหม?

                    “แต่คือ เราชอบนายอย่างเพื่อน นายเข้าใจเราไหม?” ผมไม่เคยคิดกับไมค์มากไปกว่านั้นจริงๆ “เวลาเราอยู่กับนาย เรารู้สึกดีนะเว้ย คือเราสนุกและมีความสุขนะ แต่คือนายเข้าใจไหม คือเรา เราไม่ ...” ผมจะบอกยังไงดี

                    “นายไม่ได้ชอบฉัน” ไมค์เอ่ยต่อประโยคที่ไม่จบของผม

                    “เราชอบนายนะ แต่ ...” ผมพยายามหาคำอธิบายเพื่อไม่ให้ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย

                    “นายชอบฉันแบบเพื่อน” ไมค์เอ่ยแทนประโยคที่ผมนึกไม่ออก

                    “... อืม”

                    หลังจากนั้นเราทั้งสองต่างเงียบกันไปนาน ... นานจนผมเริ่มอึดอัด

                    “เราขอโทษ” ผมเอ่ยขึ้นในที่สุด และเพราะผมต้องการจะขอโทษเขาจริงๆ ที่ผมไม่สามารถสนองตอบความต้องการของเขาได้

                    “ไม่ต้องขอโทษ” ไมค์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เขาหันมาจ้องหน้าผม และผลักผมลงบนเตียงอีกครั้ง เขาโน้มตัวมาคร่อมตัวผมเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลคล้ายมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของผม จนทำให้เกิดความร้อนวูบวาบขึ้นที่แก้ม ผมเอียงหน้าเพื่อหลบสายตาคู่นั้น “เพราะฉันยังไม่ยอมแพ้” ประโยคนี้ถูกกระซิบที่ข้างหู ลมร้อนๆจากริมฝีปากของไมค์เหมือนกำลังจะเผาไหม้ใบหูของผมให้หลอมละลาย

                    ผมหันกลับมามอง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระจากการถูกคร่อม ...

                    “อื้อ ...” ไมค์ยืนยืดแขนขึ้นด้านบน บิดตัว 2-3 ครั้ง “ฉันอยากเล่นบาส” ไม่ใช่แค่ท่าทีที่เปลี่ยนไป แต่น้ำเสียงที่เคยจริงจังเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนไปด้วย ไมค์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเป็นเหมือนไมค์คนเดิมที่มีความสดใสและเอาแต่ใจ

                    ผมดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

                    “ไปเล่นบาสกัน” ไมค์ก้มหยิบลูกบาสที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาเลี้ยง

                    “นายไม่โกรธเราเหรอ?” ผมยังรู้สึกผิดอยู่ในใจ

 

                    ไมค์มองหน้าผม เขายกยิ้มที่มุมปาก ในขณะที่มือยังเลี้ยงลูกบาสอยู่ข้างตัว ... ในเสี้ยววินาทีนั้นผมมองว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ ... โคตรเท่

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
«ตอบ #51 เมื่อ14-06-2016 15:10:55 »

เชียร์ไมค์ จีบพีทให้ติดนะ  :mew1:
แต่พีทคงต้องเคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อพี่ปิงให้ได้ก่อน ไม่งั้นไมค์คงหึงดะ เมฆอีกคน 5555+

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #21 [updated 13/6/2559]
«ตอบ #52 เมื่อ16-06-2016 23:39:56 »

เชียร์ไมค์ จีบพีทให้ติดนะ  :mew1:
แต่พีทคงต้องเคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อพี่ปิงให้ได้ก่อน ไม่งั้นไมค์คงหึงดะ เมฆอีกคน 5555+

ขอบคุณนะคะที่คอยคอมเมนท์ให้ตลอดเลย

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #53 เมื่อ22-06-2016 22:54:09 »

22 (MHEK)

 

                    ปิงหายไปทั้งคืน ... ขณะนั่งเรียนในคลาส สมาธิของผมไม่อยู่กับบทเล็คเชอร์ของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย เมื่อจบคาบสุดท้ายผมก็รีบเก็บข้าวของลงเป้แล้วบึ่งรถกลับบ้านทันที ... หวังว่าจะได้เจอปิงที่นั่น

                    แต่แล้วเมื่อมาถึง ผมก็พบแค่ความว่างเปล่า วันนี้วันจันทร์ ปกติแล้วปิงต้องไปทำงาน ... หรือบางทีเขาอาจจะอยู่ที่ร้านก็เป็นได้ ผมภาวนาให้ปิงอยู่ที่นั่น แทนที่จะหายตัวไปกับคุณกรอย่างทุกครั้ง

 

                    ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถใหม่ของผมก็มาจอดอยู่ที่ลานจอดหน้าร้านของเฮียคิด … ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปขณะก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าว

                    แทนที่จะเดินไปยังประตูทางเข้าด้านข้าง ผมเลือกเดินตรงไปที่กระจกบานใหญ่ด้านหน้า เมื่อมองเข้าไปจากตรงนั้น ด้านในของร้านคือเคาน์เตอร์ที่ปิงต้องยืนอยู่ประจำ

                    ผมมาหยุดยืนอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ ภายในร้านห่างออกไปจากจุดนี้ราวๆ 10 เมตร ณ เคาน์เตอร์ตรงนั้นว่างเปล่า ... หัวใจที่เต้นตึกๆเมื่อสักครู่ คล้ายมีมือของใครสักคนมาบีบเพื่อบังคับให้มันหยุดเต้น ... แต่ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ร่างๆหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากเคาน์เตอร์บาร์ หัวใจที่ถูกบีบเมื่อสักครู่กลับรู้สึกราวถูกปลดปล่อย มันกลับมาเต้นตุบๆอีกครั้ง ... ผมสาวเท้ายาวๆตรงไปยังประตูที่อยู่ด้านข้างของร้าน

                    “มาทำอะไร?” ดวงตายาวรีของปิงเบิกกว้าง

                    ผมที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ กัดปากตัวเองเอาไว้เพราะกลัวเผลอยิ้มออกมา “มา ... อืม มาถามเฮียคิดว่าจะให้เริ่มงานวันไหน” ผมดีใจที่ตัวเองนึกหาเหตุผลได้ทัน

                    “อือฮึ” ปิงพยักหน้า “เฮียอยู่ในห้อง”

                    “อ้ะ ...” ผมพยักหน้าบ้าง ยืนลังเลอยู่สักครู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินเข้าไปยังหลังร้าน ผมมีธุระกับเฮียคิด ก็คงต้องไปหาเฮียคิดสินะ

                    เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องที่ถูกกั้นเอาไว้ก่อนถึงส่วนของห้องครัวใหญ่ ผมเคาะประตูกระจกที่มีม่านติดบังตาเอาไว้จากด้านใน

                    “เอ้อ” เสียงของเฮียคิดดังออกมา ผมจึงผลักบานประตูเข้าไป

                    ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งทำงาน 1 ชุด เก้าอี้สำหรับรับแขกอีก 2 ตัว และชั้นที่วางแฟ้มเอกสารที่ตั้งอยู่ชิดผนัง เสาไม้ที่ใช้สำหรับแขวนแจ็คเก็ตและผ้ากันเปื้อนตั้งอยู่มุมห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาในห้องนี้

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้

                    “เอ้า อาเมฆ มาไงวะ?” เฮียขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ วางมือจากคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่อยู่บนโต๊ะ

                    “ผมจะมาถามเฮียว่าจะให้เริ่มงานเมื่อไหร่ จะได้ไปบอกทางพี่ปุ๊กล่วงหน้าครับ”

                    เฮียคิดทำท่าคิดก่อนจะตอบ “เออ อาทิตย์หน้าไหมล่ะ?”

                    “ได้ครับ พรุ่งนี้ผมเข้าร้าน จะได้บอกพี่ปุ๊กเลย”

                    “เออ ดีๆ เมื่อคืนเฮียก็คุยกับไอ้เล้ง บอกมันว่าเดี๋ยวลื้อก็มาทำงานกับเฮีย” ป๊ากับเฮียคิดมาจากเมืองจีนพร้อมกัน ทั้งสองจึงสนิทกันมาก เพราะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

                    “ครับ”

                    “แล้วทำไมไม่โทรมาวะ ต้องถ่อมาถึงนี่” นั่นไง ... เป็นใครก็คงต้องสงสัยข้อนี้

                    “เอ่อ ... มารับพี่ปิงครับ วันนี้เขาไม่ได้ขับรถมา” โชคดีของผมที่ยังมีข้ออ้างนี้อยู่

                    “เรอะ?” คำว่าเรอะของเฮียคิดดังจนผมแทบสะดุ้ง

                    “ครับ”

                    “มาทำไมแต่หัววันวะ กว่าจะเลิกงาน” เฮียแกคงถามไปยังงั้น แต่ตัวผมเองกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับผิด

                    “เอ่อ ... พอดีเลิกเรียนแล้วก็เลยมาเลยครับ ขี้เกียจแวะเข้าบ้านก่อน”

                    “อ้อๆ” เฮียคิดพยักหน้า “กินข้าวมาหรือยัง?”

                    “ยังครับ”

                    “เออ งั้นเดี๋ยวเฮียทำราดหน้าให้กิน”

                    “ขอบคุณครับเฮีย” ผมยกมือไหว้ ลาภปากจริงๆ เพราะขนาดป๊ายังเคยเอ่ยปากชมว่าราดหน้าฝีมือเฮียคิดอร่อยไม่เป็นสองรองใคร

                    “เออๆ” เฮียคิดพยักหน้ารับ แต่แกไม่ได้มองหน้าผมหรอก แกหันไปกดๆแล็ปท็อปของแก สักพักก็ปิดพับหน้าจอลง และนั่นทำให้ผมได้เห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกรอบที่ประดับด้วยดอกไม้ดอกเล็กๆล้อมรอบ คือภาพหญิงสาวที่ถักเปียยาวสองข้าง แม้สีจะซีดไปบ้างแต่ก็ยังมองออกว่าผู้หญิงคนนั้นมีดวงตายาวรี จมูกเล็กเป็นสัน ใบหน้าเรียวรูปไข่... เพียงปราดแรกที่เห็น ผมคิดว่าคนในกรอบรูปนั้นคือปิง จะต่างกันแค่เพียงหญิงสาวคนนั้นกำลังยิ้มเอียงอาย ซึ่งผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นจากปิง

                    เฮียคิดลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินนำออกจากห้อง ผมหันไปมองหญิงสาวในกรอบรูปอีกครั้ง หรือนั่นคือภรรยาของเฮียคิดที่ป๊าเคยเล่าให้ฟัง

                    “ลื้อไปรอข้างนอกกับอาปิง เดี๋ยวเสร็จแล้วจะเรียก” เฮียคิดหันมาสั่งเมื่อผมกำลังจะเดินตามแกเข้าไปในครัว

                    “ครับ” ผมชะงักเท้า แล้วหันหลังกลับเดินออกไปยังหน้าร้าน

                    ผมเดินเข้าไปหยุดยืนข้างปิงหลังเคาน์เตอร์ “ขออยู่ด้วยคน”

                    ปิงที่กำลังผสมเครื่องดื่ม หันมามองโดยไม่พูดอะไร

                    “เฮียจะทำราดหน้าให้กิน แกบอกให้ออกมาอยู่กับปิง”

                    ปิงผินหน้าไปทางอีกทาง แล้วออกคำสั่ง “ไปนั่งตรงโน้น”

                    ผมมองตาม ด้านในสุดของเคาน์เตอร์มีเก้าอี้สตูลตั้งอยู่เกือบชิดผนัง ผมจึงเดินเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย

                    แม้จะเคยเห็นปิงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็กดำอย่างนี้มาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่จะได้มีโอกาสเห็นเขาในเวลาทำงานอย่างเช่นตอนนี้ ... มือขาวๆของปิงเทส่วนผสมลงในเช็คเกอร์แล้วเขย่าอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นานเครื่องดื่มสีฟ้าก็ถูกเทออกมาใส่แก้วทรงสูง

                    “อ้าวเมฆ มาไงเนี่ย?” สาวหมวยร่างเล็กเดินมาเกาะเคาน์เตอร์ ชะโงกหน้ามาทักทาย

                    “มาคุยธุระกับเฮียคิด” ผมยิ้มให้เธอ

                    เดือนยิ้มและพยักหน้าตอบก่อนจะหันไปหยิบแก้วเครื่องดื่มที่ปิงวางเตรียมไว้ให้บนเคาน์เตอร์ “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยกับปิง แล้วหันมาหาผม “ไม่เห็นแวะไปหาที่บ้านบ้างเลยน้า” เธอทิ้งประโยคนี้เอาไว้ก่อนจะเดินจากไปพร้อมเครื่องดื่ม

                    หยกคงจะรู้เรื่องที่ผมมาที่ร้านภายในไม่กี่นาทีหลังจากนี้ และผมก็มั่นใจว่าเดือนต้องรู้เรื่องที่ผมบอกเลิกหยกอย่างละเอียดแล้ว แต่ผมไม่ได้กังวลอะไร เพราะสำหรับผมแล้ว จบก็คือจบ

                    ปิงกำลังง่วนกับการทำความสะอาดเช็คเกอร์และเช็ดรอบๆอ่างที่ใช้สำหรับล้างแก้ว ร้านส่วนมากมักให้ เมเนเจอร์ทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ไปในตัว ...

                    ตั้งแต่เข้ามานั่งอยู่ตรงนี้ ผมยังไม่เห็นรอยยิ้มของปิงเลย

                    “นั่งไหม?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นปิงยืนนิ่ง หลังจากเก็บอะไรต่อมิอะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว

                    ปิงหันมายิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้า ... ปิงยิ้ม ... ยิ้มจริงๆ ในวินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพิเศษขึ้นมาทันที และหลังจากนั้นก็รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก จนต้องยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเอง ก้มหน้างุด

                    ผมเงยหน้าเมื่อได้ยินปิงเอ่ยทักทายใครสักคน ... เป็นลูกค้าที่โทรมาสั่งอาหารเอาไว้แล้วเข้ามารับด้วยตัวเอง ... ปิงยกถุงที่มีกล่องอาหารขึ้นวางบนเคาน์เตอร์ ยื่นใบรายการเพื่อให้ลูกค้าเช็คความถูกต้อง ... ลูกค้าจ่ายด้วยเงินสดและบอกกับปิงว่าไม่ต้องทอน ที่เหลือเขาให้ปิงเป็นทิป ปิงกล่าวขอบคุณ ลูกค้าก็กล่าวขอบคุณตอบ แถมคำชมอีกหลายประโยค ประมาณว่าอาหารอร่อย ฉันชอบมาก ไม่เคยผิดหวังสักครั้ง ตรงต่อเวลา บลาๆๆ และตบท้ายด้วย ยูสวยมากเลยรู้ไหม? ... ผมนั่งมองพฤติกรรมของคนทั้งสองด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ ... ตั้งแต่ลูกค้าเดินเข้ามา   ปิงมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าตลอดเวลา มีแม้กระทั่งอาการหัวเราะน้อยๆเมื่อลูกค้าชายคนนั้นเอ่ยชม ... ในนาทีนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กขี้อิจฉา ... ผมอยากได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนั้นจากปิงบ้าง

                    แต่เมื่อลูกค้าหันหลังเดินจากไป เขาก็เอารอยยิ้มของปิงไปด้วย ... ใบหน้าขาวกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง

                    “พี่เมฆ เฮียคิดให้มาบอกว่าราดหน้าเสร็จแล้ว” พนักงานชายคนหนึ่งเดินมาบอกผมที่หน้าเคาน์เตอร์ ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเชื่อตั้ม

                    “ขอบใจนะ” ผมพยักหน้า ยิ้มให้กับน้องตั้ม ... เขายิ้มตอบแล้วเดินไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน

                    บรรยากาศของพนักงานและเมเนเจอร์ในร้านนี้ช่างแตกต่างกับร้านที่ผมทำอยู่ พี่ดิวเป็นเหมือนพี่ชายใจดีของน้องๆในร้าน ส่วนปิงจะยิ้มก็ต่อเมื่อจำเป็น ผมจึงไม่เห็นใครกล้ามาพูดเล่นหัวกับปิงสักคน

 

                    เมื่อกินอิ่มแล้ว ผมอาสาเด็ดผักโหระพาช่วยอยู่ในครัว เพราะคิดว่าปิงคงไม่ชอบที่จะมีคนอื่นมาอยู่ในพื้นที่ของเขาในเวลางาน

                    ประมาณทุ่มกว่าๆ ปิงเข้ามากินราดหน้าที่เฮียคิดแบ่งเอาไว้ให้ ส่วนพนักงานคนอื่นๆก็แวะเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามากินกับข้าวที่แม่ครัวประจำของร้านเตรียมเอาไว้

                    สักประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆเฮียคิดก็กลับบ้าน เพราะจากนี้ลูกค้าจะเข้าน้อย แกจึงไม่จำเป็นต้องอยู่จนร้านปิด ยกเว้นก็แต่วันก่อนที่ปิงขอลาออกไปข้างนอก แกจึงต้องอยู่โยงเฝ้าร้านแทนปิง

 

                    ขณะที่เรากำลังเดินไปยังรถของผมที่จอดอยู่ ไอ้เนสก็โทรเข้ามา มันคงเพิ่งเลิกงานเหมือนกัน

                    “ว่าไงมึง?” ผมถามไปโดยไม่ต้องเอ่ยคำทักทายก่อน

                    /อยู่ไหนวะ?/

                    “มีไรวะ?” ผมกดรีโมทเพื่อปลดล็อคประตู

                    /มึงอยู่ข้างนอกเหรอ?/

                    “เออ มึงมีไรเนี่ย?” ผมเข้ามานั่งในรถ

                    /ไปไหนดึกดื่นวะ วันนี้มึงมีเรียนไม่ใช่เหรอ?/

                    “สัส มึงเป็นเมียกูหรือไง ซักจัง ... กูมารับพี่ปิงที่ร้าน” ผมหนีบโทรศัพท์เพื่อจะล็อคเข็มขัดนิรภัย แต่มันติด ปิงจึงช่วยดึงและใส่ล็อคให้ “ขอบคุณค้าบ” ผม                 บอกกับปิง

                    /อะไรของมึง?/

                    “เรื่องของกู” ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกไอ้เนสทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องระหว่างผมกับปิง

                    /พูดเพราะนะมึง หวานกันจริง พี่ปิงมึงไม่ขับรถเองเหรอวะ/

                    “มึงมีไรเนี่ย กูจะวางสายแล้วนะ จะขับรถ” ผมรีบตัดบทเพราะกลัวเสียงของมันเล็ดลอดออกมาให้ปิงได้ยิน ไอ้เนสใช่ว่าจะพูดเบาซะที่ไหน

                    /เดี๋ยว! กูจะถามมึงเรื่องงานเลี้ยงส่งไอ้น้องพีท ตกลงเอาวันไหนดีวะ?/

                    “เออ ... เดี๋ยวนะ กูถามพี่ปิงก่อน” เรื่องนี้ไอ้เนสกับไอ้จิวมันร่วมกันวางแผนกับไมค์ ผมไม่คิดว่ามันจะรักอาลัยอาวรณ์ไอ้พีทอะไรนักหนาหรอก ก็คงแค่หาเรื่องบันเทิงกินเหล้า

                    ผมหันมาหาปิง “ไอ้เนสมันถามเรื่องงานเลี้ยงส่งพีทน่ะ ปิงว่าวันไหนดี?”

                    “ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน” ปิงหันมาตอบ

                    “อืม งั้นเดี๋ยวค่อยคิดกันอีกทีก็แล้วกัน” ผมงึมงำ เพราะถ้าจะให้ตอบตอนนี้ก็คงยังไม่ได้ คงต้องกลับไปดูวันว่างเสียก่อน

                    ผมกลับไปคุยกับไอ้เนส “เดี๋ยวกูได้วันแล้วกูโทรไปบอก”

                    /เออๆ วันไหนกูก็สะดวกทั้งนั้น กูอยากแดกเหล้า/

                    “เชี่ยเอ๊ย ได้ข่าวว่าอยู่บ้านมึงก็แดกกับไอ้จิวแทบทุกวันไหม”

                    /กูอยากไปแดกบ้านมึงบ้าง/

                    “เออสัส แค่นี้ล่ะ กูจะขับรถ”

                    /เออ/

                    ผมวางสายไอ้เนส แล้วหันไปหาปิง “ขอโทษนะ”

                    “ถ้าว่างตรงกันก็มีแค่วันเสาร์นะ” ปิงเอ่ย

                    “พีทมันไปวันอาทิตย์สายๆ น่าจะโอเค” ผมเห็นด้วย “งั้นเดี๋ยวเมฆคุยกับพีทอีกที”

                    ผมสตาร์ทรถและเคลื่อนออกจากที่ตรงนั้น เมื่อจบบทสนทนาเรื่องงานเลี้ยงส่งพีท เราสองคนก็เงียบกันไป คล้ายกับว่าพวกเราไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของตัวเอง ความรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนเริ่มเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศภายในรถ

                    “คุณกรกลับแล้วเหรอ?” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามเรื่องที่อยากรู้

                    ปิงเงียบต่อไปสักครู่ก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้สิ”

                    “อ้าว ทำไมไม่รู้ เมื่อคืนอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”

                    ปิงถอนหายใจ เขาไม่ตอบคำถามของผมในทันที ผมพอเข้าใจว่าเขาอาจจะอึดอัดหรืออาจจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราคุยกันในเรื่องของคุณกร

                    “ไม่อยากตอบเหรอ?” ในความสัมพันธ์ระหว่างปิงและคุณกร แม้เราจะไม่เคยเอ่ยถึงมัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ว่ามันคืออะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราต่างเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน

                    “บอกให้เขากลับ แต่ไม่รู้ว่าเขากลับหรือยัง”

                    ผมไม่ได้หันไปมอง จึงไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆมีสีหน้าอย่างไร

                    “มีปัญหากันหรือเปล่า?”

                    “ก็ไม่เชิง”

                    “เรื่องภรรยาของเขาใช่ไหม?”

                    ปิงเงียบไป

                    “อยากเล่าไหม?” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้านั้นแว้บหนึ่ง “ถ้าอึดอัดก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่เมฆเป็นห่วงปิงนะ”

                    ปิงเงียบจนถึงบ้าน

                    เราต่างแยกย้ายกันเข้าห้องของตัวเอง

 

                    “เฮลโหลไมกี้” ผมเอ่ยทักทายเมื่อสัญญาณบอกว่าทางนั้นรับสายแล้ว

                    /What’s up bro?/ ไมค์ทักกลับมา

                    “จะแจ้งเรื่องวันเลี้ยงส่งพีทน่ะ”

                    /วันไหน?/

                    “วันเสาร์สะดวกที่สุด พวกพี่ๆไม่ต้องทำงาน นายว่าไง?” ส่วนไอ้จิวกับไอ้เนสผมไม่ห่วงพวกมัน เพราะถ้ามันอยากมามันก็จะทำตัวให้ว่างจนได้

                    /ก็ดีฮะ แต่พีทกลับวันอาทิตย์นะ/

                    “พี่จะคุยเรื่องนี้ล่ะ พี่ว่าจะชวนให้พีทมาค้างที่บ้าน แล้ววันรุ่งขึ้นพี่จะไปส่งที่สนามบินเอง”

                    /พี่ไม่ทำงานเหรอ?/

                    “ไม่ละ พรุ่งนี้จะไปลาออกจากร้านเดิม จะมาทำ delivery ที่ร้านพี่ปิง” จากตารางงานที่เหลือของอาทิตย์นี้ ผมเดาว่าถ้าพรุ่งนี้ผมขอลาออก พี่ปุ๊กคงตัดตารางผมทิ้งหมดทันที เผลอๆพรุ่งนี้จะเป็นการทำงานที่ร้านนั้นเป็นวันสุดท้ายของผม

                    /พี่จะให้พีทเก็บเสื้อผ้าไปด้วยเลยเหรอ?/

                    “ใช่ ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เดี๋ยวพี่ว่าจะคุยกับพีทหลังจากคุยกับไมค์นี่ล่ะ”

                    /ผมบอกให้ก็ได้/

                    “ไม่เป็นไร พี่บอกเอง เดี๋ยวพีทจะเกรงใจแล้วไม่ยอมมา”

                    /งั้นก็ได้ฮะ/

                    “เค ตามนี้นะ”

                    /ฮะ/

                    “งั้นแค่นี้ล่ะ บายไมกี้”

                    /Bye/

 

                    ผมวางสายกับไมค์แต่ยังไม่บอกกับพีทเรื่องงานเลี้ยง กะเอาไว้จวนจะถึงวันแล้วถึงจะบอก จะได้รู้สึกเซอร์ไพรส์กันนิดหน่อย

                     มีข้อความเข้า

                    หยก – เมฆจะลาออกเหรอ?

                    เดือนคงคุยกับคนในครัว แล้วไปรายงานหยก

                    ผม – ใช่

                    ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมต้องปิดบัง เพราะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปบอกกับพี่ปุ๊กอยู่แล้ว

                    หยก – ต้องหนีกันขนาดนี้เลยเหรอ

                    ผม – หนีอะไร?

                    หยก – รังเกียจหยกขนาดนั้น?

                    ผม – หยกเข้าใจผิดแล้ว

                    ผม – พี่ปุ๊กตัดตารางงานเมฆแทบจะไม่เหลือ พอดีร้านพี่ปิงเขาขาดเดลิด้วย

                    แม้เหตุผลที่ผมบอกไปจะไม่ทั้งหมด แต่มันก็คือความจริงในส่วนที่ผมจะสามารถอธิบายให้หยกรับรู้ได้

                    หยก – ไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าหยกใช่ไหม

                    ผม – ทำไมต้องหลบ แค่เปลี่ยนร้านทำงาน เมฆก็อยู่ที่เดิม ใช่ว่าจะเจอกันไม่ได้ที่ไหน

                    หยก – อยู่บ้านเดียวกัน แถมทำงานร้านเดียวกัน เมฆกะจะอยู่กับพี่ปิง 24 ชั่วโมงเลยเหรอ

                    ผมขมวดหัวคิ้วให้กับคำพูดของหยก ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการสื่ออะไร

                    ผม – เกี่ยวอะไรกับพี่ปิง

                    หยก – ถามตัวเองสิ

                    ผม – อะไร?

                    หยกอ่านข้อความแต่ไม่ยอมตอบ ผมรอสักครู่ แต่หยกก็ยังไม่ตอบ ผมจึงเลิกสนใจและไปอาบน้ำ ... ผู้หญิงมักพูดจาวกวนอ้อมค้อมทำให้เข้าใจยาก

 

                    เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ผมพบกับปิงที่โถงทางเดิน

                    “มีอะไรหรือเปล่า?” ผมเอ่ยถาม ดูเหมือนปิงจะเพิ่งเดินขึ้นบันไดมา

                    “...”

                    ปิงไม่ตอบ แต่ผมสังเกตเห็นในมือเขามีขวดแก้วใบเล็ก ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะเป็นยาเคลือบกระเพาะ

                    “ปวดท้องเหรอ?”

                    เขาพยักหน้า “ขวดเก่ามันหมดพอดี”

                    ปิงจะมียาขวดนี้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงประจำ และในตู้เย็นจะมียาน้ำสำหรับเคลือบกระเพาะชนิดนี้อยู่หลายขวด ผมเคยถามว่าเขาไปเอามาจากไหน เพราะยาแม้จะเป็นชื่อภาษาอังกฤษ แต่กลับมีฉลากภาษาไทยแนบติดมาด้วย ที่สำคัญมันจะเรียงกันอยู่ตรงประตูตู้เย็นไม่เคยพร่อง และคำตอบสั้นๆของปิงคือ “คุณกร”

                    จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ผมรับรู้ได้เองว่าคุณกรมีความสัมพันธ์อย่างไรกับปิง แม้ว่าผมจะเคยพบกับเขาที่บ้านนี้แค่ครั้งเดียว และเมื่อวันก่อนอีกครั้ง แต่ผมมั่นใจว่าในระยะเวลาเกือบ 2 ปีนี้ และก่อนหน้านั้นที่ผมยังไม่มาอยู่ที่นี่ ปิงและคุณกรคงพบกันมาตลอด

                    “ไหวไหม? ไปหาหมอไหม?” ผมนึกเป็นห่วง

                    “ไหว ไม่ปวดหนักขนาดนั้น” ปิงพูดแล้วทำท่าจะเดินจากไป

                    “ปิง ...” อะไรไม่รู้ทำให้ผมกล้าพอที่จะคว้าเอวของปิงแล้วดึงเข้ามา

                    ปิงมีสีหน้าตกใจ แต่คงเพราะไม่คาดคิด เขาจึงไม่มีโอกาสได้ขัดขืน ร่างบางของปิงจึงมาแนบชิดอยู่กับอกเปลือยเปล่าของผม ...

                    เพียงไม่กี่วินาที ดวงตาที่เบิ่งเพราะความตกใจเมื่อครู่กลับเปลี่ยนมาสงบนิ่งเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้นปิงก็ไม่ได้ดิ้นรนเพื่อที่จะให้หลุดไปจากอ้อมแขนของผม ... ดวงตายาวรีสีนิลจ้องใบหน้าผมโดยไม่กะพริบ ... ผมคลายอ้อมแขนออกโดยไม่ต้องรอให้ริมฝีปากแดงระเรื่อออกคำสั่ง

                    เมื่อปิงเป็นอิสระ เขาไม่ได้เดินจากไป แต่กลับทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน ... มือเรียวข้างหนึ่งของปิงวางทาบลงบนแก้มของผม

                    “อย่าเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่” ปิงเอ่ยเสียงเบา แต่กลับหนักแน่นในที

                    “แล้วปิงล่ะ ควรเอาตัวเองออกมาจากที่ๆไม่ควรอยู่ได้หรือยัง?” ถ้าสิ่งที่ผมคิดไม่ผิด ภรรยาของคุณกรคงไม่ยอมปล่อยให้สามีตัวเองมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เพราะเท่าที่ผมรู้มา ตัวเธอเองก็มีหน้ามีตาในวงสังคมไฮโซของเมืองไทยไม่แพ้คุณกร

                    “...”

                    ปิงปล่อยมือจากแก้มของผม ขวดแก้วใบเล็กถูกมือขาวทั้งสองข้างกำไว้จนแน่น ปิงก้มหน้า ผมยาวปล่อยปรก ไหล่บางห่องุ้ม ... ผมรั้งร่างนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก

 

                    ร่างบอบบางยืนนิ่งในอ้อมกอดของผม ความเงียบสงัดของค่ำคืนทำให้ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง และเพราะไหล่ของผมเปลือยเปล่า มันจึงรับรู้ถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลลงมาสัมผัส

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #54 เมื่อ22-06-2016 23:24:02 »

 :o12:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #55 เมื่อ23-06-2016 02:52:04 »

สารภาพค่ะว่าเก็บดองนิยายไว้เพื่ออ่านทีเดียวยาวๆ

คิดว่าคนเขียนคงถ่ายทอดบรรยากาศเรื่องนี้จากปากส่วนตัวเพราะได้บรรยากาศชีวิตของคนอยู่ต่างประเทศมากๆ  คนที่เพิ่งมาใหม่  นักเรียนกับงานพิเศษ  คนที่อยู่มานานทำงานธรรมดาไม่ได้ไต่เต้าความก้าวหน้าทางการงานตามบรรณษัทต่างๆ  ชีวิตแบบหยกกับแฟนเก่า ดูเรียลมากค่ะ

พีทรับเรื่องของแบมกับลูคัสได้ดีกว่าที่คิดก็อาจจะเพราะการค้นพบปิงดึงโฟกัสไปจากการมาจมกับความรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียจากแบม    ไม่แน่ใจว่าแบมรู้สึกผิดต่อพีทหรือว่าความรู้สึกเก่าๆที่เคยกับมีกับพีทตีกลับขึ้นมาอีกรอบ  บางครั้ง Out of sight ก็ out of mind ค่ะ แต่พอมาเห็นอีกครั้งก็ไม่แน่  ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็อาจจะมีส่วนระหว่างแบมกับลูคัส  แถม พีทเป็นผู้ชายที่น่ารักมากๆ  เชียร์ไมค์สุดตัวค่ะ

แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกำลังดูระบบสุริยจักรวาลอยู่  ที่มีปิงเป็นศูนย์กลาง  มีดาวอังคารอย่างกร   โลกอย่างเมฆ  Jupiterอย่างพีทแล้วแต่ละดาวเคราะห์ก็มีดาวดวงอื่นหมุนรอบๆอย่างหยก  แบม ไมค์  เป็นดวงจันทร์ อะไรแบบนี้

ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #56 เมื่อ24-06-2016 07:15:00 »

ก็สนุกดีนะคะเล่าเรื่องดีเลยค่ะ คือ อึดอัดแทนเมฆคือปิงแบบไม่พูดอ่ะ ส่วนไมค์จีบให้ติดนะลูก น้องพีทแลดูมีความสับสนทางความรู้สึก

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #58 เมื่อ26-06-2016 21:46:23 »

สารภาพค่ะว่าเก็บดองนิยายไว้เพื่ออ่านทีเดียวยาวๆ

คิดว่าคนเขียนคงถ่ายทอดบรรยากาศเรื่องนี้จากปากส่วนตัวเพราะได้บรรยากาศชีวิตของคนอยู่ต่างประเทศมากๆ  คนที่เพิ่งมาใหม่  นักเรียนกับงานพิเศษ  คนที่อยู่มานานทำงานธรรมดาไม่ได้ไต่เต้าความก้าวหน้าทางการงานตามบรรณษัทต่างๆ  ชีวิตแบบหยกกับแฟนเก่า ดูเรียลมากค่ะ

พีทรับเรื่องของแบมกับลูคัสได้ดีกว่าที่คิดก็อาจจะเพราะการค้นพบปิงดึงโฟกัสไปจากการมาจมกับความรู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียจากแบม    ไม่แน่ใจว่าแบมรู้สึกผิดต่อพีทหรือว่าความรู้สึกเก่าๆที่เคยกับมีกับพีทตีกลับขึ้นมาอีกรอบ  บางครั้ง Out of sight ก็ out of mind ค่ะ แต่พอมาเห็นอีกครั้งก็ไม่แน่  ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็อาจจะมีส่วนระหว่างแบมกับลูคัส  แถม พีทเป็นผู้ชายที่น่ารักมากๆ  เชียร์ไมค์สุดตัวค่ะ

แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องนี้เหมือนกำลังดูระบบสุริยจักรวาลอยู่  ที่มีปิงเป็นศูนย์กลาง  มีดาวอังคารอย่างกร   โลกอย่างเมฆ  Jupiterอย่างพีทแล้วแต่ละดาวเคราะห์ก็มีดาวดวงอื่นหมุนรอบๆอย่างหยก  แบม ไมค์  เป็นดวงจันทร์ อะไรแบบนี้

ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ

เป็นการอธิบายแผนผังความสัมพันธ์ที่เห็นภาพได้ชัดเจนจนคนเขียนเองยังต้องชื่นชมเลยค่ะ ... ขอบคุณที่ตัดสินใจคลิกเข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #22 [updated 22/6/2559]
«ตอบ #59 เมื่อ26-06-2016 21:47:30 »

ก็สนุกดีนะคะเล่าเรื่องดีเลยค่ะ คือ อึดอัดแทนเมฆคือปิงแบบไม่พูดอ่ะ ส่วนไมค์จีบให้ติดนะลูก น้องพีทแลดูมีความสับสนทางความรู้สึก

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด