นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว ม่อนแจ่มยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ในใจรอคอยเสียงไขกุญแจเปิดประตู ..ความคิดเรียบเรียงสิ่งที่จะพูดหากคนที่ก้าวเข้ามาคือพชร
,,Use me as you will
Pull my strings just for a thrill
And I know I’ll be okay
Though my skies are turning grayเสียงเรียกเข้าดังขึ้นในความเงียบ ม่อนแจ่มสะดุ้งน้อยๆ ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
แน่นอน.. หน้าจอแสดงชื่อ ‘คุณแม่’ ท่านคงเลิกงานและจะเข้ามอมารับแล้ว
ร่างเล็กถอนหายใจ มือปัดฝุ่นออกจากเตียงเดี่ยวซึ่งก่อนหน้านี้ใบหน้าตัวเองซบอยู่ ขาค่อยๆหยัดขึ้นยืน มองรอบๆห้องอีกครั้งอย่างคิดถึงและห่วงใยคนที่อาศัยอยู่ในนี้ ก่อนมือจะเอื้อมหมุนลูกบิดและดึงประตูเปิดออก
ทว่า.. การเปิดนั้นทำให้เสียการทรงตัว เพราะแรงผลักจากอีกด้านหนึ่งของประตูที่มากกว่า
“เฮ้ย!”เสียงเล็กสบถลั่นอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ เกือบล้มหงายหลัง
แต่ก็ไม่ล้ม.. เมื่อมือแข็งแรงข้างหนึ่งสอดรวบเอว อีกข้างคว้าไหล่เอาไว้ทันเวลา
ดวงหน้าขาวปะทะแผ่นอกแข็ง.. จมูกได้กลิ่นที่คุ้นเคย..
ดวงตาใต้กรอบแว่นแดงเบิ่งกว้างเมื่อเงยสบกับดวงตาสีเข้มที่ตกใจไม่แพ้กัน
ม่อนแจ่มชะงัก งุนงงชั่วขณะว่าเกิดอะไรขึ้น
ม่อนแจ่มดึงประตูเปิด..
พชรก็ผลักประตูเปิด..
ซึ่ง.. คงบอกได้ไม่ยากว่าใครจะเสียหลัก..
“อะ..” ม่อนแจ่มอ้าปากค้าง
ใช่.. เขามาพบพชร แต่ไม่ได้คาดว่าจะพบหน้ากันจังๆ แถมยังใกล้ชิดจนแทบใจหายใจคว่ำแบบนี้
สัมผัสของมือหยาบที่แตะตัวทำให้ใจสั่น
ฟันเล็กกัดริมฝีปากเบาๆ ผละออกพร้อมๆกับที่อีกฝ่ายคลายมือ
สองคนภายในห้องสามสามแปดเงียบไปอึดใจเต็มๆ หัวใจยังเต้นแรงด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
แล้วก็เป็นพชรที่ตั้งสติได้ก่อน..
“เจ็บหรือเปล่า”
..คำถามยอดฮิตของพชร "ม..ไม่เจ็บ" ม่อนแจ่มส่ายหน้าประกอบคำตอบ
“ขอโทษ” เสียงเข้มเอ่ยก่อนจะเสริม “..ที่ไม่ได้เคาะประตู”
“ไม่เป็นไร” ม่อนแจ่มส่ายหน้าอีกที ..รู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่พชรขอโทษอย่างไม่จำเป็นเลย
ขอบคุณ..
ขอโทษ..
ไม่เป็นไร..การสนทนาน้อยนักเมื่อเทียบกับระยะเวลาและความรู้สึกที่ให้กันระหว่างเขาสองคน น่าแปลกใจที่ม่อนแจ่มตระหนักได้ว่า.. สามคำนี้ถูกเอ่ยบ่อยมาก และเช่นเดียวกัน.. มันเป็นคำที่งดงามเหลือเกิน
“ตอนเข้ามาทีแรก กูก็.. ไม่ได้เคาะเหมือนกัน” ม่อนแจ่มบอกให้พชรสบายใจ
“คือ.. ไอ้ดิ้ลบอกว่ามึงหลับ”
ก็จริง..
พชรพยักหน้ารับ เขาหลับตอนเย็นติดกันมาหลายวันแล้วเพราะง่วงจนเกินขีดจำกัดร่างกาย
“ทำไม กลางคืนไม่ยอมนอน..” ม่อนแจ่มห้ามตัวเองไม่ทันที่จะถามออกไป
“นอนไม่หลับน่ะ” เสียงเข้มยอมรับตรงๆ ..แม้จะไม่ได้เสริมว่าเพราะอะไร
ม่อนแจ่มกัดริมฝีปาก ..ใต้ตาพชรมีรอยคล้ำอีกแล้ว เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย
“กูเป็นห่วงมึง..”
พชรถึงกับยิ้ม หน้าคมพยักเล็กน้อย “กูรู้..”
บ้าจริง..
ม่อนแจ่มพูดบ้าอะไรอยู่ได้ จะมาปากตรงกับใจอะไรตอนนี้เล่า ..นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะมาพูดสักหน่อย
“กู..”
เสียงเล็กเรียบเรียงคำพูด พยายามเข้าสู่ประเด็นที่ตั้งใจ กระนั้น คนพูดมากกลับรู้สึกติดขัดในลำคอเหลือเกิน มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งที่จะสื่อสาร
“กู.. คือคุณแม่บอกว่า.. มึงกับคุณน้าลดาไม่ยอมไปอยู่บ้าน”
รอยยิ้มที่แต้มริมฝีปากหนาจางไป “กูมีบ้านอยู่แล้ว”
..
..
ม่อนแจ่มนิ่ง ชะงัก ไม่รู้จะพูดให้ดูดีได้อย่างไร
“กูแค่.. กูหมายถึง..”
..
“มันควรจะ..”
พชรถอนหายใจ..
ตระหนักในความอึดอัดตึงเครียดของคนตรงหน้า รู้ดีในสิ่งที่พยายามพูดออกมา
ม่อนแจ่มรู้สึกผิด ม่อนแจ่มเสียใจในสิ่งที่เกิดกับเขาและมารดา ม่อนแจ่มถึงไม่อยากเผชิญหน้า ถึงได้เก็บของออกไป พชรเข้าใจ และไม่ได้พยายามจะยัดเยียดความรู้สึกใดๆของตัวเองให้ร่างเล็กต้องหนักใจเพิ่ม
ทว่า วันนี้ ในเมื่อม่อนแจ่มพูดออกมาแล้ว เขาก็อยากจะพูดให้ชัดเจนเหมือนกัน
พชรยกมือขึ้น อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร และมันก็พอดีกันกับ..
“กูขอโทษ..”
มือเรียวเล็กสองข้างประนมขึ้นแนบอก ปลายนิ้วชี้อยู่ที่ปลายคางมน หน้าที่ขาวจนซีดก้มลงเล็กน้อย
ใจไม่ได้นึกถึงแค่คนตรงหน้าเท่านั้น แต่ระลึกถึงสาวใหญ่ใจดีที่มีดวงตาคล้ายคลึงกันด้วย
ขอโทษสำหรับความลำบากในชีวิต
ขอโทษสำหรับความไม่สมบูรณ์ของครอบครัว
ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้พชรเป็นทุกข์และลำบากใจตลอดชีวิตการอยู่หอใน
ขอโทษที่แทนที่พชรมาตั้งแต่เกิด
มันสำคัญสำหรับม่อนแจ่มมาก ..สำคัญที่จะต้องขอโทษ
“พชร กูขอโทษ”
“ม่อน ทำบ้าอะไร!” เสียงเข้มว้ากลั่น มือใหญ่เข้ามาจับมือที่ประกบกันให้คลายออก
“กูบอกแล้วไงว่ามึงไม่ได้ทำอะไรผิด!”
“ในฐานะที่เป็นลูกคุณแม่ ก็ถือว่ากูผิดด้วยเหมือนกัน”
ให้ตายเถอะวะ!
“แล้วมึงคิดว่ากูยังจะสนอีกหรือว่าใครผิด”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย “ก็เพราะแบบนั้น ..กูถึงยิ่งต้องขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษและไม่ต้องเสียใจ” พชรพูดชัดถ้อยชัดคำ จับมือบางทั้งสองข้างไว้
“ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะว่ากู..”
ถึงแม้บรรยากาศมันจะโคตรธรรมดา..
ถึงแม้เขาจะพูดด้วยโทนเสียงที่ไม่ได้มีความอ่อนโยนมากมายนัก..
แต่เขามีคำสำคัญต้องบอกไป ..และจะบอกเดี๋ยวนี้
“ม่อน ฟังให้ดี..” พชรให้โอกาสอีกฝ่ายเตรียมตัว
“กู-”
..
..
คำพูดหยุดอยู่เพียงแค่นั้น
ไม่ใช่เพราะไม่พูด ..แต่เพราะพูดไม่ได้
เป็นเท้าเรียวที่เขย่งขึ้น
เป็นมือเล็กที่ทาบปิดปากพชรเอาไว้ทันเวลา
ม่อนแจ่มมือสั่น แต่ก็ยังแน่วแน่ที่จะสกัดกั้นคำพูดที่จะออกมา
คำพูดที่ไม่ต้องการได้ยิน.. ไม่สมควรได้รับ..
“กูรู้ว่ามึงรู้สึกยังไงกับกู..”
ม่อนแจ่มรู้โดยไม่ต้องพยายาม.. รู้โดยไม่ต้องทวงถาม.. รู้โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น..
“แต่กู.. รับความรู้สึกมึงไว้ไม่ได้”
..
..
เหมือนใจจะขาดออก..
พชรมองม่อนแจ่มนิ่ง ลมหายใจชะงักชั่วคราว รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มที่อยู่ใต้จมูก
เขายังไม่ทันได้บอกว่ารู้สึกอย่างไร แต่กลับถูกปฏิเสธไว้แล้วล่วงหน้า ด้วยคนที่ ..รู้ความรู้สึกเขาดี
“เพราะมึงรู้สึกกับกูแบบนี้ มึงถึงต้อง..” ม่อนแจ่มกลืนอะไรขมๆลงคออย่างยากลำบาก
“พชร ถ้ากูไม่บังเอิญรู้เอง กูจะไม่แปลกใจเลยถ้ามึงไม่มีวันบอก” มือบางยังทาบปิดปากหนาไว้ เอ่ยต่อทั้งทรมานใจ
“กูไม่อยากให้มึงทิ้งโอกาสที่จะได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่อย่างเป็นครอบครัว เพียงเพราะความรู้สึกที่มึงให้กู”
..
..
พชรยืนนิ่ง
ภายใต้ฝ่ามือที่ทาบปิด ปากหนาเม้มเข้าหากัน คลื่นความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ใช่ด้านบวกโถมเข้ามาใส่
ดวงตาที่มีประกายคมกล้ามองดวงตาอีกคู่ภายใต้กรอบแว่นสีแดงโดยไม่กะพริบ
ม่อนแจ่มเองมองตอบ ทว่า ไม่อาจสู้กับสายตาคู่นี้ได้ ..จำต้องค่อยๆละมือออกอย่างเกรงๆ
พชรยังไม่ได้รีบพูดอะไร
แค่มอง แค่รอ ..ว่าม่อนแจ่มจะพูดอะไรต่ออีกหรือไม่ พร้อมๆกับที่พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไปด้วย
“มึงคิดว่าชีวิตกูที่ผ่านมาแย่มากนักหรือ” พชรถามเรียบๆ
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย เพ่งมองมือหยาบด้านที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมือขาวบางของเขา ความละอายใจท่วมท้นอยู่ในอก
“ม่อน..”
พชรหยุด ..เรียบเรียงคำพูด
“กูลำบาก ..แต่ไม่ได้ยากแค้น กูเหนื่อย ..แต่ไม่ได้เป็นทุกข์ เพราะกูมีความสุข มีความภูมิใจกับงานที่ทำ
กูพอใจกับทุกๆอย่างที่กูมี ..และไม่เคยเสียใจเลยที่เติบโตมาในแบบที่กูเป็น”
..
“มึงเป็นคนที่น่านับถือ..” ม่อนแจ่มยิ้มออกมา แม้ดวงตาจะเศร้า แต่เขาเอ่ยด้วยความจริงใจ
นับตั้งแต่ได้รู้จักใครๆในชีวิต พชรเป็นคนที่น่านับถือที่สุด
“กูดีใจที่มึงมีความสุขกับชีวิตมึงที่บ้าน ที่สวน แต่.. มันก็ไม่เสียหายนี่ใช่ไหม ที่จะ.. มีอีกสักที่ ..ที่เป็นที่ของมึงเหมือนกัน”
“หมายถึงที่บ้านมึงน่ะหรือ” พชรถามเสียงกระด้าง
“ไม่ใช่บ้านกู” ม่อนแจ่มปฏิเสธ พยายามห้ามเสียงไม่ให้สั่น
“ไม่ใช่บ้าน?” พชรย้อน
“แล้วมึงเรียกที่ที่มึงเกิด ที่ที่มึงเติบโต ที่ที่ปกป้องป้องดูแลมึงจากลมฟ้าอากาศ ที่ที่มีคนซึ่งมีความหมายต่อชีวิตของมึงอาศัยอยู่ว่าอะไร ม่อน”
ม่อนแจ่มกัดฟัน “กูไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ต้น กูไม่มีสิทธิ์เลย”
“สิทธิ์นั่นสำคัญกับมึงมากนักหรือ ขนาดกูยืนพูดอยู่ตรงนี้ มันยังไม่มีความหมายเท่าสิทธิ์อะไรนั่นเลยใช่ไหม!” เสียงเข้มระเบิดออกมา
..
..
“ตกลง ม่อน” พชรพยักหน้า สะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป
“มึงเสียใจ มึงรู้สึกผิด มึงรับความรู้สึกกูไว้ไม่ได้ ตกลง
ออกไปจากห้องนี้ซะ!”ขาเรียวสั่น.. กัดฟันเอาไว้..
ม่อนแจ่มจะไม่ร้องไห้ ไม่ร้องไห้เด็ดขาด กระนั้น เขาก็ได้แต่ยืนนิ่ง ทบทวนถ้อยคำและเงยหน้ามองพชรอย่างขอคำยืนยัน
..ออกไปจากห้องนี้ซะ..“สองวิฯ” พชรมองตอบกลับ เอ่ยสั้นๆ และนั่นทำให้ม่อนแจ่มขมวดคิ้ว
“ให้เวลาสองวินาที เดินออกไป ม่อน” พชรขยายความห้วนๆ
..
“ก่อนที่กูจะเข้าไปกอดมึงไว้ ทำอะไรที่กูอยากทำ แล้ววันนี้มึงจะไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ม่อนแจ่มมองหน้า ดวงตาเบิ่งค้าง
พชรพูด.. พูดอะไรนะ..
“หนึ่ง..”
เสียงเข้มเริ่มต้นนับ ขายาวก้าวเข้ามาหา แววตาจริงจังนั้นทำให้ม่อนแจ่มรู้ว่าพชรทำตามที่พูดแน่นอน
และเขาก็ระลึกได้ว่าตัวเองยังไม่พร้อม..
“สอง”
..
ม่อนแจ่มก้าวถอยหลัง พยายามเอื้อมหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู
ทว่า ไม่ทัน เมื่อเอวบางถูกรวบเข้ามาในอ้อมแขนแข็งแรงอย่างจงใจ
“พ..พชร ปล่อย" เสียงเล็กสั่นรัว สัมผัสเช่นที่เคยได้รับทำให้แข็งใจเอ่ยเช่นนี้ได้ลำบากนัก
“ไม่” พชรปฏิเสธสั้นๆ “ครบสองวิฯแล้ว”
“แค่สองวิฯ กูจะไปออกทันได้ยังไงเล่า” ม่อนแจ่มพยายามเถียง
ดวงตาสองคู่มองกันอีกครั้ง ..มองจนเห็นกันและกันชัดเจนถึงข้างในใจ
ใบหน้าคมโน้มลง จมูกโด่งเคลียกับจมูกรั้นของคนตัวเตี้ยกว่าเบาๆ ริมฝีปากใกล้จนแทบจะแนบชิดกันเหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ม่อนแจ่มตัวสั่นในอ้อมแขน ความสับสนแล่นปราดเข้ามาจนรู้สึกปวดร้าว..
เขาอยากอยู่ในอ้อมกอดนี้เหมือนกัน เต็มใจให้พชรทำอะไรก็ตามที่บอกว่าจะทำ แต่.. เขาไม่รู้เลยว่าแบบนั้นมันจะพาอะไรๆไปจบลงตรงไหน
ม่อนแจ่มไม่อยากทำตามความพอใจของตัวเองโดยลืมนึกถึงบาดแผลที่ได้สร้างไว้ให้กับพชรและคุณน้าเพชรลดา
,,Use me as you will
Pull my strings just for a thrill
And I know I’ll be okay
Though my skies are turning grayโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง..
“พ..พชร กูต้องไปแล้ว” เสียงพร่าเอ่ยอย่างวอนขอ
รู้ดีว่าถ้าพชรไม่ยอมปล่อยเอง ม่อนแจ่มไม่มีทางต่อต้านได้แน่นอน
พชรถอนหายใจเบาๆ หน้าคมจำต้องเบี่ยงออก หักห้ามความต้องการของตัวเอง ค่อยๆปล่อยร่างเล็กออกจากวงแขน
“กูขอโทษ” พชรเอ่ยคำนี้อีกครั้ง เขาไม่ได้ตั้งใจบังคับหักหาญร่างน้อยนี้เลย ไม่อยากทำอะไรรุนแรงใส่เลยแม้แต่นิดเดียว
ทว่า ม่อนแจ่มก็รีบส่ายหน้า พชรต้องพูดคำนี้อย่างไม่จำเป็นอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร คือ.. ไม่ใช่ว่ากู..”
อะไรล่ะ? ม่อนแจ่มกำลังจะบอกว่าอะไร
..ไม่ใช่ว่ากูไม่เต็มใจ..
..ไม่ใช่ว่ากูไม่ต้องการ..แล้วมันควรพูดหรือยังไง?
ม่อนแจ่มได้แต่กัดปากไว้ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่.. พชรเข้าใจ
เขาค่อยๆจับข้อมือขวามากุมไว้หลวมๆ “ไปเถอะ”
“ไปไหน” ม่อนแจ่มงุนงง
“กูไปส่ง”
..ไปส่ง..“ไม่เอา” ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิกอย่างหวาดหวั่นใจเมื่อนึกถึงคนที่น่าจะรออยู่
“ไม่เป็นไรหรอก” เสียงเข้มยืนยัน “เชื่อใจกูเถอะ”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
สัมผัสของมือนุ่มชื้นเหงื่ออยู่ในมือใหญ่ เสียงหัวใจที่เต้นรัวดังมากจนพชรแทบจะได้ยินด้วย
แน่นอน.. ม่อนแจ่มคงหวาดกลัวการเผชิญหน้าระหว่างเขากับมารดาของเจ้าตัว กระนั้น พชรก็ยังคงจูงมือม่อนแจ่มเดินมาด้วยกัน
จนถึงเวลานี้.. มันไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว
ม่อนแจ่มเองก็ใช้เวลารู้สึกผิดจนน่าจะพอได้แล้ว พชรไม่อยากให้นานกว่านี้
ดีแล้วล่ะที่ระมิงค์มา ที่จริง.. เขาก็อยากเจอระมิงค์เหมือนกัน
อะไรที่อยากจะบอกม่อนแจ่ม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พร้อมรับฟัง เขาก็จะไม่บังคับ
ไม่บังคับ ไม่รังแก ไม่หักหาญจิตใจ มันเป็นปณิธานที่เขาไม่มีทางคลายยึดถือ
ห น้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาวใหญ่ในชุดสูท กระโปรงคลุมเข่าก้มลงมองโทรศัพท์ก่อนจะเอามาแนบหู และแน่นอน อึดใจเดียวให้หลัง ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์คนข้างๆ..
ตาคมมองข้ามถนนไป ก่อนที่ใบหน้าขาวจะเงยขึ้นและมองเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนฝั่งตรงข้าม
พชรกระชับมือม่อนแจ่ม พาข้ามถนน หย่อนฝีเท่าลงเมื่อพ้นทางม้าลาย
ดวงตาสีเข้มมองผู้ใหญ่ตรงหน้า ระมิงค์เองก็มองตอบกลับมา
การพบกันครั้งแรกยังตรึงอยู่ในใจ..
“เราเป็นใคร แล้วมีธุระอะไรกับฉัน?”
“ผม.. ชื่อพชรครับ”
“ฉันรู้จักหรือ?”
“ไม่หรอกครับ”
..
“คุณแม่ผมชื่อเพชรลดา..”
“ผมให้โอกาสคุณ สารภาพเองซะ ก่อนที่ผมจะเป็นคนไปบอกเขา”
“ฉ..ฉันไม่รู้เรื่อง..”
“คุณไม่รู้หรือครับ”
..
“ขับไล่ภรรยาที่อุ้มท้องลูกของคนที่คุณจะแต่งงานด้วย พูดจาดูถูก ใช้เศษเงินฟาดหัว ..เรื่องนี้คุณไม่รู้หรือครับ”
..
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอบอกอีกเรื่องหนึ่ง บางทีเรื่องนี้ คุณอาจจะรู้บ้าง”
..
“แสงรวี”พชรมองระมิงค์แน่วแน่..
ใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา มือที่ยื่นส่งดอกลิลลี่สีขาวให้มารดากลับมาปรากฏในห้วงคำนึง
“ฉันขอโทษ..”ระมิงค์มองเด็กหนุ่ม..
หลายครามาแล้วที่ได้พบกัน และแต่ละครั้ง.. ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามันก็เปลี่ยนไปเสมอ
พชรทำให้เธอแปลกใจ แปลกใจมากขึ้นทุกครั้ง แล้วตอนนี้ เธอก็รู้เหตุผลชัดแจ้งแล้วว่าทำไม และเมื่อดูจากมือที่เกาะกุมมือลูกชายอยู่ก็ดูเหมือนพชรไม่คิดจะปิดบังมันเอาไว้ด้วย
ยากยิ่งที่จะละจากมือคู่นี้ที่สัมผัสมาหลายครา..
อย่างไรก็ตาม.. พชรปล่อย มือหยาบกร้านของเขายกขึ้น ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ..และไม่เคยคิดว่าจะทำ
พชรยกมือไหว้ระมิงค์ ทำความเคารพมารดาของคนสำคัญ
สาวใหญ่กลืนน้ำลายลงคอ ปากเม้มเข้าหากันอย่างสกัดกลั้นความรู้สึก มือเรียวยกขึ้นประนมกลางหน้าอก ..ทั้งรับไหว้ ..ทั้งไหว้ตอบเด็กหนุ่มอย่างสมควรยิ่ง
“ผมมาส่งม่อน ..ครับ”
เสียงเข้มเอ่ยเรียบๆ และคนถูกเอ่ยถึงก็มองคนพูดสลับกับผู้เป็นมารดาอย่างแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
“และผม.. มีบางอย่างจะพูดกับคุณระมิงค์ด้วย”
พชรไม่ได้หันมองม่อนแจ่ม ระมิงค์เองก็เช่นเดียวกัน
เธอพยักหน้า พอเข้าใจว่าที่ไม่พูดออกมาเลยเพราะอยากพูดแค่กับเธอเท่านั้น ร่างระหงก้าวห่างออกไปเล็กน้อย นำให้พชรก้าวเดินตามไป
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือ?” เสียงเนิบตั้งคำถาม เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มเอ่ยอะไรก็ตามที่อยู่ในใจออกมา
พชรมองผู้มีอาวุโสกว่าตรงหน้า ไม่ว่ามองในแง่มุมใด เขานั้นอายุยังน้อยและเรื่องใหญ่เช่นความรู้สึกที่เป็นอยู่ในขณะนี้ควรต้องค่อยเป็นค่อยไป
ทว่า.. พชรพาม่อนแจ่มข้ามขั้นนั้นไปแล้ว เขาสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว และมันไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ได้ฉาบฉวย ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกาย มันจึงเป็นหน้าที่เขาที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำและยืนยันเหตุผลของมันให้ชัดเจนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
ม่อนแจ่มไม่พร้อมรับฟัง แต่พชรพร้อมจะพูด
และคนที่เขาควรจะพูดด้วย หากไม่ใช่ตัวม่อนแจ่ม ก็คือ.. คุณระมิงค์
เขาอยากพูดเพื่อให้เกียรติเธอในฐานะมารดาของคนที่เขาสัมผัสแตะต้อง
ให้เกียรติม่อนแจ่ม และที่สุดแล้ว.. ให้เกียรติตัวเขาเอง
“ผมไม่เคยเกลียดม่อน” พชรเริ่ม
“ฉันรู้..” ระมิงค์จำได้
“แล้วที่สำคัญ ผมก็รัก..”
พชรหยุด..
‘รัก’
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดคำนี้ พูดออกมาจากความรู้สึกตัวเอง ไม่ใช่เพียงทวนคำของพ่อน่ารักอย่างเมื่อวาน
การพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเอง นั่นก็หมายถึงการตระหนักและยอมรับพันธะของคำที่พูดไปพร้อมกันด้วย
คำจะมีความหมายที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อมันทำหน้าที่สะท้อนความรู้สึกแท้จริงที่อยู่ในใจเราออกมา
เมื่อมันได้สอดรับกับการกระทำทั้งหมดทั้งมวลที่เราทำลงไป..“ผมรักลูกชายคุณระมิงค์”. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .