The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]  (อ่าน 15152 ครั้ง)

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
«ตอบ #60 เมื่อ29-06-2016 22:27:39 »

# 23 (PETE)

 

                     เมื่อก้าวออกมาจากประตู ไมค์มายืนรอที่หน้าบ้านอยู่แล้ว

                    “เฮ้” ผมยกมือขึ้นทักทาย

                    “Hi” ไมค์ทักตอบ แต่แล้วเราทั้งสองต่างคนต่างยืนนิ่ง

                    ผมยกมือลูบท้ายทอย เหลือบตาไปมองต้นไม้ริมถนน ไม่ใช่เพราะไม่อยากมองหน้าเขา แต่เพราะวันนี้ไมค์หล่อมาก ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกเซ็ตให้ยุ่งๆนิดหน่อยทำให้ใบหน้าคมมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น และเพราะเผลอไปมองริมฝีปากที่เกือบจะจูบผมเมื่อวาน มันทำให้ลมหายใจสะดุด จนต้องเฉไฉไปมองที่อื่น

                    “ไปกันยัง?” ไมค์เอ่ยขึ้น

                    “ไปสิ” ผมพยักหน้า

                    ไมค์ล้วงมือเข้าในกระเป๋าเสื้อแขนกุดแบบมีฮู้ด วันนี้เขาสวมกางเกงยีนส์ ซึ่งผมได้เห็นแค่ไม่กี่ครั้งนอกจากเวลาไปวัดกับคุณย่า ไมค์ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะก้าวเดินนำหน้าไป

                    ระหว่างอยู่บนบัส ไมค์คุยเรื่องเพื่อนในโรงเรียนให้ฟัง ผมรู้สึกเหมือนเขาพยายามหาเรื่องมาเล่า เพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเราเงียบและอึดอัด หลายครั้งที่ผมเผลอมองริมฝีปากของไมค์โดยไม่ได้ตั้งใจ คงเพราะคำพูดที่บอกว่าเขาอยากจูบผมมันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา

 

                    เรานัดเจอแบมที่ห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งใหญ่กว่ามอลล์ที่เคยไปครั้งก่อน ที่นี่มีร้านค้ามากมายหลายยี่ห้อ คล้ายๆกับ outlet ที่ผมเคยไปกับพี่ปิง แต่แบมบอกว่าสินค้าในร้านที่นี่จะเป็นตัวที่ออกมาใหม่และแพงกว่าและส่วนมากจะไม่มีขายใน outlet

                    พวกเราเดินดูสินค้าอย่างไม่จริงจังมากนัก ไมค์ที่เคยพูดมากเวลาอยู่กับแบม วันนี้กลับเงียบขรึมผิดปกติ แบมเองก็ดูเหมือนจะยังไม่กล้าสู้หน้าผมสักเท่าไหร่ ... บางทีผมก็คิดว่าเรามากันทำไม?

                    เราเดินวนขึ้นไปทีละชั้น แบมคว้ามือไมค์เลี้ยวเข้าร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นยี่ห้อหนึ่งซึ่งขณะนี้กำลังลดราคา 30-50% ขณะที่แบมจับเสื้อตัวนั้นตัวนี้ขึ้นมาทาบ สร้อยที่ข้อมือกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ผมดีใจที่เธอยังไม่ถอดมันออก ... เธอใช้เวลาอยู่ในร้านนั้นพอสมควร ผมกับไมค์เองยังได้เสื้อยืดกันคนละตัว

                    “แวะร้านนี้หน่อย” ไมค์หันมาบอก เมื่อพวกเราเดินมาถึงหน้าร้านนาฬิกายี่ห้อหนึ่ง

                    “เอาสิ” แบมพยักหน้าแล้วคล้องแขนไมค์ให้เลี้ยวเข้าไปในร้าน

                    ผมเดินตามเข้าไปด้วยความสนใจ นาฬิกายี่ห้อนี้ผมอยากได้มานานแล้ว แต่ราคามันสูงเอาการ จึงยังไม่กล้าเอ่ยปากขอกับแม่ คิดว่ารอให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วจะเอาเกรดดีๆไปแลก

                    ไมค์กับแบมเกาะอยู่ที่ตู้ๆหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะมีรุ่นที่สนใจอยู่ ผมจึงเดินแยกออกมาเดินดูไปรอบๆ แต่ละเรือนที่วางอวดโฉมอยู่ในตู้กระจกใสปิ๊ง ละลานตาจนแทบใจละลาย ถ้าไอ้ม่อกและแก๊งมาเห็น พวกมันคงร้องโหยหวน เพราะที่พวกผมเคยโฉบไปดูในห้างแถวบ้านนั้นเทียบไม่ติดเลย

                    พนักงานขายเข้ามาทักทาย ขณะที่ผมกำลังอ้าปากหวอกับความเท่ของรุ่นใหม่ล่าสุด ผมประหม่าและไม่รู้จะตอบว่ายังไง อยู่ดีๆสกิลภาษาอังกฤษของผมก็ป่วยขึ้นมากะทันหัน จึงทำได้แค่ยิ้มแหยๆให้กับเขา

                    เขาเอ่ยต่ออีก 2-3 ประโยค ถ้าแปลไม่ผิด น่าจะถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมและกำลังดูรุ่นไหนอยู่ ผมจึงตอบไปแบบตะกุกตะกัก “I..I’m with my friends.” ผมตอบพลางชี้นิ้วไปทางไมค์กับแบมที่อยู่อีกฟากของร้าน

                    แบมหันมาพอดี เธอยิ้มให้ แล้วเดินมาหา “พีทสนใจเรือนไหนเหรอ?”

                    “ก็เปล่า ดูไปเรื่อยๆ” จากราคาที่เห็น นับว่าถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยมาก แต่เพราะผมใช้เงินกับการมาที่นี่ไปไม่น้อย จึงพยายามใช้จ่ายเฉพาะเรื่องที่จำเป็น ... แต่เรือนที่วางอยู่ตรงหน้านี่ก็สวยยั่วใจจริงๆ

                    “ของที่นี่บางอย่างถูกกว่าซื้อที่เมืองไทยมากเลยนะ” แบมทำสีหน้าเหมือนพยายามยุให้ผมซื้อสักเรือน

                    “อือ ... ก็จริงแหละ” ผมเริ่มลังเล

                    “ไม่ได้มาบ่อยๆน้า” แบมยังสนับสนุน

                    “อย่ายุดิ”

                    “เอ๊า ก็เราไม่อยากให้พีทต้องมาเสียดายทีหลังไง”

                    “อย่าๆ” ผมหัวเราะหน่อยๆ ในใจเริ่มไขว้เขว

                    “จริง ดูดิ สวยๆทั้งนั้น แบมรู้ว่าพีทชอบสไตล์นี้”

                    ผมเหลือบมองนาฬิกาเรือนเก่าบนข้อมือที่ได้เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่เมื่อตอนเข้าเรียนม.4 สลับกับมองเรือนใหม่ที่วางเรียงทำหน้าหล่อล่อใจอยู่ในตู้

                    “I’m done.” เสียงของไมค์ดังมาจากข้างหลัง เขาวางมือบนไหล่ผม

                    “เสร็จแล้วเหรอ?” แบมหันไปถาม

                    “Yep” ไมค์ยักคิ้ว

                    “ขอดูอีกแป๊บ พีทว่าจะซื้อสักเรือน เนอะ” แบมหันมายักคิ้วให้ผม

                    “แต่ฉันหิวข้าวแล้ว ไปกินก่อนแล้วค่อยขึ้นมาดู” ไมค์จับไหล่แบมให้หันไปทางหน้าร้าน แล้วดันให้เธอเดินออกไป

                    “แกเอาแต่ใจอีกแล้วไมกี้” แบมบ่น แต่ก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี

                    “ก็ฉันได้ของที่อยากได้แล้วอ่ะ”

                    ผมมองตามสองคนที่เดินออกไปจากร้าน หันไปโค้งแล้วยิ้มแหยๆให้กับพนักงานที่อดได้ยอดขายจากผม

 

                    เรากินอาหารเม็กซิกัน โดยไมค์เป็นคนเลือก ผมเห็นเขาถือถุงออกมาจากร้าน จึงขอดู ไมค์หยิบขึ้นมาอวด มันเป็นรุ่นที่ผมชอบมากๆ เมื่อเห็นอย่างนี้ยิ่งเสียดายที่ไม่ได้ตัดสินใจซื้อ

                    “กินเสร็จแล้วค่อยกลับขึ้นไปซื้อก็ได้” แบมปลอบใจ

                    ผมพยักหน้า แต่อีกใจก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อก็ประหยัดเงินให้พ่อกับแม่ได้อีกเกือบๆสามหมื่น

                    “ฉันให้นายลองสวมดูก็ได้นะ” ไมค์ยื่นนาฬิกาเรือนหล่อมาให้

                    ผมส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ของใหม่แกะกล่อง นายควรได้ใส่ก่อนสิ”

                    “คิดมากไปไหม?” ไมค์กลอกตา

                    “ขอฉันลอง” แบมยื่นข้อมือเล็กมาตรงหน้าพวกเรา

                    ไมค์ตีมือลงบนข้อมือแบม “ยุ่ง! นี่เรื่องของผู้ชาย”

                    “เหรอ?” แบมลากเสียงยาว พร้อมกลอกตา “พีทจะกลับเมื่อไหร่” เธอหันมาถามผม

                    “วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้”

                    “จะได้เจอกันอีกไหม?” สีหน้าของแบมสลดลง ... อย่างน้อยแบมอาจจะคิดถึงผมอยู่บ้าง

                    “นั่นสิ” ผมยิ้มให้กับเธอ

                    “Hello” เสียงของไมค์ทำให้ผมหันไปมอง เขากำลังคุยโทรศัพท์ “Ok, let me know when you get here.” เขาวางสายแล้วบอกกับพวกเรา “อาเจนี่เลิกงานละ บอกว่าจะขับผ่านที่นี่ จะแวะมารับ”

                    “อ้าว แล้วจวนถึงหรือยัง?” แบมถาม

                    “คงสัก 10 นาที”

                    “งั้นเรียกเช็คเลยละกัน” แบมพูดแล้วหันไปเรียกพนักงาน

                    “แล้วแบมกลับยังไง?” ผมเป็นห่วง เพราะเหมือนอยู่ดีๆเราก็ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียว

                    “กลับด้วยกัน เดี๋ยวไปส่ง” ไมค์เอ่ย

                    “ไม่เป็นไร” แบมส่ายหน้ารัว

                    “อย่าเรื่องมากน่ะ” ไมค์มองหน้าแบมแล้วถอนหายใจ

                    “...” แบมเม้มปาก สีหน้ามีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วเธอก็พยักหน้าตอบรับ

                    พวกเราออกไปรอที่หน้าห้าง ไม่นานน้าเจนี่ก็เลี้ยวเข้ามา ... เราไปส่งแบมที่บ้าน

                    “ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาหาเราถึงที่นี่” เมื่อรถน้าเจนี่จอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แบมจับมือผมไว้แน่น น้ำตาคลอ

                    ผมกลืนบางอย่างที่จุกอยู่ในคอลงไป อยากพูดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าและยิ้มให้เธอ

                    “ขอบคุณค่ะน้าเจนี่” แบมยกมือไหว้น้าเจนี่ แล้วตบไหล่ไมค์ “เจอกันไมค์” เธอหันมามองหน้าผมอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกไป

                    ประตูถูกปิดลง รถของเราค่อยๆเคลื่อนออกจากหน้าบ้านแบม ... ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน ผมถึงจะได้พบกับแบมอีก หรืออาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ พวกเราในรถต่างนั่งกันมาเงียบๆ ...

                    จากบ้านแบมมาบ้านของไมค์ ผมเพิ่งรู้ว่ามันห่างกันไม่ถึง 10 นาที ถ้าจำไม่ผิด แบมเคยบอกว่าบ้านเธออยู่นอกเมือง จึงเข้ามาพบกับผมไม่สะดวก

                    ผมคว้ามือไมค์เอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินเข้าบ้าน

                    “มันผ่านไปแล้วน่ะ” ไมค์เอ่ยขึ้น ... แค่มองหน้าผม เขารู้ได้ยังไงว่าผมกำลังคิดอะไร?

 

                    เมื่อถึงบ้านแล้วน้าเจนี่ถึงบอกสาเหตุที่วันนี้กลับเร็ว นั่นเพราะคุณย่าโทรไปบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไมค์รู้สึกผิดที่ทิ้งให้คุณย่าอยู่บ้านคนเดียว  ผมจึงกลับขึ้นห้องโดยไม่มีไมค์ติดสอยห้อยตามมาเหมือนอย่างเคย

 

                    เพราะไม่มีคนมานอนเล่นเกมอยู่ข้างๆ ตอนเย็นผมจึงออกไปวิ่งรอบๆหมู่บ้าน แวะทักทายไมค์และเยี่ยมคุณย่า ท่านบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่โรคคนแก่ที่มีอาการวิงเวียนและหน้ามืดเป็นบางครั้ง ถึงอย่างนั้นไมค์ก็ดูแลคุณย่าแบบไม่ยอมห่างกายท่านเลย

                    ผมตั้งใจกลับมากินมาม่าเป็นมื้อค่ำ แต่ที่บ้านไมค์บังคับให้กินข้าวเย็นด้วยกัน จึงเป็นความโชคดีของกระเพาะโดยแท้ กินข้าวแล้วผมยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนไมค์และคุณย่าจนท่านเข้าห้องไป ถึงกลับห้องตัวเอง

                    ผมอาบน้ำแล้วมานั่งดูแผนที่ … ระหว่างทางกลับบ้าน น้าเจนี่บอกว่าตึกใกล้ๆที่ทำงานของเธอกำลังมีนิทรรศการภาพถ่ายของศิลปินจากนิวยอร์ก ผมสนใจมาก จึงคิดว่าพรุ่งนี้จะนั่งรถไปชมเมืองเพื่อเก็บบันทึกภาพไว้เป็นความทรงจำและแวะดูเสียหน่อย

                    ก่อนนอนผมส่งข้อความบอกฝันดีไปหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ... มองฝ่าความมืดแล้วเริ่มต้นนับหนึ่ง สอง สาม ... ยี่สิบเอ็ด ...

                    แสงไฟจากหน้าจอสว่างขึ้น ... ความสุขสุดท้ายของผมก่อนหลับตาลงในค่ำคืนนี้ ... ‘ฝันดีครับ’ ข้อความจากดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

 

                    หลังจากนั่งบัสและรถไฟ แวะตามสถานีต่างๆเพื่อบันทึกภาพบ้านเมืองและผู้คนตามท้องถนน ผมเข้าดูนิทรรศการจนถึง 5 โมงเย็น ขณะรอต่อรถไฟในสถานีใต้ดิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ...

 

                    ไม่ถึงชั่วโมง ผมก็มายืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ เมื่อมองผ่านเข้าไป ชายในเชิ้ตสีขาว ผมยาวดำขลับถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้าขาวผ่องกำลังก้มง่วนอยู่กับงาน ผมยืนมองอยู่อย่างนั้น จนเขาเงยหน้าขึ้นและมองตรงออกมา ผมยกมือขึ้นโบก แม้จะห่างออกไปหลายเมตร แต่ผมเห็นรอยยิ้มที่ส่งตอบกลับมาได้อย่างชัดเจน

                    ผมขอโฮสเลือกที่นั่งตรงมุมร้าน เพราะที่ตรงนั้นทัศนวิสัยดีที่สุด

                    “มาคนเดียวเหรอน้องพีท?” เธอเอ่ยถามเมื่อวางเมนูลงบนโต๊ะ เธอคงจำผมได้เมื่อครั้งก่อนที่มากับพี่เดือน

                    “ครับ” ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน

                    “วันนี้เดือนทำชิฟต์เช้า” เธอคงเดาได้ว่าผมมองหาใคร

                    “อ๋อ ครับ” คงเพราะผมออกแต่เช้า จึงไม่ได้พบกับเพื่อนร่วมบ้าน

                    วันนี้พี่ๆพนักงานไม่มีใครเข้ามาสอบถามวุ่นวายอย่างครั้งก่อน มีก็เพียงแค่ส่งยิ้มให้ บางคนเดินผ่านมาทักทายสวัสดีแล้วก็ผ่านไป

                    ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือ เพราะยังติดใจรสชาติแสนอร่อย ... ก๋วยเตี๋ยวชามที่หนึ่งหมดไป ตามด้วยชามที่สอง เมื่อก๋วยเตี๋ยวหมดไปสองชาม ผมสั่งขนมบัวลอย และเมื่อบัวลอยหมดไป ผมสั่งไทยไอซ์ทีมาเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว … ทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้นั่งอยู่ในร้านร่วมๆ 2 ชั่วโมง

                    “เด็กกำลังโตเนาะ” พี่พนักงานเสริฟที่ชื่อแนนเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาเก็บถ้วยที่เคยใส่บัวลอย “รับอะไรอีกไหมจ๊ะน้องพีท?” เธอถามยิ้มๆ

                    ผมมองหน้าเธออย่างอายๆ ส่งสายตาเลยไปยังคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ พี่ปิงส่งยิ้มมาให้ ผมรีบหลบตา กลัวว่าเขาจะรู้ทัน ...

                    “ผะ ผมขอเมนูอีกทีได้ไหมครับ?” รอยยิ้มของพี่ปิงคงเข้าไปทำลายเซลสมอง จนทำให้นึกอะไรไม่ออก แต่ถ้าจะให้ต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวเรือชามที่สาม ... คงไม่ดีแน่

                    “กินได้อีกเหรอ?” พี่แนนทำตาโต

                    “ฮะ คือ ผมกำลังทำน้ำหนักน่ะครับ” ผมยกมือขึ้นลูบท้ายทอย อายกับคำโกหกของตัวเอง

                    “จ้ะ” เธอหัวเราะ แล้วเดินไปหยิบเมนูมาวางบนโต๊ะ

                    “ขอเวลาแป๊บนะครับ” ผมยิ้มแหยๆ

                    “ตามสบายจ้ะ”

                    เมื่อพี่แนนเดินจากไป ผมค่อยๆเปิดเมนูไปทีละหน้า แต่ตากลับเหลือบมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ... ผมอ้าปากหวอ เพราะไม่คิดว่าจะเจอกับสายตาของพี่ปิงที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง ผมอายจนรู้สึกร้อนไปทั้งแก้ม ต้องกัดปากตัวเองเอาไว้เพื่อข่มสีหน้า ก้มหน้างุดกับเมนู พลันนึกอะไรขึ้นมาได้

                    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – พี่ปิงว่าผมควรกินอะไรต่อดี

                    ส่งไปแล้วก็นั่งรอคำตอบด้วยใจเต้นตึกตัก แต่ข้อความก็ไม่ถูกเปิดอ่านเสียที ผมจึงเงยขึ้นมองหน้าพี่ปิง เขายืนนิ่ง ผมจึงชี้นิวไปที่โทรศัพท์ เขาเลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ แต่เพียงสักครู่ก็ก้มหน้าลง และไม่นานก็มีข้อความเข้ามา

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ราดหน้าที่นี่ขึ้นชื่อ

                    ผมอมยิ้มให้กับข้อความนั้น แล้วส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ราดหน้าหมดก็พอแล้วนะ

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ถ้าไม่คิดว่าดึกเกินไป ร้านปิด 4 ทุ่ม พี่จะไปส่ง

                    เมื่ออ่านข้อความจบ อย่าให้บรรยายเลยว่าความดีใจของผมนั้นมันมากขนาดไหน ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของข้อความ แล้วพยักหน้ารัวๆ

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – ถ้าอึดอัดก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกรอนะ

                    ผม – ฮับ ^0^

 

                    แม้จะผ่านก๋วยเตี๋ยวมาสองชามตามด้วยบัวลอย แต่ราดหน้าก็ถูกผมกำจัดไปจนเกลี้ยงอย่างง่ายดายเพราะรสชาติที่อร่อยล้ำสมคำร่ำลือ แต่มันก็ทำให้พุงแทบปริ ความอึดอัดทำให้ผมไม่สามารถนั่งต่อไปได้ จึงตัดสินใจเรียกเช็ค แต่พี่แนน กลับบอกว่าพี่ปิงจัดการให้แล้ว

                    ผมเดินเข้าไปหาพี่ปิงที่ตรงเคาน์เตอร์ด้วยความเขินอาย “ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้

                    พี่ปิงพยักหน้ารับแล้วยิ้ม “ข้างนอกเยื้องๆกับหน้าร้านมีเก้าอี้ พีทไปนั่งรอตรงนั้นก่อน คืนนี้น่าจะปิดเร็วกว่าเวลานิดหน่อย หมดลูกค้ากลุ่มนี้แล้วไม่น่าจะมีอีก”

                    คืนนี้ลูกค้าในร้านมีอยู่แค่ 2 โต๊ะ ถ้าไม่นับรวมผม

                    “ครับ” ผมตอบแล้วก้มหน้าเดินออกจากร้าน การได้มองหน้าพี่ปิงตรงๆในระยะใกล้ขนาดนี้ มันทำให้ผมอายจนหูร้อนไปหมด

                    ผมเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่วางอยู่ใต้ต้นไม้ เยื้องๆกับหน้าร้าน แต่จากตรงนี้ก็ยังสามารถมองผ่านกระจกบานใหญ่เข้าไปเห็นคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์

                    ผม – กลับดึกนิดนึงนะ

                    ไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – อยู่ไหน

                    ผม – ร้านพี่ปิง

                    ข้อความถูกอ่าน แต่ไม่ค์ไม่ตอบอะไรกลับมา ผมรออยู่สักพักจึงส่งข้อความไปอีกเพราะกลัวเขาจะเป็นห่วง

                    ผม – ไม่ต้องเป็นห่วง เราแวะมากินข้าว พี่ปิงเลยบอกเลิกงานแล้วจะไปส่ง

                    ไมค์อ่านข้อความของผม แต่ก็ไม่ตอบกลับ เขาอาจจะกำลังยุ่งกับการดูแลคุณย่า

 

                    ผมใส่หูฟัง ... อีกชั่วโมงกว่าพี่ปิงจะเลิกงาน ผมเลือกที่จะฟังเพลงแทนการเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลา ผมไม่อยากก้มหน้าอยู่กับโทรศัพท์ เพราะมีสิ่งที่น่ามองมากกว่านั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

                    พี่ปิงมองออกมา ผมจึงโบกมือให้ เขาส่ายหน้าแต่อมยิ้ม รอยยิ้มของพี่ปิงให้ความรู้สึกอบอุ่นและใจดี … ผมยกกล้องขึ้นมาซูม และกดบันทึกภาพของพี่ปิงขณะทำงานเอาไว้หลายสิบภาพ

                    ประมาณ 4 ทุ่ม พนักงานก็ทยอยเดินออกมาจากร้าน

                    “พีทยังไม่กลับเหรอ?” พี่แนนแวะเข้ามาทัก

                    “รอพี่ปิงครับ” ผมดึงหูฟังออก

                    “พีทสนิทกับพี่ปิงเหรอ?”

                    “ก็ ... ครับ”

                    “อืม น่าแปลก” เธอพยักหน้าพร้อมเบ้ปาก

                    “แปลกยังไงครับ?”

                    “ก็ ไม่มีอะไรหรอก” เธอยักไหล่ “งั้นพี่กลับก่อนนะ”

                    “ครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เธอพยักหน้ายิ้มให้แล้วเดินผละไป

                    รอสักครู่ไฟในร้านก็ค่อยๆดับลง จนเหลือเพียงหลอดที่อยู่นอกร้าน แล้วร่างบางในกางเกงแสล็คสีดำ เชิ้ตขาวพับแขนก็เดินออกมา ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหา

                    “เบื่อไหม?” พี่ปิงเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้

                    “ไม่เลยครับ ฟังเพลงเพลินๆ” ผมม้วนเก็บหูฟังเข้ากระเป๋า

                    พี่ปิงยิ้มแล้วเดินนำไปที่รถ

 

                    “ไปไหนมา ถึงมาที่นี่ได้” พี่ปิงเอ่ยถามขณะที่รถแล่นไปตามทาง

                    “ผมนั่งรถเข้าไปเดินเล่นในดีซีมาครับ แล้วก็ไปดูนิทรรศการภาพถ่าย”

                    “หื้อ” พี่ปิงส่งเสียงน่ารักในลำคอ “น่าสนใจนะ ใช่งานของศิลปินที่มาจากนิวยอร์กหรือเปล่า?”

                    “ใช่ครับ พี่รู้ด้วยเหรอ?” ผมแปลกใจระคนตื่นเต้นที่พี่ปิงสนใจในสิ่งเดียวกันกับผม

                    “อืม แต่ยังไม่มีเวลาได้ไปดูสักที”

                    “ผมก็คิดว่าพี่น่าจะชอบ แต่เขาจัดอีกหลายวันนะครับ พรุ่งนี้พี่ปิงหยุดหรือเปล่า?” ผมนึกถึงภาพของชายหนุ่มที่นั่งยองๆ จ่อกล้องอยู่กับพุ่มดอกไฮเดรนเยียเมื่อ 10 ปีก่อน

                    “หยุด”

                    “งั้นไปดูกันไหม? ผมไปเป็นเพื่อน” ผมรีบเสนอตัวด้วยความหวังว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ปิงอีกวัน

                    “พีทไปดูมาแล้วนี่ จะไปอีกเหรอ?” พี่ปิงหันมามองผมแว้บหนึ่ง

                    “ดูแล้วก็ดูได้อีกครับ” ผมตอบระล่ำระลัก กลัวพี่ปิงปฏิเสธ

                    พี่ปิงหันมายิ้ม “งั้นหลังจากดูนิทรรศการแล้วเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”

                    “จริงเหรอครับ?” ผมถามด้วยเสียงอันดัง ดีใจจนเผลอกำมือแน่น

                    “จะโกหกทำไมล่ะ” พี่ปิงยิ้ม แต่ไม่ได้หันมา “เดี๋ยวพาไปเดินจอร์จทาวน์ด้วย พีทเคยไปหรือยัง?”

                    “ยังเลยครับ” ผมส่ายหน้า “มันคืออะไรครับ” ผมเหมือนจะเคยได้ยินผ่านหู แต่ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่อะไร

                    “จอร์จทาวน์ก็จะมีร้านขายของ ร้านอาหาร แต่เสน่ห์ของแถบนั้นคือเกือบทั้งหมดเป็นอาคารเก่าที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และก็มีแม่น้ำโปโตแมค”

                    “โว้ว ผมตื่นเต้นแล้วเนี่ย” ผมถูมือแล้วยิ้มกว้าง พี่ปิงหันมาส่งยิ้มให้

                    “นิทรรศการเปิดกี่โมง?”

                    “9 โมงครับ”

                    “งั้น 9 โมงพี่มารับ”

                    “ครับผม”

                    ผมนึกอยากให้ร้านของพี่ปิงกับบ้านห่างกันสัก 100 ไมล์ แต่ในความเป็นจริงคือตอนนี้รถของพี่ปิงได้จอดลงตรงหน้าบ้านพักของผมแล้ว

                    “ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม

                    ผมก้าวออกจากรถด้วยความจำใจ ... ยืนมองตามท้ายรถพี่ปิงด้วยสายตาละห้อย

 

                    ผมส่งข้อความบอกไมค์ว่าถึงบ้านอย่างปลอดภัย และไม่ลืมจะถามไถ่เรื่องอาการของคุณย่า ไมค์ตอบกลับมาเพียงแค่คำว่า “Ok” แล้วก็เงียบหายไป แม้ผมจะส่งข้อความ “Good night” ไปให้

                    ข้อความถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วง

                    ผม – ถึงบ้านหรือยังครับ

                    พี่ปิง – จะนอนแล้วครับ

                    ผม – งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ

                    พี่ปิง – ครับ

                    ผม – ฝันดีนะครับ

                    พี่ปิง – You too.

 

                    ผมหยิบกล้องขึ้นมาเปิดดูรูปภาพที่ถ่ายมาวันนี้ และวนเวียนดูซ้ำแล้วซ้ำอีกกับภาพเซ็ทสุดท้าย

 

                    ภาพใบหน้าเรียบเฉยในขณะทำงานของพี่ปิง ไม่ว่าจะกี่ช็อตก็ไม่มีความแตกต่าง ราวกับที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นคือรูปปั้นหิมะไร้ความรู้สึก

 

                    มีเพียงภาพสุดท้ายที่พี่ปิงมีรอยยิ้มบางๆระบายบนใบหน้า นั่นคือเมื่อเขาเหลือบมาเห็นว่าผมกำลังถ่ายภาพของเขาอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2016 22:20:33 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
«ตอบ #61 เมื่อ01-07-2016 04:28:05 »

เดาทางเรื่องนี้ไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่รู้สึกว่าน้องพีทน่าจะชอบน้องไมค์นะค่ยังไม่รู้ตัว

ส่วนพี่ปิง...ตัดใจให้ได้ไวๆนะคะ

สนุกมากเลย ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ToeyTato

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1289
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
«ตอบ #62 เมื่อ01-07-2016 20:17:37 »

อ่านแล้ว มึน เอาเป็นว่าจะติดตามเพื่อรอบทสรุปนะคะเดาไม่ถูก 55555

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
«ตอบ #63 เมื่อ02-07-2016 22:01:09 »

เดาทางเรื่องนี้ไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่รู้สึกว่าน้องพีทน่าจะชอบน้องไมค์นะค่ยังไม่รู้ตัว

ส่วนพี่ปิง...ตัดใจให้ได้ไวๆนะคะ

สนุกมากเลย ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #23 [updated 29/6/2559]
«ตอบ #64 เมื่อ02-07-2016 22:02:09 »

อ่านแล้ว มึน เอาเป็นว่าจะติดตามเพื่อรอบทสรุปนะคะเดาไม่ถูก 55555

ขอบคุณนะคะที่คอยติดตาม

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #24 [updated 5/7/2559]
«ตอบ #65 เมื่อ05-07-2016 22:15:01 »

บทนี้ยาวจนต้องตัดข้อความ บทต่อไปจะมาช้าสักนิดนะคะ คนเขียนขอเวลาไปอยู่กับตัวเองเพื่อฝึกจิตใจ แล้วจะกลับมาอีกทีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน และที่คอมเมนท์ ซึ่งเป็นกำลังใจที่ดีมากๆสำหรับคนเขียนค่ะ


# 24 (PETE)

 

                     วันนี้ผมสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวและรองเท้าหนังหุ้มข้อสีน้ำตาล ทั้งหมดคือของใหม่แกะป้ายจากที่ไป outlet กับพี่ปิงเมื่ออาทิตย์ก่อน และที่พิเศษคือเสื้อตัวนี้พี่ปิงช่วยเลือก เขาบอกว่ามันเหมาะกับผมมาก ... ผมยืนมองตัวเองหน้ากระจก จากที่ได้รับคำชมมาตลอด ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองหล่อก็วันนี้

                    คงเพราะเพิ่งจะแปดโมงกว่า ในบ้านจึงเงียบกริบ ขณะกินซีเรียล ผมส่งข้อความถึงไมค์

                    ผม – good morning

                    ผม – คุณย่าเป็นไงบ้าง

                    รอไม่นานไมค์ก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ดีขึ้นแล้ว

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์ very good

                    ผม – เราจะเข้าดีซี

                    ไมค์ – ไปไหน

                    ผม – จะไปนิทรรศการภาพถ่าย

                    ไมค์ – เมื่อวานไปแล้วไม่ใช่เหรอ

                    ผม – พี่ปิงอยากดู เราก็เลยจะไปเป็นเพื่อน

                    ผม – พี่ปิงจะพาไปจอร์จทาวน์ด้วย

                    ไมค์อ่านแต่ไม่ตอบ เดาว่าอาจยุ่งกับการดูแลคุณย่า

                    ผมกินซีเรียลจนหมดถ้วย แต่ไมค์ก็ยังเงียบ ... โชคดีที่คุณย่าป่วยในช่วงที่ไมค์ปิดเทอมพอดี ไม่อย่างนั้นน้าเจนี่อาจต้องหยุดงานเพื่อมาดูแลคุณย่าสัก 2-3 วัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบนึกเสียดายอยู่นิดๆที่ไม่ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวกับไมค์ ความจริงถ้าเมื่อวานคุณย่าสบายดี ไมค์คงจะออกไปดูนิทรรศการกับผม แต่นึกอีกที ถ้าเขาไปด้วย ผมคงอดไปหาพี่ปิงที่ร้าน

                    อีกไม่กี่วันก็จะบินกลับไปวิสคอนซิน ผมคงเหงาไม่น้อยถ้าจะไม่ได้เจอกับไมค์อีก ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมก็มีไมค์อยู่ในชีวิตแทบจะทุกวัน ถึงแม้เหตุการณ์ในห้องของไมค์วันก่อนจะยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด แต่ถ้าผมทำตัวเหินห่าง ไมค์อาจคิดว่าผมรังเกียจเขา ซึ่งผมไม่คิดอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไมค์ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมในเวลานี้ และจากวันก่อนที่เราไปมอลล์ด้วยกัน ท่าทางของไมค์ก็ทำให้คิดได้ว่าเขาน่าจะเลิกล้มความคิดที่อยากจะจูบผมไปแล้ว

 

                    รถของพี่ปิงมาจอดที่หน้าบ้านตรงเวลาเป๊ะ จากเมื่อครั้งก่อนที่เรานัดกัน ทำให้รู้ว่าพี่ปิงเป็นคนตรงต่อเวลามาก

                    “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อเข้ามานั่งตรงเบาะข้างคนขับ

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม “กินอะไรหรือยัง?”

                    “กินซีเรียลมาแล้วครับ” ผมตอบและนึกเสียใจว่าไม่น่ากินอะไรมาก่อน บางทีพี่ปิงอาจจะชวนผมกินอาหารเช้าด้วยกันก็ได้

                    “งั้นเดี๋ยวพี่ขอแวะซื้อกาแฟแป๊บนึงนะ”

                    “ครับ” ผมพยักหน้า มือประสานกันไว้บนตัก รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ก็พยายามสูดหายใจลึกๆเข้าไว้

                    ออกจากบ้านไม่ไกลมีร้านสตาร์บัคส์ พี่ปิงเข้าช่องไดรฟ์ทรู พวกเราจึงไม่เสียเวลา

                    “พี่ปิงติดกาแฟเหรอครับ?” ผมถามเพื่อหาเรื่องคุย

                    “อืม ก็ไม่เชิงนะ แต่ตอนเช้าถ้าได้กาแฟสักแก้วจะทำให้รู้สึก alert ในการทำงาน”

                    “ผมว่าแบบนี้น่าจะเรียกว่าติดได้แล้วนะ” ผมแกล้งเย้า ลอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ปิง

                    พี่ปิงเบ้ปาก โคลงหัวไปมา ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร อาจจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ได้

                    “แล้วพีทดื่มกาแฟไหม?”

                    “เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า แม่บอกว่ากาแฟไม่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ผมจึงไม่เคยดื่ม

                    “นั่นสิ อย่างพีทต้องดื่มนม” พี่ปิงหันมายิ้ม ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกล้อว่าเป็นเด็ก

                    “แต่ผมก็ดื่มเบียร์นะ” ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ถึงจะดื่มนม แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุครบ 18 ปีแล้ว

                    พี่ปิงหัวเราะ

                    “พี่เห็นผมเป็นเด็กเหรอ?” ผมบุ้ยปาก รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย

                    “แล้วคิดว่าตัวเองโตหรือยังล่ะ?”

                    “โต ... ผมตัวโตกว่าพี่อีกนะ” ผมยืดตัวกอดอก ตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว

                    “โอ้ ...” พี่ปิงพยักหน้าหัวเราะ

                    ผมไม่โกรธก็ได้ เพราะผมชอบเวลาที่พี่ปิงหัวเราะที่สุด

 

                    เราใช้เวลาดูนิทรรศการกว่า 2 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าผมจะชอบถ่ายภาพ แต่คงเทียบไม่ได้กับพี่ปิง ผมจึงเดินตามเขาไปเงียบๆ ปล่อยให้เขาซึมซับกับงานศิลปะที่อยู่ตรงหน้า เพราะสำหรับผมแล้ว ภาพถ่ายทั้งหมดที่ถูกนำมาแสดง ไม่มีภาพไหนที่ดึงดูดใจได้เท่ากับร่างบอบบางที่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่พับแขนมาไว้ใต้ศอก วันนี้พี่ปิงสวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลคล้ายๆกับผมด้วย และถ้าจะพูดแบบเข้าข้างตัวเอง ผมว่าวันนี้เราสองคนแต่งตัวคล้ายกัน อย่างกับพวกคู่รักที่ชอบใส่เสื้อคู่อะไรแบบนั้น ... นึกดีใจที่พี่ปิงเป็นคนเลือกเสื้อตัวนี้ให้

                    “ไปหาข้าวกินแถวจอร์จทาวน์นะ” พี่ปิงเอ่ย เมื่อพวกเราออกมาจากอาคารนิทรรศการ

                    “ครับ” ไม่มีเหตุผลใดบนโลกใบนี้ที่ผมจะปฏิเสธ

                    เมื่อเข้ามานั่งในรถ พี่ปิงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม ผมไม่กล้าหันไปมองตรงๆ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจเต้นตึกตักขึ้นมาได้อีก ... พี่ปิงดูดีมาก

                    หลังจากขับรถวนอยู่นาน เราได้ที่จอดใต้อาคารหลังหนึ่ง

                    “กินอาหารเวียดนามไหม? ที่นี่มีร้านที่มีชื่ออยู่ร้านหนึ่ง” พี่ปิงหันมาถาม ขณะที่เราเดินออกมายังถนนเส้นหนึ่ง

                    “ดีครับ” มีพี่ปิงอยู่ด้วย ร้านไหนก็ดีทั้งนั้นสำหรับผม

                    จอร์จทาวน์เป็นเหมือนเมืองเล็กๆ มีถนนหลักเส้นหนึ่งที่ยาวหลายบล็อก ตลอดสองฝั่งถนนจะเป็นร้านค้าแบรนด์เนมและร้านอาหาร อาคารทั้งหมดถูกอนุรักษ์ไว้ในสภาพที่เรียกได้ว่าเกือบเป็นของเดิม

                    ผมมองตึกโบราณด้วยความตื่นตาตื่นใจ มือจับกล้องที่คล้องอยู่ที่คอ

                    “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเราค่อยเดินดูไปเรื่อยๆ” พี่ปิงหันมาบอก

                    ผมพยักหน้าตอบ

                    “พีทจะได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

                    “ครับ” ผมยิ้มแป้น พี่ปิงรู้ใจผมด้วย

                    ระหว่างทางเดินบนฟุตบาท มีกลุ่มผู้หญิงชาวเอเชียเดินมาทางพวกเราห่างราวๆ 4-5 เมตร เธอคนหนึ่งสะกิดแขนคนที่สองแล้วมองมาที่พี่ปิงแล้วเลื่อนสายตามาที่ผม คนที่สามอมยิ้ม และคนที่สองก็ปิดปากหัวเราะคิกคัก คนที่สี่ฟาดมือลงบนแขนเพื่อนแล้วพูดอะไรสักอย่างก่อนจะปิดปาก เมื่อพวกเธอเดินสวนกับเราพอดี ผมจึงได้ยินสำเนียงภาษา พวกเธอน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน

                    ผมหันไปมองพี่ปิง แต่ใบหน้านิ่งภายใต้กรอบแว่นตากันแดด ทำให้เดาไม่ได้ว่าพี่ปิงสังเกตเห็นท่าทางของสาวๆกลุ่มนั้นหรือไม่ เมื่อมองสำรวจพี่ปิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติ พี่ปิงของผมหล่อออร่าท้าแสงแดดของอเมริกาขนาดนี้ มีอะไรที่ทำให้พวกเธอต้องขำ หรือว่าความผิดปกติมันอยู่ที่ผม? เมื่อก้มมองสำรวจตัวเอง ซิปก็รูดเรียบร้อย

                    “พี่เห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นไหมฮะ?” ผมเอ่ยถามขึ้นด้วยความคลางแคลงใจ

                    พี่ปิงหันมามอง ... เขายิ้มที่มุมปากน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นมายีหัวผม ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมพี่ปิงถึงทำอย่างนั้น รู้แต่ว่ามันทำให้ผมรู้สึกดี และเลิกสนใจเรื่องของสาวชาวจีนกลุ่มนั้นไปเลย

 

                    ร้านที่พวกเรามาชื่อ Miss Saigon อาจเพราะเป็นเวลาช่วงเที่ยงพอดี ลูกค้าในร้านจึงแน่น พวกเราโชคดีที่มาทันก่อนที่โต๊ะจะเต็ม บรรยากาศภายในร้านเสียงดังพอสมควร ผมสังเกตจากการแต่งตัว ลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ พวกเราใช้เวลาในร้านอาหารไม่นานนักเพราะสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยให้เราอ้อยอิ่งได้

                    “พีทชอบกินของหวานไหม?” พี่ปิงถามเมื่อเรากลับออกมาเดินบนทางเท้าอีกครั้ง

                    “ไม่ถึงกับชอบ แต่ก็กินได้ครับ”

                    “ที่นี่มีร้านคัฟเค้กขึ้นชื่อ สนใจไหม? แต่ร้านนี้คิวยากมากนะ”

                    “อืม งั้นไม่เอาดีกว่าครับ” ถ้าผมต้องไปเสียเวลายืนรอเพื่อซื้อเค้ก สู้เอาเวลานั้นไปเดินเที่ยวกับพี่ปิงดีกว่า

 

                    พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ พี่ปิงบอกว่าถนนเส้นนี้เป็นช้อปปิ้งสตรีท นักท่องเที่ยวที่มาจอร์จทาวน์มักตรงมาที่นี่ และในวันฮาโลวีน ถนนเส้นนี้ก็จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่แต่งคอสตูมมาเดินอวดกัน

                    “แล้วพี่เคยมาฮาโลวีนที่นี่ไหม?” ผมพักมือจากการถ่ายภาพ แล้วเอ่ยถาม

                    พี่ปิงนิ่งไปสักครู่ก่อนตอบ “เคยปีแรก”

                    “สนุกไหมครับ?”

                    “ก็ดี แต่คนเยอะมาก”

                    “น่าสนุกจัง” ผมนึกภาพสารพัดผีที่เดินกันเต็มถนน

                    “เอาไว้ถ้าพีทมาอีกในช่วงนั้น พี่จะพามา”

                    “จริงเหรอครับ?” ผมถามด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วก็ต้องหน้าม่อยเมื่อนึกว่าการมาอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

                    พี่ปิงพยักหน้ายิ้ม

                    ผมขอให้พี่ปิงไปยืนเป็นนายแบบเมื่อเราเดินมาถึงหัวมุมที่มีตึกสีขาวเก่าแก่ บนหลังคามีโดมสีทอง ผมคิดว่าถ้าถ่ายด้วยมุมกว้าง คงเท่น่าดู แต่พี่ปิงส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว

                    “นะครับๆ” ผมยกมือไหว้อ้อนวอนประหลกๆ

                    พี่ปิงก็ยังส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น

                    “ผมถ่ายแล้วจะได้ให้พี่ดูไงว่าฝีมือใช้ได้ไหม นะครับๆ” ผมยังอ้อนขอ

                    พี่ปิงมองบนแล้วถอนหายใจ “โอเค”

                    “เย้!!” ผมดีใจจนเผลอลืมตัวร้องเสียงดัง “งั้นพี่ยืนตรงนี้นะครับ ผมจะไปถ่ายจากฝั่งโน้น”

                    ผมจับไหล่สองข้างของพี่ปิง เมื่อมือสัมผัสถึงได้รู้ว่าพี่ปิงบอบบางกว่าที่ตาเห็น ใจผมเต้นตึกตักจนต้องรีบปล่อยมือแล้วเดินไปยังทางม้าลายเพื่อข้ามไปอีกฟากถนน

                    ภาพพี่ปิงที่ยืนอยู่หน้าอาคารถูกผมบันทึกไว้หลายสิบช็อต เมื่อรัวชัตเตอร์จนหนำใจแล้วผมจึงยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคให้นายแบบของผมรู้ว่าเรียบร้อยแล้ว

                    ผมกำลังจะข้ามกลับมา พี่ปิงโบกมือ แล้วชี้นิ้ว ผมเดาว่าเขาให้รออยู่ตรงนี้ จึงหยุดฝีเท้าแล้วยืนนิ่ง ... ขณะที่พี่ปิงกำลังเดินข้ามถนนบนทางม้าลาย ผมยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์รัวๆ

                    “เดินลงไปตามถนนเส้นนี้มีร้านหนึ่งที่พีทน่าจะสนใจ” พี่ปิงพยักเพยิดไปทางถนนถัดจากที่พวกเรายืนอยู่

                    “ร้านอะไรเหรอครับ?” ถ้าพี่ปิงบอกว่าน่าสนใจ ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นร้านที่เยี่ยมมากแน่ๆ

                    “เดี๋ยวก็รู้” พี่ปิงเอ่ยพร้อมกับเดินนำหน้า เราเดินไปตามถนนเส้นที่เล็กลงไป เลี้ยวอีก 3 หรือ 4 ครั้ง “ถึงแล้ว” พี่ปิงหยุดฝีเท้า

                    ผมหันมองรอบๆ อาคารแถบนี้ดูไม่หรูหราอย่างร้านตรงถนนใหญ่

                    พี่ปิงชี้นิ้ว ผมมองตาม มันเป็นร้านค้าเล็กๆที่มีกระจกเพื่อโชว์สินค้าหน้าร้าน แต่เมื่อมองเข้าไปกลับดูทึบๆ ติดกันคือประตูทางเข้าซึ่งเป็นกระจกเช่นกัน

                    “พีทเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่ขอโทรศัพท์สักครู่” พี่ปิงควักโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง พยักเพยิดให้ผมเข้าไปก่อน

                    ผมลังเลเล็กน้อยเพราะไม่อยากเข้าไปคนเดียว แต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็ก จึงผลักประตูเข้าไป พนักงานชายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เอ่ยทักทายสวัสดี ผมทักทายตอบ ภายในร้านมีลูกค้าอยู่ 4-5 คน บางคนหันมามองเมื่อผมก้าวเข้ามา 

                    ผมมองสำรวจภายในร้านที่ตกแต่งอย่างง่ายๆ แตกต่างจากร้านอื่นๆที่พวกเราเดินผ่าน แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับผลิตภัณฑ์บางอย่างที่แขวนโชว์อยู่บนผนัง และอีกหลายๆอย่างที่เรียงรายอยู่ติดๆกัน ผมกวาดตามองสินค้าบางอย่างที่วางอยู่ในตู้กระจกใกล้ๆ ... ความร้อนวิ่งทั่วร่างแล้วมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า ผมรีบหันหลังกลับและผลุนผลันผลักประตูก้าวออกมาจากร้าน

                    หันมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นแม้เงาของพี่ปิง ผมรู้สึกอายจนร้อนรน หันรีหันขวาง แต่แล้วก็มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ... ร่างบางที่สวมแว่นตาดำยืนล้วงกระเป๋ากางเกง กำลังหัวเราะอยู่อีกฟากของถนน

                    ผมรีบวิ่งข้ามไป “พี่ปิง!” ผมเริ่มต้นโวยวาย “พี่หลอกผมอ่า” ผมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง สัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวบนแก้ม

                    “ฮ่าๆๆ” พี่ปิงยังหัวเราะชอบใจ “อะไรกัน ทำไมรีบออกมาซะล่ะ ไม่ชอบเหรอ?” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

                    ถึงผมจะชอบเวลาที่พี่ปิงหัวเราะ แต่คงไม่ใช่จากกรณีนี้แน่ๆ

                    “จะชอบได้ไงเล้า” ผมเบ้ปาก “คนในร้านมองผมด้วยล่ะ” ผมทำท่าจะร้องไห้ เมื่อนึกว่าคนในร้านต้องคิดว่าผมเป็นคนประเภทเดียวกับพวกเขาแน่ๆ

                    “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” พี่ปิงพยายามกลั้นหัวเราะ

                    “งั้นพี่เข้าไปกับผมไหมล่ะ?” ผมคว้าข้อมือเขามากำเอาไว้

                    พี่ปิงยังหัวเราะหึๆในลำคอแล้วถอนหายใจ “โกรธเหรอเนี่ย?” เขายกมือที่ว่างขึ้นยีหัวผม

                    ผมทำแก้มตุ่ย จะบอกว่าโกรธก็คงไม่ใช่ แต่อายมากกว่า

                    “โอ๋ๆ” พี่ปิงยังยีหัวผม

                    “ไม่ได้โกรธฮะ แต่ ... ผมอาย” ผมก้มหน้างุด

                    “อายทำไมกัน ดีซะอีก พอกลับไปเมืองไทย พีทจะได้มีเรื่องไปเล่าให้เพื่อนฟังไง ถ้าไปเล่าว่ามาเดินดูตึกโบราณคงน่าเบื่อแย่” พี่ปิงยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ

                    “คงงั้นมั้งฮะ” ผมเบ้ปาก แต่ก็แอบเห็นด้วยกับพี่ปิง ... คราวนี้ผมก็มีเรื่องไปเล่าอวดเกทับไอ้ม่อกกับแก๊งแล้วว่าผมได้เข้าร้าน Sex Shop ที่อเมริกามาแล้ว ... มันก็เท่ไม่หยอกสำหรับเด็กหนุ่มอย่างพวกผม ... ว่าแต่พี่ปิงรู้จักสถานที่แบบนี้ได้ยังไง?

                    “มานี่สิ พี่ถ่ายรูปให้ไว้เป็นหลักฐาน เผื่อไปเล่าอวดเพื่อนแล้วเขาไม่เชื่อ” พี่ปิงล้วงโทรศัพท์มาถือไว้

                    ผมมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกทึ่ง ไม่อยากจะเชื่อว่าความคิดอย่างนี้จะมาจากพี่ปิงที่ดูนิ่งๆติดจะเย็นชา(สำหรับคนทั่วไป)

                    “อะไร?” พี่ปิงเอ่ยถาม คงเพราะผมมองหน้าเขานานเกินไป

                    ผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงปล่อยมือที่จับข้อมือพี่ปิงเอาไว้ แล้วอ้อมแขนไปโอบไหล่เขา แล้วดึงให้มายืนข้างๆ

                    “พี่มาเซลฟี่กับผมเลย” ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง

                    พี่ปิงหันมาเงยหน้าขึ้นมอง

                    สันจมูกแหลมที่โผล่จากแว่นกันแดด อยู่ห่างจากปลายจมูกของผมที่ก้มลงไปมองแค่เพียงนิ้ว แม้ผมจะไม่สามารถมองเห็นสายตาของพี่ปิง แต่กลิ่นหอมจางๆจากตัวเขาก็ทำให้ใจผมหวิวโหวงจนในสมองหมุนคว้าง ร่างบางที่ถูกโอบอยู่ขยับเล็กน้อย

                    “จะถ่ายไหม?” เสียงจากปากแดงระเรื่อเอ่ยถาม เป็นการเรียกสติของผมให้กลับคืนมา

                    “ถะ ถ่าย ... ครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก

                    “เปิดกล้องก่อนไหม?”

                    คำถามของคนข้างๆทำให้ผมเหลือบมองโทรศัพท์ในมือที่ยกขึ้น จอยังดำสนิท ผมจึงต้องปล่อยมือที่โอบไหล่พี่ปิงออก เพื่อมาเปิดกล้องในโทรศัพท์ เมื่อกล้องพร้อม ผมอ้อมแขนหวังที่จะโอบไหล่พี่ปิงอีกครั้ง

                    “ไม่ต้องดีกว่ามั้ง?” พี่ปิงเอ่ยทักท้วง

                    ผมแสดงสีหน้าผิดหวัง นี่เป็นโอกาสที่จะได้มีภาพถ่ายร่วมกับพี่ปิง ผมแค่อยากได้โมเมนท์ที่ดีที่สุด

                    “ข้างหลังนั่นร้านอะไรล่ะ?”

                    ผมตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่พวกเรากำลังจะถ่ายรูปอยู่นั้นคือร้านของเล่นอย่างว่าของผู้ใหญ่ และถ้าผมกับพี่ปิงยืนโอบกันโดยมีร้านนั้นเป็นแบ็คกราวน์ คงดูไม่เหมาะแน่

                    “นั่นสิ” ผมปล่อยมือจากไหล่พี่ปิงแล้วหัวเราะ

                    “แต่ยังไงพี่ก็ต้องถ่ายกับผมล่ะ เพราะพี่พาผมมา” ผมไม่ยอมแพ้

                    “อื้อ” พี่ปิงผงกหัวแล้วกอดอก

                    ผมขยับตัวมายืนด้านหลังร่างบาง

                    “อย่าลืมให้เห็นป้ายชื่อร้านนะ” พี่ปิงยังไม่ลืมที่จะเตือน

                    “แน่น้อน” ผมขึ้นเสียงสูง “เอาล่ะนะ 1 2 3” ผมกดชัตเตอร์ และแล้วรูปของผมและพี่ปิงก็ถูกบันทึกเอาไว้

                    “พอใจหรือยัง?” พี่ปิงเอ่ยถาม

                    “ก็โอเค” ผมยักไหล่ แกล้งตีสีหน้าเหมือนยังไม่พอใจเท่าไหร่

                    “มา เดี๋ยวพี่ถ่ายภาพเดี่ยวให้”

                    ผมมองหน้าเขา

                    “เราคิดจะเอาภาพคู่ไปอวดเพื่อนหรือไง?” พี่ปิงหยิบโทรศัพท์จากมือผมไปถือเอาไว้ “เอ้า ทำหน้าตาให้เข้ากับร้านหน่อย”

                    เสียงเชียร์ของตากล้องทำเอาผมร้อนหูขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็ยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างขึ้น แล้วชี้ไปทางร้านที่ตั้งอยู่ด้านหลังอีกฟากถนน

                    “โอเค” พี่ปิงยื่นโทรศัพท์คืนให้ “เดี๋ยวเดินไปทางนั้น จะเป็นอาคารที่พักอาศัยซึ่งสวยคลาสสิคมาก” พี่ปิงชี้นิ้ว

                    ผมตั้งใจฟังแล้วพยักหน้า

                    “เดินไปอีกก็จะเป็นมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์”

                    “มีมหา’ลัยด้วยเหรอครับ?”

                    “ใช่ ... ว่าแต่จะเดินไหวไหมเรา”

                    “จิ๊บๆ” ผมยืดอก

                    “คนมาที่นี่ก็เดินกันทั้งนั้นเพราะที่จอดรถหายากมาก และเพื่อซึมซับบรรยากาศ การเดินจะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดสองข้างทางได้ดีที่สุด” พี่ปิงพูดในขณะที่พวกเราเริ่มออกเดิน

มีต่อค่ะ ...

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #24 [updated 5/7/2559]
«ตอบ #66 เมื่อ05-07-2016 22:19:29 »

ต่อ ...

  ที่พี่ปิงถามว่าเดินไหวไหม ผมเข้าใจแจ่มแจ้ง เพราะเราเดินกันจริงจังมาก แต่แม้เราจะเดินกันมากแค่ไหน ผมกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อาคารเก่าแก่ที่ทาสีสดใสเรียงกันเป็นแถว คลาสสิคอย่างที่พี่ปิงบอกไว้ เราแวะร้านเครื่องดื่มที่ทากรอบประตูกระจกสีชมพูสด ภายในเป็นห้องไม่กว้างมากนัก แต่กลับมีเสน่ห์ด้วยการตกแต่งแนววินเทจแท้ๆแบบที่ไม่ต้องพยายามเหมือนบางร้านในเมืองไทย

                    เมื่อเราดื่มน้ำผลไม้ปั่นกันหมดแก้ว การเดินก็เริ่มต้นอีกครั้ง สักพักเราก็มาถึงบริเวณของมหาวิทยาลัย อาคารเก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านและรูปปั้นตรงวงเวียนด้านหน้า ให้ความรู้สึกขรึมขลังมีพลังเป็นอย่างมาก พี่ปิงบอกให้ผมไปถ่ายภาพได้ตามสบาย ส่วนเขาจะนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเขียวครึ้ม

                    ผมเก็บบันทึกภาพตึกและบริเวณโดยรอบ ผู้คนที่เดินกันอยู่ในบริเวณนี้น่าจะเป็นนักศึกษา และอาจมีนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราบ้าง ผมชอบถ่ายภาพสถานที่ในขณะที่มีคนเดินอยู่ตรงนั้น มันให้ความรู้สึกถึงการมีชีวิตมากกว่าการถ่ายภาพอาคารที่ไร้ผู้คน ... ผมแอบหันกล้องมาบันทึกภาพพี่ปิงไว้หลายภาพ เมื่อพอใจแล้วจึงเดินมานั่งลงข้างๆเขา

                    “สวยมากเลยฮะ ขอบคุณมากครับที่พาผมมา” ผมกดเช็คดูรูปในกล้อง

                    “ยังไม่หมดนะ เดี๋ยวก่อนกลับเราจะไปนั่งชมแม่น้ำโปโตแมคกัน”

                    ผมเงยหน้าขึ้น ทำตาโตด้วยความตื่นเต้น

                    “แต่ตอนนี้นั่งพักก่อนก็แล้วกัน เพราะต้องเดินกันอีก”

                    “ครับ” ผมมองใบหน้าสวยที่ตอนนี้ถอดแว่นตากันแดดออกไปแล้ว “พี่ปิงยังถ่ายรูปอยู่ไหมครับ?” ผมนึกถึงเมื่อครั้งที่เราพบกันครั้งแรก

                    เขาส่ายหน้า “ไม่ค่อยได้ถ่ายแล้วล่ะ”

                    “ทำไมล่ะครับ?”

                    “เมื่อก่อนที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆก็ถ่ายบ้าง แต่พอทำงานฟูลไทม์ เวลาน้อยลง พอถึงวันหยุดก็อยากอยู่นิ่งๆที่บ้าน สงสัยเพราะแก่แล้ว”

                    “พี่ปิงแก่ที่ไหนล่ะครับ” ผมรีบเถียง “พี่ถ่ายรูปสวยมากนะครับ น่าเสียดายถ้าจะหยุดไป”

                    “รู้ได้ยังไงว่าพี่ถ่ายรูปสวย”

                    “ก็ภาพพ่อกับแม่และผม ที่พี่ส่งมาให้ทางไลน์ไงฮะ ผมชอบมาก พ่อกับแม่ก็ชอบมากเหมือนกัน แม่ยังบอกเลยว่าอยากได้ต้นฉบับไปขยายใส่กรอบ” ผมเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้จึงถือโอกาสขอกับพี่ปิง “พี่ปิงยังมีภาพต้นฉบับอยู่ไหมครับ?”

                    “มีที่อัดมาแล้วนะ แต่ฟิล์มพี่ไม่ได้เก็บไว้แล้ว เพราะตอนที่จะมาอเมริกาก็ต้องทิ้งของไปหลายอย่าง”

                    “ไม่เป็นไรครับ เป็นภาพก็น่าจะขยายได้ ผมขอยืมไปก่อนแล้วจะส่งคืนมาให้นะครับ

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    เราทั้งสองเงียบกันไป บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น ผมเอนหลังเหยียดขาอย่างผ่อนคลาย

                    “เหนื่อยไหม?” เสียงนุ่มเอ่ยถาม

                    “ไม่ครับ ... ผมชอบที่นี่จัง ก่อนจะมา ผมนึกไม่ออกเลยว่าอเมริกาจะเป็นยังไง” ผมมองผีเสื้อที่บินวนอยู่รอบดอกไม้ในสวนหย่อม “พี่รู้ไหมว่าทำไมผมถึงมาอเมริกา?” ผมหันไปถามคนที่นั่งเงียบ

                    พี่ปิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                    “ผมมาหาแฟน เธอตามมาอยู่กับแม่ที่แต่งงานกับคนที่นี่ บังเอิญไมค์เป็นเพื่อนกับเธอ ผมก็เลยได้มาอยู่บ้านเช่าของไมค์” ผมหยุด นึกถึงความรู้สึกตื่นเต้นดีใจก่อนจะบินมาที่นี่

                    พี่ปิงยังคงนั่งฟังอย่างเงียบๆ

                    “แต่มาได้ไม่กี่วันผมก็รู้ว่าเธอมีแฟนใหม่ไปแล้ว ผมก็เลยอกหัก” ผมหัวเราะให้โชคชะตาอย่างขมขื่นใจ “โชคดีที่มีไมค์คอยอยู่ด้วย และผมยังได้เจอคนดีๆอย่างพี่เมฆ ... และพี่” ผมหันไปมองคนข้างๆ อยากพูดต่อว่า ... พี่ปิงคนสำคัญที่สุดของผม ... แต่ก็ได้แค่คิด

                    พี่ปิงหันมาสบตา

                    “พี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?” ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ผมวิ่งชนพี่ปิง ตลอดเวลา 10 ปีที่ผมเก็บเอามาฝัน และจนถึงวันที่เขามายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ

                    พี่ปิงยังสบตาผมนิ่ง “การพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เขาพูดแล้วยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหัวผม

                    ผมเอื้อมมือขึ้นไปจับมือของพี่ปิง กุมมันไว้แล้วเลื่อนลงมาวางไว้ข้างๆตัว เขามองหน้าผม ดวงตายาวรีมีแววตระหนกปะปน

                    “ขอผมจับมือพี่ไว้อย่างนี้สักพักได้ไหมครับ?” ผมสบตาเขาแล้วเอ่ยขอ ที่ผมกล้า เพราะมองดูรอบๆแล้วไม่มีคนอื่นอยู่ในระยะสายตา

                    พี่ปิงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ผมกุมมือเขาไว้หลวมๆ

                    “พี่รู้ไหม ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเงยขึ้นมาเห็นหน้าพี่ตอนที่ผมวิ่งชนพี่ หลังจากวันนั้นผมก็ฝันถึงพี่มาตลอด ... วันก่อนนี้ผมยังฝันเลย” ผมมองหน้าเขา บอกตัวเองในใจว่าต้องกล้าที่จะพูด เพราะผมมีเวลาไม่มาก

                    พี่ปิงมองหน้าผมนิ่งเช่นเคย สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนเดาไม่ถูกว่าภายใต้ความสงบนั้นมีอะไรซ่อนอยู่

                    “ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง ความเป็นไปได้สำหรับผมมันเป็นศูนย์ ผมถึงเก็บพี่ไว้ในใจและมีความสุขกับความฝันของตัวเองมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนผมคิดว่าการที่วีซ่าผ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเพราะผมจะได้มาเจอกับแบม แต่เมื่อได้พบกับพี่ที่นี่ ผมคิดว่านี่คือพรหมลิขิตของผมกับพี่”

                    “แต่อีกไม่กี่วันพีทก็ต้องกลับไทย และก็ไม่รู้ว่าจะได้มาอเมริกาอีกเมื่อไหร่” พี่ปิงที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้น คำพูดของเขาคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ

                    ผมสอดนิ้วประสานกับนิ้วเรียวของพี่ปิงแล้วบีบเบาๆ “ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มาอีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่อยู่ที่นี่ และผมจะไม่ยอมให้พี่หายไปไหน”

                    เราสบตากันนิ่ง แล้วพี่ปิงก็เอ่ยถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังคุยกัน “พีทอายุเท่าไหร่?”

                    “18 ครับ” ถึงแม้จะยังไม่ถึง แต่ผมคิดว่า 18 ฟังดูดีกว่า 17

                    “ปีนี้พี่ 28 เวลา 10 ปีที่เราห่างกัน มันมีหลายอย่างที่เราย่อมมองและคิดต่างกัน พีทมีเวลาอีก 10 ปีกว่าจะโตเท่าพี่ เพราะฉะนั้นเอาเวลานี้ไปคิดเรื่องเรียนเรื่องอนาคต และใช้ชีวิตให้สนุกและมีประโยชน์ดีกว่า” พี่ปิงบีบมือที่ประสานกันของเรา แล้วคลายออก เขาปล่อยมือจากมือผม ...

                    “พี่เชื่อว่าการพบกันของเราไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และพรหมลิขิตคงพาให้พีทมาอเมริกา แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่แค่พี่คนเดียวที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของพีทเมื่อพีทมาถึงที่นี่” คำพูดของพี่ปิงคล้ายพยายามผลักผมให้ห่างจากเขา

                    “แต่พี่คือคนที่ผมดีใจมากที่สุดได้เจอ พี่คือคนที่อยู่ในความฝันของผมมาตลอด” ผมมองใบหน้าของคนที่ฝันหามาตลอด 10 ปี เมื่อเขามาอยู่ตรงนี้ที่เอื้อมถึง ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยเขาไปได้อีก

                    “พีทไม่คิดเหรอว่าคนที่เคยอยู่ในความฝันมาตลอด เขาก็ควรอยู่ตรงนั้นต่อไป?” พี่ปิงหรี่ตามอง

                    ใจผมเหมือนโดนเจาะด้วยเข็ม “ไม่ ...” ผมเอ่ยได้เพียงเท่านั้น

                    พี่ปิงหยิบแว่นตากันแดดขึ้นมาสวม แล้วลุกยืน “ไปกันเถอะ”

                    ผมเงยขึ้นมองใบหน้าเรียวเล็กในกรอบแว่น อยากพูดอะไรมากกว่านี้ พี่ปิงจะมาตัดบทและสรุปเรื่องราวของผมจบลงง่ายๆอย่างนี้ไม่ได้ แต่มือขาวๆที่ยื่นส่งมาให้ตรงหน้า ทำให้ต้องระงับความต้องการเอาไว้ ... ผมถอนหายใจก่อนจะส่งมือไปวางบนมือของเขา

                    เมื่อพี่ปิงฉุดให้ผมยืนขึ้น เขาก็ปล่อยมือ แล้วเดินนำผมไปตามทางที่พวกเราเคยเดินเข้ามา ... ขากลับเราผ่านถนนเส้นเล็กๆที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ พี่ปิงบอกว่านี่คือถนนเก่าแก่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หินที่เรียงอยู่นี่คือของเก่าทั้งหมด ระหว่างถนนสองสายมีคลองเล็กๆอยู่ตรงกลาง

                    ทั้งบรรยากาศและทิวทัศน์รอบด้านล้วนดีงาม แต่ในใจของผมกลับห่อเหี่ยวด้วยคำพูดของพี่ปิงเมื่อสักครู่ ... ผมมองร่างบางที่เดินนำหน้าอยู่ 2-3 ก้าว ... ทำไมเขาต้องพูดจาคล้ายกับไม่อยากให้ผมอยู่ในชีวิตของเขา

                    อยู่ๆพี่ปิงก็หยุดฝีเท้า ทำให้ผมต้องหยุดตามไปด้วย เขาหันกลับมา “เป็นอะไร?”

                    ผมส่ายหน้ารัวๆ การปฏิเสธเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติอย่างหนึ่งเมื่อผมต้องการโกหก

                    พี่ปิงถอนหายใจ แต่ที่ปากกลับมีรอยยิ้ม “คิดมากใช่ไหมเรา?”

                    ผมไม่ตอบ แต่กัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้

                    “พีท” พี่ปิงก้าวเข้ามายืนใกล้ๆ “เรายังเด็ก พี่แค่ไม่อยากให้เราคิดมากหรือจริงจังในเรื่องบางเรื่องที่เป็นแค่อารมณ์ รู้ไหมว่าเมื่อโตขึ้น มีเรื่องมากมายในชีวิตที่เราจำเป็นต้องใช้เหตุผลแทนความรู้สึก”

                    ผมคิดว่าผมเข้าใจในสิ่งที่พี่ปิงบอก เพียงแต่ไม่อยากยอมรับว่าผมกำลังใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ... ผมพิงหลังกับราวกั้นที่เป็นแนวยาวไปตามสายคลอง

                    “ทำไมพี่ต้องตัดรอนผม ผมแค่ดีใจที่ได้เจอพี่ แค่อยากมีพี่ในชีวิตไปเรื่อยๆ” ผมมองปลายเท้าของตัวเอง แค่นี้จริงๆที่ผมต้องการในเวลานี้ ... แม้จะมีบางครั้งที่นึกอยากจูบและอยากอยู่ใกล้ แต่ถ้าเขาไม่อนุญาต ผมก็ไม่คิดที่จะฝืนใจเขา

                    พี่ปิงพิงหลังลงข้างๆ “พี่ไม่ได้ตัดรอน พี่แค่อยากให้พีทคิดให้มาก เรื่องบางเรื่องใช่ว่าความรู้สึกของเราจะถูกต้องเสมอไป ถ้าก้าวผิดทางไปแล้ว ไม่ใช่แค่ตัวเราที่เสียใจ แต่ยังมีคนที่รักเราอีกหลายคนที่ต้องเสียใจไปด้วย”

                    ผมหันมองหน้าพี่ปิง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งพี่เขาพูด

                    “พี่เป็นผู้ชาย” ผมมองริมฝีปากแดงระเรื่อที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา

                    “ผมรู้” ผมพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่ว

                    ในเวลานั้นใบหน้าของไมค์กลับผุดขึ้นมาในความคิด ... วันที่ถูกผมปฏิเสธ เขาจะรู้สึกอย่างผมในตอนนี้ไหม?

 

                    เราเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า Waterfront ข้างหน้าคือแม่น้ำ Potomac ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของที่นี่ คงคล้ายๆแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านกรุงเทพฯ

                    “กินข้าวที่นี่กันเลยไหม? อีกหน่อยพระอาทิตย์ตก จะสวยมาก”

                    ผมลดกล้องลงแล้วพยักหน้า ห่างจากที่พวกเรายืนอยู่ไม่ไกล มีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงราย ผู้คนนั่งกันหนาตา ... ที่นี่มีร้านอาหารหลายร้าน เราสามารถสั่งอาหารในร้านแล้วออกมานั่งข้างนอกเพื่อสัมผัสบรรยากาศริมแม่น้ำได้

                    “ทำรอยยิ้มหล่นหายระหว่างทางหรือไง?” พี่ปิงถอดแว่นกันแดดแล้วเสียบไว้ที่อกเสื้อ

                    ผมหน้ามุ่ย อยากบอกว่าพี่นั่นแหละคือคนที่ขโมยรอยยิ้มของผมไป แต่จริงๆผมก็ทำได้แค่เพียงส่ายหน้า

                    “ยิ้มเยอะๆ เวลาพีทยิ้มแล้วสดใสเหมือนพระอาทิตย์” พี่ปิงพูดแล้วยิ้ม

                    ผมอมยิ้ม ... คำพูดและแววตาของพี่ปิงต่างหากที่อบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ “พี่อยากให้ผมยิ้ม ก็ต้องเซลฟี่กับผมเยอะๆ” ผมได้ที

                    “โอ้ ... มีต่อรอง”

                    “หรือพี่ไม่อยากเห็นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง?” ผมยื่นหน้าไปใกล้

                    พี่ปิงกลอกตา

                    พนักงานนำฟิชแอนด์ชิฟที่พวกเราสั่งเอาไว้มาเสริฟ พี่ปิงหันไปกล่าวขอบคุณ

                    “มาเลย” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมา เอียงตัวเข้าหาพี่ปิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างๆ

                    พี่ปิงเอียงตัวเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นไหล่ของเราก็ชนกัน ผมยิ้มกว้าง แต่พี่ปิงเพียงแค่ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

                    “พี่ไม่คิดจะกลับไทยบ้างเหรอครับ?” ผมถามขณะที่พวกเราจัดการกับอาหารค่ำ

                    “คิด ... แต่พี่เพิ่งได้กรีนการ์ดไม่นาน อยากเก็บเงินอีกสักหน่อย เผื่อขากลับมาเขาไม่ให้เข้าประเทศ”

                    “บ้า มีกรีนการ์ดยังไงก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอฮะ?”

                    พี่ปิงหัวเราะน้อยๆ ผมจึงคิดว่าเขาแค่พูดเล่น

                    “แล้วครอบครัวที่เมืองไทยล่ะครับ พี่ไม่คิดถึงเหรอ?” ผมเคยถามพี่เมฆเมื่อวันที่ไปกินบาร์บีคิว พี่เมฆบอกว่าพี่ปิงมาอยู่ที่นี่ก่อนเขาหลายปี

                    พี่ปิงเหม่อมองไปยังสายน้ำเบื้องหน้าก่อนจะตอบ “คิดถึงสิ”

                    “คิดถึงก็กลับไปเยี่ยมสิครับ”

                    พี่ปิงหันมามองหน้าผม “นั่นสินะ”

                    “ถ้าพี่ปิงกลับไทย เราก็จะได้เจอกันอีก” ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงข้อนี้

                    พี่ปิงไม่ตอบ เขาแค่มองหน้าผมเงียบๆ

                    พวกเราย้ายไปนั่งที่ขั้นบันไดตรงท่าน้ำ จนกระทั่งพระอาทิตย์เลื่อนลับหายไป ผมเก็บภาพช่วงเวลานั้นไว้หลายภาพ รวมทั้งภาพของพี่ปิงในช่วงขณะที่เขาไม่รู้ตัว

 

                    ถนนที่พวกเราเดินผ่านมาเมื่อกลางวันตอนนี้แปลกตาไปมาก แสงไฟจากร้านค้าต่างๆและดวงไฟจากเสาริมถนนทำให้จอร์จทาวน์สวยและมีเสน่ห์มากขึ้นอีก

                    ผมหยุดบันทึกภาพเอาไว้หลายช็อต เมื่อเราเดินกลับไปยังอาคารที่จอดรถเอาไว้ ผมจับกล้องที่คล้องอยู่บนคอไว้แน่น ... ความทรงจำของผมกับพี่ปิงบันทึกอยู่ในนี้

 

                    เมื่อรถของพี่ปิงจอดลงตรงหน้าบ้าน ผมรู้สึกคล้ายจวนเจียนจะขาดใจ อยากหยุดวันเวลาเอาไว้แค่ตรงนี้ จากวันนี้ไปผมจะมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่กับพี่ปิงตามลำพังอย่างนี้อีกเมื่อไหร่ ... อเมริกาและเมืองไทยมันช่างไกลกันเหลือเกิน

                    ผมนั่งนิ่ง ไม่อยากเอื้อมมือไปเปิดประตู

                    “โอเคไหม?” พี่ปิงเอ่ยถามเบาๆ

                    ผมส่ายหน้า น้ำตาเริ่มเอ่อมาที่ขอบตา “ผมจะได้เจอพี่อีกไหม?”

                    “ถ้าอยากเจอก็ต้องได้เจอสิ กว่าพีทจะกลับก็อีกหลายวันไม่ใช่เหรอ”

                    ผมพยักหน้า แต่โอกาสที่จะได้อยู่ตามลำพังอย่างนี้คงไม่มีแล้ว ผมสูดหายใจรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นสบตา

                    “พี่ ...”

                    ผมโน้มตัวแล้วกดจมูกลงบนแก้มขาวด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อทำลงไปแล้วก็กลับมานั่งหลังตรงรอรับการลงโทษ

                    ใบหน้าด้านข้างของพี่ปิงถูกแสงไฟอาบเพียงครึ่ง เขานั่งนิ่ง นิ่งและนาน อกของผมแทบจะระเบิดด้วยความกลัวและตื่นเต้น ไม่ว่าพี่ปิงจะด่าหรือทำอะไร ผมจะก้มหน้ายอมรับโดยไม่ปริปาก

                    “ผมขอโทษ” ผมก้มหน้า เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาก็กลั้นไม่อยู่เสียแล้ว พี่ปิงคงเกลียดผมเข้าให้แล้ว

                    แต่แล้วสัมผัสหนึ่งก็ทำให้ใจกระตุก ผมเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อยู่ในเงามืดเสี้ยวหนึ่งกลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน มือของพี่ปิงวางอยู่บนหัวของผม

                    “พี่เข้าใจในสิ่งที่พีทคิด แต่ตัวพีทเองต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากกว่านี้”

                    “พี่โกรธผมไหม?” ผมช้อนตาขึ้นมอง

                    พี่ปิงส่ายหน้า “พี่มองพีทเหมือนน้องชาย จะโกรธทำไมเรื่องแค่นี้”

                    แม้พี่ปิงไม่โกรธ แต่คำว่า “น้องชาย” กลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลง

                    “ไปเถอะ ... อีก 2-3 วันเจอกัน”

                    ผมมองใบหน้านั้นด้วยความอาวรณ์ แต่เมื่อผมทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไป จึงไม่กล้าอิดออดอะไรได้อีก

 

                    ผมเพียงส่งข้อความสั้นๆบอกพ่อกับแม่ว่ากำลังจะเข้านอน มีข้อความจากแบม จากแก๊งเพื่อน แต่ผมไม่เปิดอ่าน โทรศัพท์ถูกวางไว้ข้างหมอน ... ค่ำคืนนี้ผมไม่แม้แต่จะกล้าส่งข้อความฝันดีไปถึงดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ...

                    ผมนอนมองความมืด นึกถึงสิ่งที่ทำลงไปในรถ แม้พี่ปิงจะบอกว่าเขาไม่โกรธ แต่ท่าทีที่นิ่งไปหลายนาทีก็บอกได้ว่าพี่ปิงไม่ได้ยินดีกับการกระทำของผม ...

                    ผมนึกถึงไมค์อีกครั้ง ... เขาสามารถยิ้มได้แม้จะถูกผมผลักตกเตียง ทั้งๆที่เขายังไม่ได้สัมผัสผมด้วยซ้ำ แต่ผมได้หอมแก้มพี่ปิง และพี่ปิงไม่โกรธ หนำซ้ำยังลูบหัวปลอบโยนผมอีกต่างหาก ... ความรู้สึกผิดต่อไมค์ก่อเกิดขึ้นมาอีก

                    ผมควรส่งข้อความบอกไมค์เมื่อกลับถึงบ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำ เมื่อคิดได้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่แล้วข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอกลับทำให้ใจเต้นโครมคราม

                    ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง – อย่าคิดมาก พี่ไม่โกรธจริงๆ เรายังเด็ก การทำตามความต้องการด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านเป็นเรื่องปกติตามวัย แต่จากนี้ไปพีทต้องคิดให้มากขึ้น พีทเป็นเด็กดี พี่ไม่อยากเห็นเราเดินผิดทาง

                    ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา

                    ผม – ผมผิดที่ผมหอมแก้มพี่โดยไม่ขออนุญาตก่อน แต่ที่ผมชอบพี่ ผมไม่ผิด

                    พี่ปิง – ชอบนั้นไม่ผิด แต่ชอบคนที่ไม่ควรชอบนั้นอาจทำให้อีกหลายๆคนเสียใจ

                    มีไฟล์รูปส่งมา ... มันคือภาพของผมที่มีกล้องอยู่ในมือและหันมาส่งยิ้มกว้างให้กับพี่ปิง ... ตามด้วยข้อความนี้ ...

                    พี่ปิง – รอยยิ้มที่สดใสของพีทมีค่ามากสำหรับพ่อแม่ อย่าให้พี่ต้องเป็นคนทำลายมัน

                    ผมนอนมองข้อความสุดท้ายของพี่ปิง อ่านมันซ้ำๆ ... พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหนถ้ารู้ว่าผมชอบผู้ชาย

 

                    ... แต่ถ้าต้องปฏิเสธความต้องการภายในใจของตัวเอง ... ผมจะเสียใจแค่ไหน?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2016 22:36:54 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
«ตอบ #67 เมื่อ17-07-2016 20:49:15 »

# 25 (PETE)

 

 

                    ผมตื่นแต่เช้าตรู่ ออกไปวิ่งรอบหมู่บ้าน ... นี่อาจเป็นเช้าสุดท้ายที่จะได้ทำกิจกรรมเช่นนี้ ณ ที่แห่งนี้ เช้าวันอาทิตย์ผมต้องไปจากที่นี่แล้ว และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่

                    เมื่อวิ่งผ่านสนามบาสเก็ตบอล มีใครคนหนึ่งกำลังชู้ตห่วงอยู่เพียงลำพัง ... ร่างสูงที่คุ้นตาทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าลง

                    “ไมค์!” ผมร้องทัก

                    ใบหน้าคมหันมาตามเสียงเรียก คิ้วเข้มขมวดปม ผมสีน้ำตาลที่ไม่ได้เซ็ทปรกหน้าผาก

                    “Hey” ไมค์คลายขมวดที่หัวคิ้วแล้วเอ่ยทักกลับมา “มาทำอะไร?”

                    “จ็อกกิ้ง” ผมเดินเข้าไปหาเขาในสนาม

                    เขาพยักหน้าถี่ๆ “ก็สมควร พุงนายล้ำหน้าละ” พูดแล้วก็จ้องมาที่ช่วงกลางลำตัวของผม

                    “จริงดิ?” ผมแสดงท่าทีตกใจเกินจริงเพราะรู้ว่าไมค์แกล้งอำ

                    “Yah” ไมค์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ส่งลูกบาสลงเลี้ยงข้างๆตัว

                    “เล่นด้วยดิ” ผมยื่นมือไปแย่งลูกบาสมาเลี้ยง

                    ไมค์ชักสีหน้า “นายจะแข่งกับฉันเหรอ?”

                    “ย่อมได้” ผมรับคำท้าแล้วเลี้ยงลูกบาสหลบร่างสูง ส่งลูกเช็ดแป้นลงห่วงไปอย่างสวยงาม

                    ไมค์วิ่งไปคว้าลูกบาสที่ตกลงมาจากห่วง พร้อมตะโกนเสียงดัง “ฉันจะสั่งสอนนายเอง!”

 

                    ไม่รู้ว่าเราใช้เวลาที่สนามบาสเก็ตบอลกันนานเท่าไหร่ แต่ถ้าจะถามถึงผลแพ้ชนะ ถึงแม้จะไม่ได้นับกันอย่างจริงจังว่าใครชู้ตได้กี่ลูก ผมก็รู้ตัวดีว่าสู้ไมค์ไม่ได้เลย

                    “สนุกไหม?” ไมค์เอ่ยถามเมื่อเราเอนตัวลงนอนใต้ต้นไม้ใหญ่ ริมสนามหญ้าที่เราเคยพาทิลลี่มาเล่นขว้างบอล

                    “อื้อ แต่จะสนุกกว่านี้ถ้าฉันไม่แพ้นายราบคาบ” ผมไม่รู้สึกเสียหน้าเลยสักนิดที่สู้ไมค์ไม่ได้ ผมว่าถ้าเขาเล่นอย่างจริงจังคงเป็นนักกีฬาทีมโรงเรียนได้สบายๆ

                    “ไม่ใช่ ... ฉันหมายถึงไปเที่ยวเมื่อวานสนุกไหม?”

                    ผมหันมองใบหน้าของคนที่นอนอยู่ข้างๆ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนที่คิดว่าจะส่งข้อความถึงเขา ผมก็ไม่ได้ทำ เพราะมัวแต่คิดวนเวียนอยู่กับคำพูดของพี่ปิงจนผล็อยหลับไป

                    “ก็ ... สนุกดี” ผมตอบไม่เต็มเสียง ด้วยความรู้สึกผิดที่ละเลยในสิ่งที่ควรทำ ทั้งๆที่ไมค์เคยพูดเรื่องนี้กับผมไปแล้วเมื่อครั้งก่อนที่ไปช้อปปิ้งกับพี่ปิง ผมรู้ดีว่าทุกครั้งที่ไมค์โกรธหรือโวยวาย นั่นเพราะความเป็นห่วงที่มีให้ แต่ผมเองกลับเพิกเฉยกับความห่วงใยนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ... แต่ครั้งนี้เขากลับนิ่งเฉย หรือคงเบื่อแล้วที่จะต้องคอยตามเป็นห่วงผม

                    “ไปไหนกันมาบ้าง?” ไมค์นอนหนุนมือที่ประสานกันเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าสายตาของเขาเหม่อมองไปที่ใด แต่ที่แน่ๆ เขาไม่หันมามองหน้าผม แม้เมื่อเอ่ยถามคำถาม

                    “ก็เดินอยู่รอบๆจอร์จทาวน์” ผมสอดมือข้างหนึ่งเพื่อหนุนหัวตัวเองบ้าง

                    “ทำอะไรกัน?”

                    “กินข้าว เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูป” ผมมองใบไม้ที่อยู่เหนือหัวของพวกเรา นึกถึงใบหน้าเรียวเล็กภายใต้กรอบแว่นตากันแดดของพี่ปิง

                    “นายมีความสุขไหม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามราบเรียบทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าคนตั้งคำถามเพื่อเช็คอารมณ์ แต่แล้วเจ้าของสันจมูกโด่งก็หันมา ใจผมกระตุกเฮือกเพราะไม่ทันตั้งตัว

                    “นายมีความสุขไหมที่ได้ใช้เวลากับพี่ปิง?” ไมค์ถามซ้ำ

                    ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างแค่เพียงช่วงแขน ถ้าตอบไปตรงๆ มันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของไมค์หรือไม่? เพราะถ้าไมค์ยังชอบผมอย่างที่เขาเคยบอก เขาอาจเสียใจ แต่ถ้าผมบอกไปว่าไม่ นั่นก็หมายความว่าผมโกหก

                    “ทำไมไม่ตอบ?” เขายังคงมองหน้าผม

                    “อือ ...” ผมตอบออกไป ถึงบอกไปว่าไม่ ไมค์เองก็คงไม่เชื่อ

                    ดวงตาสีน้ำตาลทอดนิ่งอยู่บนใบหน้าของผม แต่แล้วก็หันกลับไปเหม่อมองเบื้องหน้าอีกครั้ง

                    “เราขอโทษ” คำตอบของผมคงทำให้ไมค์ไม่สบายใจ ... ผมน่าจะโกหกซะดีกว่า

                    “เฮ่อ ... นายจะขอโทษทำไมกัน นายมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข ... ฉันเองก็มีความสุข ... ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับนาย” เขาหันมา ระบายยิ้มบางที่ริมฝีปาก

                    “ไมค์ ...” ความรู้สึกบางอย่างวิ่งเข้ามาในอก ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้ผมพูดไม่ออก

                    “ทำไม? คำพูดฉันมันเท่จนทำให้นายพูดไม่ออกเลยหรือไง?” ริมฝีปากบางยกยิ้ม

                    “ใช่ ... นายมันเท่” ผมจะปฏิเสธได้ยังไง

                    “หึ” ไมค์ยันตัวขึ้นนั่ง ท้าวแขนข้างหนึ่งไว้แล้วก้มลงมา “ฉันรู้ ... นายระวังตัวให้ดีเถอะ สักวันฉันจะทำให้นายตกหลุมรักฉันให้ได้”

                    ผมเลิกคิ้วให้กับความมั่นอกมั่นใจของคนข้างๆ มองสำรวจใบหน้าที่ลอยอยู่เหนือจมูกของตัวเองแค่เพียงคืบ ... สิ่งที่ไมค์มั่นใจนั้นไม่ผิด

                    “นายรู้ป่ะ ถ้าเราเป็นผู้หญิงนะ เราต้องตกหลุมรักนายแน่ๆ” ผมพูดออกมาทั้งที่รู้สึกอายเล็กน้อย

                    “เฮอะ นายบ้าไหมเนี่ย ทำไมฉันต้องรอให้นายเป็นผู้หญิงซะก่อน” ไมค์เอ่ยเสียงดัง

                    “อ้าว ก็นายเป็นผู้ชาย” ผมโต้กลับ

                    “แล้วพี่ปิงล่ะ?” ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองลงมา

                    ผมกลั้นหายใจ ... พี่ปิงไม่เหมือนคนอื่น ไม่ว่าพี่ปิงเป็นชายหรือหญิง พี่ปิงคือพี่ปิง และถ้าไม่ใช่พี่ปิง ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายคนไหนได้ ...

                    “เฮ่อ ...” ไมค์ถอนใจ ยันตัวลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” เขาส่งมือลงมาให้

                    ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะส่งมือไปวางไว้บนมือของเขา ดันตัวขึ้นในขณะที่ไมค์ออกแรงฉุด ทำให้ตัวลอยขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดายจนแทบปลิว ผมเซนิดหน่อย ไมค์ใช้แขนอีกข้างประคองเอาไว้

                    “ขอบใจ” ผมเอ่ยเพื่อให้ไมค์รู้ว่าผมทรงตัวได้ดีแล้ว เพื่อเขาจะได้ปล่อยมืออีกทั้งแขนที่ประคองอยู่ที่เอวของผมให้เป็นอิสระ แต่ไมค์กลับยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

                    ใจผมหายวาบ รู้สึกถึงการเพลี่ยงพล้ำ ก่อนที่จะทันได้ผลักเขาออก ปลายจมูกแหลมก็เคลื่อนเข้ามา และริมฝีปากของผมก็ถูกประกบด้วยริมฝีปากของไมค์ ...

                    ในหัวผมหมุนติ้ว การประมวลผลจากความรู้สึกที่ถูกสัมผัสตรงริมฝีปากสั่งให้ผมออกแรงที่มือและแขนสุดกำลัง แล้วผลักให้ร่างสูงกระเด็นออกไป

                    ตุ้บ! ... ร่างของไมค์กระแทกลงกับพื้น “Ouch!!” เขาร้องเสียงดัง

                    “เฮ้ย!?” ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าแรงของตัวเองจะมากมายจนทำให้คนตัวโตอย่างไมค์ลงไปนอนกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า

                    ไมค์นิ่วหน้า ดันตัวเองขึ้นมานั่ง ยกศอกขึ้นมาสำรวจ มีรอยแดงเป็นปื้นยาว คงเพราะไถลไปกับพื้นหญ้า ผมรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ รีบคุกเข่าลงใกล้ๆ

                    “เป็นไรไหม?” ผมเอื้อมมือจะไปจับแขนที่แดงของเขา

                    ไมค์สะบัดหลบ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหวี่ยง “แล้วนายคิดว่าไงล่ะ?”

                    “ก็ ...” ผมไม่มีคำตอบ ... ไมค์คงเจ็บ

                    “ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง” พูดจบ ริมฝีปากบางก็ถูกกัดเอาไว้ เมื่อเจ้าตัวใช้นิ้วแตะไปที่แผลถลอกที่แขน

                    ผมขมวดหัวคิ้ว “นายเป็นฝ่ายรังแกเราก่อน เราแค่ป้องกันตัว”

                    “ฉันรังแกอะไรนาย?” ไมค์เอียงคอถาม ดวงตาคมคล้ายกำลังท้าทายอยู่ในที

                    ผมเบิ่งตามอง คนตรงหน้าเวลานี้ไม่มีทีท่าจะเจ็บปวดตรงไหนอย่างที่ผมเป็นห่วงเลยสักนิด

                    “ว่าไง ... ฉันรังแกอะไรนาย?” เขาถามย้ำ

                    “นาย ... จูบฉัน” ผมตอบด้วยความรู้สึกกระดากและชาที่แก้ม ... นี่ถือเป็นการรังแกที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยถูกกระทำมา เพราะมันคือจูบแรกของผม

                    ปากบางคลี่ยิ้ม ดวงตาคมหรี่มอง “ใช่ ... นายถูกฉันจูบแล้วล่ะ”

                    ความรู้สึกโหมกระหน่ำ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง โกรธ เจ็บใจ เสียดาย หรืออับอาย ... ลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น ถ้าเป็นคนอื่นผมคงกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วต่อยให้คว่ำลงไป แล้วกระชากขึ้นมาใหม่ แล้วต่อยให้คว่ำลงไปจนกว่าจะหายคับแค้นใจ ... แต่นี่คือไมค์ ...

                    “นายมัน! ...” ผมกัดปากตัวเอง ดวงตาที่ถูกเส้นผมปรกจ้องมาที่ผม ... ผมจ้องกลับ แต่เมื่อสายตาเผลอมองลงไปยังริมฝีปากบางที่เพิ่งสัมผัสมาเมื่อสักครู่ ภายในท้องกลับปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อบินวนอยู่สักหมื่นตัว ... ผมถอนสายตาแล้วหันหลัง สาวเท้ายาวๆออกไปจากที่ตรงนั้น

                    “นายจะไปไหน!?” ไมค์ตะโกนถามตามหลัง

                    “กลับบ้าน!” ผมตะโกนตอบโดยไม่หันกลับไปมอง

                    “เดี๋ยวสิ ช่วยฉุดฉันขึ้นไปก่อน” น้ำเสียงของไมค์เบาลง

                    “ไม่! นายเก่งนักก็ช่วยเหลือตัวเองเถอะ” แม้ผมจะชะงักเล็กน้อย แต่การกระทำของไมค์ทำให้ผมไม่ยอมใจอ่อนกับเขาง่ายๆ

                    “Ouch!” เสียงครวญของไมค์ดังตามหลังมาอีกครั้ง

                    ผมยังไม่ยอมหยุดเดิน แต่เมื่อก้าวต่อไปสักพัก ความเงียบทางด้านหลังทำให้เริ่มเป็นห่วง ในที่สุดก็ต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับไปมอง ไมค์ยังนั่งอยู่ที่เดิม ผมถอนหายใจอย่างพ่ายแพ้ก่อนจะเดินย้อนกลับไป

                    ไมค์นั่งก้มหน้า แขนทั้งสองข้างวางพาดบนเข่าที่ชันอยู่ ... ผมหยุดยืนตรงหน้าเขา ยื่นมือส่งไปให้ แต่เขายังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง

                    “ส่งมือมาสิ”

                    “...”

                    “เป็นไร?” ผมเตะไปที่ปลายเท้าเขาเบาๆ

                    “...”

                    “ไมค์”

                    “...”

                    อาการนิ่งไม่ไหวติงของไมค์ทำให้ผมเริ่มเป็นห่วง จึงนั่งยองๆ พยายามก้มส่องดูใบหน้าของเขา

                    “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ผมถามด้วยความเป็นห่วงจริงๆ บางทีตอนที่เขาล้มลง หลังอาจกระแทกกับพื้นแรงไปจนขยับตัวไม่ได้

                    แต่ไมค์ยังคงก้มหน้านิ่ง ... ผมเอื้อมมือไปจับผมที่ปรกลงมาปิดหน้า ... ไมค์มีผมเส้นเล็กอ่อนนุ่ม เมื่อสัมผัสให้ความรู้สึกคล้ายลูบขนของแบมบี้ ... กระต่ายที่ผมเคยเลี้ยง

                    “เจ็บตรงไหนบอกเราหน่อย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาด้วยรู้สึกผิด

                    “...”

                    “ไมค์ เจ็บตรงไหน?” ผมมองสำรวจไปที่แขนและขาของเขา

                    “...ใจ ...” เสียงเบาที่เอ่ยออกมาแม้ยังก้มหน้าอยู่ กระตุกใจผมให้สั่นไหว

                    “...” ผมพูดอะไรไม่ออก

                    เรานั่งกันอยู่ตรงนั้นหลายนาที ในที่สุดไมค์ก็เงยหน้าขึ้นมา

                    “ช่วยฉุดฉันยืนขึ้นที รู้สึกว่าข้อเท้าจะแพลง”

 

                    เราเดินกลับบ้านอย่างทุลักทุเลพอสมควร เพราะผมต้องประคองร่างสูงของไมค์ที่เดินกะเผลกมาตลอดทาง เมื่อถึงบ้านของไมค์ เขาก็ไล่ให้ผมกลับห้อง ทั้งๆที่ผมอยากดูแลเขามากกว่า แต่เพราะวันนี้คุณแม่ของไมค์อยู่บ้าน ผมจึงวางใจและยอมล่าถอย

                    ผมกลับมาที่ห้อง อาบน้ำและลงไปต้มมาม่ากินควบมื้อเช้าและกลางวัน

                    “ว่าไงไอ้น้องพีท?” พี่จิวทักเมื่อเราเจอกันที่โถงหน้าห้อง

                    “หวัดดีครับพี่จิว” ผมกล่าวทักทายโดยไม่ได้ยกมือไหว้ เพราะพี่จิวเคยบอกว่าเจอกันแทบทุกวัน จะไหว้ทำไมบ่อยๆ

                    “ว่าไงๆๆ พร้อมหรือยัง?” พี่จิวยักคิ้วถี่ๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “พร้อมอะไรครับ?” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามพูดถึง

                    “หืม ... วันเสาร์อ่ะวันเสาร์” พี่จิวเอียงหน้า ยื่นคอมาใกล้จนผมต้องเอนหลังหนี

                    “วันเสาร์ทำไมฮะ?” ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

                    “อืม ... แสดงว่ายังไม่รู้” พี่จิวพยักหน้าช้าๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอยู่คนเดียว

                    “อะไรพี่?” ผมงง

                    “ไม่เป็นไร” เขาสะบัดหน้า “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ?”

                    “เปล่าครับ” ผมมึนกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหันของพี่จิว “เอ่อ ... แต่ตอนบ่ายว่าจะไปดูไมค์ซะหน่อยฮะ” ผมนึกขึ้นได้ว่าควรจะไปดูแลไมค์ เพราะผมคือคนทำให้เขาเจ็บ

                    “ไมค์เป็นไร?” พี่จิวถามหน้าตาตื่น

                    “ข้อเท้าแพลงครับ”

                    “เอ๊า ไปทำอีท่าไหนล่ะ”

                    “เอ่อ ... คือ ...” ผมนึกหาคำแก้ตัว “เล่นบาสกันแล้วพลาดนิดหน่อยฮะ”

                    “เอ๊า เมื่อเช้าออกไปเล่นบาสกันมาเหรอ?”

                    “ครับ” ผมผงกหัวรับรัวๆ แล้วรีบขอตัวกลับเข้าห้อง

 

                    ผมนอนเหยียดยาวบนเตียง ตั้งใจจะส่งข้อความถามอาการของไมค์ แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่รูปโปรไฟล์ดอกไฮเดรนเยียสีม่วง ... ตั้งแต่เมื่อคืนที่พี่ปิงทิ้งคำพูดเอาไว้ ผมก็ไม่กล้าที่จะทักทายกลับไป ผมรู้สึกว่าแต่ละก้าวที่ขยับเข้าใกล้พี่ปิง มันเปราะบางจนต้องคิดแล้วคิดอีก ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกไปต่อจากนี้

                    ผมหันความสนใจไปที่ไมค์

                    ผม – เป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม

                    รอสักพักข้อความไม่ถูกเปิดอ่าน ผมจึงวางโทรศัพท์ลงข้างหมอนเพราะรู้สึกง่วง กะว่าจะงีบสักหน่อย ตื่นมาแล้วจะไปหาไมค์ที่บ้าน

                    แต่งีบไปสักครู่ เสียงเรียกสายก็ดังขึ้น

                    “สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายไป เมื่อเห็นชื่อที่บันทึกปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

                    /ทำไรอยู่วะหล่อ?/ เสียงพี่เมฆกังวานใส

                    “เปล่าครับ”

                    /เก็บกระเป๋าหรือยัง?/

                    “ยังเลยครับ ผมมีของไม่เยอะ เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ”

                    /วันอาทิตย์เครื่องออกกี่โมง?/

                    “อืม จำไม่ได้ฮะ เดี๋ยวต้องดูตั๋วอีกที”

                    /อะไรวะ ระวังตกเครื่องนะเว้ย/ พี่เมฆหัวเราะ ผมจึงหัวเราะตาม

                    “ตกก็ดีนะพี่ ผมจะได้มีข้ออ้างอยู่ต่อ”

                    /นั่นๆ ติดใจจนไม่อยากกลับแล้วเหรอ?/

                    “ก็ ประมาณนั้นฮะ” ผมนึกถึงใบหน้าขาวๆ และปากสีแดงระเรื่อ

                    /โอ๊ะโอ อะไรทำให้ติดใจขนาดนั้นว้า/ พี่เมฆทำเสียงล้อเลียน

                    “ก็มีบ้างน่ะพี่”

                    /กลัวคิดถึงใครหรือเปล่า?/

                    “พี่รู้ดีนะเนี่ย” ผมพูดทีเล่นทีจริง

                    /ไมกี้เหรอ?/ พี่เมฆหัวเราะเสียงดัง แต่ผมกลับไม่ขำเมื่อนึกถึงภาพที่ไมค์นั่งก้มหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

                    “พี่เมฆโทรมามีอะไรหรือเปล่าครับ?”

                    /เออๆ เกือบลืม/ พี่เมฆหัวเราะแล้วพูดต่อ

                    /วันเสาร์น่ะ พวกพี่ๆอยากเลี้ยงส่งเรา พี่เนสกับพี่จิวเขานัดกันที่บ้านพี่ ไมค์ก็จะมาด้วย ... นี่มีใครบอกไปหรือยัง?/

                    “ยังครับ ผมไม่รู้เรื่องเลย เพิ่งรู้นี่แหละ” ผมนึกถึงท่าทีของพี่จิวเมือสักครู่ จึงเข้าใจ

                    /ก็กะเซอร์ไพรส์กันนิดหน่อย แต่จะเซอร์ไพรส์หน้างานเลยก็คงไม่ได้ เพราะพี่อยากให้พีทเก็บกระเป๋าไปนอนค้างที่บ้านพี่เลย แล้วตอนเช้าวันอาทิตย์พี่จะไปส่งที่สนามบินเอง/

                    “เอาแบบนั้นเลยเหรอฮะ”

                    /เอาแบบนั้นแหละ เผื่อดึกกันไง จะได้นอนกันที่นั่นเลย ตอนเช้าพี่ก็ออกไปส่ง จะได้ไม่เสียเวลา”

                    “อืม ก็เข้าทีดีฮะ แต่ผมขอคุยกับไมค์ก่อนนะครับ”

                    /ไมค์รู้แล้ว พี่คุยกับเขาก่อนแล้ว/

                    “แล้วเขาเห็นด้วยเหรอครับ?” ผมนึกแปลกใจที่ไมค์ไม่เอ่ยเรื่องนี้ให้ผมรู้

                    /ใช่สิ พี่ว่าจะชวนไมกี้มาค้างด้วย พอส่งพีทเรียบร้อยพี่ถึงจะไปส่งเขาที่บ้าน/

                    “อืม ...” ผมนึกถึงคนสำคัญ “พี่ปิงอยู่ด้วยไหมครับ?”

                    /อยู่สิ ถ้าไม่อยู่ใครจะทำกับข้าวให้พวกเรากินล่ะ ฮ่าๆ/ พี่เมฆหัวเราะ ผมจึงหัวเราะตาม ดีใจที่สุดที่คืนสุดท้ายผมจะได้ใช้เวลาอยู่กับพี่ปิง

                    “งั้นก็ตามนั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ที่คิดถึงผม”

                    /เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ ทุกคนเต็มใจ ... ว่าแต่พรุ่งนี้ทำอะไร ไปไหนหรือเปล่า?/

                    “คิดว่าคงอยู่ห้อง เก็บของ และคงไปอยู่เป็นเพื่อนไมค์ครับ”

                    /ไปเฝ้ามันทำไม?/

                    “คือ วันนี้ผมทำเขาข้อเท้าแพลงน่ะฮะ”

                    /เอ๊า เป็นไรมากไหม?/

                    “ก็กะเผลกๆ เดี๋ยวสักหน่อยผมว่าจะออกไปดู”

                    /เออๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่โทรคุยกับมันเอง/

                    “ครับ”

                    /งั้นแค่นี้แหละ แต่ถ้าอยากไปไหนโทรหาพี่ได้นะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายพี่ว่าง โดนไล่ออกจากงานละ ฮ่าๆๆๆ/

                    “อ้าว ทำไมล่ะครับ?”

                    /ไม่มีไรมากหรอก เอาไว้เจอหน้าแล้วจะเล่าให้ฟัง/

                    “ฮะ”

                    /แค่นี้ล่ะ ไม่กวนละ/

                    “ครับ สวัสดีครับพี่”

 

                    วางสายจากพี่เมฆแล้วผมกลับไปนอนต่อ รู้สึกถึงความโชคดีในความโชคร้ายของตัวเอง แม้ผมจะถูกแฟนทิ้ง แต่ก็ได้พบกับมิตรภาพที่ดี และที่สำคัญที่สุด คือได้พบกับคนที่ผมเฝ้าฝันหามานาน

 

                    ผมเดินไปบ้านไมค์ในตอนบ่าย คุณแม่บอกว่าไมค์นอนอยู่บนห้อง ผมจึงบอกว่าจะกลับมาใหม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในห้องของไมค์ยังติดอยู่ในความทรงจำ ไหนจะเรื่องเมื่อเช้าที่สนามหญ้านั่นอีก ถ้าผมเอาตัวเองเข้าไปหาไมค์ถึงห้องของเขา ผมจะปลอดภัยไหม? แต่คุณแม่บอกว่าให้ขึ้นไปได้เลย ผมไม่กล้าปฏิเสธ จึงต้องก้มหน้าเดินขึ้นบันไดไปแต่โดยดี

               

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
«ตอบ #68 เมื่อ17-07-2016 20:50:47 »

ต่อ ...



    ผมเคาะประตูห้อง แต่รอสักพักก็ไม่มีเสียงจากคนข้างใน จึงเคาะอีกครั้ง ก็ยังเงียบ จึงถือวิสาสะ บิดลูกบิด ประตูไม่ได้ล็อค ผมจึงผลักเข้าไป

                    ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ดวงตาดื้อรั้นปิดสนิท ที่หูมีหูฟังเสียบคาเอาไว้ เจ้านี่คงฟังเพลงแล้วเผลอหลับไป ผมยืนมองคนที่นอนไม่รู้ตัวอยู่บนเตียง ... จมูกที่รั้นเล็กน้อยรับกับริมฝีปากบางที่เพิ่งขโมยจูบผมไปเมื่อเช้า ถ้าเป็นคนอื่นผมคงนึกอยากต่อยให้ปากแตก แต่กับคนนี้ ผมกลับมองมันแล้วรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่แก้ม

                    ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง ผมไม่ควรอยู่ตรงนี้ เมื่อคิดได้จึงหันหลังกลับ ก้าวตรงไปยังประตู

                    “จะรีบไปไหนล่ะ?” เสียงจากด้านหลังทำให้ผมต้องหยุดชะงัก แล้วหันกลับไปมอง

                    “นายไม่ได้หลับ?”

                    “เปล่า ... ก็แค่หลับตา” ไมค์ถอดหูฟังแล้วยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

                    “นายรู้ว่าเรามาแล้วทำไมยังนอนเฉย” ผมเดินกลับมาหยุดอยู่ข้างเตียง

                    “ก็แล้วนายเข้ามาแล้วทำไมไม่ทักทายฉันล่ะ”

                    “ก็เราเห็นนายหลับอยู่”

                    “ก็ฉันบอกอยู่นี่ไงว่าฉันไม่ได้หลับ”

                    ผมอ้าปากจะเถียง แต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจแทน ขืนพูดออกไป ก็ไม่พ้นที่ไมค์จะต่อปากต่อคำกลับมา

“ช่างเถอะ” ผมถอนหายใจอีกรอบ “ข้อเท้านายเป็นไงบ้าง?” ผมเหลือบมองที่ข้อเท้าของไมค์ มันเปลือยเปล่า ไม่มีผ้าพันไว้อย่างที่ผมจินตนาการ

                    “ก็ ... เจ็บ” ไมค์ดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ที่ขามาปิดเอาไว้

                    “ไม่ต้องพันผ้ายืดเหรอ?” ผมเคยข้อมือซ้นตอนฝึกมวย พี่ที่ค่ายก็ใช้ผ้าพันเอาไว้ให้

                    “ไม่ต้อง แม่นวดยาให้แล้ว แต่มันยังเจ็บ”

                    “อืม” ผมสบายใจขึ้น ถ้าคุณแม่เป็นคนดูแล คงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

                    “นั่งสิ” ไมค์ขยับตัวเพื่อสร้างพื้นที่บนเตียงให้กับผม

                    “ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธทันที เหตุการณ์บนเตียงเมื่อวันก่อนทำให้ผมไม่ไว้ใจ เหลือบมองไปที่โซฟา นั่งตรงนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า

                    “นั่งตรงนี้” ไมค์ตบที่นอน

                    ผมส่ายหน้า ยังยืนอยู่ที่เดิม

                    “นายกลัวฉันหรือไง?” เขาหัวเราะ

                    “ทำไมเราต้องกลัว?” ผมตอบด้วยความร้อนรนปนอับอาย ทำไมผู้ชายสูง 184 มีซิคแพ็คอย่างผมต้องกลัวไอ้เด็กผอมเก้งก้างหัวรั้นเอาแต่ใจคนนี้

                    “นายกลัวฉันจูบ”

                    สายตาคมและยิ้มกริ่มที่ส่งมาทำเอาผมพูดไม่ออก

                    “ข้อเท้าฉันเจ็บ และดูแขนฉันสิ” ไมค์ยกแขนข้างขวาขึ้นโชว์ ตรงศอกและบริเวณใกล้ๆเป็นรอยแดงช้ำ “นายคิดว่าฉันยังจะทำอะไรนายได้อีกหรือไง”

                    “แค่นี้ไม่สะเทือนนายหรอก” ผมจะไว้ใจเขาได้ยังไง และไอ้แผลถลอกที่แขนนั่น คงไม่ทำให้ไมค์ไร้เรี่ยวแรง

                    “นั่ง” ปากบางออกคำสั่ง

                    “ไม่” ทำไมผมต้องเชื่อฟังคนที่ขโมยจูบแรกของผมไป

                    “นั่งเถอะ ฉันอยากเห็นหน้านายใกล้ๆ ... อีกไม่กี่วันนายก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว” แววตาและน้ำเสียงที่ปรับให้นุ่มนวลอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นจากไมค์บ่อยนัก ทำให้ใจผมอ่อนยวบ

                    เมื่อนึกว่าผมเองก็อาจจะไม่ได้เข้ามานั่งในห้องนี้อีกแล้ว ผมจึงยอมนั่งลง แต่เลือกตรงปลายเท้า อย่างน้อยตรงนี้ไมค์ก็เอื้อมแขนไม่ถึง

                    “พี่เมฆเพิ่งโทรมาบอกเรื่องงานเลี้ยงวันเสาร์” ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

                    “อือ ... แล้วนายว่าไง”

                    “ก็คงเอาตามนั้น เพราะถ้ากลับมาอาจดึก และเช้าวันอาทิตย์เราจะได้ไม่รบกวนคนอื่นเรื่องไปส่งที่สนามบิน” ผมคิดทบทวนว่าถ้าออกจากบ้านไมค์ คงเป็นน้าเจนี่หรือพี่เนสที่ต้องวุ่นวายไปส่งผมที่สนามบิน แน่นอนว่าต้องไม่มีใครยอมให้ผมไปเองแน่ๆ หรืออีกทาง พี่เมฆคงขับรถมารับผมที่นี่ แต่ถ้าผมไปค้างที่บ้านพี่เมฆตั้งแต่คืนวันเสาร์ ก็คงสะดวกอย่างที่พี่เมฆบอก และที่สำคัญ การได้ใช้เวลาทั้งคืนภายใต้ชายคาเดียวกันกับพี่ปิง ... นั่นไม่ใช่เรื่องที่วิเศษหรือไง?

                    “งั้นฉันก็จะไปค้างด้วย”

                    ผมมองหน้าไมค์ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร การที่ได้อยู่กับไมค์จนวันสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจไม่น้อย

                    “ทำไม? หรือนายไม่อยากให้ฉันไปด้วย”

                    “เปล่า แต่ข้อเท้านายจะหายทันไหม เราแค่เป็นห่วงว่านายอาจไม่สะดวก”

                    “หายสิ หมั่นนวดยาบ่อยๆก็หายเองแหละ”

                    “งั้นนายมียาไหมล่ะ เดี๋ยวเรานวดให้” ผมหันซ้ายขวา กวาดตามองไปรอบห้อง

                    “ไม่มี อยู่กับแม่”

                    “งั้นเดี๋ยวเราไปขอกับคุณแม่ข้างล่าง” ผมขยับจะลุกจากเตียง

                    “ไม่ต้อง ฉันเพิ่งนวดไป”

                    “เหรอ? งั้นขอเราดูหน่อยนะ” ผมเปิดผ้าห่มขึ้น จำได้ว่าเมื่อเช้าเขากะเผลกข้างขวา จึงเอื้อมมือไปแตะเบาๆที่เท้าขาวอมชมพูนั่น “เจ็บไหม?”

                    ไมค์ส่ายหน้า ผมจึงลูบลงน้ำหนักนิดหน่อย อย่างที่แม่เคยทำให้เมื่อตอนหกล้มแล้วข้อเท้าพลิก “หายเร็วๆนะ เพี้ยง” ผมก้มลงเป่าพ่วงไปที่ข้อเท้าไมค์

                    “อะไรของนาย?”

                    ผมเงยขึ้นมองต้นเสียง “ก็เป่าให้นายหายเจ็บเร็วๆไง แม่เราก็ทำอย่างนี้เวลาเราเจ็บ”

                    “...”

                    ผมสังเกตว่าปากและหูไมค์แดงอมชมพูไม่ต่างกับเท้าของเขา

                    “นายไม่สบายหรือเปล่า?” อาการแก้มแดง ปากแดง บางทีเขาอาจจะมีไข้

                    “เปล่า” ไมค์ส่ายหน้า

                    “แต่นายหน้าแดงมากนะ”

                    “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ไมค์ยังส่ายหน้ารัวๆ

                    ผมแตะมือไปที่เท้าเขาอีกครั้ง “อือ แต่เท้านายก็ไม่ร้อนนะ”

                    “...”

                    ผมขยับขึ้นไปนั่งข้างๆไมค์ ยื่นมือไปแตะที่แก้มและหน้าผากของเขา “แก้มอุ่นๆ แต่หน้าผากไม่ร้อน”

                    “ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”

                    “อือ” ผมพยักหน้า บางทีคนตัวขาวจัดๆก็อาจจะมีบางส่วนแดงขึ้นมาเฉยๆก็ได้มั้ง “งั้นนายพักผ่อนเถอะ เราจะกลับละ” ผมลุกขึ้นยืน

                    “อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันสิ คิดว่าแม่ต้องทำเผื่อนายแน่ๆ”

                    “เราว่าจะออกไปวิ่งซะหน่อย”

                    “ฉันไปด้วย” ไมค์เอ่ยอย่างรวดเร็ว

                    “นายเจ็บอยู่นะ” ผมมองไปที่ข้อเท้าของไมค์

                    ไมค์ชะงัก ก่อนจะเอ่ย “เอ่อ ... งั้นแม่ตั้งโต๊ะเมื่อไหร่ฉันจะโทรเรียก”

                    “โอเค ... ขอบใจนะ” ผมหันหลัง ก้าวเดินไปที่ประตู

                    “พีท ... นายโกรธไหมที่ฉันจูบนายด้วยวิธีการอย่างนั้น”

                    ผมชะงักฝีเท้า หันกลับไปหาไมค์ ... คำถามของเขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองเมื่อคืนนี้

                    “เราจะโกรธนายได้ยังไง ในเมื่อนายเป็นเพื่อนเรา”

 

                    ผมมองไมค์ที่นั่งอยู่บนเตียง คล้ายเห็นภาพซ้อนของตัวเอง เราต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน ... เพียงแต่ไม่รู้ว่าผมหรือเขา ... ใครจะเสียใจมากกว่ากัน

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
«ตอบ #69 เมื่อ21-07-2016 09:56:48 »

สงสารไมค์กี้จัง พีทก็น่ารักดี  :katai4: :katai4: :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
« ตอบ #69 เมื่อ: 21-07-2016 09:56:48 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: The One You Love (& The ones who love you) #25 [updated 17/7/2559]
«ตอบ #70 เมื่อ23-07-2016 22:10:34 »

เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียวค่ะ ทีมไมกี้อย่างแรงงงงง

น้องไมค์เหมือนลูกหมาหางลู่หูตกเลยค่ะเวลาถูกปฏิเสธด้วยคำว่าเพื่อน เอ็นดูวววว

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #71 เมื่อ26-07-2016 23:34:50 »

# 26 (MIKE)

 

                    พีทมานอนแช่อยู่ที่โซฟาในห้องนอนของผมตั้งแต่บ่าย เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก ต่างคนต่างให้ความสนใจอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ ผมบอกให้เขามานอนด้วยกันบนเตียง แต่เขาปฏิเสธหัวชนฝา ผมเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ เพราะไม่คิดที่จะทำอะไรลงไปมากกว่าที่เคยทำ ... ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ ก็ไอ้ปากอิ่มๆห้อยๆของพีทมันน่าจูบขนาดนั้น แต่ที่ไม่คิดจะทำอีก ก็เพราะไม่อยากผลักให้พีทห่างออกไป ในเมื่อผมมีเวลาอยู่กับเขาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น ถ้าต้องจากกันด้วยความเกลียดชัง มันคงไม่คุ้ม

                    “นายเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ?” ผมวางโทรศัพท์ลง เมื่อเกมส์ที่เล่นโอเวอร์

                    “อือ” พีทตอบทั้งๆที่ตายังจ้องอยู่บนหน้าจอ

                    “พอไหม?”

                    “หืม? ... อ๋อ พอๆ เรามีของไม่มาก แต่เลือกกระเป๋าใบใหญ่มาไว้สำหรับใส่ของฝากอยู่แล้ว” พีทพูดพลางเลื่อนตัวขึ้นมานั่งเอนหลัง วางโทรศัพท์ลงบนตัก

                    “นายโทรคอนเฟิร์มกับน้าติ๊กเรื่องเวลาหรือยัง?” ผมคิดว่าต้องเตือนพีท เพราะเขามักจะลืมเรื่องอย่างนี้ประจำ

                    “เออ ยังเลย เดี๋ยวคืนนี้จะโทร”

                    ผมถอนใจให้กับเรื่องที่เดาไม่ผิด

                    “แล้วพรุ่งนี้ไปกันกี่โมง?” พีทเอ่ยถาม

                    “ก็คงแล้วแต่พี่เนสกะพี่จิว ตื่นตอนไหนก็คงไปตอนนั้นมั้ง” พี่เมฆไม่ได้นัดเวลา ก็คงขึ้นกับพี่สองคนนั้น

                    “เราควรรีบไปไหม จะได้ไปช่วยพี่ๆเขาเตรียมอาหาร” สีหน้าของพีทมีความกระตือรือร้น แต่ผมกลับคิดว่าเขาอยากรีบไปเพื่อเจอใครบางคนมากกว่า

                    “ต้องเตรียมอะไรนักหนา ก็แค่กินข้าวกันเท่านั้น” ผมหัวเสียเพราะใบหน้าสวยๆของพี่ปิงผุดขึ้นมารบกวนจิตใจ

                    “ก็นั่นแหละ กินข้าวหลายคนก็ต้องทำอาหารหลายอย่าง เราก็ควรไปช่วยไหมล่ะ ไม่งั้นพี่ปิงคงต้องทำคนเดียว เหนื่อยแย่”

                    “พี่เนสพาไปตอนไหน ก็ตอนนั้น” ผมตัดบท ไม่อยากได้ยินชื่อของคนๆนั้น

                    การที่ผมพาลพี่ปิง ไม่ใช่ว่าผมเกลียดเขา แต่เพราะอาการดีใจจนออกนอกหน้าของพีทเวลาที่ได้อยู่กับพี่ปิงมันทำให้ใจผมไม่สงบ ผมรู้ว่าพีทชอบพี่ปิงมาก แต่ในเมื่อผมเองก็ชอบพีทมากเช่นกัน มันช่วยไม่ได้ที่ผมต้องรู้สึกอะไรบ้าง

                    “เย็นนี้แม่บอกให้นายอยู่กินข้าวด้วยกัน” เมื่อผมบอกทุกคนในบ้านว่าพีทจะออกจากบ้านตั้งแต่วันเสาร์ คุณย่าจึงให้แม่และอาเจนี่ทำอาหารพิเศษเพื่อเลี้ยงส่งเขา

                    “อื้อ เราตั้งใจจะมาลาทุกคนอยู่แล้ว”

                    “คืนนี้นายจะอยู่ที่นี่เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะ” ผมมองร่างที่ทอดยาวอยู่บนโซฟา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พีทจะอยู่ในห้องของผม

                    “ขอบคุณนะที่ให้เรามาพักที่นี่ ทั้งคุณย่า คุณพ่อคุณแม่และน้าเจนี่ดีกับเรามาก เราโชคดีที่ได้มาเจอกับครอบครัวนาย”

                    “แล้วฉันล่ะ? นายไม่คิดว่าโชคดีบ้างเหรอที่ได้มาเจอฉัน” ผมทักท้วง

                    “ครอบครัวนายก็หมายถึงทุกคนไง รวมนายด้วย”

                    “นายควรซาบซึ้งกับฉันมากเป็นพิเศษสิ จะเหมารวมได้ยังไง” ผมรู้ว่าตัวเองมักเอาแต่ใจกับพีท แต่ทุกครั้งที่เขายอมลงให้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญสำหรับเขา

                    “เราซาบซึ้งกับนายเป็นพิเศษ เชื่อสิ เราไม่ลืมนายแน่ๆ” เราสบตากัน ... ผมเชื่อในสิ่งที่พีทบอก

 

                    ทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ แม่กับอาเจนี่ทำอาหารหลายอย่าง ล้วนเป็นเมนูพิเศษทั้งนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทั้งหมดคุณย่าเป็นคนสั่งการ

                    หลังอาหารมื้อค่ำ พวกเราย้ายกันมาที่ห้องรับแขก คุณย่าเป็นตัวแทนมอบของที่ระลึกให้กับพีท มันคือกำไลข้อมือที่ทำจากลูกปัดเม็ดเล็กๆที่กลึงจากไม้หอมที่เป็นมงคล เป็นของที่คุณย่านำติดตัวมาด้วยจากเชียงตุง

                    “ขอบพระคุณมากครับ” พีทก้มลงกราบแทบตักคุณย่า เขาน้ำตาคลอ คงซาบซึ้งที่คุณย่าให้ของสำคัญขนาดนั้น ผมเองยังแปลกใจและนึกน้อยใจอยู่บ้างที่ผมยังไม่เคยได้ของอย่างนี้จากคุณย่า

                    “เอ้า อย่าทำหน้าน้อยอกน้อยใจ มานั่งนี่” คุณย่าหันมาหาผม ชี้ให้นั่งลงที่พื้นข้างๆพีท “ยื่นแขนมา” ท่านสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                    ผมยื่นแขนออกไปช้าๆ และต้องกัดปากกลั้นน้ำตาเอาไว้ เมื่อคุณย่าสวมกำไลข้อมืออย่างเดียวกันกับที่อยู่บนข้อมือพีทให้ ผมมองหน้าคุณย่าด้วยความรัก ท่านเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุด

                    “มีอยู่แค่สองเส้น เก็บไว้นานแล้ว เพิ่งเจอเจ้าของ” ดวงหน้าที่เปี่ยมด้วยความรักมองหน้าผมสลับกับหน้าพีท

                    ผมกราบแทบตักคุณย่า ท่านลูบหัวของพวกเราไปพร้อมกัน

                    ก่อนที่พีทจะกลับห้อง คุณพ่อคุณแม่ของเขาโทรมาเพื่อขอคุยกับพ่อแม่ผม ท่านต้องการขอบคุณที่พวกเราดูแลพีทเป็นอย่างดี

                    ผมยืนส่งพีทที่หน้าบ้าน ความจริงแล้วอยากเดินไปส่งที่บ้านของเขา แต่เจ้านี่ไม่ยอมท่าเดียว เขามองหน้าผมและข้อเท้าสลับกันขึ้นลง ผมจึงนึกได้ว่าตอนนี้ข้อเท้าของผมกำลังแพลง

                    “ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะ เราจะไม่ลืมครอบครัวของนาย ทุกคนจะอยู่ในใจของเราตลอดไป” พีทเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป ผมยืนมองจนเขาหายลับตาไป

                    “ไม่ไปส่งพีทที่ห้องเหรอ?” อาเจนี่เอ่ยถามเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน

                    “ไม่” ผมตอบสั้นๆ

                    “ทำไมล่ะ คืนสุดท้ายแล้วนะที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง” คำพูดและสีหน้าของอาเจนี่สร้างความฉงนให้กับผม

                    “ทำไมมองยังงั้น” ผมจ้องตาคุณอา

                    “หึ” อาเจนี่หัวเราะในลำคอพร้อมยักคิ้ว “ฉันเป็นอาเธอมาเท่ากับอายุของเธอ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง”

                    ผมมองหน้าคุณอาด้วยความรู้สึกสะท้านสันหลัง “ไม่มีทาง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

                    “จะให้พูดไหมล่ะ?” ปากบางแสยะยิ้ม

                    “No! You’re so creepy.” ผมแกล้งแสดงเป็นกลัวเกินจริง แล้ววิ่งหนีขึ้นบันไดไป

                    “Oh! ดูสิใครกันที่ขาแพลง” อาเจนี่ตะโกนตามหลัง

 

                    ผมปิดประตูห้องแล้วมาทิ้งตัวลงบนโซฟา บ่นพึมพำ “แค่โดนผลัก มันจะขาแพลงได้ไงกัน” หัวเสียให้กับแผนการของตัวเอง ถ้าตอนนี้ไม่แกล้งข้อเท้าแพลง ป่านนี้ผมคงได้ไปนอนอยู่บนเตียงของพีทแล้ว และอาจมีโอกาสได้จูบเขาอีกสักครั้ง ... ในกรณีถ้าเขายินยอม

 

                    ผมหยุดมือที่กำลังนวดให้คุณย่าเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

                    “ว่า?” ผมทักไป เดาว่าพี่เนสน่าจะโทรมาบอกเรื่องที่จะไปบ้านพี่เมฆวันนี้

                    /ไปสักบ่าย 2 ดีไหมไมกี้/

                    “ไม่เร็วไปหน่อยเหรอพี่?” ผมคิดว่าน่าจะเลี้ยงกันตอนเย็น กินข้าว กินเหล้า คุยกัน ก็น่าจะแค่นั้น

                    /เร็วไปเหรอ? ไอ้เมฆมันบอกให้ไปเร็วหน่อย จะได้ช่วยกันทำกับข้าว/

                    “ทำอะไรกินฮะ?” ผมเดาว่าพี่เมฆคงไม่อยากให้พี่ปิงเหนื่อยอยู่คนเดียว ถึงได้บอกให้พวกเราไปกันเร็วหน่อย

                    /ไม่รู้เหมือนกัน ก็ว่าไปถึงแล้วค่อยคิด แล้วไปโกรเซอรี่ ต้องไปขนเครื่องดื่มกันหน่อย/ น้ำเสียงของพี่เนสลิงโลดสดใส งานนี้เดาไว้ล่วงหน้าว่าพี่เนสกับพี่จิวคงค้างที่บ้านพี่เมฆด้วยแน่ๆ

                    “โอเคฮะ”

                    /เคๆ งั้นเจอกันบ้านพี่นะ/

                    “ครับ”

                    พี่เนสวางสาย คุณย่าจึงเอ่ยขึ้น “ไปบ้านพี่เขา ต้องช่วยหยิบจับ ทำอะไรต้องเกรงใจเจ้าของบ้านนะลูก”

                    “ครับ” ผมวางมือแล้วเริ่มต้นนวดที่แขนให้คุณย่าอีกครั้ง

                    “ดื่มได้ แต่อย่ามากจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความเมามายจะทำให้เราขาดสติ” น้ำเสียงของคุณย่านุ่มนวล ทำให้คนฟังรู้สึกว่าท่านกำลังเตือน แต่ไม่ได้ห้าม

                    “ครับคุณย่า” ผมก้มลงดมแขนที่มีรอยกระ เนื้อคุณย่าหอมเย็นชื่นใจไม่เคยเปลี่ยน

                    “ละครตอนใหม่มาหรือยังนะ?” คุณย่าเอ่ยถาม พักนี้ท่านติดละครที่กำลังออนแอร์ที่เมืองไทย และในวันรุ่งขึ้นก็จะเข้ามาในโปรแกรมทีวีที่เราจ่ายรายเดือน

                    “เดี๋ยวผมดูให้ฮะ”

 

                    ผมนอนดูละครเป็นเพื่อนคุณย่า จนเมื่อละครจบท่านจึงงีบไป ระหว่างคุณย่าหลับผมจึงขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าหนึ่งชุด และของใช้ส่วนตัวบางอย่าง ... ไม่ลืมหยิบของชิ้นสำคัญใส่ลงไปในเป้ด้วย

                    จวนๆบ่าย 2 โมง พีทเดินมาที่บ้านเพื่อลาคุณย่ากับอาเจนี่อีกครั้ง ส่วนพ่อกับแม่ไปทำงาน เมื่อคืนจึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่พีทได้พบกับท่านทั้งสอง

                    เราเดินไปบ้านพีทด้วยกันเมื่อการร่ำลาจบลง

                    “ข้อเท้านายหายแล้วเหรอ?” พีทหยุดเดิน เขามองหน้าผมและสลับมองลงไปที่ข้อเท้า

                    “เอ่อ ... อื้อ” ผมตกใจนิดหน่อย ลืมไปเลยว่าตัวเองควรต้องเดินอย่างคนเจ็บ

                    “หายเร็วไปนะ” พีทมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อ

                    “ก็ ... ยามันดี” ผมยักไหล่ ... จะให้ตอบว่ายังไงล่ะ?

                    “อ้อ หายเหมือนกับไม่เคยเจ็บเลยนะ” พีทจ้องตาผมเขม็ง

                    “ก็งั้นแหละ hurry up พี่เนสกับพี่จิวรออยู่” ผมรีบตัดบท ก้าวเท้ายาวๆเดินนำหน้าพีทไป

                    พีทมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ และเป้อีกใบ ... พี่จิวและพี่เนสคึกคักกันเป็นพิเศษ

                    “ดีๆ ไอ้น้องพีทเอาลูกพี่ไปอุ้มไว้” พี่เนสยื่นกีตาร์ส่งให้กับพีท

                    “มีดนตรีด้วยเว้ยเฮ้ย” พี่จิวส่งเสียงขณะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ

                    “อ่ะแน่นอน ใครอยากฟังเพลงไร คืนนี้ขอได้ พี่จัดให้ถึงเช้า” พี่เนสก้าวเข้ามานั่งที่คนขับ

                    ผมชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พีทนั่งหลังตรงประคองกีตาร์ของพี่เนสอย่างทะนุถนอม “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง” ผมเอ่ยแล้วส่ายหน้า

                    “เอ้า! น้องพีทนี่ก็เชื่อฟังดีจั๊ง ฮ่าๆ” พี่จิวเอี้ยวคอมาดูคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง หัวเราะให้กับความซื่อของพีท

                    “เอ้อ มันน่ารักนะไอ้คุณหนูนี่” พี่เนสหันมาบ้าง

                    พีทมองแต่ละคนด้วยอาการเลิ่กลั่ก

                    “เอามานี่” ผมคว้ากีตาร์มาถือเอาไว้ ขยับตัวมาเบียดกับพีทแล้ววางกีตาร์พิงกับเบาะข้างประตู

                    พีทมองหน้าผม ดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจว่ากีตาร์ของพี่เนสไม่จำเป็นต้องได้รับการทะนุถนอมขนาดที่พีททำ เพราะมันเป็นเพียงกีตาร์โปร่งทั่วไปที่ราคาไม่ได้แพงอะไรมากมาย

 

                    เมื่อพวกเรามาถึง พี่เมฆกำลังทำ laundry แต่ผมไม่เห็นพี่ปิง

                    พีทยกมือไหว้พี่เมฆ ผมจึงทำตาม

                    “มาๆ เอากระเป๋ามานี่ เดี๋ยวพี่ไปเก็บไว้ให้” พี่เมฆเลื่อนกระเป๋าเดินทางของพีทไปไว้ในห้องข้างบันได

                    “ขอบคุณครับ” พีทเอ่ยพร้อมมองไปรอบๆบ้าน

                    “มีไรกินวะเมฆ?” พี่จิวถามขึ้นเมื่อเราเข้ามานั่งในห้องรับแขก

                    “เออ กูจะถามพวกมึงนี่แหละ อยากกินไร เดี๋ยวกูออกไปโกรเซอรี่” พี่เมฆสวมกางเกงยีนส์ขาดเข่ากับเสื้อยืดสีขาวพื้นๆ แต่ด้วยความที่เขารูปร่างสูงโปร่ง ผมเดาว่าน่าจะเกือบถึง 190 เซนติเมตร และผิวสีแทนพร้อมทั้งกล้ามอย่างนักกีฬา ทำให้พี่เมฆดูหล่อมากในสายตาผู้ชายอย่างผม ... หวังว่าสักวันผมจะดูเท่อย่างเขาบ้าง

                    “บ้านมึงมีไรมั่งอ่ะ?” พี่เนสเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น

                    “ไม่มีไร กูรอพวกมึงเนี่ย”

                    “เออ งั้นเดี๋ยวกูออกไปกับมึง” พี่เนสปิดตู้เย็นแล้วเดินกลับมาที่ห้องรับแขก

                    “กูไปด้วย เดี๋ยวมึงซื้อมาไม่ถูกปากกู” พี่จิวเอ่ย

                    “เออ ไปกันหมดนี่แหละ พวกมึงอยากแดกอะไรก็ไปเลือกเอา ... งั้นรอกูแป๊บ” พี่เมฆบอกแล้วเดินขึ้นชั้นบน

                    ผมชำเลืองมองพีทที่นั่งเงียบๆอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าว สักครู่พี่เมฆก็กลับลงมา มีพี่ปิงเดินตามมาติดๆ ... ดวงตาของพีทเป็นประกาย เขายกมือไหว้พี่ปิง ผมจึงต้องทำตาม

                    “เดี๋ยวเมฆจะออกไปซื้อของกับพวกไอ้จิว” พี่เมฆหันไปบอกพี่ปิง

                    พี่ปิงพยักหน้า

                    “พีทกับไมค์ไปด้วยกันไหม?” พี่เมฆหันมามองหน้าผม ผมหันไปมองหน้าพีทอีกที

                    “เอ่อ ไมค์ไปสิ 4 คนรถเต็มพอดี ผมรอที่บ้านก็ได้ฮะ” คำปฏิเสธของพีทสร้างความขุ่นใจให้ผมนิดหน่อย ผมรู้ว่าเขาอยากมีเวลาอยู่กับพี่ปิง

                    “งั้นพวกพี่ไปเถอะ ผมอยู่กับพีท”

                    “เฮ้ย ไปด้วยกันไมกี้” พี่เนสฉุดมือผม ... ผมรู้สึกว่าถ้าขัดขืนอาจจะกลายเป็นว่าผมดื้อโดยไม่มีเหตุผล จึงเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจนัก พี่เมฆมองหน้าผมแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองพี่ปิงและพีทที่ยืนอยู่ตรงโถงหน้าบันได พี่เมฆเดินตามพวกเราออกมาแล้วปิดประตูลง

                    ในบ้านตอนนี้มีเพียงพี่ปิงและพีทอยู่กันตามลำพัง ... เขาจะทำอะไรกัน? ผมพยายามสลัดความคิดจินตนาการทั้งหลายทิ้งไป

 

                    เมื่อพวกเรากลับมา ประตูหน้าบ้านล็อก พี่เมฆถึงกับขมวดคิ้วและบ่นพึมพำ “ไปไหนวะ?”

                    เมื่อเราหอบหิ้วข้าวของเข้ามาวางในบ้าน พี่เมฆกดโทรศัพท์ทันที

                    “ไปไหนกัน?”

                    /.../

                    “อ้อ”

                    /.../

                    “เยอะแยะ มาดูสิ”

                    /.../

                    “โอเค”

                    พี่เมฆวางสาย

                    ผมเดินไปนั่งบนโซฟาเพราะไม่รู้ต้องทำอะไร

                    “พี่ปิงมึงลักพาตัวไอ้พีทไปไหนวะ?” พี่เนสเอ่ยถามขณะก้มควานหาอะไรบางอย่างในถุงที่วางกองอยู่บนโต๊ะกินข้าว

                    “เดินถ่ายรูปแถวๆนี้” พี่เมฆตอบขณะหยิบเบียร์กระป๋องแยกออกมาจากกองข้าวของ

                    “ผมช่วยไหมฮะ?” ผมลุกเดินมาหยุดที่โต๊ะ

                    “มึงต้องแช่” พี่เนสมองสำรวจข้าวของบนโต๊ะ “ไหนล่ะน้ำแข็งที่ซื้อมาอ่ะ กูว่าใส่น้ำแข็งแล้วแช่ในกะละมังเลย เย็นเร็วกว่าแช่ตู้เย็น” พี่เนสเสนอแนะ

                    “เออดี” เสียงพี่จิวที่นั่งกินมันฝรั่งอยู่บนรีไคลเนอร์แสดงความเห็นด้วย

                    “มึงอ่ะมาเลย ใครบอกจะอบไก่ให้กูกินวะ?” พี่เนสหันไปหาเพื่อนที่มือหนึ่งกดรีโมตทีวี อีกมือหยิบมันฝรั่งทอดเข้าปาก

                    “พวกมึงเคลียร์ของก่อนเลย เดี๋ยวกูจัดการเอง” พี่จิวกระดิกเท้าตอบ

                    ผมไม่รู้ว่าคืนนี้พวกพี่ๆจะทำอะไรกินบ้าง เพราะผมมีหน้าที่เข็นรถเดินตามเท่านั้น แต่ได้ยินว่าพี่จิวจะโชว์ฝีมือทำไก่อบ ส่วนพี่เนสจะทำสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมา โดยมีพี่เมฆแย้งขึ้นว่าให้พี่ปิงทำดีกว่า เขาไม่อยากเททิ้ง

                    เบียร์แช่ในกะละมังเรียบร้อย ขนมและเครื่องดื่มอื่นๆวางไว้บนโต๊ะ ส่วนของสดแยกเอาไว้ในครัว ... เสียงประตูหน้าบ้านดังขึ้น ผมชะโงกหน้าไปดู

                    “คงเป็นพี่ปิงกับพีท” พี่เมฆเอ่ยขึ้น

                    หลังคำพูดพี่เมฆ ใบหน้าระรื่นของพีทก็โผล่พ้นประตูเข้ามา ที่คอของเขามีกล้องถ่ายรูปคล้องอยู่

                    “ไปถึงไหนกันมา?” พี่เมฆเอ่ยถาม

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่เป็นพีทที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “พี่ปิงพาเดินรอบๆครับ ไปถึงป่าข้างหลังนู่น ผมเลยได้ถ่ายรูปเก็บไว้อีกเพียบเลย” ตาโตๆของพีทเป็นประกายในขณะเล่า

                    “ถูกใจเลยสิ” พี่เมฆยิ้ม แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนๆชอบกล

                    “ฮะ” แต่รอยยิ้มของพีทนั้นสดใสโดยไม่ต้องสงสัย

                    “ได้อะไรกันมาบ้าง?” พี่ปิงเอ่ยถาม

                    “หลายอย่าง ไอ้จิวมันจะโชว์ฝีมืออบไก่ ไอ้เนสมันว่าจะทำสปาผัดขี้เมา เมฆมีกุ้งว่าจะคั่วเกลือ แล้วก็ทำยำพวกกับแกล้มประมาณนั้น”

                    “อืม จะให้ช่วยทำอะไร?” พี่ปิงเสนอตัว

                    “ก็ต้องช่วยแหละ ไม่งั้นคงกินกันไม่ได้” คำพูดของพี่เมฆทำให้ผมนึกถึงรสชาติอาหารที่ผม พีทและพี่เมฆช่วยกันทำเมื่อครั้งก่อน แค่นึกก็เสียดายของที่ซื้อมาแล้ว

                    “มีอะไรให้ผมช่วยไหมฮะ?” พีทเสนอตัว

                    “เออ ... เอามันฝรั่งไปแกะ เดี๋ยวพี่เอาถ้วยให้” พี่เมฆเดินเข้าครัว แต่กลับตะโกนถามออกมา “ปิง ถ้วยแก้วใสๆใบใหญ่เก็บไว้ที่ไหนนะ?”

                    พี่ปิงเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้ที่อยู่เหนือหัวพี่เมฆ หยิบถ้วยแก้วใบใหญ่ออกมา และเดินมาส่งให้กับพีท ผมเดาว่าพื้นที่ในครัวนี้น่าจะเป็นส่วนที่พี่ปิงครอบครองเสียเป็นส่วนใหญ่

 

                    พวกเรายกโต๊ะตรงหน้าโทรทัศน์ออก แล้วนั่งล้อมวงกันตรงนั้น งานเลี้ยงเริ่มด้วยมันฝรั่งทอด ขนมขบเคี้ยว และยำแหนมฝีมือพี่ปิง ก็ต้องยอมรับล่ะนะว่ามันอร่อยใช้ได้ พี่เนส พี่จิว และพี่เมฆดื่มเหล้า แต่ผมกับพี่ปิงดื่มเบียร์ ทีแรกผมจะห้ามไม่ให้พีทดื่มเพราะพรุ่งนี้เขาต้องเดินทาง ถ้าเกิดเมาแล้วแฮงค์คงไม่ดีแน่ แต่เมื่อจะเอ่ยปาก พีทก็คว้ากระป๋องเบียร์ไปจากมือผม

                    “ไม่ต้องห้ามเลย เรื่องแกล้งข้อเท้าแพลงเรายังไม่เอาเรื่องนายนะ”

                    เพราะผมมีความผิดติดตัว จึงต้องหุบปากและปล่อยให้พีทดื่มได้ตามใจ อีกอย่างงานเลี้ยงอย่างนี้ ถ้าเจ้าของงานต้องมานั่งดื่มน้ำอัดลมอยู่คนเดียว คงน่าสงสารแย่

                    “ไรๆ ใครแกล้งข้อเท้าแพลงวะ? ไมกี้เหรอ แน่ะๆๆ มีแผนๆ” พี่เนสยื่นหน้ามาถาม

                    ผมผลักพี่เนสออกไป “ไม่มีพี่ พอเลยๆ” ผมรู้สึกอายจึงยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่

                    “มึงไม่ต้องแซวน้อง ไปผัดขี้เมามึงเลยไป กูนึกอยากแดกแล้ว” พี่จิวตบหัวพี่เนส

                    “มึงก็ด้วยเลย ไก่อบมึงอ่ะ เมื่อไหร่จะได้แดก” พี่เนสตบหัวพี่จิวคืนบ้าง

 

                    ขณะที่พี่เนสและพี่จิวเข้าครัวโดยมีพี่ปิงไปช่วยดูเป็นบางครั้ง ... ผมกับพี่เมฆก็คุยกันเรื่องรถ ส่วนพีทนอนดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา

 

                    สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาของพี่เนสรสชาติพอใช้ หากกินตอนที่เมาแล้วคงอร่อยกว่านี้ ส่วนไก่อบของพี่จิวก็อร่อยสมคำโฆษณา พี่ปิงทำกุ้งคั่วเกลือเมนูตามคำเรียกร้องของพี่เมฆและยำหมูยอมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง พวกเรากินกันไปคุยกันไป ส่วนมากจะเป็นเรื่องตลกเฮฮาของบรรยากาศการทำงานในร้านอาหาร รวมไปถึงการกล่าวถึงลูกค้าที่มีพฤติกรรมแปลกๆที่แต่ละคนได้พบเจอมา พี่เนสกับพี่จิวเป็นตัวโจ๊กที่ทำให้งานเลี้ยงครื้นเครงเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่พี่ปิง

                    ในขณะที่ผมแอบชำเลืองมองพีทบ่อยๆ ผมก็พบว่าพีทลอบมองพี่ปิงบ่อยไม่แพ้กัน

                    เมื่อเรากินกันอิ่มแล้ว พื้นที่จึงถูกเคลียร์ เหลือไว้เพียงมันฝรั่งทอดและถั่วอบ 2-3 ชนิด แต่ละคนต่างมีแอลกอฮอล์อยู่ในมือ ... ผมสังเกตว่าแก้มพีทเริ่มขึ้นสีระเรื่อ ปากอิ่มก็เริ่มแดง

                    “ม่ะ ต่อไปเป็นช่วงไลฟ์นะครับผม” พี่เนสยืดตัวไปคว้ากีตาร์ที่วางพิงอยู่บนผนัง

                    “ฮิ้ววว” พี่จิวส่งเสียงเชียร์ พี่เมฆก็เป่าปากสนับสนุน ส่วนพีทปรบมือพร้อมส่งเสียงเย้ๆ

                    พี่เนสเล่นเพลงที่ผมคุ้นหู เพราะผมร่วมวงเหล้ากับเขาอยู่หลายครั้ง

                    พี่ปิงขยับขึ้นไปนั่งบนรีไคลเนอร์โดยมีพีทนั่งบนพื้นพิงหลังอยู่ใกล้ๆ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมา คิดว่าน่าจะถ่ายรูป ผมจึงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูให้แน่ใจ

                    “ถ่ายรูปเหรอ?” ผมถาม

                    “ถ่ายคลิป” พีทตอบ

                    ผมมองหน้าจอ พีทกำลังถ่ายคลิปพี่เนสเล่นกีตาร์โดยมีพี่จิวและพี่เมฆช่วยเป็นนักร้องประสานเสียง แต่ชื่อเพลงอะไรนั้นผมไม่รู้หรอก

                    ผมยื่นหน้าไปจ่อที่กล้อง

                    “เฮ้ย! ถอยไป” พีทใช้อีกมือดันหน้าผมออก ถึงจะทำอย่างนั้นแต่เขาก็หัวเราะ ผมจึงหัวเราะไปด้วย

 

                    ผมจิบเบียร์และฟังเพลงเพลินๆ แต่ต้องหันเหความสนใจ เมื่อสังเกตเห็นสายตาของพี่เมฆที่กำลังจับจ้อง ... สิ่งที่ผมเห็นเมื่อมองตามสายตาของพี่เมฆคือภาพของพีทที่กำลังเซลฟี่ โดยมีพี่ปิงก้มลงมาเอาหน้าแนบชิด ... โอเค ไม่ถึงกับแนบชิด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าใกล้กันมาก มากจนผมต้องยกเบียร์ขึ้นซดจนหมดกระป๋อง

มีต่อค่ะ ....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2016 23:48:06 โดย MissDaisy112 »

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #72 เมื่อ26-07-2016 23:50:28 »

ต่อ ...


                    “เสียงกริ่งหน้าบ้านเหรอ?” พี่ปิงเอ่ยแทรกเสียงเพลงของพี่เนส ทำท่าเงี่ยหูฟัง

                    กริ่ง ...

                    “เออใช่” พี่เมฆเอ่ย “ใครมาวะ?” เขาทำท่าจะลุกขึ้น

                    “เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ” พีทอาสา แล้วลุกเดินไปที่ประตู

                    สักครู่พีทก็เดินกลับมา โดยมีผู้ชายคนหนึ่งเดินตามเข้ามาด้วย ... เมื่อเขาปรากฏกาย พี่ปิงลุกจากรีไคลเนอร์ พี่เมฆดีดตัวขึ้นยืนตามทันที ทำให้พี่เนสที่กำลังดีดกีตาร์ต้องหยุดมือ แหงนหน้ามองเพื่อนอย่างงงๆ

                    ทุกอย่างในบ้านเหมือนถูกฟรีซ ไม่มีการขยับเขยื้อน ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอด ผมเหลือบมองพีทที่ยืนอยู่ข้างๆผู้ชายที่มาใหม่ สีหน้าของพีทดูไม่ดีสักเท่าไหร่

                    “มีงานเลี้ยงกันอยู่เหรอ?” เป็นผู้ชายที่มาใหม่เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ผมมารบกวนหรือเปล่า?” เขายังพูดต่อ โดยที่ผมไม่เห็นว่าจะมีใครในที่นี้คิดจะตอบคำถามของเขา

                    แต่แล้วพี่ปิงก็ขยับตัว ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ข้างๆชายคนนั้น “มาได้ยังไงฮะ?” เสียงพี่ปิงเอ่ยถามคล้ายกระซิบ

                    ชายคนนั้นยิ้ม ... เขาแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนที่เหน็บชายเข้าไว้อย่างเรียบร้อย แม้จะดูเป็นชุดลำลองแต่ก็ทำให้เขาดูภูมิฐาน มองแล้วไม่น่าเป็นคนไม่ดี

                    “ไม่รบกวน เรากำลังเลี้ยงส่งน้องชายที่จะกลับไทยพรุ่งนี้” ในที่สุดก็มีคนตอบคำถามของเขา ผมหันตามเสียงนั้น “ถ้าไม่รังเกียจงานเลี้ยงแบบเด็กๆ มาดื่มด้วยกันสิครับ” พี่เมฆเอ่ยชักชวน

                    ผมขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าพี่เมฆจะรู้จักผู้ชายคนนี้ ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนรู้จักของพี่ปิง แต่ก็ดูอายุมากเกินกว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ... แต่สีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของพีทยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปอีก

                    “ผมสิต้องถามว่าจะรังเกียจไหมถ้าผมจะขอร่วมวงด้วย” ชายคนนั้นส่งยิ้มให้กับพี่เมฆ แต่พี่เมฆกลับไม่ยิ้มตอบ

                    “ปิงจะไม่แนะนำให้ทุกคนรู้จักหน่อยเหรอ?” พี่เมฆเอ่ยต่อ

                    พี่จิวกับพี่เนสมองหน้ากันแล้วยักไหล่ ยกเหล้าขึ้นดื่ม

                    พี่ปิงยืนนิ่ง แต่ก็เอ่ยออกมาในที่สุด “นี่คุณกร” พี่ปิงเบี่ยงตัว ถ้าผมมองไม่ผิด ผมเห็นสายตาของพี่ปิงมองตรงไปยังพี่เมฆ

                    “ผมเมฆ” ที่เมฆแนะนำตัวเป็นคนแรก

                    “เราเคยเจอกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ” คุณกรยิ้ม แต่พี่เมฆไม่ยิ้ม

                    “อะ อะไรวะ?” เสียงพี่เนสโวยวายขึ้น ผมทันเห็นพี่เมฆใช้เท้าเตะไปที่ต้นขาพี่เนส พี่เนสขยับตัวยุกยิกก่อน จะเอ่ยเสียงดังแต่ตะกุกตะกัก “เอ่อ ผมเนสครับ และนี่ไอ้จิว” พี่เนสหันไปชี้พี่จิวที่นั่งทำหน้าเอ๋อเหรออยู่ข้างๆ แล้วพี่เนสก็ส่งสายตามาที่ผม

                    ผมจึงต้องรายงานตัวออกไป “ผมไมค์”

                    คุณกรยิ้มแล้วพยักหน้า “แล้วคนนี้ล่ะ?” เขาหันไปหาพีทที่ยืนทำหน้าง้ำอยู่ไม่ห่าง

                    “พีทครับ น้องกำลังจะกลับไทย” พี่ปิงเป็นคนตอบแทน

                    “อ้อ” คุณกรพยักหน้า “มาเที่ยวเหรอ?” เขาถามพีท แต่เจ้านั่นทำเพียงพยักหน้า

                    “นั่งก่อนสิครับ” พี่เมฆเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                    คุณกรยิ้มแล้วพยักหน้า เขาหันไปมองหน้าพี่ปิง พี่ปิงจึงเดินนำเขาให้มานั่งที่รีไคลเนอร์

                    “คุณจะดื่มอะไร?” พี่ปิงเอ่ยถามคุณกร

                    “ดื่มอย่างน้องๆดื่มก็ได้” คุณกรตอบ

                    พี่ปิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในครัว

                    เพล้ง!! เสียงบางอย่างตกกระทบลงพื้นแตกกระจาย ... ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พี่เมฆก้าวพรวดผ่านหน้าผมไปพร้อมเรียกชื่อพี่ปิง พีทที่ยืนอยู่ก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยคุณกรที่ลุกพรวดจากรีไคลเนอร์ การขยับตัวของทั้ง 3 คนเกิดขึ้นรวดเร็วภายในวินาที

                    ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าจะให้เดินตามเข้าไปในครัวอีกก็คิดว่าคงไม่มีพื้นที่ให้ยืน เพราะเวลานี้ครัวเล็กๆมีผู้ชายตัวโตๆเข้าไปอัดแน่นถึง 4 คน

                    “เป็นไรป่ะวะ?” พี่เนสตะโกนเข้าไปถาม

                    ไม่มีคำตอบจากในครัว แต่มีเสียงของพี่เมฆดังออกมา “อย่าขยับ ... พีทเอาไม้กวาดกับที่ตักผงในห้องลอนดรี้มากวาดเศษแก้วก่อน” ตามด้วยเสียงวิ่งขึ้นและวิ่งลงบันได

                    สักพักคุณกรเดินกลับมานั่งที่รีไคลเนอร์ “งั้นผมขอเบียร์ก็แล้วกัน” เขาหันมาทางผม ผมจึงหยิบเบียร์ที่แช่อยู่ในกะละมังส่งให้เขา

                    ตามด้วยพีท ผมดึงให้เขาลงนั่งข้างๆ ... พี่เมฆเดินออกมา

                    “เป็นไรวะ?” พี่จิวเอ่ยถาม เมื่อพี่เมฆกลับมานั่งยังที่เดิม

                    “แก้วบาด” พี่เมฆตอบ

                    พี่ปิงเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้าย เขายืนลังเลคล้ายไม่แน่ใจว่าจะนั่งลงตรงไหนดี แล้วคุณกรก็เอื้อมมือมาแตะปลายนิ้วของพี่ปิงที่มีพลาสเตอร์พันติดเอาไว้ “นั่งนี่สิ”

                    พี่ปิงมองหน้าคุณกร แล้วนั่งลงบนพื้น คุณกรขยับตัวลงจากรีไคลเนอร์ แล้วนั่งซ้อนเข้าไปข้างหลังพี่ปิง

                    แกร๊ก ... เสียงเปิดกระป๋องทำให้ผมเหลือบไปมองพีทที่นั่งข้างๆ เจ้านั่นยกเบียร์ขึ้นซดอั่กๆจนผมต้องแย่งเบียร์ในมือเขามาถือเอาไว้

                    “บ้าหรือเปล่า? กินแบบนี้ได้เมาหัวทิ่ม” ผมไม่รู้ว่าทำไมพีทถึงได้มีบรรยากาศอึมครึมตั้งแต่คุณกรปรากฏตัว ... เขาไม่เถียง แต่คว้าเบียร์ในมือผมกลับไปถือเอาไว้

                    “แผลลึกไหมพี่?” พี่เนสถามพี่ปิง

                    พี่ปิงส่ายหน้า

                    “ดีๆ งั้นฟังเพลงต่อ ใครอยากฟังเพลงไรขอได้นะครับ” พี่เนสเคาะกีตาร์

                    “กูเล่นเอง” พี่เมฆเอ่ยพร้อมแย่งกีตาร์ในมือพี่เนสไปถือเอาไว้

                    “เหย ...” พี่จิวลากเสียงยาว “รุ่นพี่วิดวะมาเองเว้ย” ตามด้วยเสียงแซวแบบที่เริ่มอ้อแอ้ เพราะในขณะที่ใครๆวุ่นวายกันอยู่ พี่เนสกับพี่จิวไม่ได้หยุดกระดกแก้วกันเลย

                    “เป็นบุญหูกูแท้ๆ” พี่เนสแซวบ้าง

                    “หุบปากเลยพวกมึง” พี่เมฆก้มหน้าพึมพำ นิ้วยาวดีดสายดังแต๊งๆ แล้วก็เงียบไป

 

                    ... ไม่ต้องบอกฉัน ถึงวันที่เลยผ่าน ไม่ต้องบอกฉันว่าเคยมีใคร คนไหนยังไง ...

 

                    ผมไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อน ไม่รู้ว่านักร้องคือใคร แต่สิ่งที่พี่เมฆร้องออกมา มันทำให้พวกเราทุกคนนั่งฟังกันเงียบกริบ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ... อาจเป็นเพราะเสียงที่เพราะเกินคาดของพี่เมฆก็เป็นได้

 

                    … ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร จะผ่านอะไรมา ขอจงอย่าเป็นกังวล นี่คือคนของเธอ

                    ไม่ว่ามันจะเกิดอะไร ต่อจากนี้ไป ฉันจะอยู่ดูแลเธอ ด้วยคำว่ารัก ... ด้วยใจ ...

 

                    ท่อนฮุกของเพลงถูกร้องวนไปหลายครั้ง อะไรบางอย่างทำให้ผมชำเลืองมองไปยังพี่ปิง ... แล้วผมก็พบว่าพี่ปิงและพี่เมฆกำลังสบตากันในขณะที่พี่เมฆร้องท่อนสุดท้ายออกมา ... ผมไม่รู้ว่าคุณกรจะสังเกตเห็นสิ่งนี้หรือไม่

                    เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อเพลงจบลง “เหี้ย! กูไม่เคยรู้เลยว่ามึงแม่งมือเทพ ร้องเพลงก็เพราะ อินเนอร์สุดๆ” พี่เนสเอ่ยปากชมเพื่อน

                    “เออว่ะ แม่งซุ่มๆ” พี่จิวเสริม “งี้ต้องยกแก้วให้มัน” พี่จิวยื่นแก้วไปหน้าพี่เนส และพยายามจะยื่นต่อมายังหน้าพี่เมฆที่นั่งถัดมา แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจพี่จิวสักคน

                    “ใครจะโชว์อีกๆ” พี่เนสยกแก้วไปรอบวง “คุณกรเอาสักเพลงไหมครับ?” พี่เนสมาหยุดอยู่ที่คุณกร

                    “โอ้ ... ผมไม่ได้จับกีตาร์มาเป็น 10 ปีแล้วมั้ง จะขายหน้าเปล่าๆ” คุณกรตอบพี่เนส

                    “นั่นไง เล่นเป็นซะด้วย พระเอกไหมล่ะมึง?” พี่เนสหันไปกระทุ้งพี่เมฆที่นั่งทำหน้าตึงอยู่ข้างๆ

                    “โชว์เลยครับ” ผมหันไปยกกระป๋องเบียร์ให้คุณกร เป็นการเชียร์อัพ ผมคิดแค่ว่าถ้าเขาเล่นแย่จนเพลงล่ม อย่างน้อยพี่เมฆของผมก็อาจจะได้คะแนนจากพี่ปิงมากกว่าคุณกรในค่ำคืนนี้ ... ผมคิดแค่นี้จริงๆ

                    “เอางั้นเหรอ?” คุณกรหันมาถาม ผมพยักหน้าและยกนิ้วโป้งให้กับเขา “ลองดูนะ” แต่ประโยคนี้คุณกรหันไปพูดกับพี่ปิง

                    “เอางั้นล่ะครับ” พี่เนสเอ่ยพร้อมส่งกีตาร์มาให้กับคุณกร

                    พี่ปิงขยับตัวห่างออกมา เสียงดีดสายแต๊วๆๆดังอยู่สักพัก จนผมคิดว่างานนี้พี่เมฆของผมชนะใสๆ แต่แล้วเมื่อคอร์ดอินโทรเริ่มขึ้นจริงๆ ผมชักไม่แน่ใจ และเมื่อคุณกรเอ่ยเนื้อร้องออกมา แม้ผมจะไม่รู้จักเพลงนี้อีกเช่นเคย แต่ก็ต้องส่ายหน้า นึกสงสารพี่เมฆขึ้นมา ...

 

                    ... จะมีกี่คนมองเห็นสายตาที่อ่อนโยน ฉันมองเห็นเธอ ...

                    ... เธอสวย ทุกนาทีที่เคยสัมผัส รู้ทันทีว่าเธอคือคนพิเศษ ที่ฉันรอมานาน ที่ฟ้าให้มาเจอะกัน ให้ฉัน มีเธอ ...

 

                    “เออ ... เพราะนะพี่” ผมคิดว่าพี่เนสพูดกับคุณกร แต่เขากลับมองไปที่พี่ปิง ซึ่งนั่งเงียบมาตลอด

                    “เอ๊า ... ไหนๆก็ไหนๆละ ว่าไงพีท เอาสักเพลงไหม?” พี่เนสหันมาหาพีท ผมจึงหันมามองคนข้างๆบ้าง

                    “ผมเล่นกีตาร์ไม่เป็น” พีทเอ่ยเบาๆ แล้วก้มหน้าลงต่ำ ผมจับคางเขาให้เงยขึ้นมา เพื่อดูให้ชัดว่าผมมองไม่ผิด ... ใบหน้าของพีทแดงก่ำ ปากแดงบวมตุ่ย

                    “เมาแล้วไหม?” ผมตบแก้มพีทเบาๆ ... เขาส่ายหน้ารัวๆ

                    “เมาล่ะมั้งน่ะ” เสียงพี่จิว

                    “ท่าจะไม่ไหวแล้วมั้ง พาขึ้นไปนอนดีกว่านะเมฆ” เสียงพี่ปิง

                    “อือ” เสียงพี่เมฆ

                    “เดี๋ยวผมพยุงเอง” ผมแกะกระป๋องเบียร์จากมือพีท พาดแขนเขาไว้บนไหล่ แล้วพยุงให้ลุกขึ้นยืน

                    “จะพาเราไปไหน?” พีทเอ่ยถาม

                    “ไปนอน” ผมตอบ

                    “ยังไม่นอน พี่เนสสอนผมเล่นกีตาร์ก่อน” พีททำท่าจะเดินไปหาพี่เนส

                    “เออๆ ไปนอนก่อน ตื่นมาเดี๋ยวพี่สอนให้” พี่เนสโบกไม้โบกมือ

                    “พี่ปิง ... ถ้าผมเล่นกีตาร์เป็น ... ผม ... จะเล่นให้พี่ฟัง” พีทหันไปมองพี่ปิง “พี่ต้องรอฟังผมเล่นนะ” พอจบประโยค ตัวโตๆของพีทก็ทำท่าจะร่วงพับลงกับพื้น โชคดีที่ผมรวบเอวเอาไว้ได้ทัน

                    พีทเมาหมดสภาพ เขาทิ้งน้ำหนักตัวอย่างเต็มที่ ทำให้ผมต้องจับเขาพาดขึ้นหลังแล้วพาขึ้นบันไดไป ... พี่เมฆบอกให้ผมกับพีทนอนในห้องของเขา

                    ผมรู้ตัวว่าเริ่มมึนมากแล้ว และนึกถึงคำคุณย่า จึงขอตัวอยู่ดูพีทบนห้อง ส่วนพี่เมฆกลับลงไปต่อ ... พีทนอนคู้ตัวอยู่บนเตียง ผมจับไหล่เพื่อจะให้เขาพลิกตัวมานอนหงาย ซึ่งน่าจะสบายกว่าท่าคุดคู้ในตอนนี้ แต่พีทกลับขืนตัวเองไว้ นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้หลับ

                    “นายโอเคไหม?” ผมเอ่ยถาม เอื้อมมือไปลูบผมที่หน้าผากเพื่อจะแตะดูว่าเขาตัวร้อนหรือไม่

                    ฮรึก ... เสียงคล้ายสะอื้น ผมไม่แน่ใจจึงขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ และก้มลงไปมองใบหน้าที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้

                    “พีท ...” ผมเริ่มแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงสะอื้น เพราะไหล่ที่ห่อของพีทสั่นไหว “เป็นอะไร บอกฉันสิ ปวดหัว หรืออยากอ้วกไหม?” ผมลูบหัวของเขา นึกไม่ออกว่าควรทำอย่างไร การที่อยู่ๆได้รับรู้ว่าพีทกำลังร้องไห้ ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก

                    “ฮรึก ... ผู้ชายคนนั้น” พีทเอ่ยออกมาในขณะที่ยังซุกหน้าอยู่กับมือของตัวเอง

                    ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร จึงนั่งเงียบๆ

                    “ผู้ชายคนนั้นอยู่กับพี่ปิง ตอนที่เราวิ่งชนพี่ปิง ... ฮรึก ... เราจำได้”

                    ผมเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ ผู้ชายคนนั้นคงหมายถึงคุณกร ... การที่คุณกรกับพี่ปิงคบกันมาเป็น 10 ปี แม้แต่ตัวผมเองก็คงต้องคิดไปไกลว่าพวกเขาคงไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา

                    “เขาคงเป็นเพื่อนกัน” ผมไม่รู้ว่าการพูดจาปลอบคนเมาที่กำลังเสียใจ มันจะมีประโยชน์อะไรไหม

                    “เวลา 10 ปีที่เราทำได้แค่เพียงฝันถึงพี่ปิง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับมีพี่ปิงมาตลอด”

                    ผมมองตัวโตๆของพีทแล้วถอนหายใจ เขาพูดได้ยาวเหยียด ไม่เหมือนคนที่กำลังเมาเลยสักนิด

                    “นายเสียใจเหรอ?” ผมจับไหล่แล้วบังคับให้พีทนอนหงาย คราวนี้เขาไม่ขืนตัว ... หน้าของพีทแดงก่ำ ริมฝีปากแดงย้อย  น้ำตาอาบอยู่ที่สองแก้ม  ... ผมแตะปลายนิ้วปาดเพื่อเช็ดมันออก

                    ตากลมโตของพีทมองมา

                    “ในขณะที่นายเสียใจเรื่องพี่ปิง แล้วนายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง?” ผมปาดนิ้วโป้งเช็ดหยดน้ำที่หางตาของพีท

                    “ไมค์ ... นายชอบเราจริงๆเหรอ?” ดวงตากลมมีน้ำใสคลอหน่วย มันดูยั่วยวนมากกว่าน่าสงสาร

                    “ใช่” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

                    “เรา ...” ปากแดงของพีทเผยอจะเอื้อนเอ่ย แต่ผมปิดมันไว้ด้วยปลายนิ้ว

                    “เลิกพูดเถอะ ฉันไม่อยากฟัง” ปลายนิ้วโป้งของผมคลึงที่ริมฝีปากอิ่ม

                    “ไมค์ ...” ริมฝีปากแดงฉ่ำทำให้ลมหายใจของผมติดขัด

                    “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากฟังนายพูด”

                    ดวงตากลมโตจ้องมองผมไม่กระพริบ

                    “... ฉันอยากจูบนาย” ผมกระซิบบอกความต้องการข้างใบหูแดง

                    พีทนอนนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจหนักๆที่ส่งออกมา ผมย้ายริมฝีปากมาแตะที่แก้ม สัมผัสเพียงแผ่วแล้วเลื่อนมาที่ริมฝีปาก ไม่มีอาการขัดขืนจากคนที่นอนอยู่ข้างใต้ ... สัมผัสนุ่มลื่นและความร้อนผะผ่าวในโพรงปากทำให้สติของผมกระเจิดกระเจิง ทุกอย่างหมุนคว้างคล้ายกับโดนดูดเข้าไปอยู่ท่ามกลางพายุ ...

                    ผมคล้ายจะมีสติอีกครั้งเมื่อพีทพลิกตัวกลับ เขากดร่างผมลงกับที่นอน แล้วคร่อมผมเอาไว้  เสื้อยืดถูกเจ้าของถอดออกอย่างรวดเร็ว และต่อมาเสื้อยืดของผมก็ถูกเขาถอดออกเช่นกัน ... ผมรับรู้ถึงน้ำหนักตัวที่โถมทับลงมา สัมผัสเปียกชื้นของปลายลิ้นที่ดูดดุนตรงซอกคอทำให้ผมครางออกมา ... และหลังจากนั้นสติของผมก็หลุดกระเจิงไปอีกครั้ง ...

 

                    ผมมองใบหน้าที่หลับใหลคล้ายเด็กไร้เดียงสาของคนที่ซุกอยู่ข้างๆ ... หลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น ... ภาพที่อยู่ตรงหน้ายังคงเหมือนเดิม ... นี่คือห้องของพี่เมฆ

 

                    ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เสียงเพลงและเสียงกีตาร์จากชั้นล่างยังแว่วมาเข้าหู ... เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ใช่ความฝัน …

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #73 เมื่อ27-07-2016 19:24:21 »

อยากรู้ว่าพีทกดไมค์หรือไมค์กดพีท :hao6: :katai4:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #74 เมื่อ27-07-2016 21:50:07 »

ไม่ต้องเสียใจลูก หนทางยังอีกยาวไกลน้องพีท

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
«ตอบ #75 เมื่อ02-08-2016 22:29:28 »

# 27 (PETE)

 

                    แกร็ก ... เสียงบางอย่างปลุกผมจากการหลับใหล เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ภาพที่เห็นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย หลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นใหม่ มองกวาดไปรอบๆห้อง ... ผมอยู่ที่ไหน?

                    “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงที่คุ้นหูทำให้ผมต้องหันตาม ... พี่เมฆยืนอยู่ตรงนั้น เขามีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง ... ผมขยับ ยันตัวลุกนั่ง ในหัวหนักอึ้ง

                    “ปวดหัวล่ะสิ” พี่เมฆเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง

                    ผมกำมือทุบท้ายทอยตัวเอง “ครับ”

                    “ไปอาบน้ำสระผม กินอะไรสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” พี่เมฆพูดแล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่าง แล้วหันกลับมายื่นมันให้ผม

                    ผมมองด้วยความรู้สึกมึนๆงงๆ

                    “ผ้าเช็ดตัว” พี่เมฆบอก

                    เมื่อเข้าใจแล้ว จึงยื่นมือไปรับเอาไว้ ขยับตัวออกจากผ้าห่ม ปวดตุบในหัว เมื่อก้าวลงจากเตียง ความรู้สึกเบาโหวงทำให้ต้องก้มลงมองตัวเอง ... ทั้งตัวของผมเปลือยเปล่า

                    ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่เมฆโดยอัตโนมัติ และเมื่อพบว่าเขากำลังมองผมอยู่ ผ้าเช็ดตัวที่อยู่ในมือจึงถูกนำมาพันกายท่อนล่างไว้อย่างรวดเร็ว

                    ผมเงยขึ้นมองหน้าพี่เมฆอีกครั้งช้าๆ “พะ พี่ ... เมื่อคืนพี่ทำอะไรผม?” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยความยากลำบาก ในหัวเริ่มคิดทบทวนเรื่องเมื่อคืน ... ผมมานอนที่เตียงของพี่เมฆได้ยังไง ทำไมผมถึงตื่นขึ้นมาด้วยสภาพล่อนจ้อนและอยู่ในห้องเดียวกันกับพี่เมฆที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกาย ... อาการปวดหัวเมื่อครู่ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นแทบจะระเบิด

                    พี่เฆมไม่ตอบคำถามของผม เขายังคงยืนมองผมตาค้าง

                    “พี่!” ผมเรียกเขาเสียงดัง

                    “เฮ้ย!” พี่เมฆอุทานออกมาเสียงดังกว่าผมเสียอีก “พี่เปล่า!” พี่เมฆส่ายหน้าดิก

                    “พี่เปล่าแล้วผมมานอนแก้ผ้าบนเตียงพี่ได้ยังไง?” ผมส่งเสียงโวยวาย ยกมือกุมขมับ

                    “เมื่อคืนพีทเมา พี่กับไมค์ก็พาขึ้นมานอน แล้วพี่ก็ลงไปกินต่อ” พี่เมฆอธิบาย

                    “แล้ว?” ผมต้องการรู้ต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

                    “แล้วอะไรล่ะ พี่ก็นอนอยู่ข้างล่างกับไอ้จิวไอ้เนส” พี่เมฆท้าวเอว

                    “แล้วไมค์ล่ะ?” ผมนึกถึงอีกคนที่เหลือ

                    “กินโจ๊กอยู่ข้างล่าง”

                    “เปล่า! ผมหมายถึงเมื่อคืนไมค์นอนที่ไหนฮะ?”

                    “ก็นอนที่ห้องนี้ไง”

                    คำตอบของพี่เมฆทำเอาผมแทบทรุด ... เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับไมค์?

                    ผมเดินผ่านหน้าพี่เมฆไปอย่างเลื่อนลอย … ขณะอาบน้ำ ผมพยายามสำรวจความเสียหายจากร่างกายตัวเอง ... ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ที่ไอ้ม่อกเคยเล่าให้ฟัง เรื่องของพี่ข้างบ้านมันที่เป็นเกย์ เขาบอกว่าครั้งแรกโคตรเจ็บ ทั้งสายเหลืองสายแดงคละคลุ้ง ระบมจนต้องนอนป่วยอยู่หลายวัน ผมกับพวกเพื่อนในแก๊งฟังแล้วยังขนลุก ไม่คิดว่าเรื่องอย่างว่าระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะน่ากลัวสยดสยองขนาดนั้น แต่ไอ้ม่อกยืนยันว่าพี่เขาบอกมันอย่างนั้นจริงๆ ... ผมยื่นมือไปแตะด้านหลังของตัวเองด้วยความรู้สึกกระดากอาย ... ไม่เจ็บ

 

                    ผมก้าวลงบันไดอย่างช้าๆ รู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับไมค์ ... ที่ชั้นล่าง พี่เมฆทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว พี่เนส หลับอยู่บนรีไคลเนอร์ที่ปรับให้เอนลง พี่จิวหลับอยู่บนพื้น

                    “มาแล้วเหรอ? กินโจ๊กไหม จะได้อุ่นท้อง แล้วเดี๋ยวคงต้องออกกันเลย เผื่อทราฟฟิค” พี่เมฆเอ่ยถามเมื่อผมเดินเข้าไปในครัว

                    “ครับ”

                    พี่เมฆหันไปตักโจ๊กในหม้อ

                    “พี่ปิงกับ เอ่อ ... ไมค์ ไปไหนฮะ?”

                    พี่เมฆถือชามโจ๊กมาวางบนโต๊ะ ในมืออีกข้างมีแก้วกาแฟ เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไมค์เห็นบอกจะไปเดินเล่นแถวๆนี้ ส่วนพี่ปิง ... ออกไปส่งคุณกร”

 

                    ชื่อของคุณกร ทำให้ผมนึกได้ว่าเมื่อวานขณะที่พวกเรากำลังดื่มกินและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน มีคนมากดกริ่งที่หน้าบ้าน ผมเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ความคุ้นเคยบอกผมว่าคนๆนี้คือคนที่มายืนรอพี่ปิงในค่ำคืนที่พวกเรากลับจากสวนสนุก ... ผมยืนจ้องหน้าเขาจนเขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ปิงอยู่ไหม?” ผมยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น ยิ่งมองยิ่งคุ้นตา และแล้วภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ซ้อนขึ้นมา ... เขาคือผู้ชายที่อยู่เคียงข้างพี่ปิงในงานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่ปีนั้น ถึงแม้ผมยังเด็ก และเวลาผ่านมาจนเกือบ 10 ปี แต่ผมจำเขาได้แน่ๆ

 

                    “เมื่อคืนคุณกรค้างที่นี่เหรอครับ?” ในอกข้างซ้ายเหมือนมีอะไรบางอย่างถ่วงไว้จนหนัก

                    พี่เมฆจิบกาแฟ วางแก้วลงบนโต๊ะแล้วพยักหน้า

                    “คุณกรนอนที่ไหนเหรอฮะ?” ผมไม่รู้ว่าคำถามนี้เสียมารยาทหรือไม่ แต่ผมอยากรู้

                    แกร๊ก ... เสียงที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้เราทั้งคู่หันไปทางหน้าบ้าน ... พี่ปิงผลักประตูเข้ามา เขายืนนิ่ง มองหน้าผมสลับกับหน้าพี่เมฆ นั่นคงเพราะเราสองคนต่างจ้องไปที่เขา

                    “ไมค์กลับมาหรือยัง? เราควรออกกันได้แล้ว เผื่อเวลาไว้สักหน่อยจะได้ไม่ฉุกละหุก” พี่ปิงเอ่ยขณะเดินเข้ามา

                    “เดี๋ยวเมฆโทรตาม” พี่เมฆลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จเอาไว้ข้างๆโทรทัศน์

                    ผมก้มหน้า ตักโจ๊กเข้าปาก ในหัวยังปวดหนึบๆ ... ชื่อคุณกรและร่างบางของพี่ปิง ทำให้ผมนึกถึงท่าทางที่พวกเขานั่งอิงแอบกันเมื่อคืน ... ผมปวดใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย และหลังจากนั้นเหมือนว่าความทรงจำของผมจะเลือนราง รางจนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น

                    “พีทเป็นไงบ้าง?” พี่ปิงมายืนอยู่ใกล้ๆตอนไหนไม่รู้ ผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาวางมือไว้บนหัวผม “ปวดหัวไหม?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

                    ผมกัดปากด้านในเอาไว้ ความใจดีของพี่ปิงทำให้ผมอยากร้องไห้ “นิดหน่อยครับ”

                    “เดี๋ยวตอนออกไปค่อยแวะ CVS ซื้อแก้แฮงค์มากินสักขวด อาจดีขึ้น” พี่ปิงลูบหัวผม พูดเสร็จแล้วหันไปมองหน้าพี่เมฆ

                    แกร๊ก ... เสียงประตูดังอีกครั้ง ผมไม่กล้าหันไปมอง เพราะรู้ว่าคราวนี้คนที่ก้าวเข้ามาน่าจะเป็นไมค์

                    “ไปเดินถึงไหนมา?” พี่เมฆเอ่ยถาม

                    “เรื่อยๆฮะ”

                    “งั้นเดี๋ยวเมฆไปถอยรถมาหน้าบ้าน” พี่เมฆหันไปบอกพี่ปิง

                    เสียงประตูปิดลง แสดงว่าพี่เมฆออกไปแล้ว

                    “ผมจะขึ้นไปเอากระเป๋า” เสียงของไมค์เอ่ยขึ้น และตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันไดไป

                    ผมกินโจ๊กหมดแล้วจึงลุกจะเอาชามเข้าไปล้างในครัว

                    “วางไว้ในอ่างนั่นแหละ เดี๋ยวพี่กลับมาจัดการเอง”

                    “ไม่เป็นไรครับ ผมล้างได้”

                    “ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็ต้องเคลียร์ของในครัวอยู่แล้ว”

                    ผมกวาดตามองข้าวของ ถ้วยจานที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว นึกเกรงใจที่ผมเป็นต้นเหตุให้พี่ปิงต้องเหนื่อยกับการจัดงานเลี้ยง “ขอโทษนะครับ เพราะต้องเลี้ยงส่งผม พี่ปิงเลยต้องเหนื่อย”

                    พี่ปิงส่ายหน้าแต่ยิ้ม “เรื่องเล็กน่ะ เดี๋ยวก็ช่วยๆกัน”

                    ไมค์เดินลงมา ผมมองหน้าเขาแว้บหนึ่งแล้วหลบตา “ผมขึ้นไปเก็บของบนห้องก่อนนะฮะ” เป้และเสื้อผ้าที่ผมถอดทิ้งไว้ยังอยู่บนห้องพี่เมฆ

                    “เดี๋ยวผมเอากระเป๋าลงไปรอพี่เมฆ” เสียงของไมค์พูดกับพี่ปิงดังขึ้นเมื่อผมก้าวขึ้นบันได

 

                    เมื่อเช็คอินแล้วผมยังมีเวลานิดหน่อยที่จะกล่าวลาทั้ง 3 คนที่มาส่ง ส่วนพี่เนสกับพี่จิวยังหลับเป็นตายเมื่อพวกเราออกมาจากบ้าน

                    “ไปถึงที่โน่นแล้วโทรหาพี่นะเว้ย” พี่เมฆตบไหล่ผม

                    “ครับ ... ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่เมฆ หากวันนั้นไม่ได้เจอเขาที่จอร์จวอชิงตัน ผมก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับพี่ปิง เพราะฉะนั้นเขาคือคนที่มีบุญคุณกับผมมาก

                    “เฮ้ย เล็กน้อย เอาไว้พี่กลับไทยเมื่อไหร่ พี่จะไปเอาคืน”

                    “พี่ต้องให้ผมพาเที่ยวนะ พี่สัญญากับผมแล้ว”

                    “แน่นอนดิวะ” พี่เมฆโยกหัวผมเบาๆ

                    ผมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าขาวแม้จะดูซีดเล็กน้อย แต่ก็ยังงดงามเสมอสำหรับผม

                    “ขอบคุณนะครับพี่ปิง” ผมพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา

                    พี่ปิงยิ้ม ... ผมกัดปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ

                    “เดินทาง ปล ...” เมื่อได้ยินเสียงของพี่ปิง ความอดกลั้นของผมก็พังทลาย

                    ผมเดินเข้าไปสวมกอดร่างบางเอาไว้ คำพูดของพี่ปิงสะดุด แต่แล้วเขาก็เอ่ยต่อขณะอยู่ในอ้อมกอดของผม “เดินทางปลอดภัยนะ”

                    “ผมจะรอพี่กลับไปเมืองไทย พี่ไปเมื่อไหร่ผมจะเทคแคร์พี่เอง”

                    “ขอบใจนะ” เสียงนุ่มของพี่ปิงเอ่ยลอดออกมา

                    “แต่ถ้าพี่ไม่ได้กลับไป ... พี่รอผมนะ ผมจะมาหาพี่เอง” ผมเอ่ยเบาๆที่ข้างหู

                    พี่ปิงไม่ตอบ แต่ผมรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นจากมือของเขาที่ตบหลังผมเบาๆ … ร่างในอ้อมกอดขยับ ผมจึงจำใจต้องปล่อย ถอยออกมา 1 ก้าว เพื่อจะมองใบหน้าของพี่ปิงให้เต็มตา ดวงตายาวรีมองตอบกลับมา 

                    ในคลองสายตา ใครอีกคนยืนห่างออกไป ผมตัดสินใจก้าวเข้าไปหา ... ระหว่างทางมาสนามบิน ไมค์นั่งหลับตา ไม่พูดอะไรเลยสักคำ

                    “ขอบใจนะ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

                    ไมค์ไม่ตอบ ไม่พยักหน้า มีเพียงดวงตาสีน้ำตาลที่มองจ้องใบหน้าผมโดยไม่กะพริบ

                    “ไมค์ ...” ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ เขาคือคนที่อยู่กับผมในห้องนั้น

                    “หันหลัง” อยู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นมา

                    ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจในสิ่งที่ไมค์พูด ... หันหลัง? เขาหมายถึงอะไร? หมายถึงเรื่องเมื่อคืนยังงั้นเหรอ? เมื่อคิดอย่างนั้น ความร้อนผ่าวก็ผุดขึ้นที่แก้ม

                    “ฉันบอกให้หันหลังไง” พูดแล้วก็จับไหล่ บังคับให้ผมหันหลังให้กับเขา

                    ผมรู้สึกว่าซิปของเป้ที่อยู่บนหลังถูกรูดลง ของบางอย่างถูกใส่ลงไป และซิปก็ถูกรูดปิด ผมค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับไมค์อีกครั้ง

                    “Have a safe flight.” ไมค์ล้วงมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง เขาก้มหน้าแล้วหันหลัง ก้าวเดินจากไป

                    “จวนได้เวลาแล้ว เข้าไปเถอะ” พี่เมฆเดินมายืนข้างๆ ตบไหล่ผม

                    “ครับ”

 

                    ระหว่างทางเดินไปที่เกท ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้จนรู้สึกเจ็บในอก ... พี่เมฆและพี่ปิงที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น เมื่อหันกลับไปอีกครั้ง ผมเห็นเพียงด้านหลังของพวกเขาที่กำลังเดินห่างออกไป

                    เมื่อนั่งประจำที่บนเครื่อง ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะปิด เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น

                    ไมค์ - ฉันให้เวลานาย โปรดคิดเรื่องของฉันอีกครั้ง

                    ผมสูดหายใจลึกแล้วปล่อยออกอย่างช้าๆเมื่ออ่านข้อความจบ ... ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ... ไมค์คือเพื่อน และคนที่ผมคิดถึงในขณะนี้มีเพียงพี่ปิง

                    ผมเปิดเป้เพื่อจะเก็บโทรศัพท์ แต่แล้วมือก็ไปกระทบกับของบางอย่าง ผมหยิบมันออกมา ... กล่องสี่เหลี่ยมสีดำ ผมเปิดมันออกในขณะที่ใจเริ่มเต้นตึกๆ ... มันคือนาฬิการุ่นที่ผมอยากได้ และไมค์ซื้อมันเมื่อวันก่อน ... ผมหยิบออกมาสวมแล้วจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ...

 

                    น้าติ๊ก น้าเขยและทีน่ามารับผมที่สนามบิน พวกเราแวะกินข้าวร้านจีนก่อนกลับเข้าบ้าน ผมมีของฝากเล็กๆน้อยๆให้กับทุกคน จากนั้นก็ขอตัวเข้าห้อง

                    ทิ้งตัวลงบนเตียง เปิดหน้าไลน์ ภาพดอกไฮเดรนเยียและภาพด้านข้างของไมค์ทำให้ผมลังเล ส่วนพี่เมฆนั้นผมส่งข้อความบอกตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน และขณะนั่งรถกลับบ้าน น้าติ๊กก็โทรหาแม่ ผมจึงได้คุยกับท่านแล้ว

                    ผม – ถึงบ้านน้าติ๊กแล้วนะ

                    ผมเลือกส่งข้อความถึงไมค์ ข้อความถูกเปิดอ่านทันที

                    ผม – ขอบคุณมากสำหรับนาฬิกา เรานึกว่านายซื้อให้ตัวเองซะอีก

                    ผมถ่ายรูปนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือส่งไปให้

                    ผม – มันเท่มาก แต่ก็แพงมากด้วย นายไม่น่าให้ของแพงๆแบบนี้กับเราเลย

                    ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อยเมื่อนึกถึงวันนั้นที่ไมค์เอานาฬิกาขึ้นมาอวด แล้วบอกให้ผมลองสวมดู ไม่นึกเลยว่าเขาจะยกให้ผม

                    ไมค์แนบรูปถ่ายมาให้ เมื่อเปิดดู มันคือภาพนาฬิกาข้อมือแบบเดียวกันต่างกันตรงที่ มันอยู่บนข้อมือของไมค์

                    ไมค์ – นั่นของนาย และนี่ของฉัน

                    ผมกัดริมฝีปาก ความรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น ไมค์ซื้อนาฬิกาแบบเดียวกันกับของเขาให้ผม ... เขารู้ว่าผมชอบรุ่นนี้มาก แต่ผมกลับไม่มีอะไรให้กับเขา ... แม้จะตอบกลับความรู้สึกที่เขามีให้ ผมยังทำไม่ได้

                    ผม – เราไม่มีอะไรให้นายเลย

                    ไมค์ – ฉันไม่ต้องการอะไร แค่นายไม่ลืมฉันก็พอแล้ว

                    ผม – เราจะลืมได้ยังไง นายเป็นเพื่อนรักของเรานะ

                    ไมค์อ่าน แต่ไม่ตอบ รอสักพักก็ยังไม่ตอบ ... ผมรู้ว่าการเน้นย้ำคำว่าเพื่อนอาจทำร้ายความรู้สึกของไมค์ แต่ผมให้เขาได้เท่านั้นจริงๆ แม้ว่า ...

                    แม้ว่าเมื่อคืนอาจเกิดอะไรขึ้นแล้วระหว่างผมกับไมค์ ... ผมควรถามให้แน่ใจ

                    ผม – เมื่อคืนนายนอนบนห้องกับเราหรือเปล่า

                    ไมค์อ่าน และไม่นานเขาก็ตอบกลับมา

                    ไมค์ – ใช่

                    ผม – เราอ้วกใช่ไหม

                    ผมพยายามนึกว่าเพราะเหตุใดถึงได้นอนแก้ผ้า ... อาจเพราะเมาจนอ้วกและมันเลอะเทอะจนต้องถอดเสื้อผ้าทิ้งไป เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในละครอยู่ออกบ่อย มันอาจเกิดขึ้นกับผมบ้างก็ได้

                    ไมค์ – เปล่า

                    จบกัน ... คำตอบของไมค์ทำเอาโทรศัพท์แทบร่วงจากมือ

                    ผม – งั้นเราคงร้อน

                    ผมนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น

                    ไมค์อ่านแล้วเงียบไป ผมทนรอไม่ไหวจึงต้องส่งข้อความย้ำกลับไป

                    ผม – เราคงร้อนเลยถอดเสื้อผ้าออก

                    ไมค์ – ใช่

                    คำตอบของไมค์ทำให้ผมรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก … มันควรเป็นอย่างนั้น ผมไม่น่าคิดมากเกินไป บางทีผมเมา ไมค์ก็อาจจะเมาด้วยเหมือนกัน เขาคงไม่สนใจหรอกว่าผมจะแก้ผ้าหรือทำอะไร

                    ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะ

                    ไมค์ – นายถอดเสื้อผ้าตัวเอง และถอดของฉันด้วย

                    โทรศัพท์ร่วงจากมือลงมาใส่อกดังตุ้บ! ที่ไมค์พูดหมายความว่ายังไง? ผมร้อนรนจนตัดสินใจโทรกลับไป ไมค์ไม่รับสาย แต่ส่งข้อความกลับมา

                    ไมค์ – ฉันชอบเสียงครางของนาย

                    ผม – รับสายฉันเลย เราต้องคุยกัน

                    ผมโทรไปอีกครั้ง

                    “นายหมายความว่าไง?” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีที่รู้ว่าไมค์รับสาย

                    /ก็ตามนั้น/ เสียงตอบกลับช่างไร้อารมณ์ ต่างกับผมในเวลานี้

                    “ไมค์ เราต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน” อกข้างซ้ายเต้นตึกๆ

                    /.../

                    “ไมค์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับเรานะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ยิ่งเขาเงียบ ผมยิ่งร้อนรุ่ม

                    /นายทำอะไรลงไป จำไม่ได้เลยหรือไง?/ แทนที่เขาจะบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่กลับตั้งคำถามย้อนกลับมา ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

                    “ถ้าเราจำได้ เราจะต้องมาซักนายอยู่อย่างนี้ไหม?” ผมสูดลมหายใจ พยายามระงับสติอารมณ์

                    /ถ้านายจำไม่ได้ ก็ให้มันแล้วไป/

                    “มันจะแล้วไปได้ยังไง เราตื่นมา เอ่อ ... แก้ผ้าล่อนจ้อน”

                    /นายแก้ของนายเอง จะมาโวยวายโทษใครกันล่ะ/ ทั้งน้ำเสียงและคำพูดของไมค์ทำเอาผมหน้าชา

                    “แล้วนายทำอะไรเราหรือเปล่า?” ผมต้องซักเอาความจริงให้ได้

                    /ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะต้องเป็นฝ่ายทำอะไรนายด้วย ทำไมไม่คิดว่านายเองอาจจะเป็นฝ่ายทำฉันก็ได้/ คำพูดของไมค์ทำให้ผมต้องหยุดคิด ... หรือที่ผมไม่รู้สึกเจ็บ นั่นเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ...

                    “เรา ...” อยู่ๆสมองก็ตื้อไปหมด นี่ผมทำอะไรลงไป? หรือที่ไมค์นั่งเงียบมาตลอดในรถ เพราะเขาอาจจะรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก

                    “นายแน่ใจเหรอว่าเราทำมันลงไปจริงๆ” ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าผมจะทำเรื่องอย่างนั้นลงไป

                    /เห้อ ... ถ้านายจำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ จบไหม?/

                    “...” จะให้จบง่ายๆอย่างนี้งั้นเหรอ?

                    /เอาล่ะๆ ฉันจะบอกความจริงก็ได้ นายเมาแล้วก็บ่นว่าร้อน แล้วก็ลุกขึ้นมาแก้ผ้า ฉันห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ฉันเองก็เมาเลยไม่ได้ใส่ใจ แล้วจากนั้นฉันก็หลับไป ... แค่นี้ล่ะ/ คำอธิบายยืดยาวของไมค์ กลับไม่น่าเชื่อถือเลยสำหรับผม

                    “นาย ... เจ็บไหม?” ถ้าผมไม่เจ็บ คนที่เจ็บคงเป็นไมค์ ผมนึกห่วงเขาขึ้นมา

                    /เจ็บ? เจ็บอะไรของนาย?/

                    “ก็ ... เจ็บตรงนั้น ... เราไม่รู้ตัว อาจทำนายเจ็บ” ผมนึกถึงสีหน้าของไอ้ม่อกตอนมันเล่าว่ารุ่นพี่ของมันเจ็บเจียนตาย

                    /ฮ่าๆๆๆๆๆๆ/ เสียงหัวเราะดังลั่นผ่านเข้ามา จนผมต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากหู

                    “ขำอะไร?”

                    /ฉันชอบนายก็เพราะเงี้ย ฮ่าๆๆๆ/

                    “หยุดขำแล้วตอบคำถามเรา!” ผมเริ่มหัวเสีย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ตลกเลยสักนิด ... นี่คือความบริสุทธิ์ที่ผมรักษามาเกือบ 18 ปีเชียวนะ

                    /จะให้ฉันตอบอะไรอีกล่ะ ก็บอกไปหมดแล้ว/ ไมค์ยังหัวเราะหึๆ

                    “เอาล่ะ เราจำอะไรไม่ได้เลย เราตื่นมาพบตัวเองนอนแก้ผ้า แล้วนายก็นอนอยู่กับเราเมื่อคืน ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คือ ถ้าเราทำอะไรนาย ... เราขอโทษ”

                    /ขอโทษ? ... ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นายคิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบเหรอ?/

                    “...” ถ้าแค่ขอโทษแล้วไม่จบ ผมควรทำยังไง?

                    /ถ้าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคนจริงๆ นายคิดจะทำยังไงต่อไป?/

                    “...” ผมต้องรับผิดชอบไมค์หรือเปล่า?

                    /ถ้านายไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นายจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา รู้หรือไม่รู้ เกิดหรือไม่เกิด มันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงงั้นเหรอ? ถ้าคำตอบคือไม่ ... งั้นก็จบแค่นี้/

                    “ไมค์ ... เรา ...” ผมไม่รู้ควรทำยังไง ควรพูดอะไร

                    /ฉันบอกนายแล้วว่าฉันให้เวลานาย ฉันไม่คิดจะเอาเรื่องเมื่อคืนมาเป็นเครื่องต่อรอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก มันก็แค่คนเมาสองคนที่ทำอะไรไปอย่างขาดสติ/

                    “...” คนเมา ... ทำอะไร ... ขาดสติ ...

                    /แค่นี้นะ ฉันต้องลงไปหาคุณย่า/

                    “...”

                    ไมค์วางสายไป โดยที่ผมไม่ได้เอ่ยคำร่ำลา คำพูดของไมค์ทำให้มั่นใจว่าเมื่อคืนระหว่างผมกับไมค์ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ... แล้วผมควรทำยังไง? ผมชอบไมค์มาก แต่ในฐานะเพื่อน ไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างอื่นได้มากกว่านี้ แม้จะรู้ว่าเขาชอบผมมากก็ตาม

                    ถ้าผมทำเป็นไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยให้ทุกอย่างจบลงเงียบๆ เพราะถึงอย่างไรผมกับไมค์ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วก็ได้ ... ผมจะเลวไปไหม?

                    เหม่อมองดวงไฟบนฝ้าเพดาน อีกไม่กี่วันผมก็จะไปจากแผ่นดินอเมริกา และก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ เรื่องไมค์กับผมจึงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ... แล้วเรื่องของผมกับพี่ปิงล่ะ มันจะเป็นยังไงต่อไป

                    ผมเลือกโทรออกแทนการส่งข้อความ เวลานี้ผมต้องการได้ยินน้ำเสียงที่จะปลอบโยนผมได้ รอไม่นาน คนทางนั้นก็รับสาย

                    /เป็นไง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?/ พี่ปิงเอ่ยถาม ... เสียงนี้ที่ผมคิดถึง

                    “เรียบร้อยครับ”

                    /เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงหงอยๆ/

                    “ผม ... ผมคิดถึงพี่”

                    /.../

                    “ผมไม่อยากกลับเลย”

                    /แล้วไม่คิดถึงพ่อกับแม่เหรอ?/

                    “...”

                    /ท่านคงคิดถึงพีทมากนะ ลูกชายคนเดียวมาเที่ยวซะตั้งนาน/

                    “...”

                    /กลับไปตั้งใจเรียน เอาไว้ปิดเทอมแล้วค่อยมาเที่ยวอีก/

                    “ผมต้องมาอีกแน่ๆครับ”

                    /มาสิ แล้วพี่จะพาเที่ยว/

                    “จริงๆนะครับ” ผมสูดหายใจลึก การที่คิดว่าจะได้พบกับพี่ปิงอีกครั้ง จะเป็นพลังผลักดันให้ผมก้าวไปในวันข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง

                    /จริงสิ/

                    “แล้วพี่จะกลับมาเมืองไทยไหมครับ? คุณแม่พี่ก็คงคิดถึงพี่เหมือนกัน” เมื่อตอนที่ออกไปเดินถ่ายรูปรอบๆหมู่บ้าน พี่ปิงเล่าว่าเขามีเพียงแม่และน้องสาวอยู่ที่เมืองไทย ส่วนพ่อเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก

                    /... คงอีกสักปีหรือ 2 ปี/

                    “ผมอยากให้พี่มา ผมอยากมีโอกาสดูแลพี่บ้าง ผมจะพาพี่ไปเที่ยวเชียงใหม่”

                    /ขอบใจนะ/

                    “พี่ปิง ...”

                    /.../

                    ผมหลับตา ขบริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ก่อนจะเอ่ยค่ำนี้ออกมา “ผมชอบพี่”

                    /.../

                    “แค่เราอยู่กันคนละประเทศมันก็ห่างไกลกันมากแล้ว พี่อย่าปฏิเสธหรือผลักไสผมไปไหนเลยได้ไหมครับ”

                    พี่ปิงเงียบไปสักครู่ ก่อนจะตอบกลับมา /... ให้เวลาทำงานของมันก็แล้วกัน/

                    “พี่หมายความว่ายังไงฮะ?” เวลาจะทำอะไรงั้นเหรอ?

                    /นอนได้แล้วนะ/

                    “แต่ผม ...” ผมไม่อยากวางสาย อยากฟังเสียงของพี่ปิง อยากรู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้ๆ

                    /ถ้าไม่อยากเป็นเด็ก ก็ต้องหัดคิดอย่างผู้ใหญ่ได้แล้ว/

                    “... ครับ” ถ้าผมเป็นผู้ใหญ่ พี่ปิงคงไม่ปฏิเสธผม

                    /ฝันดีนะ/

                    “ฝันดีครับ”

 

                    วินาทีที่เครื่องบินยกตัวขึ้นสู่อากาศ ผมมองแผ่นดินอเมริกาผ่านหน้าต่าง ... สักวันผมจะกลับมา

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #76 เมื่อ02-08-2016 22:31:36 »

 
อยากรู้ว่าพีทกดไมค์หรือไมค์กดพีท :hao6: :katai4:

 :z1: :katai2-1:

ออฟไลน์ MissDaisy112

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: The One You Love (& The ones who love you) #26 [updated 26/7/2559]
«ตอบ #77 เมื่อ02-08-2016 22:32:32 »

ไม่ต้องเสียใจลูก หนทางยังอีกยาวไกลน้องพีท

 :mew2:

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
Re: The One You Love (& The ones who love you) #27 [updated 2/8/2559]
«ตอบ #78 เมื่อ11-08-2016 07:11:49 »

สงสารไมค์กี้  :katai4: :katai4:
รอตอนต่อไปค่ะ :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด