#20 [MHEK]
เมื่อหลายวันก่อนผมคุยกับป๊าเรื่องจะซื้อรถ ที่ต้องคุยเพราะจำเป็นต้องยืมเงินจากเขาส่วนหนึ่ง เพราะเงินที่ผมเก็บได้เองคงซื้อได้แค่ล้อเท่านั้น ทีแรกป๊าจะไม่ยอมให้ยืม ไม่ใช่ว่าป๊างกหรืออะไร แต่คือเขาจะให้เฉยๆ เพราะตลอดชีวิตของผมก็แบมือขอเงินจากป๊ามาตลอด แต่เมื่อผมยืนยันว่าอยากซื้อรถคันนี้เอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วป๊าน่าจะภูมิใจกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นของผม เขาก็เลยยอมแพ้ ... ถ้าไม่มีโอกาสได้คุยกับไมค์ ผมคงไม่มีความคิดที่โตขึ้นอย่างนี้ ต้องขอบคุณไอ้เด็กเชื้อฝรั่งคนนี้จริงๆ
ผมคุยกับไมค์มาตลอดเรื่องรถ เพราะเรามีความสนใจเหมือนกัน เมื่อผมบอกมันไปว่าจะซื้อรถรุ่นไหน มันตื่นเต้นมาก ขอว่าวันที่ผมถอยรถออกมา ให้เอามาโชว์มันด้วย ผมจึงบอกว่าวันเสาร์จะได้รถ แล้วจะเอาไปอวด ไมค์จึงบอกมาว่าวันนั้นมันตั้งใจจะพาพีทไปเที่ยวสวนสนุก ผมจึงอาสาจะพาพวกมันไปเอง เพราะคาดว่าเรื่องรถน่าจะเสร็จก่อนเที่ยง เนื่องจากผมได้เข้าไปทำเรื่องเอกสารไว้แล้วบางส่วน
เมื่อวันพุธผมกลับมาจากมหาวิทยาลัย ตั้งใจจะชวนปิงออกไปกินข้าวข้างนอก เพราะวันนั้นเป็นวันหยุดของเขา แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับพบว่าประตูล็อคอยู่ ไม่รู้ว่าเขาไปไหน เพราะเมื่อเช้าตอนออกไปเรียน ยังได้ทักทายกันในครัวอยู่เลย ... หรืออาจจะไปซื้อของ? ... ผมส่งข้อความไปหา แต่มันไม่ถูกเปิดอ่าน ขณะที่ลังเลว่าจะโทรไปดีไหม ไอ้เนสก็โทรเข้ามาพอดี
/มึงเลิกเรียนยัง? แดกข้าวกัน/ เสียงตามสายกระแทกเข้าหูของผมทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้น
“ไม่ทำงานเหรอมึงอ่ะ?” ผมตอบกลับไป
/วันหยุดกู มึงเสือกจำไว้บ้างดิวะ/
“มึงสำคัญงี้?”
/สัส ไปๆแดกข้าว กูอยากกินเนื้อย่างเกาหลี เดี๋ยวกูไปรับ/
“กูว่าจะออกไปกินกับพี่ปิงว่ะ”
/เออ ก็ชวนพี่ปิงไปด้วยดิวะ/
“ไม่อยู่ว่ะ ไม่รู้ไปไหน ปกติวันหยุดไม่เคยไปไหนเลยนะเว้ย”
/เอ๊า ยังไม่กลับเหรอ?/
“กลับไหนวะ?” ผมไม่รู้ไอ้เนสมันหมายถึงอะไร งงกับมัน
/ก็เมื่อเช้ากูเห็นพี่ปิงของมึงมารับไอ้พีทถึงหน้าบ้าน/
“...” คำบอกเล่าของไอ้เนสทำให้ลมหายใจของผมกระตุก
/เห้ย! ห่า เงียบทำไมล่ะ ถ้าเขายังไม่กลับ มึงก็ไปกินกับกู/
“...” ปิงไปกับพีทเหรอ? ที่ไอ้เนสบอกคงหมายถึงยังงั้น
/กูว่าป่านนี้เขาคงกินข้าวเย็นด้วยกันแล้วมั้ง/
“...” ไปกันได้ยังไง?
/สัส เงียบอีก ยังอยู่ไหมเนี่ย?/
“เออ” ผมตอบไปสั้นๆ ตอนนี้ในหัวคิดแค่ว่าปิงออกไปกับพีทได้ยังไง
/เออ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มารอกูหน้าบ้านเลย/
“เออ” ผมตอบแล้วกดวางสายไปด้วยอาการมึนงง ปิงออกไปกับพีททำไมเขาไม่บอกผม แต่เมื่อคิดอีกที เขาจำเป็นต้องบอกผมด้วยเหรอ? แต่อย่างน้อยเมื่อเช้าที่เราเจอกันในห้องครัว เขาก็ควรจะเล่าให้ฟังบ้างว่าจะไปไหนกัน เพราะจะว่าไป ผมรู้จักกับพีทก่อนเขาเสียอีก ... นี่ผมกลายเป็นผู้ชายคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ?
ไอ้เนสจอดส่งผมที่หน้าบ้าน แสงไฟที่ระเบียงบอกให้รู้ว่าปิงกลับมาแล้ว แต่เมื่อเปิดเข้าไปในบ้าน ชั้นล่างกลับมืดสนิท ปิงคงอยู่ที่ห้องของเขา
ขาทำงานเร็วกว่าความคิด ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของปิง และสมองสั่งให้ผมยกมือขึ้นเคาะประตู รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก
ปิงที่สวมกางเกงนอนลายทางกับเสื้อยืดย้วยๆ มองหน้าผมโดยไม่เอ่ยถามคำใด แต่ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่ต้องพูดอะไรออกไปสักอย่างในตอนนี้
“กลับมาแล้วเหรอ?” ผมโพล่งออกไป
ปิงกะพริบตาช้าๆ ... โอเค ผมรู้ว่าคำถามของผมมันไม่เข้าท่า
“เออ หมายถึงจะถามว่าทำอะไรอยู่?” ผมแก้ตัวใหม่ หลบเลี่ยงสายตามองเลยเข้าไปยังห้องนอนของเขา และก็พบว่าบนเตียงนอนของปิงมีกล่องหนึ่งใบและภาพถ่ายที่วางเกลื่อนกระจัดกระจาย
ปิงไม่ตอบ คำถามของผมคงยังใช้ไม่ได้
“วันเสาร์อย่าลืมไปรับรถด้วยกันนะ” ผมพยายามอีกครั้ง
“นายบอกแล้ว” น้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าระอาของปิงทำให้ผมเริ่มรู้สึกอาย
“เออ จริงด้วย” ผมหัวเราะแหะๆแก้เก้อ “งั้น ฝันดีนะ” ผมยกมือลา แล้วเดินกลับห้อง รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหี้ยๆ
เมื่อไม่กล้าถามเอาความจริงจากปิง ผมจึงหันไปทางพีท
ผม – โย่!! วันนี้ไปไหนมาไอ้คุณหนู ...
พิมพ์แล้วแต่ไม่ได้ส่ง ผมลบมันทิ้งไป แล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างที่นอน คว้าผ้าห่มมากอด ... รู้สึกสะเทือนใจ นี่ผมกำลังทำตัวเหมือนพวกเมียๆที่กำลังตามสืบว่าผัวไปติดหญิงที่ไหนอยู่งั้นเหรอ? ... เศร้าสัสๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม!
วันพฤหัสฯและวันศุกร์ผมมีเรียนตอนเช้าและทำงานชิฟต์บ่าย ปิงเองก็ทำงาน ทำให้เราแทบไม่ได้เจอหน้ากัน มีแค่เพียงแสงไฟที่ส่องสว่างตรงหน้าต่าง ที่ทำให้รู้ว่าเพื่อนร่วมบ้านของผมยังอยู่
ผมไม่อยากคิดว่าปิงพยายามหลบหน้า แต่ก็อดคิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่คืนนั้นที่เขาเมามาย เราแทบจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันที่ห้องดูทีวีเลย ทั้งๆที่คืนวันศุกร์มีรายการโปรดของเขาแท้ๆ แต่เพราะผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา ยังไงคืนนี้ก็คงต้องบุกไปถึงห้อง
ผมอาบน้ำอย่างรีบเร่งเพราะกลัวปิงจะหลับไปเสียก่อน แต่ถ้าไม่อาบก็เกรงว่ากลิ่นอาหารที่ติดตามเนื้อตัวมาจากร้านจะทำให้ห้องหอมๆของปิงแปดเปื้อน ... ผมเป็นผู้ชายละเอียดอ่อนสินะ หม่าม้าคงภูมิใจ …
เมื่อหอมสดชื่นแล้ว ผมจึงไปยืนอยู่หน้าห้องของปิง บรรจงเคาะหลังมือลงบนประตู
“ปิง นอนหรือยัง?”
เพียงอึดใจเดียวประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปิงในกางเกงนอนลายอุลตร้าแมนและเสื้อยืดย้วยสีขาว แต่สิ่งที่แปลกตาไปคือแว่นตาที่ผมเคยเห็นเขาสวมแค่ไม่กี่ครั้ง เขาขมวดปมที่หัวคิ้ว
“พรุ่งนี้เมฆรับปากไมค์ไว้ว่าได้รถแล้วจะขับไปให้ดู” ผมรีบเอ่ยขึ้น เพื่อให้เขารู้ว่าผมมีธุระมาคุยด้วย
ปิงพยักหน้ารับรู้
“ทีนี้ไมค์มันตั้งใจจะพาพีทไปคิงส์โดมิเนี่ยน แต่ก็อยากลองนั่งรถเรา ... เราก็เลยบอกไปว่าจะพาไป คือ พาไปคิงส์โดมิเนี่ยนน่ะ” ผมอธิบายรวดเดียวจบ ในใจก็ลุ้นว่าปิงจะแสดงอาการยังไง
ปิงเพียงพยักหน้ารับรู้เช่นเคย
“ไปด้วยกันนะ” ผมรวบรัดเข้าประเด็น
“อือ”
คำตอบสั้นๆง่ายๆของปิงทำเอาผมแปลกใจจนต้องทำตาโต ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ ความใจดีของปิงทำให้ผมได้ใจ อยากอยู่ตรงนี้นานอีกสักหน่อย จึงหาเรื่องชวนเขาคุย
“นี่นอนไปหรือยัง เมฆมากวนหรือเปล่า?”
“ยัง” ปิงตอบสั้นๆ แต่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะถ้าปิงไม่อยากคุย เขาจะไม่ตอบ
“ทำไรอยู่เหรอ? ไม่เห็นลงไปดูรายการโปรด”
“อ่านหนังสือ”
“หนังสืออะไร?” ผมชะโงกหน้า มองข้ามไล่ของปิงเข้าไปในห้อง เห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง
“อยากรู้จริงๆ?” ปิงเลิกคิ้ว ปล่อยมือที่เกาะอยู่บนขอบประตู แล้วยกขึ้นกอดอก
“แฮร่ๆๆ” ผมหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน มีเหรอที่คนอย่างปิงจะไม่รู้ว่าผมพยายามหาเรื่องคุยกับเขา “งั้นไปนอนละ” ผมยอมล่าถอย
“ฝันดี”
ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำสองคำของปิง ใช่ว่าจะได้ยินกันง่ายๆซะทีไหน
“ฝันดีพี่ปิง”
ผมยืนรอจนประตูถูกปิดลง แล้วทอดถอนใจ ... ริมฝีปากที่เอ่ยคำว่าฝันดีนั้น ... น่าจูบชะมัด
ผมตื่นแต่เช้าเพราะนัดเซลล์คนที่ดูแลเรื่องรถไว้ตอน 9 โมงตรง การซื้อขายของผมไม่ยุ่งยากนัก เพราะผมจ่ายเป็นเงินสดทีเดียวหมด
เมื่อลงมาชั้นล่าง ก็พบว่าปิงกำลังจิบกาแฟอยู่หน้าทีวี
“มอร์นิ่ง” ผมเอ่ยทักแล้วเดินเข้าครัวเพื่อชงกาแฟให้กับตัวเองบ้าง ตอนนี้ยังมีเวลานิดหน่อย
“มีแซนด์วิชบนโต๊ะ” เสียงปิงลอยตามมา
“โอ๊ะ แต๊งกิ้วครับ” ผมหันไปยิ้มให้จานแซนด์วิชบนโต๊ะอาหาร ... พี่ปิงใจดีอีกแล้ว
เราเสร็จเรื่องรถราวๆ 11 โมง เฮียคิดใจดีแวะมาดูรถกับผมด้วย แกเป็นอีกคนที่ให้คำปรึกษากับผมจนทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
ผมส่งข้อความบอกไมค์ว่าไม่เกินชั่วโมงจะไปถึง เพราะต้องแวะเอารถของปิงไปเก็บที่บ้านก่อน
เมื่อไปถึง ไมค์และพีทนั่งรออยู่หน้าบ้าน มีตัวพ่วงคือไอ้เนส ... ผมเปิดประตูรถลงไป ไมค์ก้าวยาวๆมาถึงข้างรถก่อนใคร แต่เสียงไอ้เนสดังสุด
“สาส” ไอ้เนสลากเสียงยาว “หล่อโคตรๆ” มันเข้ามาลูบกระโปรงรถผม
“Damn cool อ่ะพี่!!” ไมค์เดินวนรอบรถ
“สวัสดีครับ” พีทยกมือไหว้ปิงที่ยืนอยู่ข้างหลังของผม แล้วหันมาไหว้ผมอีกที “รถหล่อมากพี่เมฆ”
ผมยิ้มด้วยความภูมิใจและยักคิ้วตอบ
“Let’s go กันเถอะ อยากลองนั่งแล้ว” ไมค์ถูมือไปมา หน้าหล่อๆตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“ไปไหนกัน?” ไอ้เนสพี่เดินลูบรถผมไปรอบๆ เงยขึ้นมาถาม
“Kings Dominion!” ไมค์หันไปบอกด้วยเสียงอันดัง เหมือนเด็กที่กำลังโอ้อวด
“เห้ย! ได้ไงวะ ไปโดยไม่ชวนกูได้ไง?” ไอ้เนสโวย
“ห่า กูจะรู้ไหมว่ามึงว่าง” ตารางการทำงานของมันไม่แน่นอน ตั้งแต่มีเด็กเส้นเข้ามาทำงานในร้าน มันก็โยกตารางงานของมันเปลี่ยนไปเรื่อย ผมว่าอีกไม่นานมันคงลาออกจากร้านนี้
“มึงก็ควรชวนกูก่อนไหมสัส” มันเดินมายืดตัว ยื่นแขนขึ้นตบหัวผม ... ไอ้เนสมันเตี้ย มันบอกว่ามันสูง 175 แต่ผมว่า 170 ก็นับว่าโกงขั้นสุดแล้ว
ผมหันไปมองหน้าปิงเพื่อขอความคิดเห็น เขายักคิ้วหนึ่งข้าง เป็นอันว่าผ่าน
“เออ อยากไปก็ไปดิวะ” ผมตบหัวไอ้เนสคืน
“Go go go!!” ไมค์พูดพลางเปิดประตูรถด้านหลัง เร็วพอๆกับไอ้เนสที่เปิดประตูอีกฝั่ง ส่วนไอ้คุณหนูพีทหัวเราะอย่างเดียว เมื่อเห็นคนอื่นเข้าไปนั่งในรถ มันจึงก้าวตามเข้าไป
ผมหันไปส่งยิ้มให้กับปิง ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้าข้างๆที่นั่งของผม
Kings Dominion อยู่ห่างจากวอชิงตันดีซีราวๆ 80 ไมล์ เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าจะมาถึง เพราะที่อเมริกากฎการจราจรของเขาเคร่งครัดกว่าบ้านเรา ถ้าเหยียบเกินสปีดลิมิตเมื่อไหร่ คุณก็รอรับ ticket ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านได้เลย
ระหว่างทางไมค์คุยเรื่องรถกับผมด้วยความตื่นเต้นโดยมีไอ้เนสแทรกมาเป็นระยะ พีทมีหน้าที่หัวเราะไปตามจังหวะปล่อยมุกของไอ้เนส ส่วนคนที่นั่งข้างๆผม เงียบมาตลอดทาง แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าปิงอารมณ์ดี เพราะมีบางครั้งที่ปิงหัวเราะเบาๆกับมุกเบรคกันของไอ้เนสกับไมค์
สวนสนุกที่นี่เป็น Theme park ที่มีความหลากหลาย ทั้งเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีม สวนน้ำ ไดโนเสาร์ การแสดง ร้านอาหาร ร้านค้า และโชว์อีกมากมายที่เปลี่ยนไปตามเทศกาล เพราะฉะนั้นคนที่มาที่นี่จึงมีทุกเพศทุกวัย ไม่ได้เน้นแค่เด็กๆหรือวัยรุ่น
พีทและไมค์ดูจะสนุกที่สุด พวกมันเล่นเครื่องเล่นแทบทุกชนิด คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นไอ้เนส มันเล่นไปแค่ไม่กี่อย่างก็อ้วกแตก ถึงกับต้องมานั่งแผ่ ปล่อยให้เด็กหนุ่มๆเขาเอ็กซ์ตรีมกันต่อ
แต่คนที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุดคือปิง ผมไม่เคยคิดว่าคนที่นิ่งๆเงียบๆดูเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาจะยอมเล่นเครื่องเล่นประเภทนี้ ทีแรกที่พีทชวนให้ขึ้น Anaconda ปิงเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อพีทคว้ามือปิงขึ้นมาจับแล้วพยักหน้า ปิงก็เดินตามไปแต่โดยดี ... ผมกับไมค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าไมค์กำลังคิดอะไร เพราะแม้แต่ความคิดของผมเอง ผมยังไม่รู้เลย
เพราะไอ้เนสพ่ายแพ้ต่อ Anaconda ผมจึงต้องมานั่งเป็นเพื่อนมัน ปล่อยให้ 3 คนนั้นสนุกนำไปก่อน
“ไหวไหมวะมึง?” ผมตบไหล่ไอ้เนสที่ตอนนี้หน้าเหลืองอย่างกับไก่ต้ม
“ไหวดิ กูแค่แพ้แดด” มันยกกระป๋องโค้กขึ้นซด
“แพ้แดดแล้วมึงอ้วกด้วยงี้?” ผมแซวมัน
“เออ สัส มึงอยากล้อก็ล้อไป” มันวางกระป๋องโค้กลงแล้วหยิบทิชชู่ขึ้นซับเหงื่อ
“เออๆ กูไม่ล้อหรอก กูออกจะห่วงมึง นี่กูอุตส่าห์มานั่งเป็นเพื่อน” ผมตบไหล่มัน
“กูซึ้งเหี้ยๆ แม่ง” มันทำท่าฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ขัดกับคำพูด
ผมหัวเราะให้กับท่าทางของมัน
“พี่ปิงมึงท่าทางสนุกโนะ ตั้งแต่รู้จักเขามา กูเพิ่งได้ยินเขาหัวเราะเสียงดังเหมือนคนปกตินี่แหละ” ไอ้เนสเอ่ยขึ้น ทำให้ผมต้องมองตามสายตาของมัน ...
ไกลออกไปหลายเมตรตรง Drop Tower พวกเขา 3 คนกำลังเดินตรงมายังทิศทางที่พวกผมนั่งอยู่ ไมค์กำลังพูดอะไรสักอย่าง แล้วพวกเขาก็หัวเราะ รวมทั้งปิงด้วย อยู่ๆพีทก็ถอดหมวกที่อยู่บนหัวตัวเองออก แล้วสวมไปบนหัวของปิง ปิงชะงักเท้า พีทจึงหยุดเพื่อหันไปจัดหมวกให้เข้าที่ ส่วนไมค์แค่หันไปมองแล้วก้าวเดินต่อ
“พี่ปิงของมึงนี่เป็นป่าววะ?” เสียงไอ้เนสแทรกขึ้นมา ทำให้ผมละสายตาจากภาพข้างหน้าแล้วหันมามองหน้ามันแทน
“เป็นไรวะ?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจความหมายที่มันจะสื่อ
“ก็เป็นอย่างว่า มึงดูดิ กูว่าไอ้พีทแม่งชอบพี่ปิงว่ะ” มันพยักเพยิดไปยังภาพที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา
“เป็นเหี้ยไรล่ะ มึงหมายความว่าไง?”
“ห่า มึงอยู่บ้านเดียวกันมาจะ 2 ปีละ เสือกทำเป็นไม่เข้าใจ ใครๆเขาก็ว่าพี่ปิงแม่งเป็นทั้งนั้น” ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้เนสหมายถึงอะไร ... จริงๆแล้วผมก็เคยได้ยินเข้าหูมาเหมือนกันว่ามีคนพูดถึงผู้จัดการร้านเฮียคิดว่าเป็นเกย์ บางคนถึงกับนินทาว่าที่ปิงได้กรีนการ์ดจากร้านนั้นทั้งๆที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นาน เพราะมีอะไรกับเจ้าของร้าน ซึ่งผมว่ามันไร้สาระ จึงไม่ได้สนใจ ... อีกอย่างหนึ่ง ผมเองก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และใครเป็นใคร
แต่สิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจของผมอยู่ในตอนนี้ คือท่าทีของพีทที่มีกับปิง และความมีชีวิตชีวาของปิงเมื่อมีพีทอยู่ด้วย ... ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในใจ ผมเคยคิดว่าผมคือคนเดียวที่ได้เห็นและสัมผัสปิงในมุมที่คนอื่นไม่เคยรู้เคยเห็น มันเป็นความภูมิใจของผมไม่น้อย แต่ตอนนี้คนที่ทำให้ปิงหัวเราะได้เสียงดัง กลับเป็นพีท ไอ้คุณหนูที่ปิงเพิ่งรู้จักเพียงไม่กี่วัน
พวกเรากลับออกมาจากสวนสนุกแล้วแวะร้านอาหารที่เน้นขายปูและอาหารทะเลโดยเฉพาะ โดยไอ้เนสเป็นคนเลือกร้าน เหตุผลสั้นๆเพราะมันอยากกินและทุกคนก็ไม่ขัดเพราะต่างก็ไม่มีไอเดียกันอยู่แล้ว
“แล้วจะกลับไทยเมื่อไหร่น้องพีท?” ไอ้เนสเอ่ยถามขณะที่มันหยิบปูไปกองไว้ตรงหน้า
“18 มิถุนาครับ” พีทตอบขณะที่กำลังเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาวางกุ้งที่แกะแล้วบนจานของปิง
“ขอบใจ พี่แกะเองได้” ปิงเงยหน้าขึ้นจากจานตรงหน้า
ผมเหลือบหางตามองกุ้งที่วางอยู่บนจานของปิง ... เด็กอนุบาลก็คงมองออกว่าไอ้พีทมันคงไม่เคยแกะกุ้งกินเองมาก่อน ... ยับเยินซะขนาดนั้น
“ถ้าชอบแกะ ก็แกะให้ฉันกิน” ไมค์เขี่ยกุ้ง 3-4 ตัวไปไว้ตรงหน้าพีท
พีทมองที่กุ้งแล้วมองหน้าไอ้ไมค์ “อยากกินนายก็แกะเองสิ”
“แกะ!!” ไมค์จับกุ้งวางกระแทกลงบนจานของพีท
ผมเริ่มหวั่นใจว่ามันจะวางมวยใส่กัน เพราะสีหน้าของทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้กำลังหยอกเย้ากันเล่น แต่แล้วเสียงสวรรค์ก็มาช่วยผ่อนผันสถานการณ์ลง
“ไมค์ชอบกินกุ้งเหรอ? เดี๋ยวพี่แกะให้” เสียงนุ่มๆของปิงแทรกขึ้นมา กุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามถูกยื่นข้ามฝั่งไปวางบนจานของไมค์
“ขอบคุณฮะ แต่ไม่เป็นไร” ไมค์เอ่ยขอบคุณปิงแต่ทำหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วมันก็กระทุ้งศอกใส่แขนไอ้พีทที่นั่งอยู่ข้างๆ “นายมันไม่ได้เรื่อง!”
“อะไรของนาย!” พีทกระแทกกลับคืนบ้าง
“เอ้าๆ พวกมึงทะเลาะกันไป กูจะกินให้หมดเลย” ไอ้เนสเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
“ปิงแกะให้เมฆสิ” ผมหันไปบอกปิง อยากจะปลอบที่เขาถูกไมค์ปฏิเสธน้ำใจ
ปิงหันมามองหน้าผมนิ่งๆ แต่แค่อึดใจเดียวกุ้งที่ถูกแกะอย่างสวยงามก็ถูกวางบนจานของผม ... ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ... ผมหยิบขึ้นมากินอย่างมีความสุข รู้สึกถึงชัยชนะเหนือใครๆในโต๊ะ
ส่วนไอ้เด็กสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยังคงไม่เลิกกระแทกกระทุ้งกันกลับไปกลับมา
“นายกล้าขัดใจฉันหรือไง?” ไมค์บ่นขณะที่ใช้ค้อนเล็กๆทุบลงไปบนก้ามปู “โอ้ย!” แล้วอยู่ๆมันก็ร้องออกมา
ทุกคนหันไปมองมันเป็นตาเดียว แต่คนที่เอ่ยถามขึ้นมาคนแรกคือไอ้พีท
“เป็นไร? เข้าตาไหม?” พีทจับหน้าของไมค์ที่ตอนนี้กำลังหลับตาปี๋ เพราะตอนที่มันทุบก้ามปู ผงที่โรยมาบนตัวปูคงกระเด็นเข้าตามันพอดี
ไมค์สะบัดหน้าหนี ไอ้พีทจึงบีบคางมันเอาไว้แล้วบังคับให้ไอ้ไมค์หันมาทางมัน ... ไอ้คุณหนูหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาปัดๆบริเวณหัวตาให้ไอ้เด็กเชื้อฝรั่ง
“ลองลืมตาดูสิ” มันออกคำสั่ง ไอ้ไมค์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย “แสบไหม?” พีทถามย้ำพร้อมซับน้ำตาที่ซึมออกมาจากหัวตาให้ไมค์
ไมค์ส่ายหน้า แล้วก้มหน้างุด มันหยิบค้อนจะมาทุบก้ามปูต่อ แต่ถูกพีทแย่งทั้งค้อนทั้งปูมาถือเอาไว้
“มานี่ เราแกะให้” ไอ้พีทเอ่ย มันทุบก้ามปูด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ
ไอ้คนนั่งข้างๆจึงดึงกลับคืนไป “ฉันแกะเอง”
เพียงครู่เดียวเนื้อปูขาวๆก็ถูกแกะออกมา ไมค์วางมันลงบนจานของพีท แล้วออกคำสั่งสั้นๆ “กิน”
พีทหยิบปูขึ้นมากินอย่างว่าง่าย ... เป็นอันว่าสงครามฝั่งนั้นก็จบลงอย่างสงบ โดยมีเสียงของไอ้เนสพึมพำอยู่ข้างๆผม “แม่ง กูนึกว่าผัวเมียทะเลาะกัน”
พวกเราออกมาจากร้านอาหารราวสามทุ่มกว่าๆ จากร้านนี้เราจะผ่านบ้านของผมก่อน ปิงจึงขอให้ผมแวะส่งเขาที่บ้าน ก่อนจะเลยไปส่งพวกไอ้เนส
ผมเลี้ยวเข้าจอดตรงริมฟุตบาตรหน้าบ้าน เมื่อทุกคนด้านหลังรถร่ำลากันเรียบร้อย ปิงก้าวลงจากรถ โดยมีไอ้เนส สลับจากข้างหลังเพื่อมานั่งข้างๆผมแทน
ผมมองตามร่างบางของปิงเพื่อรอให้เขาเข้าบ้านและเปิดไฟให้เรียบร้อยเสียก่อน แต่เมื่อปิงเดินไปเกือบถึงบันได ร่างของใครบางคนที่คงนั่งรออยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นยืน
จากแสงไฟริมถนน แม้จะไม่สว่างจ้ามากนัก แต่ผมก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกับปิงคือใคร ...
ผมกลับถึงบ้าน ไฟตรงระเบียงถูกเปิดเอาไว้ เมื่อมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องนอนของปิง กลับมืดสนิท ... ไฟในบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ 1 หลอดตรงโถงบันได
ผมก้าวขึ้นบันได ลังเลว่าจะไปเคาะห้องของปิงดีไหม และแล้วความกังวลบางอย่างในใจก็นำพาผมไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนของปิง ... ผมเคาะประตูแล้วยืนรอ ภายในห้องเงียบกริบ
“ปิง” ผมเอ่ยเรียกพร้อมเคาะอีกรอบ ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมา ผมจึงลองขยับลูกบิดดู ... มันไม่ได้ล็อก เมื่อผลักบานประตูเข้าไป ภายในห้องมืดสลัว แสงไฟจากริมถนนส่องเข้ามาทางช่องกระจกเหนือหน้าต่าง ทำให้มองเห็นว่าภายในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ผ้าห่มยังคลุมอยู่บนเตียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ผมปิดประตูลงและเดินกลับห้องของตัวเอง เมื่อเข้ามานั่งบนเตียงด้วยความร้อนใจ บางอย่างสั่งให้ผมกดโทรออกเบอร์ของปิง ... เขาไม่รับสาย นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนรน จึงโทรออกไปอีกครั้ง ... เสียงเรียกเข้าดังอยู่นาน แต่ในที่สุดปลายสายก็ตอบกลับมา
/เฮลโหล/ เสียงของปิง
“อยู่ไหน?” ผมถามกลับไปโดยไม่สนใจที่จะทักทาย
ปิงเงียบไปสักครู่ก่อนตอบ /แถวๆแฟร์แฟ็กซ์/
“อยู่กับใคร?” ผมถามทั้งๆที่มีคำตอบอยู่ในใจ
/คุณกร/ น้ำเสียงของปิงฟังแผ่วลงเมื่อเอ่ยชื่อของคนๆนั้น
“จะกลับหรือยัง? เมฆจะออกไปรับ” ความรู้สึกร้อนรนภายในคล้ายจะโหมแรงขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้
ปิงเงียบไปอีกครั้ง
“อยู่ตรงไหน เมฆจะออกไปรับ”
/คืนนี้ไม่กลับ/
คำตอบของปิงเหมือนมีใครเอาไฟมาจี้ที่กลางใจ
“มีอะไรหรือเปล่า?” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงให้นิ่ง
/เมฆ ... คุณกรไม่ใช่เพิ่งจะเคยมา/
“...”
/ไม่ต้องเป็นห่วง/
“...”
คำตอบของปิง ล้วนเป็นสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังดิ้นรนที่จะก้าวล้ำเข้าไปในเขตอันตราย ที่มันจะทำให้เจ็บ
/เมฆ .../ เสียงเรียกชื่อของผมที่ดังมาจากปลายสาย เหมือนกำลังเตือนให้รู้ว่า ผมเป็นใคร ...
“อือ” ผมส่งเสียงตอบ ในลำคอขณะนี้คล้ายมีก้อนบางอย่างจุกจนตีบตัน
/ขอบใจนะ/
เมื่อเสียงของปิงเงียบลง สัญญาณตัดสายก็ดังขึ้น
ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว ...
ในอกหนักอึ้งและปวดแปลบ ความรู้สึกเหมือนกำลังอกหัก ... แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ...